https://www.facebook.com/panitanw/posts/26141737028747038
Panitan Wattanayagorn
15 hours ago
·
"เราอยู่ในสภาวะสงคราม“ - We are at war
เมื่อปฏิญญาร่วมไทย-กัมพูชาถูกนายกรัฐมนตรีไทยสั่งระงับและพูดว่า "สันติภาพจบแล้ว" โดยสั่งให้เหล่าทัพเตรียมพร้อมเต็มที่ผ่านสภาความมั่นคงแห่งชาติ สิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อไปนี้ ก็น่าจะเป็นไปได้ใน 3 รูปแบบ คือ:
1. รูปแบบแรก - "สงครามเต็มรูปแบบ" หรือ Total War โดยไทยและกัมพูชาเข้าสู่สงครามใหญ่ (Conventional War) อย่างเป็นทางการ ซึ่งไทยมีเป้าหมายที่จะกำจัดความเป็นปฏิปักษ์ของกัมพูชาให้หมดไป โดยเฉพาะทางการทหารและการเมือง ส่วนกัมพูชาต้องการให้นานาชาติ รวมทั้งจีน สหรัฐฯ สหประชาชาติ เข้ามาแทรกแซง ช่วยจัดแนวชายแดนและเส้นเขตแดนให้ตนได้ดินแดนมากขึ้น รวมทั้งต้องการเปิดด่าน ยุติการถูกกดดันในทุกรูปแบบ ยุติการปราบปรามแก๊งค์คอลเซ็นเตอร์ และต้องการสอนบทเรียนให้กับไทยอย่างที่เคยทำไว้กับหลายชาติว่ากัมพูชามีพวกพ้องในเวทีโลกที่คอยช่วยเหลืออยู่เสมอ
หากสงครามใหญ่เกิดขึ้นจริง ก็จะสอดคล้องกับความต้องการของชาวไทยจำนวนมากที่ต้องการให้เรื่องความขัดแย้งไทย-กัมพูชานั้น "จบ ๆ ไป" แบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาด เพราะมองว่าไทยได้เปรียบแทบทุกประตู แต่จะจบได้จริงหรือไม่นั้น ไทยก็จะต้องระดมสรรพกำลังของทุกภาคส่วนเข้ามาประกอบกันในการทำสงคราม โดยเฉพาะกองทัพไทยก็ต้องระดมกำลังรบทั้งหมดที่มีอยู่เคลื่อนเข้ายึดพื้นที่สำคัญทั้งทางการทหารและทางการเมืองของกัมพูชาที่สำคัญ ๆ ไว้ให้ได้ทั้งหมด แล้วสถาปนาหรือกำหนดเงื่อนไข "ความเป็นมิตร" ให้กับกัมพูชาที่พ่ายแพ้สงคราม
ซึ่งก็จะคล้าย ๆ กับที่เวียดนามเคยทำกับกัมพูชาอย่างเต็มรูปแบบในปีพ.ศ. 2521 โดยได้ส่งกองกำลังทหารประมาณ 150,000 - 200,000 นาย (ที่มีประสบการณ์รบสูงมากจากการเอาชนะสหรัฐอเมริกาได้ในสงครามเวียดนาม) เข้าไปโค่นล้มรัฐบาลเขมรแดงพอลพตที่สนับสนุนโดยจีนที่ได้ฆ่าล้างเผ่าพันธ์ชาวเวียตนามและกัมพูชากันเองไปเกือบสามล้านคน และจัดตั้งรัฐบาลหุ่นเชิด ขีดเส้นปักหมุดเขตแดนใหม่ให้เวียดนามได้ดินแดนเพิ่ม โดยยึดครองกัมพูชาไว้นานกว่า 10 ปี แต่ภ่ยหลังก็ถูกต่อต้านว่าเป็นผู้รุกราน และในที่สุดก็จำต้องถอนกำลังกลับเหตุเพราะแรงกดดันและการคว่ำบาตรของสหประชาชาติ รวมทั้งไทยและอาเซียน และเวียดนามยังต้องปฏิบัติตามข้อตกลงสันติภาพปารีสในปี 2534 ที่มีชาติมหาอำนาจกำกับ หลังจากนั้น ก็มีกองกำลังรักษาสันติภาพของสหประชาชาติ (UNTAC) อีกกว่า 20,000 คนเข้าไปควบคุมดูแลกัมพูชาแทน
