
Fuadi Pitsuwan
12 hours ago
·
ต้องสอนเรื่องความยุทธศาสตร์ศึกษา และมั่นคงนานาชาติพอดี เลยต้องค้น literature เยอะหน่อย มีหนังสือเล่มหนึ่งเขียนเรื่องการจบลงของสงครามโดยเฉพาะ — How Wars End: Theory and Practice — ที่น่าสนใจเพราะไม่ได้พูดแค่เรื่องการต่อรองเพื่อ “หยุดยิง” แต่ขยายมุมมองไปถึงปัจจัยเชิงโครงสร้าง สังคม และอารมณ์ ที่กำหนดว่าความขัดแย้งจะจบลงได้จริงหรือไม่ (ปกติแล้ว literature ของงานวิชาการด้านความมั่นคงนานาชาติ มักเน้นที่ “ต้นเหตุของสงคราม” มากกว่าช่วงจบ ที่จะไปถูกพูดถึงในงานสายสันติภาพ และความขัดแย้ง)
ในการเจรจาสำคัญระหว่างประเทศไทยและกัมพูชาในบ่ายวันนี้ ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ โดยมีมาเลเซียทำหน้าที่เป็นคนกลาง หลายประเด็นในหนังสือเล่มนี้สะท้อนให้เห็นถึงความซับซ้อนของการเจรจาอย่างชัดเจนมากขึ้น
1. แรงกดดันจากภายนอกคือแรงผลักดันสู่โต๊ะเจรจา
ทั้งสองฝ่ายไม่ได้เข้าสู่การเจรจาเพราะถึงจุด “ทางตันเจ็บปวดร่วม” (mutually hurting stalemate) แต่เพราะแรงกดดันจากภายนอก โดยเฉพาะเศรษฐกิจและแรงทางการทูต เช่นเดียวกับกรณีติมอร์ตะวันออก ที่อินโดนีเซียยอมเปิดทางให้กองกำลังระหว่างประเทศภายใต้แรงกดดันจากสหรัฐฯ และการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจ
หนังสือชี้ชัดว่า มหาอำนาจหรือองค์กรพหุภาคีขนาดใหญ่มี “ทรัพยากรและอิทธิพล” ในการกดดันฝ่ายต่างๆ ให้นั่งโต๊ะเจรจาได้มากกว่าประเทศเล็ก เพราะสามารถใช้ “เครื่องมือทางเศรษฐกิจ การทูต และความมั่นคง” ได้มีประสิทธิภาพกว่า ซึ่งเชื่อมโยงกับกรณีไทย-กัมพูชาในวันนี้ ที่กำลังอยู่ภายใต้แรงจูงใจจากข้อตกลงทางเศรษฐกิจ
2. ความตั้งใจแท้จริง หรือแค่หยุดพักเชิงยุทธศาสตร์?
การเจรจาในบางครั้งไม่ได้สะท้อนความต้องการสันติภาพ แต่เป็นเพียง “กลยุทธ์เพื่อซื้อเวลา” เช่นที่กลุ่ม RUF ในเซียร์ราลีโอนใช้ช่วงหยุดยิงเพื่อฟื้นฟูอาวุธและทรัพยากร โดยไม่มีเจตนาที่แท้จริงจะยุติสงคราม
นี่จึงตั้งคำถามต่อกรณีไทย-กัมพูชา: การเจรจาครั้งนี้เป็นความตั้งใจจริง หรือเป็นเพียงช่วงหยุดเพื่อรักษาผลประโยชน์ เช่น การฟื้นความสัมพันธ์ทางการค้าหรือป้องกันแรงกดดันจากนานาชาติ?
3. ความรู้สึกชาตินิยม: อุปสรรคสำคัญในการประนีประนอม
หนังสือเตือนว่า ชาตินิยม โดยเฉพาะในบริบทของชาติที่กำลังพัฒนา เป็นแรงผลักดันสำคัญของสงคราม โดยเชื่อมโยงกับศาสนา ชาติพันธุ์ และดินแดน เมื่อข้อพิพาทเกี่ยวข้องกับ “อัตลักษณ์แห่งชาติ” หรือ “สิทธิในการปกครองตนเอง” การประนีประนอมจึงเป็นเรื่องยากมากในระยะสั้น เพราะผู้นำมักไม่สามารถ “เสียหน้า” ได้โดยง่าย และสังคมต้องการ “ให้เกียรติผู้เสียชีวิตด้วยการสานต่อเจตนาเดิม” — ความตายที่มีความหมาย ทำให้ยอมถอยไม่ได้
กรณีความขัดแย้งอินเดีย-ปากีสถานคือบทเรียนสำคัญ: แม้ทั้งสองจะมีอาวุธนิวเคลียร์และผ่านสงครามหลายครั้ง แต่ยังไม่สามารถบรรลุข้อตกลงหลักใด ๆ ได้ เพราะความขัดแย้งฝังลึกในมิติชาตินิยมและความไม่ไว้วางใจ
4. BATNA: กำหนดอำนาจต่อรอง
BATNA (Best Alternative to a Negotiated Agreement) หรือ “ทางเลือกที่ดีที่สุดหากการเจรจาล้มเหลว” เป็นปัจจัยสำคัญในกลยุทธ์การเจรจา หากฝ่ายหนึ่งมองว่าอยู่เฉย ๆ ยังได้เปรียบกว่าการยอมอ่อนข้อ ก็ไม่มีแรงจูงใจที่จะเจรจาอย่างจริงจัง ตรงกันข้าม หากสงครามยืดเยื้อและทำให้ BATNA แย่ลง ฝ่ายนั้นก็จะยอมเจรจามากขึ้น
