
5 ปี ย้อนความทรงจำ ม็อบ 63 กับ ‘ภารกิจที่ยังไม่จบ’ วันนี้รู้แล้ว กำลังว่ายน้ำข้ามมหาสมุทร
ผู้เขียน พรหมพร เจริญกิจชัชวาล, ชญานินทร์ ภูษาทอง
มติชนออนไลน์
5 ปี ย้อนความทรงจำ
ม็อบ 63 กับ ‘ภารกิจที่ยังไม่จบ’
วันนี้รู้แล้ว กำลังว่ายน้ำข้ามมหาสมุทร
เข็มนาฬิกาเดินหน้าไปทุกวินาที
แต่โลกนี้ไม่ได้มีเพียงคำว่า ‘อนาคต’
ก่อนจะถึงห้วงเวลาปัจจุบันสู่วันพรุ่งนี้ ล้วนมีรากฐานจากอดีต
ไม่ใช่เพียงประวัติศาสตร์อันยาวไกล ทว่า บนเส้นทางประวัติศาสตร์ร่วมสมัย ยังมากมายด้วยความทรงจำ และภารกิจที่ยังคงไม่เสร็จสิ้น
หากย้อนเวลากลับไปปี 2563 การเคลื่อนไหวครั้งใหญ่ได้จารึกหน้าประวัติศาสตร์การเมืองไทย จากแรงสั่นสะเทือนของความไม่เป็นธรรมที่สะสมมาหลายปี ขบวนการนักศึกษาและคนรุ่นใหม่ลุกขึ้นสู้แม้เผชิญการปราบปรามจากแก๊สน้ำตาและกระสุนยาง
ครึ่งทศวรรษอาจดูเหมือนไม่นานนัก แต่ข้อเรียกร้องให้แก้ไขรัฐธรรมนูญยังคงดำเนินไปอย่างเชื่องช้า ขณะนักเคลื่อนไหวทางการเมืองจำนวนมากยังคงถูกคุมขัง หลายคนยังต้องวนเวียนขึ้นศาล และอีกจำนวนหนึ่งยังอยู่หลังกำแพงจนถึงวันนี้
ในโอกาสครบรอบ 5 ปีของปรากฏการณ์ม็อบ 63 พิพิธภัณฑ์ สามัญชน ร่วมกับ Kinjai Contemporary จัดนิทรรศการ “Once Upon a Time 63” พร้อมฉายภาพยนตร์สารคดี “Then and Now” โดยศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน ภายในงานยังมีวงเสวนา ‘The Unfinished Business: ม็อบ 63 กับภารกิจที่ยังไม่แล้วเสร็จ’ ณ Kinjai Contemporary เมื่อไม่นานมานี้
จากความฝัน อยากเป็น ‘คนในเครื่องแบบ’
สู่ผู้ส่งเสียงตะโกนก้อง ต้านทหารยุ่งการเมือง
หนึ่งเสียงของผู้เคยถูกคุมขัง ณัฐชนน ไพโรจน์ อดีตนักกิจกรรมแนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุม ปัจจุบันเป็นเจ้าหน้าที่เครือข่ายประชาชนเพื่อสิทธิทางการเมือง (Thumb Rights) เล่าย้อนถึงเส้นทางการเข้ามาเป็นนักกิจกรรมทางการเมืองว่า ตนเป็นเด็กต่างจังหวัดคนหนึ่ง ที่ทางบ้านเชียร์พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีในช่วงเวลานั้น ตอนนั้นถามพ่อว่า ทหารมาเป็นนายกฯ มันดีใช่หรือไม่? พ่อบอกว่าดี ทหารเป็นอาชีพมีระเบียบ มีวินัย มีเกียรติ จึงเชื่ออย่างนั้นมาตลอด
