
ภาพจาก Naret Habhong
.....
https://www.facebook.com/paskorn.jumlongrach/posts/9382488795127655Paskorn Jumlongrach
15 hours ago
·
รัฐที่กำลังล้มเหลว
------
น่าจะเป็นเรื่องยากมากๆที่สังคมไทยจะได้เห็นหน้า “ไทยเทา”หรือ “ไทยดำ”ที่สมคบคิดและรับส่วยจากขบวนการค้ามนุษย์และแก๊งค์คอลเซ็นเตอร์ของมาเฟียจีนและกะเหรี่ยงดาร์ค ซึ่งทุกอย่างเป็นไปตามสำนวนไทย “หัวไม่ส่าย หางไม่กระดิก”
ทุกวันนี้ส่วนหัวหรือผู้บริหารบ้านเมืองของไทย ยังไม่ได้ส่ายเพราะต้องการความเปลี่ยนแปลง เพียงแต่จำใจพยักหน้าหรือหันซ้ายหันขวาตามบัญชาของโอรสแห่งสวรรค์ แต่การจะยกเครื่องรื้อระบบส่วยที่พัวพันกันอีรุงตุงนังข้ามแม่น้ำเมยระหว่างฝั่งเมียวดีกับฝั่งไทยนั้น ยังไม่เกิดขึ้นจริง
ดังนั้นความต้องการเห็นประชาชนในเมืองแม่สอดและเมืองเมียวดีที่เป็นเมืองคู่แฝดกัน ได้ประกอบอาชีพทำมาหากินกันอย่างปกติสุขนั้น ยังห่างไกล
การโยกย้ายนายตำรวจระดับหัวในพื้นที่ชายแดนด้านจังหวัดตากเป็นแค่มุมเล็กๆของระบบส่วยขนาดมหึมา
อยากชวนอ่านรายงานการประชุมคัดแยกผู้ที่อาจเสียหายจากการค้ามนุษย์หรือการบังคับใช้แรงงานหรือบริการ ที่เรียกสั้นว่ารายงาน NRM(National Referral Mechanism - กลไกการส่งต่อระดับชาติ)ในภาพประกอบ
ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมามีเหยื่อชาวต่างชาติที่ถูกจับไปกักขังทรมานและบังคับให้ทำงานตามแหล่งอาชญากรรมชายแดนไทย ทั้งที่คิงส์โรมันส์ ของจ้าว เหว่ย บริเวณชายแดนลาวตรงข้ามกับ อ.เชียงแสน จ.เชียงราย ไปจนถึงชายแดนตะวันตกที่เมียวดี รวมถึงชายแดนไทย-กัมพูชา แต่สามารถออกมาได้ ด้วยวิธีการต่างๆ ทั้งไถ่ตัว หน่วยงานด้านความมั่นคงของไทยช่วยประสานใต้ดิน หรือหนีออกมาเอง
คนเหล่านี้ได้ให้ข้อมูลผ่านกระบวนการ NRM ไว้นับพันราย ซึ่งหากอ่านรายละเอียดหรือนำมาสังเคราะห์ก็จะเห็นร่องรอยที่สามารถนำมาขยายผลถึงตัวขบวนการค้ามนุษย์และแก๊งค์คอลเซ็นเตอร์ได้มากมาย
แต่ในความเป็นจริงตลอด 2 ปีที่ผ่านมา แทบไม่มีการนำข้อมูลจากเหยื่อไปขยายผลเลย ทั้งที่รายงานเหล่านี้อยู่ในมือของหลายหน่วยราชการ
นอกจากไม่ขยายผลแล้ว ที่ผ่านมากลับมีความพยายามกดทับและบิดเบือนข้อความจริงอีกต่างหาก
เหยื่อชาวต่างชาติจำนวนไม่น้อยถูกชักจูงให้แค่เสียค่าปรับในข้อหาอยู่เกินวีซ่า และถูกชักจูงให้รีบเดินทางออกจากประเทศไทย มากกว่าการใช้กฎหมายบังคับให้เข้าสู่กระบวนการ NRM ทั้งๆที่เหยื่อหลายคนพร้อมที่จะแฉเพื่อให้ทางการไทยเพราะเขาต้องการให้คนที่ทำร้ายเขาถูกลงโทษ แต่สุดท้ายเขาก็เลือกที่จะรีบเดินทางกลับประเทศเพื่อความปลอดภัย เมื่อเห็นท่าทีของเจ้าหน้าที่รัฐไทย
