วันพุธ, พฤศจิกายน 26, 2568

สำหรับผู้ที่กำลังเผชิญ หรือมีความเสี่ยงที่จะต้องเผชิญสถานการณ์น้ำท่วม มีวิธีอะไรบ้างที่ทำได้เพื่อป้องกันทรัพย์สินไม่ให้เสียหายจากน้ำ รวมถึงรักษาชีวิตให้ปลอดภัยจากความเสี่ยงต่าง ๆ ที่มาพร้อมกับน้ำท่วม


ประชาชนขนของหนีน้ำท่วมในพื้นที่ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา เมื่อ 23 พ.ย.

"เก็บของให้ลอยน้ำ ระวังกระแสไฟฟ้า" เราจะป้องกันชีวิตและทรัพย์สินได้อย่างไรบ้างในช่วงเกิดน้ำท่วม ?

นงนภัส พัฒน์แช่ม
ผู้สื่อข่าวบีบีซีไทย
เมื่อ 6 ชั่วโมงที่แล้ว

ตั้งแต่ช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา หลายจังหวัดภาคใต้ อาทิ สงขลา สตูล เผชิญกับเหตุน้ำท่วมฉับพลันจากฝนที่ตกหนักอย่างต่อเนื่อง โดยประกาศล่าสุดจากกรมอุตุนิยมวิทยาในวันนี้ (25 พ.ย.) ระบุว่าพื้นที่ภาคใต้จะยังมีฝนตกหนักหลายพื้นที่ และมีฝนตกหนักมากบางแห่ง โดยเฉพาะบริเวณจังหวัดนครศรีธรรมราช พัทลุง สงขลา ปัตตานี ยะลา นราธิวาส ตรัง และสตูล จากอิทธิพลจากหย่อมความกดอากาศต่ำและมรสุม

ในขณะที่สถานการณ์ในหลายจังหวัดยังไม่คลี่คลาย บีบีซีไทยชวนสำรวจวิธีการว่าคนธรรมดาที่เป็นผู้ประสบภัย สามารถทำอย่างไรได้บ้างเพื่อปกป้องทรัพย์สินให้ดีที่สุด ผ่านการพูดคุยกับ นายเกรียงไกร ช่วยดำรงสกุล วิศวกรโยธา เจ้าของบริการให้คำปรึกษาด้านการก่อสร้าง "คุยกับลุงช่าง"

ต่อไปนี้คือคำแนะนำของเขา ถึงวิธีการปกป้องทรัพย์สินต่าง ๆ ภายในบ้านให้เกิดความเสียหายน้อยที่สุดเมื่อน้ำท่วมถึง

เก็บทรัพย์สินหนีน้ำอย่างไรให้ปลอดภัยที่สุด
  • ปลอดภัยที่สุดคือทำให้ลอยน้ำ
"อันแรกต้องเลือกก่อนว่า อะไรจำเป็นมากที่สุด อะไรจำเป็นน้อยที่สุด" นายเกรียงไกร บอกกับบีบีซีไทย เขาบอกว่าเมื่อเกิดเหตุน้ำท่วม มักจะเกิดเหตุขึ้นอย่างรวดเร็ว และคนไม่มีเวลาเตรียมตัวมากพอที่จะเก็บสิ่งของทุกชิ้นให้ปลอดภัย ดังนั้นจึงอาจต้องจัดลำดับความสำคัญว่าจะเก็บของชิ้นไหนก่อน

อย่างไรก็ดี วิธีที่นายเกรียงไกรแนะนำว่าจะทำให้ทรัพย์สินปลอดภัยได้มากที่สุด คือการ "ทำให้ลอย" และอุปกรณ์ที่จะช่วยได้คือถุงดำที่เรามักใช้ใส่ขยะ ให้ทำตามขั้นตอนดังนี้