“เดิมผมก็คิดจะเป็นทหาร แต่เกิดอุบัติเหตุจนถูกตัดขาหนึ่ง ก็เป็นไม่ได้แล้ว เลยต้องทำอย่างอื่นแทน พอต้องเลือกว่าจะเรียนอะไรต่อในมหาวิทยาลัย ก็ไม่รู้ตัว จนไปเจอเพื่อนคนหนึ่งเขาอ่านหนังสือการเมือง ก็ยืมหนังสือเขาอ่าน เราอ่านก็รู้สึกว่า อันนี้เหรอที่เขาเรียกว่าการเมือง เป็นหนังสือทั่วไปที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับประวัติศาสตร์การเมือง ผมไม่รู้หรอกว่า 6 ตุลา 14 ตุลา คืออะไร ในช่วงเวลานั้น
เราก็ไปศึกษาการเมืองต่อ ตอนนั้นมีดราม่าเรื่องเรือเหาะ กองทัพ คอร์รัปชั่น หลังจากนั้นก็นั่งฟังในแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียต่อ เขาเอาหลักฐานมากาง เราก็รู้สึกว่า ไม่ได้ดีอย่างที่เขาบอก พอนั่งอ่านประวัติศาสตร์ หนังสือการเมืองไทยก็บอกว่า การออกมาต่อสู้ของคนไทยที่ออกมาไล่เผด็จการทหาร มันทำได้ ก็มีคำถามว่า แล้วทำไมวันนี้เราไม่ทำ” ณัฐชนนย้อนจุดเริ่มต้น

(จากซ้าย) อานนท์ ชวาลาวัณย์ ผู้ก่อตั้งพิพิธภัณฑ์สามัญชน ผู้ดำเนินรายการ, ณัฐชนน ไพโรจน์ อดีตแนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุม, ภัสราวลี ธนกิจวิบูลย์ผล อดีตนักกิจกรรมกลุ่มมหานครเพื่อประชาธิปไตย และสุพงศ์ จิตต์เมือง ผู้กำกับภาพยนตร์สารคดี MOB 2020-2021
‘สู้ๆ ไอ้หนู’ เสียงเชียร์ข้ามสีเสื้อ
ประทับใจ คนทะลักอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย
ณัฐชนนเล่าต่อไปว่า เหตุการณ์การชุมนุมที่ประทับใจมากที่สุดคือ วันที่ 14 ตุลาคม 2563 ซึ่งนัดหยุดงานกันทั้งประเทศ และก็มีประกาศต่อ 7 วัน 7 คืน ว่ามาต่อต้านรัฐบาลกัน ไปชุมนุมปักหลักกันหน้าทำเนียบ
“เราก็ปาดเหงื่อเลย งานใหญ่แล้ว เวลา 8 โมงเช้า ตกใจมาก อลังการ ไม่คิดว่าจะเกิดขึ้น เพราะคนเต็มอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย เจอม็อบเสื้อเหลือง เขาหันมาชู 3 นิ้ว แล้วพูดว่า ‘สู้ๆ ไอ้หนู’ ต่อให้คุณใส่เสื้อสีอะไร คุณก็ยังไปกับผม สองข้างทางเต็มไปด้วยเสื้อเหลือง เขาก็ชู 3 นิ้ว ผู้ร่วมชุมนุมเยอะมากจนมองไม่เห็นปลายแถว จนม็อบยืดยาวไปเป็นเดือน เป็นวันที่ประทับใจที่เห็นพลังประชาชนมากที่สุด” ณัฐชนนเล่า
จากนั้น กล่าวถึงการนำ ‘ขาเทียม’ มาจัดแสดงในนิทรรศการว่า ‘เหมือนหวยล็อก’ ไม่เหมือนคนอื่น เพราะเป็นทั้งสิ่งของและอวัยวะ
