
CALL - เครือข่ายรณรงค์รัฐธรรมนูญ
16 hours ago
·
ไม่เอารัฐประหาร - ไม่เอานิติรัฐประหาร 
ปัญหาการเมืองต้องแก้โดยประชาชน
.
ภายหลังการเผยแพร่คลิปเสียงระหว่าง ‘แพทองธาร ชินวัตร’ นายกรัฐมนตรี และ 'ฮุน เซน' ประธานองคมนตรีและประธานวุฒิสภาของกัมพูชา ที่มีการเจรจากันถึงปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา มันทำให้นายกรัฐมนตรีถูกวิพากษ์วิจารณ์ถึงความบกพร่องในการแก้ไขปัญหา จนเกิดความไม่ไว้วางใจต่อรัฐบาลในหมู่ประชาชน และนำไปสู่ข้อเรียกร้องทางการเมืองในหลายรูปแบบ
.
หนึ่งในข้อเสนอที่มีการพูดถึงอย่างกว้างขวาง คือ การเรียกร้องให้ ’แพทองธาร ชินวัตร‘ ลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเพื่อรับผิดชอบต่อความผิดพลาดดังกล่าาว รวมถึงมีการเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีใช้อำนาจ “ยุบสภา” เพื่อให้มีการเลือกตั้งใหม่ คืนอำนาจให้ประชาชนเป็นคนตัดสินใจอนาคตทางการเมืองอีกครั้ง
.
แต่ในขณะเดียวกันก็มีคนบางกลุ่มที่เห็นว่า ต้องแก้ปัญหาความผิดพลาดของรัฐบาลด้วยการทำรัฐประหาร รวมถึงมีการเคลื่อนไหวเพื่อใช้กลไก “นิติรัฐประหาร” หรือการใช้กฎหมายพิเศษตามรัฐธรรมนูญ ปี 2560 อาทิ มาตรฐานจริยธรรม หรือ คุณสมบัติของคณะรัฐมนตรีเรื่องความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ มาใช้เป็นเครื่องมือในการล้มรัฐบาล
.
หากพิจารณาจากข้อเท็จจริงในคลิปเสียง จะพบว่า การเจรจาในครั้งนี้มีการเปิดเผยถึงความขัดแย้งของระหว่างกองทัพไทยและรัฐบาลไทยที่มีมาตรการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งชายแดนที่ไม่เหมือนกัน กล่าวคือ กองทัพไทยมีท่าทีที่แข็งกร้าว ในขณะที่รัฐบาลต้องการเดินหน้าเข้าสู่สภาวะปกติด้วยการเจรจาระหว่างสองประเทศเพื่อหลีกเลี่ยงการปะทะกันเพื่อไม่ให้เกิดการสูญเสียของประชาชน
.
อย่างไรก็ดี การเจรจาในครั้งนี้ ถูกมองว่าเป็นการเปิดช่องโหว่ให้ฝ่ายกัมพูชาใช้ความขัดแย้งระหว่างกองทัพและรัฐบาลมาเป็นเงื่อนไขในการสร้างอำนาจต่อรอง รวมถึงท่าทีของนายกรัฐมนตรียังสะท้อนถึงปัญหาภาวะผู้นำ จากการใช้ความสัมพันธ์ส่วนตัวในการแก้ปัญหา และดูเหมือนให้ความสำคัญกับความนิยมทางการเมืองของตัวเองมากกว่าการแก้ปัญหาระหว่างประเทศ
.
นอกจากนี้ ยังมีข้อวิจารณ์อีกด้วยว่า แทนที่นายกรัฐมนตรีจะใช้การเจรจาดังกล่าวเพื่อเสนอกลไกเจรจาแบบเป็นทางการผ่านคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม (Joint Boundary Commission: JBC) แทนการใช้กลไกศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (International Court of Justice: ICJ) เป็นเครื่องมือในการแบ่งเส้นเขตแดนเหมือนกรณีเขาพระวิหารตามที่กัมพูชาต้องการ แต่นายกรัฐมนตรีกลับไม่ได้มีการพูดถึงแต่อย่างใด
.
จากเสียงวิพากษ์วิจารณ์และข้อเรียกร้องทางการเมืองที่เกิดขึ้น เครือข่ายรณรงค์รัฐธรรมนูญ (CALL) เห็นว่า หากประชาชนสูญสิ้นความศรัทธาจต่อรัฐบาล หรือ ประชาชนมีความไม่ไว้วางใจต่อรัฐบาล สิ่งเหล่านี้คือ ปัญหาความชอบธรรมทางการเมืองของรัฐบาล ที่จำเป็นจะต้องแก้ไขด้วยการให้ประชาชนเป็นคนตัดสินใจทางการเมือง
.