สงครามเวียดนาม-กัมพูชาในครั้งนั้น เวียดนามสูญเสียกำลังทหารไปกว่า 30,000 นาย กัมพูชาสูญเสียไปกว่า 100,000 คน มีหลายประเทศทั้งมหาอำนาจ ทั้งไทยและเพื่อนบ้านเข้าไปเกี่ยวข้องและสู้รบด้วย สุดท้ายแล้ว เวียดนามกับกัมพูชาก็ต้องเข้าสู่การเจรจาสันติภาพและต้องกลับไปฟื้นฟูความสัมพันธ์กันใหม่ซึ่งก็ใช้เวลานานนับสิบปีกว่าจะกลับมาเป็นปกติได้
สงครามในรูปแบบที่หนึ่งนี้ ในขณะนี้ระหว่างไทย-กัมพูชายังเป็นไปได้ไม่มาก บริบทในปัจจุบันต่างกันมาก แม้ว่าทั้งสองประเทศจะเข้มแข็งทางการทหารมากขึ้น แต่ก็มีข้อจำกัดหลายอย่างมากขึ้น ในส่วนของไทย ก็ยังไม่มีการเปิด "ห้องบัญชาการรบ" (War Room) ในระดับนโยบายสูงสุดที่สภาความมั่นคง (สภาสงครามเดิม) หรือไม่มีการจัดตั้ง "คณะรัฐมนตรีสงคราม" (War Cabinet) เพื่อควบคุมทิศทางของสงครามสมัยใหม่ที่จะต้องรบกันในทุกทุกมิติทุกสมรภูมิ
แต่ก็ต้องถือว่าแนวโน้มที่จะเกิดสงครามใหญ่มีมากขึ้นกว่าเดิม เพราะด้วยกระแสชาตินิยมที่เข้มข้นขึ้น ด้วยการเตรียมพร้อมและความตั้งใจของกองทัพที่มีมากขึ้น และด้วยการสั่งการหรือการขู่ของฝ่ายการเมืองที่เกิดขึ้น ซึ่งหากการขู่ไม่ได้ผลและมีการตัดสินใจในขั้นสุดท้ายของฝ่ายผู้นำของทั้งสองประเทศให้เข้าสู่สมรภูมิแล้ว สงครามใหญ่ก็จะเกิดขึ้นได้ไม่ยาก
หากสงครามใหญ่เกิดขึ้นจริง ความสูญเสียที่จะเกิดขึ้นต่อทั้งสองฝ่ายก็คงไม่น้อย การยุติความเป็นศัตรูและสร้างความเป็นมิตรต่อกัน ก็คงจะยุ่งยากมากขึ้น เหตุเพราะมีแนวโน้มว่าจะไม่มีใครแพ้ชนะแบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาด ดังนั้น หนทางสู่สันติภาพที่หลายฝ่ายต้องการจากปากกระบอกปืนนั้น ก็คงจะยังอีกยาวไกล
2. รูปแบบที่สอง - "ความขัดแย้งแบบจำกัดและต่อเนื่อง" (Continumm of Limited Conflict) หากไม่มีการเปลี่ยนแปลงผู้นำการเมืองหรือทางการทหารแล้ว ไทยและกัมพูชาก็ยังคงขัดแย้งกันต่อไปและอย่างต่อเนื่อง ในทางการเมือง คงจะมีการกล่าวหาและโต้ตอบกันรายวันเช่นเดิม ในทางการทหาร ก็จะมีการกระทบกระทั่งหรือปะทะกันตามจุดต่าง ๆ เป็นระยะ ๆ ตลอดแนวชายแดน และอาจจะมีโอกาสได้ยึดครองพื้นที่กันมากขึ้น โดยมีมหาอำนาจและชาติต่าง ๆ เข้ามาสนับสนุน แทรกแซงหรือกดดันให้ทั้งสองฝ่ายสู้รบและกลับเข้าสู่ข้อตกลงสันติภาพคู่ขนานกันควบคู่กันไป
