วันศุกร์, สิงหาคม 15, 2568

“เขาจะขังเราไว้ทำไม”: หนึ่งปีแห่งชีวิตของ “ทิวากร” ผู้ต้องขังคดี ม.112 ในระหว่างสู้ฎีกา


ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน
13 hours ago
·
“เขาจะขังเราไว้ทำไม”: หนึ่งปีแห่งชีวิตของ “ทิวากร” ผู้ต้องขังคดี ม.112 ในระหว่างสู้ฎีกา
.
.
เมื่อต้นเดือนสิงหาคม 2568 ทนายเข้าเยี่ยม “ทิวากร วิถีตน” เกษตรกรชาวขอนแก่นวัย 49 ปี ที่ถูกคุมขังในทัณฑสถานบำบัดพิเศษขอนแก่น ระหว่างฎีกาในคดีมาตรา 112 หลังจากเมื่อวันที่ 14 ส.ค. 2567 ศาลอุทธรณ์ภาค 4 กลับคำพิพากษาของศาลชั้นต้นที่เคยยกฟ้อง ให้ทิวากรมีความผิดตามมาตรา 112 และ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ มาตรา 14 (3) รวม 3 กระทง จำคุกกระทงละ 3 ปี โดยทางนําสืบของจําเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาอยู่บ้าง ลดโทษให้กระทงละ 1 ใน 3 คงจําคุกกระทงละ 2 ปี รวมจําคุก 6 ปี
.
ตั้งแต่กลางปีที่แล้ว ทั้งครอบครัวและทิวากร ยื่นขอประกันตัวระหว่างฎีกาไปถึง 8 ครั้งแล้ว ศาลฎีกามีคำสั่งไม่อนุญาต เห็นว่ากรณียังไม่มีเหตุเปลี่ยนแปลงคำสั่งเดิม ทำให้ทิวากรยังคงถูกคุมขังที่ทัณฑสถานบำบัดพิเศษขอนแก่นต่อไป
.
กับหนึ่งปีแห่งชีวิตในเรือนจำ ทิวากรเล่าถึงชีวิตและกิจวัตรที่เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง จากเกษตรกรที่เคยต่อสู้กับธรรมชาติเพื่อหาเลี้ยงชีพ กลายเป็นผู้ต้องขังที่ต้องต่อสู้กับความหวังและสุขภาพที่อ่อนแอลง
.
เขาได้เรียนรู้ชัดแจ้งว่า ความยุติธรรมไม่ค่อยมีอยู่จริง และรู้สึกเหมือนกับจำเลยคดีเกี่ยวกับลอบปลงพระชนม์รัชกาลที่ 8 แต่ความรู้สึกตื้นตันต่อผู้คนที่ไม่เคยรู้จักมาก่อน กลับมาเยี่ยมและให้กำลังใจ รวมทั้งการที่มีคนมาชูป้าย 'ปล่อยผู้ต้องขังทางการเมือง' ที่หน้าเรือนจำ แม้จะไม่ได้พบ แต่ก็สัมผัสและรับรู้ได้ ทำให้เขาน้ำตาไหลด้วยความซาบซึ้ง
.
ในฐานะผู้ต้องขังการเมืองทิวากรยังยืนหยัดในสิ่งที่เขาเชื่อมั่น โดยสดุดีผู้ที่ไม่ปิดกั้นตนเองและแสดงออกทางการเมืองโดยเฉพาะในประเด็นสถาบันกษัตริย์ พร้อมมองว่าสังคมวิตกจริตเกิดจากฝ่ายผู้มีอำนาจที่กลัวอำนาจของตนสูญเสีย
.
สุดท้ายแม้การถูกคุมขังยาวนาน จะเป็นอุปสรรคต่อชีวิต และการต่อสู้ในสิ่งที่่เรียกว่ากระบวนการยุติธรรม แต่ทิวากรยังคงยืนยันจะต่อสู้ในชั้นฎีกาต่อไป แม้จะต้องใช้เวลาอีกนับปี

_____________________

ในห้องเยี่ยมทนายความที่เงียบสงบกว่าห้องเยี่ยมทั่วไป ทิวากรนั่งตรงข้าม ทรงผมสกินเฮดเบอร์ 4 ผมขาวดำแซมกัน รูปร่างผอมลง ขวบปีผ่านไปหลังจากตื่นขึ้นมาในทุก ๆ เช้า เขาต้องนั่งฟังการบรรยายธรรมะจากโทรทัศน์ หรือนั่งพับเพียบขัดสมาธิ สำหรับผู้ที่นับถือศาสนาพุทธ ส่วนคนที่ไม่ได้นับถือก็นั่งเฉย ๆ ช่วงเวลานี้เป็นโอกาสเดียวที่จะจัดการธุระส่วนตัว
.
