
The101.world
18 hours ago
·
สวัสดี ผู้อ่านทุกท่าน
ความตึงเครียดระหว่างไทยและกัมพูชารอบล่าสุด ปะทุขึ้นหลังเหตุปะทะในพื้นที่ทับซ้อนบริเวณช่องบกเมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม 2568 ทำให้จ่าสวน เรือน (Suan Roan) ทหารกัมพูชา อายุ 48 ปี เสียชีวิต เวลานี้ ความขัดแย้งลุกลามจนเกิดเป็นสนามอารมณ์ที่มีแนวโน้มจะส่งผลต่อเสถียรภาพการเมืองภายในประเทศของทั้งสองชาติ
เหตุการณ์ผ่านมานานกว่าสองอาทิตย์ ยิ่งขาดข้อมูลและกลยุทธ์ที่ชัดเจน ยิ่งเสี่ยงต่อการขยายความขัดแย้ง แม้การปะทะเริ่มต้นในพื้นที่เพียงกว่า 200 เมตร แต่เรื่องกำลังบานปลายไปที่รัฐบาลกัมพูชาใช้จังหวะนี้เตรียมยื่น ICJ หรือศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ เพื่อให้ตัดสินในประเด็นเขตแดนที่ยังคลุมเครือใน 4 จุด ได้แก่ พื้นที่มอมเบย (ส่วนหนึ่งของสามเหลี่ยมมรกต) ปราสาทตาเมือนธม ปราสาทตาเมือนโต๊ด และปราสาทตาควาย ซึ่งกลายเป็นปมพิพาทในรอบใหม่นี้
เอาแค่ครึ่งเดือนมานี้ ความตึงเครียดระหว่างสองประเทศ เกิดขึ้นทั้งด้านเศรษฐกิจและวัฒนธรรม และอาจเรียกได้ว่าเป็นสงครามประสาทที่ค่อยๆ ก่อตัวขึ้น กัมพูชาดูจะใช้โอกาสนี้เดินหน้ากดดัน ทั้งการปิดจุดผ่านแดน แบนหนังและละครไทย สั่งตัดเน็ต และระงับการนำเข้าสินค้าต่างๆ ผ่านการปลุกกระแสรักชาติภายในกัมพูชา
ไม่ว่าฮุนเซนและฮุน มาเนต จะเดินเกมนี้เพื่อหวังผลต่อการเมืองภายในที่มุ่งสร้างความเชื่อมั่นและผลงานให้แก่รัฐบาล หรือจะเป็นโปรเจกต์ทางการเมืองขนาดใหญ่ที่มุ่งหวังเอาพื้นที่ ซึ่งฝั่งกัมพูชาเชื่อว่าเป็นของตน แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่า ทางฝั่งกัมพูชาขับเคลื่อนประเด็นเหล่านี้ได้อย่างมียุทธศาสตร์ โดยมี ‘การเมือง’ นำ ‘การทหาร’ อย่างชัดเจนและเป็นเอกภาพ
เมื่อพิจารณาร่วมกับสถานการณ์ในบ้านเรา กระแสเช่นนี้ก็เป็นโอกาสปลุกชาตินิยมทางฝั่งไทยด้วยเช่นกัน และเอาเข้าจริงก็เป็นกระแสรักชาติในแบบที่ยืนอยู่บนฐานของการสร้างความเกลียดชังเพื่อนบ้านไม่ต่างจากกัมพูชา แต่ความต่างอย่างสำคัญคือ การรับมือในเรื่องนี้ของไทยกลับมีการผสมโรงไปกับการโจมตีรัฐบาลพลเรือน และชูบทบาทนำของทหารแบบเลยเส้น ซึ่งเป็นสิ่งไม่พึงประสงค์ และง่ายต่อการทำให้คนหลงประเด็น
ประเด็นที่ต้องปักหมุดให้ชัดคือ ข้อพิพาทระหว่างประเทศ รัฐบาลต้องมีบทบาทนำและเป็นคนกำหนดยุทธศาสตร์ ส่วนกองทัพและมาตรการทางทหารเป็นหนึ่งในเครื่องมือที่รัฐสามารถใช้ได้ควบคู่ไปกับมาตรการอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็น มาตรการทางการทูต กฎหมาย และเศรษฐกิจ
ดังนั้น ท่วงทำนองและท่าทีที่ทำราวกับว่ามาตรการทางการทหารเป็นทางเลือกหลักเพียงอย่างเดียว จึงอันตรายอย่างยิ่ง ทั้งต่อการแก้ปัญหาข้อพิพาทกับกัมพูชาเอง และต่อการเมืองภายในประเทศ
