มูลนิธิบูรณะนิเวศ (EARTH)
6 hours ago
·
“ชาวบ้านเขารู้สึกว่าทุนจีนบุกจังหวัดเขา เขาได้รับผลกระทบทางเรื่องสิ่งแวดล้อม ตอนนี้มันมีแต่คนจีน โรงงานก็มีแต่โรงงานจีน ทั้งโรงหลอม ทั้งโรงคัดแยกขยะ ทั้งที่มีอยู่แล้ว แล้วก็กำลังจะมา”
.
สุนทร คมคาย หนึ่งในเครือข่ายปราจีนเข้มแข็งกล่าวสะท้อนความรู้สึกและข้อกังวลของแนวร่วมคัดค้านการนำจังหวัดปราจีนบุรีเข้าสู่ EEC ในโอกาสที่วันนี้ (12 มิถุนายน 2568) เครือข่ายปราจีนเข้มแข็งและภาคีภาคประชาชนในจังหวัดปราจีนบุรี ได้เดินสายเข้ายื่นหนังสือเรียกร้องต่อนายกรัฐมนตรีและคณะกรรมาธิการการพัฒนาการเมือง การสื่อสารมวลชน และการมีส่วนร่วมของประชาชน สภาผู้แทนราษฎร
.
ทั้งนี้ เครือข่ายปราจีนเข้มแข็งเข้ายื่นหนังสือต่อแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เรียกร้องให้ยุติกระบวนการขยายพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) มายังจังหวัดปราจีนบุรี โดยให้เหตุผลว่า กระบวนการดังกล่าวขาดความโปร่งใส ไม่ครอบคลุมกลุ่มผู้มีส่วนได้เสีย และอาจนำไปสู่การซ้ำเติมปัญหามลพิษและความเหลื่อมล้ำในชุมชนอย่างรุนแรง
.
ในการยื่นหนังสือครั้งนี้ นายสมพาศ นิลพันธ์ ที่ปรึกษาสำนักงานปลัด สำนักนายกรัฐมนตรี เป็นผู้รับหนังสือ ณ ศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์ สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี
.
เนื้อหาในหนังสือที่ยื่นระบุว่า สำนักงานคณะกรรมการนโยบาย EEC (สกพอ.) ได้ว่าจ้างมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์โดยสถาบันวิจัยและให้คำปรึกษาแห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ให้ดำเนินโครงการ “จัดทำ
ข้อเสนอแนะเชิงนโยบายการขยายพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก” เพื่อศึกษาความเหมาะสมและศักยภาพของ แต่ละพื้นที่ในจังหวัดปราจีนบุรีสำหรับการขยายเป็นพื้นที่ EEC โดยมีการจัดเวทีรับฟังความคิดเห็นกลุ่มย่อยครั้งที่ 1 แล้วในช่วงเดือนมีนาคมที่ผ่านมา
.
ในมุมมองของเครือข่ายฯ มองว่าเวทีดังกล่าวไม่ได้เปิดโอกาสให้กลุ่มประชาชน เกษตรกร แรงงาน เยาวชน รวมทั้งผู้สูงอายุในพื้นที่เข้ามามีส่วนร่วม โดยมีเพียงตัวแทนจากหน่วยงานราชการ ตลอดจนไม่มีการนำเสนอข้อมูลด้านศักยภาพของพื้นที่อย่างรอบด้าน อันเป็นข้อมูลพื้นฐานสำคัญสำหรับการประเมินทิศทางการพัฒนา
.
นอกจากนี้ จังหวัดปราจีนบุรีกำลังเผชิญปัญหามลพิษจากการพัฒนาอุตสาหกรรมเดิมที่สะสมมานาน โดยไม่มีมาตรการฟื้นฟูที่เป็นรูปธรรม เช่น การศึกษาแหล่งกำเนิดมลพิษ การจัดการน้ำใต้ดินที่ปนเปื้อน หรือการดำเนินคดีกับผู้ก่อมลพิษ จึงไม่ควรผลักดันโครงการขนาดใหญ่อย่าง EEC โดยไม่มีการแก้ปัญหาเดิมก่อน
.