แต่การสู้รบแบบจำกัดนี้อาจจะไม่บานปลาย เหตุเพราะผู้นำทางการเมืองยังไม่พร้อม หรือยังไม่เห็นว่าการเข้าสู่สงครามใหญ่นั้นจะได้ประโยชน์สูงสุด หรืออาจจะเห็นแล้วว่าสงครามนั้นจะไม่ยุติลงด้วยชัยชนะอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาดของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ที่สำคัญ ความสูญเสียจริง ๆ ที่จะเกิดขึ้นนั้น อาจจะเกินกว่าที่ประชาชนทั่วไปรับได้ และยังอาจจะเกิดกระแสตีกลับความนิยม ทำให้อำนาจทางการเมืองของตนลดน้อยถอยลง หรือถึงขั้นต้องเปลี่ยนผู้นำเพราะตัดสินใจผิดพลาดทำให้เกิดความสูญเสียหรือเพลี่ยงพล้ำ
สถานการณ์ในรูปแบบที่สองนี้ ขณะนี้ถือว่าเกิดขึ้นอยู่แล้วในปัจจุบัน และเป็นรูปแบบที่น่าอึดอัดขัดใจประชาชนหลายกลุ่มเป็นที่สุด เพราะทำให้ต้องอยู่ในสภาพที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก หลายคนไม่สามารถดำรงชีวิตเป็นปกติได้ โดยเฉพาะตามแนวชายแดน และทำให้เกิดบรรยากาศของความหวาดกลัววิตกกังวลโดยรวม
ต้องตั้งรับต่อเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา หรือมีความรู้สึกว่าถูกกระทำ ถูกบิดเบือน ถูกให้ร้ายจากฝ่ายตรงข้ามอย่างไม่เป็นธรรม
คนไทยจำนวนมากจึงมีความต้องการให้มีการแก้ไขสถานการณ์ดังกล่าวอย่างรวดเร็ว ชัดเจน เข้มแข็ง และเข้มข้นขึ้นด้วยความเป็นเอกภาพ เพื่อรักษาเอกราช อธิปไตย ความปลอดภัย เพื่อให้ไทยได้เปรียบขึ้น หรืออย่างน้อยก็ไม่เสียเปรียบ โดยทำอย่างเป็นระบบ เป็นขั้นเป็นตอน เป็นสัดส่วน ตามระบบที่ดีและมีอยู่แล้ว และก็ไม่ได้หมายความว่าไทยจะต้องกระโจนเข้าสู่สงครามใหญ่กับกัมพูชาโดยไม่จำเป็น
3. รูปแบบที่สาม - "กลับสู่ข้อตกลงสันติภาพ" ปัจจุบันความขัดแย้งไทย-กัมพูชานั้น ไม่ได้จำกัดอยู่แต่เพียงสองประเทศหรือในระดับทวิภาคีตามที่ไทยต้องการและได้ยืนยันมาตั้งแต่แรกอีกต่อไป สหรัฐอเมริกา จีน ญี่ปุ่น สมาชิกอาเซียน และอีกหลายประเทศ รวมทั้งสหประชาชาติ ก็ได้เข้ามาเกี่ยวข้อง แทรกแซง และชี้นำไทยและกัมพูชาให้เดินตามแนวทางของตนเองอย่างชัดเจน ทั้งนี้ ต่างก็เพราะมีผลประโยชน์ของตนที่ต้องรักษาไว้อย่างที่ทราบกัน และไทยก็อ่อนแอเกินกว่าที่จะยับยั้งการแทรกแซงเหล่านั้นได้
