คดีหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ฯ หรือ คดีมาตรา 112 ได้รับความสนใจจากสาธารณะชนหลังศาลสั่งจำคุก 20 ปี "อากง SMS" และเกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์มากมาย ท่ามกลางสถานการณ์ทางการเมืองที่รุนแรงในช่วงต้นปี 2557 ศาลเริ่มแสดงการปรับตัวในการเขียนคำพิพากษาคดี 112 เพราะคำพิพากษาที่ออกมา 4 ใน 5 ฉบับศาลมีความผ่อนคลายมากขึ้น โดยให้รอลงอาญาจำเลยที่มีอาการป่วย และยกฟ้องคดีที่หลักฐานยังไม่ชัดเจน
การผ่อนคลายความตึงเครียดเกิดขึ้นในช่วงเวลาสั้นๆเท่านั้น เพราะการรัฐประหารในวันที่ 22 พฤษภาคม 2557 ได้พลิกสถานการณ์แบบหน้ามือเป็นหลังมือ
การแสดงท่าทีเอาจริงเอาจังกับผู้กระทำความผิด มีผลให้ ตำรวจ อัยการ และศาล ต้องเร่งรัดการทำงานไปด้วย ทำให้หลังการรัฐประหารมีคดี 112 เข้าสู่ชั้นศาลเป็นจำนวนมาก จำนวนผู้ต้องขังหน้าใหม่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนสูงสุดถึง 24 คนเมื่อสิ้นปี 2557
หลังรัฐประหาร ยังมีปรากฎการณ์ใหม่ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน เช่น การนำพลเรือนขึ้นศาลทหาร การพิจารณาคดีลับ การเพิ่มอัตราโทษในคดี การนำกระบวนการ"สมานฉันท์" มาใช้กับคดี 112 การดำเนินคดีฐาน"แอบอ้าง" กับบุคคลใกล้ชิดสถาบันจำนวนมาก เป็นต้น
การเพิ่มจำนวนคดีในเวลาอันรวดเร็ว และปรากฎการณ์ใหม่ๆที่เกิดขึ้นหลังการรัฐประหาร ทำให้บรรยากาศที่เริ่มผ่อนคลายในช่วงต้นปี กลับมาเขม็งเกลียวอีกครั้ง ราวกับว่า ขณะที่ศาลพยามจะเดินไปข้างหน้าหนึ่งก้าว การรัฐประการได้นำเราเดินถอยหลังกลับมาสามก้าว และแนวโน้มในปี 2558 เราอาจจะได้พบกับปรากฏการณ์ใหม่ๆ และเดินถอยหลังไปอีกหลายก้าวก็ได้
อ่านรายงานฉบับเต็มได้ที่ >>>
http://freedom.ilaw.or.th/blog/LeseMajeste2014
อ่านรายงานปี 2557 เรื่องการเรียกบุคคลรายงานตัว การจับกุม และการควบคุมตัวบุคคลตามกฎอัยการศึกได้ที่>>>
http://freedom.ilaw.or.th/blog/Arrest2014
อ่านรายงานปี 2557 เรื่องการชุมนุมสาธารณะและการตั้งข้อหาทางการเมือง ได้ที่ >>> http://freedom.ilaw.or.th/blog/PoliticalCharges2014
อ่านรายงานปี 2557 เรื่องคดีหมิ่นประมาทและพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ได้ที่ >>> http://freedom.ilaw.or.th/blog/Defamation2014
อ่านรายงานปี 2557 เรื่องเก็บตกการคุกคามสื่อก่อน-หลังรัฐประหาร ได้ที่ >>> http://freedom.ilaw.or.th/blog/Other2014
ooo
Danger for Monarchy and the Monarch in Thailand............
การนำกษัตริย์ และ สถาบันกษัตริย์
มาอ้าง มาอิง มาโหน มาอวย
มาต่อสู้กันทางการเมือง
ในระยะยาว เป็นอันตราย
และ เป็นภัยต่อทั้งกษัตริย์ และสถาบันฯ เอง
ใน ปวศ ของทุกประเทศ/ชาติในโลกใบนี้
หากนำ สถาบันกษัตริย์
มาชน/ปะทะกับ สถาบันประชาธิปไตย/ประชาชน
ฝ่ายหลัง เป็นผู้ชนะ ในทุกๆ ประเทศ/ชาติ
ปัจจุบัน สหประชาชาติ
UN ที่เป็นที่รวมของ ทุกประเทศชาติในโลก
มีสมาชิกทั้งหมด 193 ประเทศ
เป็นประเทศที่มีกษัตย์ 27 ประเทศ = 13 %
คือเป็น minority
เป็นประเทศที่มีประธานาธิบดี 166 ประเทศ = 87 %
คือเป็น majority
ประเทศที่รักษาสถาบันฯ ไว้ได้
ต้องประนีประนอม เกี้ยเซี้ย กับ ประชาธิปไตย/ประชาชน
ไม่ใช้ กม หมิ่นฯ พร่ำเพรื่อ
อ้าง อิง โหน อวย ซ้ำๆ ซากๆ
เช่น สหราชอาณาจักร ยุโรปตะวันตก กับ ญี่ปุ่น
ดังนั้น ถ้าต้องการรักษากษัตริย์ และสถาบันฯ
นอกจากจะต้อง ปฏิรูป กม หมิ่นฯ แล้ว
ยังต้องคิดใหม่ สร้างวัตรปฏิบัติใหม่ ต่อทั้งกษัตริย์ และสถาบันฯ ครับ
cK@LeseMajesteLawReform
การนำกษัตริย์ และ สถาบันกษัตริย์
มาอ้าง มาอิง มาโหน มาอวย
มาต่อสู้กันทางการเมือง
ในระยะยาว เป็นอันตราย
และ เป็นภัยต่อทั้งกษัตริย์ และสถาบันฯ เอง
ใน ปวศ ของทุกประเทศ/ชาติในโลกใบนี้
หากนำ สถาบันกษัตริย์
มาชน/ปะทะกับ สถาบันประชาธิปไตย/ประชาชน
ฝ่ายหลัง เป็นผู้ชนะ ในทุกๆ ประเทศ/ชาติ
ปัจจุบัน สหประชาชาติ
UN ที่เป็นที่รวมของ ทุกประเทศชาติในโลก
มีสมาชิกทั้งหมด 193 ประเทศ
เป็นประเทศที่มีกษัตย์ 27 ประเทศ = 13 %
คือเป็น minority
เป็นประเทศที่มีประธานาธิบดี 166 ประเทศ = 87 %
คือเป็น majority
ประเทศที่รักษาสถาบันฯ ไว้ได้
ต้องประนีประนอม เกี้ยเซี้ย กับ ประชาธิปไตย/ประชาชน
ไม่ใช้ กม หมิ่นฯ พร่ำเพรื่อ
อ้าง อิง โหน อวย ซ้ำๆ ซากๆ
เช่น สหราชอาณาจักร ยุโรปตะวันตก กับ ญี่ปุ่น
ดังนั้น ถ้าต้องการรักษากษัตริย์ และสถาบันฯ
นอกจากจะต้อง ปฏิรูป กม หมิ่นฯ แล้ว
ยังต้องคิดใหม่ สร้างวัตรปฏิบัติใหม่ ต่อทั้งกษัตริย์ และสถาบันฯ ครับ
cK@LeseMajesteLawReform