'วรเจตน์ ภาคีรัตน์' ตอบคำถามทางกฎหมาย ว่าด้วยอำนาจในการยุบสภาฯ
Premiered Aug 27, 2025
https://www.youtube.com/watch?v=I5czQ5kAtaQ
.....
'ภูมิธรรม' ยุบสภาได้! 'วรเจตน์' อธิบายหลัก-เห็นแย้งเลขาฯ กฤษฎีกา
30 สิงหาคม 2568
ประชาไท
ศ.ดร.วรเจตน์ ภาคีรัตน์ ศาสตราจารย์ด้านกฎหมายมหาชน คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ให้สัมภาษณ์ประเด็นข้อถกเถียงเรื่องอำนาจในการยุบสภาของภูมิธรรม เวชยชัย รักษาการนายกฯ ซึ่งเลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกาให้ความเห็นว่าไม่สามารถทำได้ โดยวรเจตน์ เห็นแตกต่างออกไปว่า ผู้ปฏิบัติหน้าที่แทนนายกฯ ในขณะนี้สามารถนำความขึ้นกราบบังคับทูลให้พระมหากษัตริย์ลงพระปรมาภิไธยใน พ.ร.ฎ.ยุบสภาผู้แทนราษฎรได้ เนื่องจากรัฐธรรมนูญไม่ได้กำหนดเงื่อนไขหรือข้อห้ามใดไว้
วรเจตน์ เริ่มต้นอธิบาย สถานะของคณะรัฐมนตรี (ครม.) ในเวลานี้ว่า ในรัฐธรรมนูญ 2560 แยกอำนาจออกเป็น 2 ระดับสำหรับ ครม.ที่พ้นตำแหน่งแล้ว
อันแรก ครม.พ้นตำแหน่งทั้งคณะ เพราะนายกฯ ขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้าม กฎหมายให้ ครม.ที่เหลืออยู่ให้ปฏิบัติหน้าที่ต่อไปเพื่อรอ ครม.ใหม่ ส่วนตัวนายกฯ จะปฏิบัติหน้าที่ต่อไปไม่ได้ อำนาจ ครม.ในกรณีนี้ไม่ได้จำกัดเป็นพิเศษ
อันที่ 2 กรณีสภาผู้แทนราษฎรสิ้นอายุ หรือมีการยุบสภาผู้แทนราษฎร ครม.ก็จะพ้นจากตำแหน่งทั้งคณะเหมือนกัน และต้องอยู่ปฏิบัติหน้าที่ต่อไปจนกว่า ครม.ชุดใหม่จะเข้ารับหน้าที่ แต่อำนาจของ ครม.แบบนี้จะลดลง
"ครม.ตอนนี้ไม่ได้มีการจำกัดอำนาจ เหมือนกรณี ครม.ในช่วงที่สภาสิ้นอายุหรือมีการยุบสภา เพียงแต่ในมารยาททางการเมือง เขาก็จะไม่กระทำการทางนโยบายหรืออื่นๆ เขารอ ครม.ใหม่มา" วรเจตน์ กล่าว
ส่วนคำถามว่าภูมิธรรมจะนำความขึ้นกราบบังคมทูลเพื่อยุบสภาฯ ได้ไหม วรเจตน์ กล่าวว่า เรื่องนี้ไม่ได้มีข้อห้ามในการยุบสภา รัฐธรรมนูญกำหนดข้อห้ามแค่ 2 เรื่องคือ 1. เมื่อมีการยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจ ระหว่างนั้นจะยุบสภาไม่ได้ 2. สภาถูกยุบไปแล้วด้วยเหตุหนึ่งแล้วใช้เหตุเดิมมายุบซ้ำไม่ได้