สถานการณ์ในรูปแบบที่สามนี้กำลังเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วตามความเร็วของการเชื่อมโยงในโลกสมัยใหม่ เราจึงได้เห็นการกดดันและแทรกแซงจากชาติต่าง ๆ นับตั้งแต่แรกที่เริ่มสู้รบกันจนถึงปัจจุบัน ในขณะนี้ก็ชัดเจนพอสมควรว่า สหรัฐฯ จีน และบางประเทศ จะใช้เงื่อนไขทั้งทางเศรษฐกิจ การทหาร การเมือง และอื่น ๆ กดดันไทยให้กลับไปสู่ข้อตกลงสันติภาพหรือปฏิญญาร่วมกับกัมพูชาอีก
ดังนั้น ไทยควรจะต้องตั้งหลักให้ดี หา "สมดุลใหม่" ทางยุทธศาสตร์ (Strategic New Equilibrium) ของตนเองให้ได้ และพึงระวังให้มากอยู่เสมอว่าไม่ควรจะไปเผชิญหน้าหรือขัดแย้งกับประเทศต่าง ๆ เหล่านั้นโดยไม่จำเป็น ซึ่งบ้างก็เป็นมหาอำนาจ บ้างก็เป็นพันธมิตรทางการทหาร บ้างก็เป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ และส่วนใหญ่ก็เป็นมิตรประเทศและเป็นคู่ค้าที่สำคัญลำดับต้น ๆ ของเรา
ในขณะเดียวกัน ไทยก็ควร "ทำความเข้าใจ" กับประเทศเหล่านั้นให้ชัดเจนว่ากัมพูชาเป็นฝ่ายละเมิดข้อตกลงสันติภาพในรอบล่าสุดนี้ตั้งแต่แรก (เช่น การถอนกำลังฝ่ายเดียวโดยไม่มีการสังเกตการณ์อย่างเป็นทางการ ลอบเข้ามาวางทุ่นระเบิดใหม่ ใช้อาวุธคุกคาม รุกล้ำอธิปไตยและดินแดน ฯลฯ)
ที่สำคัญ ไทยควรเสนอให้มีกลไกและมาตรการเพิ่มเติมเพื่อบังคับและลงโทษกัมพูชาหากทำเช่นเดิมอีก โดยให้ชาติเหล่านั้น ช่วยกดดันและบังคับให้กัมพูชากลับเข้ามาสร้างสันติภาพอย่างจริงจังกับไทย ก่อนที่ไทยจะยอมรับหรือตกลงในทำตามเงื่อนไขต่าง ๆ ของชาติเหล่านั้นอีกครั้ง
โดยสรุป ถึงแม้ว่าไม่มีใครจะหยั่งรู้อนาคตได้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นระหว่างไทยและกัมพูชา แต่มีความจำเป็นที่จะต้องเตรียมรับมือกับสถานการณ์ที่กำลังจะเกิดขี้นอย่างรวดเร็วให้ครบถ้วนและรอบด้านในทุกรูปแบบที่จะเกิดขึ้น ทั้งนี้เพื่อความมั่นคงและปลอดภัยของประเทศและของทุกคน
หมายเหตุจากภาพถ่าย: ขอบคุณสถาบันวิชาการป้องกันประเทศและการอบรมการปฐมนิเทศนายทหารชั้นนายพลของกองทัพไทย รุ่นที่ 50 ที่เชิญผมไปบรรยายเรื่อง “ระเบียบโลกใหม่ : การประเมินภัยคุกคามและโอกาสสำหรับประเทศไทย” อีกปีอย่างต่อเนื่องครับ เมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายนนี้ ขอบคุณเป็นอย่างยิ่งสำหรับความสนใจและคำถามที่น่าสนใจมากหลายคำถามครับ และขอแสดงความยินดีกับนายทหารชั้นนายพลใหม่ทุกท่านทั้ง 391 นายที่ได้รับพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ พระราชทานยศชั้นนายพลด้วยครับ
.....Panitan Wattanayagorn
15 hours ago
·
"เราอยู่ในสภาวะสงคราม“ - We are at war
