
หนังสือใหม่ ‘ไทเรล ฮาร์เบอร์คอร์น’ วิเคราะห์ความคิดนักโทษการเมือง 2490-ปัจจุบัน
18 พฤศจิกายน 2568
ประชาไท
ไทเรล ฮาร์เบอร์คอร์น ศาสตราจารย์ประจำคณะภาษาและวัฒนธรรมเอเชีย มหาวิทยาลัยวิสคอนซิน เมดิสัน สัมพันธ์กับเมืองไทยมากว่า 30 ปี มีความสามารถในการอ่าน เขียนและพูดภาษาไทยได้คล่องแคล่ว ทำงานวิจัยด้านความรุนแรงของรัฐและการเมืองวัฒนธรรมของผู้เห็นต่างในประเทศไทย ตั้งแต่ช่วงสิ้นสุดระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ในปี 2475 จนถึงปัจจุบัน โดยมีบทความและหนังสือเกี่ยวกับ ‘ประวัติศาสตร์ชายขอบ’ มากมายทั้งภาษาไทยและอังกฤษ
ปัจจุบันเธอกำลังซุ่มเขียนงานชิ้นล่าสุดเกี่ยวกับ ประวัติศาสตร์การจองจำและประวัติศาสตร์ความคิดของนักโทษการเมืองไทยตั้งแต่อดีตจนปัจจุบัน ระหว่างเส้นทางดังกล่าว เธอได้รับเชิญมาร่วมบรรยายในชั้นเรียนวิชา ‘ประวัติศาสตร์นิพนธ์’ คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินวิโรฒ พลันที่ประกาศให้เป็นการบรรยายสาธารณะ ห้องเรียนก็อุ่นหนาฝาคั่งขึ้นด้วยนักศึกษาทั้งปริญญาตรี โท เอก จากมหาวิทยาลัยอื่นๆ ทั้งในและต่างประเทศ
ไทเรลใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงในการบอกเล่า ‘เส้นทาง’ การทำงานและก่อร่างสร้างชิ้นงานประวัติศาสตร์ชุดใหญ่นี้ โดยกล่าวถึงแรงบันดาลใจว่ามาจากการอ่านจดหมายของ ‘นักโทษ’ อย่างอานนท์ นำภา โดยเมื่อ 2 ปีก่อนมีการเผยแพร่จดหมายจากเขาถึงลูกๆ จึงเริ่มแปลเป็นภาษาอังกฤษเพื่อเผยแพร่ให้กว้างขวางขึ้น
“จดหมายเป็นหลักฐานสำคัญทางประวัติศาสตร์ในการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยหรือสะท้อนความรุนแรงโดยรัฐ แต่มันมากกว่านั้น เขามีไอเดียต่างๆ ที่วาดภาพสังคมประชาธิปไตย ระหว่างบรรทัดก็อธิบายให้ลูกเข้าใจว่าทำไมต้องห่างกันและทำยังไงจึงไม่ลืมกัน เข้าใจว่านี่เป็นการสื่อสารถึงคนอื่นด้วยว่า การต่อสู้จะยาวพอสมควรและจะรักษาตัวเองกันอย่างไร” ไทเรลเล่า
จากนั้นเองเธอจึงเริ่มกลับไปอ่านงานเขียนนักโทษการเมืองในอดีต และมองเห็นประวัติศาสตร์เชิงความคิดและบทสะท้อนตัวตนและสังคมในขณะนั้นอย่างน่าสนใจ
ไทเรลเริ่มต้นด้วยการนิยาม ‘นักโทษการเมือง’ ว่าหมายถึงคนที่เป็นอันตรายต่อรัฐหรือผู้มีอำนาจ เพราะมีความคิดต่าง ดังนั้น จึงต้องเอาไปคุมขังไว้