ในหลายกรณี คู่ขัดแย้งยังเดินหน้าสู้รบต่อเพื่อ “ทำลาย BATNA ของอีกฝ่าย” เช่น การตัดเส้นทางเสบียงหรือการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจ เพื่อบีบให้คู่กรณีรู้สึกว่า “การยอมเจรจา” คือทางเลือกที่ดีที่สุด
5. ZOPA: หาจุดร่วมที่ “เจ็บเท่ากันพอรับได้”
ZOPA (Zone of Possible Agreement) คือ “พื้นที่ของข้อตกลงที่อาจเป็นไปได้” ที่ตอบสนองผลประโยชน์หลักของทั้งสองฝ่าย การเจรจาที่ดีไม่ใช่เรื่องของการ “ชนะในสนามรบผ่านโต๊ะเจรจา” แต่เป็นการหาทางออกที่ทั้งสองฝ่ายยอมรับได้โดยไม่เสียแก่นสารหลักของตน
ตัวกลาง เช่น มาเลเซีย และอาเซียน จึงมีบทบาทสำคัญในการช่วยให้คู่กรณี “แยกแยะผลประโยชน์หลักกับผลประโยชน์รอง” แล้วออกแบบทางเลือกที่คงไว้ซึ่งสาระหลัก พร้อมยื่นข้อแลกเปลี่ยนในประเด็นรอง
6. ความชอบธรรมของผู้เจรจา และความเป็นกลางของคนกลาง
หนึ่งในปัจจัยสำคัญที่หนังสือ How Wars End ย้ำคือ ความสำเร็จของการเจรจาขึ้นอยู่กับ 3 องค์ประกอบหลัก:
- ผู้เจรจาต้องมี ความชอบธรรมและอำนาจแท้จริงจากฐานอำนาจของตนเอง (legitimacy and authority) ไม่ใช่แค่การแต่งตั้งตามพิธีกรรม
- คนกลางต้องมี ความเป็นกลางและความน่าเชื่อถือ (impartiality and neutrality) เพื่อป้องกันการโยนความผิด หรือการเอียงข้าง
- และกระบวนการเจรจาต้องมี mandate ที่ครอบคลุมความเป็นจริงของความขัดแย้ง ไม่ใช่ mandate ที่จำกัดประเด็น หรือกีดกันฝ่ายสำคัญออกไป
หากสามเงื่อนไขนี้ไม่ครบ แม้มีแรงกดดันภายนอก หรือแม้ BATNA/ZOPA จะเข้าจังหวะแล้ว กระบวนการก็อาจล่มได้ง่าย
7. บทบาทของมาเลเซีย และอาเซียนในฐานะคนกลาง
มาเลเซียในฐานะประเทศที่เป็นกลาง และในฐานะประธานอาเซียน หากสามารถประคองการเจรจาให้อยู่ในกรอบประเด็นหลัก และช่วยเปิดพื้นที่ ZOPA ได้อย่างเป็นระบบ ก็อาจช่วยคลี่คลายความขัดแย้งนี้ได้ เช่นที่มาเลเซียเคยมีบทบาทสำคัญในกระบวนการ GRP-MILF ในฟิลิปปินส์ตอนปี 2010-2012
8. การหยุดยิงกับการแก้ปัญหาที่ต้นตอ
สันติภาพจะยั่งยืนได้ก็ต่อเมื่อมีการจัดการกับ “สาเหตุของสงคราม” ไม่ใช่แค่ระงับอาการ หนังสือย้ำว่า การหยุดยิงที่เกิดจากแรงกดดันภายนอกโดยไม่มีการปรับโครงสร้าง เช่น ปัญหาพรมแดน หรือความเหลื่อมล้ำในพื้นที่ชายแดน มักนำไปสู่การล่มของกระบวนการในระยะถัดมา
9. ระวัง “ตัวบ่อนทำลาย” กระบวนการสันติภาพ
แม้ผู้นำระดับสูงจะพร้อมเจรจา แต่ก็ยังมี “spoilers” — บุคคลหรือกลุ่มที่ได้ประโยชน์จากความขัดแย้ง และอาจทำลายข้อตกลง เช่น ฝ่ายการเมืองต่างๆ กลุ่มทุน หรือรอยร้าวต่างๆภายในรัฐบาลและกองทัพ ที่มีส่วนหนึ่งสวนใดในประเทศได้ประโยชน์จากสถานะ “กึ่งสงคราม”
10. ความไม่แน่นอนของสงคราม
ไม่มีผู้นำใดรู้ว่าสงครามจะจบลงอย่างไรตั้งแต่ต้น หนังสือย้ำว่า "สงครามมักไม่เป็นไปตามที่ผู้นำคาดหวัง" และแม้จะมีแรงบีบจากต่างชาติ แต่ผลลัพธ์ในระยะยาวก็ยังคาดเดาไม่ได้
ในช่วงเวลาสำคัญนี้ การเจรจาจึงไม่ใช่เพียงเรื่อง “ชะลอการสู้รบ” แต่คือบททดสอบว่า ไทยและกัมพูชาเข้าใจปัจจัยลึกที่อยู่เบื้องหลังความขัดแย้งจริงหรือไม่ และพร้อมจะจัดการกับมันอย่างตรงจุดหรือเปล่า
สันติภาพที่แท้จริงไม่อาจบรรลุได้เพียงเพราะแรงบีบจากภายนอก — มันต้องมาจากความเข้าใจภายใน และการออกแบบกระบวนการที่แก้ปัญหาโครงสร้างได้จริง
https://www.facebook.com/photo?fbid=10105372309310885&set=a.714720187865