เมื่อปฏิญญาร่วมไทย-กัมพูชาถูกนายกรัฐมนตรีไทยสั่งระงับและพูดว่า "สันติภาพจบแล้ว" โดยสั่งให้เหล่าทัพเตรียมพร้อมเต็มที่ผ่านสภาความมั่นคงแห่งชาติ สิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อไปนี้ ก็น่าจะเป็นไปได้ใน 3 รูปแบบ คือ:
1. รูปแบบแรก - "สงครามเต็มรูปแบบ" หรือ Total War โดยไทยและกัมพูชาเข้าสู่สงครามใหญ่ (Conventional War) อย่างเป็นทางการ ซึ่งไทยมีเป้าหมายที่จะกำจัดความเป็นปฏิปักษ์ของกัมพูชาให้หมดไป โดยเฉพาะทางการทหารและการเมือง ส่วนกัมพูชาต้องการให้นานาชาติ รวมทั้งจีน สหรัฐฯ สหประชาชาติ เข้ามาแทรกแซง ช่วยจัดแนวชายแดนและเส้นเขตแดนให้ตนได้ดินแดนมากขึ้น รวมทั้งต้องการเปิดด่าน ยุติการถูกกดดันในทุกรูปแบบ ยุติการปราบปรามแก๊งค์คอลเซ็นเตอร์ และต้องการสอนบทเรียนให้กับไทยอย่างที่เคยทำไว้กับหลายชาติว่ากัมพูชามีพวกพ้องในเวทีโลกที่คอยช่วยเหลืออยู่เสมอ
หากสงครามใหญ่เกิดขึ้นจริง ก็จะสอดคล้องกับความต้องการของชาวไทยจำนวนมากที่ต้องการให้เรื่องความขัดแย้งไทย-กัมพูชานั้น "จบ ๆ ไป" แบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาด เพราะมองว่าไทยได้เปรียบแทบทุกประตู แต่จะจบได้จริงหรือไม่นั้น ไทยก็จะต้องระดมสรรพกำลังของทุกภาคส่วนเข้ามาประกอบกันในการทำสงคราม โดยเฉพาะกองทัพไทยก็ต้องระดมกำลังรบทั้งหมดที่มีอยู่เคลื่อนเข้ายึดพื้นที่สำคัญทั้งทางการทหารและทางการเมืองของกัมพูชาที่สำคัญ ๆ ไว้ให้ได้ทั้งหมด แล้วสถาปนาหรือกำหนดเงื่อนไข "ความเป็นมิตร" ให้กับกัมพูชาที่พ่ายแพ้สงคราม
ซึ่งก็จะคล้าย ๆ กับที่เวียดนามเคยทำกับกัมพูชาอย่างเต็มรูปแบบในปีพ.ศ. 2521 โดยได้ส่งกองกำลังทหารประมาณ 150,000 - 200,000 นาย (ที่มีประสบการณ์รบสูงมากจากการเอาชนะสหรัฐอเมริกาได้ในสงครามเวียดนาม) เข้าไปโค่นล้มรัฐบาลเขมรแดงพอลพตที่สนับสนุนโดยจีนที่ได้ฆ่าล้างเผ่าพันธ์ชาวเวียตนามและกัมพูชากันเองไปเกือบสามล้านคน และจัดตั้งรัฐบาลหุ่นเชิด ขีดเส้นปักหมุดเขตแดนใหม่ให้เวียดนามได้ดินแดนเพิ่ม โดยยึดครองกัมพูชาไว้นานกว่า 10 ปี แต่ภ่ยหลังก็ถูกต่อต้านว่าเป็นผู้รุกราน และในที่สุดก็จำต้องถอนกำลังกลับเหตุเพราะแรงกดดันและการคว่ำบาตรของสหประชาชาติ รวมทั้งไทยและอาเซียน และเวียดนามยังต้องปฏิบัติตามข้อตกลงสันติภาพปารีสในปี 2534 ที่มีชาติมหาอำนาจกำกับ หลังจากนั้น ก็มีกองกำลังรักษาสันติภาพของสหประชาชาติ (UNTAC) อีกกว่า 20,000 คนเข้าไปควบคุมดูแลกัมพูชาแทน