ดังนั้น เครือข่ายรณรงค์รัฐธรรมนูญ จึงขอยืนยันว่า การเรียกร้องให้มีการ ‘รัฐประหาร’ ไม่ใช่คำตอบ เพราะการกระทำดังกล่าวนอกจากขัดต่อบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญว่าด้วยการล้มล้างการปกครองในระบอประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขแล้ว ยังนำมาสู่ปัญหาความชอบธรรมทางการเมืองอีกเช่นเดียวกัน เนื่องจากการรัฐประหารก็เป็นการเข้าสู่อำนาจของคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งที่ไม่ได้มาจากเสียงข้างมากของประชาชนเหมือนกับการจัดตั้งรัฐบาลผ่านการเลือกตั้ง
.
ทั้งนี้ รัฐธรรมนูญ ปี 2560 มีกลไกตามระบอบประชาธิปไตยอยู่แล้วว่า หากรัฐบาลขาดความชอบธรรมทางการเมือง จะมีวิธีการแก้ไขปัญหาดังกล่าวอย่างไร
.
(1) ในกรณีที่นายกรัฐมนตรีเห็นว่า ความชอบธรรมทางการเมืองของรัฐบาลเป็นปัญหาความชอบธรรมในทางส่วนตัวของนายกรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรีอาจพิจารณาขอ ‘ลาออก’ จากตำแหน่ง เพื่อคืนอำนาจให้สภาผู้แทนราษฎรที่มาจากการเลือกตั้งเป็นผู้ตัดสินใจเลือกนายกรัฐมนตรีคนใหม่ (รัฐธรรมนูญ มาตรา 170)
.
(2) ในกรณีที่สภาผู้แทนราษฎรเห็นว่า ความชอบธรรมทางการเมืองของรัฐบาลเป็นปัญหาความชอบธรรมในทางส่วนตัวของนายกรัฐมนตรี สภาผู้แทนราษฎรมีอำนาจในการยื่นญัตติเปิด ‘อภิปรายไม่ไว้วางใจ’ ซึ่งถ้านายกรัฐมนตรีไม่ได้รับความไว้วางใจจากสภาผู้แทนราษฎรแล้ว ก็จะต้องพ้นจากตำแหน่งและให้สภาผู้แทนราษฎรที่มาจากการเลือกตั้งเป็นผู้ตัดสินใจเลือกนายกรัฐมนตรีคนใหม่ต่อไป (รัฐธรรมนูญ มาตรา 151)
.
(3) ในกรณีที่นายกรัฐมนตรีเห็นว่า ความชอบธรรมทางการเมืองของรัฐบาลเป็นปัญหาความขัดแย้งภายในทางการเมือง นายกรัฐมนตรีสามารถใช้อำนาจยุบสภาผู้แทนราษฎรเพื่อให้มีการเลือกตั้งใหม่ โดยให้ประชาชนเป็นคนตัดสินใจอนาคตทางการเมืองผ่านการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (รัฐธรรมนูญ มาตรา 103)
.
อย่างไรก็ดี เครือข่ายรณรงค์รัฐธรรมนูญ เห็นว่า นอกจากการไม่เอารัฐประหารซึ่งไม่ใช่ครรลองตามระบอบประชาธิปไตยแล้ว ยังต้องยืนยันไม่เอา ‘นิติรัฐประหาร’ หรือการใช้กลไก ‘กฎหมายพิเศษ’ ตามรัฐธรรมนูญ ปี 2560 มาเป็นเครื่องมือประหัตประหารทางการเมือง
.
เนื่องจากรัฐธรรมนูญ ปี 2560 หรือ รัฐธรรมนูญที่ร่างขึ้นภายใต้คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ซึ่งมาจากการทำรัฐประหาร ได้มีการซ่อนกลไกกฎหมายพิเศษเพื่อล้มรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งไว้หลายจุด ยกตัวอย่างเช่น เรื่องฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง หรือ คุณสมบัติของคณะรัฐมนตรีเรื่องความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์
.
