เจาะ MOU 43-44 ไทยกำลังเสียเปรียบกัมพูชาจริงหรือไม่? | NEWS DIGEST #231
The Standard
Aug 22, 2025
MOU 43-44 ไทยเสียเปรียบกัมพูชาจริงหรือไม่ ทำไมหลายฝ่ายอยากให้ยกเลิก พร้อมสำรวจความท้าทายหากยกเลิก MOU ทั้ง 2 ฉบับ
.....
.jpg)
Korat Next Step
August 21
·
สรุปให้เข้าใจง่ายๆ MOU 43/44 #ไทยกัมพูชา
MOU 43 (พ.ศ. 2543)
เป็นกรอบ “สำรวจ–ปักปันเขตแดนทางบก” และตั้ง คณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม (JBC) กำหนดให้ยึดเอกสารสนธิสัญญา 1904–1907 และหลักเขตเดิม 73 ตำแหน่งเป็นฐาน พร้อมทั้ง ห้ามทั้งสองฝ่ายทำอะไรที่เปลี่ยนแปลงสภาพพื้นที่ชายแดน เว้นแต่ภารกิจสำรวจร่วม (กลไกคลี่คลายความตึงเครียด)
MOU 44 (พ.ศ. 2544)
ว่าด้วย พื้นที่อ้างสิทธิทับซ้อนทางทะเล (Overlapping Claims Area: OCA) ในอ่าวไทย มีลักษณะเป็น “provisional arrangements / agreement to agree” เพื่อหาทางออกทั้งการแบ่งเขตกับการพัฒนาร่วม—ไม่ใช่เอกสารที่ยกอธิปไตยหรือปักเขตเด็ดขาดทันที และสอดคล้องหลักกฎหมายทะเลที่ให้คู่กรณีทำข้อตกลงชั่วคราวระหว่างเจรจา
ขนาด/ศักยภาพเศรษฐกิจของ OCA
พื้นที่ทับซ้อนประเมินราว ~27,000 ตร.กม. และมีทรัพยากรก๊าซรวมระดับ ~11 Tcf (trillion cubic feet) ซึ่งถ้าขยับได้จะเป็นบวกต่อความมั่นคงพลังงานและดุลบัญชีเดินสะพัดของไทยอย่างมาก
สถานะกลไกปัจจุบัน
ไทย–กัมพูชายังย้ำใช้ MOU 2000/JBC เป็นกรอบหลัก และเพิ่งยืนยันร่วมกันอีกครั้งในการประชุมปี 2025 (ย้ำไม่เปลี่ยนสถานะพื้นที่แนวหน้า–ให้ระงับยับยั้ง) พร้อมภารกิจตรวจซ่อม–ตั้งหลักเขต 73 ตำแหน่งที่คืบหน้าอยู่
ประเด็น “ยกเลิก MOU ฝ่ายเดียว”
ฝ่ายไทยยืนยันว่า ไม่สามารถเลิกฝ่ายเดียวได้ และการเดินออกจากกรอบจะกระทบความสามารถต่อรองของไทยเอง ข้อนี้ถูกย้ำโดยผู้บริหารด้านความมั่นคงในปี 2024–2025 และสอดคล้องตรรกะกฎหมายระหว่างประเทศว่าคู่ภาคีต้องหาทางออกผ่านกลไกที่ตกลงร่วมกันไว้
การเมือง–ความเสี่ยง
ในประเทศ: MOU 43/44 มักถูกหยิบเป็น “ทุนทางการเมือง” จนทำให้วงเจรจาหยุด–เริ่มซ้ำ และโยงกับความอ่อนไหวกรณีปราสาทพระวิหาร/แนวภูผาดงรัก ทำให้ทหารแนวหน้าต้องแบกรับภาระการจัดการเหตุเฉพาะหน้าเป็นช่วงๆ