สงครามเวียดนาม-กัมพูชาในครั้งนั้น เวียดนามสูญเสียกำลังทหารไปกว่า 30,000 นาย กัมพูชาสูญเสียไปกว่า 100,000 คน มีหลายประเทศทั้งมหาอำนาจ ทั้งไทยและเพื่อนบ้านเข้าไปเกี่ยวข้องและสู้รบด้วย สุดท้ายแล้ว เวียดนามกับกัมพูชาก็ต้องเข้าสู่การเจรจาสันติภาพและต้องกลับไปฟื้นฟูความสัมพันธ์กันใหม่ซึ่งก็ใช้เวลานานนับสิบปีกว่าจะกลับมาเป็นปกติได้
สงครามในรูปแบบที่หนึ่งนี้ ในขณะนี้ระหว่างไทย-กัมพูชายังเป็นไปได้ไม่มาก บริบทในปัจจุบันต่างกันมาก แม้ว่าทั้งสองประเทศจะเข้มแข็งทางการทหารมากขึ้น แต่ก็มีข้อจำกัดหลายอย่างมากขึ้น ในส่วนของไทย ก็ยังไม่มีการเปิด "ห้องบัญชาการรบ" (War Room) ในระดับนโยบายสูงสุดที่สภาความมั่นคง (สภาสงครามเดิม) หรือไม่มีการจัดตั้ง "คณะรัฐมนตรีสงคราม" (War Cabinet) เพื่อควบคุมทิศทางของสงครามสมัยใหม่ที่จะต้องรบกันในทุกทุกมิติทุกสมรภูมิ
แต่ก็ต้องถือว่าแนวโน้มที่จะเกิดสงครามใหญ่มีมากขึ้นกว่าเดิม เพราะด้วยกระแสชาตินิยมที่เข้มข้นขึ้น ด้วยการเตรียมพร้อมและความตั้งใจของกองทัพที่มีมากขึ้น และด้วยการสั่งการหรือการขู่ของฝ่ายการเมืองที่เกิดขึ้น ซึ่งหากการขู่ไม่ได้ผลและมีการตัดสินใจในขั้นสุดท้ายของฝ่ายผู้นำของทั้งสองประเทศให้เข้าสู่สมรภูมิแล้ว สงครามใหญ่ก็จะเกิดขึ้นได้ไม่ยาก
หากสงครามใหญ่เกิดขึ้นจริง ความสูญเสียที่จะเกิดขึ้นต่อทั้งสองฝ่ายก็คงไม่น้อย การยุติความเป็นศัตรูและสร้างความเป็นมิตรต่อกัน ก็คงจะยุ่งยากมากขึ้น เหตุเพราะมีแนวโน้มว่าจะไม่มีใครแพ้ชนะแบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาด ดังนั้น หนทางสู่สันติภาพที่หลายฝ่ายต้องการจากปากกระบอกปืนนั้น ก็คงจะยังอีกยาวไกล
2. รูปแบบที่สอง - "ความขัดแย้งแบบจำกัดและต่อเนื่อง" (Continumm of Limited Conflict) หากไม่มีการเปลี่ยนแปลงผู้นำการเมืองหรือทางการทหารแล้ว ไทยและกัมพูชาก็ยังคงขัดแย้งกันต่อไปและอย่างต่อเนื่อง ในทางการเมือง คงจะมีการกล่าวหาและโต้ตอบกันรายวันเช่นเดิม ในทางการทหาร ก็จะมีการกระทบกระทั่งหรือปะทะกันตามจุดต่าง ๆ เป็นระยะ ๆ ตลอดแนวชายแดน และอาจจะมีโอกาสได้ยึดครองพื้นที่กันมากขึ้น โดยมีมหาอำนาจและชาติต่าง ๆ เข้ามาสนับสนุน แทรกแซงหรือกดดันให้ทั้งสองฝ่ายสู้รบและกลับเข้าสู่ข้อตกลงสันติภาพคู่ขนานกันควบคู่กันไป
