
Sarawut Hengsawad
12 hours ago
·
ตื่นแต่เช้ามานั่งฟังคนเก่งสามคนเล่าสถานการณ์โลกภายใต้หัวข้อ 'Trump 2.0' ให้ฟังอย่างเร้าใจ เปิดสมอง และลึกซึ้งมาก เรียงตามภาพ ดร.อาร์ม ตั้งนิรันดร, ดร.สันติธาร เสถียรไทย, คุณมาร์ค-อิสริยะ ไพรีพ่ายฤทธิ์
ขอสรุปใจความสำคัญคร่าวๆ มาแบ่งกันอ่านดังต่อไปนี้




...


(1) ใช้นโยบายภาษีจัดการจีน ซึ่งที่จริงไม่ใช่แค่จีน แต่คือใช้ต่อรองกับทุกประเทศ ตรงนี้เป็นประเด็นสำคัญ เพราะคนจะมองว่าคนที่โดนหนักคือจีน แต่ถ้ามองดีๆ จะเห็นว่างวดนี้ทรัมป์ไม่ได้โฟกัสแค่จีน เช่นตอนนี้ขึ้นภาษีฝั่งแคนาดาและเม็กซิโก 25% ขณะที่ขึ้นจีน 10% ฉะนั้นทรัมป์กำลังจะดำเนินนโยบายกับทุกประเทศเพื่อนำผลประโยชน์มาให้อเมริกา ไม่เฉพาะกับจีน
(2) ให้ย้ายโรงงานผลิตกลับมาที่สหรัฐ เพื่อสร้างงาน ซึ่งเถียงกันว่าจะเป็นไปได้จริงหรือ อ.อาร์มมองว่าเป็นไปได้ เพราะเดี๋ยวนี้โรงงานเป็นระบบ automation คือใช้หุ่นทำเยอะขึ้น ประเด็นคือมันอาจไม่เพิ่มการจ้างงานน่ะสิ แต่ถ้าทำได้ ทรัมป์ก็เคลมได้ว่าตัวเองทำสำเร็จ
(3) เรื่องความมั่นคง: เพราะสหรัฐเริ่มเสียประสิทธิภาพในการผลิตสิ่งต่างๆ ไป ต้องพึ่งพาจีนมากขึ้น เช่นไม่มีหน้ากากช่วงโควิด ส่วนประกอบของรถถังอาจต้องสั่งจากจีน จึงต้องการผลิตเองมากขึ้น
...

(1) Deal Maker: ทรัมป์เป็นนักต่อรอง ฉะนั้นเขาจะวัดว่าตัวเองชนะมั้ยโดยดูว่า เมื่อขยับหมากนี้แล้วเขาได้อะไร เช่น เขาต้องการเจรจาให้เกิดสันติภาพในยูเครน แล้วอาจได้ทั้งประโยชน์และภาพลักษณ์ ทรัมป์สนใจสิ่งที่ตัวเองจะได้รับและได้ประโยชน์ ซึ่งบางทีอาจใช้วิธีการที่ชวนสับสน หรือดูไม่สมเหตุสมผล หรือใช้ตรรกะจับไม่ได้ แต่นั่นคือวิธีต่อรองของเขา
(2) ความเป็นทุนนิยม: ฉะนั้นจะดำเนินนโยบายอะไรเขาแคร์ตลาดหุ้นอยู่ด้วยเสมอ บางการตัดสินใจอาจดูบุ่มบ่าม แต่ก็หันมองเรื่องนี้อยู่ตลอด
(3) ทรัมป์เป็นหัวหน้าพรรคทรัมป์: คือไม่ใช่ผู้นำรีพับลิกัน แต่เป็น 'พรรคทรัมป์' จะตัดสินใจอะไรก็ต้องดูว่าผู้สนับสนุนที่พาเขามาถึงตรงนี้ พรรคพวกเดียวกันใครได้ประโยชน์อะไรบ้าง คุณต้นสนสะกิดว่า เวลาดูผลประโยชน์ อย่าไปมองเป็นประเทศเท่านั้น ต้องดูผลประโยชน์ของคนแวดล้อมด้วย
...

อ.อาร์มวิเคราะห์ว่า โลกอาจไม่ได้แบ่งขั้วแบบเดิมอย่างที่เราเข้าใจว่า สหรัฐ-จีนจะไฝว้กันแบบสองขั้วโดยใช้ 'ตลาดโลก' เป็นสนามรบ แต่เป็นไปได้ว่า แต่ละคนอาจโฟกัสไปที่ภูมิภาคของตัวเอง เหมือนที่ตอนนี้ทรัมป์ขยับหมากในส่วนอเมริกาเหนือ (แคนาดา เม็กซิโก) โลกจะกลายเป็น 'Zone of Influence' แล้วเกิดภาพสามมหาอำนาจนั่งแบ่งเค้กกันบนโต๊ะอาหาร อันประกอบด้วยทรัมป์-สีจิ้นผิง-ปูติน ทำดีลยักษ์กัน ส่วนคำถามว่าแล้วประเทศอื่นไปอยู่ที่ไหน คำตอบคือ กลายเป็น 'เมนูอาหาร' บนโต๊ะให้สามมหาอำนาจหั่นแล่กัน ซึ่งถ้าเป็นแบบนี้ ก็มีคำถามต่อไปว่า อเมริกาจะมีท่าทียังไงกับไต้หวัน มีโอกาสไหมที่ไต้หวันจะต้องสังเวย 'ดีลยักษ์' ที่แบ่งผลประโยชน์เป็นภูมิภาคแบบนี้
...