สองประเทศ: ฝ่ายชาตินิยมทั้งสองฝั่งตั้งข้อกังวลต่างกัน (เช่น เรื่องเกาะกูด/เส้นฐาน–แผนที่แนบท้ายใน MOU 44) จึงควรออกแบบ “แพ็คเกจ” ที่ตอบโจทย์กฎหมายและการสื่อสารสาธารณะพร้อมกัน (แนวคิดแบ่งส่วนเจรจา: ส่วนหนึ่งเพื่อ “แบ่งเขต”), อีกส่วนเพื่อ “พัฒนาร่วมพร้อมสูตรแบ่งรายได้” ถูกพูดถึงมากขึ้นในวาทกรรมปัจจุบัน
ผลกระทบเศรษฐกิจ (ถ้าเดินหน้า)
1. พลังงาน: เปิดทางสำรวจ–ผลิตก๊าซใหม่ ลดการนำเข้า LNG และอาจยืดอายุอุตสาหกรรมก๊าซ–ไฟฟ้าในอ่าวไทย (ต้นทุนไฟฟ้าต่ำลง, เสถียรภาพค่าไฟ) ด้วยทรัพยากรระดับ Tcf ข้างต้น
2. การลงทุน–รายได้รัฐ: โมเดลพัฒนาร่วม (JDA) ที่สูตรแบ่งรายได้ชัด จะดึงเอกชนกลับมาลงทุนสำรวจ/ท่อ/ระบบขนส่ง เพิ่มรายได้ภาครัฐ–รัฐวิสาหกิจพลังงาน (อิงประสบการณ์ JDAs ในอ่าวไทยประเทศอื่นๆ)
3. ความเสี่ยง: ถ้าการเมืองสะดุดอีกครั้ง ความไม่แน่นอนสูงจะดันเบี้ยความเสี่ยงโครงการ (risk premium) และทำให้ “หน้าต่างโอกาส” ราคาก๊าซ–เทคโนโลยีสำรวจปัจจุบันปิดไปก่อน
คำแนะนำเชิงนโยบาย (ทางเลือกที่ “ทำได้เลย”)
1. คง MOU 43/44 แต่ “อัพเกรดการทำงาน”
เร่ง Roadmap JBC 18–24 เดือน: เป้า “หลักเขต 73 ตำแหน่ง” เสร็จงานเชิงเทคนิค + เผยแพร่แผนที่ความคืบหน้ารายไตรมาส (โปร่งใส ลดดราม่าแนวหน้า)
ตั้ง คณะทำงานกฎหมาย–เทคนิคทะเล ร่วม (co-chairs) แยก track: (ก) แบ่งเขต/หลักกฎหมาย, (ข) สูตรพัฒนาร่วม–แบ่งรายได้–เขตควบคุมสิ่งแวดล้อม/ความปลอดภัย (เดินคู่ขนานตาม MOU 44)
2. โมเดลพัฒนาร่วมแบบ “สองชั้น”
ชั้นที่ 1: พื้นที่ทดลอง (pilot block) ในส่วนที่เห็นพ้องเบื้องต้น–ความเสี่ยงต่ำก่อน เพื่อพิสูจน์กระบวนการ แบ่งรายได้–กำกับดูแล
ชั้นที่ 2: ขยายสู่ พื้นที่หลักใน OCA เมื่อชั้นที่ 1 สำเร็จ (ลดแรงต้านทางการเมืองด้วยผลลัพธ์จริง) — แนวทางนี้สอดคล้องข้อเท็จจริงว่าคู่ภาคีเคยตกลง “เดินสองเรื่องพร้อมกัน” คือการอ้างสิทธิ์กับการพัฒนาร่วม
3. กติกาสาธารณะ–ความมั่นคงแนวหน้า
ทำ Protocol หลีกเลี่ยงเหตุปะทะ ตามจิตวิญญาณ MOU 2000 (ห้ามเปลี่ยน status quo เองฝ่ายเดียว) และตั้ง “สายด่วนผู้บังคับบัญชาแนวหน้า” ลดความเสี่ยงเข้าใจผิดในจุดเปราะบาง
สื่อสารเชิงรุก: factsheet สั้นๆ ชี้ว่า MOU = กรอบเจรจา ไม่ใช่เอกสารยกอธิปไตย พร้อม Q&A เรื่องเกาะ/เส้นเขต/ผลประโยชน์รัฐ—ลดพื้นที่ข่าวบิดเบือน
