วันอาทิตย์, พฤศจิกายน 30, 2568

‘ลิซ่า’ สส.หญิงภาคใต้สมัยแรก พรรคประชาชน ดังเป็นพลุ เพราะพวกนายแบกมีดีกรีรุมทึ้งไม่รู้สี่รู้แปด โดนโพลตีกลับไม่ติดฝุ่น

เพราะ “ทูตหางแถว” (คำของ ปวิน) ช่วยสร้างกระแส ทำให้ ลิซ่าสส.หญิงภาคใต้สมัยแรก พรรคประชาชน ดังเป็นพลุ ประเด็นลุยน้ำช่วยชาวบ้านหาดใหญ่ ที่ รัศมิ์ ชาลีจันทร์ หาว่าไปลอยคอถ่ายรูปทำคอนเท้นต์

แถมพวก I-bags แหกส้มรุมถล่มซ้ำ ก็มีอั้ม อิราวัต คนหนึ่งละที่บอกว่า น้องคนข้างหลังไม่ได้เกาะลิซ่าหรอกนะ แต่ช่วยพยุงเธอต่างหาก มิใยที่เจ้าตัวแจงไปแล้วว่าน้องเขาสูงแค่ ๑๔๕ ว่ายน้ำไม่เป็น ลอยคอไม่ได้ ก็เลยให้เกาะไหล่ ลากกันไป ทั้งที่ตัวเองไม่สูงนักน้ำปริ่มถึงคอ

ข้อนี้ หมอสิว อาจมีปมด้อยเรื่องความสูงอยู่แล้ว จึงได้โจมตีประเด็นที่ตนถนัด ก็อีกนั่นแหละ ไม่วายมี E-bag ผสมโรง บอกว่าถนนตรงนั้นที่ลาดลงต่ำกว่าซอยถัดไป ถ่ายรูปชายคนหนึ่งยืนเหนือซอยขึ้นไป น้ำแค่ครึ่งแข้งเอง

ซึ่งก็มีคนมาตอบยืนยันด้วยภาพว่าตรงนั้นน้ำถึงคอแน่นอน Kanun PS ว่า “ทำภาพ AI ให้มันเนียนหน่อย ส่วนกูมี Google Map ​พิสูจน์ว่าภาพข้างล่างคือภาพถ่ายจริง​ คนเสื้อสีน้ำเงินขนุนประมาณ​ให้สูง ๑๖๐ นั่นแสดงว่าใครต่ำกว่า ๑๕๐ ไม่รอด”

ตามเนื้อความที่ลิซ่าชี้แจงเมื่อวานซืน ว่า “ลิซ่าเกิดที่นี่ค่ะ โตที่นี่ มีญาติพี่น้อง เพื่อนฝูง เรามีทุกสิ่งทุกอย่าง ที่เราเติบโตมาพร้อมกับพวกเขาที่นี่ เพราะฉะนั้น ลิซ่าไม่อยากจะสนใจเสียงวิจารณ์เลยจริงๆ แล้วก็รู้สึกว่าสิ่งที่ซ่าทำ มันมีค่ากับชีวิตซ่าเหมือนกัน”

ใครที่ติดตามข่าวใกล้ชิดจะเห็นว่าลิซ่าลงพื้นที่ตั้งแต่วันแรกๆ พร้อมหน่วยกู้ภัย ฉะนั้นประเด็นที่มีการตั้งกังขาว่าช่วยคนกว่าร้อยจริงหรือ ก็มี สจ.อู๊ดปิยะศักดิ์ เพชรสุวรรณพร ยืนยันแทนลิซ่า “ได้ช่วยเหลือชาวบ้านออกมา ๑๐๐ กว่าคนนั้น จึงเป็นความจริง”

กวินภพ กำจัดโรค เจ้าของบ้านหลังที่ลิซ่าไปลอยคออยู่ข้างหน้า โพสต์แจกแจงโต้ทูตรัศมิ์ว่าบ้านเขาสร้างสูงกว่าถนน ๔ เมตร แต่ไหนแต่ไรไม่เคยน้ำท่วม ต้องมาเจอปีนี้แหละ เขาเชิญทั่นทูตช่วยบินไปกวาดเมืองหาดใหญ่หน่อยจะได้รู้จริงปัญหา

ลงท้าย ปล. “ผมไม่ได้เสื้อส้มนะครับเลือกประชาธิปัตย์แต่ไหนแต่ไร ถึงแม้ไม่เคยลงพื้นที่จนมาถึง จุรี...ตอนแรกผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเป็น สส.ลิซ่า เพราะน้องไม่แสดงตัวจนเกิดเป็นข่าวถึงรู้...เคยเห็นแต่ในทีวีดำกว่านี้ตัวจริงขาวออร่ามาก”

ถึงอย่างนั้น โพลนิด้าล่าสุดเพิ่งออกมา สำหรับภาคใต้ ๑๔ จังหวัด ถามว่าอยากได้ใครเป็นนายกฯ อันดับแรกหาคนเหมาะสมไม่ได้ ๓๒.๒๕% แต่ที่รู้ตัวตนแล้วได้กับ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ที่เพิ่งกลับมาเป็นหัวหน้าประชาธิปัตย์หมาดๆ ๒๕.๖๕%

นอกเหนือจากนั้น อนุทิน ชาญวีรกูล ภูมิใจไทย เฉือนแซงหน้า ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ ประชาชน ไปสองเปอร์เซ็นต์ครึ่ง ๑๕.๔๐ ต่อ ๑๒.๘๕ แถมคะแนนพรรค ปชป.มาอันดับหนึ่ง ๒๘.๖๐% ขณะที่อันดับสองยังหาไม่ได้ ๒๘.๔๕%

คู่ชิงหลักพรรคการเมืองที่บี้กันมาทุกโพล คราวนี้ภาคใต้พรรคประชาชนนำภูมิใจไทยไป ๖% กว่าๆ ติดอันดับ ๓ และ ๔ ตามลำดับ ด้วยคะแนน ๑๗.๘๐% กับ ๑๑.๖๕% ไม่ติดฝุ่นคือเพื่อไทยพรรคของนายแบก ๒.๔๕%

(https://www.facebook.com/ThePoliticsByMatichon/posts/72qJA2ZxL, https://www.facebook.com/Golffer9/posts/VDKARbD และ https://www.facebook.com/ThePoliticsByMatichon/posts/N1oV4LL7p) 

อนุทินเก่งแบบนี้แหละ


Pavin Chachavalpongpun
13 hours ago
·
อนุทินเก่งแบบนี้ เก่งที่ใช้สถาบันกษัตริย์สร้างความชอบธรรมให้ตัวเอง แก้ไขวิกฤตไม่ได้ ไม่เป็นไร ขอให้เจ้าโอบอุ้มเป็นพอ สรุป อนุทินรอดแล้วนะ —- แต่เกมนี้ น้ำพึ่งเรือเสือพึ่งป่า เพราะเจ้าต้องพึ่งอนุทินในการกำจัดศัตรูทางการเมืองอื่นๆ ด้วย ล้วนสมประโยชน์

https://www.facebook.com/photo?fbid=24543769425298156&set=a.127047247397047







“เราจะยอมเห็นภาพแบบนี้ไปอีกกี่ปี?”


นอกจากเงินค่าปลงศพผู้เสียชีวิต 2 ล้านบาท และเงินช่วยเหลือตามมติ ครม. 9,000 - 29,000 บาท ผู้ประสบภัยน้ำท่วม มีสิทธิได้เงินเยียวยาและฟ้องเรียกค่าเสียหายจากรัฐได้ทางใดบ้าง


ประชาชนและเจ้าของร้านค้าย่านถนนรัถการ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา กลับเข้าไปสำรวจความเสียหาย และทำความสะอาดบ้านเรือนและร้านค้าที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์น้ำท่วม (เมื่อ 28 พ.ย.)

สำรวจสิทธิผู้ประสบภัยน้ำท่วม มีสิทธิได้เงินเยียวยาและฟ้องเรียกค่าเสียหายจากรัฐได้ทางใดบ้าง

นงนภัส พัฒน์แช่ม
ผู้สื่อข่าวบีบีซีไทย
29 พฤศจิกายน 2025

มาตรการเยียวยาผู้ประสบอุทกภัยในภาคใต้ โดยเฉพาะในพื้นที่ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา มีความชัดเจนขึ้นมาเมื่อวันพฤหัสบดี (27 พ.ย.) หลังจากนายอนุทิน ชาญวีรกูล นั่งเป็นประธานในที่ประชุมหารือกับหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง ทั้งจากกระทรวงการคลัง กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กระทรวงแรงงาน และกระทรวงมหาดไทย โดยมีการวางกรอบมาตรการในการช่วยเหลือไว้ 3 ระดับ ได้แก่ การช่วยเหลือระยะสั้น, การเยียวยาระยะกลาง และการฟื้นฟูเข้าสู่ภาวะปกติ

รายละเอียดเริ่มชัดเจนในเวลาต่อมา เมื่อศูนย์ปฏิบัติการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินอุทกภัย (ศป.กฉ.) แถลงข่าวยืนยันถึงแนวทางการช่วยเหลือ ทั้งเงินปลงศพผู้เสียชีวิตรายละ 2 ล้านบาท และมาตรการเยียวยาอื่น ๆ นอกเหนือไปจากวงเงินช่วยเหลือครัวเรือนละ 9,000 บาท และช่วยเหลือเพิ่มเติมตามระยะเวลาที่น้ำท่วมขังซึ่ง ครม. ได้เห็นชอบและใช้กับกรณีน้ำท่วมลุ่มภาคกลางไปแล้วก่อนหน้านี้

นอกเหนือจากการเยียวยาตามมาตรการของรัฐ ยังมีสิทธิอื่น ๆ ที่ผู้ประสบภัยอาจสามารถเรียกร้องได้เมื่อได้รับความเสียหายจากอุทกภัย ในอดีตที่ผ่านมา โดยเฉพาะในช่วงวิกฤตน้ำท่วมปี 2554 เคยมีบางคดีที่ผู้ประสบภัยฟ้องหน่วยงานรัฐ และศาลวินิจฉัยให้ได้เงินชดเชยในภายหลัง

มาตรการเยียวยาผู้ประสบภัยน้ำท่วมหาดใหญ่ ตอนนี้มีอะไรบ้าง
  • สูญเสียชีวิต เงินเยียวยารายละ 2 ล้านบาท
นายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยในการแถลงข่าวของศูนย์ปฏิบัติการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินอุทกภัย (ศป.กฉ.) เมื่อวันพฤหัสบดี (27 พ.ย.) ว่ารัฐบาลได้อนุมัติเงินปลงศพผู้เสียชีวิตจากเหตุน้ำท่วมหาดใหญ่รายละ 2 ล้านบาทแล้ว ทว่ายังไม่มีการเปิดเผยถึงรายละเอียดและหลักเกณฑ์ที่ชัดเจน

อย่างไรก็ดี กรณีที่ผู้เสียชีวิตเป็นผู้ประกันตนตามสิทธิประกันสังคมมาตรา 33 (ลูกจ้างผู้ซึ่งทำงานให้กับนายจ้างที่อยู่ในสถานประกอบการ) หรือมาตรา 39 (ผู้ประกันตนโดยสมัครใจซึ่งเคยเป็นผู้ประกันตนมาตรา 33 แล้วส่งเงินสมทบต่อ) ทายาทสามารถขอรับสิทธิประโยชน์จากกองทุนประกันสังคมเพิ่มเติมได้ อาทิ
  • เงินค่าทำศพ จำนวน 50,000 บาท
  • เงินบำเหน็จชราภาพพร้อมผลตอบแทน
  • เงินสงเคราะห์กรณีตาย สำหรับผู้ประกันตนที่มีการส่งเงินสมทบไม่น้อยกว่า 36 เดือนขึ้นไป
ส่วนผู้ประกันตนตามมาตรา 40 (บุคคลทั่วไปที่ประกอบอาชีพอิสระหรือแรงงานนอกระบบ) จะขอรับสิทธิประโยชน์ได้ต่างกันตามจำนวนเงินที่ส่งสมทบ โดยสูงสุดคือได้รับค่าทำศพ 50,000 บาท และได้รับเงินบำเหน็จชราภาพพร้อมผลตอบแทน


เจ้าหน้าที่ทำการตรวจพิสูจน์อัตลักษณ์บุคคลของผู้ที่เสียชีวิตจากน้ำท่วมใน อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา และนำไปเก็บไว้ในตู้คอนเทนเนอร์เย็น เพื่อรอผลการพิสูจน์ให้ตรงกับญาติ ที่โรงพยาบาลสงขลานครินทร์ (ภาพเมื่อ 28 พ.ย.)
  • สูญเสียทรัพย์สิน เงินช่วยเหลือครัวเรือนละ 9,000 – 29,000 บาท
ตั้งแต่หลังเกิดเหตุน้ำท่วมในหลายจังหวัดลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาในช่วงก่อนหน้าของปีนี้ คณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเมื่อ 21 ต.ค. เห็นชอบจ่ายเงินช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยในช่วงฤดูฝน ปี 2568 แบบเหมาจ่าย ครัวเรือนละ 9,000 บาท จำนวน 685,554 ครัวเรือน ในพื้นที่ 65 จังหวัด (ยังไม่รวม จ.สงขลา) รวมงบประมาณ 6.1 พันล้านบาท


ต่อมาวันที่ 18 พ.ย. ครม.ได้อนุมัติให้ใช้งบประมาณจากวงเงินเดียวกัน เพื่อจ่ายเงินเยียวยาเพิ่มเติมเป็น "ขั้นบันได" ตามระยะเวลาน้ำท่วมขัง สำหรับผู้ที่มี "บ้านอยู่อาศัยจริง" ในพื้นที่ที่มีการประกาศเขตภัยพิบัติ โดยกำหนดอัตราได้แก่
  • 31 – 60 วัน ครัวเรือนละ 5,000 บาท
  • 61 – 90 วัน ครัวเรือนละ 10,000 บาท
  • 91 – 120 วัน ครัวเรือนละ 15,000 บาท
  • 121 วันขึ้นไป ครัวเรือนละ 20,000 บาท
และเมื่อวันอังคารที่ผ่านมา (25 พ.ย.) ครม. ได้มีมติเห็นชอบเพิ่มเติมเงื่อนไขและกรอบวงเงินช่วยเหลือ โดยเพิ่มเติมพื้นที่อีก 7 จังหวัด ได้แก่ ตรัง นครศรีธรรมราช นราธิวาส ปัตตานี พัทลุง ลพบุรี และสงขลา และอนุมัติกรอบวงเงินเพิ่มเติม 3.8 พันล้านบาท

เมื่อรวมมติ ครม. ทั้งสามครั้งนี้ หมายความว่าผู้ประสบอุทกภัยในปี 2568 ในพื้นที่ 72 จังหวัดทั่วประเทศ สามารถได้รับเงินช่วยเหลือสูงสุดครัวเรือนละ 29,000 บาท ในกรณีที่บ้านซึ่งใช้อยู่อาศัยจริง ถูกน้ำท่วมขังเป็นเวลา 121 วันขึ้นไป

ส่วนเหตุน้ำท่วม อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา ที่มีระยะเวลาน้ำท่วมขังไม่เข้าเกณฑ์ได้รับการชดเชยเพิ่มเติมแบบขั้นบันไดนั้น สามารถขอรับการเยียวยาได้ 9,000 บาทต่อครัวเรือน

