วันพฤหัสบดี, สิงหาคม 21, 2568

แผนที่ยูเครนใน Oval Offices สะท้อนถึงมุมมองที่แตกต่างกันระหว่างโดนัลด์ ทรัมป์และโวโลดีมีร์ เซเลนสกี ต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ณ แนวรบยาว 1,200 กิโลเมตรในยูเครนอย่างไร

แผนที่ในห้องทำงานรูปไข่ (Oval Office) ของผู้นำสหรัฐฯ แสดงพื้นที่ของยูเครนที่อยู่ภายใต้การยึดครองของรัสเซีย

เหตุใดแผนที่ในห้องทำงานรูปไข่จึงมีบทบาทสำคัญต่อมุมมองของทรัมป์ต่อสงครามยูเครน

พอล เคอร์บี
บรรณาธิการข่าวดิจิทัลประจำภูมิภาคยุโรป
ทีมข่าว Visual Journalism บีบีซี

20 สิงหาคม 2025

รัสเซียยึดครองพื้นที่หนึ่งในห้าของดินแดนยูเครน และแผนที่ขนาดใหญ่ที่แสดงพื้นที่ดังกล่าวด้วยไฮไลท์สีแดงถูกนำมาติดไว้ในห้องทำงานรูปไข่ (Oval Office) ราวกับเป็นการเน้นย้ำประเด็นในการเจรจาระหว่างประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ กับโวโลดีมีร์ เซเลนสกี ผู้นำยูเครน เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา (18 ส.ค.)

"ผมคิดว่าทุกคนคงได้เห็นแผนที่แล้ว" ทรัมป์กล่าวกับฟ็อกซ์นิวส์ เมื่อวันอังคาร (19 ส.ค.) "พื้นที่ขนาดใหญ่ถูกยึดไปแล้ว และพื้นที่นั้นก็ถูกยึดไปแล้วจริง ๆ"

ชัดเจนว่าทำเนียบขาวส่งสารถึงยูเครนว่าดินแดนนั้นได้สูญเสียไปแล้ว และถึงเวลาที่ต้องพิจารณาการประนีประนอมด้านดินแดนกับวลาดิเมียร์ ปูติน หรือในบางกรณีถูกเรียกว่า "การแลกเปลี่ยนดินแดน"

ทีมของเซเลนสกีได้นำแผนที่ของตนเองมาที่การประชุม ผู้นำยูเครนกล่าวในภายหลังว่าเขาได้ "ต่อสู้กับสิ่งที่อยู่บนแผนที่นั้น" ระหว่างการสนทนากับทรัมป์ โดยพยายามอธิบายว่า "ในความเป็นจริงแล้วใครควบคุมอะไรในข้อเท็จจริง ไม่เหมือนกับข้อมูลที่ทราบจากคำบอกเล่า"

แม้เซเลนสกีจะรู้สึกว่าสามารถแก้ไขความเข้าใจผิดบางประการได้บ้าง แต่เมื่อถึงวันอังคารมุมมองของทรัมป์ก็ยังคงเดิม เขากล่าวอย่างชัดเจนว่ากองกำลังของรัสเซีย "มีอำนาจเหนือกว่าอย่างเห็นได้ชัดและคุณก็รู้ว่าพวกเขายังไม่ได้หยุดด้วยซ้ำ"

เมื่อถูกถามถึงบรรยากาศในห้องประชุมร่วมกับผู้นำยุโรปเกี่ยวกับการแลกเปลี่ยนดินแดน เขาตอบว่า "ตอนนี้พวกเขากำลังพูดถึงดอนบาส แต่ดอนบาสในตอนนี้... 79% ถูกครอบครองและควบคุมโดยรัสเซีย"

ก่อนที่สงครามจะเริ่มต้นขึ้นทางตะวันออกในปี 2014 ภูมิภาคดอนบาสซึ่งเป็นแหล่งเหมืองแร่ที่มั่งคั่งของยูเครน มีสัดส่วนราว 16% ของตัวเลขเศรษฐกิจของประเทศ

มีรายงานว่าปูตินบอกกับทรัมป์ว่า หากต้องการข้อตกลงสันติภาพ ข้อเสนอโดยรวมต้องรวมถึงการยอมให้เขาครอบครองภูมิภาคดอนบาสทั้งหมด ซึ่งจะช่วยให้ผู้นำรัสเซียรักษาทั้งเลือดเนื้อและทรัพยากรอย่างมหาศาล


