
ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน
18 hours ago
·
สถานการณ์ผู้ต้องขังทางการเมือง มิ.ย. 68 : รจ.บางขวางยังไม่ตอบกลับหนังสือร้องเรียนกรณีผู้ต้องขังการเมืองถูกข่มขู่ ด้านระบบ Domi Mail จะหยุดให้บริการ กระทบการสื่อสาร
.
.
“ก้อง – อารีฟ – บุ๊ค” เผยถูกข่มขู่ จับตาในเรือนจำบางขวาง ปัจจุบันยังไม่มีการตอบกลับหนังสือร้องเรียนที่ทนายขอให้ตรวจสอบสถานการณ์ดังกล่าว
.
ท่ามกลางสถานการณ์การบังคับโยกย้ายผู้ต้องขังจากเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ “ก้อง – อารีฟ – บุ๊ค” ผู้ต้องขังทางการเมืองที่ถูกคุมขังอยู่เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ แต่ถูกย้ายไปควบคุมตัวอยู่ที่เรือนจำบางขวางในช่วงกลางเดือน มี.ค. 2568 ที่ผ่านมา
.
พบว่าสถานการณ์ในช่วงเดือน พ.ค. 2568 ผู้ต้องขังทั้งสามคนได้เปิดเผยสถานการณ์ที่สร้างความรู้สึกไม่ปลอดภัย ทั้งกรณีเจ้าหน้าที่เรียกพบผู้ต้องขังทางการเมืองหลายครั้ง โดยมีการพูดในลักษณะว่าสามารถตัวไปขังเดี่ยวได้ นอกจากนี้ยังมีกลุ่มผู้ต้องขังคนอื่น ๆ ในเรือนจำเข้ามาพูดจาข่มขู่ในลักษณะจะเล่นงาน รวมถึงถูกจับตามองความเคลื่อนไหวในระหว่างที่ใช้ชีวิตในเรือนจำอีกด้วย
.
บุ๊ค ธนายุทธ เปิดเผยกับทนายว่าเขาถูกเจ้าหน้าที่เรือนจำเรียกคุยในลักษณะสอบประวัติ โดยบอกกับเขาและอารีฟในลักษณะที่ว่าอย่าทำตัวแปลกแยกมาก ไม่งั้นพวกเขาอาจจะถูกขังเดี่ยว
.
บุ๊คเองก็เล่าถึงการคุกคามจากผู้ต้องขังด้วยกันเอง จากการที่มีผู้ไม่พอใจการเรียกร้องของผู้ต้องขังทางการเมือง รวมทั้งปัญหาความไม่พอใจกันระหว่างผู้ต้องขังที่อยู่มาเดิม กับกลุ่มที่ถูกย้ายมาใหม่ที่อัตราโทษน้อยกว่า แม้ไม่ใช่ผู้ต้องขังทางการเมือง
.
“เขามองว่าพวกโทษน้อยมักสร้างปัญหา เพราะโทษน้อยเดี๋ยวก็ได้ออกแล้ว ไม่ต้องกังวลมากว่าจะต้องอยู่ในเรือนจำอีกนาน มีการปะทะกันไปบ้าง แต่พวกผมไม่ได้ยุ่งเกี่ยวด้วย”
.
นอกจากนี้ ก้องยังเปิดเผยเหตุการณ์ที่เผชิญด้วยตัวเองในเรือนจำว่า มีวันหนึ่งที่พวกเขาอยู่บริเวณอ่างอาบน้ำในเรือนจำ มีผู้ต้องขังเดินผ่านเข้ามาแล้วบอกทำนองว่าสิ่งที่พวกเขากำลังเรียกร้องทำไม่ได้ และบอกว่าอย่ามีอภิสิทธิ์ชนเยอะ โดยก้องเข้าใจว่าเป็นการกล่าวถึงการเรียกร้องของพวกเขาในประเด็นการเยี่ยมญาติ และส่งจดหมาย ซึ่งเรือนจำบางขวางมีข้อจำกัดที่แตกต่างจากเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ อย่างมาก
.
เมื่อวันที่ 20 พ.ค. 2568 ทนายความได้ยื่นหนังสือสอบถามเรือนจำกลางบางขวาง กรณีขอให้ตรวจสอบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการคุกคามผู้ต้องขังจากกรณีดังกล่าว ซึ่งอาจมีลักษณะเป็นการเลือกปฏิบัติบนพื้นฐานความคิดเห็นทางการเมืองและความคิดเห็นในเรื่องอื่น ๆ ตามข้อเท็จจริงของผู้ต้องขังทั้งสามราย
.
ปัจจุบัน (12 มิ.ย. 2568) เรือนจำกลางบางขวางยังคงไม่มีการตอบกลับหนังสือขอให้ตรวจสอบข้อเท็จจริงดังกล่าว โดยทนายความจะติดตามสถานการณ์ต่อไป
.
“แม็กกี้” เผชิญหน้าสภาวะแพนิค ยังคงอยู่เรือนจำคลองเปรม ไม่ได้ถูกส่งตัวไปรักษาที่โรงพยาบาลราชทัณฑ์ แต่ได้รับยาฮอร์โมนตามปกติแล้ว
.