สำหรับการยื่นคำร้องขอรับเงินช่วยเหลือส่วนนี้ ผู้ประสบภัยสามารถยื่นคำร้องได้ผ่านเว็บไซต์ https://flood68.disaster.go.th หรือสามารถนำเอกสารไปยื่นคำร้องด้วยตนเองที่องค์การปกครองส่วนท้องถิ่นในพื้นที่

ประชาชนในพื้นที่ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา เข้าพื้นที่ล้างโคลนและเคลียร์เศษซากปรักหักพักในบ้านของตนเองหลังน้ำลด (ภาพเมื่อ 28 พ.ย.)
  • เยียวยาทางอ้อม
ในการแถลงข่าวของ ศป.กฉ. นางสาวรัชดา ธนาดิเรก และนายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ ในฐานะกรรมการและโฆษก ศป.กฉ. เปิดเผยถึงมาตรการเยียวยาทางอ้อมสำหรับผู้ประสบภัยอีกหลายประการ อาทิ
  • พักหนี้–พักดอกเบี้ยสำหรับประชาชนที่เป็นลูกหนี้ธนาคารรัฐ เป็นเวลา 6 เดือน สำหรับลูกหนี้ที่มียอดหนี้รวมทุกบัญชีไม่เกิน 1 ล้านบาท
  • ลูกค้าเดิมของธนาคารรัฐที่ยังมีวงเงินกู้คงเหลือ สามารถขอกู้เสริมสภาพคล่องได้รายละไม่เกิน 100,000 บาท ด้วยดอกเบี้ย 0% เป็นเวลา 6 เดือน
  • เตรียมมาตรการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำโดยธนาคารของรัฐจะปล่อยกู้ดอกเบี้ย 0% ในปีแรก และอาจมีการปรับเพิ่มขึ้นในปีถัดไป
  • มาตรการทางภาษี อาทิ การยกเว้นภาษีเงินได้ การขยายเวลายื่นแบบภาษี และการยกเว้นอากรศุลกากรสำหรับเครื่องจักรหรือชิ้นส่วนที่เสียหายในพื้นที่ประสบภัย นอกจากนี้ ผู้ที่บริจาคเพื่อช่วยเหลือยังสามารถนำไปหักลดหย่อนภาษีได้
โฆษก ศป.กฉ. เปิดเผยด้วยว่า นายกรัฐมนตรีได้สั่งการให้สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) เร่งประสานกรณี "เคลมประกันรถยนต์" ให้ดำเนินการโดยเร็ว โดยมีแนวทางใหม่ที่จะทำให้ขั้นตอนง่ายขึ้น เพียงถ่ายรูปความเสียหายและยื่นเรื่องก็สามารถดำเนินการรับเงินเคลมได้ทันที ซึ่ง คปภ. จะออกรายละเอียดขั้นตอนเพิ่มเติมในเร็ว ๆ นี้

ผู้ประสบภัยน้ำท่วมฟ้องรัฐ/รัฐบาล ได้ไหม

วิทยานิพนธ์เรื่อง "ปัญหาความรับผิดของรัฐในคดีปกครองในความเสียหายจากอุทกภัยลุ่มน้ำเจ้าพระยา" ของสมศักดิ์ วงศ์ราษฎร์ ในหลักสูตรนิติศาสตรมหาบัณฑิต มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เมื่อปีการศึกษา 2559 ระบุว่าอาจมีกรณีที่รัฐต้องรับผิดต่อผู้เสียหาย หากหน่วยงานปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐไม่ทำหน้าที่ในการระวังป้องกันภัยพิบัติ หรือหากในระหว่างเกิดภัยพิบัติได้ปฏิบัติหน้าที่ล้มเหลว ผิดพลาด ละเลยล่าช้า หรือบกพร่องต่อหน้าที่ตามกฎหมายในการจัดการภัยพิบัติที่เกิดขึ้นแล้ว

การศึกษาดังกล่าวพบว่าการยื่นฟ้องของประชาชนส่วนใหญ่ในช่วงหลังอุทกภัยปี 2554 มักมีการยื่นเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายจากการออกคำสั่งทางปกครอง คำสั่งอื่น หรือจากการละเลยต่อหน้าที่ หรือปฏิบัติหน้าที่ล่าช้า ตามมาตรา 9 วรรคหนึ่ง (1) (2) และ (3) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542

ทั้งนี้ พ.ร.บ.จัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542 ตามมาตรา 9 กำหนดให้ศาลปกครองมีอำนาจพิจารณาพิพากษาหรือมีคำสั่งในกรณี
  • (1) คดีพิพาทเกี่ยวกับการที่หน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำการโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย
  • (2) คดีพิพาทเกี่ยวกับการที่หน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติ หรือปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวล่าช้าเกินสมควร
  • (3) คดีพิพาทเกี่ยวกับการกระทำละเมิดหรือความรับผิดอย่างอื่นของหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐอันเกิดจากการใช้อำนาจตามกฎหมาย หรือจากกฎ คำสั่งทางปกครองหรือคำสั่งอื่น หรือจากการละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติหรือปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวล่าช้าเกินสมควร
วิทยานิพนธ์ชิ้นนี้ระบุว่าการเยียวยาความเสียหายโดยการจ่ายค่าสินไหมทดแทนในคดีละเมิด ภายหลังเกิดเหตุอุทกภัยปี 2554 แนวคำวินิจฉัยของศาลปกครองส่วนใหญ่ยึดตามหลักที่ว่า ค่าสินไหมทดแทนต้องชดใช้ตามความเสียหายที่แท้จริง เพื่อให้กลับคืนสู่สภาพเดิมเสมือนไม่มีความเสียหายเกิดขึ้น

อย่างไรก็ดี ในทางปฏิบัติพบทั้งการเยียวยาความเสียหายที่ไม่เต็มจำนวนของความเสียหายกรณีที่ความเสียหายเกิดขึ้นโดยไม่มีฐานของการกระทำความผิด และพบหลายกรณีที่รัฐต้องรับผิดชอบเยียวยาความเสียหายให้ครอบคลุมความเสียหายจริงเช่นกัน

วิทยานิพนธ์ฉบับนี้ยังรวบรวมคำพิพากษาคดีต่าง ๆ ที่ศาลปกครองสูงสุดมีคำวินิจฉัยแล้ว ก่อนจะสรุปแนวทางการวินิจฉัยตามข้อกฎหมายต่าง ๆ อาทิ
  • คดีพิพาทจากการกระทำละเมิดตามมาตรา 9 วรรคหนึ่ง (3) ศาลจะนําหลักเกณฑ์ความรับผิดทางละเมิดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาใช้ในการพิจารณาด้วยว่า หน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐได้กระทําหรืองดเว้นการกระทําตามหน้าที่โดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย อันเป็นการกระทําละเมิดต่อผู้เสียหายหรือไม่ และใช้ในการกำหนดค่าสินไหมทดแทน
  • กรณีความรับผิดอย่างอื่นหรือความรับผิดจากการบริหารจัดการน้ำในสถานการณ์อุทกภัยลุ่มน้ำเจ้าพระยา ตามมาตรา 9 วรรคหนึ่ง (3) ศาลปกครองจะพิจารณาว่า การกระทําหรืองดเว้น การกระทําโดย "ชอบด้วยกฎหมาย" ตามหน้าที่โดยเฉพาะของหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐ หากทำให้ประชาชนหรือผู้ฟ้องคดีได้รับความเสียหายเป็นพิเศษ ก็อาจพิพากษาให้ผู้ฟ้องคดีชนะ แต่เนื่องจากเป็นความเสียหายพิเศษที่เกิดขึ้น โดยไม่มีฐานของการกระทําความผิด ดังนั้น จึงพบบางกรณีที่ศาลกําหนดค่าสินไหมทดแทนให้ไม่เต็มจํานวนของความเสียหายจริง
บีบีซีไทยสืบค้นคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุดในคดีต่าง ๆ ที่เคยมีการฟ้องหน่วยงานรัฐหลังเหตุน้ำท่วมช่วงปี 2553 - 2554 พบตัวอย่างต่าง ๆ อาทิ

คำพิพากษาศาลปกครองสูงสุดในคดีหมายเลขแดงที่ อ.167/2565 ซึ่งเป็น "คดีพิพาทเกี่ยวกับการกระทำละเมิดของหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐ อันเกิดจากการใช้อำนาจตามกฎหมาย" เคยพิพากษาให้กรุงเทพมหานครชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้กับ บริษัท เคลทิค จำกัด เป็นเงิน 9.4 ล้านบาทพร้อมดอกเบี้ย กรณีกรุงเทพมหานครดำเนินโครงการปรับปรุงแก้มลิงในพื้นที่ใกล้เคียง และคันดินพังถล่มจนทำให้น้ำทะลักเข้าท่วมบ้านทรงไทย 4 หลังของบริษัทฯ และทำให้ทรัพย์สินภายในเสียหาย โดยเหตุเกิดเมื่อช่วงปลายปี 2553 และศาลปกครองสูงสุดมีคำวินิจฉัยในปี 2565

อีกตัวอย่าง ได้แก่ คดีหมายเลขแดงที่ อ.272/2565 ที่ประชาชน 190 คนซึ่งอาศัยในเขตเทศบาลเมืองบึงยี่โถ ยื่นฟ้องเทศบาลเมืองบึงยี่โถ, คณะกรรมการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติอำเภอธัญบุรี (ก.ช.ภ.อ. ธัญบุรี) และศูนย์ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เขต 1 ปทุมธานี กรณีถูกปฏิเสธคำร้องขอรับเงินช่วยเหลือน้ำท่วมปี 2554 และบางคนที่ได้รับเงินเยียวยาไปแล้วถูกเรียกเงินคืน เนื่องจากไม่เข้าหลักเกณฑ์ได้รับเงินช่วยเหลือ

คดีนี้ศาลปกครองสูงสุดพิจารณาตามหลักฐานความเสียหายในบ้านเรือนของผู้ฟ้องคดีแต่ละหลัง และมีคำวินิจฉัยเมื่อช่วงกลางปี 2565 โดยวินิจฉัยเป็นรายกรณีว่าผู้ฟ้องแต่ละคนควรได้รับเงินเยียวยาผู้ประสบอุทกภัยจำนวนเท่าไหร่ตามสภาพความเสียหายซึ่งต้องพิสูจน์ได้ว่าเกิดขึ้นจากอุทกภัยจริง โดยมีทั้งผู้ที่ศาลสั่งว่าไม่มีสิทธิ์ได้รับเงินเยียวยาและผู้ที่ได้รับเงินเยียวยาบางส่วน สูงสุด 20,000 บาท จากเทศบาลเมืองบึงยี่โถ โดยอ้างอิงตามหลักเกณฑ์และวิธีดำเนินการช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน พ.ศ.2551


สภาพความเสียหายของสนามเทนนิสแห่งหนึ่งใน อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา ภายหลังน้ำลด (ภาพเมื่อ 28 พ.ย.)

นายชำนัญ ศิริรักษ์ ทนายความที่เชี่ยวชาญคดีด้านสิ่งแวดล้อม ผู้เคยทำคดียื่นฟ้องหน่วยงานรัฐต่อศาลปกครองมาแล้วหลายคดี เปิดเผยกับบีบีซีไทยว่า ตัวอย่างคดีข้างต้น ถือเป็น "ส่วนน้อย" ของคดีน้ำท่วมปี 2554 ที่ผู้ฟ้องได้รับเงิน

เขามองว่าคดีแรกที่ศาลสั่งกรุงเทพมหานครจ่ายค่าสินไหมทดแทนให้กับบริษัทฯ เพราะสามารถพิสูจน์ชัดได้ว่าโครงสร้างพื้นฐานที่กรุงเทพมหานครไปทำไว้ไม่สามารถรองรับน้ำได้อย่างปลอดภัย จนทำให้น้ำเข้าท่วมพื้นที่ของบริษัท จึงเข้าข่ายละเมิดอย่างชัดเจน

ส่วนคดีชาวบ้านในเขตเทศบาลเมืองบึงยี่โถ เป็นลักษณะของการฟ้องเพื่อโต้แย้งคำสั่งทางปกครอง จากกรณีที่รัฐตั้งงบประมาณมาชดเชยอยู่แล้ว เพียงแต่มองว่ากลุ่มผู้ฟ้องไม่เข้าหลักเกณฑ์ที่จะได้รับเงินเยียวยา ผู้ฟ้องจึงอุทธรณ์ให้ศาลพิจารณาเพิ่มเติม ซึ่งศาลอาจเห็นว่าหน่วยงานรัฐพิจารณาไม่ครบถ้วนรอบด้าน ก็เลยอนุญาตให้รับเงินได้

"ส่วนใหญ่ในช่วงน้ำท่วมปี 2554 จากเท่าที่ดูหลายคดีที่มีการฟ้องเข้ามา หน่วยงานรัฐให้การต่อสู้ว่าเป็นลักษณะของเหตุสุดวิสัย เป็นลักษณะที่ว่าสถานการณ์น้ำในปีนั้นมากผิดปกติจนทำให้ไม่สามารถที่จะจัดการได้ แล้วก็รัฐเองก็ต่อสู้ทำนองว่า การระบายน้ำที่จำนวนมากและรวดเร็วนี้ เป็นการลดความเสียหายต่อเขื่อนหรือระบบโดยรวมเพื่อลดความเสียหาย" ทนายความผู้นี้อธิบาย

เขายกตัวอย่างว่าในขณะนั้นมีการฟ้องคดีกับ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น รวมถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอื่น ๆ อาทิ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กรมชลประทาน กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย รวมถึงองค์การปกครองส่วนท้องถิ่นอื่น ๆ แต่ส่วนใหญ่แล้วศาลปกครองยกฟ้องในภายหลัง ซึ่งเป็นไปตาม "หลักนิรโทษ" ที่หมายถึงกรณีที่มีการกระทำให้เกิดเหตุละเมิด แต่การกระทำนั้นทำไปเพื่อปกป้องประโยชน์สาธารณะ ก็จะได้รับการยกเว้นว่า "เป็นการกระทำไปตามสมควรแก่เหตุแล้ว"

อย่างไรก็ดี เขามองว่าสภาพการณ์ของน้ำท่วมปี 2554 และน้ำท่วม อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา มีลักษณะทางธรรมชาติและการจัดการที่ต่างกัน ซึ่งกรณีนี้ผู้ประสบภัยก็สามารถใช้สิทธิช่องทางกฎหมายตาม พ.ร.บ.จัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542 มาตรา 9 ฟ้องหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐได้เช่นกัน โดยทำได้ 2 รูปแบบ คือฟ้องเรียกค่าเสียหาย และฟ้องให้ศาลมีคำสั่งให้หน่วยงานรัฐกระทำการตามอำนาจหน้าที่เพื่อป้องกันเหตุในอนาคต

"ผมว่าโมเดลมันจะไม่เหมือนปี 2554" ชำนัญกล่าว "ปี 2554 เป็นลักษณะของการจัดการภาพรวมของทั้งระบบ ทั้งประเทศ คือตั้งแต่ต้นทางปลายทางของน้ำ แต่ว่าหาดใหญ่มันมีลักษณะเฉพาะที่ดูแล้วหน่วยงานรัฐ ไม่ว่าจะเป็นระดับจังหวัดหรือว่าเทศบาลเอง รับรู้อยู่แล้วว่าลักษณะภูมิประเทศกายภาพต่าง ๆ มีลักษณะที่อาจจะเกิดผลกระทบได้ เพียงแต่ว่าในการจัดการเนี่ย เป็นการจัดการเชิงตอบโต้สถานการณ์ที่เรียกว่า ช้า หรือละเลย หรือละเว้นต่อหน้าที่หรือไม่"

