วันจันทร์, สิงหาคม 11, 2568

เราควรมีทักษะอะไรบ้าง เพื่อสร้างสังคมที่สันติ และเราจะใส่ทักษะนั้นลงไปในพลเมืองของเราได้อย่างไร ลองฟังความเห็นของ อ.พัทธ์ธีรา นาคอุไรรัตน์ ผู้สอนวิชา ‘สังคม สงคราม และสันติ’ ที่กำลังเป็นคอร์สนิยมของนักศึกษามหาวิทยาลัยมหิดล


ที่มา The Kommon

เป็นไปได้หรือเปล่าที่จะมีสังคมที่ปราศจากความรุนแรง

มีนะ แต่ว่าจำชื่อไม่ได้ว่าอยู่ที่ไหนบ้าง แต่มีในโลกนี้ อยากให้ไปดูของ Nonkilling network เป็นเซนเตอร์ที่อาจารย์ เกลน ดี. เพจ (Glenn D. Paige) ตั้งขึ้น แล้วก็มีการสํารวจว่าในโลกใบนี้มีกี่แห่งที่เป็นสังคมที่ไม่มีความรุนแรงเลย แต่พอดีว่าแนวทางของ Nonkilling เรายังเอามาใช้สอนน้อย ตอนนี้ที่เราสอนอยู่จะมีของโยฮัน กัลป์ตุงเรื่องการวิเคราะห์ความรุนแรง กับของ จอห์น พอล เลเดอรัค (John Paul Lederach) ที่ทำเรื่องแปรเปลี่ยนความขัดแย้ง แต่จริงๆ Nonkilling network เป็นอีกหนึ่งสายของสันติภาพศึกษาในโลกที่น่าสนใจมากเพราะเขาจะมีเรื่อง Nonkilling education คือการศึกษาที่ไม่ฆ่า ไม่ปลูกฝังวัฒนธรรมความรุนแรง และไม่นําไปสู่การฆ่าใดๆ มี Nonkilling communication การสื่อสารที่ไม่ฆ่าที่มีหลากหลายแขนง มี Nonkilling Engineering วิศวกรรมไม่ฆ่า

อย่าลืมนะวิศวกรรมแห่งการฆ่าอยู่ที่ไหน ใหญ่สุด วิศวกรรมที่ทำให้เกิดการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ขนาดใหญ่อยู่ที่ไหน ค่ายเอาช์วิซ ซึ่งเราก็มาคุยกับนักศึกษาพวกเด็กวิศวะบางทีเขาก็ไม่รู้ว่าเรียนวิชานี้เอาไปใช้อะไร คุณเคยรู้มั้ยว่าในค่ายเอาช์วิซ คนที่ออกแบบห้องรมแก๊ส พอรมแก๊สเสร็จจะมีกระดูกที่มันไม่หมดใช่มั้ย เขาจะต้องส่งไปที่เตาเผาเพื่อให้มันเป็นผงแล้วถึงจะถีบลงแม่น้ำไรน์ไป ใครเป็นคนออกแบบ ไม่ใช่วิศวะเหรอ

มันเป็นอีกหลายศาสตร์ที่ควรเอามาคุยกัน แต่เราเอามันมาแปะไว้ในวิชาของเราเพราะว่าถ้าสอนทั้งหมดสงสัยต้องเปิดอีกวิชาหนึ่ง แต่มันน่าสนใจเพราะว่าในโลกใบนี้มีหมู่บ้าน มีชุมชนที่ไม่ฆ่า ที่ไม่มีการใช้ความรุนแรงจริงๆ แล้วก็ตัวเลขนี้น่าจะประมาณ 2015 มีเป็นพันแห่งทั่วโลกซึ่งเครือข่ายนี้เป็นคนเก็บ

มีสงครามที่ชอบธรรมหรือเปล่า

มีด้วยเหรอ?

ไม่รู้?

จริงๆ ในทางทฤษฎีก็มีแหละ แต่ว่ามันก็เป็นดีเบตใหญ่เพราะเงื่อนไขของการกระทำสงครามที่เป็นธรรมได้ก็คือประเมินแล้วว่าเป็นทำเพื่อป้องกันตนเอง มีเหตุผลในเชิงจริยธรรมรองรับ อันนี้เป็นเรื่องเหตุผลเชิงจริยธรรมทั้งนั้นเลย และต้องประเมินแล้วว่าจะสงบศึกได้ในระยะเวลาอันสั้นคือต้องชนะ ทีนี้มันก็ต้องกลับไปย้อนดูไงว่ามีอันไหนบ้างที่เข้าข่าย มีเกณฑ์หลักๆ อย่างน้อย 3 เกณฑ์

