
ถึงเวลา ‘ธรรมยุต 5.0’
บทความพิเศษ | พิภพ อุดร
มติชนสุดสัปดาห์
5.08.2025
“พระสงฆ์ทุกวันนี้เป็นพาลปุถุชน ปฏิบัติกันเหลวไหลตามใจ เป็นอาจารวิบัติของคณะสงฆ์ ไม่นำมาซึ่งความเลื่อมใส ถ้าไม่ประพฤติตามธรรมวินัย ให้ต้องตามพุทธบัญญัติ ลาผนวชเสียจะดีกว่า เพราะไม่เป็นการลวงโลก”
ข้อความนี้เหมือนจะพูดถึงสถานการณ์สงฆ์ไทยในปัจจุบัน แต่แท้จริงแล้วคัดมาจากหนังสือ “การปกครองคณะสงฆ์โดยย่อ และประวัติคณะธรรมยุติกาโดยย่อฯ” ตีพิมพ์ในปี 2478
เนื้อหากล่าวถึงสถานการณ์สงฆ์ไทยช่วงก่อนปี 2376 ซึ่งชวนให้นึกถึงทั้ง “ประวัติศาสตร์ซ้ำรอย” และ “วัฏจักรสังคม” ที่หมุนเวียนเจริญแล้วเสื่อมซ้ำๆ
เพราะเมื่อเจริญรุ่งเรืองแล้วก็มักประมาท จึงทำให้เสื่อม
ซึ่งทำให้ต้องมาช่วยกันฟื้นฟูให้กลับคืนสู่ความเจริญอีกครั้ง
ปรากฏการณ์เสื่อมศรัทธาต่อพุทธศาสนาจากเหตุสีกากอล์ฟไม่ใช่เรื่องใหม่ ย้อนกลับไปตั้งแต่ปี พ.ศ.2325 ช่วงต้นรัตนโกสินทร์ ก็มีหลักฐานว่าวินัยสงฆ์หย่อนยาน จับเงินทอง สะสมทรัพย์สิน ไม่ศึกษาพระธรรมลึกซึ้ง
มีบันทึกว่าทั้งเจ้าอาวาสและสงฆ์ระดับสูงมีพฤติกรรมคล้ายฆราวาส เช่น เล่นการพนัน สะสมทรัพย์ แอบมีเมีย มีลูก แสวงหาผลประโยชน์หรือถูกใช้ประโยชน์ทางการเมือง จนทำให้ต้องมีประกาศ “กฎพระสงฆ์” ออกมาต่อเนื่องถึง 10 ฉบับ
แต่ละฉบับก็เริ่มต้นด้วยเหตุที่ทำให้ต้องออกกฎฉบับนั้นๆ ว่าเพื่อต้องการแก้ไขปัญหาใด
ตัวอย่างเช่น กฎพระสงฆ์ฉบับที่ 8 ก็ระบุถึงเหตุที่ต้องออกกฎว่าเพราะ “พระเสพเมถุนกับสีกา” โดยระบุทั้งชื่อพระ ชื่อวัด ชื่อสีกา ครบถ้วน
ยกมาบางส่วน “อ้ายดีบวชอยู่วัดโพ เสพเมถุนธรรม กับอีทองมาก อีเพียน อีภิม อีบุนรอด อีหนู อีเขียว”
หรือ “อ้ายเป้าบวชอยู่วัดพวาเสพเมถุนธรรมกับอีจันลาวจนมีบุตร”
ซึ่งไม่ใช่แค่พระ แต่เณรก็มี ชีก็มา “เณรปิ่นอยู่วัดโพ เสพเมถุนธรรมกับอีคุ้มเมียพระแพทย แลเณรทองเสพเมถุนธรรมกับอีชีนวนอยู่หลังวัดบางว้าใหญ่”
รวมถึงพระที่มีสมณศักดิ์ “พระนิกรมเปนราชาคณะพูดจาเกี้ยวพาสีกาเปนบ้ากาม อวดรูปจับข้อมืออีฉิม นอนเอกเขนกให้สีกาพัด มหาขุนศิษยพระนิกรม ก็จับแก้มอีขาวแล้วพูดเกี้ยวพาอีลี”
