
Atukkit Sawangsuk
13 hours ago
·
วิบัติสื่อ
รายได้จากยอดไลค์ยอดวิว คลิกเบท
ความแตกสลายถึงโครงสร้างของสื่อไทย ที่กลายเป็นแค่ถือไมค์ให้อินฟลู
:
ว่าที่จริงมันเป็นวิบัติครั้งที่สองในรอบยี่สิบปีของวงการสื่อ
ครั้งแรก แหงละ สื่อหนุนม็อบพันธมาร ขอ ม.7 เชียร์รัฐประหาร 49-57
ซึ่งมันทำลายความเป็นสถาบันสื่อ จรรยาบรรณสื่อ
ปลุกเกลียดชังทักษิณ เฟคนิวส์ปฏิญญาฟินแลนด์-วัดพระแก้ว
ปมสำคัญคือสื่อเปลี่ยนจากผู้รายงานผู้สังเกตการณ์ผู้วิพากษ์วิจารณ์ มาเป็นศัตรูทางการเมือง กับ "ระบอบทักษิณ" ทำทุกวิถีทางเพื่อโค่นล้มจนทุ่มทุนด้วยจรรยาบรรณ
:
วิกฤติสื่อรอบใหม่เริ่มตอนทีวีดิจิตอล พรึ่บเดียวมีทีวียี่สิบกว่าช่องเข้าสู่การแข่งขันแต่ทำได้แค่ข่าวดาราดราม่าชาวบ้าน เพราะถัดมาไม่นานก็เกิดรัฐประหารปิดกั้นเสรีภาพสื่อ
นี่ยังจำได้ตอนนั้นมีข่าวดาราอื้อฉาว เปิดแถลงข่าวโรงแรม ต้องแถลง 2 รอบเพราะนักข่าวล้นห้อง รอบเดียวไม่พอ
รายการเล่าข่าวก็ผุดเป็นดอกเห็ดเพราะสรยุทธโดนเล่นงาน ติดคุก (ข้อหาติดสินบนพนักงาน อสมท.เป็นเช็คหักภาษี ณ ที่จ่าย)
คือสรยุทธเล่าข่าว เร้าอารมณ์คนดู แต่ถึงจุดหนึ่งก็หยุด สรยุทธยังมีเพดาน รู้จังหวะ เพราะสั่งสมประสบการณ์มาจากการเป็นนักข่าว หัวหน้าข่าว บรรณาธิการข่าว
แต่นักเล่าข่าวยุคหลังสรยุทธ ไม่มีฐานอย่างนั้น ปากกว้างๆ ปลุกเรตติ้งไม่แยแสสนใจความรับผิดชอบ
นี่ไม่ใช่แค่ข่าวการเมืองด้วยนะ ข่าวชาวบ้านนี่แหละ มันถึงได้เกิดกรณีลุงพล ป้าทุบรถ ครูปรีชา ที่สื่อเฮโลสาระพาชงลูกขุนออนไลน์ตัดสินถูกผิด
จนกระทั่งถึงยุคโหนกระแส จากความล่มสลายของกระบวนการยุติธรรม ทนายอเวนเจอร์ ดาราดัง อินฟลู นักพ่นคอมเมนท์ ดึงลูกขุนออนไลน์มาตัดสินคดีอาชญากรรมปัญหาสังคมหน้าจอ
:
ความฉิบหายด้านรายได้ คือการคิดเงินผ่านยอดไลค์ยอดวิว คลิกเบท
แบบที่ทำให้สื่อต้องพาดหัว "...เคลื่อนไหวแล้ว" ไม่รู้เคลื่อนไหวเฮี่ยไรต้องคลิกเข้าไปดู แล้วโฆษณาก็ขึ้นมาเต็มหน้าเลย กว่าจะแหวกหาข่าวเจอ
:
สิ่งที่ขาดหายไปคือ ระบบค่าโฆษณาที่ประเมินโดยเอเยนซี
ระบบเอเยนซีมันก็ไม่ได้บอกว่าถูกต้องเป็นธรรม
(ช่วงหนึ่งเป่านกหวีดกันเกือบหมดด้วยซ้ำ)
แต่มันมีการประเมินคุณภาพ ควบคู่ปริมาณ
ยกตัวอย่างสื่อสิ่งพิมพ์ สื่อกระดาษ
หนังสือพิมพ์รายวันไทยรัฐ ค่าโฆษณาสูงสุดเพราะมันเป็น mass รองลงมาก็เดลินิวส์