“ต่อให้โลกใบนี้เปลี่ยนได้ คนทุกคนเท่ากัน อย่างน้อยๆ ขาของผมก็เป็นอนุสรณ์ของความไม่เท่าเทียมกัน ว่าทุกคนมีโอกาสไม่เท่ากัน การรักษาพยาบาลไม่เท่ากัน อุปกรณ์ไม่เข้าถึงทุกพื้นที่” ณัฐชนนเอ่ยพร้อมรอยยิ้มผ่านแววตา ก่อนจะขยายความต่อไปอีกว่า ขาเทียมเป็นส่วนหนึ่งที่ไปกับการเคลื่อนไหวทางการเมือง ในจังหวะ ‘ชุลมุน’ โดยถูกใช้ค้ำยันประตูรถที่ใช้คุมขังตนและเพื่อนร่วมอุดมการณ์ บนขาเทียมคู่นั้น จึงมีลายมือของผู้คนมากมายที่เคยร่วมยืนเคียงข้างกัน
“แปลกดีนะ ขาเทียมของผมแข็งแรงกว่าที่คิด ผมเลยให้คนที่อยู่ในช่วงเวลานั้นเขียนไว้ เพื่อให้รู้ว่าครั้งหนึ่ง เขาเคยเดินไปกับผม” เจ้าตัวหัวเราะเบาๆ ก่อนปิดท้ายว่า วันนี้รู้แล้วว่า เราไม่ได้กำลังวิ่งร้อยเมตร แต่เรากำลังว่ายน้ำข้ามมหาสมุทร เราลองแล้วมันไปไม่ถึง ต้องใจเย็นมากขึ้น ทำอย่างไรถึงจะชนะ มีวันที่ต้องสู้ และมีวันที่ต้องถอย ช่วงเวลานี้เราต้องพยุงตัวเองไปให้ได้ไกลที่สุด
“คนรากหญ้าอย่างพวกเรา สู้ด้วยความเชื่อ ความศรัทธา เรามาที่นี่ เรามาเยอะ เราเชื่อ เราเป็นนักศึกษา เงินไม่ได้มีเยอะ อำนาจไม่มีเยอะ แต่เรามีความฝัน” ณัฐชนนกล่าวหนักแน่น
การเมืองไม่ดี ทำงานแทบตาย
สุดท้าย ‘หลุดไม่พ้นวงจรหนี้’
อีกหนึ่งนักกิจกรรมที่โดดเด่น คือ ภัสราวลี ธนกิจวิบูลย์ผล หรือ ‘มายด์’ อดีตนักกิจกรรมกลุ่มมหานครเพื่อประชาธิปไตย เจ้าหน้าที่เครือข่ายรณรงค์รัฐธรรมนูญ (CALL) เกริ่นว่า เดิมไม่ได้สนใจการเมืองเลย ตอนมัธยมปลายอยู่ที่สระบุรี หัวหน้าหมวดสังคมของโรงเรียนพานักเรียนออกไปม็อบ กปปส.ในจังหวัด ตอนนั้นก็ไม่ได้สนใจอะไร ความโชคดีคือตนไม่ได้ถลำตัวเข้าไปร่วม
“ที่บ้านชอบคุณทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ตัวเราเองก็ไม่ได้อินกับคุณครูที่พาเด็กไปม็อบ กปปส. ไม่ได้สนใจการเมืองลึกอะไรพอช่วงเวลาที่เข้ามหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตศรีราชา สอบติดวิศวะโยธา ก็ยอมรับว่าเรียนไม่จบ แต่เป็นจุดที่ทำให้เจอเพื่อนบางคน ทำให้รู้สึกว่าการเมืองสำคัญ
ปี 2558 ครบรอบรัฐประหาร 1 ปี ได้เห็นข่าวนักกิจกรรมการเมือง ได้ไปยืนทำกิจกรรมกันหน้าหอศิลป์ ยืนมองเวลาครบรอบรัฐประหาร 1 ปี ตนเห็นข่าว ในช็อตที่เขาโดนอุ้มออกไป ก็รู้สึกว่า ทำกันขนาดนี้เลยหรือ แค่การไปยืนมองเวลามันไม่ได้หรือ?