อ.อาร์มบอกว่าทรัมป์ 2.0 นั้นต่างจาก 1.0 เพราะตอนที่ทรัมป์ขึ้นมาครั้งแรก ศก.จีนกำลังรุ่ง แต่ในครั้งนี้จีนไม่ได้รุ่งแบบเดิมแล้ว สีจิ้นผิงอวยพรปีใหม่ว่าปีนี้เต็มไปด้วยขวากหนาม ฉะนั้น ถ้านโยบายทรัมป์มากระทบศก.จีน อาจตกเป็นประโยชน์กับรัฐบาลจีน เพราะสามารถผายมือไปที่อเมริกาได้ว่า เป็นตัวการให้ศก.จีนไม่โงหัว ซึ่งประชาชนจีนจะมองว่าอเมริกาเป็นตัวการมากกว่ารัฐบาลของตัวเอง
และทรัมป์งวดนี้ก็อาจไม่ได้ซัดโหดกับจีนแบบครั้งที่แล้ว จีนเองก็ไว้ท่าทีอยู่ อย่างสงครามในยูเครนที่จริงก็เป็นผลดีกับทั้งจีนและสหรัฐ คนที่เสียเปรียบคือยุโรปและรัสเซีย จีนเป็นตัวแปรสำคัญในการยุติสงคราม ทรัมป์จึงญาติดีกับจีนอยู่ โดยสร้างแรงจูงใจว่า ถ้าสงครามยุติจะต้องมีการก่อสร้างใหม่ในยูเครนมากมาย ซึ่งจีนสามารถเข้าไปทำเรื่องนี้ได้เต็มที่
แต่คนจีนอ่านสามก๊ก ก็รู้ดีว่า สองก๊กที่เล็กกว่าจะต้องจับมือกันให้แน่น (ซุนกวน+เล่าปี่) ก็เหมือนท่านสีกับท่านปูตินที่พยายามจับมือกันไว้เพื่อสู้กับโจโฉ เกมสามก๊กนี้จะต้องรอดูกันไป
ประเด็นคือ บริบทของสงครามการค้าอเมริกา-จีนรอบนี้ไม่เหมือนเดิม จึงมองแบบเดิมไม่ได้
...

คุณต้นสนมองว่าภาพศก.จีนยังเหมือนเดิม คือเก่ง supply แต่อ่อน demand จึงมีสินค้าล้นตลาดเยอะ ฉะนั้นพอเจอกำแพงภาษีจากสหรัฐ ก็ต้องทะลักไปตลาดอื่น ซึ่งแน่นอนว่าคืออาเซียน ปีนี้น่าจะทะลักมากขึ้นอีก ผลรุนแรงขึ้นอีก กระทบตลาดไทยแน่นอน นี่คือผลกระทบทางอ้อมจากนโยบายกำแพงภาษีที่เราจะโดน จีนพยายามหาตลาดส่งออกใหม่ๆ โดยไทยเป็นเหมือนสนามซ้อมของเขา เช่นตลาดรถไฟฟ้า
...


โลกจะเข้าสู่ยุคที่แปลกประหลาดคือ "Globalization ที่ excluding สหรัฐกับจีน" คือจีนก็จะใช้สินค้าที่ผลิตในจีน สหรัฐก็ใช้สินค้าที่ผลิตในสหรัฐ
เช่นนี้ไทยจะถูก 3 บีบ
1) เราจะส่งสินค้าไป US ไม่ได้แบบเดิม
2) ส่งไปจีนก็ไม่ได้ เพราะในจีนจะแข่งกันดุมาก
3) สินค้าจีนจะทะลักเข้ามาอีก เพราะส่งไป US ไม่ได้
แถมตลาดโลกก็จะแย่ลงอีก ด้วยการแข่งขันแบบนี้
อ.อาร์มบอกว่า "เราไม่ได้อยู่ในยุคทองอีกต่อไป" สิ่งที่เคยได้รับผลประโยชน์มาจากการเติบโตของเศรษฐกิจโลกมันไม่มีเหมือนเดิมแล้ว และตอนนี้ไม่มีปัจจัยอะไรที่ดีต่อไทยขนาดนั้น เราต้องปรับตัวและแอคชั่นมากขึ้น
...