ปัญหาของกฎหมายพิเศษเหล่านี้คือ ขาดความชัดเจนและมีลักษณะเป็นนามธรรม เช่น “ความซื่อสัตย์สุจริต” หรือ ในมาตรฐานจริยธรรมหมวดหนึ่ง กำหนดไว้ว่า “ต้องยึดมั่นและธำรงไว้ซึ่งระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข” “ต้องพิทักษ์รักษาไว้ซึ่งสถาบันพระมหากษัตริย์” “ต้องยึดถือผลประโยชน์ของชาติเหนือประโยชน์ส่วนตน” ซึ่งสิ่งเหล่านี้เปิดช่องให้มีการใช้ดุลพินิจเพื่อกลั่นแกล้งทางการเมืองกันได้
.
ซ้ำร้าย บทลงโทษในเรื่องดังกล่าวยังมีความรุนแรง โดยรัฐธรรมนูญ ปี 2560 กำหนดไว้ว่า หากศาลฎีกาตัดสินว่ามีความผิดฐานมีพฤติกรรมอันเป็นการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรงให้เพิกถอนสิทธิเลือกตั้งบุคคลดังกล่าวไม่เกิน 10 ปี รวมถึงหมดสิทธิเข้ารับตำแหน่งต่างๆ ทางการเมือง ซึ่งนับเป็นการประหารชีวิตทางการเมือง
.
ประกอบกับรัฐธรรมนูญ ปี 2560 กำหนดให้นายกรัฐมนตรีต้องมาจากรายชื่อ “แคนดิเดตนายกฯ” ที่พรรคการเมืองเสนอไว้ก่อนการเลือกตั้ง พรรคละไม่เกินสามรายชื่อ ดังนั้น หากมีการตัดสิทธินายกรัฐมนตรีได้อย่างง่ายดาย ก็จะทำให้กลุ่มชนชั้นนำทางการเมืองที่เป็นคนคุมบรรดาองค์กรอิสระและศาลรัฐธรรมนูญมีอำนาจต่อรองทางการเมืองในการกำหนดนโยบาย รวมถึงกำหนดตัวผู้ที่จะมาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ด้วยเหตุนี้ จึงต้องเรียกกลไกดังกล่าวว่า ‘นิติรัฐประหาร’ หรือ การใช้กฎหมายเพื่อยึดอำนาจทางการเมือง
16 hours ago
·


ปัญหาการเมืองต้องแก้โดยประชาชน
.
ภายหลังการเผยแพร่คลิปเสียงระหว่าง ‘แพทองธาร ชินวัตร’ นายกรัฐมนตรี และ 'ฮุน เซน' ประธานองคมนตรีและประธานวุฒิสภาของกัมพูชา ที่มีการเจรจากันถึงปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา มันทำให้นายกรัฐมนตรีถูกวิพากษ์วิจารณ์ถึงความบกพร่องในการแก้ไขปัญหา จนเกิดความไม่ไว้วางใจต่อรัฐบาลในหมู่ประชาชน และนำไปสู่ข้อเรียกร้องทางการเมืองในหลายรูปแบบ
.
หนึ่งในข้อเสนอที่มีการพูดถึงอย่างกว้างขวาง คือ การเรียกร้องให้ ’แพทองธาร ชินวัตร‘ ลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเพื่อรับผิดชอบต่อความผิดพลาดดังกล่าาว รวมถึงมีการเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีใช้อำนาจ “ยุบสภา” เพื่อให้มีการเลือกตั้งใหม่ คืนอำนาจให้ประชาชนเป็นคนตัดสินใจอนาคตทางการเมืองอีกครั้ง
.
แต่ในขณะเดียวกันก็มีคนบางกลุ่มที่เห็นว่า ต้องแก้ปัญหาความผิดพลาดของรัฐบาลด้วยการทำรัฐประหาร รวมถึงมีการเคลื่อนไหวเพื่อใช้กลไก “นิติรัฐประหาร” หรือการใช้กฎหมายพิเศษตามรัฐธรรมนูญ ปี 2560 อาทิ มาตรฐานจริยธรรม หรือ คุณสมบัติของคณะรัฐมนตรีเรื่องความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ มาใช้เป็นเครื่องมือในการล้มรัฐบาล
.