เวลา 6.30 น. คือเวลาอาบน้ำ ถ้าพลาดช่วงนี้ก็จะไม่ได้อาบอีกเลยตลอดวัน เวลา 7.10 น. และ 7.40 น. เป็นเวลารับประทานอาหารเช้าแบ่งเป็น 2 รอบ เพื่อไม่ให้แออัด จากวันแรกถึงปัจจุบันอาหารดีขึ้นกว่าแต่ก่อน มีเนื้อสัตว์และผักครบถ้วน แต่ที่ทำให้เขาไม่อดอยากคือการที่ญาติฝากอาหารมาให้ สัปดาห์ละ 5 วัน
.
เวลา 8.00 น. เป็นช่วงเคารพธงชาติ และรับฟังการแจ้งสิทธิต่าง ๆ เกี่ยวกับการถูกขัง การอภัยโทษ หรือการลดหย่อนโทษ ก่อนที่จะเข้ากองงาน ตั้งแต่ 8.30 น. ซึ่งสามารถเลือกได้ตามความถนัด
.
ภายใต้ชีวิตและกิจวัตรที่ซ้ำเดิม ในทางกลับกันการอยู่ข้างในนานวันเข้า ก็เปลี่ยนแปลงร่างกายของเขาจากที่เคยเป็นเกษตรกรที่ได้โดนแดดและสูดอากาศบริสุทธิ์ทุกวัน ตอนนี้สุขภาพแย่ลง มีปัญหาต่อมผิวหนัง ระบบภูมิคุ้มกันไม่ดี หัวใจเต้นผิดจังหวะ เจ็บกล้ามเนื้อเวลาขยับตัว จนมีอาการป่วยเมื่อเดือนที่แล้ว
.
อาจเพราะระบบสุขอนามัยในเรือนจำไม่เพียงพอ เรือนจำไม่จัดให้มีอุปกรณ์รักษาความสะอาดร่างกาย ต้องให้ญาติซื้อฝากเข้ามาให้ ไม่ว่าจะเป็นสบู่ ผงซักฟอก ยาสีฟัน แปรงสีฟัน ทำให้ผู้ต้องขังที่ไม่มีญาติมาเยี่ยมขาดแคลนสิ่งเหล่านี้ ทิวากรเองก็ติดโรคหิดจากผู้ต้องขังคนอื่นในกองงานเดียวกัน เพราะความไม่สะอาด แม้จะกินอาหารบางชนิดได้เหมือนปกติ แต่สิ่งที่เขาคิดถึงมากที่สุดคือส้มตำ ไม่ว่าจะเป็นตำลาว ตำป่า ตำแตง
.
หลังจากถูกขังมา 1 ปี ความรู้สึกส่วนตัวสะท้อนออกมาเป็นคำพูดคือ “เขาเป็นรองจึงขังเราไว้” “ผมยังมีราคาอยู่ อานนท์ นำภา ยังมีราคาอยู่” และ “ผู้มีอำนาจหาวิธีจัดการกับผม เพื่อให้ผมหมดหวัง” ช่วงเวลาที่ยากที่สุดคือตอนที่ล้มป่วย หน้ามืด หัวใจเต้นผิดจังหวะ และมีความคิดย้อนไปย้อนมาในหัวว่า “เขาจะขังเราไว้ทำไม”
.