ภาพขยายแผนที่แสดงสัดส่วนพื้นที่ที่รัสเซียควบคุมดินแดนในยูเครนตามข้อมูลของสหรัฐฯ

เซเลนสกีระบุว่า เขาได้โต้แย้งเกี่ยวกับตัวเลขสัดส่วนพื้นที่ที่รัสเซียครอบครองยูเครนที่ปรากฏบนแผนที่ของทำเนียบขาว ซึ่งแสดงการควบคุมของรัสเซียในหลายภูมิภาคของยูเครน ตั้งแต่ในลูฮันสก์ 99%, ในโดเนตสก์ซึ่งอยู่ในภูมิภาคดอนบาส 76%, ซาโปริซเซียและเคอร์ซอนทางตะวันออกเฉียงใต้ 73%, คาร์คิฟทางตะวันออกเฉียงเหนือ 4% และในซูมีและมิโคไลฟ 1%

การวิเคราะห์ข้อมูลล่าสุดจากสถาบันศึกษาสงคราม (Institute for the Study of War) ซึ่งตั้งอยู่ในสหรัฐฯ ให้ตัวเลขที่ใกล้เคียงกับข้อมูลของทำเนียบขาว นักวิเคราะห์ระบุว่า ความแตกต่างของตัวเลขอาจเกิดจากวิธีการประเมินที่แต่ละฝ่ายใช้ โดยเฉพาะในเรื่องขอบเขตการควบคุมของรัสเซีย ซึ่งบางพื้นที่อาจอยู่ภายใต้การควบคุมอย่างจำกัด หรือเป็นพื้นที่ที่มอสโกอ้างสิทธิ

ในบางกรณี ทำเนียบขาวระบุว่ารัสเซียควบคุมพื้นที่เพียง 1% แท้จริงแล้วอาจหมายถึงการที่รัสเซียเข้ามาได้ในระดับจำกัด เช่นในเมืองมิโคไลฟทางตอนใต้ หรือพื้นที่ที่รัสเซียถูกผลักดันออกไปแล้ว เช่น ในเมืองซูมีทางตอนเหนือ

แม้ตัวเลขการควบคุมของรัสเซียในภูมิภาคโดเนตสก์จะยังไม่แน่ชัด แต่เมืองสำคัญอย่างครามาทอร์สก์และเมืองใกล้เคียงอย่างสโลเวียนสก์ในภูมิภาคโดเนตสก์ ยังคงมีประชากรอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก

เจ้าหน้าที่ท้องถิ่นระบุว่า มีประชาชนประมาณ 242,000 คน อาศัยอยู่ในพื้นที่ที่ยูเครนยังคงควบคุมได้ในภูมิภาคโดเนตสก์ และไม่มีผู้นำยูเครนคนใดแสดงท่าทีว่าจะยอมยกดินแดนของตนให้กับรัสเซีย



แม้ว่ากองกำลังรัสเซียจะมีความคืบหน้าในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา แต่สถาบันศึกษาสงครามประเมินว่า รัสเซีย "อาจต้องใช้เวลาหลายปีในการยึดครองพื้นที่ที่เหลือทั้งหมดในภูมิภาคโดเนตสก์ ซึ่งการเดินหน้าดังกล่าวจะต้องผ่านกระบวนการที่ยากลำบากหลายอย่าง"

ด้านเซเลนสกีระบุว่า แผนที่ของยูเครนที่เขานำเสนอให้ทรัมป์ดู แสดงให้เห็นว่าในช่วง 1,000 วันที่ผ่านมา รัสเซียสามารถยึดครองดินแดนยูเครนได้ไม่ถึง 1% เท่านั้น

นักวิเคราะห์จากกลุ่มแผนที่ ดีพสเตทยูเอ (DeepStateUA) ของยูเครนระบุว่า ตัวเลขดังกล่าวเทียบเท่ากับพื้นที่ 5,842 ตารางกิโลเมตร นับตั้งแต่เดือน พ.ย. 2022

แม้ว่ารัสเซียจะประสบความสำเร็จในเชิงยุทธการในช่วงแรกของการรุกรานเต็มรูปแบบ แต่กลุ่มที่เรียกตัวเองว่า ดีพสเตท (DeepState) ชี้ให้เห็นว่า พื้นที่จำนวนมากที่รัสเซียยึดครองในช่วงต้นของสงคราม ได้ถูกปลดปล่อยกลับคืนมาในภายหลัง

อย่างไรก็ตาม ปฏิเสธไม่ได้ว่ารัสเซียก็มีความคืบหน้าในช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมา แม้ว่าหากมองในภาพรวม แนวรบจะเปลี่ยนแปลงเพียงเล็กน้อยนับตั้งแต่ช่วงแรกของสงคราม