แล้วคนที่มีกําลังน้อยกว่า ถ้าถูกรุกรานจะทำสงครามที่ชอบธรรมได้ยังไง

นี่ไงมันก็เลยเป็นดีเบตที่นักวิชาการเขาก็เถียงกันอยู่ คําถามมันก็มาแบบนี้ อย่างเช่นยูเครน รัสเซียใหญ่กว่าตั้งเยอะแยะแล้วบุกมา พอยูเครนป้องกันตัวแต่กําลังน้อย มันก็ยืดเยื้อเรื้อรังยาวนาน ทีนี้ความชอบธรรมหมดหรือยัง หรือจริงๆ ยังมีความชอบธรรมอยู่ แล้วใครจะเป็นคนเข้าไปช่วยเพื่อให้สงครามนี้ยุติลงได้ อันนี้ก็เป็นคําถามใหญ่ซึ่งยังไม่มีใครลุกขึ้นมาให้คําตอบ เป็นดีเบตใหญ่มากของสงครามที่เป็นธรรม

เราก็เห็นอยู่ว่ายูเครนเสียเปรียบ ถ้าเป็นสักห้าหกสิบปีที่แล้วคิดว่า NATO หรือว่าสหประชาชาติอาจจะมีพาวเวอร์หรือมีฉันทามติที่จะเข้าไปช่วย แต่ว่าอย่าลืมนะเงื่อนไขมันเปลี่ยนหมด สมาชิกของ NATO เองก็ง่อนแง่น แล้วสมาชิกของ NATO เองก็ไม่รู้จะสู้อะไรกับรัสเซียเหมือนกัน หรือสหประชาชาติเองแค่รัสเซียหรือจีนวีโต้ก็ไปไม่ได้เลยที่จะเอากองกำลังของสหประชาชาติไปช่วยยูเครน เพราะฉะนั้นอันนี้มันเป็นคําถามเชิงจริยธรรมใหญ่มากกับคนที่คิดว่าควรจะต้องมีส่วนเกี่ยวข้องกับการเข้าไปช่วยยูเครนสงบศึก

เคสในบอสเนียเฮอร์เซโกวีนาที่มีการรบกันในซาลาเยโวที่มีเซิร์ฟ โครแอต บอสแนก ที่ร่วมกันในยุคสโลโบดัน มิโรเซวิช ก็เป็นคําถามเหมือนกันว่าสหประชาชาติน่าจะยกกองกําลังเข้าไปยับยั้งเร็วมากกว่าที่จะปล่อยให้ความเสียหายเกิดขนาดนั้น แต่สุดท้ายก็มีการเถียงกันว่าถ้าสหประชาชาติเข้าไปจะมีความชอบธรรมที่จะช่วยเข้าไปหยุดยั้งเพื่อไม่ให้ความเสียหายเกิดขึ้น แต่ก็ช้า มันก็กลายเป็นดีเบตเรื่องของจริยธรรมแล้วก็ความชอบธรรมที่จะเข้าไป จังหวะไหนที่ควรจะเข้า ตัดสินใจเข้าช้าไปก็สูญเสียความชอบธรรมเหมือนกัน

หรือกรณีของรวันดาก็เช่นกันในร้อยวันแรกจริงๆ มีข้อมูลแล้วนะ แต่สหประชาชาติก็ช้าที่จะเข้าไป มันเลยกลายเป็นการตั้งคําถามว่าถ้าสมมติว่ายกทัพเข้าไปแล้วทำให้คนไม่ต้องลุกขึ้นมาฆ่ากันแปดแสนถึงล้านห้า สหประชาชาติจะมีความชอบธรรมใช่มั้ยในการนําทัพเข้าไป แต่มันก็ไม่เกิด มันก็เลยกลายเป็นประเด็นปัญหาจริยธรรมเรื่องความชอบธรรมซึ่งหาเกณฑ์หาข้อสรุปยากพอสมควร

กรณียูเครน-รัสเซียน่าสนใจที่ว่าใช่มีสื่อไทยที่สร้างให้รัสเซียเป็นฮีโร่และมองยูเครนซึ่งเป็นฝ่ายถูกรุกรานเป็นตัวร้ายที่ควรจะยอมแพ้ คุณมองปรากฏการณ์นี้ยังไง

มันต้องกลับไปถามเลยนะที่คนไทยนิยมเสพสื่อแบบนั้นเพราะเราชินกับการเสพความรุนแรงหรือเปล่า เราอยู่ในสังคมที่ชินกับการถูกใช้ความรุนแรงตลอดหรือเปล่า ทําไมพูดแบบนี้ ชวนคิดอย่างนี้นะดูหนังดูละครใช่มั้ย ดูละครจักรๆ วงศ์ๆ ด้วยใช่มั้ย สังคมไทยมีหนังมีละครแบบนี้ที่เด็กเขาถึงได้ หนังจักรๆ วงศ์ๆ คือตัวผลิตสร้างความรุนแรงทำให้เราคุ้นชินกับวัฒนธรรมความรุนแรง ละครไทยตบจูบ พระเอกข่มขืนนางเอกแล้วไม่เคยถูกจับ ทำอาชีพอะไรก็ไม่รู้ลอยไปลอยมา แต่ว่าได้รับการเคารพสรรเสริญ วัฒนธรรมที่ทำให้เห็นชายเป็นใหญ่ วัฒนธรรมที่ทำให้เห็นคนมีอำนาจเป็นใหญ่ คนมีเงินเป็นใหญ่ คนที่มีเครื่องแบบเป็นใหญ่ ซึ่งเป็นวัฒนธรรมความรุนแรง