1. ซ้อนถุงสองชั้นก่อนเพื่อความแน่นหนา จากนั้นใส่ของลงไปในถุงตามปกติ



2. หากมีของแหลมคม ให้หาอะไรห่อไว้ก่อนใส่ลงไปในถุง โดยอาจใช้เสื้อผ้าที่เราต้องการจะเก็บลงถุงอยู่แล้วห่อคลุมไว้อีกชั้น เพื่อป้องกันไม่ให้ไปทิ่มข้างในถุงจนขาด



3. ตรวจดูของที่ใส่ในถุงไม่ให้แน่นจนเกินไป โดยจะต้องมีพื้นที่เหลือไว้กักเก็บอากาศด้วย เพราะจะเป็นสิ่งที่ทำให้ถุงสามารถลอยน้ำได้ จากนั้นปิดปากถุงโดยพับปากถุงลงมาก่อนสัก 2 ทบ ในลักษณะเดียวกันกับกระเป๋าลอยน้ำ แล้วค่อยมัดปากถุง โดยอาจใช้เชือก สายเคเบิ้ลไทร์ หรืออะไรก็ตามที่หาได้ แต่ขอให้มัดให้แน่นหนาไม่ให้อากาศออกได้ ซึ่งการพับปากถุงลงมาก่อนมัดนั้นจะสามารถป้องกันอากาศออกได้มากกว่าการมัดปากถุงทันทีโดยไม่พับปากถุงลงมาก่อน



4. ทดสอบว่าถุงที่มัดแล้วสามารถรับน้ำหนักของข้างในได้หรือไม่ ด้วยการลองนำไปลองลอยน้ำ หากลอยได้แสดงว่าปลอดภัย

5. หาที่ผูกถุงไว้ หรือตรวจสอบประตูหน้าต่างในห้องที่เก็บถุงไว้เพื่อให้มั่นใจว่าข้าวของที่ถูกเก็บใส่ถุงจะไม่ลอยตามกระแสน้ำออกไปนอกบ้าน


ถุงที่มัดปากปิดเรียบร้อยจะต้องมีลักษณะพอง ๆ แบบนี้ จากการที่มีอากาศถูกอัดอยู่ภายใน

หากไม่สามารถหาถุงขยะสีดำได้ นายเกรียงไกร ระบุว่า สามารถใช้ถุงพลาสติกอื่น ๆ ที่มีมาทดแทนโดยทำวิธีการเดียวกันได้ โดยสิ่งสำคัญที่ต้องคำนึงถึงก็คือ ต้องให้มีอากาศข้างในถุง และต้องมัดปากถุงให้แน่นเพื่อไม่ให้อากาศรั่วไหลออกมา

เขาเน้นย้ำว่าวิธีการนี้จะช่วยปกป้องของมีค่าและของสำคัญ รวมถึงของขนาดพกพาบางอย่าง เช่น เสื้อผ้า หรือเครื่องใช้ไฟฟ้าขนาดเล็ก แต่วิธีการนี้มีข้อจำกัดตรงที่อาจไม่สามารถใส่ของชิ้นใหญ่ หรือมีน้ำหนักมากได้

โดยหากผู้ประสบภัยไม่สามารถหาถุงพลาสติกได้จริง ๆ ก็สามารถใช้อุปกรณ์อื่น ๆ ที่ลอยน้ำได้ อาทิ กะละมัง หรืออาจจะหาถังที่สามารถปิดฝาเก็บอากาศไว้ข้างในได้ ซึ่งจะทำให้ของข้างในลอยน้ำได้ด้วยหลักการเดียวกับการใช้ถุงพลาสติก


หากไม่สามารถหาถุงขยะสีดำได้ นายเกรียงไกร ระบุว่า สามารถใช้ถุงพลาสติกอื่น ๆ ที่มีมาทดแทนโดยทำวิธีการเดียวกันได้ สิ่งทำคัญคือต้องทำให้มีอากาศอยู่ภายใน
  • ถ้าลอยน้ำไม่ได้ พยายามให้ไม่เปียก
แล้วหากไม่มีถุงพลาสติกจะทำอย่างไร ?