หากถามว่านักโทษการเมืองอยู่ที่ไหนในประวัติศาสตร์นิพนธ์ไทย คำตอบคืออยู่ในชายขอบของ 3 ส่วน คือ 1) ประวัติศาตร์การเมือง ซึ่งใช้การเขียนของนักโทษการเมืองเป็น ‘แหล่งข้อมูล’ เพื่อพูดเรื่องอื่น 2) ประวัติศาสตร์เชิงความคิดฝ่ายซ้าย เพราะฝ่ายซ้ายจำนวนมากก็เคยติดคุก และหลายกรณีประสบการณ์ในคุกสำคัญมากต่อการพัฒนาความคิดของนักคิดฝ่ายซ้ายด้วย 3) ประวัติศาสตร์แห่งการจองจำ เช่นหนังสือเรื่องรัฐราชทัณฑ์, ทัณฑะกาล
แล้วทำไมเรื่องนี้จึงสำคัญ ทำไมจำเป็นต้องสนใจประวัติศาสตร์ของการจองจำและความคิดของนักโทษการเมือง คำตอบของไทเรลคือ “เพราะประวัติศาสตร์ของนักโทษการเมือง คือประวัติศาตร์ของชาติ”
“ประวัติศาสตร์ของคุกสะท้อนถึงภาพแย่ที่สุดที่คนในรัฐจะฝันถึงได้ ดังนั้นเมื่อมีคนที่เข้าไปเพราะคิดต่าง ก็จะทำให้เราเห็นความฝันอันแหลมคมและสำคัญที่สุดที่เกิดขึ้นในตอนนั้นเช่นกัน” ไทเรลกล่าว
“สิ่งที่เจอว่ายากคือ แต่ละยุค สิ่งที่สำคัญสำหรับนักโทษการเมืองนั้นไม่เหมือนกัน มันไม่ใช่เส้นตรง ไม่ใช่แม้แต่เส้นกราฟขึ้นลง แต่หารูปแบบได้ยาก ดังนั้นจึงไม่ได้กำลังเสนอว่า ความคิดนักโทษการเมืองตั้งแต่กบฏสันติภาพเป็นเส้นตรงในการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย เพราะเอาเข้าจริงประวัติศาสตร์ก็ไม่ได้เป็นเส้นตรงอยู่แล้ว” ไทเรลกล่าว
อีกสาเหตุหนึ่งที่ไทเรลเสนอว่าเราควรสนใจเรื่องนี้ เพราะความคิดของนักโทษการเมืองเป็นความคิดที่ปรากฏตัวในสังคมไม่ได้ อะไรที่ก็ตามต้องเงียบ พูดไม่ได้ เป็นสิ่งน่าสนใจโดยตัวมันเอง เพราะสะท้อนถึงการใช้อำนาจของสังคม สะท้อนถึงสิ่งที่น่าตื่นต้น ความสร้างสรรค์ ความกล้า ฯลฯ
แล้วจะย้อนศึกษาไปถึงช่วงไหน ? จะแบ่งช่วงเวลาอย่างไร ? นั่นก็เป็นโจทย์ยากอีกประการ
ไทเรลเล่าว่า ตอนแรกจะเริ่มต้นในช่วงก่อน 2475 แต่เห็นว่ายาวเกินไปและทำให้เรื่องราวไม่ค่อยชัดเจน จึงตัดสินใจหดมาที่จุดตั้งต้น ‘รัฐประหาร 2490’ ซึ่งณัฐพล ใจจริง นักประวัติศาสตร์อีกคนหนึ่งเคยเขียนไว้ว่า การรัฐประหารครั้งนี้เป็นการสิ้นสุด ‘ความหวัง 2475’ หรือพูดง่ายๆ ว่า อีกฝ่ายหนึ่งชนะเบ็ดเสร็จแล้ว
ในส่วนของแหล่งข้อมูลที่ใช้ศึกษาในเรื่องนี้นั้น ศาสตราจารย์ประจำมหาวิทยาลัยวิสคอนซิน เมดิสัน บอกว่า จริงๆ แล้วมีแหล่งข้อมูลเยอะอย่างไม่น่าเชื่อ ในช่วง ‘กบฏสันติภาพ’ มีงานเขียนของนักโทษ(ทางความคิด) ในคุกตีพิมพ์เป็นจำนวนมาก