"คำถามเหลือแต่เพียงว่าใครจะมีอำนาจในการทูลเกล้าฯ ร่าง พ.รฎ.ให้พระมหากษัตริย์ลงพระปรมาภิไธย สำหรับประเทศไทยในอดีตนั้นเป็นเรื่องของ ครม.ที่จะมีมติยุบสภา แต่ช่วงหลังๆ มาจะเป็นตัวนายกรัฐมนตรีเองที่จะตัดสินใจและทูลเกล้าฯ ตอนนี้คนที่จะทำได้ก็คือ คนที่ปฏิบัติหน้าที่แทนนายกฯ ซึ่งเขาจะมีอำนาจในทางกฎหมายทุกอย่างเหมือนนายกฯ ไม่มีข้อจำกัดในรัฐธรรมนูญด้วย หากเห็นว่าเป็นความเหมาะสมจะแก้ปัญหาทางการเมืองโดยการยุบสภา
"บางท่านให้สัมภาษณ์ว่า รัฐธรรมนูญกำหนดว่าคนที่จะนำร่าง พ.ร.ฎ.ยุบสภาทูลเกล้าฯ ต้องเป็นนายกรัฐมนตรีเท่านั้น คำตอบคือ อันนี้ผิดข้อเท็จจริง รัฐธรรมนูญไม่ได้เขียนเลย รัฐธรรมนูญเขียนไว้แต่เพียงว่า พระมหากษัตริย์ทรงไว้ซึ่งอำนาจในการยุบสภาผู้แทนราษฎรเพื่อให้มีการเลือกตั้งใหม่เป็นการเลือกตั้งทั่วไป เขียนเพียงเท่านี้ ส่วนประเด็นว่าใครจะเป็นคนลงนามรับสนองฯ หรือเป็นคนเสนอ ไม่มีการเขียนไว้ เรื่องนี้มีฐานะเป็นการกระทำของประมุขของรัฐอันหนึ่ง ซึ่งรัฐธรรมนูญกำหนดไว้ว่าจะมีผลเมื่อมีรัฐมนตรีคนหนึ่งลงนามรับสนองพระบรมราชโองการ ถ้าคนปฏิบัติหน้าที่แทนนายกฯ เขาเห็นควรให้มีการยุบสภา มันไม่มีอะไรตัดอำนาจเขาในการเสนอพระมหากษัตริย์ และหากพระมหากษัตริย์ลงพระปรมาภิไธยแล้ว สภาก็ถูกยุบ
"ส่วนความเห็นของเลขาฯ กฤษฎีกาที่ออกมาให้ความเห็นล่าสุด ยืนยันว่า ครม.ที่เป็นรักษาการตอนนี้ยุบสภาไม่ได้ และระบุว่าหากดำเนินการอาจจะเป็นการระคายเคืองเบื้องพระยุคลบาท วรเจตน์เห็นว่า ความเห็นดังกล่าวไม่ถูกต้องอย่างยิ่ง ไม่ควรให้เหตุผลแบบนี้ เพราะนี่เป็นการกระทำทางการเมือง คนซึ่งเสนอให้ยุบสภาผู้แทนราษฎรจะเป็นคนรับผิดชอบทางการเมือง เพราะเขาเป็นคนลงนามรับสนองฯ
"โดยตัวคุณปกรณ์ เป็นเลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา โดยตำแหน่งเป็นข้าราชการประจำ ซึ่งต้องอยู่ภายใต้การบังคับบัญชาของนายกรัฐมนตรี คุณปกรณ์ไม่ได้เป็นนักวิชาการ การให้ความเห็นควรมีการจำกัดไว้ เพราะเวลาเสนอข่าว เสนอเหมือนกฤษฎีกาให้ความเห็น ทั้งที่เป็นความเห็นส่วนตัวคนเดียว คนในกฤษฎีกาเห็นด้วยกันหรือไม่ มันกลายเป็นทำให้คนเข้าใจผิดว่าเป็นความเห็นในนามสำนักงาน ซึ่งไม่เหมาะสมอย่างยิ่ง ก่อให้เกิดปัญหาในการบริหารราชการแผ่นดินในแง่บทบาทของข้าราชการประจำในเรื่องนี้ว่าควรมีบทบาทแค่ไหน..การเห็นแย้งของกฤษฎีกาทำได้ แต่ต้องเป็นการประชุมที่ต้องมีมติออกมาอย่างเป็นทางการ" วรเจตน์ กล่าว