ทนายความผู้นี้มองว่าการจะฟ้องเรียกค่าเสียหายจากหน่วยงานปกครอง กรณีน้ำท่วม อ.หาดใหญ่ นั้น เงื่อนไขสำคัญคือต้องพิสูจน์ให้ได้ว่าหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐ 'ละเลย' 'ล่าช้า' หรือ 'ละเว้นต่อหน้าที่' ในการป้องกันไม่ให้เกิดความเสียหายหรือไม่

การจะพิสูจน์ข้อกล่าวหาดังกล่าว ต้องไปดูกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้อง ซึ่งระบุอำนาจหน้าที่ของหน่วยงานต่าง ๆ ที่ผู้ประสบภัยต้องการจะฟ้อง ว่ามีหน้าที่รับผิดชอบตามกฎหมายอย่างไรบ้าง และมีความบกพร่องต่อหน้าที่นั้นในลักษณะที่ 'ละเลย' 'ล่าช้า' หรือ 'ละเว้น' อย่างไร

"ในการให้เจ้าหน้าที่รัฐรับผิดตามมาตรา 9 ความเชื่อมโยงตามมาตรา 9 ตาม พ.ร.บ.จัดตั้งศาลปกครองฯ มันจะต้องเกิดจากการที่เจ้าหน้าที่รัฐเหล่านั้นมีหน้าที่ก่อน พอมีอำนาจหน้าที่แล้ว เขาละเลยไม่ทำหน้าที่ หรือเขาทำหน้าที่ล่าช้าเกินควรจนก่อให้เกิดผลกระทบความเสียหาย ถ้าเข้าหลักเกณฑ์ตัวนี้ หน่วยงานรัฐเหล่านั้นจะต้องรับผิดชอบ" ชำนัญ ระบุกับบีบีซีไทย

เขาอธิบายเพิ่มเติมว่า การฟ้องคดีลักษณะนี้ ผู้เสียหายสามารถเรียกร้อง "ค่าเสียหายต่อชีวิต ทรัพย์สิน ร่างกาย สุขภาพอนามัย ทุกอย่างเลยที่เกิดจากผลกระทบดังกล่าว" แต่ศาลจะพิจารณาให้หน่วยงานชดใช้ค่าเสียหายให้เต็มจำนวนหรือไม่นั้น ศาลจะพิจารณาหลายส่วนประกอบกัน อาทิ สถานการณ์ภัยพิบัติที่เกิดจากภัยธรรมชาติที่ไม่สามารถควบคุมได้หรือไม่ หรือหน่วยงานนั้นได้ดำเนินการป้องกันไปบางส่วนแล้วแต่อาจทำได้ไม่ดีเท่าที่ควร ค่าเสียหายที่ต้องชดใช้ก็อาจลดลงมาตามสัดส่วน

โดยในกรณีที่ผู้เสียหายได้รับเงินเยียวยาจากภาครัฐแล้ว แต่ยังไม่ครอบคลุมความเสียหายจริง ทนายความผู้นี้ยืนยันว่า ผู้ประสบภัยก็ยังสามารถใช้สิทธิฟ้องเรียกค่าเสียหายเพิ่มเติมได้ แต่ศาลจะพิจารณาเงินเยียวยาที่ได้รับแล้วมาประกอบด้วย เช่น หากรับเงินไปแล้ว 2 ล้านบาท แต่ศาลพิจารณาแล้วว่าเงินเยียวยาที่รับไปไม่เพียงพอต่อความเสียหายจริงที่เกิดขึ้น ศาลก็อาจพิจารณาสั่งให้หน่วยงานจ่ายชดเชยเพิ่มเติมได้


รถยนต์หลายสิบคันที่ได้รับความเสียหายเพราะถูกน้ำพัดมากองซ้อนกันบริเวณชุมชนทุ่งเสา อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา (ภาพเมื่อ 28 พ.ย.)

ประชาชนฟ้องศาล สั่งให้หน่วยงานรัฐกระทำการบางอย่างได้

อีกกรณีที่ผู้ประสบภัยสามารถทำได้โดยใช้ช่องทางกฎหมายเดียวกัน คือการฟ้องให้ศาลปกครองสั่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง กระทำการบางสิ่งบางอย่างตามอำนาจหน้าที่ เพื่อป้องกันเหตุในอนาคต

"เช่น กฎหมายอาจจะเขียนไว้ว่าให้เขามีอำนาจหน้าที่ในการป้องกันภัยพิบัติ บริหารจัดการน้ำ บริหารจัดการพื้นที่ การใช้ประโยชน์ต่าง ๆ... แต่เขาอาจจะละเลยในการไม่จัดการตามกฎหมายเหล่านี้ ทำให้ผลความเสียหายหรือผลกระทบที่น้ำท่วมมีความเสี่ยงมากขึ้น เราใช้คำตัวนี้ได้ครับว่า 'ขอให้' เช่น ขอให้เทศบาลหาดใหญ่ดำเนินการติดตั้งระบบเตือนภัย ติดตั้งระบบสูบน้ำฉุกเฉิน ขุดลอกระบายน้ำออกสู่ทะเล หรืออะไรทำนองนี้" ทนายความผู้เคยฟ้องคดีลักษณะนี้ในกรณีที่เกี่ยวข้องกับสิ่งแวดล้อมกล่าว

เขาบอกว่ากรณีลักษณะนี้ ศาลอาจมีคำสั่งให้หน่วยงานกระทำตามคำฟ้องได้ ซึ่งหน่วยงานต้องตั้งงบประมาณทำต่อ หากเห็นว่าสิ่งที่ผู้ฟ้องร้องขอ เป็นสิ่งที่หน่วยงานนั้น ๆ ต้องทำอยู่แล้วตามกฎหมาย แต่กลับละเลยไม่ทำ

"อย่างเช่นของหาดใหญ่ อาจจะมองในเรื่องของระบบระบายน้ำ ระบบจัดทำอุโมงค์ส่งน้ำ หรืออะไรที่เพียงพอ" ชำนัญยกตัวอย่าง "สมมุติเรามองว่าสถานการณ์นี้ คุณบอกว่าภัยพิบัติ โลกมันเปลี่ยน แต่คุณจะพูดเฉย ๆ ว่าเพราะโลกมันเปลี่ยนเลยทำอะไรไม่ได้ มันไม่ได้ คุณจะต้องหาวิธี"

"เช่น สถานการณ์ตอนนี้น้ำเปลี่ยนแปลงไป งั้นถ้าค่า max (สูงสุด) ของความปลอดภัยอยู่ที่เท่าไหร่ คุณต้องสามารถรองรับเหล่านั้นได้ในการทำโครงสร้างพื้นฐาน อาจจะขอให้มีการทำโครงสร้างพื้นฐานเพิ่มเติมได้ หรือจะทำระบบเพิ่มเติม"

"หรืออย่างเช่นการตอบโต้ภัยพิบัติไม่มีระบบอย่างเพียงพอ อันนี้ก็ถือว่าเป็นการละเลยอย่างหนึ่งนะครับ ในการที่บอกว่าแจ้งให้อพยพ แต่คุณก็ไม่รู้ว่าจุดอพยพอยู่ที่ไหนอย่างไร การเสนอข้อมูล การแจ้งข้อมูลกับประชาชนไม่เพียงพอ ก็เป็นเรื่องละเลย แต่ถ้าต่อไปก็คือคุณจะต้องมีติดตั้งระบบประชาสัมพันธ์ หรืออะไรที่ให้ชุมชนรู้ เหมือนคล้าย ๆ สมัยก่อนมีป้ายเตือนสึนามิอะไรทำนองนี้ครับ ทิศทางหนีสึนามิ อย่างนี้คือมันเหมือนกับว่ามันจะต้อง advance (ก้าวหน้า) ขึ้นกว่าเดิมที่เป็นอยู่ แต่โดยใช้อำนาจว่า ถ้าไม่ทำ ก็ฟ้องศาลขอให้เขาทำอย่างนี้ครับ" ชำนัญ กล่าว

เขายังมองอีกว่า การฟ้องคดีประเภทนี้ ที่จริงยังสามารถใช้กับ "คดีโลกร้อน" ซึ่งในต่างประเทศก็เคยมีบางประเทศ เช่น เนเธอร์แลนด์ ฟ้องให้รัฐออกข้อกำหนดมาตรการในการลดก๊าซเรือนกระจกมาแล้ว ขณะที่ในไทยยังไม่เคยพบคดีลักษณะนี้ ซึ่งเขามองว่าที่จริงก็สามารถใช้ช่องกฎหมายเดียวกันดำเนินการได้

"ถ้าทุกคนพูดว่ามันโลกร้อน สถานการณ์เหล่านี้มันทำให้เกิดภัยพิบัติแรงขึ้น มันอาจจะต้องมีการฟ้องให้รัฐกำหนดนโยบายในเชิงการลดโลกร้อนยังไงบ้าง เพื่อลดผลกระทบเหล่านี้ลง โดยให้กำหนดเชิง policy (นโยบาย) นะครับ ไม่ได้เรียกค่าเสียหาย แต่ว่าเป็นคดีฟ้องให้รัฐกระทำการอย่างนี้ ก็ยังมีประเด็นที่น่าสนใจเหมือนในต่างประเทศเคยมีคดีประเภทนี้ฟ้องอยู่ครับ"

"ลักษณะของตัวที่เนเธอร์แลนด์ฟ้อง คือเป็นการฟ้องให้รัฐออกข้อกำหนดมาตรการในการลดก๊าซเรือนกระจก เพื่อช่วยลดโลกร้อน เพราะว่ารัฐเขาอาจจะไม่ยอมอนุมัติกฎหมายตัวเองเข้ากับกฎหมายระหว่างประเทศ ทำให้ประชาชนในพื้นที่ประเทศเขาฟ้องให้รัฐมีนโยบายด้านนี้"

"ของเรานี่ถามว่าเราก็ยังไม่มีนโยบายที่ชัดเจนเท่าไหร่กับเรื่องพวกนี้นะครับ เพียงแต่ว่ามันเป็นการอ้างอิงถึงผลกระทบของประชาคมโลก ของภาพรวมว่าคนไทยเราอยู่ภาวะที่เราเจออุณหภูมิต่อปีที่สูงขึ้น หรือเราเจอภาวะโลกแปรปรวนอย่างนี้ สิ่งเหล่านี้มันจะเป็นตัวบอกได้ว่ารัฐควรจะจริงจังกับปัญหาเหล่านี้หรือยัง และสิ่งที่รัฐไม่ทำเนี่ยควรทำได้แล้ว ซึ่งมันก็เหมือนกับเราฟ้องเพื่อให้หน่วยงานออกข้อกำหนดหรือออกมาตรการบางอย่างเพื่อลดปัญหาโลกร้อน ทำนองนี้ครับ" เขากล่าวทิ้งท้าย

https://www.bbc.com/thai/articles/ceq19l37pq3o




ทำไมการเมืองแบบบ้านใหญ่ คืออุปสรรคและไม่สามารถพาประเทศฝ่าคลื่นลมไปข้างหน้าได้อีกต่อไป


Puangthong Pawakapan 
14 hours ago
·
จากมิตรสหายท่านหนึ่ง:
ขีดจำกัดของการเมืองแบบบ้านใหญ่
————-
เก่งในการเมืองแบบอุปถัมภ์ > การเมืองนโยบาย
มีมุมมองระดับจังหวัด (หรืออย่างมากคือระดับภูมิภาค) > วิสัยทัศน์ระดับชาติ
เชี่ยวชาญในการเล่นการเมืองแบบต่อรอง สร้างเครือข่าย แจกจ่ายตำแหน่งและผลประโยชน์ตอบแทน > การเมืองที่เน้นการผลักดันชุดนโยบายเพื่อการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้าง
ผูกติดกับเครือข่ายบุคลากรในครอบครัว-พันธมิตร-กลุ่มการเมืองในแวดวงอุปถัมภ์ > วางระบบบริหารจัดการที่ใช้ทรัพยากรบุคคลจากหลายหลายภาคส่วน
การเมืองแบบบ้านใหญ่ไม่สามารถรับมือกับปัญหาและนำพาประเทศยามวิกฤตได้ ไม่ว่าจะเป็นวิกฤตเศรษฐกิจ, สุขภาพ, ภัยธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
พรรคการเมืองแบบบ้านใหญ่อุปถัมภ์ คือ ผลผลิตตกค้างของการเมืองไทยยุคประชาธิปไตยครึ่งใบ และถูกชุบชีวิตด้วยการรัฐประหาร 2534, 2549, 2557 เมื่อทหารต้องการทำลายระบบพรรคการเมือง และสืบทอดอำนาจต่อผ่านการเลือกตั้ง จึงต้องดึงนักการเมืองบ้านใหญ่มาเป็นพวก
… มาถึงปัจจุบันที่สังคมไทยและบริบททางเศรษฐกิจ/สิ่งแวดล้อม/การเมืองระดับโลกเปลี่ยนไปอย่างมหาศาล การเมืองแบบบ้านใหญ่ คืออุปสรรคและไม่สามารถพาประเทศฝ่าคลื่นลมไปข้างหน้าได้อีกต่อไป

https://www.facebook.com/puangthong.r.pawakapan/posts/25571160702508014
.....