พอเราเห็นแบบนี้มันง่ายมากเลยนะกับคนไทยที่จะเข้าข้างฝ่ายที่ใหญ่กว่าจะชนะ ถูกมั้ย เพราะเราถูกหล่อหลอมมาแบบนั้นใช่ปะ เราก็เสพแต่สื่อแบบนี้ แล้วตั้งแต่เด็กละครจักรๆ วงศ์ๆ พระเอกมีเมียกี่คนก็ได้ไม่เคยผิด มีทิ้งมีขว้าง มีแล้วรับผิดชอบหรือไม่รับผิดชอบก็ได้ไม่เป็นไร แล้วถามว่าเด็กจะไม่คุ้นชินกับความรุนแรงเหรอ เขาก็คิดว่าสิ่งเหล่านั้นเป็นสิ่งที่ถูกต้อง พอมาเจอกรณีรัสเซียบุกยูเครนซึ่งคล้ายๆ เป็นยักษ์ไปลุยมด คุณก็แยกแยะไม่ได้ มันแสดงว่าสังคมนี้เสพความรุนแรงเสียจนแยกไม่ได้ว่าอะไรคือสิ่งที่ควร อะไรคือสิ่งที่ไม่ควร

มันเป็นคําถามกลับมาเรื่องจริยศาสตร์ของสังคมไทยเหมือนกันว่า เฮ้ย เราชินกับความรุนแรงจนไม่ตั้งคําถามเลยใช่ไหม เราถูกกล่อม ถูกล้างสมองจนเราโปร เราชื่นชมกับผู้ชนะ แต่เราไม่เคยเห็นอกเห็นใจคนตัวเล็กตัวน้อย แล้วมันก็สะท้อนภาพของสังคมนี้จริงๆ ประเด็นนี้เราคุยกันในห้องเรียน นักศึกษาบอกว่าเขาก็แทบจะไม่ได้มองมุมนี้อย่างที่เรามองว่านี่ไงเพราะว่าครูก็โตมาแบบนี้ แล้วนักศึกษาเองก็ไม่ได้เรียนรู้ประวัติศาสตร์สงครามหรือในแบบเรียนสมัยมัธยมเลย โดยเฉพาะสายวิทย์น้อยมากเลยที่จะมีโอกาสมานั่งวิเคราะห์กรณีแบบนี้ว่าเกี่ยวข้องและสำคัญยังไงกับชีวิต

เพราะฉะนั้นห้องเรียนทุกสัปดาห์ คุณมีหน้าที่ต้องดูข่าวสารบ้านเมืองและเอามาวิเคราะห์เพื่อให้เห็นว่าเกิดอะไรขึ้น มันเกี่ยวกับคุณยังไง อะไรเป็นเหตุผลักดันให้เกิด เราก็วิเคราะห์หมด หนัง ละคร ก็มอบหมายให้นักศึกษาดูหนัง ดูละคร แล้ววิเคราะห์มาว่าดูสิ ขนาดในหนัง ในละคร ยังสะท้อนสังคมได้ขนาดนั้น เรื่องความเป็นธรรม การใช้ความรุนแรง การละเมิดสิทธิของ LGBTIQ+ ก็จะเห็นแหละ ละครไทยคนข้ามเพศก็เป็นได้แค่ตัวตลก คนรับใช้ เป็นอีสาน เป็นอะไรที่ไม่ได้เป็นตัวเอก ไม่ได้เป็นนางเอก ไม่ได้เป็นพระเอกของเรื่อง

ความรุนแรงไม่ใช่แค่เห็นว่ามันเป็นสงคราม แต่ความรุนแรงก็ทำต่อคนด้วย มันมีมิติเรื่องเพศเข้ามาเกี่ยว แล้วมิติเรื่องเพศก็ซับซ้อน มันมีความซ้อนทับเรื่องอัตลักษณ์ใช่ไหมล่ะซึ่งมันเป็นอัตลักษณ์อื่นที่ไม่ได้เป็นอัตลักษณ์กระแสหลักของสังคมไทยที่เราปลูกฝังกันมา พวกนี้ก็ชวนนักศึกษาคิดว่าเพราะอะไร แล้วเชื่อมโยงไปถึงเรื่องว่าทําไมคุณไปโปรรัสเซีย