ทิวากรเปิดใจถึงช่วงที่เกือบสิ้นหวังหรือท้อแท้คือช่วงวันแรก ๆ เพราะเป็นห่วงพ่อแม่ว่าเป็นอย่างไร แต่หลังจากที่แม่และพ่อได้มาเยี่ยมแล้ว กำลังใจก็ดีขึ้น ความเหงาและการขาดการติดต่อจากโลกภายนอกไม่ค่อยมีผลต่อกำลังใจเท่าไร เพราะมีคนมาเยี่ยมบ่อย แม่จะมาเดือนละประมาณ 1 ครั้ง ช่วงหลัง ๆ ประมาณเดือนครึ่งต่อครั้ง เพราะเดินทางมาเองไม่ได้ และมีคนซึ่งไม่เคยรู้จักกันมาก่อนแต่มาเยี่ยมและให้กำลังใจ ทำให้ทิวากรรู้สึกมีกำลังใจมาก แต่การที่เขาไม่ได้รู้ข่าวคราวข้างนอกทำให้เขารู้สึกความรู้น้อยลง ความคิดอ่านช้าลง แม้บางทีเรื่องง่าย ๆ ก็ใช้เวลาค่อนข้างมากถึงจะนึกได้
.
ขณะที่สัมพันธภาพกับเพื่อนในเรือนจำก็มีแนวโน้มในทางที่ดี เพื่อนค่อนข้างเยอะ ด้วยเป็นคนชอบช่วยเหลือคนอื่น เมื่อได้เงินที่ญาติฝากมาให้ ก็จะเอาไปซื้อเสื้อผ้า แปรงสีฟัน ยาสีฟัน ผงซักฟอกให้กับเพื่อนนักโทษคนอื่น ๆ ที่ขาดแคลน
.
ทิวากรเล่าถึงความฝันอยู่สองครั้ง ครั้งแรกฝันว่าได้เจอกับอาจารย์สมัยอยู่มหาวิทยาลัยพระจอมเกล้าพระนครเหนือ และได้ไปทำงานให้กับอาจารย์ ซึ่งเป็นความรู้สึกผิดที่เคยให้สัญญากับอาจารย์เอาไว้ ฝันเรื่องที่สอง คือได้ขึ้นเครื่องบินลำเดียวกันกับ ทักษิณ ชินวัตร
.
ก่อนบทสนทนาย้อนไปถึงคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ภาค 4 ที่กลับคำตัดสิน ทิวากรเชื่อว่ากระบวนการยุติธรรมไทยมีแนวคิดที่แตกแยก ผลคำพิพากษาเกิดจากอคติส่วนตัวของผู้พิพากษา จากที่เคยคำนวณโอกาสชนะคดี 33.33% ตอนนี้เขามีความเชื่อมั่นและมั่นใจว่าในชั้นฎีกาจะกลับมาชนะ
.
เมื่อถามถึงการที่มีกลุ่มประชาชนเดินทางมาชูป้าย ‘ปล่อยผู้ต้องขังทางการเมือง’ เพื่อให้กำลังใจหน้าเรือนจำ สิ่ง ๆ นั้นทำให้ทิวากรรู้สึก “ซาบซึ้งมาก ขอบคุณมาก ๆ น้ำตาไหล” แม้จะไม่ได้พบใครเลยก็ตาม
.
หนึ่งปีในเรือนจำทำให้เขาเข้าใจความหมายคำว่า ‘ยุติธรรม’ แตกต่างไปจากเดิม เขาตอบว่าทราบก่อนหน้าแล้วว่าความยุติธรรมไม่ค่อยมีอยู่ ตอนนี้เขามีความรู้สึกเหมือนกับจำเลยคดีเกี่ยวกับลอบปลงพระชนม์รัชกาลที่ 8
.
ก่อนจากกัน มีข้อความในโอกาสครบ 1 ปี ของการถูกคุมขัง ทั้งที่คดียังไม่ถึงที่สุด ทิวากรฝากว่า “สดุดีท่านที่ไม่ปิดกั้นตนเอง ยืนหยัดในการแสดงออกทางการเมือง โดยเฉพาะประเด็นสถาบันกษัตริย์” ทิ้งท้ายอีกว่า “สังคมวิตกจริตหมายถึงว่าชนชั้นนำทำตัวเอง มีฝ่ายผู้มีอำนาจที่วิตกจริต ประสาทแดก หรือกลัวอำนาจของตนสูญเสีย”
.
.
อ่านบันทึกเยี่ยมทั้งหมดบนลิ้งก์https://tlhr2014.com/archives/77515

https://www.facebook.com/photo?fbid=1168437901793345&set=a.656922399611567
.....