แล้วประชาชนมีอำนาจในการทำอะไรได้บ้าง? ก็เป็นสิ่งที่ทำให้เราอยากรู้ว่าการเมืองคืออะไร ประชาธิปไตยที่เขาพูดคำยากๆ คืออะไร เรามีสิทธิอะไร เรามีอำนาจหรือไม่ในระบอบเช่นนี้
“ระหว่างปี 2559-2560 ธุรกิจพ่อเริ่มล้ม มันทำให้เราเห็นว่าครอบครัวยังทำงานหนักมาก แต่มีหนี้เพิ่มขึ้นตลอดเวลา เราเลยรู้ว่า นี่แหละ มันเชื่อมโยงกับเรา ตราบใดที่พ่อแม่ทำงานแทบตายแต่สภาพสังคมยังเป็นแบบนี้ ก็ลืมตาอ้าปากไม่ได้
เรากลับไปทำความเข้าใจ ทุกๆ การรัฐประหาร มันทำร้ายอะไรไปบ้าง ยกตัวอย่างเศรษฐกิจหยุดชะงัก และหากรัฐบาลไม่ได้พาเศรษฐกิจขึ้นมาให้มีสภาพที่เดินไปได้ ก็ย่อมไม่มีความสนใจเรื่องนี้อยู่ดี
“เราก็รู้เลยว่าถ้าการเมืองไม่ดี ต่อให้ครอบครัวทำงานแทบตายก็หลุดพ้นหนี้ไม่ได้”
ปี 2560 เราย้ายจากมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ศรีราชา มาเรียนที่มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีมหานคร เรียนวิศวะโยธาเหมือนเดิม ซึ่งตัดสินใจผิดมากและยังไม่จบจนถึงทุกวันนี้ แต่เป็นโอกาสได้เจอทุกคน” มายด์ ภัสราวลี เล่า
ถ้าไม่พูดวันนี้ ก็ไม่รู้จะได้พูดไหม?
สารภาพ ‘ขาสั่น’ กลัวโดนยิง
สำหรับการชุมนุมที่ประทับใจมากที่สุด มายด์ยกให้ #ม็อบ24มีนา64 ที่แยกราชประสงค์ ซึ่งวันนั้นยืนพูดอยู่บนรถคนเดียวแบบ ‘ขาสั่น’
“เมื่อพูดไป ทุกคนเหมือนช็อกอยู่แป๊บหนึ่ง แล้วก็ลุกขึ้นปรบมือ ป้านั่งหน้าๆ ก็ร้องไห้ เราก็รู้สึกว่าคิดถูกที่พูด ถ้าไม่พูดวันนี้ก็ไม่รู้ว่าจะได้พูดหรือเปล่า เราพยายามอย่างดีที่สุดที่จะส่งสารไปให้ตรงๆ ในฐานะประชาชนเจ้าของอำนาจ แล้วทำไมเราจะตั้งคำถามกับอำนาจที่ไม่ตรงไปตรงมาไม่ได้”
ส่วนสิ่งของที่นำมาจัดแสดง ภัสราวลีเผยว่า นำกระเป๋าที่ใช้ตลอดเวลาระหว่าง #ม็อบ63
“นี่เป็นกระเป๋าที่แบกทุกอย่าง ข้างในมีแปรงสีฟัน เสื้อกันฝน ป้ายแสดงสัญญาณสี เป็นสิ่งที่เก็บรวมทุกอย่างในการดำรงชีวิต”

ปลอกแขนสื่อมวลชน ในม็อบ63 ของ ส.ว.เทวฤทธิ์ มณีฉาย ซึ่งขณะนั้นสังกัดสื่อ ‘ประชาไท’
เพดานถูกทลาย ไม่เคยลดระดับ
ข้อมูลคืออาวุธสู่ชัยชนะ
ถามว่า 5 ปีผ่านไป ความรู้สึกในใจเป็นอย่างไร มายด์เผยว่า วันนี้สู้ด้วยใจที่กว้างและใจเย็นมากขึ้น ตั้งคำถามถูกจุดมากขึ้น ถ้าอยากตั้งคำถาม ก็ตั้งกับผู้บังคับบัญชา คนถืออำนาจรัฐ ว่าทำไมเราต้องเจออะไรแบบนี้