4. กรอบกฎหมาย/การถอนตัว (กรณีสุดโต่ง)
หากจะ “ปรับปรุง/ทบทวน” ให้ทำ ภายในกรอบคู่ภาคี ไม่ใช่ถอนฝ่ายเดียว เพราะจะเสียฐานกฎหมาย–ภาพลักษณ์และอาจเปิดช่องอีกฝ่ายนำเรื่องสู่เวทีระหว่างประเทศได้ง่ายขึ้น
---
สรุปสั้นสั้น
MOU 43/44 คือ เครื่องมือเจรจา ไม่ใช่การยกอธิปไตย และคือทางออกที่ต้นทุนความขัดแย้งต่ำที่สุดในปัจจุบัน
ทางเลือกที่เหมาะคือ รักษา MOU + เร่งประสิทธิภาพ (JBC ทางบก, two-track ทางทะเล + pilot JDA) ควบคู่ โปร่งใส–กันเหตุปะทะ แนวหน้า
ถ้าทำได้ตามนี้ ไทยจะได้ พลังงาน–รายได้รัฐ–เสถียรภาพชายแดน โดยไม่ลดทอนสถานะอธิปไตยของตน
ปล. กัมพูชามีการละเมิด MOU มานับร้อยครั้งตั้งแต่มีการลงนาม
Korat Next Step
ข้อกังวล ของ “ทั้งสองฝ่ายชาตินิยม” ที่เกี่ยวข้องกับ MOU 43–44 ตั้งข้อกังวลคนละแบบ ซึ่งทำให้การเจรจาซับซ้อนขึ้น
---
1. ฝ่ายชาตินิยมไทย
กังวลเรื่องการ “เสียดินแดน”
เชื่อว่าการทำ MOU เท่ากับยอมรับเงื่อนไขกัมพูชา อาจทำให้ไทยเสียสิทธิ์เหนือดินแดนหรือทะเลบางส่วน โดยเฉพาะพื้นที่รอบปราสาทพระวิหารและพื้นที่อ้างสิทธิทับซ้อนในอ่าวไทย
ไม่เชื่อมั่นในความโปร่งใส
มักสงสัยว่ารัฐบาลไทยเจรจา “ลับหลัง” ประชาชน หรือมีการยอมอ่อนข้อเกินไปเพื่อประโยชน์ทางการเมือง/เศรษฐกิจ
กลัวการใช้ MOU เป็นหลักฐานทางกฎหมาย
เกรงว่าหากไทยเซ็นยอมรับกรอบใด ๆ ไปแล้ว วันหนึ่งอาจถูกนำไปใช้ต่อสู้ในเวทีระหว่างประเทศ (เช่น ศาลโลก) ว่าไทย “ยอมรับสิทธิของกัมพูชา”
---
2. ฝ่ายชาตินิยมกัมพูชา
กังวลว่าไทยจะ “ยื้อเวลา”
มองว่าไทยใช้ MOU เพียงเพื่อแช่แข็งสถานะ ไม่ยอมปักปันเขตแดนจริงหรือแบ่งพื้นที่ OCA ทำให้กัมพูชาเสียโอกาสเข้าถึงทรัพยากรทะเล
ยึดโยงกับความภาคภูมิใจประวัติศาสตร์
ฝ่ายชาตินิยมกัมพูชาเชื่อว่าแผนที่เก่าตามอนุสัญญาฝรั่งเศสเป็น “สิทธิชอบธรรม” ของตน การที่ไทยไม่ยอมรับถือเป็นการ “ปฏิเสธอธิปไตย” ของกัมพูชา
หวั่นไทยครอบงำการเจรจา
เนื่องจากไทยมีศักยภาพทางเศรษฐกิจ–กองทัพสูงกว่า กัมพูชาจึงกังวลว่าการพัฒนาร่วมอาจกลายเป็น “ไทยได้ประโยชน์มากกว่า”
3. ความแตกต่างเชิงแกน
ฝ่ายไทย กลัว “เสีย” อธิปไตย → ไม่อยากให้ข้อตกลงใด ๆ ถูกตีความว่าไทยยอมยกพื้นที่