iLaw
19 hours ago
·
1 ปีแล้วที่ทิวากรอยู่ในเรือนจำ หมดศรัทธาแต่ยังไม่หมดความหวัง
14 สิงหาคม 2568 ครบรอบ 1 ปีที่ทิวากร วิถีตน เกษตรกรชาวจังหวัดขอนแก่นวัย 49 ปี ถูกคุมขังในทัณฑสถานบำบัดพิเศษขอนแก่น หลังศาลอุทธรณ์ภาค 4 มีคำพิพากษาลงโทษจําคุก 6 ปี จากเหตุโพสต์ภาพตัวเองสวมเสื้อ “เราหมดศรัทธาสถาบันกษัตริย์แล้ว” และโพสต์เรียกร้องให้สถาบันกษัตริย์ยุติการใช้มาตรา 112 และปล่อยสี่แกนนำราษฎรในปี 2564 โดยไม่ได้รับสิทธิประกันระหว่างฎีกา แม้ทนายความจะยื่นขอประกันตัวถึง 8 ครั้งแล้วก็ตาม
คดีนี้ศาลชั้นต้นเคยพิพากษายกฟ้องมาแล้ว โดยให้เหตุผลว่า ภาพและข้อความดังกล่าวไม่ได้เป็นการระบุถึงบุคคลที่ถูกดูหมิ่นหรือหมิ่นประมาทให้รู้ได้แน่นอนว่าเป็นองค์พระมหากษัตริย์องค์ใดองค์หนึ่งโดยเฉพาะ
แต่ในวันที่ 14 สิงหาคม 2567 ศาลอุทธรณ์กลับคำพิพากษาของศาลชั้นต้น โดยอ้างเหตุผลว่า คําว่า “สถาบันกษัตริย์” ในรูปภาพและข้อความที่จำเลยโพสต์นั้นหมายถึงพระมหากษัตริย์รัชกาลที่ 10 และโพสต์ข้อความ “หากสถาบันกษัตริย์ไม่ระงับใช้ 112 โดยทันที ก็เท่ากับทำตัวเองเป็นศัตรูกับประชาชน หากสถาบันกษัตริย์เป็นศัตรูกับประชาชนจุดจบคือล่มสลายสถานเดียว” ปรากฏมีผู้แสดงความเห็นในเชิงเกลียดชัง ด่าทอ จึงเป็นการใส่ความให้พระมหากษัตริย์เสื่อมเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น เป็นความผิดตามมาตรา 112 และพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ เขาถูกควบคุมตัวไปที่ทัณฑสถานบำบัดพิเศษขอนแก่นนับแต่วันนั้น
ย้อนกลับไปก่อนที่เขาจะเข้าสู่โลกของคดีการเมือง ทิวากรเคยเป็นวิศวกรไฟฟ้า ทำงานอยู่ในกรุงเทพฯ ราวๆ 20 ปี เขาเคยร่วมทำกิจกรรมทางการเมืองกับกลุ่มคนเสื้อแดงอยู่พักหนึ่ง ก่อนตัดสินใจทิ้งชีวิตคนเมืองกับอาชีพวิศวกรแล้วเดินทางกลับภูมิลำเนาเพื่อไปอยู่กับครอบครัว และผันตัวมาเป็นเกษตรกรในอำเภอที่ห่างไกลจากตัวเมือง แต่เขาก็ยังติดตามสถานการณ์ทางการเมืองผ่านทางอินเทอร์เน็ตอยู่เป็นระยะ
จนเมื่อมีข่าวการหายตัวไปของวันเฉลิม สัตย์ศักดิ์สิทธิ์ ผู้ลี้ภัยการเมืองชาวไทยที่ถูกอุ้มหายไปจากหน้าที่พักในประเทศกัมพูชา ทิวากรซึ่งตอนนั้นตัดสินใจว่าจะไม่เคลื่อนไหวด้วยการไปร่วมชุมนุมอีกแล้วก็คิดว่าจะสั่งเสื้อที่เขียนข้อความว่า “เราหมดศรัทธาในสถาบันกษัตริย์แล้ว” ออกมาใส่