ภายหลัง “แม็กกี้” ผู้ต้องขังมาตรา 112 เผชิญกับสภาวะแพนิคในช่วงสองเดือนที่ผ่านมา (เม.ย. – มิ.ย. 68) และพบว่าเธอติดโควิดจึงไม่สามารถเข้าเยี่ยมได้ เมื่อวันที่ 6 มิ.ย. 2568 ทนายความได้เข้าเยี่ยมแม็กกี้อีกครั้งที่เรือนจำกลางคลองเปรม โดยพบว่าเธอไม่ได้ติดโควิด แต่มีเพื่อนร่วมห้องขังที่ติด ทำให้ต้องถูกกักตัวไปด้วย
.
ตลอดระยะเวลาสองเดือนที่ผ่านมา แม็กกี้แจ้งว่าเธอมีสภาวะทางอารมณ์แปรปรวนรุนแรงเกิดขึ้น เพราะการขาดยาฮอร์โมนอย่างต่อเนื่อง เธอถูกส่งตัวไปที่โรงพยาบาลราชทัณฑ์ราวสองอาทิตย์ ก่อนถูกย้ายตัวกลับมาที่เรือนจำกลางคลองเปรม แม้เธอประเมินว่าอาการยังไม่ดีขึ้น แต่ก็ไม่ได้มีการย้ายตัวกลับไปอีก และในเวลาต่อมา เธอได้รับยาฮอร์โมนที่เหมาะสมแล้ว รวมถึงการได้รับยาจิตเวชด้วย
.
“หนูมองว่าแม้จะอยู่ในเรือนจำ แต่ผู้ต้องขังที่มีความหลากหลายทางเพศควรได้รับยาฮอร์โมนค่ะไม่ว่าจะอยู่ที่เรือนจำใด อย่างตอนที่หนูอยู่เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ หนูยังไม่ได้รับยาเลยค่ะ หนูมาได้รับยาอีกทีก็ตอนที่ถูกย้ายมาที่เรือนจำกลางคลองเปรม ดังนั้นเรื่องนี้หนูว่าควรผลักดัน”
.
ตามรายงานสภาพเรือนจำไทย ประจำปี 2568 ของสหพันธ์เพื่อสิทธิมนุษยชนสากล (FIDH) ได้เผยแพร่รายงานสภาพเรือนจำไทย สำรวจสถานการณ์สิทธิของผู้ต้องขังด้านต่าง ๆ ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. – 31 ธ.ค. 2567 ผ่านการสัมภาษณ์ผู้ต้องขัง และอดีตผู้ต้องขัง รวมถึงองค์กรพัฒนาเอกชน และเอกสารราชการที่เผยแพร่โดยหน่วยงานรัฐและสถาบันอื่น ๆ พบว่าในรายงานปรากฏประเด็นกลุ่มผู้ต้องขังที่มีความหลากหลายทางเพศ ยังคงไม่ได้รับการคุ้มครอง
.
จากการสัมภาษณ์อดีตผู้ต้องขังที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ และเรือนจำกลางยะลา เปิดเผยว่า ผู้ต้องขังที่มีความหลากหลายทางเพศหรือกลุ่มผู้ต้องขังหญิงข้ามเพศต้องเผชิญหน้ากับการคุกคามและการตีตราในรูปแบบต่าง ๆ โดยผู้ต้องขังในเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ระบุว่าตัวเองเป็นเกย์ ซึ่งมักจะถูกกลั่นแกล้ง บังคับให้เปิดเผยอวัยวะเพศ และถูกผู้ต้องขังคนอื่นล่วงละเมิดทางเพศ ตลอดจนแสดงความกังวลต่อการปฏิบัติต่อผู้ต้องขังหญิงข้ามเพศในเรือนจำด้วยว่า ในเรือนจำแม้จะเป็นหญิงข้ามเพศ แต่ก็ไม่มีการจัดหาเสื้อชั้นใน หรือการให้ฮอร์โมนสำหรับคนข้ามเพศอีกด้วย
.
ทั้งนี้ การรับยาฮอร์โมนของแม็กกี้ยังคงเป็นการได้รับการสนับสนุนจากโครงการ Freedom Bridge โดยทางเรือนจำไม่ได้เป็นผู้จัดหายาให้โดยตรง ซึ่งเจ้าหน้าที่ Freedom Bridge ได้เปิดเผยว่าค่าสนับสนุนยาฮอร์โมนต่อเดือนในเรือนจำของแม็กกี้ รวม ๆ แล้วมีค่าใช้จ่ายอยู่ประมาณ 3,000 บาทต่อเดือน ซึ่งถือเป็นค่าใช้จ่ายที่มีราคาสูงทีเดียว
.
“บัสบาส” อดอาหารเรียกร้องปล่อยตัวผู้ต้องขังทางการเมืองทั้งหมด – เรือนจำเชียงใหม่ประสบปัญหาขาดแคลนน้ำ
ตั้งแต่วันที่ 17 พ.ค. 2568 “บัสบาส” มงคล ถิระโคตร ผู้ต้องขังคดีมาตรา 112 ที่เรือนจำกลางเชียงราย ยังได้เริ่มอดอาหารประท้วง เพื่อเรียกร้องให้ปล่อยตัวผู้ต้องขังทางการเมืองทั้งหมด โดยยังรับประทานน้ำ กาแฟ หรือนมอยู่ สำหรับวันที่เริ่มอดอาหารดังกล่าว เป็นวันคล้ายวันเกิดอายุครบ 32 ปีของเขา และเป็นช่วงใกล้เคียงกับการครบรอบ 1 ปีการเสียชีวิตของ “บุ้ง เนติพร”
.