เหตุผลคือยูเครนกําลังจะเป็นเครื่องมือของ NATO ซึ่งเป็นเครื่องมือของสหรัฐฯ แล้วจะมีการติดตั้งขีปนาวุธ ซึ่งรัสเซียมองว่าเป็นภัยคุกคามจึงจำเป็นต้องป้องกันตัวเองก่อนมันฟังขึ้นมั้ย

ฟังไม่ขึ้น แต่ทําไมเป็นสหรัฐ อันนี้ต้องบอกเลยว่าประเทศไทยคนส่วนหนึ่งก็มีทัศนคติเชิงลบกับสหรัฐอเมริกา มีทัศนคติเชิงลบกับหลายๆ ประเทศที่ทำเรื่องสิทธิมนุษยชน เรื่องความเป็นธรรม เพราะสังคมไทยไม่เคยถูกสอนให้เข้าใจเรื่องพวกนี้ หัวข้อหนึ่งที่เราตั้งคําถามกับนักศึกษาและไปอบรมข้างนอกคือคุณเคยได้ยินมั้ยว่าสังคมไทยไม่เหมาะกับเรื่องสิทธิมนุษยชนหรอก นักศึกษาบางคนบอกว่าเคยได้ยิน หลายคนไม่เคยได้ยิน

แต่ถ้าไปถามคนข้างนอกนะ ไปถามพวกผู้หลักผู้ใหญ่เวลาไปอบรมคนข้างนอก เขาก็ได้ยิน แล้วก็ใช่ เห็นด้วยเพราะว่าสิทธิมนุษยชนเป็นเรื่องที่อเมริกาเข้ามาแทรกแซงประเทศไทย อันนี้คือ bias นี่คือสิ่งที่สังคมไทยไม่ได้สอนเรื่องสันติศึกษา สิทธิมนุษยชนศึกษา มันเพิ่งมาบูมเอาประมาณแค่ 10 ปีนี้ที่เด็กๆ ได้รู้จัก แล้วมันก็ง่ายมากเลยที่พอพูดถึงอเมริกาปุ๊บ พูดถึงยุโรปปุ๊บ พูดถึงเรื่องสิทธิมนุษยชนปุ๊บก็เป็นแบบนี้ หรืออีกคําถามหนึ่งก็คือคนเราจะเท่ากันได้ยังไง ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์เสมอกันคุณเชื่อหรือไม่ มันก็จะมีคําพูดขึ้นมาประมาณว่าคนจะเท่ากันได้ยังไง นิ้วมือยังไม่เท่ากันเลย แล้วที่ไหนได้ยินที่ไหนบ่อยสุดรู้ไหม

ที่ไหน?

พระ เวลาไปอบรมพระคํานี้มาก่อนเลย พระนี่หนักสุด อีกวงหนึ่งก็คือทหาร พระจะบอกโยมดูสินิ้วมือยังไม่เท่ากันเลย แล้วเราก็ต้องถามย้อนกลับไปว่าแล้วนิ้วมือที่มาประกอบกันมันทำให้มืออยู่ได้ ทำงานได้ หยิบจับนู่นนี่นั่นได้ใช่หรือไม่ หลายคนก็ยังเถียงกันอยู่ ก็ขึ้นอยู่กับวาสนา อันนี้มันเป็นความเชื่อฝังหัวไง เพราะฉะนั้นมันง่ายมากกับมายาคติชุดนี้ที่จะถูกส่งไปแล้วคนไทยจะรับได้ มันไปเชื่อมกับเรื่องสิทธิมนุษยชน เชื่อมกับการกลัวคนอื่นโดยเฉพาะอเมริกา

ไปดูสื่อกระแสหลัก ด่าใคร พอมีประเด็นเรื่องสิทธิมนุษยชน อเมริกามาก่อนเพื่อนเลย แต่ไม่เคยรู้เลยว่าตอนที่ประกาศปฏิญญาสิทธิมนุษยชนปี 1948 ไทยเป็นหนึ่งใน 48 ประเทศที่ร่วมด้วย มายาคติหรือความไม่รู้ในเรื่องเหล่านี้มันสูง ในห้องเรียนเวลาเราสอนเด็กรุ่นใหม่หรือนักศึกษาที่สอนอยู่อาจจะไม่ยากนักในการพูดเรื่องนี้ มันเป็นชุดคุณค่าสากลที่เข้ามาใหม่ ที่เอามาใช้ว่าคนตัวใหญ่ไม่ควรรังแกคนตัวเล็กเพราะมันเกี่ยวกับหัวข้อปรัชญาความเป็นธรรมที่เราสอนในห้องเรียนด้วย เราสอนเรื่องปรัชญาความเป็นธรรมว่า เอ๊ะ เราจะทำยังไงให้คนที่ดูไม่เท่ากัน จะ empower ยังไงให้คนเสมอกัน