นายเกรียงไกร แนะนำว่า หากทำให้ลอยไม่ได้ หรือของชิ้นนั้นมีขนาดใหญ่เกินกว่าจะเก็บลงถุง อย่างน้อย ๆ ทำให้ไม่เปียกน้ำก็จะช่วยบรรเทาความเสียหายได้

"ถ้าคุณ wrap (ห่อ) มันได้ ต่อให้มันจมน้ำ มันก็ป้องกันน้ำ[เข้า]ได้ แม้กระทั่งรถ ถ้าคุณ wrap (ห่อ) มันได้นะ หมายถึงมีผ้าใบแล้วห่อ แล้วมัด หรืออะไรก็ตาม ต่อให้[รถ]จมน้ำ มันก็ช่วยได้" นายเกรียงไกร แนะนำ

เขาบอกว่าวิธีการห่อหุ้มสิ่งของต่าง ๆ ให้แน่นหนาใช้หลักการเดียวกันกับการปิดถุงพลาสติกข้างต้น คือพยายามปิดมันด้วยตัวของมันเองก่อนโดยพับส่วนปลายของพลาสติกหรือผ้าใบที่ใช้ห่อหุ้มเพื่อไม่ให้อากาศออกได้ จากนั้นจึงค่อยใช้เทปแปะทับอีกชั้น

อย่างไรก็ดี เขาตั้งข้อสังเกตว่า "ไม่มีใครมีอุปกรณ์ติดบ้านขนาดนั้น... นอกจะเตรียมไว้จริง ๆ" และเมื่อน้ำมาถึงแล้ว "ไม่มีเวลาขนาดนั้น"

แต่หากคุณยังพอมีเวลา และยังมีวัสดุกันน้ำได้ที่พอจะนำมาห่อป้องกันข้าวของสำคัญบางอย่าง วิธีนี้ก็อาจพอช่วยบรรเทาความเสียหายได้บ้าง
"ผมไม่เชื่อว่าในบ้านจะมีของที่เหมาะสม... เพียงแต่ว่ามันมีของที่เราจะพอใช้ถูไถ เช่น เทปใส เทปติดกล่อง เทปอะไรพวกนี้ ก็ต้องเอามาใช้" เจ้าของเพจ "คุยกับลุงช่าง" กล่าว

"วิธี wrap (ห่อ) ที่ดีที่สุดคือพับขอบ... เหมือนปากถุง ถ้าคุณมัด มันรั่วได้นะ แต่ถ้าคุณกดปากถุง แล้วก็พับมันสักสองทบ แล้วคุณ wrap (ห่อ) มันจะอยู่นะ มันอยู่ง่ายกว่าคุณพยายามจะเอาหนังยางมัดอีก"

"หลักการนี้มันจะใช้กับที่เวลาเราไปเที่ยวทะเลแล้วไปซื้อถุง[ลอยน้ำ]ทะเล ถ้าคุณนึกภาพออก ถุงทะเลมันใช้วิธีนั้นนะ ถุงทะเลมันไม่ใช่[การ]ติดเทป แต่น้ำไม่เข้า เพราะว่าพอจะปิดปุ๊บ มันจะม้วนสักสองรอบ แล้วก็ล็อกคลิก แค่นั้นก็อยู่แล้ว คือมันจะบีบตัวเอง แล้วน้ำก็จะเข้าไม่ได้" เขาอธิบาย