ทั้งนี้เมื่อปี 2567 หลังเริ่มถูกคุมขัง บัสบาสก็ได้อดอาหารในช่วงเวลาเดียวกับบุ้ง ตั้งแต่ในวันที่ 27 ก.พ. 2567 เพื่อร่วมเรียกร้องให้ปล่อยตัวผู้ต้องขังทางการเมืองทุกคน ในช่วงนั้นเขาอดอาหารได้เป็นระยะเวลา 58 วัน ก่อนยุติการอดอาหารลงในวันที่ 24 เม.ย. 2567
.
บัสบาสบอกถึงสาเหตุการอดอาหารของเขาอีกครั้ง ว่าเขาไม่อยากอยู่นิ่งเฉย การอดอาหารเป็นการแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ของผู้ต้องขัง และเป็นหนทางที่พอร่วมแสดงออกได้ให้ปล่อยเพื่อน ๆ ผู้ต้องขังทางการเมือง โดยเขาเริ่มถูกดำเนินคดีจากการไปอดอาหารที่หน้าศาลอาญา ทำให้อยากลองดูอีกครั้ง
.
จนถึงกลางเดือน มิ.ย. บัสบาสยังอดอาหารต่อมา โดยเริ่มประสบปัญหาในช่วงต้นเดือนนี้ ทางเรือนจำไม่มีนมเปรี้ยว นม หรือโยเกิร์ต ขาย เนื่องจากสินค้าขาดแคลน ทำให้ส่งผลต่อการอดอาหารของเขา ทำให้เขาเหลือเพียงรับประทานน้ำและกาแฟในแต่ละวัน
.
ขณะเดียวกันในเดือนที่ผ่านมา ที่เรือนจำกลางเชียงใหม่ ซึ่งมี “พรชัย” ผู้ต้องขังคดีมาตรา 112 ถูกคุมขังอยู่ ก็พบว่าเรือนจำประสบปัญหาการขาดแคลนน้ำใช้ ทำให้ผู้ต้องขังไม่ได้อาบน้ำ จนหลายคนเกิดภาวะผื่นคัน หรือติดเชื้อแบคทีเรีย นอกจากนั้นน้ำดื่มในเรือนจำ ก็ไม่สะอาด เนื่องจากไม่มีเครื่องกรองน้ำ ขณะเดียวกันน้ำขวดที่ต้องซื้อผ่านร้านค้าสวัสดิการ ก็ไม่มีจำหน่ายในช่วงนี้เช่นกัน
.
DomiMail ระบบส่งจดหมายออนไลน์กำลังปิดระบบ 16 มิ.ย. นี้ กระทบการสื่อสารของผู้ต้องขังในเรือนจำ
.
แอพพลิเคชั่น “DomiMail จดหมายหลังกำแพง” เป็นช่องทางการสื่อสารที่ราชทัณฑ์ออกแบบให้ผู้ต้องขังและบุคคลภายนอกใช้สื่อสารรับ – ส่งจดหมายถึงกันได้ ซึ่งบุคคลภายนอก ไม่ว่าจะเป็นครอบครัวหรือเพื่อนสามารถดาวน์โหลดแอพพลิเคชั่นได้ทั้งบนแพลตฟอร์มของ Apple store และ Google pay ซึ่งญาติที่ต้องการจะซื้อบริการจะต้องเลือกซื้อแพคเกจคูปอง โดยมี 2 บริการ ได้แก่ บริการจดหมายถึงเรือนจำ และบริการจดหมายกลับบ้าน ซึ่งมีราคาแพคเกจละ 100 บาท โดยทั้งญาติและผู้ต้องขังสามารถส่งจดหมายหากันได้รวม 10 ฉบับ จากค่าแพคเกจดังกล่าว
.
ทางเรือนจำจะพิมพ์จดหมายดังกล่าวใส่กระดาษให้ผู้ต้องขัง ในขณะเดียวกันผู้ต้องขังที่ต้องการเขียนจดหมายหาญาติผ่านโดมิเมล จะตอบกลับข้อความจดหมายของญาติด้วยกระดาษจดหมายที่เขียนด้วยลายมือ โดยส่งได้วันละ 1 ฉบับ โดยการรับและส่งเป็นไปอย่างรวดเร็วกว่าการส่งจดหมายทางไปรษณีย์
.
ทั้งนี้ระบบ DomiMail นั้น มีใช้อยู่ภายในเรือนจำประมาณ 10 แห่ง โดยส่วนใหญ่เป็นเรือนจำภายในกรุงเทพฯ ในต่างจังหวัดมีการนำร่องใช้ที่เรือนจำในจังหวัดสงขลา และนครศรีธรรมราช
ในช่วงสองเดือนที่ผ่านมา (พ.ค. – มิ.ย. 2568) ญาติผู้ต้องขังและผู้ต้องขังทางการเมืองในเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ แจ้งข้อมูลว่า เรือนจำจะมีการปิดระบบ DomiMail เพื่อปรับปรุง โดยไม่ได้บอกระยะเวลาในการปรับปรุงว่าจะมีการปิดระบบจดหมายออนไลน์ดังกล่าวไปจนถึงเมื่อใด
.
ล่าสุด (9 มิ.ย.) “เก็ท” โสภณ สุรฤทธิ์ธำรง ผู้ต้องขังคดี ม.112 ได้ให้ข้อมูลยืนยันว่าระบบจดหมาย DomiMail จะยุติการให้บริการตั้งแต่ในวันที่ 16 มิ.ย. 2568 โดยเจ้าหน้าที่เรือนจำได้มีหนังสือชี้แจงมาสักพักแล้ว ทั้งนี้ การยุติการบริการดังกล่าวเป็นเพื่อการปรับปรุง โดยจะกลับมาให้บริการใหม่ในภายหลัง แต่ไม่ได้ระบุระยะเวลาไว้
.
