วันอังคาร, สิงหาคม 12, 2568

มารู้จัก “Sharp Power” กลไกแทรกแซงกิจการภายในของต่างชาติ ถึงเวลาที่ไทยต้องมีกฎหมายต่อต้านการแทรกแซงจากต่างชาติ ได้แล้วหรือยัง

18 hours ago
·
รู้จัก “Sharp Power อำนาจแทรกซึม”
กลไกแทรกแซงกิจการภายในของต่างชาติ
ใคร ๆ ก็พูดถึง Soft Power แต่จะเข้าใจความหมายที่แท้จริงของมันมากน้อยแค่ไหน
Soft Power คือความสามารถในการสร้างความชื่นชมและดึงดูดใจ เช่น ญี่ปุ่นหลังสงครามโลกซึ่งแม้เคยเป็นจักรวรรดิ แต่กลับได้รับความนิยมในเอเชียและทั่วโลกจากวัฒนธรรมสมัยนิยม
Hard Power วัดจากกำลังทางเศรษฐกิจและการทหาร เช่น จำนวนทหารหรือเรือรบ เป็นความสามารถในการบังคับให้ประเทศอื่นทำตามที่ตนต้องการผ่านอำนาจทางการทหารหรือเศรษฐกิจ เช่น การที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ใช้กำลังต่อรองเพื่อให้ชาติอื่นยอมรับข้อตกลงการค้าที่ไม่เท่าเทียม หรือรัสเซียขู่ใช้สงครามนิวเคลียร์กับยุโรป
คำถามต่อมา ในเมื่อมี Hard Power กับ Soft Power แล้ว Sharp Power โผล่มากจากไหนอีก
Sharp Power คือ การบิดเบือนและควบคุมข้อมูลที่ผู้คนได้รับอย่างแนบเนียน เพื่อชี้นำมุมมองและทางเลือกโดยที่พวกเขาอาจไม่รู้ตัว เป็นการใช้อุบายลับและอารมณ์ความรู้สึกเพื่อกำหนดวิธีคิด การตัดสินใจ และการกระทำของประเทศเป้าหมาย
กล่าวคือ ขณะที่ Hard Power คือ อำนาจทางทหารและเศรษฐกิจ Soft Power คือ อำนาจทางวัฒนธรรมและภูมิปัญญา แต่ Sharp Power คือ อำนาจแทรกซึมที่ค่อย ๆ เปลี่ยนความคิดความเชื่อของผู้คนให้เห็นพ้องตามประเทศผู้ใช้อำนาจนั้นอย่างเงียบ ๆ โดยไม่รู้ตัว
สายลับอิทธิพล (Agent of Influence) ก็เป็นอีกหนึ่งเครื่องมือของการใช้ Sharp Power อย่างมีประสิทธิภาพ
แล้ว Soft Power กับ Sharp Power แตกต่างกันยังไง แบบไหนที่เรียกแผ่อิทธิพล แบบไหนที่เรียกแทรกซึม
Joseph Nye นักวิชาการผู้บัญญัติคำว่า Soft Power อธิบายว่าความแตกต่างอยู่ที่ “ความจริงและความโปร่งใส” เช่น หากสำนักข่าวซินหัวดำเนินงานอย่างเปิดเผยในต่างประเทศ นั่นคือ Soft Power
แต่ถ้า China Radio International แอบสนับสนุนสถานีวิทยุ 33 แห่งใน 14 ประเทศ หรือถ้าตุรกีเผยแพร่ทฤษฎีสมคบคิดต่อต้านตะวันตกและข้อมูลเท็จ นั่นคือ Sharp Power
โดยสรุป อำนาจแทรกซึม (Sharp Power) คือ การทำงานลับเพื่อหวังผลแทรกแซงกิจการภายในของต่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็นการกำหนดผลการเลือกตั้ง การปราบกลุ่มเห็นต่าง (กับประเทศผู้ใช้อำนาจ) การหล่อหลอมความคิดผู้คนให้โน้มน้าวตามผลประโยชน์ของประเทศผู้ใช้อำนาจ
Keyword สำคัญคือ เราจะไม่อาจรู้ได้ว่า อำนาจแทรกซึม กำลังทำงานอยู่ ยกเว้นแต่ต้องการมีการสืบสวน และหน่วยข่าวกรองมักจะมีส่วนในการใช้อำนาจประเภทนี้ในต่างประเทศ
เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว เจ้าหน้าที่ออสเตรเลียได้จับกุมหญิงคนหนึ่งในข้อหาการแทรกแซงจากต่างชาติ หญิงคนดังกล่าวเป็นพลเมืองจีนและพำนักอยู่ในเมืองแคนเบอร์รา โดยเธอเป็นเพียงบุคคลที่สามที่เคยถูกตั้งข้อหาภายใต้กฎหมายว่าด้วยการแทรกแซงจากต่างชาติของออสเตรเลีย
