วันอังคาร, กันยายน 23, 2568

การรับรองรัฐปาเลสไตน์มีความหมายอย่างไร เหตุใดสหราชอาณาจักรจึงดำเนินการรับรองในตอนนี้ ? และ มีประเทศใดบ้างที่รับรองปาเลสไตน์ในฐานะรัฐ?

นักเคลื่อนไหวรวมตัวกันที่จัตุรัสรัฐสภาในกรุงลอนดอน เนื่องในวันระดมพลเคลื่อนไหวเพื่อปาเลสไตน์ทั่วสหราชอาณาจักร เมื่อวันที่ 14 ธ.ค. 2024

การรับรองรัฐปาเลสไตน์มีความหมายอย่างไร เหตุใดสหราชอาณาจักรจึงดำเนินการรับรองในตอนนี้ ?

เมื่อ 8 ชั่วโมงที่แล้ว
บีบีซีไทย

ล่าสุดเซอร์เคียร์ สตาร์เมอร์ ได้ประกาศให้สหราชอาณาจักรรับรองรัฐปาเลสไตน์อย่างเป็นทางการ วันอาทิตย์ที่ 21 ก.ย. ที่ผ่านมาเป็นเวลาใกล้เคียงกับ ออสเตรเลีย แคนาดา และโปรตุเกส ซึ่งได้ประกาศรับรองรัฐปาเลสไตน์อย่างเป็นทางการแล้ว โดยคาดว่าฝรั่งเศสจะตามมาในลำดับถัดไปในปัจจุบัน ปาเลสไตน์ได้รับการรับรองให้เป็นรัฐและไม่ถูกรับรองให้เป็นรัฐ ในเวลาเดียวกัน

ในปัจจุบัน ปาเลสไตน์ก็ได้รับการรับรองจากประชาคมระหว่างประเทศ มีคณะทูตประจำประเทศต่าง ๆ และมีการส่งทีมนักกีฬาเข้าร่วมการแข่งขันกีฬาระดับนานาชาติ รวมถึงมหกรรมกีฬาโอลิมปิก

แต่เนื่องจากข้อพิพาทที่ยืดเยื้อยาวนานกับอิสราเอล ปาเลสไตน์จึงไม่มีพรมแดนที่ได้รับการยอมรับในระดับสากล ไม่มีเมืองหลวง และไม่มีทหารกองทัพของตนเอง เนื่องจากการยึดครองทางทหารของอิสราเอลในเขตเวสต์แบงก์ รัฐบาลปาเลสไตน์ซึ่งก่อตั้งขึ้นหลังข้อตกลงสันติภาพในช่วงทศวรรษที่ 1990 จึงไม่สามารถควบคุมดินแดนและประชาชนของตนได้อย่างเต็มที่ ขณะที่ฉนวนกาซา ซึ่งอิสราเอลใช้อำนาจยึดครอง ก็กำลังเผชิญกับสงครามที่สร้างความเสียหายอย่างรุนแรง

เมื่อพิจารณาจากสถานะกึ่งรัฐเช่นนี้ การรับรองปาเลสไตน์จึงเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีลักษณะเชิงสัญลักษณ์ การยอมรับจะสะท้อนถึงการแสดงออกทางศีลธรรมและการเมืองที่แข็งแกร่ง แต่แทบจะไม่เปลี่ยนแปลงในทางปฏิบัติเลย

อย่างไรก็ตาม สัญลักษณ์นั้นกลับทรงพลัง ดังที่เดวิด แลมมี อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสหราชอาณาจักร ได้ชี้ให้เห็นในระหว่างการกล่าวสุนทรพจน์ที่สหประชาชาติเมื่อเดือนก.ค. ว่า "สหราชอาณาจักรมีภาระความรับผิดชอบเป็นพิเศษในการสนับสนุนแนวทางแก้ปัญหาแบบสองรัฐ"

เขายังอ้างถึง"คำประกาศบัลโฟร์" (Balfour Declaration) เมื่อปี 1917 ซึ่งลงนามโดยอาร์เธอร์ บัลโฟร์ รัฐมนตรีต่างประเทศอังกฤษในขณะนั้น ซึ่งเป็นคำประกาศแรกที่สหราชอาณาจักรแสดงการสนับสนุน "ให้มีการจัดตั้งรัฐถิ่นฐานของชาวยิวในปาเลสไตน์"


