โดยกำหนดหัวข้อการพูดคุยว่า “ฝ่าวิกฤต พลิกอนาคตเศรษฐกิจไทย ด้วยพลวัตใหม่...เพื่อสนับสนุนนโยบายเศรษฐกิจเร่งด่วนของ ฯพณฯ นายก” ทว่าจุดมุ่งหมายของการนัดพบกันก่อนจะถึงวันถวายสัตย์ฯ อันเป็นหมุดหมายทางการของการเริ่มรัฐบาล
น่าจะอยู่ในคำกล่าวท้ายๆ ของพิธีการที่ว่า “อยากให้เปิดใจหารือกัน ไม่อยากให้แบ่งฝ่ายว่าเป็นฝั่งรัฐบาล หรือภาคธนาคาร พร้อมย้ำว่า ทีมเศรษฐกิจของรัฐบาลมีความเชี่ยวชาญในการทำงานด้านเศรษฐกิจ” ตีความได้ว่ามาตัดไม้ข่มนามแต่เนิ่นๆ
ให้เลิกพะวง พะวังกังขากับมือใหม่ ว่าจะไม่เทียบเท่ามือเก่าของรัฐบาลที่แล้ว ซึ่งบังเอิญอยู่ในคุก ละมัง ถึงกระนั้นความกังวลยังคงมีอยู่ในหมู่ผู้คนทั่วไป ที่ติดตามข่าวสารความเป็นอยู่ กับสุขภาพทางการเงินส่วนบุคคลและครอบครัว เนื่องจากข่าว ๒ เรื่อง
สาเหตุมาจาก “ภาวะเศรษฐกิจ ภัยธรรมชาติ และความเปราะบางในภาคเกษตร...โดยกลุ่มที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดคือแรงงานภาคเกษตร คิดเป็น ๔๕.๔๙% ของคนจนทั้งหมด “สะท้อนความเปราะบางของภาคการผลิตเมื่อเจอกับปัจจัยลบ”
อีกข่าวเปิดเผยในวันเดียวกัน ดร.ศุภวุฒิ สายเชื้อ ประธานสภาพัฒน์แจ้งว่า “มีเงินไหลเข้าไทย ไม่รู้ที่มา เพิ่มขึ้นผิดปกติ เฉลี่ยไตรมาสละ ๓ พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (หรือเกือบ ๑ แสนล้านบาท)” และโยนโจทย์ให้แบ๊งค์ชาติเร่งหาคำตอบ
ทั้งนี้เพราะประเทศอยู่ในภาวะ เงินบาทแข็งค่า เนื่องจาก ‘ปัจจัยพื้นฐาน’ ได้แก่อัตราเงินเฟ้อต่ำอย่างต่อเนื่อง และมีการเกินดุลบัญชีเดินสะพัดสูง อันเป็นผลกระทบต่อภาวะเศรษฐกิจของประเทศด้านมหภาคซ้ำเติมปัญหาความยากจน
หวังกันว่านายกฯ มือใหม่ที่ช่ำชองในด้านการเดินหมากทางการเมือง จะไหวทันความผันแปรทางเศรษฐกิจ และนำข่าวมิดีที่กล่าวมาทั้งสองเรื่อง ไปรวมไว้ในนโยบายเศรษฐกิจเร่งด่วน เพื่อจัดการแก้ไขอย่างทันท่วงที ในเวลาสี่เดือนก่อนยุบสภาตามสัญญา
(https://thestandard.co/unexplained-money-inflows-thailand/, https://www.facebook.com/permalink=100044866014352 และ https://x.com/Thairath_TV/status/1969998393717276868)