หนึ่งในหลักฐานสมัยก่อนคือ “เพลงยาว” เป็นเสมือน “จดหมายรักจากพระถึงสีกา” ถ้าเป็นสมัยนี้ก็เทียบเคียงได้กับแชตหลุด คลิปหลุดที่ส่งกันว่อนทั่วโซเชียลมีเดีย
สถานการณ์ข้างต้นนำไปสู่การตั้ง “กรมสังฆการี” เพื่อตรวจสอบพระสงฆ์ที่ละเมิดวินัย และลงโทษพระที่ไม่สึกเอง
ทำให้มีพระสงฆ์ถูกจับสึก และหนีเข้าป่าเพื่อหลีกเลี่ยงการสอบสวนวินัยจำนวนมาก
และเป็นที่มาของการสถาปนา “ธรรมยุติกนิกาย” โดยพระวชิรญาณเถระ (พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว) ที่วัดบวรนิเวศราชวรวิหาร ในปี พ.ศ.2376
เพื่อปฏิรูปพระพุทธศาสนาครั้งใหญ่ ฟื้นฟูความบริสุทธิ์ ความเคร่งครัดในพระธรรม และพระวินัยให้กลับคืนมาดังเดิม
พร้อมทั้งนำเสนอแก่นแท้ของพุทธศาสนาด้วยโลกทัศน์ทางวิทยาศาสตร์ที่ให้ความสำคัญกับสิ่งที่พิสูจน์ได้ คือสัจนิยม และเหตุผลนิยมที่ไม่หลงใหลในไสยศาสตร์ โหราศาสตร์ พิธีลึกลับ คาถา ยันต์ และมนตร์ดำ
ถอยไปไกลกว่านั้นในปี พ.ศ.234 สมัยพระเจ้าอโศกมหาราชทรงสนับสนุนทางการเงิน และทรัพยากรมหาศาลให้แก่พระสงฆ์ ทำให้บรรดาผู้คนและเดียรถีย์หลั่งไหลมานุ่งห่มผ้าเหลืองด้วยหวังในวัตถุปัจจัย และลาภสักการะ โดยไม่สนใจศึกษาทั้งพระธรรม และพระวินัย
ส่งผลให้สังคมเสื่อมศรัทธา เกิดความแตกแยกในหมู่สงฆ์ ระหว่าง “พระแท้” กับ “พระปลอม” ทำให้พระแท้ร่วมกันงดเว้นการลงโบสถ์เพื่อสวดปาติโมกข์ถึง 7 ปี เพราะเคร่งครัดในพระวินัยจึงไม่ยอมเข้าร่วมสังฆกรรมกับบรรดาพระปลอมที่ถือมิจฉาทิฏฐิ และไม่บริสุทธิ์ในศีล
พระเจ้าอโศกจึงทรงแต่งตั้งพระโมคคัลลิบุตรติสสะเป็นประธานจัดประชุมสงฆ์ทั่วสังฆมณฑล ณ อโศการาม เมืองปาฏลีบุตร เพื่อสอบความรู้ และทิฏฐิ ทำให้พระปลอมถูกจับสึกจำนวนมากถึง 60,000 รูป
และนำไปสู่การสังคายนาครั้งที่ 3 ซึ่งใช้เวลานานกว่า 9 เดือนเพื่อกรองสิ่งแปลกปลอมออกจากพระธรรมคำสอน และกำหนดแนวปฏิบัติตามพระวินัยให้ชัดเจน
จากนั้นจึงส่งพระเถระ 9 รูป ไปประดิษฐานพุทธศาสนาในดินแดนต่างๆ รวมถึงการส่งพระโสณเถระ และพระอุตตรเถระให้เดินทางมายังสุวรรณภูมิของเรา
“กามราคะ” และ “ลาภสักการะ” ยังคงเป็น 2 ปัจจัยใหญ่ที่นำสู่ความเสื่อมไม่ว่าจะในปัจจุบัน หรือเกือบ 200 ปีที่ไทย หรือกว่า 2,200 ปีในอินเดีย