ฝ่ายกัมพูชา กลัว “ไม่ได้” อธิปไตยและผลประโยชน์ → ไม่อยากให้ไทยดึงเวลาไปเรื่อย ๆ จนตนเองเสียสิทธิในทรัพยากร
พูดอีกแบบคือ ฝ่ายไทยมอง MOU เป็น “ความเสี่ยงต่อการสูญเสีย” ขณะที่ฝ่ายกัมพูชามอง MOU เป็น “ความเสี่ยงต่อการถูกกีดกันจากการได้มา”
https://www.facebook.com/photo?fbid=1186087620209982&set=a.477586271060124
.jpg)
Korat Next Step
August 21
·
สรุปให้เข้าใจง่ายๆ MOU 43/44 #ไทยกัมพูชา
MOU 43 (พ.ศ. 2543)
เป็นกรอบ “สำรวจ–ปักปันเขตแดนทางบก” และตั้ง คณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม (JBC) กำหนดให้ยึดเอกสารสนธิสัญญา 1904–1907 และหลักเขตเดิม 73 ตำแหน่งเป็นฐาน พร้อมทั้ง ห้ามทั้งสองฝ่ายทำอะไรที่เปลี่ยนแปลงสภาพพื้นที่ชายแดน เว้นแต่ภารกิจสำรวจร่วม (กลไกคลี่คลายความตึงเครียด)
MOU 44 (พ.ศ. 2544)
ว่าด้วย พื้นที่อ้างสิทธิทับซ้อนทางทะเล (Overlapping Claims Area: OCA) ในอ่าวไทย มีลักษณะเป็น “provisional arrangements / agreement to agree” เพื่อหาทางออกทั้งการแบ่งเขตกับการพัฒนาร่วม—ไม่ใช่เอกสารที่ยกอธิปไตยหรือปักเขตเด็ดขาดทันที และสอดคล้องหลักกฎหมายทะเลที่ให้คู่กรณีทำข้อตกลงชั่วคราวระหว่างเจรจา
ขนาด/ศักยภาพเศรษฐกิจของ OCA
พื้นที่ทับซ้อนประเมินราว ~27,000 ตร.กม. และมีทรัพยากรก๊าซรวมระดับ ~11 Tcf (trillion cubic feet) ซึ่งถ้าขยับได้จะเป็นบวกต่อความมั่นคงพลังงานและดุลบัญชีเดินสะพัดของไทยอย่างมาก
สถานะกลไกปัจจุบัน
ไทย–กัมพูชายังย้ำใช้ MOU 2000/JBC เป็นกรอบหลัก และเพิ่งยืนยันร่วมกันอีกครั้งในการประชุมปี 2025 (ย้ำไม่เปลี่ยนสถานะพื้นที่แนวหน้า–ให้ระงับยับยั้ง) พร้อมภารกิจตรวจซ่อม–ตั้งหลักเขต 73 ตำแหน่งที่คืบหน้าอยู่
ประเด็น “ยกเลิก MOU ฝ่ายเดียว”
ฝ่ายไทยยืนยันว่า ไม่สามารถเลิกฝ่ายเดียวได้ และการเดินออกจากกรอบจะกระทบความสามารถต่อรองของไทยเอง ข้อนี้ถูกย้ำโดยผู้บริหารด้านความมั่นคงในปี 2024–2025 และสอดคล้องตรรกะกฎหมายระหว่างประเทศว่าคู่ภาคีต้องหาทางออกผ่านกลไกที่ตกลงร่วมกันไว้
การเมือง–ความเสี่ยง
ในประเทศ: MOU 43/44 มักถูกหยิบเป็น “ทุนทางการเมือง” จนทำให้วงเจรจาหยุด–เริ่มซ้ำ และโยงกับความอ่อนไหวกรณีปราสาทพระวิหาร/แนวภูผาดงรัก ทำให้ทหารแนวหน้าต้องแบกรับภาระการจัดการเหตุเฉพาะหน้าเป็นช่วงๆ
