
‘ดีล’ ของ pragmatist แบบไทยๆ
6.08.2025
มติชนสุดสัปดาห์
บทความพิเศษ | ธงชัย วินิจจะกูล
ผมได้เขียนในที่อื่น (“ถ้าฟ้ามีตา ทำไมฟ้ามองไม่เห็น” https://www.the101.world/if-the-sky-has-eyes) ประณามพรรคเพื่อไทยที่โหวตปัดตกร่างกฎหมายนิรโทษกรรมที่เปิดโอกาสหรือรวมคดี 112 ไว้ด้วย
หลายท่านเห็นว่าแรงมาก คงจะเขียนด้วยอารมณ์โกรธจัด
ขอเรียนด้วยความสัตย์จริงว่า ขณะที่เขียนนั้นอารมณ์โกรธและเศร้าได้หมดไปแล้ว
ชีวิตผมเจอเรื่องที่ควรโกรธแค้นและเศร้าใจมากกว่านี้และหลายครั้งหลายหนจนพอจัดการกับตัวเองได้ให้สงบลงในเวลาค่อนข้างเร็ว
แต่หลังจากคิดไตร่ตรองด้วยเหตุผลแล้วก็เห็นว่า เพื่อไทยสมควรถูกประณามอย่างแรง
จึงเขียนด่าแรงที่สุดเท่าที่จะใช้คำสุภาพได้ แต่ด้วยความเยือกเย็น ตามที่พรรคเพื่อไทยสมควรจะได้รับ
อย่างไรก็ตาม ขออธิบายประเด็นสำคัญให้กระจ่างขึ้น
รวมทั้งขอตอบข้อแก้ตัวว่าเพื่อไทยทำแล้วและกำลังทำอยู่อย่างไม่หิวแสง ด้วยการพยายาม “ดีล” อย่างเงียบๆ อยู่
หนึ่ง พฤติกรรมและการโหวตของเพื่อไทยเป็นประจักษ์พยานว่าเพื่อไทยไม่แคร์ประชาชนผู้ที่เคยสนับสนุนและช่วยกันประคับประคองเพื่อไทยตลอด 20 ปีที่ผ่านมา ทั้งคนเสื้อแดงและผู้ถูกรังแกด้วยมาตรา 112 นับแต่ม็อบเยาวชน 2563 เป็นต้นมา
เพื่อไทยมีโอกาสเสนอร่างประกบแสดงจุดยืนของตนว่าอะไรคือจุดที่ประนีประนอมซึ่งสมควรจะเป็น แต่กลับขี้ขลาดไม่กล้าแสดงจุดยืนของตน เป็นพี่ใหญ่ในรัฐบาลแต่ไม่กล้าออกตัวนำ
เพื่อไทยมีโอกาสจะติติงร่างของรวมไทยสร้างชาติซึ่งมุ่งช่วยเหลือแค่พรรคพวกตัวเอง แต่เพื่อไทยไม่แคร์จะทำ
ข้ออ้างที่ว่าต้องการเสียงของรวมไทยสร้างชาติในภาวะที่รัฐบาลง่อนแง่นปริ่มน้ำ เป็นข้ออ้างที่ “กระจอก” อย่างยิ่ง (คงไม่ต้องอธิบายให้พรรค “คิดใหญ่ทำเป็น” ที่มีเสียงมากกว่าหลายเท่าตัวนะครับ)
เพื่อไทยยอมถอยกรูดถึงขนาดใช้ร่างของรวมไทยสร้างชาติเป็นหลักและโหวตสนับสนุนร่างของภูมิใจไทยอีกด้วย ทั้งๆ ที่เพื่อไทยยังโจมตีอยู่ทุกวัน
เพื่อไทยมีโอกาสในช่วงหนึ่งสัปดาห์ระหว่างการอภิปรายและการโหวตที่จะแสดงจุดยืนของตน ซึ่ง ส.ส.เพื่อไทยหลายคนก็ทำเช่นนั้น คือพากันออกมากล่าวย้ำแล้วย้ำเล่าว่ายังไงๆ เพื่อไทยก็ไม่ยอมรวม 112 ไว้ในการนิรโทษกรรม
นี่คือจุดยืนของพรรคเพื่อไทยต่อการนิรโทษกรรมจริงๆ
ลงท้ายเพื่อไทยจึงโหวตปัดตกร่างที่เปิดโอกาสให้กับการรวม 112 เข้าด้วย ทั้งๆ ที่อย่างน้อยที่สุดเพื่อไทยมีโอกาสที่จะงดออกเสียง เพื่อปล่อยให้ร่างเหล่านั้นทั้งหมดเข้าไปพิจารณาในวาระที่สองต่อ แต่เพื่อไทยไม่ทำเช่นนั้น