ภาพขาวดำแสดงให้เห็นเซเลนสกีและทรัมป์กำลังหารือเกี่ยวกับแผนที่ในห้องทำงานรูปไข่

คอนราด มูซิกา นักวิเคราะห์ด้านกลาโหมและหัวหน้าบริษัทที่ปรึกษาโรแชน คอนซัลติ้ง (Rochan Consulting) ระบุว่า กองกำลังรัสเซียมีความคืบหน้าอย่างชัดเจนในบางพื้นที่ทางตะวันออกของยูเครน โดยพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดคือบริเวณคูเปียนสก์ในภูมิภาคคาร์คิฟ และเครเมนนาในภูมิภาคลูฮันสก์

มูซิกากล่าวกับบีบีซีว่า "เรากำลังเห็นการยิงโจมตีเพิ่มขึ้นอย่างมาก และยูเครนไม่สามารถส่งเจ้าหน้าที่ออกไปดับไฟได้เพียงพอเพื่อควบคุมสถานการณ์"

เขาอธิบายว่า หนึ่งในสาเหตุหลักคือยูเครนขาดกำลังพลในการป้องกันแนวรบที่ทอดตัวยาวนอกจากนี้ รัสเซียยังเพิ่มการใช้โดรนในการโจมตีเป้าหมายทางทหารของยูเครน รวมไปถึงอุปกรณ์ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งปืนใหญ่

มูซิกาเสริมว่า รัสเซียสามารถรับสมัครทหารใหม่ได้เดือนละ 30,000–35,000 คน ซึ่งทำให้แม้ว่าจะสูญเสียกำลังพลจำนวนมากในสนามรบ แต่ก็ยังสามารถสร้างกองกำลังสำรองในระดับปฏิบัติการและในทางยุทธศาสตร์ได้อย่างมีนัยสำคัญ



แม้ว่ารัสเซียจะมีความคืบหน้าอย่างรวดเร็วในบางพื้นที่ทางตะวันออก แต่ความเคลื่อนไหวดังกล่าวยังไม่ปรากฏในภูมิภาคอื่นของยูเครน

ตามรายงานของผู้นำกองทัพยูเครน กองกำลังรัสเซียพยายามรุกล้ำเข้าไปในพื้นที่ใกล้เมืองโดโบรปีลยาในภูมิภาคโดเนตสก์ ซึ่งยูเครนสามารถผลักดันการรุกคืบของรัสเซียกลับไปได้ในระยะทางประมาณ 10–15 กิโลเมตรเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา

และแม้ว่ารัสเซียจะยังคงครอบครองพื้นที่บางส่วนในภูมิภาคซูมีและคาร์คิฟ แต่ยูเครนยังคงควบคุมพื้นที่ประมาณ 6,600 ตารางกิโลเมตรในภูมิภาคดอนบาส

ประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูตินของรัสเซียไม่ได้เพียงแค่อ้างสิทธิ์เหนือพื้นที่กว้างใหญ่ของยูเครน แต่เขายังได้ประกาศผนวกภูมิภาคทั้งสี่ รวมถึงไครเมีย แม้ว่าหลายพื้นที่จะยังอยู่นอกเหนือการควบคุมของรัสเซีย

ข้อมูลใหม่จากข่าวกรองด้านกลาโหมของสหราชอาณาจักรเมื่อไม่นานมานี้ประเมินว่า หากอิงจาก "ความคืบหน้าในสนามรบแบบค่อยเป็นค่อยไปของรัสเซียในปี 2025" รัสเซียอาจต้องใช้เวลาอีก 4.4 ปีในการยึดครองภูมิภาคลูฮันสก์ โดเนตสก์ ซาโปริซเซีย และเคอร์ซอนให้ได้ทั้งหมด

ข้อมูลดังกล่าวสะท้อนถึงมุมมองที่แตกต่างกันระหว่างโดนัลด์ ทรัมป์และโวโลดีมีร์ เซเลนสกี เมื่อทั้งสองหารือเกี่ยวกับแผนที่ที่แสดงแนวรบยาว 1,200 กิโลเมตรในยูเครน

เซเลนสกีกล่าวกับทรัมป์ว่า "ขอบคุณสำหรับแผนที่นะครับ มันยอดเยี่ยมมาก" แม้จะมีความเห็นต่างกัน เขาย้ำว่า "ผมกำลังคิดว่าจะเอามันกลับคืนมาอย่างไร"

https://www.bbc.com/thai/articles/c93dw29239yo