“เยอะจนต้องเลือกที่จะไม่เขียนถึงใคร รู้สึกผิดเหมือนกัน แต่ถ้ามันเยอะเกินไป ก็จะเป็นข้อจำกัดในด้านการพิมพ์ด้วย”
มาถึงจุดนี้ ปริศนาก็เป็นอันคลี่คลายด้วยชื่อหนังสือ (เบื้องต้น) ของไทเรล ‘The Carceral Kingdom : Political Prisoners and History in Thailand หนังสือเล่มนี้จะประกอบไปด้วย 6 บท แต่ละบทมีรายละเอียดดังนี้
บทที่ 1) กบฏสันติภาพ (2495-2500)
เริ่มต้นที่กบฏสันติภาพ ซึ่งรัฐเริ่มกวาดจับกุมคนเห็นต่างในเดือนพฤศจิกายน 2495 ไทเรลนิยามว่าเป็น “การจับฝ่ายซ้ายหลายชนิด” ไม่เฉพาะคนเรียกร้องสันติภาพ มีทั้งนักสังคมนิยมคอมมิวนิสต์, นักอนาธิปไตย, ส่วนหนึ่งของขบวนการกู้ชาติ
“ตั้งแต่อดีตมา รัฐแยกไม่ได้ แยกไม่ออกว่าคอมมิวนิสต์ต่างจากสังคมนิยมยังไง มี 104 คนที่ถูกจับและดำเนินคดี ซึ่งหลากหลายมาก และความคิดแตกต่างกันมาก สิ่งที่เป็นประโยชน์มากคือ เอกสารเกี่ยวกับการสืบวนคดีกบฏสันติภาพและคำพิพากษา ที่ถูกเผยแพร่ในหนังสือคู่มือการสอบสวนโดยกรมตำรวจ คำพิพากษายาวมาก มี 54 คนถูกพิพากษาว่าผิดข้อหากบฏ ถูกจำคุกระหว่าง 13-20 ปี แต่ได้ออกในปี 2500 เพราะมีหลายคนในสังคมที่เรียกร้องให้ปล่อย และรัฐบอกตอนนั้นครบรอบ 2500 พุทธกาลจึงปล่อยนักโทษ”
ไทเรลรวบยอดความคิดให้ว่า สิ่งที่น่าตื่นเต้นสำหรับช่วงนี้คือ คนที่อยู่ในคุกเรียนรู้และใช้ชีวิตด้วยกัน มีการเขียนบันทึกกันพอควร โดยเธอเลือกงานเขียนของ 2 คนในบทนี้ คือ กุหลาบ สายประดิษฐ์ และสุพจน์ ด่านตระกูล ในกรณีของสุพจน์เขาใช้เวลาในคุกเขียนการบรรยายจากเพื่อนร่วมคุกเป็นหนังสือชื่อ ‘ปทานานุกรุมการเมือง ฉบับชาวบ้าน’ อธิบายศัพท์การเมือง 42 คำ สุพจน์นับเป็นนักคิดฝ่ายซ้ายที่ไม่ค่อยมีคนเขียนถึง ซึ่งอาจเป็นเพราะเขาใกล้ชิด พคท. แต่ก็ไม่ได้เป็นสมาชิก พคท.และมีแนวคิดเสรีนิยมมากที่สุดคนหนึ่ง ในงานดังกล่าวเขาแทบไม่พูดถึงประเทศไทย เขียนแบบสากลนิยม แต่เมื่ออ่านไปเรื่อยๆ จะเห็นว่า เขากำลังคิดหลักการของสังคมที่ดีกว่า สังคมที่เป็นธรรม ทั้งนี้ สุพจน์อยู่ในคุก 5 ปีออกมาในปี 2500 ก็เขียนงานเกี่ยวกับขบวนการกู้ชาติเผยแพร่ในหนังสือพิมพ์เป็นตอนๆ แล้วถูกจับอีกครั้งเพราะการเขียนดังกล่าว คดีอยู่ในศาลทหาร ต้องเป็นทนายตัวเอง จึงได้เขียนหนังสืออีกเล่ม