สองประเทศ: ฝ่ายชาตินิยมทั้งสองฝั่งตั้งข้อกังวลต่างกัน (เช่น เรื่องเกาะกูด/เส้นฐาน–แผนที่แนบท้ายใน MOU 44) จึงควรออกแบบ “แพ็คเกจ” ที่ตอบโจทย์กฎหมายและการสื่อสารสาธารณะพร้อมกัน (แนวคิดแบ่งส่วนเจรจา: ส่วนหนึ่งเพื่อ “แบ่งเขต”), อีกส่วนเพื่อ “พัฒนาร่วมพร้อมสูตรแบ่งรายได้” ถูกพูดถึงมากขึ้นในวาทกรรมปัจจุบัน
ผลกระทบเศรษฐกิจ (ถ้าเดินหน้า)
1. พลังงาน: เปิดทางสำรวจ–ผลิตก๊าซใหม่ ลดการนำเข้า LNG และอาจยืดอายุอุตสาหกรรมก๊าซ–ไฟฟ้าในอ่าวไทย (ต้นทุนไฟฟ้าต่ำลง, เสถียรภาพค่าไฟ) ด้วยทรัพยากรระดับ Tcf ข้างต้น
2. การลงทุน–รายได้รัฐ: โมเดลพัฒนาร่วม (JDA) ที่สูตรแบ่งรายได้ชัด จะดึงเอกชนกลับมาลงทุนสำรวจ/ท่อ/ระบบขนส่ง เพิ่มรายได้ภาครัฐ–รัฐวิสาหกิจพลังงาน (อิงประสบการณ์ JDAs ในอ่าวไทยประเทศอื่นๆ)
3. ความเสี่ยง: ถ้าการเมืองสะดุดอีกครั้ง ความไม่แน่นอนสูงจะดันเบี้ยความเสี่ยงโครงการ (risk premium) และทำให้ “หน้าต่างโอกาส” ราคาก๊าซ–เทคโนโลยีสำรวจปัจจุบันปิดไปก่อน
คำแนะนำเชิงนโยบาย (ทางเลือกที่ “ทำได้เลย”)
1. คง MOU 43/44 แต่ “อัพเกรดการทำงาน”
เร่ง Roadmap JBC 18–24 เดือน: เป้า “หลักเขต 73 ตำแหน่ง” เสร็จงานเชิงเทคนิค + เผยแพร่แผนที่ความคืบหน้ารายไตรมาส (โปร่งใส ลดดราม่าแนวหน้า)
ตั้ง คณะทำงานกฎหมาย–เทคนิคทะเล ร่วม (co-chairs) แยก track: (ก) แบ่งเขต/หลักกฎหมาย, (ข) สูตรพัฒนาร่วม–แบ่งรายได้–เขตควบคุมสิ่งแวดล้อม/ความปลอดภัย (เดินคู่ขนานตาม MOU 44)
2. โมเดลพัฒนาร่วมแบบ “สองชั้น”
ชั้นที่ 1: พื้นที่ทดลอง (pilot block) ในส่วนที่เห็นพ้องเบื้องต้น–ความเสี่ยงต่ำก่อน เพื่อพิสูจน์กระบวนการ แบ่งรายได้–กำกับดูแล
ชั้นที่ 2: ขยายสู่ พื้นที่หลักใน OCA เมื่อชั้นที่ 1 สำเร็จ (ลดแรงต้านทางการเมืองด้วยผลลัพธ์จริง) — แนวทางนี้สอดคล้องข้อเท็จจริงว่าคู่ภาคีเคยตกลง “เดินสองเรื่องพร้อมกัน” คือการอ้างสิทธิ์กับการพัฒนาร่วม
3. กติกาสาธารณะ–ความมั่นคงแนวหน้า
ทำ Protocol หลีกเลี่ยงเหตุปะทะ ตามจิตวิญญาณ MOU 2000 (ห้ามเปลี่ยน status quo เองฝ่ายเดียว) และตั้ง “สายด่วนผู้บังคับบัญชาแนวหน้า” ลดความเสี่ยงเข้าใจผิดในจุดเปราะบาง