ในช่วงที่ผ่านมา ผู้ต้องขังทางการเมืองหลายคนใช้ช่องทางการส่งจดหมาย DomiMail ติดต่อสื่อสารกับโลกภายนอก โดยบอกเล่าเรื่องราว ความคิดความเห็นของตน แม้ภายใต้ข้อจำกัดของการถูกตรวจสอบเนื้อหาโดยเจ้าหน้าที่เรือนจำ
.
เมื่อช่วงเดือน ก.ย. 2567 ได้มีสถานการณ์เกี่ยวกับปัญหาการสื่อสารผ่านจดหมาย DomiMail ของผู้ต้องขังในเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ โดยพบว่าในเรือนจำไม่นำปากกามาขายในร้านค้าสวัสดิการประมาณ 1 เดือน ซึ่งเจ้าหน้าที่อ้างว่าขาดตลาด ทำให้ผู้ต้องขังไม่มีปากกาใช้เขียนจดหมาย
.
ในช่วงดังกล่าวเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ได้มีการเพิ่มข้อจำกัดในการรับ – ส่งจดหมายผ่านระบบออนไลน์ โดย “ขนุน สิรภพ” ได้สะท้อนข้อจำกัดในการสื่อสารผ่านจดหมาย DomiMail ในขณะนั้นว่ามีผู้ส่งจดหมายผ่านแอพพลิเคชั่นเข้ามา 2-3 ฉบับในวันเดียว คนที่ส่งเป็นคนแรกจะถูกนำไปตรวจเนื้อหา เพื่อส่งต่อมาให้ผู้ต้องขัง แต่คนที่ส่งตามหลังมา นอกจากจะเสียค่าส่งจดหมายฉบับละ 10 บาทแล้ว ยังถูกตีตกทิ้งไปเลย โดยไม่นำมาส่งให้ โดยการส่งจดหมายออกมากกว่าหนึ่งฉบับ จะต้องเขียนคำร้องและแนบจดหมายที่เกินนั้น ให้ตรวจสอบโดยใช้เวลา 2-3 วัน
.
นอกจากนั้น ยังมีการจำกัดจำนวนบรรทัดในการเขียน จากเดิมตัวกระดาษจดหมายมี 19 บรรทัด มีการกำหนดให้เขียนไม่เกิน 15 บรรทัด ให้เหลือไว้ 4 บรรทัดล่างสุดอีกด้วย
.
นอกจากนั้น ยังมีปัญหาการเซ็นเซอร์เนื้อหาในจดหมาย โดยเฉพาะหากเกี่ยวข้องกับการเมือง หรือสถานการณ์ในเรือนจำ เช่น กรณีของเก็ท โสภณ ที่พยายามเขียนความคิดเห็นทางการเมืองของเขา ก็พบว่ามีจดหมายที่ไม่สามารถส่งออกมาได้หลายฉบับ
.
ต่อมา จากสถานการณ์บังคับย้ายเรือนจำเมื่อต้นปี 2568 ก้องซึ่งถูกย้ายไปอยู่ในเรือนจำกลางบางขวาง ได้เปิดเผยว่าที่เรือนจำไม่ได้มีระบบ DomiMail เหมือนที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ การส่งจดหมายติดต่อโลกภายนอกสามารถทำได้วิธีเดียวคือการเขียนจดหมายส่งออกธรรมดา ซึ่งเป็นวิธีเดียวในตอนนี้ที่เขาจะสามารถใช้สื่อสารเรื่องการศึกษาต่อกับเพื่อนที่มหาวิทยาลัยรามคำแหงได้ ทั้งจดหมายที่เขาเคยส่งออกไปหาครอบครัวในบางทีก็ใช้เวลานานมากกว่าจะถึงมือครอบครัว
.
ทางด้านองค์กร Freedom bridge ซึ่งให้การช่วยเหลือผู้ต้องขังทางการเมือง เปิดเผยในลักษณะเดียวกันว่า หากระบบ DomiMail ถูกยุติการให้บริการไป การสื่อสารของผู้ต้องขังกับบุคคลภายนอกก็ต้องกลับมาใช้วิธีการสื่อสารทางไปรษณีย์ ซึ่งระยะเวลากว่าที่จดหมายจากเรือนจำจะถูกส่งถึงผู้รับอาจใช้เวลามากกว่า 15 วัน ไปจนถึง 1 เดือนเลยทีเดียว
.
แม็กกี้ได้เล่าผ่านบันทึกเยี่ยม เมื่อวันที่ 6 มิ.ย. ว่า ในเรือนจำกลางคลองเปรม ซึ่งไม่มีระบบ DomiMail และใช้วิธีการเขียนจดหมายปกติก็มีปัญหาเช่นเดียวกัน โดยเพื่อนผู้ต้องขังของเธอได้เขียนจดหมายเกี่ยวกับเรื่องการแพร่ระบาดของโรคโควิด – 19 ในเรือนจำช่วงนี้ แต่เมื่อเจ้าหน้าที่ตรวจสอบรายละเอียดจดหมายแล้ว ก็เรียกตัวเพื่อนของเธอให้ไปลบข้อความนั้นออก โดยอ้างว่าเพื่อความมั่นคงของเรือนจำ

สถานการณ์ผู้ต้องขังทางการเมือง มิ.ย. 68 : รจ.บางขวางยังไม่ตอบกลับหนังสือร้องเรียนกรณีผู้ต้องขังการเมืองถูกข่มขู่ ด้านระบบ Domi Mail จะหยุดให้บริการ กระทบการสื่อสาร
.