นายเกรียงไกรยังแนะนำอีกว่า ผู้ประสบภัยอาจประยุกต์ใช้สองวิธีเข้าด้วยกัน เช่น อาจหาอะไรห่อหุ้มสิ่งของสำคัญไม่ให้เปียกน้ำก่อน แล้วผูกไว้กับของที่ใช้ต่างทุ่นลอยน้ำได้ เช่นถังปิดฝาที่มีอากาศอยู่ภายใน ก็จะช่วยป้องกันความเสียหายได้อีกทางหนึ่ง
  • อย่าลืมถอดปลั๊กเครื่องใช้ไฟฟ้า
อีกประเด็นที่วิศวกรเจ้าของเพจให้คำปรึกษาด้านการก่อสร้างผู้นี้เน้นย้ำ คือผู้ประสบภัยควรถอดปลั๊กเครื่องใช้ไฟฟ้าทุกชนิดในพื้นที่ที่น้ำท่วมถึง เพราะเมื่อน้ำลดยังมีโอกาสที่ช่างจะสามารถซ่อมแซมได้ง่ายกว่าการเสียบปลั๊กทิ้งไว้

"มีโอกาส[ซ่อมได้]" นายเกรียงไกรยืนยัน "มีโอกาสที่เราเอามาตากแดด แล้วก็ให้ช่างเช็กดู มันมีโอกาสที่จะรอดได้สูง แต่ถ้าเสียบปลั๊กอยู่แล้วน้ำท่วม อันนี้เรียบร้อยครับ มันช็อต"


หากทำให้ลอยไม่ได้ หรือของชิ้นนั้นมีขนาดใหญ่เกินกว่าจะเก็บลงถุง อย่างน้อย ๆ ห่อหุ้มและปิดผนึกให้แน่นหนา แม้จะจมน้ำแต่หากไม่เปียกก็จะช่วยบรรเทาความเสียหายได้

รักษาชีวิตอย่างไรให้ปลอดภัย
  • ระวังไฟฟ้า
"กรมอนามัย" และ "การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค" เคยเผยแพร่วิธีการจัดการกับอุปกรณ์และระบบไฟฟ้าขณะน้ำท่วม ซึ่งบีบีซีไทยรวบรวมและสรุปคำแนะนำของทั้งสองหน่วยงานได้ดังนี้

ก่อนน้ำท่วม ผู้ที่รู้ว่าบ้านกำลังจะถูกน้ำท่วมควรตัดเมนเบรกเกอร์ทันที ย้ายปลั๊กและเครื่องใช้ไฟฟ้าขึ้นที่สูง และตรวจสอบสายไฟให้อยู่ในสภาพดี

ระหว่างน้ำท่วม ผู้ที่อาศัยอยู่ในบ้านชั้นเดียวควรหยุดใช้ไฟฟ้าทั้งหมดและย้ายออกชั่วคราว ส่วนบ้านสองชั้นควรแยกระบบไฟสำหรับแต่ละชั้น และปิดใช้ไฟฟ้าในชั้นที่ถูกน้ำท่วม โดยผู้ประสบภัยต้องไม่ใช้ใช้ปลั๊กและสวิตช์ไฟฟ้าที่น้ำท่วมถึง, ห้ามเข้าใกล้สายไฟหรืออุปกรณ์ไฟฟ้าที่แช่อยู่ในน้ำ, ห้ามเสียบปลั๊ก แตะปลั๊ก หรือเปิด-ปิดสวิตช์ไฟเมื่อยืนอยู่ในน้ำหรือตัวเปียกน้ำ โดยให้ยืนบนพื้นแห้งหรือใส่รองเท้ายางหากจำเป็นต้องใช้ไฟ

หลังน้ำลด ควรตรวจสอบระบบไฟทุกจุดและให้ช่างไฟที่มีใบอนุญาตตรวจสอบเครื่องใช้ไฟฟ้าก่อนใช้งาน