เครือข่ายฯ ยังแสดงความกังวลต่อบทบาทของ “ทุนต่างชาติ” โดยเฉพาะ “ทุนจีนเทา” ที่มีประวัติลักลอบใช้ทรัพยากรธรรมชาติ สร้างมลพิษ จ้างแรงงานผิดกฎหมาย และกระทำการละเมิดกฎหมายในหลายรูปแบบ อีกทั้งยังตั้งคำถามถึงกรณีผู้ว่าราชการจังหวัดแต่งตั้งชาวจีนเป็นที่ปรึกษาด้าน EEC ซึ่งสร้างความไม่ไว้วางใจในหมู่ประชาชนในพื้นที่
.
ในท้ายหนังสือ เครือข่ายปราจีนเข้มแข็งได้เรียกร้องใน 2 ประเด็นใหญ่ๆ ได้แก่ ขอให้ยุติกระบวนการขยายพื้นที่ EEC ในจังหวัดปราจีนบุรีโดยทันที และยกเลิกคำสั่งหัวหน้า คสช. ที่ 4/2559 รวมทั้งยุติการใช้อำนาจตามมาตรา 44 ซึ่งเป็นที่มาของกฎหมาย EEC ที่เปิดทางให้รัฐดำเนินโครงการพิเศษโดยไม่ต้องปฏิบัติตามกฎหมายผังเมือง สิ่งแวดล้อม และควบคุมอาคาร
.
พร้อมย้ำว่า ความชอบธรรมของการพัฒนาจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อ “ตั้งอยู่บนฐานของประชาธิปไตย สิทธิมนุษยชน และความยุติธรรมทางสังคม” ไม่ใช่การอ้างอิงกฎหมายพิเศษจากยุค คสช. ที่ละเมิดสิทธิของประชาชนเจ้าของพื้นที่
.
ในวันเดียวกัน เครือข่ายปราจีนเข้มแข็งและภาคีภาคประชาชนในจังหวัดปราจีนบุรียังได้เดินทางไปยื่นหนังสือคัดค้านการขยายพื้นที่ EEC ต่อ “คณะกรรมาธิการการพัฒนาการเมือง การสื่อสารมวลชน และการมีส่วนร่วมของประชาชน สภาผู้แทนราษฎร” ขอให้งดการจัดเวทีรับฟังความคิดเห็นกลุ่มย่อยครั้งที่ 2 ที่กำหนดจะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 19 – 22 พฤษภาคม 2568 นี้
.
พร้อมกับเรียกร้องให้คณะกรรมาธิการการพัฒนาการเมืองฯ ยกเรื่องการขยายพื้นที่ EEC เข้าสู่จังหวัดปราจีนบุรี ขึ้นเป็น “วาระเร่งด่วน” เพื่อเปิดการตรวจสอบกระบวนการศึกษาของ EEC ที่ดำเนินไปอย่างเร่งรัด ภายใต้กรอบเวลาจำกัด และอาจทำให้ประชาชนในพื้นที่ขาดโอกาสในการเข้าถึงข้อมูล การแสดงความเห็น และการใช้สิทธิในการคัดค้านอย่างเป็นธรรม
.
“คนเล็กคนน้อยเขามีความรู้สึกว่า ถ้าโรงงานจีนสร้างเสร็จหมด ตอนนี้มันยังสร้างไม่เสร็จมันกำลังสร้างอยู่ ถ้าโรงงานสร้างเสร็จหมด พวกเขาจะอยู่อย่างไร” สุนทร คมคายตัวแทนยื่นหนังสือกล่าวทิ้งท้าย
.