ทหารอังกฤษลดธงยูเนียนแจ็กเพื่อยุติการปกครองของอังกฤษในปาเลสไตน์อย่างเป็นทางการในปี 1948

หลังสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง อังกฤษเข้ามามีบทบาทสำคัญในปาเลสไตน์ เมื่อได้รับมอบอำนาจควบคุมดินแดนนี้ภายใต้อาณัติของสันนิบาตชาติระหว่างปี 1922 ถึง 1948

ภายใต้ข้อตกลงดังกล่าว ประเทศต่าง ๆ ได้รับอนุญาตให้บริหารจัดการดินแดนที่เคยเป็นของจักรวรรดิเยอรมันและออตโตมัน ซึ่งเป็นฝ่ายที่พ่ายแพ้ในสงคราม ได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย

แต่ในตอนนั้น อังกฤษกลับต้องเผชิญการสร้างความสมดุลบนความละเอียดอ่อน ซึ่งบางคนมองว่า เป็นไปไม่ได้ ในด้านหนึ่ง สหราชอาณาจักรให้คำมั่นว่าจะสนับสนุน "ตั้งรัฐของชาวยิว" ตามคำประกาศบัลโฟร์

แต่สหราชอาณาจักรยังให้คำมั่นสัญญาว่าจะปกป้องสิทธิของชาวอาหรับซึ่งเป็นชนกลุ่มใหญ่ที่อาศัยอยู่ที่นั่นด้วย

คำมั่นสัญญาที่ขัดแย้งกันนี้ ประกอบกับความตึงเครียดระหว่างชุมชนชาวยิวและชาวอาหรับที่เพิ่มขึ้น ได้นำไปสู่ความไม่สงบที่ยืดเยื้อมาหลายทศวรรษ

เมื่ออังกฤษถอนตัวออกจากปาเลสไตน์ในปี 1948 และเมื่อมีการประกาศจัดตั้งรัฐอิสราเอลขึ้นมา สงครามและการอพยพของชาวปาเลสไตน์จำนวนมากก็เกิดขึ้นตามมา

นักประวัติศาสตร์จำนวนไม่น้อยมองว่าพฤติกรรมของอังกฤษในช่วงเวลาดังกล่าวมีส่วนสำคัญในการหล่อหลอมความขัดแย้งระหว่างอิสราเอล-ปาเลสไตน์ในยุคปัจจุบัน ทั้งยังมองว่าการจัดการกับดินแดนที่เคยเป็นปาเลสไตน์ยังคงเป็นภารกิจที่ยังไม่เสร็จสิ้นของประชาคมโลก

ฝ่ายสนับสนุนอิสราเอลมักอ้างสิทธิโดยชี้ว่า ลอร์ดบัลโฟร์ไม่ได้กล่าวถึงชาวปาเลสไตน์โดยตรง และไม่เคยพูดถึงสิทธิในฐานะชาติของชาวปาเลสไตน์เลย

ด้าน แลมมีระบุว่า นักการเมือง "คุ้นชินกับการกล่าวถึง การแก้ปัญหาตามแนวทางสองรัฐ (two-state solution)"

อันเป็นแนวทางที่กล่าวถึงการจัดตั้งรัฐปาเลสไตน์ในเขตเวสต์แบงก์และฉนวนกาซา โดยอิงเส้นแบ่งเขตที่มีอยู่ก่อนสงครามอาหรับ-อิสราเอลในปี 1967 และยังเสนอให้เยรูซาเลมตะวันออกซึ่งอิสราเอลยึดครองตั้งแต่สงครามดังกล่าวเป็นเมืองหลวงของรัฐปาเลสไตน์ด้วย

กระนั้นแล้วความพยายามของนานาชาติในการผลักดันการแก้ปัญหาตามแนวทางสองรัฐยังไม่เคยประสบความสำเร็จ ขณะที่การตั้งถิ่นฐานของอิสราเอลทยอยรุกคืบกลืนพื้นที่ในเขตเวสต์แบงก์เป็นอาณานิคมโดยผิดกฎหมายระหว่างประเทศ แนวคิดการแก้ปัญหาตามแนวทางสองรัฐนี้จึงกลายเป็นเพียงสโลแกนหรือคำขวัญที่ว่างเปล่า

ประเทศใดบ้างที่รับรองปาเลสไตน์ในฐานะรัฐ?