แต่การสู้รบแบบจำกัดนี้อาจจะไม่บานปลาย เหตุเพราะผู้นำทางการเมืองยังไม่พร้อม หรือยังไม่เห็นว่าการเข้าสู่สงครามใหญ่นั้นจะได้ประโยชน์สูงสุด หรืออาจจะเห็นแล้วว่าสงครามนั้นจะไม่ยุติลงด้วยชัยชนะอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาดของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ที่สำคัญ ความสูญเสียจริง ๆ ที่จะเกิดขึ้นนั้น อาจจะเกินกว่าที่ประชาชนทั่วไปรับได้ และยังอาจจะเกิดกระแสตีกลับความนิยม ทำให้อำนาจทางการเมืองของตนลดน้อยถอยลง หรือถึงขั้นต้องเปลี่ยนผู้นำเพราะตัดสินใจผิดพลาดทำให้เกิดความสูญเสียหรือเพลี่ยงพล้ำ
สถานการณ์ในรูปแบบที่สองนี้ ขณะนี้ถือว่าเกิดขึ้นอยู่แล้วในปัจจุบัน และเป็นรูปแบบที่น่าอึดอัดขัดใจประชาชนหลายกลุ่มเป็นที่สุด เพราะทำให้ต้องอยู่ในสภาพที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก หลายคนไม่สามารถดำรงชีวิตเป็นปกติได้ โดยเฉพาะตามแนวชายแดน และทำให้เกิดบรรยากาศของความหวาดกลัววิตกกังวลโดยรวม
ต้องตั้งรับต่อเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา หรือมีความรู้สึกว่าถูกกระทำ ถูกบิดเบือน ถูกให้ร้ายจากฝ่ายตรงข้ามอย่างไม่เป็นธรรม
คนไทยจำนวนมากจึงมีความต้องการให้มีการแก้ไขสถานการณ์ดังกล่าวอย่างรวดเร็ว ชัดเจน เข้มแข็ง และเข้มข้นขึ้นด้วยความเป็นเอกภาพ เพื่อรักษาเอกราช อธิปไตย ความปลอดภัย เพื่อให้ไทยได้เปรียบขึ้น หรืออย่างน้อยก็ไม่เสียเปรียบ โดยทำอย่างเป็นระบบ เป็นขั้นเป็นตอน เป็นสัดส่วน ตามระบบที่ดีและมีอยู่แล้ว และก็ไม่ได้หมายความว่าไทยจะต้องกระโจนเข้าสู่สงครามใหญ่กับกัมพูชาโดยไม่จำเป็น
3. รูปแบบที่สาม - "กลับสู่ข้อตกลงสันติภาพ" ปัจจุบันความขัดแย้งไทย-กัมพูชานั้น ไม่ได้จำกัดอยู่แต่เพียงสองประเทศหรือในระดับทวิภาคีตามที่ไทยต้องการและได้ยืนยันมาตั้งแต่แรกอีกต่อไป สหรัฐอเมริกา จีน ญี่ปุ่น สมาชิกอาเซียน และอีกหลายประเทศ รวมทั้งสหประชาชาติ ก็ได้เข้ามาเกี่ยวข้อง แทรกแซง และชี้นำไทยและกัมพูชาให้เดินตามแนวทางของตนเองอย่างชัดเจน ทั้งนี้ ต่างก็เพราะมีผลประโยชน์ของตนที่ต้องรักษาไว้อย่างที่ทราบกัน และไทยก็อ่อนแอเกินกว่าที่จะยับยั้งการแทรกแซงเหล่านั้นได้
สถานการณ์ในรูปแบบที่สามนี้กำลังเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วตามความเร็วของการเชื่อมโยงในโลกสมัยใหม่ เราจึงได้เห็นการกดดันและแทรกแซงจากชาติต่าง ๆ นับตั้งแต่แรกที่เริ่มสู้รบกันจนถึงปัจจุบัน ในขณะนี้ก็ชัดเจนพอสมควรว่า สหรัฐฯ จีน และบางประเทศ จะใช้เงื่อนไขทั้งทางเศรษฐกิจ การทหาร การเมือง และอื่น ๆ กดดันไทยให้กลับไปสู่ข้อตกลงสันติภาพหรือปฏิญญาร่วมกับกัมพูชาอีก