ภาพ : เครือข่ายปราจีนเข้มแข็ง
https://www.facebook.com/photo/?fbid=1104066748419578&set=a.621260953366829
·
“ชาวบ้านเขารู้สึกว่าทุนจีนบุกจังหวัดเขา เขาได้รับผลกระทบทางเรื่องสิ่งแวดล้อม ตอนนี้มันมีแต่คนจีน โรงงานก็มีแต่โรงงานจีน ทั้งโรงหลอม ทั้งโรงคัดแยกขยะ ทั้งที่มีอยู่แล้ว แล้วก็กำลังจะมา”
.
สุนทร คมคาย หนึ่งในเครือข่ายปราจีนเข้มแข็งกล่าวสะท้อนความรู้สึกและข้อกังวลของแนวร่วมคัดค้านการนำจังหวัดปราจีนบุรีเข้าสู่ EEC ในโอกาสที่วันนี้ (12 มิถุนายน 2568) เครือข่ายปราจีนเข้มแข็งและภาคีภาคประชาชนในจังหวัดปราจีนบุรี ได้เดินสายเข้ายื่นหนังสือเรียกร้องต่อนายกรัฐมนตรีและคณะกรรมาธิการการพัฒนาการเมือง การสื่อสารมวลชน และการมีส่วนร่วมของประชาชน สภาผู้แทนราษฎร
.
ทั้งนี้ เครือข่ายปราจีนเข้มแข็งเข้ายื่นหนังสือต่อแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เรียกร้องให้ยุติกระบวนการขยายพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) มายังจังหวัดปราจีนบุรี โดยให้เหตุผลว่า กระบวนการดังกล่าวขาดความโปร่งใส ไม่ครอบคลุมกลุ่มผู้มีส่วนได้เสีย และอาจนำไปสู่การซ้ำเติมปัญหามลพิษและความเหลื่อมล้ำในชุมชนอย่างรุนแรง
.
ในการยื่นหนังสือครั้งนี้ นายสมพาศ นิลพันธ์ ที่ปรึกษาสำนักงานปลัด สำนักนายกรัฐมนตรี เป็นผู้รับหนังสือ ณ ศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์ สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี
.
เนื้อหาในหนังสือที่ยื่นระบุว่า สำนักงานคณะกรรมการนโยบาย EEC (สกพอ.) ได้ว่าจ้างมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์โดยสถาบันวิจัยและให้คำปรึกษาแห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ให้ดำเนินโครงการ “จัดทำ
ข้อเสนอแนะเชิงนโยบายการขยายพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก” เพื่อศึกษาความเหมาะสมและศักยภาพของ แต่ละพื้นที่ในจังหวัดปราจีนบุรีสำหรับการขยายเป็นพื้นที่ EEC โดยมีการจัดเวทีรับฟังความคิดเห็นกลุ่มย่อยครั้งที่ 1 แล้วในช่วงเดือนมีนาคมที่ผ่านมา
.
ในมุมมองของเครือข่ายฯ มองว่าเวทีดังกล่าวไม่ได้เปิดโอกาสให้กลุ่มประชาชน เกษตรกร แรงงาน เยาวชน รวมทั้งผู้สูงอายุในพื้นที่เข้ามามีส่วนร่วม โดยมีเพียงตัวแทนจากหน่วยงานราชการ ตลอดจนไม่มีการนำเสนอข้อมูลด้านศักยภาพของพื้นที่อย่างรอบด้าน อันเป็นข้อมูลพื้นฐานสำคัญสำหรับการประเมินทิศทางการพัฒนา
.
นอกจากนี้ จังหวัดปราจีนบุรีกำลังเผชิญปัญหามลพิษจากการพัฒนาอุตสาหกรรมเดิมที่สะสมมานาน โดยไม่มีมาตรการฟื้นฟูที่เป็นรูปธรรม เช่น การศึกษาแหล่งกำเนิดมลพิษ การจัดการน้ำใต้ดินที่ปนเปื้อน หรือการดำเนินคดีกับผู้ก่อมลพิษ จึงไม่ควรผลักดันโครงการขนาดใหญ่อย่าง EEC โดยไม่มีการแก้ปัญหาเดิมก่อน
.