และปฏิเสธไม่ได้ว่าการถือกำเนิดของ “ธรรมยุต” เป็น “ตัวกระตุ้น” ให้เกิดการเปลี่ยนแปลงวัตรปฏิบัติของคณะสงฆ์ไทยโดยรวมให้อยู่ในกรอบแห่งพระธรรมวินัยโดยเคร่งครัดมากขึ้นทั้งในฝั่งธรรมยุต และมหานิกาย
แต่เมื่อเวลาผ่านไปความประมาทก็นำความเสื่อมมาเยือนทั้ง 2 นิกายโดยเสมอภาคเช่นกัน
ความปราดเปรื่องของธรรมยุติกนิกายตั้งแต่แรกก่อตั้ง คือทำให้การเปลี่ยนแปลงเป็นรูปธรรม เห็นได้ชัด สัมผัสได้ ตั้งแต่เรื่องพื้นฐานทั่วไป เช่น การห่มจีวรให้รัดกุม กิจกรรมประจำวันอย่างการทำวัตรเช้า วัตรค่ำ การแสดงธรรมเทศนาในวันพระ ไปจนถึงการปฏิบัติเฉพาะของพระ เช่น ระเบียบการกราบไหว้ กิริยามารยาท การวางตัวในที่สาธารณะ การสวดมนต์โดยต้องเข้าใจความหมาย การศึกษาพระปริยัติธรรมอย่างลึกซึ้ง การฝึกสมาธิโดยเข้าใจเหตุผลที่ปฏิบัติไม่ใช่แค่ทำตามรูปแบบ ตลอดจนออกแบบพิธีการที่สำคัญ เช่น กฐิน เวียนเทียน และเทศกาลต่างๆ
การเปลี่ยนแปลงที่เห็นได้ชัด จับต้องได้ มีเหตุมีผล ทำให้คนเข้าใจ และช่วยพลิกฟื้นคืนศรัทธาได้อย่างมีประสิทธิผล
ปรากฏการณ์ที่สั่นสะเทือนศรัทธาพุทธศาสนิกชนในปัจจุบันเป็นสัญญาณว่าถึงเวลาแห่งการปรับเปลี่ยนขนานใหญ่ในวงการสงฆ์ไทยอีกครั้ง โดยไม่อาจเป็นการเปลี่ยนแปลงแบบคอสเมติก คือเปลี่ยนแบบผิวเผินเพียงแค่ตกแต่งหน้าตาให้น่าดูเท่านั้น หากแต่ต้องเปลี่ยนแปลงให้ลึกลงถึงแนวคิด และวิถีปฏิบัติที่ไม่เพียงแต่ต้องอธิบายได้ว่าเปลี่ยนจากอะไรเป็นอะไรเพราะอะไร และต้องเป็นการเปลี่ยนที่พุทธศาสนิกชนเห็นได้ สัมผัสได้ และเข้าใจได้ว่าเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้นอย่างไรด้วย
หากจะกอบกู้สถานการณ์ที่เพลี่ยงพล้ำให้กับพุทธศาสนาในปัจจุบัน ธรรมยุตที่อยู่มานานเกือบ 200 ปี จะค่อยๆ เปลี่ยนจากธรรมยุต 1.0 เป็น 2.0 เป็น 3.0 น่าจะไม่ทันกาล ต้องเปลี่ยนแปลงแบบก้าวกระโดด เพื่อให้เท่าทันกับโลกปัจจุบันที่ขับเคลื่อนด้วย AI
เราต้องการ “ธรรมยุต 5.0” เพื่อตอบโจทย์โลกสมัยใหม่ และวิถีของคนเจนใหม่ๆ อย่างเจนวาย เจนซี เจนอัลฟา และเจนเบตา ที่กำลังจะตามมาในอนาคต
https://www.matichon.co.th/weekly/column/article_853096