.

.
ท่ามกลางสถานการณ์การบังคับโยกย้ายผู้ต้องขังจากเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ “ก้อง – อารีฟ – บุ๊ค” ผู้ต้องขังทางการเมืองที่ถูกคุมขังอยู่เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ แต่ถูกย้ายไปควบคุมตัวอยู่ที่เรือนจำบางขวางในช่วงกลางเดือน มี.ค. 2568 ที่ผ่านมา
.
พบว่าสถานการณ์ในช่วงเดือน พ.ค. 2568 ผู้ต้องขังทั้งสามคนได้เปิดเผยสถานการณ์ที่สร้างความรู้สึกไม่ปลอดภัย ทั้งกรณีเจ้าหน้าที่เรียกพบผู้ต้องขังทางการเมืองหลายครั้ง โดยมีการพูดในลักษณะว่าสามารถตัวไปขังเดี่ยวได้ นอกจากนี้ยังมีกลุ่มผู้ต้องขังคนอื่น ๆ ในเรือนจำเข้ามาพูดจาข่มขู่ในลักษณะจะเล่นงาน รวมถึงถูกจับตามองความเคลื่อนไหวในระหว่างที่ใช้ชีวิตในเรือนจำอีกด้วย
.
บุ๊ค ธนายุทธ เปิดเผยกับทนายว่าเขาถูกเจ้าหน้าที่เรือนจำเรียกคุยในลักษณะสอบประวัติ โดยบอกกับเขาและอารีฟในลักษณะที่ว่าอย่าทำตัวแปลกแยกมาก ไม่งั้นพวกเขาอาจจะถูกขังเดี่ยว
.
บุ๊คเองก็เล่าถึงการคุกคามจากผู้ต้องขังด้วยกันเอง จากการที่มีผู้ไม่พอใจการเรียกร้องของผู้ต้องขังทางการเมือง รวมทั้งปัญหาความไม่พอใจกันระหว่างผู้ต้องขังที่อยู่มาเดิม กับกลุ่มที่ถูกย้ายมาใหม่ที่อัตราโทษน้อยกว่า แม้ไม่ใช่ผู้ต้องขังทางการเมือง
.
“เขามองว่าพวกโทษน้อยมักสร้างปัญหา เพราะโทษน้อยเดี๋ยวก็ได้ออกแล้ว ไม่ต้องกังวลมากว่าจะต้องอยู่ในเรือนจำอีกนาน มีการปะทะกันไปบ้าง แต่พวกผมไม่ได้ยุ่งเกี่ยวด้วย”
.
นอกจากนี้ ก้องยังเปิดเผยเหตุการณ์ที่เผชิญด้วยตัวเองในเรือนจำว่า มีวันหนึ่งที่พวกเขาอยู่บริเวณอ่างอาบน้ำในเรือนจำ มีผู้ต้องขังเดินผ่านเข้ามาแล้วบอกทำนองว่าสิ่งที่พวกเขากำลังเรียกร้องทำไม่ได้ และบอกว่าอย่ามีอภิสิทธิ์ชนเยอะ โดยก้องเข้าใจว่าเป็นการกล่าวถึงการเรียกร้องของพวกเขาในประเด็นการเยี่ยมญาติ และส่งจดหมาย ซึ่งเรือนจำบางขวางมีข้อจำกัดที่แตกต่างจากเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ อย่างมาก
.
เมื่อวันที่ 20 พ.ค. 2568 ทนายความได้ยื่นหนังสือสอบถามเรือนจำกลางบางขวาง กรณีขอให้ตรวจสอบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการคุกคามผู้ต้องขังจากกรณีดังกล่าว ซึ่งอาจมีลักษณะเป็นการเลือกปฏิบัติบนพื้นฐานความคิดเห็นทางการเมืองและความคิดเห็นในเรื่องอื่น ๆ ตามข้อเท็จจริงของผู้ต้องขังทั้งสามราย
.
ปัจจุบัน (12 มิ.ย. 2568) เรือนจำกลางบางขวางยังคงไม่มีการตอบกลับหนังสือขอให้ตรวจสอบข้อเท็จจริงดังกล่าว โดยทนายความจะติดตามสถานการณ์ต่อไป
.

.
ภายหลัง “แม็กกี้” ผู้ต้องขังมาตรา 112 เผชิญกับสภาวะแพนิคในช่วงสองเดือนที่ผ่านมา (เม.ย. – มิ.ย. 68) และพบว่าเธอติดโควิดจึงไม่สามารถเข้าเยี่ยมได้ เมื่อวันที่ 6 มิ.ย. 2568 ทนายความได้เข้าเยี่ยมแม็กกี้อีกครั้งที่เรือนจำกลางคลองเปรม โดยพบว่าเธอไม่ได้ติดโควิด แต่มีเพื่อนร่วมห้องขังที่ติด ทำให้ต้องถูกกักตัวไปด้วย
.