อาจารย์นิติศาสตร์ ให้ความเห็นเพิ่มเติมว่า การยุบสภาเป็นทางออกอันหนึ่งที่เปิดทางไปสู่การเลือกตั้งใหม่อันเป็นการเลือกตั้งทั่วไป เป็นการอุทธรณ์ปัญหาต่อประชาชนให้เขาตัดสินใจ ถ้าการจัดตั้งรัฐบาลขึ้นมาใหม่รวมเสียงข้างมากไม่ได้ แล้วมีความจำเป็นต้องคืนอำนาจให้ประชาชนเลือกตั้งใหม่ ภายในสถานการณ์แบบนี้ที่ศาลรัฐธรรมนูญปลดนายกฯ ก็ให้พรรคการเมืองลงแข่งขันกันในสนามเลือกตั้ง
"และไม่ใช่ว่าผมเพิ่งเห็นว่ากรณีนี้ยุบได้ ที่จริงแล้วผมเห็นว่าก่อนหน้านี้ ช่วงนายกฯ ถูกสั่งหยุดปฏิบัติหน้าที่ คุณภูมิธรรมก็ยุบสภาได้" วรเจตน์ กล่าว
อาจารย์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวว่า ประเด็นไม่ได้อยู่ที่ว่าคนปฏิบัติหน้าที่แทนนายกฯ นำความขึ้นกราบบังคับทูลได้หรือเปล่า แต่ประเด็นทางวิชาการอยู่ที่ว่า อำนาจนี้อยู่ที่ตำแหน่งนายกฯ หรือ คณะรัฐมนตรี
"ถ้ามองว่าอำนาจเป็นของตำแหน่งนายกฯ คนปฏิบัติหน้าที่แทนนายกฯ ก็ถือว่าเป็นนายกฯ คุณภูมิธรรมก็คือตัวนายกฯ นั่นแหละในทางความเป็นจริง เขาก็จะมีอำนาจทุกอย่างเท่าที่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีมี รัฐธรรมนูญไม่ได้เขียนจำกัดอำนาจไว้ด้วยซ้ำ เขาสามารถนำความขึ้นกราบบังคมทูลได้ แต่ถ้าใครมองว่าอำนาจในการเสนอแนะให้พระมหากษัตริย์ยุบสภาเป็นของ ครม. มันก็ต้องมีการประชุม ครม. ในอดีตเป็นเรื่อง ครม. แต่ยุคหลังเรื่อยมา กระทั่งล่าสุดที่พลเอกประยุทธ์ยุบสภา มันก็เป็นอำนาจของนายกฯ" อาจารย์นิติศาสตร์ ระบุ
จากคำถามที่ว่าหากมีการไปร้องศาลรัฐธรรมนูญจะเป็นอย่างไร วรเจตน์ กล่าวว่า ถ้าอยากฟ้องก็ฟ้อง แต่เวลายุบเขาก็ยกร่าง พ.ร.ฎ.ยุบสภาขึ้นทูลเกล้าฯ พระมหากษัตริย์ลงพระปรมาภิไธยแล้วก็จะจบในทางการเมือง การกระทำอันนี้ก็สมบูรณ์ในทางกฎหมาย มีผลให้สภาถูกยุบไป
"การร้องศาลรัฐธรรมนูญต้องหาช่องทางร้อง แต่ผมไม่เห็นช่องทางนะ นอกจากจะตีความว่า พ.ร.ฎ.นี้เป็นกฎหมาย ซึ่งในทางทฤษฎี พ.ร.ฎ.นี้เป็นคำสั่งของประมุขของรัฐ มันใช้แค่รูปแบบเป็น พ.ร.ฎ. แต่ความจริงเป็นพระบรมราชโองการมากกว่าเพื่อให้สมาชิกภาพของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสิ้นสุดลงพร้อมกัน พร้อมกับการสิ้นสุดลงของคณะรัฐมนตรี