We Watch 
July 11, 2024
·

“การเมืองบ้านใหญ่” คืออะไร เริ่มตั้งแต่ตอนไหน ผันเปลี่ยนไปอย่างไร
.
“การเมืองบ้านใหญ่” กลับมาเป็นประเด็นสำคัญในการศึกษาการเมืองไทยหลังจากระเบียบการเมืองของคณะรัฐประหาร 2557 เริ่มคลายตัวหลังจากปกครองประเทศมากว่าหนึ่งทศวรรษ
โดยเปิดทางให้มีการเลือกตั้งมากขึ้น แม้ว่าจะยังไม่เต็มรูปแบบ เนื่องจากกลไกของคณะรัฐประหารยังทำงานอย่างแข็งขันในสถาบันการปกครอง
.
“การเมืองบ้านใหญ่” เป็นศัพท์แสงในทางรัฐศาสตร์ที่เกิดขึ้นจากข้อค้นพบภาคสนามของนักวิชาการที่ลงไปศึกษาความสัมพันธ์ทางการเมืองในระดับท้องถิ่น ซึ่งมีความสอดคล้องกับคำว่า “ตระกูลการเมือง” (political dynasty) ทว่าหากเราแปลคำอย่างทื่อ ๆ จะทำให้เน้นความหมายไปที่การสืบทอดผ่านสายเลือดหรือเครือญาติเท่านั้น
และอาจจะทำให้เกิดความเข้าใจผิดเกี่ยวกับเนื้อหาสาระสำคัญของคำว่าตระกูลการเมืองหรือ "การเมืองบ้านใหญ่" เพราะจำเป็นต้องมองเห็นเครือข่ายอุปถัมภ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเลื่อนชั้นทางอำนาจภายใต้สังกัดใคร ตรงนี้คือกุญแจสำคัญ
.
"ความเป็นมาของการเมืองแบบบ้านใหญ่" อาจจะแบ่งได้ 3 ประการ ดังนี้
ประการที่หนึ่ง การเมืองแบบบ้านใหญ่ เกิดขึ้นมาในบริบททางการเมืองแบบประชาธิปไตยรัฐสภา ที่การเลือกตั้งกลายเป็นวิธีการขึ้นสู่อำนาจหลักโดยไม่ต้องพึ่งพิงระบบราชการโดยตรง
กรณีของไทยการเมืองแบบบ้านใหญ่เพิ่งปรากฏเด่นชัดในครึ่งหลังของทศวรรษ 2510 หรือหลังเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 และแพร่ขยายมากขึ้น ในทศวรรษที่ 2520 หรืออาจะเรียกว่ายุคประชาธิปไตยครึ่งใบ ซึ่งมีการเลือกตั้งต่อเนื่อง
ทว่าเป็นการแบ่งสรรอำนาจระหว่างกองทัพกับนักการเมืองภูธร ในช่วงเวลาเราจะเห็นการค่อย ๆ เติบโตขึ้นมาของตระกูลการเมืองดัง เช่น “ศิลปอาชา” “อดิเรกสาร” “อังกินันทน์” “อัศวเหม” “ชิดชอบ” “เทียนทอง” ฯลฯ
.
ประการที่สอง บริบททางเศรษฐกิจ การเมืองแบบบ้านใหญ่ เติบโตขึ้นมาด้วยการอิงกับระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยม และยิ่งเฟื่องฟูมากยิ่งขึ้นในระบบเศรษฐกิจที่มีความเหลื่อมล้ำสูง เช่น ไทย
อันเนื่องมาจากอำนาจอิทธิพลในต่างจังหวัดสามารถช่วยในการจัดสรรทรัพยากรจากส่วนกลางสู่ท้องถิ่น เพราะระบบราชการไม่สามารถเอื้อมเข้าไปถึงหรือมีช่องโหว่บางจุด
การสะสมทุนทางเศรษฐกิจของนักการเมืองบ้านใหญ่จึงสัมพันธ์กับสินค้าและบริการในระดับจังหวัด เช่น การสัมปทานป่าไม้ ผลประโยชน์ตามเขตชายแดน สัมปทานขนส่งสาธารณะ สัมปทานเหมือนแร่ โร่โม่หิน เป็นต้น
.
ประการที่สาม การเมืองแบบบ้านใหญ่ไม่ได้ดำรงอยู่อย่างโดดเดี่ยว หากแต่สัมพันธ์กันในรูปแบบอุปถัมภ์เชิงเครือข่าย กล่าวคืออำนาจทางการเมืองเป็นทั้งที่มาของการเข้าถึงทรัพยากรและอำนาจในการจัดสรรทรัพยากรท้องถิ่น
ขณะเดียวกันก็เป็นผลของการเข้าถึงอำนาจนั้น หนึ่งในนั้นคือตำแหน่งทางการเมืองในรัฐบาลจะมีส่วนสำคัญในการวางเครือข่ายของตน โดยเฉพาะอย่างยิ่งข้าราชการในระดับจังหวัด ตั้งแต่ นายอำเภอ ผู้ว่าราชการจังหวัด นายทหาร ผู้การตำรวจ ผู้อำนวยการรัฐวิสาหกิจน้ำ-ไฟ โทรศัพท์ ฯลฯ
การผูกโยงเป็นเครือข่ายอุปถัมภ์เช่นนี้ ช่วยให้เข้าใจความสัมพันธ์ของการเมืองบ้านใหญ่ที่พ้นไปจากการมองผ่านความสัมพันธ์ทางสายเลือด
.
จากการศึกษาของประจักษ์ ก้องกีรติ ในงานเรื่อง Evolving power of provincial political families in Thailand: Dynastic power, party machine and ideological politics ซึ่งตีพิมพ์รวมกันในหนังสือรวมบทความว่าด้วยตระกูลการเมืองของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
พบว่าตระกูลการเมืองในกรณีของไทย ที่เรียกว่า "บ้านใหญ่" มีระยะเวลาที่ไม่นานนัก และไม่ใช่ว่าทุกตระกูลการเมืองจะประสบความสำเร็จในการสืบทอดอำนาจ
.
ขณะเดียวกัน ตระกูลการเมืองของไทยก็ไม่ได้มีใบหน้าแบบตระกูลการเมืองในอีตาลีหรือสหรัฐ หรือแบบในภาพยนต์เจ้าพ่อทั่วไป หากแต่สัมพันธ์กันในระดับท้องถิ่น และให้คุณให้โทษในเชิงต่างตอบแทนซึ่งกันและกัน
ประจักษ์เสนอว่า นับตั้งแต่การเลือกตั้ง พ.ศ. 2522 มีการเพิ่มขึ้นของจำนวนชนชั้นนำท้องถิ่น ในการเมืองระดับชาติ อำนาจและความมั่งคั่งขึ้นอยู่กับความสำเร็จของหัวหน้าบ้านใหญ่ (family head)
.
แต่ประจักษ์ก็เตือนว่ามีความเข้าใจผิดอย่างน้อยสองประการ ในกรณีนี้คือ อย่างแรก ไม่ใช่เจ้าพ่อทุกคนจะผูกขาดทรัพยากรทางเศรษฐกิจและการเมืองของจังหวัด และอย่างที่สอง อำนาจของบ้านใหญ่ไม่สถิต หากแต่เปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา
หากเรานำข้อคิดของประจักษ์ มาพิจารณาปัจจุบันเราก็จะพบว่า หลายตระกูลการเมืองในอดีต ก็มิได้มีตำแหน่งทางการเมืองในปัจจุบัน แต่อาจจะหลงเหลืออำนาจอยู่บ้างและหลายตระกูลที่ขึ้นมามีอำนาจในปัจจุบันบางตระกูลก็เพิ่งสถาปนาตนขึ้นได้ไม่นาน บางตระกูลก็หายไปจากหน้าการเมืองและกลับมาได้ และมีจำนวนมากหายไปอย่างเงียบเชียบ
.
"บ้านใหญ่" ที่ประสบความสำเร็จ มักจะมาจากความสามารถและปฏิภาณในการจัดสรรทรัพยากรทั้งการเงิน การเมือง ไปจนถึงการบังคับให้คู่แข่งในระดับท้องถิ่นอ่อนแอหรือแม้กระทั่งเลือกใช้ความรุนแรงเป็นวิธีแก้ปัญหา
ปรากฏการณ์นี้เกิดขึ้นอย่างมากในทศวรรษ 2520-2530 ซึ่งรุนแรงที่สุดในช่วงเปลี่ยนผ่านอำนาจใหญ่ของไทยตรงจุดเชื่อมต่อของรัฐธรรมนูญ 2540 และลดลงอย่างชัดเจนหลังการกระจายอำนาจต่อเนื่องในทศวรรษ 2540
และลดน้อยลงยิ่งขึ้นหลังรัฐประหาร 2549 เนื่องจาก "บ้านใหญ่" ถูกทำให้เชื่องและอ่อนแอลง อีกด้านหนึ่งคือการเติบโตของชุดนโยบายและอุดมการณ์ทางการเมืองมีส่วนสำคัญในการตัดสินใจทางการเมืองของผู้มีสิทธิเลือกตั้ง
.
ถึงตรงนี้เราคงจะเห็นการเมืองบ้านใหญ่จาก 2 มิติ มิติแรก อ่อนแอเพราะถูกผนวกรวมเข้ามาอยู่ใต้ชนชั้นนำระดับชาติ อีกมิติ อ่อนแรงลงเพราะการแข่งขันทางนโยบายที่สูงขึ้น
จากข้อมูลของประจักษ์ (ข้อมูลปี 2016) แสดงให้เห็นว่า บ้านใหญ่หลายจังหวัดเผชิญกับปัญหาการสืบทอดอำนาจ หลายตระกูลที่มีชื่อเสียงเสื่อมถอย ผู้นำครอบครัวถูกจับกุมและดำเนินคดี บางคนเสียชีวิตตามธรรมชาติ และอีกหลายแห่งล้มเหลวในการปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไป
น่าติดตามต่อไปว่า มรดกกลไกของคณะรัฐประหารที่กำลังเปลี่ยนผ่านอีกรุ่น จะเปิดทางให้การเมืองแบบบ้านใหญ่กลับมามีอิทธิพลชี้นำการเมืองไทยแบบที่คณะรัฐประหารยุคทศวรรษ 2520 ผ่องถ่ายอำนาจให้นักการเมืองภูธรในช่วงเวลานั้นได้เติบโตหรือไม่
.
อ้างอิง
Prank Kongkirati, Evolving power of provincial political families in Thailand. South East Asia Research, Vol. 24, No. 3, Special issue: Political families in Southeast Asia (September 2016), pp. 386-406
#บ้านใหญ่ #WeWatch #สว67

https://www.facebook.com/weareonwatch/posts/86866279862926



มาดูการทำงานของรัฐบาลมืออาชีพ (มาเลเซีย) จัดการงานรับมือภัยพิบัติอย่างเป็นระบบ ต่างจากบ้านเรา ทำงานเหมือนกับ "รัฐบาลสมัครเล่น"


Rosenun Chesof
18 hours ago
·
1) ฉันใช้ชีวิตในมาเลเซียมาหลายปีแล้ว และแทบทุกปีฉันก็เห็นรายงานสรุปสถานการณ์น้ำท่วมแบบนี้ ละเอียด เป็นระบบ และตัวเลขก็ชัดเจนจนคนทั่วไปสามารถประเมินสถานการณ์ได้ทันที ไม่ต้องคาดเดากันเองเหมือนบางประเทศ

2) ปีนี้ก็ไม่ต่างจากทุกปี 9 รัฐในมาเลเซียโดนน้ำท่วมพร้อมกับช่วงที่เกิดในบ้านเรา แต่ตัวเลขผู้เสียชีวิตทั้งประเทศมีเพียง 2 คนในรัฐกลันตัน

3) ผู้ได้รับผลกระทบรวมกว่าสามหมื่นคน แต่ทุกอย่างยัง “อยู่ในระบบการจัดการได้”
รัฐตรังกานูหนักที่สุด เปิดศูนย์พักพิง 123 แห่ง รองรับผู้ประสบภัยกว่าหมื่นคน

จากตารางรายงานตัวเลขแยกเป็นรายรัฐ ชัดเจนเป็นขั้นตอนสะท้อนว่า
• การคาดการณ์ล่วงหน้าและแจ้งเตือนได้จริง
• ระบบอพยพชัดเจน
• ศูนย์พักพิงเตรียมพร้อม
• ทุกหน่วยงานทำงานประสานกันเป็นระบบ

ทุกปีเขาทำแบบนี้ และมัน “ได้ผลจริง” ช่วยรักษาชีวิตผู้คนได้

นี่แหละคือสิ่งที่เรียกว่า พร้อมก่อนเกิดเหตุ ไม่ใช่ เพิ่งเริ่มขยับตอนชาวบ้านจมน้ำแล้ว

4) ฉันไม่ได้บอกว่ามาเลเซียเพอร์เฟกต์ เขาก็มีปัญหา แต่สิ่งหนึ่งที่เห็นชัดคือ ระบบมันทำงาน ข้อมูลออกเร็ว ศูนย์พักพิงพร้อม การอพยพมีขั้นตอน เจ้าหน้าที่ไม่ต้องรอว่า “ตอนนี้ต้องฟังคำสั่งใคร” ทุกหน่วยรู้บทบาทของตัวเอง และทำงานทันที

5) ตัดภาพไปที่บ้านเรา…
น้ำท่วมทีไร คนไทยต้องจมอยู่กับ “ความเคยชินที่น่าเศร้า” มากกว่าความหวัง

และที่น่าบั่นทอนที่สุดคือ
รัฐบาลไทยตอนนี้ทำงานห่วยแตกอย่างน่าใจหาย
ไร้ประสิทธิภาพ ไร้ระบบ และไร้ความเข้าใจเรื่องภัยพิบัติในระดับโครงสร้าง
เวลาประชาชนเดือดร้อน ก็พูดสวย ๆ อ้างโน่นนี่ พ่นคำปลอบใจ เบลมเหยื่อซึ่งเป็นประชาชนที่กำลังเดือดร้อนมากกว่าจะโทษตัวเอง
แต่ไม่เคยเห็นการเตรียมพร้อมหรือแผนบริหารความเสี่ยงที่จริงจังได้ผล

6) ทุกปีมาเลเซียพิสูจน์ให้เห็นว่า
“การจัดการน้ำท่วมอย่างเป็นระบบ มันทำได้จริง”

แต่ทุกปีไทยก็พิสูจน์ซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่า
ถ้าไม่มีรัฐบาลที่มีสมองและมีระบบ ภัยพิบัติเล็กแค่ไหนก็กลายเป็นโศกนาฏกรรมได้เสมอ

7) ฉันไม่ได้หวังให้ไทยต้องเหมือนมาเลเซียทุกอย่าง เพราะบริบทต่างกัน
แต่หวังแค่ว่ารัฐบาล “ทำงานแบบรัฐบาล” บ้าง
ไม่ใช่ปล่อยให้ประชาชนต้องรอดด้วยการลุ้นกันเอง ตั้งวอร์รูมช่วยเหลือกันเองและจิตอาสาจากทั่วประเทศระดมกันมาช่วย ทุกครั้งที่น้ำท่วม

บอกตรงๆ ว่าเหนื่อยกับความห่วยแตกที่วนลูปไม่รู้จบจริง ๆ ค่ะ
 
https://www.facebook.com/photo/?fbid=10235769586893514&set=a.10200951488182807
...