ตลอดระยะเวลาสองเดือนที่ผ่านมา แม็กกี้แจ้งว่าเธอมีสภาวะทางอารมณ์แปรปรวนรุนแรงเกิดขึ้น เพราะการขาดยาฮอร์โมนอย่างต่อเนื่อง เธอถูกส่งตัวไปที่โรงพยาบาลราชทัณฑ์ราวสองอาทิตย์ ก่อนถูกย้ายตัวกลับมาที่เรือนจำกลางคลองเปรม แม้เธอประเมินว่าอาการยังไม่ดีขึ้น แต่ก็ไม่ได้มีการย้ายตัวกลับไปอีก และในเวลาต่อมา เธอได้รับยาฮอร์โมนที่เหมาะสมแล้ว รวมถึงการได้รับยาจิตเวชด้วย
.
“หนูมองว่าแม้จะอยู่ในเรือนจำ แต่ผู้ต้องขังที่มีความหลากหลายทางเพศควรได้รับยาฮอร์โมนค่ะไม่ว่าจะอยู่ที่เรือนจำใด อย่างตอนที่หนูอยู่เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ หนูยังไม่ได้รับยาเลยค่ะ หนูมาได้รับยาอีกทีก็ตอนที่ถูกย้ายมาที่เรือนจำกลางคลองเปรม ดังนั้นเรื่องนี้หนูว่าควรผลักดัน”
.
ตามรายงานสภาพเรือนจำไทย ประจำปี 2568 ของสหพันธ์เพื่อสิทธิมนุษยชนสากล (FIDH) ได้เผยแพร่รายงานสภาพเรือนจำไทย สำรวจสถานการณ์สิทธิของผู้ต้องขังด้านต่าง ๆ ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. – 31 ธ.ค. 2567 ผ่านการสัมภาษณ์ผู้ต้องขัง และอดีตผู้ต้องขัง รวมถึงองค์กรพัฒนาเอกชน และเอกสารราชการที่เผยแพร่โดยหน่วยงานรัฐและสถาบันอื่น ๆ พบว่าในรายงานปรากฏประเด็นกลุ่มผู้ต้องขังที่มีความหลากหลายทางเพศ ยังคงไม่ได้รับการคุ้มครอง
.
จากการสัมภาษณ์อดีตผู้ต้องขังที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ และเรือนจำกลางยะลา เปิดเผยว่า ผู้ต้องขังที่มีความหลากหลายทางเพศหรือกลุ่มผู้ต้องขังหญิงข้ามเพศต้องเผชิญหน้ากับการคุกคามและการตีตราในรูปแบบต่าง ๆ โดยผู้ต้องขังในเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ระบุว่าตัวเองเป็นเกย์ ซึ่งมักจะถูกกลั่นแกล้ง บังคับให้เปิดเผยอวัยวะเพศ และถูกผู้ต้องขังคนอื่นล่วงละเมิดทางเพศ ตลอดจนแสดงความกังวลต่อการปฏิบัติต่อผู้ต้องขังหญิงข้ามเพศในเรือนจำด้วยว่า ในเรือนจำแม้จะเป็นหญิงข้ามเพศ แต่ก็ไม่มีการจัดหาเสื้อชั้นใน หรือการให้ฮอร์โมนสำหรับคนข้ามเพศอีกด้วย
.
ทั้งนี้ การรับยาฮอร์โมนของแม็กกี้ยังคงเป็นการได้รับการสนับสนุนจากโครงการ Freedom Bridge โดยทางเรือนจำไม่ได้เป็นผู้จัดหายาให้โดยตรง ซึ่งเจ้าหน้าที่ Freedom Bridge ได้เปิดเผยว่าค่าสนับสนุนยาฮอร์โมนต่อเดือนในเรือนจำของแม็กกี้ รวม ๆ แล้วมีค่าใช้จ่ายอยู่ประมาณ 3,000 บาทต่อเดือน ซึ่งถือเป็นค่าใช้จ่ายที่มีราคาสูงทีเดียว
.

ตั้งแต่วันที่ 17 พ.ค. 2568 “บัสบาส” มงคล ถิระโคตร ผู้ต้องขังคดีมาตรา 112 ที่เรือนจำกลางเชียงราย ยังได้เริ่มอดอาหารประท้วง เพื่อเรียกร้องให้ปล่อยตัวผู้ต้องขังทางการเมืองทั้งหมด โดยยังรับประทานน้ำ กาแฟ หรือนมอยู่ สำหรับวันที่เริ่มอดอาหารดังกล่าว เป็นวันคล้ายวันเกิดอายุครบ 32 ปีของเขา และเป็นช่วงใกล้เคียงกับการครบรอบ 1 ปีการเสียชีวิตของ “บุ้ง เนติพร”
.
ทั้งนี้เมื่อปี 2567 หลังเริ่มถูกคุมขัง บัสบาสก็ได้อดอาหารในช่วงเวลาเดียวกับบุ้ง ตั้งแต่ในวันที่ 27 ก.พ. 2567 เพื่อร่วมเรียกร้องให้ปล่อยตัวผู้ต้องขังทางการเมืองทุกคน ในช่วงนั้นเขาอดอาหารได้เป็นระยะเวลา 58 วัน ก่อนยุติการอดอาหารลงในวันที่ 24 เม.ย. 2567
.
บัสบาสบอกถึงสาเหตุการอดอาหารของเขาอีกครั้ง ว่าเขาไม่อยากอยู่นิ่งเฉย การอดอาหารเป็นการแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ของผู้ต้องขัง และเป็นหนทางที่พอร่วมแสดงออกได้ให้ปล่อยเพื่อน ๆ ผู้ต้องขังทางการเมือง โดยเขาเริ่มถูกดำเนินคดีจากการไปอดอาหารที่หน้าศาลอาญา ทำให้อยากลองดูอีกครั้ง
.