พฤติกรรมไม่กล้าแสดงจุดยืนของเพื่อไทยก็คงเพราะตระหนักว่าพรรคได้หาเสียงให้คำสัญญาไว้อย่างหนึ่ง ทั้งๆ ที่พรรคไม่เคยคิดจะทำเช่นนั้น เพราะช่วงตอนหาเสียงพรรคต้องการหากินกับภาพลักษณ์เป็นฝ่ายประชาธิปไตย
ครั้นหลังจากเลือกตั้งผ่านไป พลังหลักของพรรคซึ่งได้แก่บ้านใหญ่ทั้งหลายเข้าควบคุมทันทีในการตัดสินทิศทางและนโยบายพรรค
การเมืองของบ้านใหญ่ที่ดูเหมือนเป็นประชาธิปไตยไม่ได้เกิดจากเจตจำนง แต่เพราะการแบ่งปันทรัพยากรสู่ท้องถิ่นของนักการเมืองบ้านใหญ่ตามปกติในตัวมันเองเป็นการลดทอนอำนาจของรัฐราชการรวมศูนย์ นอกเหนือไปจากนี้การเมืองในแง่อื่นๆ ของบ้านใหญ่ก็เป็นอนุรักษนิยมไม่ต่างจากชนชั้นนำหลักอื่นๆ ของสังคมไทย
สอง บ้านใหญ่ของเพื่อไทยรวมทั้งเจ้าของพรรคพยายามมาแต่ต้นที่จะแสวงหา “ใบอนุญาตที่สอง” (ตามสำนวนของปิยบุตร แสงกนกกุล) ทั้งการทำ “ดีลปีศาจ” และการย้ายขั้วอย่างไม่แคร์ว่ากำลัง “ตระบัดสัตย์” ต่อประชาชนที่โหวตให้เพื่อไทย
พฤติกรรมในกรณีนิรโทษกรรมตามที่กล่าวมาส่อนัยว่าเพื่อไทยมุ่งสื่อสารถึงผู้อนุมัติใบอนุญาตที่สอง ขอให้พวกเขาไว้ใจว่าพรรคเพื่อไทยจะจงรักภักดีและยินดีรับใช้อย่างซื่อสัตย์ ตอกย้ำชัดว่าเพื่อไทยไม่สนใจการนิรโทษกรรมและไม่ลังเลที่จะทิ้งผู้ที่หลั่งเลือดและยอมเสียอิสรภาพเพื่อพรรคและทักษิณ ชินวัตร
เพื่อไทยใช้กรณีนิรโทษกรรมเพื่อสื่อสารขอใบอนุญาตที่สองต่างหาก
สาม หลายคนพากันออกมาแก้ต่างแทนเพื่อไทยด้วยเหตุผลสารพัด ที่สำคัญคือตำหนิว่าการเมืองที่อาศัยจำนวนประชาชนเข้าสนับสนุนอย่างที่ภาคประชาชนและพรรคประชาชนพยายามทำนั้น ไม่เคยประสบความสำเร็จ
บางคนถึงขนาดกล่าวว่า “เก่าไปแล้ว” พร้อมทั้งชี้เป็นนัยว่าเพื่อไทยกำลังทำงานอย่างขะมักเขม้น เพื่อดีลกับพรรคอื่นๆ อย่างเงียบๆ ลับๆ เพราะไม่หิวแสงแต่ต้องการผลสำเร็จ
ไปดีลกันเงียบๆ ดีกว่า ได้ผลประสบความสำเร็จดีกว่า แถมเป็นพฤติกรรมการเมืองที่ใหม่กว่าเพราะไม่หิวแสงอีกด้วย
น่าสงสัยว่าข้ออ้างเหล่านี้เป็นความพยายามที่มีมาแต่ต้น หรือเพิ่งคิดเหตุผลนี้ขึ้นมาเพื่อแก้ตัวหลังจากแน่ชัดว่าจุดยืนพรรคเพื่อไทยเป็นอย่างไร หากคิดเช่นนี้แต่ต้น แล้วหาเสียงหลอกประชาชนทำไม
น่าสงสัยว่าต่อให้ต้องการดีลแบบนั้น แล้วทำไมต้องปัดตกร่างที่เปิดโอกาสให้รวม 112 ด้วย แทนที่จะยืนยันจุดยืนของพรรคผู้นำรัฐบาลที่พรรคร่วมอื่นๆ ต้องง้อว่าเพื่อไทยต้องการให้ไปถกเถียงต่อในวาระสอง