ตามรายงานของสำนักงานตำรวจกลางออสเตรเลีย (AFP) เธอถูกกล่าวหาว่ารวบรวมข้อมูลและอาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับความพยายามแทรกซึมเข้าไปในสมาคมพุทธกวนอิมฉือถ่า (Guan Yin Citta Buddhist association) ซึ่งเป็นกลุ่มที่ถูกห้ามในจีน เนื่องจากรัฐบาลจีนมองว่าเป็นลัทธิอันตราย
แม้เรื่องนี้อาจดูเหมือนเป็นเรื่องเล็ก เพราะไม่ได้เกี่ยวข้องกับความลับทางการทหารหรือผู้นำทางการเมือง แต่เป็นเพียงชุมชนขนาดเล็กและไม่ค่อยมีคนรู้จัก ทว่าประเด็นนี้กลับมีความสำคัญ เพราะมันสะท้อนให้เห็นว่าพรรคคอมมิวนิสต์จีนให้ความสนใจอย่างยิ่งต่อชุมชนชาวจีนพลัดถิ่นในออสเตรเลีย และพร้อมจะละเมิดกฎหมายออสเตรเลียเพื่อควบคุมและชี้นำชุมชนเหล่านี้ให้สอดคล้องกับผลประโยชน์ของปักกิ่ง
กรณีนี้ยังชี้ให้เห็นถึงวิธีที่ระบอบอำนาจนิยมใช้สิ่งที่เรียกว่า Sharp Power แฝงการบงการเพื่อทำมากกว่าการสอดแนม คือการติดตาม คุกคาม และควบคุมชุมชนที่อยู่นอกพรมแดนของตน
นี่คือวิธีการทำงานของ Sharp Power ซึ่งมีเป้าหมายเพื่อกำหนดเรื่องเล่าในสังคม สร้างความแตกแยก และบั่นทอนความสามารถของประเทศเป้าหมายในการตัดสินใจอย่างอิสระและมั่นใจ
คดีสอดแนมในแคนเบอร์ราสะท้อนว่าปักกิ่งสามารถแทรกแซงความเห็นโดยการแทรกซึมองค์กรชาวจีนท้องถิ่น ควบคุมข้อมูล และระดมกำลังคนเพื่อผลประโยชน์ทางการเมืองของตน รัฐเผด็จการบางแห่งยังมองว่าชุมชนพลัดถิ่นที่มีเชื้อชาติ ศาสนา หรือวัฒนธรรมร่วมกับตนในตะวันตก เป็นส่วนหนึ่งของสังคมชาติและพยายามควบคุมพวกเขา
มหาวิทยาลัยในออสเตรเลียก็เป็นเป้าหมายของอำนาจแทรกซึมจากจีนเช่นกัน นักวิชาการที่วิจารณ์การปราบปรามทิเบต ชาวอุยกูร์ และนักเคลื่อนไหวประชาธิปไตยฮ่องกง เคยถูกกดดันจากกลุ่มนักศึกษาที่สอดคล้องกับผลประโยชน์รัฐจีน
สื่อภาษาจีนในออสเตรเลียก็ได้รับอิทธิพลจากเนื้อหาที่รัฐจีนควบคุม ทำให้ความหลากหลายทางความเห็นลดลง และกระตุ้นให้ชาวจีนออสเตรเลียยังคงภักดีต่อจีน
จากตัวอย่างเหล่านี้ชัดเจนว่า คดีในแคนเบอร์ราเป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์ต่อเนื่องของอำนาจนิยมหลายประเทศ ที่มุ่งบิดเบือนสภาพแวดล้อมข้อมูล ชี้นำความเห็นสาธารณะ แทรกแซงการเลือกตั้ง กดขี่ชุมชนพลัดถิ่น และมีอิทธิพลต่อประเทศเป้าหมาย
สำหรับไทย กรณีล่าสุดที่หอศิลป์ กทม. ก็สะท้อนได้ดีถึงการกดทับในเสรีภาพทางศิลปะและวิชาการที่เกิดขึ้นในต่างประเทศ เป็นการใช้อำนาจแทรกซึม (Sharp Power) ที่ทำให้ในท้ายที่สุดหลายคนก็ต้องยอมเซ็นเซอร์ตนเอง เพราะเกรงใจจีน หรือทำไปในนามของความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
แต่ขอโทษนะ อุปทูตจีนยังไปงานวันเกิดแม่นักการเมืองที่มีนักการเมืองตัวพ่อไปร่วมงานได้ แบบนี้เรียกว่าแทรกแซงกิจการภายในไหม
ตัวเองทำได้ แต่ห้ามคนอื่นทำโน่นทำนี่ในประเทศของเขาเอง
นี่คือ “แบบแผนและคุณค่าแบบจีน” ที่คนไทยต้องการจริง ๆ หรือ?
ถึงเวลาที่ไทยต้องมีกฎหมายต่อต้านการแทรกแซงจากต่างชาติ (Countering Foreign Interference Act) ได้แล้ว ตอนนี้ญี่ปุ่นกับฝรั่งเศสกำลังผลักดันอยู่
คงไม่ต้องบอกนะว่าสองประเทศนี่ก็กำลังเดือดร้อนเพราะใคร

https://www.facebook.com/thaispycatcher/posts/122166238478449251