Poomjit Moui Sirawongprasert
เรียนรู้ว่ามาเลเซียมีการรับมือภัยพิบัติดีพอสมควรเมื่อสิบกว่าปีก่อน ตอนที่มี haze หนักๆ เพราะควันไฟลอยมาจากอินโดนีเซีย แล้วแต่ละรัฐมีการประกาศ มีการจัดการแตกต่างกัน ขนาดว่าสมัยนั้น internet penetration ไม่สูงแบบทุกวันนี้ แต่คนติดตามได้จากโทรทัศน์และวิทยุ จำได้แม่นยำว่ามาเลเซียมีการจัดการเป็นระบบกว่าไทย และเวลาผ่านไป ไทยยังเหมือนเดิม ปล่อยประชาชนอยู่ไปตามยถากรรม

Kan Kundee
ต้องยอมรับ ครับ มาเลเซีย รัฐบาลมืออาชีพ บ้านเราเป็นรัฐบาลสมัครเล่น เล่นไปวันๆให้ค่ำแล้วมาเล่นกันต่อตอนดวงอาทิตย์ขึ้น อาจใช้คำพูดไม่เหมาะ ขออภัยด้วย เครียดแทนพี่น้องภาคใต้ ที่หนักคือหาดใหญ่ มีพี่น้องเสียชีวิตเยอะมากๆ รอสรุปอาจจะมากกว่าสึนามิ บ้านผม


พิรุธเรื่องตัวเลขผู้เสียชีวิต ? วันเดียวกัน รัฐบาลเดียวกัน ตัวเลขยังไม่ตรงกันเลย


Pravit Rojanaphruk 
8 hours ago
·
(English below)
วันเดียวกัน รัฐบาลเดียวกัน ตัวเลขยังไม่ตรงกันเลย อย่าแปลกใจหากประชาชนรู้สึกว่ามีพิรุธเรื่องตัวเลขผู้เสียชีวิต ป่านนี้กระทรวงสาธารณสุขยังไม่ชี้แจงเลยว่า เมื่อวาน ทำไมจู่ๆถึงลบโพสต์ที่บอกว่าจัดถุงใส่ศพ 400 ถุง กับอีก 1,500 ใบ ที่เอกชนบริจาค ไปที่หาดใหญ่ >>แล้วจะไม่ให้ประชาชน รวมถึงบิ๊กโจ๊ก สงสัยได้อย่างไร?
#ป #น้ำท่วม #น้ำท่วมหาดใหญ่ #อนุทิน
On the same day, under the same government—no one should be surprised that people feel something is suspicious about the death toll. Up until now, the Ministry of Public Health has still not explained why yesterday they suddenly deleted the post stating that 400 body bags had been allocated, along with another 1,500 donated by the private sector, for Hat Yai Hospital.
> > So how can the public—including the former Deputy Police Chief (Big Joke) —not be suspicious?
#Thailand #HatYaiFlood #Anutin

https://www.facebook.com/pravit.rojanaphruk.5/posts/4406955809532236



#ศพนับร้อยจากน้ำท่วมหาดใหญ่ รองประธานคณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดปัตตานี และผู้ทรงคุณวุฒิจุฬาราชมนตรี ออกแถลงการณ์เป็นคลิปเสียง - ข้อมูลข้างต้นนี้ ถอดเสียงและแปลเป็นภาษาไทยจากภาษามลายูถิ่นปาตานีโดย รอกิต อุเซ็ง

https://www.facebook.com/Fatany.Darussalam/posts/26255563987378825

Rokit U-seng 
17 hours ago
·
#ศพนับร้อยจากน้ำท่วมหาดใหญ่
.
รองประธานคณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดปัตตานี และผู้ทรงคุณวุฒิจุฬาราชมนตรี ออกแถลงการณ์เป็นคลิปเสียง
.
เรื่องการจัดการศพมุสลิมจากเหตุน้ำท่วมใหญ่ที่ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา ระหว่างวันที่ 22-26 พ.ย. 2568 ซึ่งมีใจความสำคัญดังนี้
.
1. จำนวนศพที่เก็บกู้ได้ล่าสุดคือ 400 กว่าร่าง เป็นผู้มิใช่มุสลิม 300 กว่าร่าง และเป็นมุสลิม 100 กว่าร่าง
.
2. ในจำนวนศพ 100 กว่าร่างนั้น เป็นคนจาก 3 จชต. (ปัตตานี ยะลา นราธิวาส) จำนวน 30-50 กว่าร่าง
.
3. จำนวนศพที่แท้จริงอาจมีมากกว่านี้อีก
4. ในเบื้องต้น ศพมุสลิมเหล่านั้นจะถูกนำไปรวมที่มัสยิดของอดีตท่านจุฬาราชมนตรี อาซีซ พิทักษ์คุมพล และจะติดต่อญาติผู้ตายมารับศพ และหากติดต่อไม่ได้ หรือระบุตัวตนไม่ได้ เนื่องจากศพบางร่างเริ่มเปื่อย ก็จะนำไปฝังที่นั่นเลย
.
5. เนื่องจากศพถูกแช่น้ำนาน จนร่างเปื่อย ส่งกลิ่น ดังนั้น การจัดการศพจึงอาจต้องใช้มาตรฐานเดียวกับการจัดการศพช่วงโควิดตามคำแนะนำของหมอ
.
انا لله وانا اليه راجعون اللهم اغفر لهم وارحمهم وعافهم واعف عنهم واكرم نزلهم ووسع مدخلهم واغسلهم بالماء والثلج والبرد ونقهم من الذنوب والخطايا كما ينقى الثوب الأبيض من الدنس آمين يا رب العالمين .
.
ข้อมูลข้างต้นนี้ ถอดเสียงและแปลเป็นภาษาไทยจากภาษามลายูถิ่นปาตานีโดยผม (รอกิต อุเซ็ง)

Rokit U-seng
#เพิ่มเติม
6. ศพมุสลิม ส่วนใหญ่เสียชีวิตในเขตชุมชนมุสลิมเองในหาดใหญ่
7. คลิปเสียงดังกล่าว ถูกแพร่โดยส่งต่อๆ กันในแชทเมสเซนเจอร์ ซึ่งผมเพิ่งได้เห็นและฟังคลิปเสียงดังกล่าวจากแชทกลุ่มหนึ่งที่เขาแชร์มา เมื่อเช้าวันเสาร์ที่ 29 พฤศจิกายน 2568 แต่ไม่ทราบว่า คลิปนี้ถูกปล่อยครั้งแรกเมื่อใด และพูดเมื่อใด
.....




สื่อต่างชาติ เกาะติดน้ำท่วมในภาคใต้ ตั้งคำถามการจัดการของรัฐบาล






 


⭕“เอกชัย หงส์กังวาน” เล่าถึงการถูกผู้ต้องขังรายอื่นกล่าวคุกคาม ขณะหนังสือขอส่งตัวตรวจติดตามฝีในตับ ผบ.อนุมัติแล้ว


ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน
November 27
·
“เอกชัย หงส์กังวาน” เล่าถึงการถูกผู้ต้องขังรายอื่นกล่าวคุกคาม ขณะหนังสือขอส่งตัวตรวจติดตามฝีในตับ ผบ.อนุมัติแล้ว
.
.
เป็นเวลากว่า 2 เดือนแล้วที่ “เอกชัย หงส์กังวาน” นักกิจกรรมและผู้ต้องขังทางการเมืองวัย 50 ปี ที่เรือนจำกลางคลองเปรม รอการตรวจติดตามผลฝีในตับด้วย CT-Scan หลังจากเคยเข้ารับการผ่าตัดระบายหนองไปแล้วครั้งหนึ่ง แต่คำร้องที่ยื่นขอส่งตัวตรวจ หลังจากเอกสารสูญหายก่อนหน้านี้ และต้องยื่นไปใหม่ ก็ทราบว่าได้รับการอนุมัติจาก ผบ.เรือนจำ แล้ว
.
ขณะที่ปัญหาสุขภาพยังไม่คลี่คลาย เอกชัยกลับต้องเผชิญความเสี่ยงใหม่ที่คาดไม่ถึง หลังถูกย้ายแดนอย่างกะทันหันเมื่อต้นเดือนพฤศจิกายน เขาถูกคุกคามจากผู้ต้องขังรายหนึ่งที่อ้างตัวเคยเป็นทหารยิงปราบปรามผู้ชุมนุมเสื้อแดงในปี 2553 และตั้งใจพูดถึงการ ‘ฆ่าคนโดยไม่ผิดกฎหมาย’ ให้เขาได้ยิน ก่อนที่เจ้าหน้าที่เรือนจำจะย้ายผู้ต้องขังรายนั้นไปแดนอื่น เพื่อป้องกันปัญหาต่อไป

.
หนังสือขอส่งตัวรักษา ‘สูญหาย’ ในระบบ
.
ย้อนไปเมื่อวันที่ 28 ต.ค. 2568 เอกชัยได้รับทราบว่าทนายความยื่นหนังสือขอถึงทั้งโรงพยาบาลราชทัณฑ์และเรือนจำกลางคลองเปรม เพื่อขอให้ส่งตัวเขาไปรับการตรวจรักษา ในวันเดียวกัน เอกชัยเล่าถึงความยากลำบากในการเข้าถึงแพทย์ในเรือนจำแห่งนี้ ที่ต้องใช้เวลารอนานถึง 2-3 สัปดาห์ รวมถึงปัญหาสุขภาพอื่น ๆ ที่เขากำลังเผชิญอยู่
.
กระทั่งวันที่ 7 พ.ย. 2568 เมื่อไปติดตามเรื่องหนังสือที่งานธุรการเรือนจำ เจ้าหน้าที่แจ้งว่าหนังสือดังกล่าวอยู่ระหว่างการเสนอให้ผู้บัญชาการลงนาม และได้อธิบายขั้นตอนต่อไปว่าเมื่อได้หนังสือกลับมาแล้ว จะส่งเรื่องไปที่โรงพยาบาลราชทัณฑ์เพื่อพิจารณาต่อไป
.
อย่างไรก็ตาม เมื่อวันที่ 11 พ.ย. 2568 เมื่อกลับไปติดตามความคืบหน้าของหนังสือดังกล่าวอีกครั้ง สถานการณ์กลับมีความสับสน เจ้าหน้าที่งานธุรการไม่สามารถหารายการหนังสือได้ ทนายจึงได้ขอเข้าเยี่ยมเอกชัยก่อนแล้วจะกลับมาติดตามอีกรอบ เมื่อเยี่ยมเสร็จ เจ้าหน้าที่แจ้งอีกครั้งว่าถ้าเจอหนังสือแล้วจะติดต่อกลับมา โดยคิดว่าหนังสือน่าจะอยู่ที่ห้องผู้บัญชาการ
.
ขณะที่กำลังจะออกไป พบเจอเจ้าหน้าที่อีกคนพากลับเข้าไปในห้องธุรการอีกรอบเพื่อเช็ครายชื่อ ปรากฏพบเพียงหนังสือของ “ฟรานซิส บุญเกื้อหนุน” อีกหนึ่งผู้ต้องขังในคดีเดียวกันเท่านั้น เจ้าหน้าที่จึงแจ้งว่าขอให้ส่งหนังสือมาใหม่อีกครั้ง
.
ต่อมาเมื่อวันที่ 14 พ.ย. 2568 ได้ขึ้นไปตามเอกสารที่ห้องธุรการอีกรอบหนึ่ง เจ้าหน้าที่บอกว่าแฟ้มที่ออกมาจากห้องผู้บัญชาการก็ไม่มีเอกสารดังกล่าว ทนายจึงทำหนังสือส่งเข้าไปใหม่อีกครั้งหนึ่ง
.
ในช่วงปลายเดือน ทราบว่าหนังสือที่ส่งถึงทาง ผบ.เรือนจำ ได้รับการอนุมัติแล้ว พร้อมส่งให้สถานพยาบาลดำเนินการต่อไป
.
นอกจากน้้นในเดือนนี้ เอกชัยยังมีอาการป่วย มีอาการไอค่อนข้างมาก จนค่อย ๆ ดีขึ้นเองในช่วงปลายเดือน และเขายังอยากสื่อสารในเรื่องปัญหาไฟดับบ่อยในเรือนจำ แต่ละครั้งก็ดับนานมาก เช่น ดับตั้งแต่เช้าถึงเย็น และดับแบบนี้หนึ่งเดือนประมาณสามรอบ ตอนเขาอยู่พิเศษกรุงเทพฯ ยังไม่ดับบ่อยขนาดนั้น ซึ่งก็ไม่เคยทราบว่าทำไมไฟถึงดับ การไฟดับยังก่อให้เกิดปัญหา เช่น การอาบน้ำของผู้ต้องขัง ที่ต้องใช้น้ำจากเครื่องปั้มน้ำ เมื่อไฟดับก็ไม่ทำงาน

.
ไทม์ไลน์ 6 วันใต้เงาคุกคาม ของผู้อ้างว่า ‘ฆ่าคนไม่ผิดกฎหมาย’

ทั้งนี้ในเดือนนี้ นอกจากติดตามเรื่องส่งหนังสือ ยังมีการติดตามข้อเท็จจริงที่ทราบว่าเอกชัยถูกผู้ต้องขังในเรือนจำกล่าววาจาคุกคาม โดยเป็นเหตุการณ์ช่วงตั้งแต่วันที่ 6-11 พ.ย. 2568

วันที่ 6 พ.ย. 2568
.
เป็นวันที่ผู้ต้องขังในคดีมาตรา 110 ทั้งห้าคน ถูกย้ายแยกแดนจากกัน จากเดิมอยู่ในแดน 6 ทั้งหมด มีเพียง ฟรานซิส บุญเกื้อหนุน ที่ยังอยู่ในแดนเดิม ส่วนเอกชัยถูกย้ายไปแดน 3

การประกาศเรียกชื่อเกิดขึ้นเวลาประมาณ 11.00 น. และได้ย้ายจริงช่วงเที่ยงถึงบ่ายโมง พอมาถึงแดน 3 เจ้าหน้าที่ให้นั่งรอในโรงเลี้ยง จนช่วงเวลาประมาณบ่ายโมงกว่า ๆ ขณะที่ผู้ต้องขังกำลังนั่งรอขึ้นห้องกัน เขาได้พบ “เมธี อมรวุฒิกุล” อดีตดาราคนเสื้อแดง ซึ่งถูกคุมขังอยู่ในแดน 3 อยู่แล้ว จึงได้ยกมือทักทายกัน แต่เป็นใกล้เวลาขึ้นเรือนนอนแล้ว จึงได้คุยกันนิดเดียว แต่ในวันหลังจากนั้นได้ตั้งกินข้าวโต๊ะเดียวกัน

ทั้งนี้บริเวณนั้นมีคนที่ถูกย้ายมาจากแดน 6 ประมาณ 43 คน และคนที่อยู่แดนสามอยู่แล้วราว ๆ 100 กว่าคน

.
วันที่ 8 พ.ย. 2568

เอกชัยลงมากินข้าวโต๊ะเดิม แต่วันเสาร์เป็นเวลาที่เมธีไปซ้อมมวย เอกชัยจึงนั่งเล่นคนเดียว เมื่อโต๊ะว่าง มีผู้ต้องขังรายหนึ่ง สอนดูดวงโหราศาสตร์แบบไทย โดยเปิดสอนวันเสาร์อาทิตย์ มีคนมาเรียน 2-3 คน มานั่งข้างเอกชัย และเขาก็สอนของเขาไป พอสอนเสร็จก็ออกไป
.
วันที่ 9 พ.ย. 2568

วันนี้เมธีไปซ้อมมวยเวลา 9.00-12.00 น. จนเวลาประมาณ 10.00 น. ผู้ต้องขังที่สอนดูดวงดังกล่าวได้มานั่งที่โต๊ะเดิมที่เอกชัยนั่งอยู่ ในวันนี้นั่งเยื้องกับเอกชัย เริ่มสอนเพื่อนผู้ต้องขัง 1-2 คน

จากนั้นได้พูดกับเพื่อนโดยตั้งใจให้เอกชัยได้ยิน ทำนองว่า “กูเป็นทหารสังกัดกองพัน 33 เมื่อปี 53 เคยยิงเข้าไปในวัดปทุมฯ กูไม่รู้ว่าในนั้นเป็นเขตอภัยทานหรือเปล่า นายกูสั่งให้ยิงก็ยิง กูไม่กลัวหรอก ประกาศภาวะฉุกเฉินยังไงกูก็ไม่ผิด ที่กูเลือกเป็นทหาร เพราะจะได้ฆ่าคนโดยไม่ผิดกฎหมาย”

เอกชัยไม่ได้ตอบโต้อะไรนั่งเฉย ๆ จนเวลาประมาณ 11.00 น. มีคนมากินข้าวเหมือนเดิม เมื่อถึงเวลาเที่ยงเมธีกลับมา เอกชัยจึงเล่าให้ฟัง เมธีบอกว่าผู้ต้องขังคนนั้นไม่ใช่ทหารจริง แต่ขี้โม้ เอกชัยบอกว่าตอนแรกก็คิดจะปล่อยผ่าน คิดว่าพูดลอย ๆ
.
วันที่ 10 พ.ย. 2568