จนถึงกลางเดือน มิ.ย. บัสบาสยังอดอาหารต่อมา โดยเริ่มประสบปัญหาในช่วงต้นเดือนนี้ ทางเรือนจำไม่มีนมเปรี้ยว นม หรือโยเกิร์ต ขาย เนื่องจากสินค้าขาดแคลน ทำให้ส่งผลต่อการอดอาหารของเขา ทำให้เขาเหลือเพียงรับประทานน้ำและกาแฟในแต่ละวัน
.
ขณะเดียวกันในเดือนที่ผ่านมา ที่เรือนจำกลางเชียงใหม่ ซึ่งมี “พรชัย” ผู้ต้องขังคดีมาตรา 112 ถูกคุมขังอยู่ ก็พบว่าเรือนจำประสบปัญหาการขาดแคลนน้ำใช้ ทำให้ผู้ต้องขังไม่ได้อาบน้ำ จนหลายคนเกิดภาวะผื่นคัน หรือติดเชื้อแบคทีเรีย นอกจากนั้นน้ำดื่มในเรือนจำ ก็ไม่สะอาด เนื่องจากไม่มีเครื่องกรองน้ำ ขณะเดียวกันน้ำขวดที่ต้องซื้อผ่านร้านค้าสวัสดิการ ก็ไม่มีจำหน่ายในช่วงนี้เช่นกัน
.

.
แอพพลิเคชั่น “DomiMail จดหมายหลังกำแพง” เป็นช่องทางการสื่อสารที่ราชทัณฑ์ออกแบบให้ผู้ต้องขังและบุคคลภายนอกใช้สื่อสารรับ – ส่งจดหมายถึงกันได้ ซึ่งบุคคลภายนอก ไม่ว่าจะเป็นครอบครัวหรือเพื่อนสามารถดาวน์โหลดแอพพลิเคชั่นได้ทั้งบนแพลตฟอร์มของ Apple store และ Google pay ซึ่งญาติที่ต้องการจะซื้อบริการจะต้องเลือกซื้อแพคเกจคูปอง โดยมี 2 บริการ ได้แก่ บริการจดหมายถึงเรือนจำ และบริการจดหมายกลับบ้าน ซึ่งมีราคาแพคเกจละ 100 บาท โดยทั้งญาติและผู้ต้องขังสามารถส่งจดหมายหากันได้รวม 10 ฉบับ จากค่าแพคเกจดังกล่าว
.
ทางเรือนจำจะพิมพ์จดหมายดังกล่าวใส่กระดาษให้ผู้ต้องขัง ในขณะเดียวกันผู้ต้องขังที่ต้องการเขียนจดหมายหาญาติผ่านโดมิเมล จะตอบกลับข้อความจดหมายของญาติด้วยกระดาษจดหมายที่เขียนด้วยลายมือ โดยส่งได้วันละ 1 ฉบับ โดยการรับและส่งเป็นไปอย่างรวดเร็วกว่าการส่งจดหมายทางไปรษณีย์
.
ทั้งนี้ระบบ DomiMail นั้น มีใช้อยู่ภายในเรือนจำประมาณ 10 แห่ง โดยส่วนใหญ่เป็นเรือนจำภายในกรุงเทพฯ ในต่างจังหวัดมีการนำร่องใช้ที่เรือนจำในจังหวัดสงขลา และนครศรีธรรมราช
ในช่วงสองเดือนที่ผ่านมา (พ.ค. – มิ.ย. 2568) ญาติผู้ต้องขังและผู้ต้องขังทางการเมืองในเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ แจ้งข้อมูลว่า เรือนจำจะมีการปิดระบบ DomiMail เพื่อปรับปรุง โดยไม่ได้บอกระยะเวลาในการปรับปรุงว่าจะมีการปิดระบบจดหมายออนไลน์ดังกล่าวไปจนถึงเมื่อใด
.
ล่าสุด (9 มิ.ย.) “เก็ท” โสภณ สุรฤทธิ์ธำรง ผู้ต้องขังคดี ม.112 ได้ให้ข้อมูลยืนยันว่าระบบจดหมาย DomiMail จะยุติการให้บริการตั้งแต่ในวันที่ 16 มิ.ย. 2568 โดยเจ้าหน้าที่เรือนจำได้มีหนังสือชี้แจงมาสักพักแล้ว ทั้งนี้ การยุติการบริการดังกล่าวเป็นเพื่อการปรับปรุง โดยจะกลับมาให้บริการใหม่ในภายหลัง แต่ไม่ได้ระบุระยะเวลาไว้
.
ในช่วงที่ผ่านมา ผู้ต้องขังทางการเมืองหลายคนใช้ช่องทางการส่งจดหมาย DomiMail ติดต่อสื่อสารกับโลกภายนอก โดยบอกเล่าเรื่องราว ความคิดความเห็นของตน แม้ภายใต้ข้อจำกัดของการถูกตรวจสอบเนื้อหาโดยเจ้าหน้าที่เรือนจำ
.
เมื่อช่วงเดือน ก.ย. 2567 ได้มีสถานการณ์เกี่ยวกับปัญหาการสื่อสารผ่านจดหมาย DomiMail ของผู้ต้องขังในเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ โดยพบว่าในเรือนจำไม่นำปากกามาขายในร้านค้าสวัสดิการประมาณ 1 เดือน ซึ่งเจ้าหน้าที่อ้างว่าขาดตลาด ทำให้ผู้ต้องขังไม่มีปากกาใช้เขียนจดหมาย
.