“ตอนที่ผมคิดเรื่องเสื้อตัวนี้ ผมน่าจะนึกถึงการแสดงออกว่ารักพระมหากษัตริย์หรือรักสถาบันกษัตริย์ด้วยการใส่เสื้อ “เรารักในหลวง” ในเมื่อคนรักสถาบันกษัตริย์สามารถใส่เสื้อ “เรารักในหลวง” ได้ การแสดงออกด้วยการใส่เสื้อที่มีคำว่า “เราหมดศรัทธาสถาบันกษัตริย์แล้ว” ก็น่าจะทำได้ ซึ่งผมมั่นใจว่ามันไม่ผิดกฎหมายข้อไหน แถมยังไม่ผิดศีลธรรมอะไรด้วย ตราบใดที่แค่ใส่เสื้อโดยไม่ได้ไปละเมิดคนอื่น ไม่ได้ระรานคนอื่น ไม่ได้ด่าคนอื่น ไม่ได้ยั่วยุคนอื่น และไม่ได้ไปทำผิดกฎหมายข้อไหน” ทิวากร กล่าวในบทสัมภาษณ์เมื่อปี 2565
หลังได้รับเสื้อทิวากรก็เอามาใส่ออกนอกบ้านในวันเดียวกันนั้นเลย ทั้งใส่ไปไร่และใส่ไปตลาดซึ่งคนที่เห็นเขาใส่เสื้อ ไม่ว่าจะใส่เสื้อไปที่ไหน ก็ไม่มีใครต่อว่าหรือแม้แต่ทักท้วงเสื้อตัวนี้เลยแม้แต่คนเดียว แต่เมื่อเขาตัดสินใจถ่ายรูปตัวเองโพสต์ลงบนเฟซบุ๊กก็กลายเป็นเรื่องขึ้นมา มีผู้ใช้เฟซบุ๊กหลายคนเข้ามาโพสต์แสดงความไม่เห็นด้วยและมีบางคนเข้ามาด่าทอชนิดที่เรียกว่า “ทัวร์ลง” แต่นั่นก็เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของการคุกคาม
ทิวากรเคยถูกเจ้าหน้าที่นอกเครื่องแบบสิบกว่าคนมาที่บ้านเพื่อโน้มน้าวให้เขาเลิกใส่เสื้อหมดศรัทธาและถามเขาถึงเรื่องแนวคิดทางการเมือง รวมถึงเคยถูกควบคุมตัวกว่า 14 วันในโรงพยาบาลจิตเวชขอนแก่นราชนครินทร์ เมื่อปี 2564 เขาถูกจับฉีดยา ถูกควบคุมไว้ในห้องที่มีลูกกรง และยังต้องเข้าสู่กระบวนการประเมินสภาพจิตใจโดยจิตแพทย์
นอกจากนี้เขายังมีคดีมาตรา 116 อีกคดีจากการโพสต์เฟซบุ๊กเชิญชวนให้บุคคลทั่วไปเข้ามาลงชื่อว่า เห็นด้วยหรือไม่ว่าควรมีการทำประชามติ ว่าจะคงไว้หรือยกเลิกระบอบพระมหากษัตริย์ คดีนี้มีประชาชนจากจังหวัดลำปางเป็นผู้ร้องทุกข์ ทำให้ทิวากรต้องเดินทางจากบ้านที่จังหวัดขอนแก่นเป็นระยะทางราว 500 กิโลเมตรเพื่อไปสู้คดีที่จังหวัดลำปาง ซึ่งคดีนี้ศาลจังหวัดลำปางพิพากษารอการลงโทษไว้มีกำหนด 3 ปี
อาจจะนานถึง 5 ปีกว่าที่ทิวากรจะได้กลับบ้านไปใช้ชีวิต ไปดูแลพ่อแม่ที่อายุมากแล้ว ในเรือนจำทิวากรยังคงนิสัยรักการอ่านหนังสือ โดยเฉพาะหนังสือการเมืองและประวัติศาสตร์ จากบันทึกเยี่ยมของศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน เขามักจะเล่าถึงหนังสือที่เขาอ่านในเรือนจำเสมอ และเขายังบอกอีกว่าตัวเขาและผู้ต้องขังคนอื่นๆ ต้องการหนังสือที่หลากหลาย หากใครสนใจบริจาค สามารถส่งมาได้ที่ ห้องสมุดพร้อมปัญญา ทัณฑสถานบำบัดพิเศษขอนแก่น 117 ถนนศรีจันทร์ ต.ในเมือง อ.เมือง จ.ขอนแก่น 40000

https://www.facebook.com/photo?fbid=1168437901793345&set=a.656922399611567
https://www.facebook.com/photo/?fbid=1174438798063071&set=a.625664032940553