แต่มันก็จะแยกตลาดคนอ่าน เช่นบางกอกโพสต์ เนชั่น จะได้โฆษณาบ้านหรู คอนโดหรู สินค้าไฮเอนด์ เพราะคนอ่านเป็นฝรั่ง นักธุรกิจ
หรือมติชน (หรือสยามรัฐยุคอดีต) ก็ได้ตลาดคนชั้นกลาง ข้าราชการ
พวกประชาชาติธุรกิจ ฐานเศรษฐกิจ ผู้จัดการ (ก่อนยุคพันธมิตร) ก็จะมีเครดิตในแวดวงธุรกิจ
แยกย่อยลงไปเช่น นิตยสารที่ดิน นิตยสารแม่และเด็ก บ้านและสวน มีตลาดของตัวเองหมด
ค่าโฆษณาอาจไม่เท่าไทยรัฐ แต่ก็เป็นคนละแท่งแตกต่างกันไป
แต่ละสื่อก็พัฒนาคุณภาพในแท่งของตัวเอง
:
ระบบค่าตอบแทนนี้พินาศหมดเมื่อเข้าสู่ยุคโฆษณาผ่านกูเกิล ยูทูบ เพราะมันให้ตามยอดวิว ไม่ได้แยกคุณภาพสื่อ ความสนใจและกำลังซื้อที่แตกต่าง
มันคลิกเบทอย่างเดียว ใครได้ยอดคลิกมากที่สุด ไม่ว่าจะหลอกต้มคนดูคนอ่านอย่างไร ไร้คุณภาพเพียงไร ก็ได้ค่าโฆษณาเยอะที่สุด
สื่อปลุกเกลียดชังบางค่าย ซึ่งถ้าเป็นระบบเดิม เอเยนซีคงตัดจากสารบบ ก็ได้ยอดคลิกยอดวิวจากพวกคลั่ง ที่วันๆ เอาแต่กดอ่านข่าวเสียสติ ไม่ได้สนใจซื้อสินค้าหรืออาจไม่มีกำลังซื้อด้วยซ้ำ
:
การทำข่าวคลิกเบท การสูญเสียรายได้ ทำให้เนื้อหาสาระคุณภาพถูกลดทอน ใครจะคลิกบทความวิชาการ เอาคอมเมนเตเตอร์ปั่นข่าวทางร้ายมาคอมเมนท์ไม่ดีกว่าเหรอ
(แบบเดียวกับสื่อทีวี สัมภาษณ์จารย์จ๊ะ

การตีพิมพ์ข่าวก็ต้องการความรวดเร็วมากขึ้น พาดหัวล่อใจมากขึ้น สิ่งที่ขาดหายไปคือการกลั่นกรองตามระบบกองบรรณาธิการ นักข่าว รีไรเตอร์ หัวหน้าข่าว การประมวลข่าวอย่างเป็นระบบ ให้แบคกราวด์
เช่น ข่าวบันเทิง ก๊อป IG ดารามาโพสต์ "เคลื่อนไหวแล้ว" ก็คนคลิกล้นหลาม คนไม่เคยตามอ่านข่าวดาราอย่างผมก็งง ดาราคนนี้มีเรื่องอะไรกับใคร ไม่ให้แบคกราวด์ข่าวเลย
:
ปัญหาของสื่อวันนี้ไม่ใช่แค่อคติทางการเมือง แบบเกลียดทักกี้ เหมือนปี 49-57 แต่มันเป็นการแห่ตามกระแส เรียกเรตติ้ง ใครจะปั่นได้มากกว่าใคร
ที่เอาพลเอกรังษี เอาเจษฎ์ เอาจตุพร ฯลฯ ไปออกทีวี ไม่ใช่อุดมคติไล่ทักกี้ แต่เรียกยอดวิวได้เยอะดี ทุกช่องต้องแข่งกันขายตรง เดี๋ยว พักขายสบู่แชมพูเครื่องสำอางห้อมไหกระทะไฟฟ้าก่อน เดี๋ยวมาปลุกกันต่อ
:
ส่วนการที่เฟสบุ๊คมาให้กำไรยอดไลค์ยอดวิว นั่นก็ยิ่งเละไปอีกขั้น
ประชาชนทุกคนเป็นสื่อได้?
ประชาขนทุกคนเป็นเกรียนคีย์บอร์ดได้โดยไม่ต้องรับผิดชอบ
https://www.facebook.com/baitongpost/posts/24326806583641175