ในช่วงดังกล่าวเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ได้มีการเพิ่มข้อจำกัดในการรับ – ส่งจดหมายผ่านระบบออนไลน์ โดย “ขนุน สิรภพ” ได้สะท้อนข้อจำกัดในการสื่อสารผ่านจดหมาย DomiMail ในขณะนั้นว่ามีผู้ส่งจดหมายผ่านแอพพลิเคชั่นเข้ามา 2-3 ฉบับในวันเดียว คนที่ส่งเป็นคนแรกจะถูกนำไปตรวจเนื้อหา เพื่อส่งต่อมาให้ผู้ต้องขัง แต่คนที่ส่งตามหลังมา นอกจากจะเสียค่าส่งจดหมายฉบับละ 10 บาทแล้ว ยังถูกตีตกทิ้งไปเลย โดยไม่นำมาส่งให้ โดยการส่งจดหมายออกมากกว่าหนึ่งฉบับ จะต้องเขียนคำร้องและแนบจดหมายที่เกินนั้น ให้ตรวจสอบโดยใช้เวลา 2-3 วัน
.
นอกจากนั้น ยังมีการจำกัดจำนวนบรรทัดในการเขียน จากเดิมตัวกระดาษจดหมายมี 19 บรรทัด มีการกำหนดให้เขียนไม่เกิน 15 บรรทัด ให้เหลือไว้ 4 บรรทัดล่างสุดอีกด้วย
.
นอกจากนั้น ยังมีปัญหาการเซ็นเซอร์เนื้อหาในจดหมาย โดยเฉพาะหากเกี่ยวข้องกับการเมือง หรือสถานการณ์ในเรือนจำ เช่น กรณีของเก็ท โสภณ ที่พยายามเขียนความคิดเห็นทางการเมืองของเขา ก็พบว่ามีจดหมายที่ไม่สามารถส่งออกมาได้หลายฉบับ
.
ต่อมา จากสถานการณ์บังคับย้ายเรือนจำเมื่อต้นปี 2568 ก้องซึ่งถูกย้ายไปอยู่ในเรือนจำกลางบางขวาง ได้เปิดเผยว่าที่เรือนจำไม่ได้มีระบบ DomiMail เหมือนที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ การส่งจดหมายติดต่อโลกภายนอกสามารถทำได้วิธีเดียวคือการเขียนจดหมายส่งออกธรรมดา ซึ่งเป็นวิธีเดียวในตอนนี้ที่เขาจะสามารถใช้สื่อสารเรื่องการศึกษาต่อกับเพื่อนที่มหาวิทยาลัยรามคำแหงได้ ทั้งจดหมายที่เขาเคยส่งออกไปหาครอบครัวในบางทีก็ใช้เวลานานมากกว่าจะถึงมือครอบครัว
.
ทางด้านองค์กร Freedom bridge ซึ่งให้การช่วยเหลือผู้ต้องขังทางการเมือง เปิดเผยในลักษณะเดียวกันว่า หากระบบ DomiMail ถูกยุติการให้บริการไป การสื่อสารของผู้ต้องขังกับบุคคลภายนอกก็ต้องกลับมาใช้วิธีการสื่อสารทางไปรษณีย์ ซึ่งระยะเวลากว่าที่จดหมายจากเรือนจำจะถูกส่งถึงผู้รับอาจใช้เวลามากกว่า 15 วัน ไปจนถึง 1 เดือนเลยทีเดียว
.
แม็กกี้ได้เล่าผ่านบันทึกเยี่ยม เมื่อวันที่ 6 มิ.ย. ว่า ในเรือนจำกลางคลองเปรม ซึ่งไม่มีระบบ DomiMail และใช้วิธีการเขียนจดหมายปกติก็มีปัญหาเช่นเดียวกัน โดยเพื่อนผู้ต้องขังของเธอได้เขียนจดหมายเกี่ยวกับเรื่องการแพร่ระบาดของโรคโควิด – 19 ในเรือนจำช่วงนี้ แต่เมื่อเจ้าหน้าที่ตรวจสอบรายละเอียดจดหมายแล้ว ก็เรียกตัวเพื่อนของเธอให้ไปลบข้อความนั้นออก โดยอ้างว่าเพื่อความมั่นคงของเรือนจำ

https://www.facebook.com/photo/?fbid=1121148363188966&set=a.656922399611567
Pipob Udomittipong
17 hours ago
·
นอกจากเก็บค่าส่งจดหมายฉบับละ 10 บาท “ยังมีการจำกัดจำนวนบรรทัดในการเขียน จากเดิมตัวกระดาษจดหมายมี 19 บรรทัด มีการกำหนดให้เขียนไม่เกิน 15 บรรทัด ให้เว้น 4 บรรทัดล่างสุดอีกด้วย
“นอกจากนั้น ยังมีปัญหาการเซ็นเซอร์เนื้อหาในจดหมาย โดยเฉพาะหากเกี่ยวข้องกับการเมือง หรือสถานการณ์ในเรือนจำ เช่น กรณีของเก็ท โสภณ ที่พยายามเขียนความคิดเห็นทางการเมืองของเขา ก็พบว่ามีจดหมายที่ไม่สามารถส่งออกมาได้หลายฉบับ”
สมาคมหรือองค์กรนักเขียนจะช่วยรณรงค์เพื่อ #เสรีภาพในการแสดงออก Freedom of expression ของผู้ต้องขังบ้างมั้ยครับ นอกจากควบคุมร่างกาย รัฐไทยยังควบคุมความคิดของพวกเขาอีกด้วย