ปัจจุบัน ปาเลสไตน์ได้รับการรับรองจากประเทศสมาชิกองค์การสหประชาชาติคิดเป็นประมาณ 75% ของทั้งหมด 193 ประเทศ

ในสหประชาชาติ ปาเลสไตน์มีสถานะเป็น "รัฐผู้สังเกตการณ์ถาวร" ซึ่งสามารถเข้าร่วมประชุมและกิจกรรมต่าง ๆ ได้ แต่ไม่มีสิทธิ์ลงคะแนนเสียง

ในที่ประชุมสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติ นอกจากสหราชอาณาจักร ออสเตรเลีย และแคนาดาที่ได้ให้การรับรองแล้ว ประเทศอย่างฝรั่งเศสก็ได้ให้คำมั่นว่าจะรับรองรัฐปาเลสไตน์เช่นกัน โดยกลุ่มประเทศที่แสดงท่าทีในลักษณะเดียวกันยังรวมถึงเบลเยียม และมอลตา นั่นหมายความว่าปาเลสไตน์จะได้รับการสนับสนุนจาก 4 ใน 5 ประเทศสมาชิกถาวรของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ

ทั้งนี้ จีนและรัสเซียต่างรับรองรัฐปาเลสไตน์ตั้งแต่ปี 1988

นั่นจะทำให้มีเพียงสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นพันธมิตรที่ใกล้ชิดที่สุดของอิสราเอล กลายเป็นเสียงข้างน้อยเพียงหนึ่งเดียว

ตั้งแต่ช่วงกลางทศวรรษที่ 1990 เป็นต้นมารัฐบาลสหรัฐฯ รับรององค์การบริหารปาเลสไตน์ (Palestinian Authority - PA) ซึ่งปัจจุบันมีมาห์มูด อับบาสเป็นผู้นำ และตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ประธานาธิบดีของสหรัฐฯ หลายคนได้แสดงการสนับสนุนต่อการจัดตั้งรัฐปาเลสไตน์ในอนาคต ยกเว้นโดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งในช่วงสองสมัยของเขานั้นนโยบายของสหรัฐฯ มีแนวโน้มโน้มเอียงไปทางอิสราเอลอย่างชัดเจน

ทำไมสหราชอาณาจักรและประเทศอื่น ๆ จึงดำเนินการรับรองความเป็นรัฐของปาเลสไตน์ในตอนนี้ ?

รัฐบาลอังกฤษหลายชุดได้กล่าวถึงการรับรองรัฐปาเลสไตน์ แต่ย้ำว่าควรเกิดขึ้นในฐานะส่วนหนึ่งของกระบวนการสันติภาพเท่านั้น โดยตั้งความหวังว่าจะกระทำการดังกล่าวร่วมกับพันธมิตรตะวันตกอื่น ๆ และ "ในช่วงเวลาที่จะเกิดผลสูงสุด" เท่านั้น

รัฐบาลเหล่านี้มองว่าหากรับรองรัฐปาเลสไตน์เพียงเพื่อแสดงท่าทีก็อาจจะกลายเป็นความผิดพลาด โดยอ้างว่าแม้การรับรองจะสร้างความรู้สึกดีทางศีลธรรมแต่ก็จะไม่ได้เปลี่ยนแปลงสถานการณ์ในพื้นที่จริง

อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์ต่าง ๆ ในช่วงหลังได้ผลักดันให้รัฐบาลหลายประเทศต้องตัดสินใจในที่สุด

ทั้งภาพความอดอยากที่ค่อย ๆ คืบคลานในฉนวนกาซา การที่ผู้คนไม่พอใจต่อปฏิบัติการทางทหารของอิสราเอลเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ตลาดจนการที่ความเห็นของสาธารณชนได้เกิดความเปลี่ยนแปลงระลอกใหญ่ ปรากฎการณ์เหล่านี้ล้วนมีบทบาทสำคัญที่นำมาสู่สถานการณ์ในปัจจุบัน


ผู้เชี่ยวชาญด้านความมั่นคงทางอาหารที่ได้รับการสนับสนุนจากสหประชาชาติเตือนว่า "ภาวะอดอยากขั้นรุนแรงที่สุดกำลังจะเกิดขึ้นจริงแล้ว" ในฉนวนกาซา