เมื่อเอกชัยเจอเมธีในเช้านี้ เมธีบอกให้แจ้งเจ้าหน้าที่ในเรื่องดังกล่าว ต่อมาเจ้าหน้าที่รับทราบเรื่อง แต่เห็นว่าว่าไม่มีหลักฐาน และฝ่ายนั้นก็ไม่ได้พูดใส่เอกชัยโดยตรง จึงยังทำอะไรไม่ได้

.
วันที่ 11 พ.ย. 2568

ตอนเช้าปกติมานั่งกินข้าวกัน เมธีได้เล่าเรื่องที่ภรรยาอาจถูกคุกคาม โดยมีการพยายามติดต่อทางไลน์จากญาติของผู้ต้องขังที่สอนดูดวงรายดังกล่าว เหตุการณ์เกิดขึ้นวานนี้ เอกชัยบอกว่าเมธีดูโมโหมาก ต่อมา เมธีแจ้งเจ้าหน้าที่

ต่อมาได้มีการให้เอกชัยให้ไปร่วมให้ข้อมูลในเรื่องนี้ และให้เพื่อนผู้ต้องขังที่ไปเรียนดูดวงในวันนั้นมาด้วย และมีการตรวจสอบกล้องวงจรปิดที่มีแต่ภาพ ไม่มีเสียง เมื่อสอบถาม ผู้ต้องขังรายดังกล่าวก็ปฏิเสธว่าไม่ได้พูดแบบนั้น ไม่ได้คุกคามเอกชัย และไม่ได้คุกคามภรรยาของเมธีด้วย

จากนั้นก็มีการถกเถียงกัน โดยผู้ต้องขังรายนั้นปฏิเสธเสียงแข็งว่าไม่ได้สั่งให้ญาติไลน์ไปหาภรรยาของเมธี แต่กลับยอมรับว่าพูดคุกคามเอกชัยจริง เมื่ออยากให้เรื่องจบ ตัวเขาจะย้ายแดนเอง โดยเขายอมรับว่าเคยเรียนนายสิบ แต่เรียนไม่จบ

หลังจากนั้นเจ้าหน้าที่จึงทำเรื่องส่งตัวผู้ต้องขังรายนี้ไปที่ควบคุมกลาง โดยอยากให้แยกย้ายกัน ต่างคนต่างอยู่ ต่อมาจึงทราบว่าผู้ต้องขังรายนั้นถูกย้ายแดนไปแล้ว

_______________

จดหมาย 2 ฉบับจากเอกชัย การถูกคุกคาม-ถูกจับตา ที่เผชิญไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย

สัปดาห์ที่ผ่านมาผมต้องเผชิญกับการคุกคามที่อาจถึงชีวิตจากผู้ต้องขังที่ผมไม่รู้จักมาก่อน ผมเพิ่งมารู้ตอนหลังเขาเป็นเพียงคนธรรมดาที่ไม่มีอาชีพเป็นหลักเป็นแหล่ง

การอ้างเป็นทหารจากบุคคลที่ไม่มีอาชีพแน่นอนถือเป็นเรื่องน่าขัน ยิ่งความเชื่อที่ว่าทหารสามารถฆ่าคนแบบไม่ผิดกฎหมายยิ่งน่าขันขิ่งกว่า ทัศนคติแบบนี้น่าจะถูกปลูกฝัง จนทำให้ทหารมักแสดงท่าทีไม่เหมาะสมในหลายสถานการณ์ โดยเฉพาะการแทรกแซงทางการเมือง
.
ตอนนี้เขาถูกย้ายจากแดน 3 ไปแดน 1 ตั้งแต่ช่วงเย็นของวันที่ 11 พ.ย. ที่ผ่านมา หรือ 2 วันหลังจากที่เขาคุกคามผม ซึ่งอาจเหมือนรวดเร็วทันเหตุการณ์ แต่ในความเป็นจริงเวลา 48 ชั่วโมงที่ผมตกอยู่ในความเสี่ยง ไม่ใช่เวลาน้อย ๆ เลย

ขณะที่คำร้องขอพบแพทย์เพื่อตรวจติดตามผล CT-Scan ที่ยื่นตั้งแต่ 22 ก.ย. ที่ผ่านมา ยังคงไม่มีความคืบหน้า

17 พ.ย. 2568
เอกชัย หงส์กังวาน
เรือนจำกลางคลองเปรม
______________________

หลังจากที่ผมถูกย้ายจากแดน 6 มาแดน 3 เพียงครึ่งเดือนมีเรื่องราวเกิดขึ้นหลายอย่างกับผม ตั้งแต่การถูกข่มขู่จากผู้ต้องขังที่อ้างตนเองเคยเป็นทหารที่ร่วมเหตุการณ์สังหารเหยื่อเสื้อแดงในวัดปทุม (ปี 2553) จนมาถึงการกวาดล้างอภิสิทธิ์ของจีนเทาในเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ที่สื่อมวลชนบางแห่งเชื่อมโยงถึงข้อมูลของผมที่เคยเปิดเผยก่อนหน้านี้
.
กลางปี 2567 ผมเคยโพสต์เฟซบุ๊ก เล่าถึงชีวิตที่หรูหราของแก๊งค์จีนเทาในเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ แดน 4 ซึ่งผมเคยใช้ชีวิตร่วมกับพวกเขาในแดนนี้ (ปี 2566) จนสื่อมวลชนนำเสนอข่าว แต่เพิ่งจะมีการจู่โจมแบบสายฟ้าแลบเพื่อค้นหลักฐาน จนเป็นเหตุให้ ผบ. ต้องถูกย้ายด่วน
.
น่าแปลกที่สองเหตุการณ์เกิดขึ้นในเวลาไล่เลี่ยกันแถมยังเป็นช่วงที่ผมอยู่ในเรือนจำคลองเปรม จนทำให้ผมถูกจับตามองจากผู้คุมและผู้ต้องขังในที่นี่ หลังจากนี้ผมคงต้องลุ้นจะมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นอีก แต่สิ่งที่ผมต้องลุ้นยิ่งกว่าคือการยื่นฎีกาและประกันตัว ซึ่งยังไม่รู้เมื่อไหร่เพื่อออกจากที่นี่โดยเร็ว
.
24 พ.ย. 2568
เอกชัย หงส์กังวาน
เรือนจำกลางคลองเปรม

https://www.facebook.com/photo/?fbid=1254449646525503&set=a.656922399611567
https://tlhr2014.com/archives/80304




พายุลูกเดียวกัน ฝนตกวันเดียวกัน แต่ทำไมคนไทยกับคนมาเลเซียที่อยู่ห่างกันแค่ข้ามพรมแดน ถึงมีชะตาชีวิตต่างกันราวฟ้ากับเหว?

https://www.facebook.com/reel/3273509746144724

SpringNews
Yesterday
·
พายุลูกเดียวกัน ฝนตกวันเดียวกัน แต่ทำไมคนไทยกับคนมาเลเซียที่อยู่ห่างกันแค่ข้ามพรมแดน ถึงมีชะตาชีวิตต่างกันราวฟ้ากับเหว? มาเลเซียรับมือพายุด้วยระบบ เตรียม PPS กว่า 9,000 แห่ง รองรับคนได้ 2.2 ล้านคน เตือนภัยล่วงหน้า 3 วัน อพยพเป็นระบบ ไม่มีผู้เสียชีวิตแม้แต่รายเดียว
.
ขณะที่ไทยต้องเผชิญมหาอุทกภัยครั้งใหญ่ในหาดใหญ่ ปี 2568 ผู้คนติดค้างเป็นหมื่น การอพยพล่าช้า 4–5 วัน น้ำสูงถึง 2–3 เมตร เสียชีวิตหลักร้อย และยังมีรายงานการเรียกรับเงินช่วยเหลือในพื้นที่เสี่ยงอีกด้วย มาเลเซียยังใช้ Digital ID จ่ายเยียวยาภายใน 3 วัน ใช้โดรนปล่อยไวไฟ PRIME ให้ประชาชนสื่อสาร แต่ไทยยังต้องพึ่งความเสียสละของอาสาสมัครมากกว่าระบบโครงสร้างพื้นฐาน
.
มหาอุทกภัยครั้งนี้ย้ำชัดว่า “น้ำท่วมอาจเป็นภัยธรรมชาติ แต่ความสูญเสียคือความล้มเหลวของระบบ” ถึงเวลาหรือยัง…ที่เราจะหยุดถอดบทเรียน แล้วเริ่มสร้างระบบที่ปกป้องชีวิตคนไทยจริงๆ


‘ญี่ปุ่น’ กับ ‘วัฒนธรรมความละอาย’ ที่หายากมากในประเทศไทย



‘ญี่ปุ่น’ กับ ‘วัฒนธรรมความละอาย’ ที่สะท้อนผ่านความรับผิดชอบของผู้คน ไม่ใช่แค่ผู้นำ

รัตนาภรณ์ ศรีนวลจันทร์
23/06/2025
Bertai.com

Table of Content
1. จุดกำเนิดของวัฒนธรรมแห่งความละอาย
2. การแสดงออกของวัฒนธรรมแห่งความละอาย
3. วัฒนธรรมแห่งความละอายถูกปลูกฝังอย่างไร ?
4. ตัวอย่างเหตุการณ์ที่ถูกพูดถึงเรื่องวัฒนธรรมความละอายของคนญี่ปุ่น

เรามักจะเคยได้เห็นได้ยินข่าวของประเทศแห่งเทคโนโลยีและวัฒนธรรมอย่างญี่ปุ่นอยู่เสมอ เมื่อมีความผิดพลาดเกิดขึ้นจนเกิดผลกระทบที่รุนแรง จะมีผู้ออกมาแสดงความรับผิดชอบต่อเหตุการณ์หรือสถานการณ์นั้น ๆ โดยที่ไม่ต้องรอให้ถูกกดดันเลยด้วยซ้ำ อะไรที่ทำให้ประเทศญี่ปุ่นโดดเด่นเรื่องจิตสำนึกในความละอายต่อความผิดขนาดนี้

วันนี้จะพาทุกคนมาทำความรู้จักกับ “วัฒนธรรมความละอาย” (Culture of Shame) เบื้องหลังของวัฒนธรรมนี้คืออะไร แล้วทำไมถึงมีอยู่แค่ในญี่ปุ่น ?



จุดกำเนิดของวัฒนธรรมแห่งความละอาย

“วัฒนธรรมแห่งความละอาย” ในญี่ปุ่นมีรากฐานจากประวัติศาสตร์อันยาวนานของการเน้นกลุ่มเป็นศูนย์กลาง และการให้ความสำคัญกับความสามัคคีในกลุ่ม

สิ่งนี้สืบทอดมาจากอิทธิพลของขงจื๊อ ซึ่งเน้นการทำหน้าที่และปฏิบัติตามบทบาทของตนในระบบลำดับชั้นของสังคม

ในสังคมญี่ปุ่นแบบดั้งเดิม คุณค่าของแต่ละบุคคลถูกตัดสินจากความสามารถในการทำหน้าที่ในกลุ่มว่าทำได้ดีแค่ไหน

การแสดงออกของวัฒนธรรมแห่งความละอาย

วัฒนธรรมแห่งความละอายในญี่ปุ่นปรากฏชัดผ่านการให้ความสำคัญกับการ “รักษาหน้า” (Face) ทั้งต่อตัวเองและกลุ่ม

คำว่า “Mentsu” (面子) หมายถึง “ศักดิ์ศรี” หรือ “หน้าตา” คล้ายกับแนวคิด “Reputation” แบบตะวันตก แต่มีนัยลึกกว่า

ผู้คนจะระมัดระวังอย่างมากว่าการกระทำของตนจะถูกผู้อื่นมองอย่างไร และจะพยายามหลีกเลี่ยงทุกอย่างที่อาจทำให้ตนหรือกลุ่มอับอาย

ผลก็คือ คนญี่ปุ่นมักลังเลที่จะโดดเด่น แสดงความเห็นต่าง หรือยอมรับความผิดพลาดในที่สาธารณะ

การนำความอับอายมาสู่ตนเอง ถือเป็นการละเลยหน้าที่และหักหลังกลุ่ม นำไปสู่การเสียหน้า และอาจถูกกีดกันออกจากสังคม

วัฒนธรรมแห่งความละอายถูกปลูกฝังอย่างไร ?

เด็กญี่ปุ่นจะถูกฝึกให้มีความรู้สึกไวต่อ “ความละอาย” ตั้งแต่ยังเล็ก และเรียนรู้ให้คำนึงถึงความรู้สึกของผู้อื่นอยู่เสมอ

ในวัฒนธรรมองค์กรญี่ปุ่น พนักงานมักถูกคาดหวังให้ให้ความสำคัญกับบริษัทมากกว่าความต้องการของตนเอง

ความภักดี การทำงานหนัก และการยึดถือบรรทัดฐานของกลุ่มคือสิ่งที่มีค่า การเบี่ยงเบนจากค่านิยมเหล่านี้ถือเป็นความน่าละอายต่อตนเองและองค์กร

สิ่งนี้ทำให้วัฒนธรรมแห่งความละอายฝังรากลึก และทำให้ยากต่อการหลุดพ้นจากกรอบเหล่านี้

ตัวอย่างเหตุการณ์ที่ถูกพูดถึงเรื่องวัฒนธรรมความละอายของคนญี่ปุ่น

มีหลากหลายเหตุการณ์ที่เรามักจะได้เห็นการแสดงความรับผิดชอบของผู้นำประเทศและผู้นำองค์กรของประเทศญี่ปุ่น จนเป็นข่าวใหญ่และเป็นที่พูดถึงไปทั่วโลก
 

นายกรัฐมนตรีชินโซ อาเบะ ของญี่ปุ่นประกาศลาออกจากตำแหน่งด้วยเหตุผลเรื่องสุขภาพ ไม่ต้องการให้อาการป่วยส่งผลกระทบต่อการตัดสินใจในการบริหารประเทศ และกล่าวขอโทษชาวญี่ปุ่นที่ไม่สามารถทำหน้าที่จนครบวาระได้ (สิงหาคม 2020)

โคอิชิโร มิยาฮาระ ประธานกรรมการตลาดหลักทรัพย์โตเกียว ยื่นลาออกเพื่อรับผิดชอบกรณีที่ระบบซื้อขายขัดข้อง ส่งผลให้นักลงทุนไม่สามารถซื้อขายหุ้นได้ตลอดทั้งวันเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ (ธันวาคม 2020)

อิตารุ นากามูระ ผู้บัญชาการสำนักงานตำรวจแห่งชาติของญี่ปุ่น ประกาศลาออกจากตำแหน่ง เพื่อแสดงความรับผิดชอบจากความบกพร่องในการดูแลรักษาความปลอดภัยให้กับชินโซ อาเบะ อดีตนายกรัฐมนตรีที่ถูกลอบยิงเสียชีวิต (สิงหาคม 2022)

นายกรัฐมนตรี ฟูมิโอะ คิชิดะ ของญี่ปุ่นประกาศจะลาออกจากตำแหน่ง ยุติการทำหน้าที่ผู้นำประเทศหลังรัฐบาลเผชิญมรสุมข่าวอื้อฉาวทางการเมืองอย่างต่อเนื่อง เปิดทางให้ผู้นำคนใหม่เข้ามาแก้ไขปัญหาค่าครองชีพที่พุ่งสูง (สิงหาคม 2024)

แม้ว่าความละอายยังคงเป็นองค์ประกอบสำคัญของวัฒนธรรมญี่ปุ่น แต่ปัจจุบันก็เริ่มมีการเปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะในหมู่คนรุ่นใหม่ที่หันมาเน้นปัจเจก (เฉพาะบุคคล) มากขึ้น และลดความสำคัญของ “ตัวตนแบบรวมหมู่” (Collective self)

เมื่อผู้คนรู้สึกว่าไม่สามารถพึ่งพากลุ่มหรือได้รับการสนับสนุนแบบเดิมได้อีกต่อไป พวกเขาจะรู้สึกไม่มั่นคงและไม่แน่ใจในเส้นทางของตน ระบบแห่งความละอายที่เคยเป็นกรอบกำกับพฤติกรรมอย่างชัดเจนเริ่มอ่อนตัวลง แต่ความคาดหวังในความรับผิดชอบของแต่ละบุคคลก็เพิ่มขึ้น สิ่งนี้ทำให้หลายคนรู้สึกหลงทาง และเกิดความเครียดในการใช้ชีวิตในสังคมที่ยังคงมีบรรทัดฐานที่เข้มงวดสูงอยู่

ที่มา :Newsletter Japanetic

พิสูจน์อักษร :รัชนี สังข์แก้ว

https://www.beartai.com/life/inspiration/1474406
.....