สื่อสารเชิงรุก: factsheet สั้นๆ ชี้ว่า MOU = กรอบเจรจา ไม่ใช่เอกสารยกอธิปไตย พร้อม Q&A เรื่องเกาะ/เส้นเขต/ผลประโยชน์รัฐ—ลดพื้นที่ข่าวบิดเบือน
4. กรอบกฎหมาย/การถอนตัว (กรณีสุดโต่ง)
หากจะ “ปรับปรุง/ทบทวน” ให้ทำ ภายในกรอบคู่ภาคี ไม่ใช่ถอนฝ่ายเดียว เพราะจะเสียฐานกฎหมาย–ภาพลักษณ์และอาจเปิดช่องอีกฝ่ายนำเรื่องสู่เวทีระหว่างประเทศได้ง่ายขึ้น
---
สรุปสั้นสั้น
MOU 43/44 คือ เครื่องมือเจรจา ไม่ใช่การยกอธิปไตย และคือทางออกที่ต้นทุนความขัดแย้งต่ำที่สุดในปัจจุบัน
ทางเลือกที่เหมาะคือ รักษา MOU + เร่งประสิทธิภาพ (JBC ทางบก, two-track ทางทะเล + pilot JDA) ควบคู่ โปร่งใส–กันเหตุปะทะ แนวหน้า
ถ้าทำได้ตามนี้ ไทยจะได้ พลังงาน–รายได้รัฐ–เสถียรภาพชายแดน โดยไม่ลดทอนสถานะอธิปไตยของตน
ปล. กัมพูชามีการละเมิด MOU มานับร้อยครั้งตั้งแต่มีการลงนาม
Korat Next Step
ข้อกังวล ของ “ทั้งสองฝ่ายชาตินิยม” ที่เกี่ยวข้องกับ MOU 43–44 ตั้งข้อกังวลคนละแบบ ซึ่งทำให้การเจรจาซับซ้อนขึ้น
---
1. ฝ่ายชาตินิยมไทย
กังวลเรื่องการ “เสียดินแดน”
เชื่อว่าการทำ MOU เท่ากับยอมรับเงื่อนไขกัมพูชา อาจทำให้ไทยเสียสิทธิ์เหนือดินแดนหรือทะเลบางส่วน โดยเฉพาะพื้นที่รอบปราสาทพระวิหารและพื้นที่อ้างสิทธิทับซ้อนในอ่าวไทย
ไม่เชื่อมั่นในความโปร่งใส
มักสงสัยว่ารัฐบาลไทยเจรจา “ลับหลัง” ประชาชน หรือมีการยอมอ่อนข้อเกินไปเพื่อประโยชน์ทางการเมือง/เศรษฐกิจ
กลัวการใช้ MOU เป็นหลักฐานทางกฎหมาย
เกรงว่าหากไทยเซ็นยอมรับกรอบใด ๆ ไปแล้ว วันหนึ่งอาจถูกนำไปใช้ต่อสู้ในเวทีระหว่างประเทศ (เช่น ศาลโลก) ว่าไทย “ยอมรับสิทธิของกัมพูชา”
---
2. ฝ่ายชาตินิยมกัมพูชา
กังวลว่าไทยจะ “ยื้อเวลา”
มองว่าไทยใช้ MOU เพียงเพื่อแช่แข็งสถานะ ไม่ยอมปักปันเขตแดนจริงหรือแบ่งพื้นที่ OCA ทำให้กัมพูชาเสียโอกาสเข้าถึงทรัพยากรทะเล
ยึดโยงกับความภาคภูมิใจประวัติศาสตร์
ฝ่ายชาตินิยมกัมพูชาเชื่อว่าแผนที่เก่าตามอนุสัญญาฝรั่งเศสเป็น “สิทธิชอบธรรม” ของตน การที่ไทยไม่ยอมรับถือเป็นการ “ปฏิเสธอธิปไตย” ของกัมพูชา
หวั่นไทยครอบงำการเจรจา
เนื่องจากไทยมีศักยภาพทางเศรษฐกิจ–กองทัพสูงกว่า กัมพูชาจึงกังวลว่าการพัฒนาร่วมอาจกลายเป็น “ไทยได้ประโยชน์มากกว่า”