นี่เป็นอีกอย่างที่บ่งชี้ว่าเพื่อไทยไม่ได้สนใจการนิรโทษกรรมเพื่อปรองดอง แต่เป็นการใช้กรณีนิรโทษกรรมเพื่อส่งสัญญาณถึงบางคนบางฝ่ายว่าพรรคเพื่อไทยจงรักภักดีไว้ใจได้
คนที่อ้างเหตุผลว่าดีลกันเงียบๆ ได้ผลดีกว่า เขากำลังแก้ตัวและแก้เสียหน้าให้กับตัวเองแค่นั้นเอง เรียกง่ายๆ ก็คือหลอกตัวเองว่าเพื่อไทยยังทำอยู่ แถมต้องหลอกตัวเองจนเชื่อคำแก้ตัวที่ให้กับตัวเองจนสนิท ไม่งั้นชีวิตทางการเมืองของเขาจะอึดอัดทรมานมาก
น่าสงสัยว่าบรรดานักการเมืองบ้านใหญ่ของเพื่อไทยและเจ้าของพรรค เขาแคร์ที่จะต้องแก้ตัวเช่นนี้หรือรู้สึกเสียหน้าหรือไม่ เพราะเขามิได้สนใจการนิรโทษกรรม เขาจึงน่าจะไม่เคยเสียหน้าและไม่ต้องแก้ตัว
ดีลลับดีลเล็กทำนองนี้ไม่ใช่สิ่งใหม่แต่อย่างใด เป็นการเมืองแสนเก่าจนถึงโคตรเก่า การรณรงค์ให้ประชาชนทั่วไปมีส่วนร่วมผลักดันต่างหากเป็นวิธีการแบบประชาธิปไตยที่ยังใหม่ในการเมืองไทยและควรช่วยกันทำให้กลายเป็นกระบวนการปกติ
การเมืองทุกระบบมีการเจรจาต่อรองทั้งเปิดเผยและไม่เปิดเผย ทั้งเป็นทางการและส่วนบุคคล มีการดีลกันตลอดเวลา แต่ถ้าเป็นการเจรจาต่อรองเพื่อประโยชน์สาธารณะต้องมีขึ้นโดยให้สาธารณะรับรู้ว่าความแตกต่างอยู่ตรงไหน มีความต่างทางความคิดหรือผลประโยชน์อย่างไร
ดีลลับดีลเล็กในประเทศไทยมักถือว่าประชาชนไม่เกี่ยว การใช้ “เส้น” เป็นวิธีการโบราณอย่างยิ่งที่ประชาชนไม่มีส่วนร่วมไม่ว่าทางตรงทางอ้อม ไม่มีส่วนแสดงพลังสนับสนุนหรือคัดค้าน ดังนั้น ถ้าเป็นเพียงข้ออ้างแก้เสียหน้า ประชาชนก็ไม่มีส่วนรับรู้เช่นกันว่าจะมีเจรจาจริงหรือไม่
การออกมาแก้ตัวแล้วยังตำหนิการรณรงค์ให้ประชาชนเข้าร่วม เท่ากับเป็นการบอกว่านี่เป็นเรื่องของคนมีอำนาจเขาจะคุยกัน ประชาชนไม่เกี่ยว
สี่ข้อแก้ตัวอีกอย่างคือ กล่าวหาว่าการรณรงค์ให้รวมเหยื่อ 112 เป็นการใช้ศีลธรรมมาเป็นประเด็นและเห็นเหตุผล
น่าคิดว่าคนพวกนี้รังเกียจการอวดอ้างตนว่าเป็นคนดีย์ จนไม่รู้จักแยกแยะการอวดอุตริแบบอนุรักษนิยมกับศีลธรรม (morality) แบบโลกวิสัยเพื่อประโยชน์สาธารณะ แยกแยะไม่ได้ว่าการให้อำนาจคนดีย์เพียงไม่กี่คนเที่ยวตัดสินลงโทษคนอื่นด้วยข้อหาผิดจริยธรรมนั้น ต่างกันสิ้นเชิงกับการผลักดันความถูกต้องชอบธรรมทางสังคมและการเมืองเพื่อประโยชน์สาธารณะ เช่น การแสดงความเห็นไม่ใช่ความผิด
การปกป้องความเป็นมนุษย์หรือส่งเสริมมนุษยธรรมก็เป็นศีลธรรมแบบโลกวิสัยเพื่อประโยชน์สาธารณะที่สำคัญ
ผู้กล่าวหาเหล่านั้นรังเกียจและกลัวการอวดอ้างคนดีย์จนกลายเป็นการเมืองที่ไม่มีศีลธรรม