Pavin Chachavalpongpun
13 hours ago
·
ในญี่ปุ่น วัฒนธรรมการแสดงความรับผิดชอบต่อความผิดพลาดที่ทำลงไปจะถูกแสดงออกต่อสาธารณะในระดับที่ลึกซึ้งค่ะ โดยคนที่ทำพลาด ไม่ว่าจะเป็นนักการเมือง ข้าราชการ สื่อ ดารา ฯลฯ จะถูกสังคมบังคับให้ดำเนินการแสดงความสำนึกผิดตามพิธีกรรม ซึ่งมักจะเกี่ยวข้องกับการกล่าวคำขอโทษต่อสาธารณะ การโค้งคำนับอย่างลึกซึ้ง และสิ้นสุดลงด้วยการลาออกทันที ซึ่งดิชั้นได้เห็นมาเยอะมาก อันเป็นขั้นตอนที่จำเป็นในการยอมรับความผิดพลาดและฟื้นฟูความชอบธรรมของคนๆ นั้น หรือสถาบันนั้นๆ ซึ่งบอกตรงๆ แม่งโคตรจะแตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับสภาพแวดล้อมทางการเมืองในประเทศกะลา ซึ่งกลไกการรับผิดชอบมักล้มเหลวในการผูกมัดชนชั้นนำผู้มีอำนาจ ยกตัวอย่างเช่น ในวิกฤตการณ์น้ำท่วมหาดใหญ่ ซึ่งรัฐบาลอนุทินล้มเหลวในการบรรเทาภัยพิบัติ แต่กลับมั่นหน้าปฏิเสธความรับผิดชอบแบบน้ำขุ่นๆ แถมแก้ตัวว่า "ไม่ได้ช้า" "ไม่ได้ล้มเหลว" "ควบคุมสถานการณ์ได้" ซึ่งแม่งก็คือการปฏิเสธอย่างสิ้นเชิงที่จะยอมรับความผิดหรือกล่าวคำขอโทษ(แม้แต่คำขอโทษก็ยังไม่ได้ยิน sorry seems to be the hardest word!) แทนที่จะแสดงความสำนึกผิดหรือลาออก อีรัฐบาลนี้กลับเลือกที่จะทำให้ความล้มเหลวนั้นรุนแรงขึ้นไปอีกโดยการหลีกเลี่ยงการตรวจสอบจากสาธารณะและปฏิเสธที่จะตอบคำถาม แม้กระทั่งคำถามพื้นฐานจากผู้สื่อข่าว การกระทำเช่นนี้เป็นการส่งสัญญาณถึงการเพิกเฉยต่อเจตนารมณ์ของสาธารณชนอย่างรุนแรงค่ะ และแสดงให้เห็นถึงวัฒนธรรมจัญไรที่ฝังรากลึกซึ่งทำให้เราเห็นว่า ความล้มเหลวของการบริหารวิกฤต ถูกตอบโต้ด้วยการปิดไมค์และการลอยนวลพ้นผิดแบบหน้าด้านๆ และไร้ความรับผิดชอบสิ้นดี


มนุษย์มีด้านสว่างและด้านมืด มนุษย์(คนดีย์)ที่ขาวจัดๆ อาจซุกซ่อนด้านมืดเอาไว้ รอวันเวลาเผย



มนุษย์ซุกซ่อนด้านมืดเอาไว้

18.11.2025
มติชนสุดสัปดาห์
นัยความเป็นคน | นิ้วกลม

1
มนุษย์มีด้านสว่างและด้านมืด

ด้านสว่างคือด้านที่แสงส่องถึง จึงมองเห็นชัด เป็นตัวตนที่ผู้คนนำเสนอตัวเองสู่โลกภายนอก เป็นด้านที่สังคมยอมรับและให้คุณค่า เช่น การเป็นคนน่ารัก อยู่ในระเบียบ แข็งแกร่ง กล้าหาญ มีคุณธรรม และอีกมากมายที่พอพูดออกมาแล้วทุกคนยกนิ้วโป้งหรือปรบมือให้

มนุษย์ทุกคนที่อยู่ในสังคมล้วนพยายามก่อร่างสร้างตัวตนให้กลายเป็น ‘บุคคลผู้ส่องสว่าง’ อันประกอบไปด้วยคุณสมบัตินานัปการที่ตรงตามความคาดหวังของครอบครัว โรงเรียน องค์กร และสังคม จากเด็กน้อยที่มีธรรมชาติซับซ้อนหลากหลายค่อยๆ กลายเป็นคนที่อยู่กับร่องกับรอย เป็นคนที่ ‘โอเค’ ของสังคม

หากมองย้อนกลับไปในวัยเด็ก เราทุกคนมีอารมณ์ ความรู้สึก และการแสดงออกที่หลากหลาย นอกจากด้านดีแล้วยังมี ‘ด้านอื่น’ ซึ่งไม่ได้แปลว่าไม่ดีเสมอไป เช่น โกรธ เกลียด อิจฉา หงุดหงิด ไร้สาระ ไร้ระเบียบ เล่นสนุก หยาบคาย ขี้เกียจ ฯลฯ สิ่งเหล่านี้ค่อยๆ ลดน้อยถอยลง กระทั่งถูกทำให้หายไปจากชีวิตของเรา เพราะเป็นสิ่งที่ผู้ใหญ่มักดุ สอน และสั่งว่า เป็นพฤติกรรมที่ไม่ควรทำ เป็นความรู้สึกที่ไม่ควรมี

เด็กน้อยขี้เล่นเมื่อถูกดุค่อยๆ เติบใหญ่เป็นคนจริงจังขึงขัง เด็กขี้อายค่อยๆ กลายเป็นคนเด็ดขาดมั่นใจ เด็กหยาบคายค่อยๆ กลายเป็นคนสุภาพเรียบร้อย ดูเผินๆ เหมือนจะถูกต้องดีงาม แต่คำถามคือคุณสมบัติที่ถูกห้ามปรามเอาไว้หรือบอกให้กำจัดออกไปเหล่านั้นหายไปจากตัวคนคนนั้นจริงหรือ?

คำตอบคือ ไม่จริง

คุณสมบัติอันเป็นธรรมชาติดั้งเดิมไม่เคยหายไปไหน มันถูกอธิบายตามหลักจิตวิทยาว่า ถูกเก็บกดไว้แล้วไปซ่อนตัวอยู่ในระดับจิตใต้สำนึก

เป็นบริเวณที่แสงส่องไม่ถึง จึงไม่มีใครมองเห็น กระทั่งเจ้าตัวผู้ซึ่งกดและกลบมันให้หายไปเนิ่นนาน ผ่านการกระทำซ้ำๆ จนลืมไปแล้วว่าตัวเองเคยมีคุณสมบัติเช่นนั้นอยู่ สิ่งเหล่านี้ค่อยๆ หลอมรวมเข้าด้วยกันกลายเป็น ‘ด้านมืด’ ที่อยู่ในตัวมนุษย์ทุกคน เฝ้ารอวันเผยตัวออกมาในวันใดวันหนึ่ง เมื่อสติหลุด แล้วจิตไร้สำนึกได้เผยตัว

จึงเป็นเรื่องสำคัญสำหรับผู้ที่ต้องการเข้าใจมนุษย์ที่ต้องตระหนักเสมอว่า ทุกคนล้วนมี ‘ด้านมืด’ ที่ยังไม่เผยตัวออกมาให้เราเห็น

2
ด้านมืดเกิดขึ้นได้อย่างไร

ลองคิดถึงเด็กน้อยสักคนที่ต้องการความสนใจจากพ่อแม่ เขาร้องไห้งอแงเพื่อเรียกร้อง แต่สิ่งที่เกิดขึ้นคือพ่อดุเขาแล้วบอกให้เงียบเสียงซะ เขาค่อยๆ ทำความเข้าใจว่า ความงอแงเป็นสิ่งที่ไม่ได้รับอนุญาตให้กระทำในบ้านหลังนี้ จึงหล่อหลอมบุคลิกภาพแบบใหม่ขึ้นมาเพื่อเอาตัวรอด นั่นคือเก็บซ่อนความอ่อนแอ แล้วเล่นบทผู้เข้มแข็ง จากนั้นเขาได้รับคำชมจากพ่อ จึงเล่นบทนั้นต่อเนื่องจนโต เขาค่อยๆ กลายเป็นผู้ใหญ่ที่เข้มแข็ง เป็นผู้นำ เด็ดขาด ออกคำสั่งผู้คนไปทั่ว แต่ลึกๆ แล้วเด็กน้อยงอแงคนนั้นไม่เคยหายไปไหน เขายังต้องการพื้นที่ให้ตัวเองได้อ่อนแอ ได้เรียกร้องการดูแลจากคนอื่น ซึ่งไม่มีโอกาสที่จะได้ทำเช่นนั้นเลย ในเมื่อภาพลักษณ์ของเขาในปัจจุบันที่ทั้งตัวเองและคนอื่นรับรู้ได้กลายเป็น ‘ยอดบุรุษผู้แข็งแกร่ง’ ไปแล้ว

นี่เป็นแค่ตัวอย่างหนึ่งเท่านั้น เด็กน้อยแต่ละคนถูกบอกให้ “เลิก” หรือ “หยุด” ในเรื่องที่แตกต่างกันไป จึงหล่อหลอมตัวตนขึ้นมาคนละแบบ

คาร์ล ยุง นักจิตวิทยาชื่อดังชาวสวิสเรียกสิ่งที่ถูกสั่งให้หยุดนี้ว่า ‘เงา’

มันคือคุณสมบัติทั้งหมดในตัวเองที่ตัวเราพยายามปฏิเสธและเก็บกดเอาไว้ลึกมาก แต่จะปะทุขึ้นมาเมื่อเราเครียด ไม่มั่นคง หรือถูกสะกิดบาดแผลในใจ ซึ่งมีแนวโน้มจะแสดงออกมาขึ้นเมื่อเราอายุมากขึ้น เพราะในวัยเด็กเรายังสนุกกับการสวมหน้ากาก แต่พอเวลาผ่านไปเราเหนื่อยล้ากับการสวมบทบาทนั้นแล้ว สิ่งที่ซุกซ่อนไว้จะเล็ดลอดออกมามากขึ้นเรื่อยๆ

คนที่สามารถควบคุมเงาได้ดีอาจเติบโตขึ้นเป็นคนที่ประสบความสำเร็จในสังคม เพราะเขาได้รับเอาคุณค่าที่สังคมชื่นชมเข้ามา ในขณะที่คนที่ไม่สามารถควบคุมเงาได้ก็อาจกลายร่างเป็นอาชญากร ในเมื่อไปทางสว่างไม่ได้แล้วก็ปลดปล่อยด้านมืดออกมาให้เต็มที่เสียเลย ความน่าสนใจอยู่ตรงที่ผู้คนที่ประสบความสำเร็จจากการเล่นบทบาท ‘คนดีในสังคม’ ก็มีเบื้องลึกที่โหยหาด้านมืดอยู่ในตัวเอง เขาอาจแอบกระทำสิ่งผิด ใช้ยาเสพติด เล่นพนัน มีชู้ และอะไรต่อมิอะไรที่เป็นไปได้ เพราะถูกแรงผลักจากการโหยหา ‘ข้อห้าม’ ที่ตัวเองกดไว้จนมิด

3
นี่จึงเป็นเหตุผลที่เราอาจพอเข้าใจได้ว่า บรรดาครูบาอาจารย์ที่มีลูกศิษย์ลูกหานับหน้าถือตาเต็มบ้านเต็มเมือง เหตุไฉนจึงมีด้านมืดที่ปกปิดไว้ เช่น พระผู้ใหญ่ซุกซ่อนความสัมพันธ์กับสีกา ก็เป็นไปได้ว่าเพราะด้านมืดของท่านถูกเก็บกดเอาไว้ และเงาก็เผยร่างออกมาในพื้นที่ที่ไม่มีคนเห็น

ยังมีบุคลิกอีกหลายแบบที่โรเบิร์ต กรีน แจกแจงเอาไว้ในหนังสือ The Laws of Human Nature เช่น บุคคลผู้แข็งแกร่ง (ด้านมืดคือเขาและเธออยากอ่อนแอได้บ้าง) คนน่ารักที่เอาใจคนอื่นตลอด (ด้านมืดอาจเป็นความก้าวร้าว อยากทำตัวไม่น่ารักบ้าง) ผู้คลั่งไคล้ศรัทธาบางสิ่งแรงกล้า (ด้านมืดคือเขารู้สึกหวาดกลัวและพึ่งพาตัวเองไม่ได้) คนที่ยึดหลักการเหตุผลอย่างเข้มงวด (ด้านมืดคือเขาอาจเล่นสนุกบ้าง) คนหัวสูงทุกสิ่งต้องพิเศษไปหมด (ด้านมืดคือเขาอยากเป็นคนธรรมดาบ้าง) คนที่ควบคุมตัวเองได้ดีเยี่ยม (ด้านมืดคือเขาอยากได้รับการดูแลจากคนอื่นบ้าง)

ผมคิดว่ายังมีอีกหลายลักษณะ และไม่แปลกที่บางลักษณะจะเป็นตัวเราเอง

ซึ่งถ้าใครมองเห็น ‘เงา’ ของตัวเองนั่นเป็นสัญญาณที่ดี แปลว่าเราเริ่มเปิดใจยอมรับว่าตัวเองก็มีด้านมืดที่กดทับเอาไว้ ด้านมืดที่ตัวเราไม่อนุญาตให้ตัวเองได้แสดงออก นี่คือจุดเริ่มต้นของการทำความเข้าใจตัวเองว่ามีแรงปรารถนาลึกๆ อะไรอยู่ในตัวเราที่เราต้องเงี่ยหูฟังให้มากขึ้น ดูแลความต้องการนี้ให้มากขึ้น รวมถึงโอบกอดมันเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของเราโดยไม่ผลักไส