3. ความแตกต่างเชิงแกน
ฝ่ายไทย กลัว “เสีย” อธิปไตย → ไม่อยากให้ข้อตกลงใด ๆ ถูกตีความว่าไทยยอมยกพื้นที่
ฝ่ายกัมพูชา กลัว “ไม่ได้” อธิปไตยและผลประโยชน์ → ไม่อยากให้ไทยดึงเวลาไปเรื่อย ๆ จนตนเองเสียสิทธิในทรัพยากร
พูดอีกแบบคือ ฝ่ายไทยมอง MOU เป็น “ความเสี่ยงต่อการสูญเสีย” ขณะที่ฝ่ายกัมพูชามอง MOU เป็น “ความเสี่ยงต่อการถูกกีดกันจากการได้มา”
https://www.facebook.com/photo?fbid=1186087620209982&set=a.477586271060124
.....


เอกชัย หงส์กังวาน
11 hours ago
·
ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ไทยเข้ายึดดินแดน 4 จังหวัดในอินโดจีนของฝรั่งเศสคือ เสียมราฐ/พระตะบอง/ลานช้าง/นครจัมปาศักดิ์ โดยได้รับการสนับสนุนจากญี่ปุ่น (สนธิสัญญาโตเกียว) ไทยจึงประกาศสงครามกับฝ่ายสัมพันธมิตร และเข้าร่วมกับฝ่ายอักษะ
หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุด ฝ่ายอักษะพ่ายแพ้ อเมริกาบีบไทยคืน 4 จังหวัดนี้ให้กับอินโดจีนของฝรั่งเศส (สนธิสัญญาวอชิงตัน)
ตอนนี้สลิ่มพยายามอ้างสนธิสัญญาวอชิงตันไม่ชอบด้วยกฎหมาย เนื่องจากรัฐสภาไทยไม่เคยให้สัตยาบัน ดังนั้นสนธิสัญญาโตเกียวจึงยังมีผลบังคับใช้ 3 จังหวัดในกัมพูชา และ 1 จังหวัดในลาวจึงยังเป็นของไทย
ด้วยเหตุนี้สลิ่มจึงพยายามที่จะยกเลิก MOU43-44 เพื่อเปิดทางให้ไทยเรียกร้อง 4 จังหวัดนี้คืน
·
ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ไทยเข้ายึดดินแดน 4 จังหวัดในอินโดจีนของฝรั่งเศสคือ เสียมราฐ/พระตะบอง/ลานช้าง/นครจัมปาศักดิ์ โดยได้รับการสนับสนุนจากญี่ปุ่น (สนธิสัญญาโตเกียว) ไทยจึงประกาศสงครามกับฝ่ายสัมพันธมิตร และเข้าร่วมกับฝ่ายอักษะ
หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุด ฝ่ายอักษะพ่ายแพ้ อเมริกาบีบไทยคืน 4 จังหวัดนี้ให้กับอินโดจีนของฝรั่งเศส (สนธิสัญญาวอชิงตัน)
ตอนนี้สลิ่มพยายามอ้างสนธิสัญญาวอชิงตันไม่ชอบด้วยกฎหมาย เนื่องจากรัฐสภาไทยไม่เคยให้สัตยาบัน ดังนั้นสนธิสัญญาโตเกียวจึงยังมีผลบังคับใช้ 3 จังหวัดในกัมพูชา และ 1 จังหวัดในลาวจึงยังเป็นของไทย
ด้วยเหตุนี้สลิ่มจึงพยายามที่จะยกเลิก MOU43-44 เพื่อเปิดทางให้ไทยเรียกร้อง 4 จังหวัดนี้คืน
.....