บทที่ 2) คดีคอมมิวนิสต์ตอนสงครามเย็นพีคๆ (2501-2514)
ไทเรลระบุว่า ช่วงเวลานี้เข้าถึงข้อมูลยากมาก เพราะเจ้าหน้าที่รัฐยุคนั้นมีสิทธิใช้ พ.ร.บ.คอมมิวนิสต์จับกุมคนซึ่งส่วนใหญ่ส่งไปขังที่ลาดยาว แต่น่าสงสัยว่าจะมีการขังในจังหวัดต่างๆ ด้วย ยุคนี้คนที่โดดเดนคือ จิต ภูมิศักดิ์ ซึ่งถูกจองจำเช่นกัน แต่เนื่องจากมีคนศึกษางานเขียนเขาจำนวนมากแล้ว ไทเรลจึงไม่เขียนถึง และเลือกเทพ โชตินุชิต สส.ศรีษะเกษที่มีแนวคิดสังคมนิยม กับ ทองใบ ทองเปาด์ ทนายความชื่อดัง ซึ่งเขียนหนังสือเรื่อง ‘คอมมิวนิสต์ ลาดยาว’ ที่บอกเล่าว่ามีความพยายามสร้าง ‘คอมมูน’ ขึ้นในคุก
บทที่ 3) หลังเหตุการณ์สังหารหมู่ 6 ตุลาคม 2519 (2519-2521)
ไทเรลระบุว่า เหตุการณ์นี้นับเป็นการจบลงของประชาธิปไตยเบ่งบาน และเป็นการใช้ความรุนแรงของรัฐอีกรูปแบบ เหตุการณ์ดังกล่าวมีคนถูกจับ 3,000 กว่าคน นอก กทม.ด้วย แต่มี 18 คนที่มีคดีในศาลทหาร และ 1 คนมีคดีในศาลพลเรือน คนอื่นที่ถูกจับปล่อยตัวแต่กลุ่มนี้ไม่ถูกปล่อยตัวและโดนตั้งข้อหาคอมมิวนิสต์-กบฏ-112 อยู่ในคุกจนกระทั่งเดือน ก.ย.2521 จึงมีนิรโทษกรรม ซึ่งเป็นการนิรโทษกรรมเพื่อปกป้องคนทำการสังหารหมู่มากกว่า หนังสือ ’เราคือผุ้บริสุทธิ์’ รวบรวมจดหมายของ 18 คนนี้ซึ่งทุกคนเขียนถึง ‘ความจริง’ และการสัมพันธ์ของความจริง โดยพื้นฐานคือ ประสบการณ์ของตัวเองในวันที่การสังหารหมู่เกิดขึ้น ประสบการณ์ในการช่วยเหลือสังคม 2 ปีก่อนหน้านั้น ดังนั้น อาจกล่าวได้ว่าสิ่งที่แต่ละคนกำลังทำคือ การสร้างวิธีคิดแบบใหม่ รวมถึงวิธีเข้าใจความรู้และความจริง
บทที่ 4) คดีคอมมิวนิสต์สงครามเย็นท้ายๆ (2524-2539)
ไทเรลระบุว่า ช่วงเวลานี้หน่วยงานรัฐขัดแย้งกันเอง การจับคนในช่วงนั้นจึงประหลาด โดยยกกรณี ‘สุนี ไชยรส’ ที่เคยถูกจับข้อหาคอมมิวนิสต์ก่อน 6 ตุลา ตอนนั้นทำงานกับกรรมการผู้หญิง เมื่อถูกปล่อยตัวก็เข้าป่า, ปรีดา เปี่ยมพงศ์สานต์ ถูกจับช่วงท้ายและเป็นเรื่องใหญ่มาก โดนกล่าวหาว่าเป็นปัญญาชนที่นำทางและติดต่อคอมมิวนิสต์ใหญ่ในประเทศอื่น, สุรชัย แซ่ด่าน ซึ่งน่าคิดหลายเรื่อง, ชลธิรา สัตยนุรักษ์ ถูกจับกับสามี ทุกคนกลับเมืองแล้วหลังมีคำสั่ง 66/23 แต่ก็ยังถูกจับ รัฐก็ไม่ชัดว่ากำลังทำอะไร