หากพิจารณาจากข้อเท็จจริงในคลิปเสียง จะพบว่า การเจรจาในครั้งนี้มีการเปิดเผยถึงความขัดแย้งของระหว่างกองทัพไทยและรัฐบาลไทยที่มีมาตรการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งชายแดนที่ไม่เหมือนกัน กล่าวคือ กองทัพไทยมีท่าทีที่แข็งกร้าว ในขณะที่รัฐบาลต้องการเดินหน้าเข้าสู่สภาวะปกติด้วยการเจรจาระหว่างสองประเทศเพื่อหลีกเลี่ยงการปะทะกันเพื่อไม่ให้เกิดการสูญเสียของประชาชน
.
อย่างไรก็ดี การเจรจาในครั้งนี้ ถูกมองว่าเป็นการเปิดช่องโหว่ให้ฝ่ายกัมพูชาใช้ความขัดแย้งระหว่างกองทัพและรัฐบาลมาเป็นเงื่อนไขในการสร้างอำนาจต่อรอง รวมถึงท่าทีของนายกรัฐมนตรียังสะท้อนถึงปัญหาภาวะผู้นำ จากการใช้ความสัมพันธ์ส่วนตัวในการแก้ปัญหา และดูเหมือนให้ความสำคัญกับความนิยมทางการเมืองของตัวเองมากกว่าการแก้ปัญหาระหว่างประเทศ
.
นอกจากนี้ ยังมีข้อวิจารณ์อีกด้วยว่า แทนที่นายกรัฐมนตรีจะใช้การเจรจาดังกล่าวเพื่อเสนอกลไกเจรจาแบบเป็นทางการผ่านคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม (Joint Boundary Commission: JBC) แทนการใช้กลไกศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (International Court of Justice: ICJ) เป็นเครื่องมือในการแบ่งเส้นเขตแดนเหมือนกรณีเขาพระวิหารตามที่กัมพูชาต้องการ แต่นายกรัฐมนตรีกลับไม่ได้มีการพูดถึงแต่อย่างใด
.
จากเสียงวิพากษ์วิจารณ์และข้อเรียกร้องทางการเมืองที่เกิดขึ้น เครือข่ายรณรงค์รัฐธรรมนูญ (CALL) เห็นว่า หากประชาชนสูญสิ้นความศรัทธาจต่อรัฐบาล หรือ ประชาชนมีความไม่ไว้วางใจต่อรัฐบาล สิ่งเหล่านี้คือ ปัญหาความชอบธรรมทางการเมืองของรัฐบาล ที่จำเป็นจะต้องแก้ไขด้วยการให้ประชาชนเป็นคนตัดสินใจทางการเมือง
.
ดังนั้น เครือข่ายรณรงค์รัฐธรรมนูญ จึงขอยืนยันว่า การเรียกร้องให้มีการ ‘รัฐประหาร’ ไม่ใช่คำตอบ เพราะการกระทำดังกล่าวนอกจากขัดต่อบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญว่าด้วยการล้มล้างการปกครองในระบอประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขแล้ว ยังนำมาสู่ปัญหาความชอบธรรมทางการเมืองอีกเช่นเดียวกัน เนื่องจากการรัฐประหารก็เป็นการเข้าสู่อำนาจของคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งที่ไม่ได้มาจากเสียงข้างมากของประชาชนเหมือนกับการจัดตั้งรัฐบาลผ่านการเลือกตั้ง
.
ทั้งนี้ รัฐธรรมนูญ ปี 2560 มีกลไกตามระบอบประชาธิปไตยอยู่แล้วว่า หากรัฐบาลขาดความชอบธรรมทางการเมือง จะมีวิธีการแก้ไขปัญหาดังกล่าวอย่างไร
.
(1) ในกรณีที่นายกรัฐมนตรีเห็นว่า ความชอบธรรมทางการเมืองของรัฐบาลเป็นปัญหาความชอบธรรมในทางส่วนตัวของนายกรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรีอาจพิจารณาขอ ‘ลาออก’ จากตำแหน่ง เพื่อคืนอำนาจให้สภาผู้แทนราษฎรที่มาจากการเลือกตั้งเป็นผู้ตัดสินใจเลือกนายกรัฐมนตรีคนใหม่ (รัฐธรรมนูญ มาตรา 170)
.
