ในฐานะที่ผมเคยเป็นหัวหน้าพรรค "รักประเทศไทย" พรรคใหม่ก่อนการเลือกตั้งเมื่อปี 2554 ได้รับคะแนนเสียงเกือบ 1 ล้านทั่วประเทศ ได้ ส.ส. เข้าไปในสภาถึง 4 คน
ขอออกความเห็นเสียหน่อย เพราะวันก่อนมีพรรคการเมืองเล็กแห่กันไปลงทะเบียนกว่า 42 พรรค ภายใต้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่
การจัดตั้งพรรคใหม่นั้นไม่ได้ยากเย็นอะไร จะชูนโยบายทำคุณประโยชน์เพื่อชาติเพื่อสังคม เป็นทางเลือกใหม่ เป็นทางออก เป็นความแตกต่างอย่างไร ก็พูดไปเถอะครับ
แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าจะทำให้ได้รับเลือกตั้ง
การที่ประชาชนจะยอมตื่นขึ้นมาในวันหยุด เพื่อไปกาบัตรลงคะแนนให้เราแม้เพียงสักคะแนนเดียว ไม่ใช่เรื่องง่าย
บรรดาพรรคใหม่ 42 พรรค จะมีสักพรรคหรือ สองพรรคได้เข้าไปหรือเปล่ายังไม่รู้
ส่วน “รัฐบาลผสม” ที่ว่า ก็ไม่ใช่ผสม ส.ส. แต่เป็นผสม ส.ว.
ลองมาดูรัฐธรรมนูญใหม่ที่เหมือนจะออกแบบกติกามาให้พรรคเล็กพรรคน้อยมีโอกาส แต่ความเป็นจริงแล้ว เซียนการเมืองย่อมรู้แจ้งเห็นชัดว่าเป็นเพียง "เรื่องลวง”
สมัยก่อนมี 2 ใบให้กา ทั้งแบบเขตและแบบบัญชีรายชื่อ แต่สมัยนี้มีให้กาแค่ใบเดียวคือเลือก ส.ส.เขต แล้วเอาคะแนนจาก ส.ส. แต่ละเขตมานับรวมเป็นคะแนน ส.ส.บัญชีรายชื่อ นั่นหมายความว่าจะต้องส่งผู้สมัคร ส.ส.เขต ไปทั่วประเทศ หรืออย่างน้อยก็ทั่วทั้งภาคจึงจะมีคะแนนมากพอให้ได้ ส.ส.บัญชีรายชื่อ เข้าไปในสภา
แล้วพรรคแบบไหนกันถึงจะมี ส.ส.เขต เยอะขนาดนั้น? ย่อมไม่ใช่พรรคเล็กพรรคน้อยที่เพิ่งจัดตั้ง และไม่มีกลุ่มทุนหนุนหลัง
การเมืองเหมือนกระแสคลื่นในทะเล ไม่มีความแน่นอน ผันผวนได้ทุกวินาที ต้องพึ่งหลายปัจจัยและต้องอ่านให้ออก
ประชาชนเขาไม่ได้บอกเราตรงๆ เวลาออกไปหาเสียงเขายิ้มรับหมด แต่ท้ายสุดเขาไม่เลือก นักการเมืองจึงมักถูกหลอก
อย่าว่าแต่พรรคเล็กๆเลยครับ แม้แต่พรรคใหญ่บางพรรค เคยใช้กลยุทธ์บีบนำ้ตาก่อนวันเลือกตั้งยังอดเป็นรัฐบาลส่วนอีกพรรคถูกหลอกว่า ก่อนวันเลือกตั้งคะแนนจะไหลมาเทมา แต่นี่ไหนได้ คะแนนไม่ไหล กลับเป็นเงินที่ไหลแทน
บางพรรคฝอยว่าจะได้อย่างต่ำ 20 คน ถึงเวลาจริงๆสักคนเดียวยังไม่ได้ บางเขตที่ว่าได้ชัวร์ถึงวันจริงสอบตกเฉย หรือบางคนตอนหาเสียงภาพลักษณ์ดี แต่ไม่มีปัจจัย ก็ได้เป็นแค่ ส.ส. นอกสภา
หลักการง่ายๆของการเลือกตั้ง "ไม่ได้คะแนนมากพอก็ไม่ได้ ส.ส. เข้าสภา"
บางคนรู้ดี ต่อให้ลงยังไงก็ไม่ได้รับเลือก เลิกสั่งสมบารมีกับประชาชน แล้วอดทนรอช่วงภาวะพิเศษ ไม่ต้องใช้คะแนน ใช้แต่เส้นสายก็ได้เข้าไปเฉิดฉายในวงการเมือง
ไม่รู้ว่าน่าอิจฉาหรือน่าเวทนากันแน่