แล้วเราจะกลายเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์มากขึ้น

เหมือนโลกที่ต้องมีทั้งกลางวันและกลางคืน มีสว่างก็มีมืด ความหลากหลายทางอารมณ์และตัวตนทั้งหมดนั้นเป็นธรรมชาติของมนุษย์ที่มีอยู่ในตัวเรา มันเพียงเกิดขึ้นตามธรรมชาติ ทุกคนล้วนหวาดกลัว อยากเล่น อยากผ่อนพัก อยากตะโกนดังๆ อยากออกนอกระเบียบ อยากไร้สาระ เราสามารถที่จะโง่ได้ อ่อนแอได้ สับสนได้ ผิดพลาดได้ คิดชั่วได้ สำคัญคือเมื่อมันเกิดขึ้นเรารู้ตัวหรือไม่

สิ่งสำคัญของการตระหนักถึงเงาก็คือการรู้ตัวเอง

ยิ่งไม่ทำการบ้าน ไม่รับรู้ ไม่สังเกตเงาของตัวเองก็ยิ่งเสี่ยง เพราะเวลาที่มันสำแดงเดชออกมาจะเป็นสภาวะที่เราไม่สามารถควบคุมอิทธิฤทธิ์ของมันได้เลย

คนที่ยอมรับเงาตัวเอง เท่าทันเงา รู้จักมัน อยู่ร่วมกับมันได้ จะกลายเป็นมนุษย์ที่แท้

คือมนุษย์ที่จริงแท้ ไม่ซุกซ่อนตัวตนใดๆ ไว้ เรามักรู้สึกสบายใจเมื่ออยู่ใกล้คนแบบนี้

4
ใช่, เราชอบอยู่ใกล้มนุษย์สีเทาๆ ที่ยอมรับว่าตัวเองก็ไม่ได้บริสุทธิ์ผุดผ่อง เก่งบ้าง-โง่บ้าง เข้มแข็งบ้าง-อ่อนแอบ้าง ดีบ้าง-ชั่วบ้าง ปะปนกันอยู่ในตัว เพราะรู้สึกใกล้ชิด ไม่เกร็ง รู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างในตัวเขาที่เหมือนกับตัวเรา

ในทางตรงกันข้าม เมื่อเราพบเจอใครบางคนที่ดูบริสุทธิ์สมบูรณ์แบบ ไม่ว่าดีงามราวกับเทพบุตรเทพธิดา พูดจาไพเราะอ่อนหวานสุภาพทุกถ้อยคำ เอาอกเอาใจพะเน้าพะนอเสียจนเกร็ง หรือคนที่เก่งเลิศแบบไร้ที่ติ คนแบบนี้กลับสร้างความรู้สึกอึดอัด ระแวง และบางทีก็เกิดความรู้สึกจอมปลอมขึ้นกับผู้ประสบพบเจอ

ที่จริงไม่ใช่ความผิดของเขา เพราะเขาอาจเติบโตขึ้นมาบนเส้นทางที่ทำให้ต้องขับเน้นด้านสว่างอย่างหนัก และไม่ได้รับอนุญาตให้แสดงด้านมืดของตัวเองออกมาเลย แต่กระนั้นก็ปฏิเสธสัญชาตญาณมนุษย์ไม่ได้ว่า เรามีความรู้สึกแคลงใจกับคนที่ดูสมบูรณ์แบบเกินไปหรือดีเกินเบอร์

มนุษย์ที่แท้คือสิ่งที่ต่างออกไป เขาเป็นคนที่สบายใจกับสิ่งที่ตัวเองเป็น หัวเราะเยาะตัวเองได้ ยอมรับจุดอ่อนและข้อผิดพลาดที่เคยทำ ขี้เล่น สนุกกับชีวิต มีความเป็นเด็ก และบางทีก็นอกคอก บุคลิกเหล่านี้ทำให้เขามีเสน่ห์โดยธรรมชาติ

นี่คือคนที่รักษาธรรมชาติของตัวเองเอาไว้ได้ ซึ่งก็คือการเปิดโอกาสให้มันได้ออกมาโลดเล่นบ้างในบางครั้ง ในพื้นที่และเวลาที่เหมาะสม ไม่ต้องไปกดมันจนมิด

โรเบิร์ต กรีน ยกตัวอย่างสตีฟ จ็อบส์ ซึ่งมีด้านมืดอยู่ไม่น้อย เช่น ไม่ฟังคนอื่น ทำตามใจตัวเอง มีความหยาบกระด้าง แต่ทั้งหมดนี้ก็ถูกแสดงออกผ่านการทำงานของเขา แน่นอนว่ามีคนไม่ชอบ แต่ ‘เงา’ เหล่านี้ก็นำมาซึ่งผลงานที่โดดเด่นและแตกต่างอันเป็นที่ชื่นชมของผู้คนเช่นกัน หากลบ ‘เงา’ เหล่านี้ออกไปจนหมด จ็อบส์ก็จะกลายเป็นคนธรรมดาๆ ที่เหมือนกับคนอื่น ก็คือคนที่ทำตัวตามความคาดหวังของสังคม

5
สำหรับผม ประเด็นสำคัญของเรื่องนี้อยู่ตรงที่การตระหนักถึงด้านมืดในตัวเอง ฉายแสงเข้าไปเพื่อให้เรามองเห็นและใส่ใจในตัวตนที่ถูกกดทับเอาไว้ มองเห็น ทำความเข้าใจ ดูแลเด็กน้อยคนนั้น ให้พื้นที่เขา แล้วเราจะเข้าใจว่า ‘ด้านมืด’ ไม่ได้หมายถึงเรื่องแย่เสมอไป มันเพียงเป็นธรรมชาติของเราที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิตด้วยซ้ำ คนเราจำเป็นต้องโกรธ ต้องระบายอารมณ์ ต้องเล่น ต้องออกนอกระเบียบ ต้องบ้าๆ บอๆ ต้องโง่ ต้องผิดพลาด เราต้องการพื้นที่สำหรับเรื่องเหล่านี้ในชีวิต

ถ้าเราเข้าใจเรื่องนี้ได้ดี เราจะอนุญาตให้สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นได้ แล้วมันจะกลายเป็นพลังสร้างสรรค์ที่แตกต่างจากการเป็นคนเชื่องๆ ที่เหมือนกันไปหมด เราจะกลายเป็นคนแข็งแกร่งที่ร้องไห้เป็น เป็นคนเก่งที่กล้าผิดพลาดจึงสร้างสรรค์สิ่งใหม่ได้ เป็นคนเรียบร้อยที่หลุดๆ บ้าๆ บอๆ ได้ด้วยจึงเป็นคนสนุกสนาน และเป็นอะไรได้อีกสารพัดเท่าที่ชีวิตจะอนุญาต เมื่อเราไม่กดทับเอาไว้ด้วยคุณค่าที่สังคมยอมรับเท่านั้น

หากทำได้ เราจะตัวเบาใจเบา ยอมรับทุกด้านของตัวเอง ภูมิใจในแบบที่ตัวเองเป็น และเมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว เราจะยอมรับคนอื่นในแบบที่ไม่ต้องเลิศเลอบริสุทธิ์ผุดผ่อง แต่อยู่ข้างๆ กันแบบสุกๆ ดิบๆ แบบนี้แหละ น่ารักจะตายไป

สำหรับผม ความรักคือการยอมรับทั้งด้านสว่างและด้านมืด หากรักใครสักคนเราต้องยอมรับทุกๆ ด้านของเขา และถ้าอยากรักตัวเองได้อย่างแท้จริงก็คงไม่ใช่แค่ยอมรับแต่ด้านสว่าง

มนุษย์ที่แท้เป็นสีเทาๆ

มนุษย์ที่ขาวจัดๆ สว่างจ้าอาจแค่รอวันเวลาเผยด้านมืด

https://www.matichon.co.th/weekly/column/article_867323



เอกลักษณ์ไทยที่ยังอยู่ยงคงกระพัน และเป็เหตุผลข้อเดียวที่สังคมไทยแก้ไขปัญหาในอดีต ปัญหาในปัจจุบัน และอีกมากมายที่จะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้ ไม่ได้เลยสักเรื่อง


Thasnai Sethaseree
November 27
·
เหตุผลข้อเดียวที่สังคมไทยแก้ไขปัญหาในอดีต ปัญหาในปัจจุบัน และอีกมากมายที่จะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้ ไม่ได้เลยสักเรื่อง

https://www.facebook.com/photo?fbid=25299535329713476&set=a.397320753694945




วันเสาร์, พฤศจิกายน 29, 2568

วิกฤตอุทกภัยหาดใหญ่ครั้งนี้ ชี้ถึงความ “ไม่มืออาชีพ” ในการบริหารจัดการแก้ไขสถานการณ์ของรัฐบาล ‘อนุทิน’ แต่โพลให้คะแนนตก ๑ แต้ม

เสียงก่นลั่น วิกฤตอุทกภัยหาดใหญ่ครั้งนี้ชี้ถึงความ “ไม่มืออาชีพ” ในการบริหารจัดการแก้ไขสถานการณ์ของรัฐบาล อนุทิน ชาญวีรกูล ถึงขั้นมีเสียงเรียกร้องให้ลาออกได้แล้ว แม้จะมาจากคู่แค้น คนทั่วไปก็รับฟัง  ไม่มีใครกล้าเถียง

อีกวันสองวันจะมีโพลเช็คเรทติ้งตามกันออกมา แต่บางสื่อไปคว้าเอามาเผยไว้ก่อนแล้ว ไม่เกินคาด รัฐบาลคะแนนตกไปอย่างน้อยๆ ๑ แต้ม จากสวนดุสิตโพลที่จะออกมาในวันอาทิตย์นี้ (๓๐ พฤศจิกา) ข่าว NationTV ไปถาม ผอ.

ดร.พรพรรณ บัวทอง บอกว่า “แน่นอน ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ ที่รัฐบาลภูมิใจไทยจะเสียคะแนนนิยม...เท่าที่ดูผลสำรวจอย่างไม่เป็นทางการ...คะแนนที่ประชาชนเคยให้รัฐบาลอนุทิน ๔.๐๗ เมื่อเดือนตุลาคม” ขณะนี้เหลือแค่ ๓ กว่าๆ

ทางด้านนิด้าโพล อาทิตย์ที่จะถึงนี้เหมือนกัน ผลสำรวจรายภาคสำหรับภาคใต้กำลังจะออกมา เพียงแต่ว่าเป็นการสำรวจช่วง ๑๘-๒๔ พฤศจิกา “คือช่วงก่อนเกิดเหตุการณ์น้ำท่วม จนถึงเกิดเหตุแล้วแต่ยังไม่วิกฤต”  ฉะนั้นคงไม่สะท้อนอารมณ์บูดของประชากรสักเท่าไร

ประเด็นที่ทำให้ต้องเช็คเรทติ้งกันทันใด มาจากคนในรัฐบาลทำเสียเอง เช่น รัฐมนตรีหนุ่ม ภราดรปิดไมค์หนีคำถามนักข่าว จี้ให้ยอมรับว่าผลกระทบจากน้ำท่วมหนักมาก ระดับ ข้าวเกรียบ หาย เพราะความด้อยประสิทธิภาพของรัฐบาล

กับอีกเรื่องที่ ผู้กองแป้ง ธรรมนัส มีปัญหาปะทะคารมกับจิตอาสา เปิ้ล นาครและทหาร กลางพื้นที่น้ำท่วม ซึ่งเป็นข้อมูลสำหรับการสำรวจครั้งต่อไป และ ผอ.สุวิชา เป้าอารีย์ ของนิด้าโพลเชื่อว่า สะเทือนต่อพรรคภูมิใจไทยแน่ๆ

ขนาด ผอ.คาดการณ์ว่า ความฝันของภูมิใจไทย จะกวาด สส.ภาคใต้ได้ถึง ๓๐ ที่นั่ง จากทั้งภาคราว ๖๐ ที่นั่งนั้น น่าจะลำบาก ได้ฝันค้างเสียแล้ว ถ้าหากการฟื้นฟู เยียวยา ไม่ได้ดีโด่ง “หาที่เปรียบมิได้” จนทำให้ชาวบ้านร้องว้าว

สำหรับ ผอ.เนชั่นโพล ดร.เชษฐา ทรัพย์เย็น ดูจะเอาใจช่วยนายกฯ หนู อยู่ไม่น้อย เขาว่าคะแนนตกน่ะตกแน่ แต่เพียงระยะสั้น เพราะ “นักการเมืองจะรู้วิธีในการทอดเวลาออกไป และสร้างประเด็นกระแสใหม่เข้ามาทดแทน”

เขาแนะให้เพิ่มนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจอีกสัก ๒-๓ อย่าง ชั้นเชิงตบตาไง สร้างเรื่องใหม่มากลบเกลื่อนปัญหาเก่า หรือไม่ก็กลับไปปั่นของเก่าที่ยังไม่มอดให้ปะทุใหม่ และให้จับตาพิพาทชายแดนเขมรอาจกลับมา

(https://www.nationtv.tv/politic/378970064)

ชาวหาดใหญ่ฉุน ตะโกนด่า "นายกฯ อนุทิน" บอกอย่านั่งรถให้เดินดูความเสียหาย ถามกลัวอะไรมีอำนาจอยู่แล้ว - น้ำท่วมหาดใหญ่ครั้งนี้ชี้ว่า พรรคภูมิใจไทยและอนุทินล้มเหลวในการบริหารวิกฤตอย่างสิ้นเชิง ทั้งคน ทั้งพรรค เก่งแต่เล่นการเมืองแบบเก่า








https://x.com/MorningNewsTV3/status/1994350922504536485




Pavin Chachavalpongpun 
Yesterday
·
น้ำท่วมหาดใหญ่ครั้งนี้ชี้ว่า พรรคภูมิใจไทยและอนุทินล้มเหลวในการบริหารวิกฤตอย่างสิ้นเชิง ทั้งคน ทั้งพรรค เก่งแต่เล่นการเมืองแบบเก่า แบบขึ้นมาสู่อำนาจโดยการโอบอุ้มของอีลีท แต่พอถึงงานบริการประชาชนแม่งเหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อ พอน้ำท่วมใหญ่ ก็ทำอะไรไม่ถูก เลิ่กลั่ก ตัดสินใจไม่ได้ ไม่รู้จะเริ่มจากอะไร เลยนั่งทับปัญหาไว้ นี่คนเสียชีวิตเกือบร้อยแล้ว แถมยังไงไม่ยอมรับความล้มเหลว ถึงขนาดคุณลูกแบดของดิชั้นต้องปิดไมค์และเดินออกจากการแถลงข่าวเลย ความล้มเหลวของพรรคน่าจะทำให้ประชาขนตัดสินใจได้ว่า ไม่ควรเลือกพรรคนี้กลับเข้ามา จริงๆ น่าเสียดายนะ ไทยเสียโอกาสไปมาก แถมพอมีวิกฤตก็พึ่งรัฐบาลไม่ได้ พรรคภูมิใจไทยไม่เหมาะที่จะนำการเมืองในยุคที่โลกเปลี่ยนไปมาก คนไทยต้องการพรรคแบบใหม่ ผู้นำแบบใหม่ แบบที่แม่งรู้เรื่อง ทำงานเป็น ไม่ใช่เก่งแค่ร้องไห้กับเรื่อง PR

https://www.facebook.com/pavinchachavalpongpun/posts/24530924136582685




https://www.facebook.com/reel/1500192771279543