ผลที่จะเกิดในไทย
1) ธุรกิจจีนจะมาชุบตัวในไทยเพื่อส่งไปขาย US
2) ธุรกิจจีนมาขายในตลาดไทย เช่น รถ EV คำถามคือเราได้ประโยชน์จากเขาบ้างไหม
3) ทุนทั่วโลกอาจอยากมาลงทุนในไทย ถ้าเรามีความเป็นกลาง และสามารถส่งสินค้าไปที่ US ได้--อันนี้เป็นโอกาส
คุณต้นสนเสนอสามเรื่อง
1) Negotiate: ต้องดำเนินการเจรจาโดยมีภาคเอกชนผสานไปกับภาครัฐ เพราะเวลาทรัมป์ดำเนินนโยบายและต่อรอง เขาต้องการรู้ว่าเราจะให้อะไรเขาได้บ้าง เรื่องนี้ซับซ้อนเกินกว่าแค่จะเป็นเรื่องของตัวแทนจากภาครัฐเท่านั้น
2) Leverage: หาวิธีดึง talent เก่งๆ เข้ามาทำงานในประเทศ เพื่อสร้างนวัตกรรมและการเรียนรู้ในประเทศในอุตสาหกรรมที่ตอบโจทย์ยุคสมัย
3) Make: เราทำอะไรได้บ้าง โรงงานต่างๆ ที่มาตั้งในไทย เราจะได้ประโยชน์หรือเพิ่มมูลค่าตัวเองได้ยังไงบ้าง สินค้าจีนที่ทะลักเข้ามาอาจทำให้ผู้บริโภคซื้อถูกลง แต่ทำลาย SME ในไทยรึเปล่า? ทุนสีเทาทั้งหลายเราทำอะไรได้บ้าง ซึ่งถ้าเราปราบปรามได้อาจทำให้เรามีบทบาทมากขึ้น ได้เครดิตเพิ่มขึ้นในเวทีอาเซียนและเวทีโลก
...
โดยสรุป วิทยากรทั้งสามท่านเห็นว่า
-โลกกำลังอยู่ในยุคที่ระเบียบเดิมถูกเขย่า ถูกตั้งคำถาม ทำให้เกิดความผันผวนและคาดเดายาก
-ขณะที่ทรัมป์เกาะกระแสความผันผวนนี้ขึ้นมาโดยเสนอนโยบายที่ชัดเจนต่อสิ่งที่มีผู้คนจำนวนหนึ่ง 'รู้สึก' นั่นคือเรื่องของผู้คนทั้งหลายที่มาทำลายระเบียบเดิมที่สหรัฐอเมริกาเคยควบคุมอยู่
-ด้วยบุคลิกการเป็นนักต่อรอง ให้มองไปที่เป้าหมายและตัวชี้วัด เพราะนโยบายแรงๆ ทั้งหลายอาจเป็นแค่เครื่องมือเพื่อไปสู่เป้าหมายนั้น
-โลกอาจไม่ใช่ตลาดที่หลายๆ ประเทศมาแบ่งเค้กกันด้วยการสร้างเค้กให้ใหญ่ขึ้นแบบเดิม แต่กลายเป็นว่ามหาอำนาจพยายามคุมส่วนแบ่งของตัวเองไม่ให้ใครมาเฉือนไป ซึ่งกระทบประเทศเล็กๆ แน่นอน
สุดท้าย, ในกระแสที่ตั้งคำถามกับ establishment เดิมทั้งหลาย ในต่างบริบทก็จะต่างกันออกไป เช่นในอเมริกาคือกระแสด้านกลับที่ตีกลับกลุ่ม woke หรือฝั่ง liberal ส่วนในไทยอาจเป็นกระแสที่ตีกลับกลุ่ม conservative เพราะเมื่อเศรษฐกิจไม่ดี ความเป็นอยู่ไม่ดี กลุ่มที่เคยเสียงดังเคยครองอำนาจก็จะถูกตั้งคำถาม หากจะจับกระแสก็ต้องมองทีละสังคม




#นิ้วกลมบันทึก
---
ขอบคุณวิทยากรทั้งสามท่านอย่างยิ่งครับ เป็นยามเช้าที่ประเทืองปัญญามาก ประทับใจมุมมองที่แหลมคมของอ.อาร์ม คุณต้นสน และเกร็ดคมๆ จากคุณมาร์คมากๆ
ขอบคุณ IMETMAX อุทยานแห่งปัญญาที่จัดกิจกรรมดีๆ แบบนี้ด้วยครับ ขอบคุณ OC ทุกท่านที่อยู่เบื้องหลัง พี่วู้ดดี้และพี่เจี๊ยบที่ให้เกียรติมาร่วมงานและตั้งคำถามชวนคิดด้วยครับผม
ขอบคุณ LINE MAN Wongnai ที่เอื้อเฟื้อสถานที่ และทีม Skooldio ที่มาช่วยรันวงการด้วยครับ
https://www.facebook.com/photo/?fbid=10162935673434579&set=a.391558859578