หรืออีกคําหนึ่งที่นักศึกษารู้จักมาก เข้าใจได้ง่ายก็คือรัฐสวัสดิการ แต่พอไปพอพูดปรัชญาเรื่องความเป็นธรรมซึ่งก็หนึ่งองค์ประกอบหลักของสิทธิมนุษยชน มนุษย์เท่ากันและเสมอหน้ากันโดยทางกฎหมายและโดยฐานะของการเกิด ความเป็นมนุษย์เสมอภาคเท่ากัน ทีนี้ก็มีข้อถกเถียงว่า อ้าว แล้วทําไมบางคนเกิดมาไม่เท่ากัน แล้วทำไงจะให้เท่ากันก่อน แต่เขาเป็นมนุษย์หรือเปล่าล่ะ ก็เป็นเท่ากันใช่มั้ยคะ

ทีนี้องค์ประกอบหลักของสิทธิมนุษยชนเมื่อเทียบกันกับเรื่องสันติภาพ สันติภาพจะไม่มีทางเกิดขึ้นได้ถ้าไม่มีความยุติธรรม ไม่มีความเป็นธรรม เพราะฉะนั้น peace มาพร้อมกับ justice ดังนั้น สันติภาพ ความยุติธรรม และสิทธิมนุษยชนมันไปด้วยกัน ทีนี้ในสังคมที่เป็นประชาธิปไตยเยอะหน่อยคําพวกนี้ก็จะคุ้นชิน จะเข้าใจง่ายหน่อย แต่ถ้าในสังคมที่เป็นเผด็จการหรือเป็นสังคมที่เป็นอำนาจนิยมมันก็จะยาก มันก็จะถูกโยนบาปให้กับใครสักคนเสมอ

สันติในขอบเขตที่คุณสอนหมายถึงอะไร

เราก็ถามนักศึกษาก่อนว่าในความหมายของเขาเข้าใจว่ายังไง แต่ว่ามันก็มีแกนของมัน เช่น สันติที่แท้จริงคือสภาวะที่มนุษย์มีเสรีภาพเต็มที่และปราศจากความกลัว กลัวแม้กระทั่งว่าจะอดตาย กลัวแม้กระทั่งว่าจะไม่มีเสรีภาพ พวกนั้นเป็นสภาวะที่บอกได้เลยว่ายังไม่มีสันติภาพ แต่คุณจะมีสันติจริงๆ คุณก็ต้องมีความภาคภูมิใจในตัวเอง มีศักดิ์ศรี มีชีวิตที่ไม่ต้องกลัวว่าใครจะมาอุ้มรุมทำร้ายคุณ ความต้องการพื้นฐานของคุณได้รับการเติมเต็ม อันนี้คือสันติภาพ แล้วก็มีความเป็นธรรมด้วย ขณะเดียวกันก็ไม่ไปเบียดเบียนคนอื่น สันติภาพมาพร้อมกับสิทธิ ความภาคภูมิใจ เสรีภาพ แล้วก็สามารถใช้ศักยภาพของตัวเองได้เต็มที่ในการพัฒนาตนเอง

มีสันติภาพที่ไม่ชอบธรรมหรือเปล่า

มี ก็วาทกรรมหลักเลย รักสงบจบที่ลุงตู่ อันนั้นน่ะสันติภาพที่ไม่ชอบธรรม เพราะมันเป็นการกดทับอันอื่นๆ ไว้ข้างล่าง หรือเหมือนที่ชายแดนใต้ตอนนี้ก็บอกว่าสันติแล้วเพราะว่าสถิติความรุนแรงน้อยลง แต่ผู้คนน่ะไม่ได้รับความเป็นธรรมเต็มไปหมด อันนี้ไม่ชอบธรรม พูดให้ถึงที่สุดก็คือยังไม่มีสันติภาพที่แท้จริง เพราะคุณกลบไว้ตั้งเยอะแยะ ถูกไหม มันไม่ได้มีสันติภาพที่แท้จริงและมีความกลัวอยู่เยอะมาก เพราะฉะนั้นสันติภาพที่ไม่เป็นธรรมเห็นได้ง่ายมากโดยเฉพาะในสังคมที่เป็นเผด็จการ

สันติภาพไม่ได้แปลว่าสภาพที่ไร้สงคราม

ไร้สงคราม ต้องไร้ความรุนแรง

แต่ก็มีอย่างอื่นที่ต้องใส่เข้าไปอีก?