ห้า ศีลธรรมสาธารณะที่สำคัญมากประการหนึ่งคือ หลักการที่ว่าความคิดเห็นที่แตกต่างไม่ใช่ภัยอันตรายที่กัดเซาะบ่อนทำลายสถาบันสำคัญใดๆ ของชาติ มิใช่ความอาฆาตมาดร้าย ไม่นำพาไปสู่การใช้กำลังทำร้ายใคร ไม่ก่อให้เกิดการเข่นฆ่าสังหารกันด้วยความรุนแรง
เหยื่อของ 112 ข้างมากถูกตัดสินว่ามีความผิด เพราะกระบวนการยุติธรรมที่ตีความและการพิจารณาซึ่งผิดปกติ กล่าวคือ ไม่ตีความกฎหมายอย่างเคร่งครัดชัดเจนสิ้นสงสัยและไม่ถือไว้ก่อนว่าเป็นผู้บริสุทธิ์จนกว่าประจักษ์พยานจะชัดแจ้งตามปกติของคดีอาญา กลับทำตรงข้ามกับหลักวิธีพิจารณาความอาญาทั้งสิ้น นั่นคือ ทึกทักไว้ก่อนว่าทำความผิดร้ายแรง ทึกทักไว้ก่อนว่าอาจจะทำความผิดซ้ำอีกหากให้ประกันตัวออกไป จึงต้องอาศัยกระบวนการพิจารณาซึ่งผิดปกติ เช่น การพิจารณาลับ การพยายามเกลี้ยกล่อมให้สารภาพรับผิด ฯลฯ
การยืนยันว่าความปรารถนาดีทำนองเดียวกับที่อานนท์ นำภา กระทำนั้นไม่ควรเป็นความผิด นี่ไม่ใช่เรื่องศีลธรรมคนดีย์แบบอนุรักษนิยมแต่อย่างใด แต่เป็นการวางกรอบหรือขีดเส้นว่ามาตรฐานทางจริยธรรมและศีลธรรมทางโลกที่สาธารณะพึงกระทำต่อกันนั้นควรอยู่ตรงไหน
การผลักดันให้นิรโทษกรรมเหยื่อ 112 เป็นการส่งสัญญาณอย่างสำคัญว่าอย่าทำร้ายคนที่ปรารถนาดีด้วยกฎหมายนี้อีกเลย การรณรงค์จึงสำคัญอย่างมากเพื่อพยายามปรับเปลี่ยนความคิดและวัฒนธรรมในประเด็นนี้ และควรต้องทำอย่างที่ประชาชนมีส่วนร่วมรับรู้ เข้าถึงการถกเถียงได้ง่าย ไม่ว่าเขาจะเห็นอย่างไรก็ตาม
ผมเชื่อว่าพรรคเพื่อไทยมิได้คิดถึงประเด็นนี้แต่อย่างใด และบรรดานักแก้ตัวทั้งหลายมิได้มีสิ่งนี้อยู่ในหัวแม้แต่น้อย ดีลลับหรือการเจรจาต่อรองระหว่างคนในแวดวงอำนาจด้วยกัน ไม่สามารถทำให้เป็นประเด็นสาธารณะที่ประชาชนเข้าร่วมได้อย่างเปิดเผย
การเมืองไทยขาดความกล้าหาญที่จะถกเถียงกันอย่างเปิดเผยว่าการกระทำของอานนท์ นำภา และเหยื่อ 112 แทบทุกคนสมควรถูกลงโทษถือเป็นความผิดหรือไม่ แถมพยายามจำกัดการถกเถียงอีกด้วย เช่น คำตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญต่อพรรคก้าวไกล เป็นต้น ดีลลับก็เป็นอีกมาตรการหนึ่งเพื่อผลลัพธ์อย่างเดียวกับที่ศาลรัฐธรรมนูญต้องการ
ด้วยเหตุทั้งหลายเหล่านี้ ผมจึงขอประณามอย่างเยือกเย็นอีกครั้งถึงความขี้ขลาดตาขาวกลับกลอกไม่ปฏิบัติตามสิ่งที่ตนหาเสียงไว้และการหลอกตัวเองของพรรคเพื่อไทยและนักแก้ตัวทั้งหลาย ถึงที่สุดท่านทั้งหลายกำลังหาเหตุผลประโลมใจตัวเองว่ามิได้ทำอะไรผิด เป็นการหลอกตัวเองทั้งเพ
จึงน่าสมเพชอย่างยิ่ง
https://www.matichon.co.th/weekly/column/article_853073