"เราต้องถามก่อนว่า คนที่ยุบไม่ได้เขาอ้างเหตุผลอะไร เขาอ้างว่าไม่ใช่นายกรัฐมนตรีตัวจริง แต่รัฐธรรมนูญไม่ได้เขียนไว้ หรือบอกว่าสภาไว้วางใจคนนี้ แล้วยังไงถ้าคนนี้ป่วย สภาก็ไม่สามารถยุบสภาได้หรือ มันตีความกฎหมายแบบนี้ไม่ได้ เป็นคนละเรื่องกัน
"ตำแหน่งนายกฯ ไม่เกี่ยวกับความไว้วางใจของสภา ตำแหน่งนายกฯ เป็นพัฒนาการมาในอดีต แล้วระบบกฎหมายของเรา ไม่ได้ฟิกซ์ความไว้วางใจที่ตัวนายกฯ เราฟิกซ์ความไว้วางใจที่คณะรัฐมนตรีและรัฐมนตรีทุกคน เพราะว่ารัฐมนตรีทุกคนและ ครม.สามารถถูกอภิปรายไม่ไว้วางใจได้ แล้วในรัฐธรรมนูญ 60 การอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมตรีก็ถือเป็นการอภิปรายรัฐมนตรีคนหนึ่งเหมือนกัน ถ้าเอาเรื่องความไว้วางใจมาให้เหตุผลโต้แย้ง มันอ่อนมากเลย เพราะระบบของเราไม่ได้เอาความไว้วางใจมาไว้ที่ตัวนายกฯ คนเดียว ไม่เหมือนกับเยอรมัน อันนั้นอยู่ที่ตัวนายกฯ อภิปรายไม่ไว้วางใจ ครม.หรือรัฐมนตรีไม่ได้ ต้องอภิปรายนายกคนเดียว
"แต่ไม่ว่าจะยังไง ประเด็นเรื่องไว้วางใจนั้นไม่เกี่ยว การยุบสภาเป็นเครื่องมือที่ระบบออกแบบไว้ให้ฝ่ายบริหารในการแก้ปัญหาทางการเมือง ซึ่งเป็นดุลพินิจของฝ่ายบริหารเขา ถ้ามีวิกฤตอะไรขึ้น ที่เรียกกันว่าจะผ่าทางตัน ตีความแบบนี้กลายเป็นว่าทำอะไรไม่ได้เลย ทั้งที่การยุบสภาคือการคืนอำนาจให้ประชาชนตัดสินใจ คำถามคือทำไมหลายคนเริ่มออกมาให้ความเห็น ตีความตัวรัฐธรรมนูญขัดขวางการคืนอำนาจให้ประชาชน เท่าที่เห็นนักวิชาการบางกลุ่มที่ตีความแบบนี้ ส่วนหนึ่งน่าจะต้องการให้เกิดทางตันทางการเมือง เพื่อนำไปสู่การใช้มาตรา 5 … บ้านเรามักมีสภาวะแบบนี้คือ ไม่ปล่อยให้กลไกในระบบกฎหมายเดินไปตามครรลองที่ควรจะเป็น ผมไม่ได้หมายความว่ารัฐบาลต้องยุบสภานะ แต่มันเป็นทางเลือกอันหนึ่งในการจัดการกับสภาวการณ์แบบนี้ที่ปลดนายกฯ โดยอ้างเหตุเรื่องจริยธรรมที่กว้างขวางมาก เหมือนทำให้ศาลรัฐธรรมนูญมีความสามารถในการไม่ไว้วางใจนายกฯ" วรเจตน์ กล่าว
https://prachatai.com/journal/2025/08/114417
https://www.youtube.com/watch?v=I5czQ5kAtaQ