บางประเทศเลือกที่จะตั้งเงื่อนไขในการให้คำมั่นรับรองรัฐปาเลสไตน์

ตัวอย่างเช่น แคนาดากำหนดว่าการรับรองจะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อองค์การบริหารปาเลสไตน์ให้คำมั่นว่าจะปฏิรูปตนเอง จัดการเลือกตั้งในปี 2026 และทำให้รัฐปาเลสไตน์ปลอดทหาร

ขณะที่รัฐบาลอังกฤษประกาศจุดยืนโดยสร้างเงื่อนไขไปยังอิสราเอลด้วยการระบุว่าจะรับรองรัฐปาเลสไตน์ในช่วงการประชุมสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติ เว้นแต่รัฐบาลอิสราเอลจะดำเนินการอย่างเด็ดขาดเพื่อยุติความทุกข์ยากในกาซา บรรลุข้อตกลงหยุดยิง งดเว้นการผนวกดินแดนในเวสต์แบงก์ และให้คำมั่นต่อกระบวนการสันติภาพที่นำไปสู่การแก้ปัญหาตามแนวทางสองรัฐ

ท่าทีดังกล่าวสร้างความสับสน นักวิจารณ์บางคนเห็นว่าการรับรองไม่ควรมีเงื่อนไขใด ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งไม่ควรขึ้นอยู่กับการดำเนินการของอิสราเอล

แต่ความก้าวหน้าที่สำคัญในสี่ขั้นตอนที่อังกฤษอ้างถึงนั้นไม่เคยเกิดขึ้นจริง ทำให้การรับรองรัฐปาเลสไตน์แทบจะหลีกเลี่ยงไม่ได้

ด้วยการประสานการดำเนินการ ประเทศต่าง ๆ ที่เสนอให้รับรองรัฐปาเลสไตน์หวังว่าจะสร้างผลกระทบที่ยิ่งใหญ่ขึ้น ช่วยกระตุ้นความคิดเกี่ยวกับวิธีการยุติสงครามในฉนวนกาซา และกระบวนการทางการเมืองแบบใดที่ควรจะตามมา

เหตุใดบางประเทศยังไม่รับรองรัฐปาเลสไตน์ ?

ประเทศที่ยังไม่รับรองปาเลสไตน์ในฐานะรัฐ มักให้เหตุผลว่ายังไม่มีข้อตกลงที่เจรจากับอิสราเอลได้สำเร็จ

ศาสตราจารย์ฟาวาซ เกอร์เจส ผู้เชี่ยวชาญด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศและการเมืองตะวันออกกลางแห่งวิทยาลัยเศรษฐศาสตร์และสังคมศาสตร์แห่งลอนดอน (London School of Economics) กล่าวว่า "แม้สหรัฐฯ จะกล่าวถึงความจำเป็นในการจัดตั้งรัฐปาเลสไตน์ แต่ก็ยืนกรานว่าต้องมีการเจรจาโดยตรงระหว่างอิสราเอลกับปาเลสไตน์ ซึ่งในทางปฏิบัติเท่ากับให้อิสราเอลมีสิทธิยับยั้ง เหนือความหวังของชาวปาเลสไตน์ในการกำหนดอนาคตของตนเอง"

การเจรจาสันติภาพเริ่มต้นขึ้นในช่วงทศวรรษที่ 1990 โดยมีเป้าหมายให้เกิดการแก้ปัญหาตามแนวทางสองรัฐกล่าวคือให้ชาวอิสราเอลและชาวปาเลสไตน์อยู่ร่วมกันได้ในแม้แยกกันเป็นสองประเทศ

แต่กระบวนการสันติภาพก็เริ่มชะลอตัวลงหลังจากต้นทศวรรษที่ 2000 แม้กระทั้งก่อนถึงปี 2014 การเจรจาระหว่างอิสราเอลกับปาเลสไตน์ที่กรุงวอชิงตันก็ล้มเหลวลง

ประเด็นที่ยากที่สุดยังไม่ได้รับการแก้ไขใด ๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องพรมแดนและลักษณะของรัฐปาเลสไตน์ในอนาคต สถานะของนครเยรูซาเลม และชะตากรรมของผู้ลี้ภัยชาวปาเลสไตน์จากสงครามระหว่างปี 1948–49 ที่ได้รับผลกระทบหลังการประกาศจัดตั้งรัฐอิสราเอล