ใช่ ถูกต้อง ไม่ใช่ว่าไม่มีสงครามแล้วจะบอกว่าเป็นสันติภาพ ไม่มีสงครามร้อนคือสงครามทางกายภาพ แต่มีความอยุติธรรมเต็มไปหมดจะเรียกว่าสันติภาพได้ยังไง ใช่มั้ย อย่างตอนนี้ทําไมเราถึงบอกว่าสังคมไทยไม่มีสันติภาพ คุกเราแน่นสุดในเอเชีย เป็นอันดับ 6 ของโลก มีคนที่ถูกจับกุมคุมขังโดยที่ยังไม่ได้พิสูจน์ถูกผิดเต็มไปหมดเลย แล้วก็มีแพะอยู่ในคุกเต็มไปหมดเลย นี่คือดัชนีชี้วัดอันหนึ่งนะ ถามว่าในสังคมมีสงครามมั้ย

ไม่มี

เออ แต่แน่นคุกเลย มันย้อนแย้งกันมั้ย หรือไปดูสิ ว่าเสรีภาพของนักวิชาการพูดอะไรได้บ้าง อาจารย์ยุกติ (มุกดาวิจิตร) โดน 112 สันติภาพมั้ย มีสงครามมั้ย ก็ไม่มี แต่ว่าองค์ความรู้เอย เสรีภาพในการพูดเอย เสรีภาพในการเรียนการสอน ในการเขียนงานวิชาการมีมั้ย เรายังมีวิทยานิพนธ์ที่ถูกปกปิด10 ปีเต็มไปหมดเลยในลิสต์ของห้องสมุดหลายๆ แห่งแทบทุกมหาวิทยาลัยเลย อันนี้คือตัวชี้วัดอันหนึ่ง

แล้วไปดูตัวชี้วัดที่นานาชาติวัด Freedom House เขาก็วัดเรานะว่าเสรีภาพในประเทศไทยมีมากน้อยแค่ไหน เพราะเสรีภาพเป็นตัวชี้วัดอันหนึ่งของสันติภาพ เสรีภาพสื่อก็ตกต่ำ คะแนนเต็ม 100 คะแนน ประเทศไทยได้อยู่ 30 คะแนน ต่ำกว่าเนปาล หรือว่าดัชนีความเหลื่อมล้ำทางรายได้ การมีความเหลื่อมล้ำอยู่หมายความว่ามีความอยุติธรรมอยู่ และยิ่งกว้างก็แสดงว่าคนรวยมีโอกาสมากขึ้น คนจนถูกทิ้งมากขึ้น แล้วจะมีสันติภาพได้ไง เราให้นักศึกษาไปช่วยกันค้นว่าตอนนี้ดัชนีเราไปถึงไหน ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวคุณจะบอกว่าเราพูดโดยไม่มีข้อมูล เราทำ peace survey ในพื้นที่ชายแดนใต้ แล้วมีคนอื่นทำดัชนีสันติภาพในประเทศไทย เราก็เอามาจับคู่กัน มันก็ตรงกับที่นานาชาติเขาวัด ดัชนีเรื่องสิทธิมนุษยชนบ้านเราแย่



คุณคิดว่ามีทักษะอะไรบ้างที่เราควรมีเพื่อสร้างสังคมที่สันติ แล้วเราจะใส่ทักษะนั้นลงไปในพลเมืองของเราได้อย่างไร

จริงๆ ทำอยู่ในวิชาเนาะ ก็คือเราเอาทักษะเรื่อง active citizenship มันจะ active เฉยๆ ไม่ได้นะ มันต้องเป็น active democratic citizenship อย่าทิ้งคำว่า democratic หายไปหนึ่งคําไม่ได้เลย เพราะไม่อย่างนั้นมันอาจจะไป active แบบอื่นที่อาจจะเป็น active ในเรื่องการฆ่ากันก็ได้หรือไปปลุกปั่นปลุกระดมมาดักตีหัวคนที่คิดต่างกับตัวเองก็ได้ เพราะฉะนั้นก็จะเอาคําว่า active democratic citizenship ไปด้วยกัน หมายความว่าเราต้องใส่ทั้งการไหวรู้เท่าทันในเรื่องวัฒนธรรมประชาธิปไตย

วัฒนธรรมประชาธิปไตยที่ต้องสอนไปด้วยกันคือไม่ใช้ความรุนแรง เคารพสิทธิผู้อื่นเสมอตัวเอง ฟังเสียงคนอื่น เคารพกันและกัน เห็นคนเป็นคนเสมอกัน อันนี้คือความคิดหลักที่จะต้องใส่ให้นักศึกษาได้เรียนรู้แล้วก็เอามาอยู่ในชีวิตประจำวัน นี่คือทักษะที่คิดว่าสำคัญมากๆ แล้วทุกคนต้องทำตั้งแต่เล็ก ไม่ใช่แค่ทำตอนโต ทำตั้งแต่เด็กจนตาย เพราะว่าตอนนี้โครงสร้างประชากรประเทศไทยเราเป็น aging society กลุ่มนี้ใหญ่มาก ไม่เคยรู้ ไม่เคยเข้าใจ เพราะฉะนั้นโครงสร้างข้างล่างเด็กจะไปได้ไง มันก็ต้องทำไปด้วยกัน