“มายด์คิดว่านี่คือการใจกล้าและใจเย็นมากขึ้น แต่ในขณะเดียวกันเพดานที่ถูกทลายไปแล้ว มันไม่เคยลดระดับลงมาเลย มายด์คิดว่าเราทุกคนยังมีฝันอะไรในใจ ที่ใกล้เคียงกับความเป็นจริงมากกว่าเดิม กระบวนการที่เกิดขึ้นยากๆ ตอนนี้ ก็เป็นสิ่งที่เราหนีไม่พ้น หน้าที่ของเราคือการทำความเข้าใจกระบวนการยากๆ เหล่านี้ เพื่อเราจะสู้และสอดตัวเองเข้าไปในกระบวนการยากๆ เพื่อหาพื้นที่ในการต่อรองกับพวกเขาให้ได้
ถ้าเราจะชนะ เราต้องมีพลังข้อมูลที่จะไปหักล้างสิ่งที่พวกเขาพูดผิดๆ ไปกับเรา เราจะยืนยันเหตุผลการมีอำนาจของพวกเราอย่างไรได้บ้างในทางกฎหมายที่เขาบอกว่ามันไม่ใช่เรื่องของเรา แต่จริงๆ แล้วมันเป็นเรื่องของเรา พลังทะลุทะลวงเป็นแบบอย่างของเราที่ดีและเราต้องรักษาไว้ แต่สิ่งที่เราจะชนะ คือการยืนระยะให้นานที่สุดจนเห็นความล้มเหลวของพวกเขา” ภัสราวลีเผยความตั้งใจ
ไม่ใช่แค่ชุมนุม แต่คือ ‘เฟสติวัล’
ในฐานะ ‘คนสื่อ’ มันคือภาพที่อดใจไม่ไหว
ปิดท้ายที่ สุพงศ์ จิตต์เมือง ผู้กำกับภาพยนตร์ MOB2020-2021 ซึ่งเล่าถึงการเข้ามาในแวดวงม็อบว่า พรรคการเมืองที่เลือก ‘โดนยุบ’ จึงรู้สึกว่าไม่แฟร์
“เรารู้สึกว่าถ้ามีโอกาสก็อยากร่วม เลยไปม็อบ โดยเฉพาะแมตช์ 19 กันยา ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ (ม็อบ19กันยาทวงอำนาจคืนราษฎร) ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์
ผมรู้สึกว่ามันคือเฟสติวัลทางการเมืองที่พิเศษมากๆ บวกกับประเด็นการเมืองที่ชาญฉลาดมาก
รอบสนามหลวง มีกิจกรรมตั้งแต่ประเด็นรัฐธรรมนูญ มีละคร มันมีการแสดง มีกิจกรรม มีคนเล่นว่าว มันเปลี่ยนนิยามของการชุมนุม เปลี่ยนสนามหลวงเป็นสนามราษฎร” สุพงศ์เล่า ก่อนกล่าวถึงจุดเปลี่ยนจาก ‘ผู้เข้าร่วมชุมนุม’ สู่ ‘ผู้บันทึกเหตุการณ์’ จนกลายเป็นภาพยนตร์
“เราเห็นภาพบางภาพแล้วมันมีพลังมากเลย
สิ่งแรกที่ผมลงรถเมล์มาแล้วเห็นคือวัยรุ่นที่ตั้งคำถามกับสังคมนี้ ไม่พอแค่นั้น ยังมีพี่น้องเสื้อแดง ผมเข้าใจว่าเป็นแมตช์แรกเลยที่เสื้อแดงรวมพลังกับเด็กเยาวชน คนที่ทำงานด้านสื่อไม่มีทางอดใจไหว
แต่ละแมตช์ไม่ได้มีแค่แกนนำอย่างเดียว เราเห็นพลังของคนเล็กคนน้อยที่ซ่อนอยู่ในนั้น ในอีกมิติหนึ่งผมทำรายการชื่อ ชีวิตจริงยิ่งกว่าละคร บอกเล่าเรื่องราวคนเล็กคนน้อยในชุมชนอยู่แล้ว แต่อันนี้มันเป็นเสียงเล็กเสียงน้อยที่เราอาจจะไม่ได้เห็นในสื่อหลัก เขาอาจจะโฟกัสผู้นำม็อบ แต่ถ้าไปดูในสารคดีนี้มันจะเห็นบางอย่าง มันอาจจะเป็นการบันทึกประวัติศาสตร์ เป็นส่วนสำคัญที่บ้านเราควรจะมีไว้ โดยได้แรงบันดาลใจจาก สรรพสิริ วิรยศิริ ผู้สื่อข่าวสมัย 6 ตุลา 2519” สุพงศ์เล่า