ดังนั้น ไทยควรจะต้องตั้งหลักให้ดี หา "สมดุลใหม่" ทางยุทธศาสตร์ (Strategic New Equilibrium) ของตนเองให้ได้ และพึงระวังให้มากอยู่เสมอว่าไม่ควรจะไปเผชิญหน้าหรือขัดแย้งกับประเทศต่าง ๆ เหล่านั้นโดยไม่จำเป็น ซึ่งบ้างก็เป็นมหาอำนาจ บ้างก็เป็นพันธมิตรทางการทหาร บ้างก็เป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ และส่วนใหญ่ก็เป็นมิตรประเทศและเป็นคู่ค้าที่สำคัญลำดับต้น ๆ ของเรา
ในขณะเดียวกัน ไทยก็ควร "ทำความเข้าใจ" กับประเทศเหล่านั้นให้ชัดเจนว่ากัมพูชาเป็นฝ่ายละเมิดข้อตกลงสันติภาพในรอบล่าสุดนี้ตั้งแต่แรก (เช่น การถอนกำลังฝ่ายเดียวโดยไม่มีการสังเกตการณ์อย่างเป็นทางการ ลอบเข้ามาวางทุ่นระเบิดใหม่ ใช้อาวุธคุกคาม รุกล้ำอธิปไตยและดินแดน ฯลฯ)
ที่สำคัญ ไทยควรเสนอให้มีกลไกและมาตรการเพิ่มเติมเพื่อบังคับและลงโทษกัมพูชาหากทำเช่นเดิมอีก โดยให้ชาติเหล่านั้น ช่วยกดดันและบังคับให้กัมพูชากลับเข้ามาสร้างสันติภาพอย่างจริงจังกับไทย ก่อนที่ไทยจะยอมรับหรือตกลงในทำตามเงื่อนไขต่าง ๆ ของชาติเหล่านั้นอีกครั้ง
โดยสรุป ถึงแม้ว่าไม่มีใครจะหยั่งรู้อนาคตได้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นระหว่างไทยและกัมพูชา แต่มีความจำเป็นที่จะต้องเตรียมรับมือกับสถานการณ์ที่กำลังจะเกิดขี้นอย่างรวดเร็วให้ครบถ้วนและรอบด้านในทุกรูปแบบที่จะเกิดขึ้น ทั้งนี้เพื่อความมั่นคงและปลอดภัยของประเทศและของทุกคน
หมายเหตุจากภาพถ่าย: ขอบคุณสถาบันวิชาการป้องกันประเทศและการอบรมการปฐมนิเทศนายทหารชั้นนายพลของกองทัพไทย รุ่นที่ 50 ที่เชิญผมไปบรรยายเรื่อง “ระเบียบโลกใหม่ : การประเมินภัยคุกคามและโอกาสสำหรับประเทศไทย” อีกปีอย่างต่อเนื่องครับ เมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายนนี้ ขอบคุณเป็นอย่างยิ่งสำหรับความสนใจและคำถามที่น่าสนใจมากหลายคำถามครับ และขอแสดงความยินดีกับนายทหารชั้นนายพลใหม่ทุกท่านทั้ง 391 นายที่ได้รับพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ พระราชทานยศชั้นนายพลด้วยครับ
Fuadi Pitsuwan
November 11
·
มีอาจารย์ที่เคารพมากท่านหนึ่งเคยสอนผมว่าให้แยกให้ชัดระหว่าง "state interest" (ผลประโยชน์ของรัฐ) กับ "national interest" (ผลประโยชน์ของชาติ) และจะทำให้เข้าใจ และตัดสินใจเรื่องที่ยากๆได้ง่ายขึ้น
.....