อีกอันหนึ่งที่ยิ่งเป็นยุคดิจิทัลต้องใส่มากๆ ก็คือทักษะการไหวรู้เท่าทันสื่อสารสนเทศดิจิทัล MIDL หรือ Media Information Digital Literacy ต้องใส่ไปด้วยกันเพราะว่าอะไร คือดูสื่อเสร็จแยกไม่ได้ วิเคราะห์ไม่ได้ว่าอะไรจริงอะไรเท็จ ฟังอันนี้เสร็จแล้วลุกขึ้นไปแอ็กชันโดยไม่รู้เลยว่ากําลังตกเป็นเป้าของใครที่ปลุกระดมเหมือนตอนกระทิงแดง นวพล รับสื่อเสร็จก็ลุกขึ้นไปเลย บอกให้ทำอะไรก็ทำโดยไม่ตั้งคําถาม พวกนี้ต้องไหวรู้เท่าทัน มันเป็นทักษะของศตวรรษที่ 21 ซึ่งเด็กเขาเรียนไป แต่ผู้ใหญ่ไม่ได้เรียนมันก็ไม่ไปด้วยกัน ก็ต้องใส่ไปด้วยกัน

แล้วต้องรู้ด้วยว่า speech แบบไหนที่นําไปสู่ความรุนแรง แบบไหนนําไปสู่การฆ่า แบบไหนนำไปสู่ความเกลียดชัง MIDL มันจะแยกพวกนี้ หัวข้อหนึ่งของวิชานี้คือเรื่อง War and Peace Journalism ผู้เรียนของเรานอกจากมีทักษะไหวรู้เท่าทันแล้วต้องแยกแยะให้ได้ด้วยว่าสื่อไหนเป็นสื่อสงคราม สื่อไหนเป็นสื่อสันติภาพ สื่อสันติภาพจะรณรงค์เรื่อง human rights เรื่อง peace เรื่อง peace culture เรื่องการเคารพซึ่งกันและกัน เรื่องความอดทนอดกลั้น แต่ถ้าเป็นสื่อสงครามจะปลุกระดมและเอามันหรือโฆษณาประชาสัมพันธ์ขายของอย่างเดียว คืออย่างน้อยมี active democratic citizenship กับ MIDL ยังช่วยเบรกวงจรความขัดแย้งรุนแรง ความเกลียดชังได้

อีกอันหนึ่งที่ต้องมีก็คือเรื่อง political literacy การเท่าทันทางการเมือง แล้วต้องกล้าที่จะเผชิญหน้ากับการเมือง อย่าปฏิเสธ คือสังคมไทยเราบอกว่าการเมืองเป็นเรื่องสกปรก ไม่ใช่ การเมืองเป็นเรื่องของเราทุกคน ต้องกล้าที่จะเผชิญหน้ากับมัน แล้วกล้าที่จะพินิจคิดดู รู้ให้เท่าทันด้วยตั้งแต่ในในบ้าน แล้วก็ทักษะเรื่องการไม่ใช้ความรุนแรงอันนี้สำคัญมากและเป็นหัวใจที่คิดว่าสังคมไทยมีน้อยมากจริงๆ เพราะเราชินกับวัฒนธรรมความรุนแรง อย่างเช่นในครัวเรือนนักศึกษามาบ่นบ่อยมาก โดยเฉพาะช่วงปี 2563 เด็กอึดอัดมาก เราเข้าใจนะ นักศึกษาบ่นว่าพ่อแม่จ้องจับผิดว่าจะไปเข้าร่วมแฟลชม็อบมั้ย และมีคําขู่ว่าถ้าไปจะตัดเงิน นี่คือวัฒนธรรมอำนาจ วัฒนธรรมความรุนแรง เด็กก็อึดอัด ถามว่าเขามีความคิดมั้ย มี แล้วเขามีสิทธิเด็กมั้ย มี เขามีสิทธิที่จะแสดงออกซึ่งความคิดเห็นมั้ย มี เขาควรจะมีส่วนร่วมทางการเมือง แต่ในบ้านไม่มีโอกาสถูกมั้ย อันนี้คือวัฒนธรรมที่ไม่มีเพราะพ่อแม่อาจจะไม่มีเรื่อง active democratic citizenship เพราะฉะนั้นเขาก็กลัว ก็ไม่อยากให้ไป