กล่าวเช่นนี้ ไม่ได้หมายความว่าที่ผ่านมารัฐบาลรับมือปัญหาได้อย่างดีเยี่ยม และทหารทำผิดพลาดไปเสียทั้งหมด มองย้อนกลับไป เหตุการณ์ปะทะเกิดเมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม แอคชั่นแรกที่รวดเร็วที่สุดคือบทบาทที่ผู้บัญชาการทหารบกของสองประเทศไปพบปะเจรจากันในวันที่ 29 พฤษภาคม และทำให้สถานการณ์ ‘ร้อน’ คลี่คลายไปได้ในระดับหนึ่ง ซึ่งตรงนี้กองทัพรับมือกับสถานการณ์ได้ดี ส่วนรัฐบาลดูจะสับสนกับปัญหาในระยะแรกและมองว่าเรื่องนี้จบได้ง่ายๆ ด้วยการ ‘ดีล’ ระหว่างครอบครัวผู้นำทั้งสองประเทศที่มีความสนิทชิดเชื้อกัน ซึ่งถึงตอนนี้ก็ชัดเจนว่าเป็นการมองปัญหาที่ผิดและหลงประเด็น – อย่างไม่น่าเชื่อ
กว่าที่แถลงการณ์จากรัฐบาลโดยนายกรัฐมนตรีจะออกมาได้ก็ใช้เวลานานถึงหนึ่งสัปดาห์ โดยมีแถลงการณ์อย่างเป็นทางการครั้งแรกในวันที่ 4 มิถุนายน 2568 ที่เน้นประเด็นสำคัญเรื่องการปกป้องอธิปไตย
ความผิดพลาด ความล่าช้า และความเป็นผู้นำของรัฐบาลเป็นสิ่งที่สามารถวิพากษ์วิจารณ์ได้ (เช่นเดียวกับกองทัพ) แต่สิ่งที่ต้องยืนยันคือ ในระบอบประชาธิปไตย รัฐบาลพลเรือนยังคงต้องเป็นผู้ตัดสินใจหลักว่าจะแก้ปัญหาอย่างไร ด้วยเครื่องมืออะไร – อย่างไรเสีย กองทัพมีบทบาทแน่ในสถานการณ์เช่นนี้ แต่จะมีบทบาทแค่ไหน น้ำหนักเป็นอย่างไร ควรต้องสอดคล้องกับยุทธศาสตร์การแก้ไขข้อพิพาทในภาพใหญ่
ถ้ารัฐบาลยืนยันว่าสันติวิธีคือทางออกในการแก้ปัญหา – ซึ่งก็ควรเป็นเช่นนั้น รัฐบาลต้องทำให้เห็นว่า ประเมินฉากทัศน์อย่างไร มียุทธศาสตร์แบบไหนในแต่ละฉากทัศน์ และกองทัพอยู่ตรงไหนในยุทธศาสตร์นี้ ส่วนกองทัพก็มีหน้าที่ให้ข้อมูล ความเห็น และแลกเปลี่ยนกับรัฐบาลอย่างตรงไปตรงมาและเป็นมืออาชีพ เมื่อรัฐบาลตัดสินใจ (อันที่จริงคือตัดสินใจร่วมกัน) เลือกเดินทางไหน ก็ต้องเดินตาม
กระแสติดแฮชแท็ก #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด ที่ริเริ่มโดยกองทัพ หรือการที่กองทัพออกมาพูดเรื่อง “ไม่เอาศาลโลก” และทำท่าพร้อมรบออกสื่อตลอดเวลา จึงไม่ใช่การสื่อสารที่เป็นคุณกับปัญหาที่เผชิญอยู่ ไม่ว่าจะมองในมิติความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ เศรษฐกิจระหว่างประเทศ หรือกระทั่งต่อการรักษาอธิปไตยของชาติ
ในยามที่ผู้คนอ่อนไหวง่ายต่อการปลุกปั่น อารมณ์โกรธแค้นยิ่งถูกจุดติดง่าย ความคาดหวังต่อผู้กำหนดนโยบาย — ทั้งฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้าน นายทหารระดับสูงของกองทัพ และเจ้าหน้าที่รัฐที่เกี่ยวข้อง — จะยิ่งสูงขึ้น พวกเขาจำเป็นต้องมีสติ หนักแน่น ใช้เหตุผลนำอารมณ์ และไม่ตกเป็นเครื่องมือของวาทกรรมปลุกปั่นชาตินิยมฉาบฉวย
ยิ่งสถานการณ์ขัดแย้ง แหลมคม และเสียเปรียบ (ในเวทีการเมืองระหว่างประเทศ) สิ่งที่สังคมไทยต้องการคือ เครื่องมือทางนโยบายที่หลากหลาย ที่แก้ปัญหาในเชิงรุกและเชิงรับได้ทุกรูปแบบ แต่การจะทำอย่างนั้นได้ ‘พลเรือน’ ต้องเป็นคนนำ
ถ้าทหารนำ วิธีคิดจะยิ่งแคบ ทางเลือกจะยิ่งจำกัด
สมคิด พุทธศรี และ อรพิณ ยิ่งยงพัฒนา
บรรณาธิการอำนวยการ The101.world
ภาพ: AFP
—

https://mailchi.mp/e09.../101-this-week-27april2025-12871502
—


#101EditorsTalk #The101world #วันโอวัน
https://www.facebook.com/photo?fbid=1258869705607833&set=a.523964959098315