อิสราเอลคัดค้านอย่างหนักต่อการที่ปาเลสไตน์ยื่นขอเป็นสมาชิกยูเอ็น

กิลาด เออร์ดาน เอกอัครราชทูตอิสราเอลประจำยูเอ็น กล่าวกับสำนักข่าวเอเอฟพีในเดือน เม.ย. 2024 ว่า การหารือที่เกิดขึ้นนั้น "ถือเป็นชัยชนะของกลุ่มก่อการร้ายฆ่าล้างเผ่าพันธุ์แล้ว" และเสริมว่า หากการเจรจาสำเร็จก็เท่ากับเป็นรางวัลตอบแทนของกลุ่มก่อการร้ายหลังจากการโจมตีของกลุ่มฮามาสเมื่อวันที่ 7 ต.ค. 2023

ประเทศต่าง ๆ ที่ต้องการรักษาความสัมพันธ์อันดีกับอิสราเอลต่างตระหนักดีว่าการรับรองรัฐปาเลสไตน์จะสร้างความไม่พอใจให้กับพันธมิตรของตน

ขณะที่บางฝ่าย รวมถึงผู้สนับสนุนอิสราเอล ให้เหตุผลว่าปาเลสไตน์ยังไม่เข้าเกณฑ์ว่าด้วยความเป็นรัฐตามอนุสัญญามอนเตวิเดโอปี 1933 ซึ่งกำหนดว่ารัฐต้องมีประชากรถาวร ดินแดนที่ชัดเจน รัฐบาล และความสามารถในการมีความสัมพันธ์กับรัฐอื่น

แต่ก็มีอีกหลายฝ่ายที่ยอมรับนิยามว่าด้วยความเป็นรัฐที่ยืดหยุ่นมากขึ้น โดยให้ความสำคัญกับการได้รับการรับรองจากรัฐอื่น ๆ

สหรัฐฯ มองเรื่องนี้ว่าอย่างไร?

รัฐบาลของโดนัลด์ ทรัมป์ ไม่เคยปิดบังจุดยืนที่คัดค้านการรับรองรัฐปาเลสไตน์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ได้ยอมรับด้วยตนเองว่า "มีความเห็นไม่ตรงกันกับนายกรัฐมนตรี (ของสหราชอาณาจักร) ในประเด็นนี้" ระหว่างการแถลงข่าวร่วมกับนายกรัฐมนตรีเคียร์ สตาร์เมอร์ของสหราชอาณาจักร เมื่อวันที่ 18 ก.ย. ที่ผ่านมา

ในความเป็นจริง จุดยืนของสหรัฐฯ ได้แข็งกร้าวขึ้นจนกลายเป็นการคัดค้านแนวคิดเรื่องเอกราชของปาเลสไตน์โดยสิ้นเชิง

มาร์โก รูบิโอ รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ ระบุว่า การผลักดันของนานาชาติในการรับรองรัฐปาเลสไตน์จะทำให้ฮามาส "รู้สึกมีอำนาจมากขึ้น"

รูบิโอยังกล่าวด้วยว่าสหรัฐฯ ได้เตือนผู้ที่สนับสนุนการรับรองรัฐปาเลสไตน์ว่า เรื่องนี้อาจกระตุ้นให้อิสราเอลตัดสินใจผนวกเขตเวสต์แบงก์ในที่สุด

มีหลายประเทศที่รับรองความเป็นรัฐของปาเลสไตน์

ทั้งหมดนี้จะมีความหมายอย่างไรต่อปาเลสไตน์ในสหประชาชาติ?

ปาเลสไตน์มีสถานะเป็นรัฐผู้สังเกตการณ์ที่ไม่ใช่สมาชิก ซึ่งเป็นสถานะเดียวกับนครรัฐวาติกัน

ในปี 2011 ปาเลสไตน์ได้ยื่นขอเป็นสมาชิกเต็มรูปแบบของสหประชาชาติแต่ไม่ประสบความสำเร็จ เนื่องจากขาดเสียงสนับสนุนในคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ และเรื่องนี้ไม่ถูกนำเข้าสู่การลงมติ

อย่างไรก็ตาม ในปี 2012 ที่ประชุมสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติได้ลงมติยกระดับสถานะของปาเลสไตน์เป็น "รัฐผู้สังเกตการณ์ที่ไม่ใช่สมาชิก" ซึ่งเปิดโอกาสให้ปาเลสไตน์เข้าร่วมอภิปรายในที่ประชุม แม้จะไม่มีสิทธิ์ลงคะแนนในมติใด ๆ