บทที่ 5) คดีมาตรา 112 ยุคแรก (2550-2562)
ไทเรลระบุว่า เป็นยุคที่มีการใช้ ม.112 จำนวนมาก หลังไม่ได้ใช้มานาน มีหนังสือของภรณ์ทิพย์ มั่นคง เรื่อง ‘มันทำร้ายเราได้แค่นี้แหละ’ ที่ให้ภาพชีวิตประจำวันเป็นพื้นที่ของการต่อสู้ และสร้างภาพสังคมที่ดีกว่า แม้เล่าถึงชีวิตประจำวันในคุก แต่อีกแง่วิจารณ์การใช้อำนาจของรัฐเผด็จการที่ทุกคนเข้าถึงได้แน่นอน เป็นคู่มือสำหรับการรอดชีวิตภายใต้เผด็จการทั้งหลาย
บทที่ 6) คดี มาตรา 112 ยุคปัจจุบัน (2563-วันนี้)
ไทเรลอ้างอิงข้อมูลของศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนว่า มีคดีมาตรา 112 จำนวน 284 คดีในยุคนี้ และเลือกใช้เรื่องราวของอัญชัญ-ขนุน-เก็ท ที่มักเขียนจดหมายออกมาเรื่อยๆ ทั้งอานนท์ นำภา และทุกคนที่เขียนจดหมาย สิ่งที่เขากำลังทำ คือ กำลังวาดภาพของสังคมที่อยากเห็น และใช้รูปทรงจดหมายจากคุกเพื่อส่งต่อความคิดให้คนข้างนอกใช้เพื่อสร้างสังคมนั้น
นอกจากนี้ไทเรลยังเจาะลึกเรื่องราวใน 2 บท คือ บทที่ 3 ความจริงหลัง 6 ตุลาฯ โดยกล่าวถึง อารมณ์ พงษ์พงัน ผู้นำกรรมกร ทำงานการประปานครหลวง เขาเขียนหนังสือเยอะมากโดยเฉพาะตอนที่อยู่ในคุก สิ่งที่น่าสนใจคือ เขาอึดอัดใจกับข้อกล่าวหาคอมมิวนิสต์ คิดว่าไม่เป็นธรรม และตีความว่าในสังคมไทย รัฐไทยมีแต่ ‘คอมฯ กับไม่คอมฯ’ ไม่มีพื้นที่สำหรับความคิดเพื่อความยุติธรรมแบบอื่น และวิจารณ์การแบ่งขั้วแบบนี้ พร้อมนำเสนอว่าการแบ่งทรัพยากรที่เป็นธรรมเป็นอย่างไร เขียนทฤษฎีบทบาทกรรมกร ใช้ประสบการณ์ชีวิตของตัวเองเป็นฐานเขียนในรูปแบบงานวิชาการเลย แต่น่าเสียดายเขาเสียชีวิต 2 ปีหลังออกจากคุก
บทที่ 4 ปัญญาชนอินทรีย์และทฤษฎีรัฐหลังป่าแตก ไทเรลหยิบยกเรื่องราวของ ‘สุรชัย แซ่ด่าน’ โดยระบุว่า เขานับเป็น ‘ปัญญาชนอินทรีย์’ ตามนิยามของกรัมชี่ เขาเขียนหนังสือ ‘นักโทษประหารคนที่ 310’ และ ‘ผ่าคุก’ เป็นการเล่าชีวิตและทุกสิ่งที่เห็นในคุก ทั้งสองเล่มพบว่าเขาให้เกียรติกับประชาชนอย่างมาก เขียนถึงความสัมพันธ์ระหว่งรัฐกับประชาชนผ่านเลนส์ของ ‘การทรยศ’ และสิ่งที่เขาเจอ เขาให้ประชาชนมีฐานะสูงในงานเขียน โดยเล่าถึงสิ่งที่เกิดในชีวิตของเขาเพื่อให้ผู้อ่านตัดสินใจเองว่าเขาทำถูกหรือทำผิด
https://prachatai.com/journal/2025/11/115551