น้องคนหนึ่งเล่าว่า เมื่อปีที่แล้วเขาไปเป็นล่ามให้ชาวต่างชาติกลุ่มหนึ่งที่หนีข้ามมาจากแหล่งอาชญากรรมเมียวดีออกมาได้ เหยื่อกลุ่มนี้พยายามให้ข้อมูลการถูกทรมานและทำร้ายต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจบนโรงพักแห่งหนึ่ง แต่คำตอบที่พวกเขาได้รับคือ “การจะเอาผิดคนที่ไม่อยู่ในประเทศไทยนั้นยาก บางทีต้องต่อสู้ในกระบวนการยุติธรรมถึง 4-5 ปี พวกคุณจะรอไหวหรือ แต่ถ้าคุณเสียค่าปรับเพราะอยู่เกินวีซ่ากำหนด อีกไม่กี่วันคุณก็กลับบ้านได้” สุดท้ายชาวต่างชาติกลุ่มนี้ก็เลือกการกลับประเทศโดยเร็ว
เช่นเดียวกับเมื่อเ 2 ดือนก่อน มีชาวต่างชาติรายหนึ่งหลบหนีออกมาจากแหล่งอาชญากรรมด้านช่องแคบได้ เขาให้ชาวบ้านพาไปที่สถานีตำรวจแห่งหนึ่ง ปรากฏว่านายตำรวจนายหนึ่งกุลีกุจอช่วยเหลือเขาเป็นอย่างดีจนกลับประเทศ แต่ผลคือตำรวจไทยนายนี้กลับถูกผู้บังคับบัญชาตำหนิด้วยเหตุผลที่ถูกนำมาอ้างคือทำลายบรรยากาศการท่องเที่ยว เนื่องจากกรณีนี้ถูกเผยแพร่เป็นข่าว
คำอธิบายของนายตำรวจบนโรงพักและคำตำหนิลูกน้องที่ปฎิบัติหน้าที่โดยชอบ สะท้อนให้เห็นอะไรหลายอย่างสำหรับการทำงานของภาครัฐในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ซึ่งเป็นไปในทิศทางเดียวกับชุดข้อมูลที่ผู้บริหารบ้านเมืองไทยนำมาอธิบายต่อสังคมเสมอ นั่นคือเชื่อว่าชาวต่างชาติที่ข้ามไปยังแหล่งอาชญากรรมในเพื่อนบ้าน ส่วนมาก “เต็มใจ”
ขณะนี้สังคมกำลังสงสัยว่าการที่ทางการจีนกำลังจะนำเครื่องบินมาลงที่แม่สอดเพื่อขนคนของเขาซึ่งกะเหรี่ยง BGF( (Karen Border Guard Force) ส่งให้กลับประเทศ แล้วทางการไทยไม่คิดใช้กลไกหรือกระบวนการทางกฏหมายรีดเค้นข้อมูลจากคนจีนเหล่านี้บ้างหรือ?
ท่าทีของรัฐบาลไทยและสถานการณ์ที่ผ่านมาได้อธิบายคำตอบไว้แล้ว
เดือนนี้เมื่อปีที่แล้ว(29 กุมภาพันธ์-2 มีนาคม 2567) ทางการจีนได้ส่งเครื่องบินมายังสนามบินแม่สอดเพื่อรับชาวจีนจากแหล่งอาชญากรรมเมียวดีร่วมพันคนกลับประเทศโดยผ่านทุกขั้นตอนฉลุยเพราะเป็นภารกิจลับที่เป็นข้อตกลงระหว่างรัฐต่อรัฐ (ลักษณะเดียวกับกรณีที่นายหลิว จิงอี้ ผู้ช่วยรัฐมนตรีฯของจีนพร้อมคณะเดินทางข้ามไป-ข้ามมาบริเวณชายแดนไทย-พม่าได้ตามสะดวกเพราะได้รับอนุญาตจากผู้บริหารประเทศไทย)
คนจีนร่วมพันที่ถูกขนกลับไปครั้งนั้นได้กลายเป็นแหล่งข้อมูลชั้นดีที่ทำให้นายหลิว จงอี้และคณะกลับมาในรอบนี้ ขณะที่ทางการไทย ก็ยังทำได้แค่เป็น “ทางผ่าน”เหมือนเคย
ท่าทีเนือยนิ่งของรัฐบาลไทยที่ไม่สนใจที่จะเค้นหาข้อมูลจากเหยื่อเพื่อนำมาขยายผล ความไม่กระตือรือร้นที่จะช่วยเหลือช่วยเหลือเหยื่อต่างชาติที่ถูกนำพาข้ามจากแผ่นดินไทยสู่แหล่งอาชญากรรมข้ามชาติ ไปจนถึงการไร้ยุทธศาสตร์ที่ดีของนโยบายชายแดนตะวันตก ทั้งหมดกำลังสะท้อน “สิ้นหวัง”ที่ประชาชนฝากไว้กับ รัฐที่กำลังล้มเหลว
-----------