(2) ในกรณีที่สภาผู้แทนราษฎรเห็นว่า ความชอบธรรมทางการเมืองของรัฐบาลเป็นปัญหาความชอบธรรมในทางส่วนตัวของนายกรัฐมนตรี สภาผู้แทนราษฎรมีอำนาจในการยื่นญัตติเปิด ‘อภิปรายไม่ไว้วางใจ’ ซึ่งถ้านายกรัฐมนตรีไม่ได้รับความไว้วางใจจากสภาผู้แทนราษฎรแล้ว ก็จะต้องพ้นจากตำแหน่งและให้สภาผู้แทนราษฎรที่มาจากการเลือกตั้งเป็นผู้ตัดสินใจเลือกนายกรัฐมนตรีคนใหม่ต่อไป (รัฐธรรมนูญ มาตรา 151)
.
(3) ในกรณีที่นายกรัฐมนตรีเห็นว่า ความชอบธรรมทางการเมืองของรัฐบาลเป็นปัญหาความขัดแย้งภายในทางการเมือง นายกรัฐมนตรีสามารถใช้อำนาจยุบสภาผู้แทนราษฎรเพื่อให้มีการเลือกตั้งใหม่ โดยให้ประชาชนเป็นคนตัดสินใจอนาคตทางการเมืองผ่านการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (รัฐธรรมนูญ มาตรา 103)
.
อย่างไรก็ดี เครือข่ายรณรงค์รัฐธรรมนูญ เห็นว่า นอกจากการไม่เอารัฐประหารซึ่งไม่ใช่ครรลองตามระบอบประชาธิปไตยแล้ว ยังต้องยืนยันไม่เอา ‘นิติรัฐประหาร’ หรือการใช้กลไก ‘กฎหมายพิเศษ’ ตามรัฐธรรมนูญ ปี 2560 มาเป็นเครื่องมือประหัตประหารทางการเมือง
.
เนื่องจากรัฐธรรมนูญ ปี 2560 หรือ รัฐธรรมนูญที่ร่างขึ้นภายใต้คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ซึ่งมาจากการทำรัฐประหาร ได้มีการซ่อนกลไกกฎหมายพิเศษเพื่อล้มรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งไว้หลายจุด ยกตัวอย่างเช่น เรื่องฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง หรือ คุณสมบัติของคณะรัฐมนตรีเรื่องความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์
.
ปัญหาของกฎหมายพิเศษเหล่านี้คือ ขาดความชัดเจนและมีลักษณะเป็นนามธรรม เช่น “ความซื่อสัตย์สุจริต” หรือ ในมาตรฐานจริยธรรมหมวดหนึ่ง กำหนดไว้ว่า “ต้องยึดมั่นและธำรงไว้ซึ่งระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข” “ต้องพิทักษ์รักษาไว้ซึ่งสถาบันพระมหากษัตริย์” “ต้องยึดถือผลประโยชน์ของชาติเหนือประโยชน์ส่วนตน” ซึ่งสิ่งเหล่านี้เปิดช่องให้มีการใช้ดุลพินิจเพื่อกลั่นแกล้งทางการเมืองกันได้
.
ซ้ำร้าย บทลงโทษในเรื่องดังกล่าวยังมีความรุนแรง โดยรัฐธรรมนูญ ปี 2560 กำหนดไว้ว่า หากศาลฎีกาตัดสินว่ามีความผิดฐานมีพฤติกรรมอันเป็นการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรงให้เพิกถอนสิทธิเลือกตั้งบุคคลดังกล่าวไม่เกิน 10 ปี รวมถึงหมดสิทธิเข้ารับตำแหน่งต่างๆ ทางการเมือง ซึ่งนับเป็นการประหารชีวิตทางการเมือง
.
ประกอบกับรัฐธรรมนูญ ปี 2560 กำหนดให้นายกรัฐมนตรีต้องมาจากรายชื่อ “แคนดิเดตนายกฯ” ที่พรรคการเมืองเสนอไว้ก่อนการเลือกตั้ง พรรคละไม่เกินสามรายชื่อ ดังนั้น หากมีการตัดสิทธินายกรัฐมนตรีได้อย่างง่ายดาย ก็จะทำให้กลุ่มชนชั้นนำทางการเมืองที่เป็นคนคุมบรรดาองค์กรอิสระและศาลรัฐธรรมนูญมีอำนาจต่อรองทางการเมืองในการกำหนดนโยบาย รวมถึงกำหนดตัวผู้ที่จะมาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ด้วยเหตุนี้ จึงต้องเรียกกลไกดังกล่าวว่า ‘นิติรัฐประหาร’ หรือ การใช้กฎหมายเพื่อยึดอำนาจทางการเมือง
https://www.facebook.com/photo?fbid=1184873343682725&set=a.466938998809500