การตัดสินใจครั้งนั้นสร้างความยินดีปรีดาแก่ประชาชนที่อาศัยอยู่ในเขตเวสต์แบงก์และฉนวนกาซา แต่ถูกสหรัฐฯ และอิสราเอลวิจารณ์ อย่างไรก็ดี การตัดสินใจให้สถานะผู้สังเกตการณ์ถาวรแก่ปาเลสไตน์ในครั้งนั้นยังเปิดทางให้ปาเลสไตน์ได้เข้าร่วมองค์กรระหว่างประเทศอื่น ๆ รวมถึงศาลอาญาระหว่างประเทศ (International Criminal Court - ICC) ซึ่งปาเลสไตน์ได้เข้าร่วมในปี 2015

ต่อมาในเดือน พ.ค. 2024 สมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติได้ขยายสิทธิของปาเลสไตน์ภายในองค์การสหประชาชาติ และเรียกร้องให้รับปาเลสไตน์เป็นสมาชิกหลังจากการอภิปรายอย่างเข้มข้น

มติการขยายสิทธิเปิดทางให้ปาเลสไตน์เข้าร่วมอภิปรายอย่างเต็มที่ เสนอวาระการประชุม และให้ผู้แทนได้รับเลือกเป็นคณะกรรมการต่าง ๆ แต่ยังไม่ได้รับสิทธิลงคะแนนเสียง

การเป็นสมาชิกเต็มรูปแบบสามารถเกิดขึ้นได้โดยการรับรองจากคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติเท่านั้น

ในเดือน เม.ย. ปีเดียวกัน สหรัฐอเมริกาในฐานะหนึ่งในห้าสมาชิกถาวร ได้ใช้สิทธิวีโต้การรับปาเลสไตน์เป็นรัฐสมาชิก โดยให้เหตุผลว่า "ยังเร็วเกินไป"

มติของคณะมนตรีความมั่นคงมีผลผูกพันทางกฎหมาย ขณะที่มติของสมัชชาใหญ่ไม่มีผลผูกพัน

คาเลด เอลกินดี ผู้อำนวยการโครงการปาเลสไตน์และความสัมพันธ์ปาเลสไตน์–อิสราเอลแห่งสถาบันตะวันออกกลาง (Middle East Institute) สถาบันคลังสมองในกรุงวอชิงตัน กล่าวว่า "หากได้เป็นสมาชิกองค์การสหประชาชาติอย่างเต็มรูปแบบ ปาเลสไตน์จะมีอำนาจทางการทูตมากขึ้น รวมถึงจะสามารถเสนอร่างมติโดยตรง มีสิทธิลงคะแนนในที่ประชุมสมัชชาใหญ่ (ซึ่งขณะนี้ยังไม่มีในฐานะรัฐผู้สังเกตการณ์) และในอนาคตอาจมีที่นั่งหรือสิทธิลงคะแนนในคณะมนตรีความมั่นคง"

"แต่สิ่งเหล่านี้จะไม่ทำให้เกิดการแก้ปัญหาตามแนวทางสองรัฐแต่อย่างใด จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อการยึดครองของอิสราเอลสิ้นสุดลงเท่านั้น" เขากล่าวเสริม

อย่างไรก็ตาม ศาสตราจารย์กิลเบิร์ต แอชคาร์ แห่งวิทยาลัยศึกษาศาสตร์ตะวันออกและแอฟริกันแห่งลอนดอน (School of Oriental and African Studies - SOAS) ในกรุงลอนดอน เห็นว่า แม้จะได้เป็นสมาชิกเต็มรูปแบบขององค์การสหประชาชาติ "องค์การบริหารปาเลสไตน์จะไม่ได้ประโยชน์มากไปกว่านี้นัก"

"โดยส่วนใหญ่แล้ว เรื่องนี้ก็ยังเป็นเพียงชัยชนะเชิงสัญลักษณ์ คือมีการรับรอง "รัฐปาเลสไตน์" ในทางทฤษฎี แต่ในความเป็นจริง "องค์การบริหารปาเลสไตน์" ยังไม่มีอำนาจ และควบคุมได้แค่พื้นที่" เขากล่าว พร้อมเสริมว่า "มันยังห่างไกลจากการเป็น 'รัฐปาเลสไตน์ที่เป็นอิสระและมีอธิปไตย' อย่างแท้จริง"

รายงานโดยบีบีซีนิวส์ และทีม BBC Global Journalism

https://www.bbc.com/thai/articles/c3rvvr35w3lo