‘มันต้องจบที่สักรุ่น’
ไม่ซีเรียส ‘จะจบที่รุ่นเรา’
นอกจากนี้ สุพงศ์เล่าถึงสิ่งที่ไม่ได้ใส่ลงในภาพยนตร์สารคดี คือ รำลึก 6 ตุลา เมื่อปี 63 ซึ่งมีการจัดนิทรรศการ ‘แขวน’ ที่ธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์
“ตอนแรกจะเอามาใช้แต่มันโดด ผมเลยเก็บเอาไว้ เรามีบางอย่างที่มันฝังใจ ปมนั้น ผมไปเจอสมัยประถม ในห้องสมุด มีหนังสือบางๆ เล่มหนึ่ง มันวางเป็นกองพร้อมหนังสือทั่วไป ซีนนั้นมันเก็บแล้วฝังไปในตัวเรา
สุดท้ายผมก็เลยตัดจากม็อบ 2 ชั่วโมง เป็นสารคดีรำลึก 6 ตุลา 19 ผมคิดว่า 30 นาทีนี้มันได้คลายบางอย่างแล้ว สิ่งหนึ่งที่เราเห็นงานรำลึก 6 ตุลา ไม่ได้ยิ่งใหญ่เท่านิทรรศการแขวน แต่เราเห็นความหวังจากวัยรุ่น สุดท้ายใครทำอะไรสร้างสรรค์ก็ทำ แล้วก็รักษาร่างกายไว้ อยู่ให้นานรอการเปลี่ยนแปลง ผมไม่ซีเรียสว่าจะให้จบที่รุ่นเรา แต่ผมมีลูก มีหลาน มันต้องจบที่สักรุ่น” สุพงศ์ปิดท้ายวงสนทนา
การต่อสู้ที่ยังไม่สิ้นสุด อดีตยังอยู่รอบตัวเรา ความพยายามเพื่อการเปลี่ยนแปลงยังดำเนินต่อไป แม้ภารกิจที่ยังไม่จบ แต่ความหวังก็ยังไม่เลือนหายเช่นกัน
https://www.matichon.co.th/prachachuen/news_5454583
LIVE 🔴 ม็อบ 63 กับภารกิจที่ยังไม่แล้วเสร็จ พูดคุย กับ มายด์ ภัสราวลี - ณัฐชนน ไพโรจน์
UDD news Thailand
Streamed live on Oct 18, 2025
#UDDnews #ยูดีดีนิวส์
#onceuponatime63 The Unfinished business: ม็อบ 63 กับภารกิจที่ยังไม่แล้วเสร็จ
มายด์ ภัสราวลี ธนกิจวิบูลย์ผล อดีตนักกิจกรรมกลุ่มมหานครเพื่อประชาธิปไตยและเจ้าหน้าที่ เครือข่ายรณรงค์รัฐธรรมนูญ (CALL)
ณัฐชนน ไพโรจน์ อดีตนักกิจกรรมแนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุมและเจ้าหน้าที่ เครือข่ายประชาชนเพื่อสิทธิทางการเมือง (Thumb Rights)
สุพงศ์ จิตต์เมือง ผู้กำกับภาพยนตร์ MOB2020-2021
https://www.youtube.com/watch?v=F9Wo7Juo4Ak
#onceuponatime63 The Unfinished business: ม็อบ 63 กับภารกิจที่ยังไม่แล้วเสร็จ
มายด์ ภัสราวลี ธนกิจวิบูลย์ผล อดีตนักกิจกรรมกลุ่มมหานครเพื่อประชาธิปไตยและเจ้าหน้าที่ เครือข่ายรณรงค์รัฐธรรมนูญ (CALL)
ณัฐชนน ไพโรจน์ อดีตนักกิจกรรมแนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุมและเจ้าหน้าที่ เครือข่ายประชาชนเพื่อสิทธิทางการเมือง (Thumb Rights)
สุพงศ์ จิตต์เมือง ผู้กำกับภาพยนตร์ MOB2020-2021
https://www.youtube.com/watch?v=F9Wo7Juo4Ak