Critical thinking เป็นอีกอันหนึ่ง บอกเลยวิชานี้สอนการตั้งคําถามเชิงวิพากษ์หมด แล้วก็ไม่มีคําตอบเดียวที่สําเร็จรูปตายตัว หลายคําถามนักศึกษาถามมา เราตอบไม่ได้ เราถามเขากลับ ให้เขาช่วยกันคิด เพราะนี่มันคือวิธีการทางปรัชญาที่จะทำให้เราได้คําตอบใหม่ๆ ได้วิธีการใหม่ๆ ในการแก้ปัญหา ซึ่งแน่นอนคําตอบที่มันเคยจริงในยุคสมัยหนึ่งอาจใช้ไม่ได้กับยุคสมัยนี้ มันก็ต้องมีวิธีคิดใหม่ จินตนาการใหม่ มุมมองใหม่ๆ เกิดขึ้นตลอดเวลา เพราะฉะนั้นนี่คือสิ่งที่ต้องท้าทายคนในสังคมนี้ถ้าคุณยึดติดอยู่แต่วิธีการเดิมๆ มันอาจจะใช้ไม่ได้


คุณเคยผิดหวังในสันติวิธีหรือเปล่า

ไม่นะ รู้สึกว่าเราสนุก ท้าทายดี คือเล่าให้นักศึกษาฟังบ่อยมาก อย่างถ้าอ่านงานของ จันทร์จิรา สมบัติพูนสิริ ก็จะเห็นเรื่องหัวร่อต่ออำนาจ หรือมีเรื่องราวเรื่องเล่ามากมายกว่านั้นในเรื่องการคิดหาวิธีที่จะสู้กับพวกเผด็จการอำนาจนิยม เราอ่านเรื่อง The Power of Powerless (The Power of the Powerless: Citizens Against the State in Central Eastern Europe) ของ วาตส์ลัฟ ฮาแว็ล (Vaclav Havel) เขาพูดถึงเรื่องคนตัวเล็กๆ ที่สู้ในยุคเผด็จการในโซเวียตและในยุโรปตะวันออกที่ยังปกครองด้วยคอมมิวนิสต์ คนไม่มีสิทธิเสรีภาพ ทีนี้จะทำยังไงให้คนลุกขึ้นมาแล้วใช้ปฏิบัติการสันติวิธีเพื่อโค่นล้มเผด็จการ ก่อนนี้จะรวมตัวกันเป็นขบวนการ solidarity คนมันก็ลุกขึ้นมาคิดหาวิธีสารพัดที่จะสู้ อย่างเช่นตอนกลางคืนมันหนาวพวกตำรวจก็ขี้เกียจออกมาตรวจ พวกนี้ก็เขียนจดหมายไปเสียบตามตู้ไปรษณีย์ของบ้านแรงงานต่างๆ เพื่อชวนกันมาปฏิบัติการทำอะไรบางอย่างที่จะท้าทายอำนาจเผด็จการ เราก็เชื่อในอำนาจของคนตัวเล็กตัวน้อย เชื่อในความเป็นมนุษย์ว่ามีศักยภาพที่จะคิด ที่จะ connect กัน

เราได้รับอิทธิพลความคิดมาจากการไม่ใช่ความรุนแรงของ ยีน ชาร์ป (Gene Sharp) และจาก จอห์น พอล เลเดอรัค การเป็นเชื้อแป้งยีสต์ critical yeast คือมันมียีสต์ที่เป็นใช่มั้ย มันจะทำให้ขนมปังฟู แต่ถ้าเป็นยีสต์ตายมันก็ไม่ได้เรื่องเนาะ แล้วเราเชื่อมั่นในความเป็น critical yeast แบบนั้น ตัวเราเราก็รู้สึกว่าเรามีไอเดีย มีหนทาง แล้วก็คิดว่าไม่เคยสิ้นหวังกับสันติวิธี มีวิธีการได้สารพัดรูปแบบ มันคือความรุ่มรวยกับความเป็นมนุษย์

สิ่งที่ทำให้มนุษย์ต่างจากสัตว์เวลาเผชิญหน้ากับความขัดแย้งคือมนุษย์คิดได้ ออกแบบได้ จินตนาการได้ว่าจะหาวิธีไหนสู้ เราก็เลยรู้สึกว่ามันท้าทายและสนุก เรียกว่ามันท้าทายกับศักยภาพของความเป็นมนุษย์ คล้ายๆ กับมองเห็นหรือพยายามค้นหาโอกาสที่จะทำอะไรที่ เฮ้ย ลองดูสิวะแบบนี้อาจจะได้เพราะมันจินตนาการสร้างสรรค์ใหม่ๆ อยู่เรื่อย

อ่านบทสัมภาษณ์เต็ม
พัทธ์ธีรา นาคอุไรรัตน์: ‘สังคม สงคราม และสันติ’ ไร้สงครามใช่ว่าสันติ มีสันติใช่ว่าไม่จอมปลอม
https://www.thekommon.co/padtheera-narkurairattana/