เครือข่ายฯ ยังแสดงความกังวลต่อบทบาทของ “ทุนต่างชาติ” โดยเฉพาะ “ทุนจีนเทา” ที่มีประวัติลักลอบใช้ทรัพยากรธรรมชาติ สร้างมลพิษ จ้างแรงงานผิดกฎหมาย และกระทำการละเมิดกฎหมายในหลายรูปแบบ อีกทั้งยังตั้งคำถามถึงกรณีผู้ว่าราชการจังหวัดแต่งตั้งชาวจีนเป็นที่ปรึกษาด้าน EEC ซึ่งสร้างความไม่ไว้วางใจในหมู่ประชาชนในพื้นที่
.
ในท้ายหนังสือ เครือข่ายปราจีนเข้มแข็งได้เรียกร้องใน 2 ประเด็นใหญ่ๆ ได้แก่ ขอให้ยุติกระบวนการขยายพื้นที่ EEC ในจังหวัดปราจีนบุรีโดยทันที และยกเลิกคำสั่งหัวหน้า คสช. ที่ 4/2559 รวมทั้งยุติการใช้อำนาจตามมาตรา 44 ซึ่งเป็นที่มาของกฎหมาย EEC ที่เปิดทางให้รัฐดำเนินโครงการพิเศษโดยไม่ต้องปฏิบัติตามกฎหมายผังเมือง สิ่งแวดล้อม และควบคุมอาคาร
.
พร้อมย้ำว่า ความชอบธรรมของการพัฒนาจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อ “ตั้งอยู่บนฐานของประชาธิปไตย สิทธิมนุษยชน และความยุติธรรมทางสังคม” ไม่ใช่การอ้างอิงกฎหมายพิเศษจากยุค คสช. ที่ละเมิดสิทธิของประชาชนเจ้าของพื้นที่
.
ในวันเดียวกัน เครือข่ายปราจีนเข้มแข็งและภาคีภาคประชาชนในจังหวัดปราจีนบุรียังได้เดินทางไปยื่นหนังสือคัดค้านการขยายพื้นที่ EEC ต่อ “คณะกรรมาธิการการพัฒนาการเมือง การสื่อสารมวลชน และการมีส่วนร่วมของประชาชน สภาผู้แทนราษฎร” ขอให้งดการจัดเวทีรับฟังความคิดเห็นกลุ่มย่อยครั้งที่ 2 ที่กำหนดจะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 19 – 22 พฤษภาคม 2568 นี้
.
พร้อมกับเรียกร้องให้คณะกรรมาธิการการพัฒนาการเมืองฯ ยกเรื่องการขยายพื้นที่ EEC เข้าสู่จังหวัดปราจีนบุรี ขึ้นเป็น “วาระเร่งด่วน” เพื่อเปิดการตรวจสอบกระบวนการศึกษาของ EEC ที่ดำเนินไปอย่างเร่งรัด ภายใต้กรอบเวลาจำกัด และอาจทำให้ประชาชนในพื้นที่ขาดโอกาสในการเข้าถึงข้อมูล การแสดงความเห็น และการใช้สิทธิในการคัดค้านอย่างเป็นธรรม
.
“คนเล็กคนน้อยเขามีความรู้สึกว่า ถ้าโรงงานจีนสร้างเสร็จหมด ตอนนี้มันยังสร้างไม่เสร็จมันกำลังสร้างอยู่ ถ้าโรงงานสร้างเสร็จหมด พวกเขาจะอยู่อย่างไร” สุนทร คมคายตัวแทนยื่นหนังสือกล่าวทิ้งท้าย
.
ภาพ : เครือข่ายปราจีนเข้มแข็ง
https://www.facebook.com/photo/?fbid=1104066748419578&set=a.621260953366829