ประเด็นนี้ นายเกรียงไกร ย้ำเตือนผ่านบีบีซีไทยด้วยว่า บางพื้นที่ที่มีการตัดไฟ หากสถานการณ์คลี่คลายและการไฟฟ้าประกาศจะส่งไฟให้ตามเดิมแล้ว ก่อนจะสับคัทเอ้าท์ขึ้น ควรสับเบรกเกอร์ทั้งหมดในตู้ไฟฟ้าลงก่อน จากนั้นค่อยไล่เปิดทีละอันและตรวจเช็คการทำงานของเครื่องใช้ไฟฟ้าทีละส่วนว่าทำงานได้ปกติหรือไม่ โดยระหว่างตรวจเช็คควรใส่รองเท้า และไม่ควรให้ตัวเปียกน้ำ
  • หาทางรอด
ด้านสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) แชร์ข้อมูลแนวทางเอาตัวรอดจากน้ำท่วมฉุกเฉินไว้หลายข้อสำหรับผู้ประสบภัย โดยอ้างอิงที่มาข้อมูลจากสภานักศึกษา ม.อ. หาดใหญ่ และ PAW PAW

โดยแนวทางดังกล่าวเสนอแนะให้ผู้ประสบภัยควรเตรียมมองหาเส้นทางหนีออกจากตัวบ้านในกรณีฉุกเฉิน และเตรียมอุปกรณ์ช่วยลอยตัวไว้ก่อน โดยอาจใช้ถังน้ำมีฝา, แกลลอนน้ำ, โฟม, กล่องพลาสติกแข็ง หรืออาจประยุกต์ใช้วัสดุอื่น ๆ

นอกจากนี้ ยังเสนอแนะว่าผู้ประสบภัยควรเตรียมอุปกรณ์ช่วยป้องกันสัตว์อันตรายจากสัตว์มิพิษ โดยหาอุปกรณ์ที่สามารถใช้กันระยะห่างจากสัตว์มีพิษที่อาจมากับน้ำ เช่น ไม้กวาดด้ามยาว, ไม้ถูพื้น ฯลฯ

และอีกสิ่งที่ควรเตรียมคือ "ชุดยังชีพฉุกเฉิน" ใส่ถุงกันน้ำเก็บไว้ในที่แห้งและหยิบง่าย ซึ่งควรประกอบด้วย ยาประจำตัว, โทรศัพท์และแบตสำรอง, บัตร/เงินสด, ขนมแห้ง, ไฟฉาย, ถุงดำ เผื่อไว้สำหรับกันน้ำและใช้ลอยตัว รวมถึงเสื้อผ้า 1 ชุด

โดยกรณีที่ติดอยู่บนชั้นบนของบ้าน ให้ส่งสัญญาณโดยใช้ผ้าสีแดง ไฟฉาย หรือเคาะสิ่งของโลหะ, อยู่รวมกันในจุดที่สูงที่สุด และรอการช่วยเหลือจากเจ้าหน้าที่กู้ภัย

ส่วนสิ่งที่ "ไม่ควรทำ" คือการใช้ของมีคมในน้ำ, แตะเสาไฟ–ปลั๊ก–เครื่องใช้ไฟฟ้าที่เปียก, ว่ายทวนกระแสน้ำ หรือปีนโครงสร้างที่ไม่มั่นคง

โดยหากสถานการณ์วิกฤตขั้นสุด คือน้ำท่วมมิดหลังคา ควรออกจากอาคาร และพยุงตัวลอยน้ำให้นานที่สุด โดยอาจใช้ของช่วยพยุงตัว เช่น ประตูไม้, โต๊ะไม้, โฟม, แกลลอน, กะละมัง, ถังน้ำ หรือวัสดุอื่น ๆ ที่สามารถเก็บอากาศไว้ภายใน เช่นถุงดำที่ใส่อากาศเข้าไปในถุงแล้วมัดปากถุงปิดไว้ จากนั้นควรเคลื่อนตัวไปยังอาคารสูงหรือพื้นที่ที่มีโครงสร้างแข็งแรงกว่า

https://www.bbc.com/thai/articles/c783939l6wgo