
ครบ 5 ปี ‘วันเฉลิม’ ถูกบังคับสูญหาย ชีวิตประชาชนที่ถูกบังคับให้สูญหาย สู่การเรียกร้อง พ.ร.บ.อุ้มหายฯ
4 June 2025
The MATTER
“หายใจไม่ออก” คือคำพูดสุดท้ายที่พี่สาวของ วันเฉลิม สัตย์ศักดิ์สิทธิ์ ได้ยินจากน้องชายของเขา
วันที่ 4 มิถุนายน 2568 เป็นวันครบรอบ 5 ปี ที่ วันเฉลิม สัตย์ศักดิ์สิทธิ์ นักกิจกรรมและผู้ลี้ภัยทางการเมืองในประเทศกัมพูชา ซึ่งถูกอุ้มหาย โดยมีภาพวงจรปิดที่แสดงให้เห็นการบุกอุ้มคนอย่างอุกอาจ บริเวณใกล้ที่พักของเขา ในกรุงพนมเปญ
วันเฉลิม หรือ ต้าร์ เป็นนักกิจกรรมและเคยทำงานกับองค์กรพัฒนาเอกชนในประเด็น HIV และความหลากหลายทางเพศ จนกระทั่งในปี 2557 ที่เกิดการรัฐประหาร วันเฉลิมคือหนึ่งในรายชื่อกลุ่มบุคคลที่ คสช. เรียกให้ไปรายงานตัว วันที่ 8 มิถุนายน 2557 แต่เขาปฏิเสธ จึงทำให้ถูกออกหมายจับในข้อหาฝ่าฝืนไม่มารายงานตัวตามคำสั่ง
จากนั้น ในปี 2558 สำนักข่าวอิศราเปิดเผยข้อมูลผู้ต้องหาคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพและประเทศที่คาดว่าใช้หลบหนีจากหน่วยงานความมั่นคงที่คอยติดตามความเคลื่อนไหวของผู้ต้องหา โดย 1 ใน 14 ผู้ต้องหาที่หลบหนีอยู่ในลาว ก็มีวันเฉลิมด้วย
วันที่ 4 มิ.ย.2563 เวลาประมาณ 16.40 น. ‘ต้าร์-วันเฉลิม สัตย์ศักดิ์สิทธิ์’ นักกิจกรรมและนักเคลื่อนไหวทางสังคมชาวไทย วัย 38 ปี ที่ลี้ภัยไปอาศัยอยู่ในประเทศกัมพูชา หลังการรัฐประหารในปี 2557 ถูกชายฉกรรจ์พาตัวขึ้นรถยนต์สีดำ ระหว่างที่เขาลงมาซื้อลูกชิ้นหน้าคอนโดมีเนียมที่พักอาศัยในกรุงพนมเปญ พร้อมกับคุยโทรศัพท์กับพี่สาว ‘เจน-สิตานัน สัตย์ศักดิ์สิทธิ์’ ไปด้วย โดยคำพูดสุดท้ายพี่สาวได้ยินจากน้องชายก็คือ “หายใจไม่ออก” ก่อนที่โทรศัพท์จะถูกตัดสายไป ตอนแรก ครอบครัวคิดว่าเจ้าตัวเจออุบัติเหตุ ก่อนจะรู้ภายหลังว่าวันเฉลิมถูกลักพาตัวไป
หลังเป็นข่าว แฮชแท็ก #saveวันเฉลิม ก็ขึ้นอันดับหนึ่งในทวิตเตอร์ทันที ด้วยจำนวนการพูดถึงเกิน 1 ล้านครั้ง ในเวลาเพียง 24 ขั่วโมง
#saveวันเฉลิม สู่การเรียกร้องเพื่อบุคคลสูญหาย
หลังจากที่วันเฉลิมถูกอุ้มหาย ทำให้เกิดเป็น #saveวันเฉลิม และเริ่มมีการเรียกร้องความยุติธรรมให้กับบุคคลที่สูญหายในประเทศไทย ซึ่งตั้งแต่ที่มีการรัฐประหารในปี 2557 มีคนไทยที่ลี้ภัยในต่างประเทศไม่ต่ำกว่าร้อยชีวิต นอกจากนี้ กรณีของการอุ้มหายผู้ลี้ภัยที่เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า ได้กลายเป็นประเด็นเรียกร้องสำคัญในการชุมนุมใหญ่ในปี 2563 ด้วย
อย่างไรก็ตาม จากกรณีของวันเฉลิมทำให้เกิดเป็นการรณรงค์เพื่อป้องกันและปราบปรามการทรมานและการทำให้บุคคลสูญหาย หรือที่เรียกว่า ‘พ.ร.บ.ป้องกันการทรมาน-อุ้มหาย’ ซึ่งมีผลบังคับใช้อย่างจริงจังในประเทศไทยเมื่อปี 2566 แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังคงมีเสียงสะท้อนจากภาคประชาสังคม ผู้เสียหายและครอบครัวของผู้ถูกบังคับสูญหายอยู่อย่างต่อเนื่อง แม้ว่ากฎหมายจะมีผลบังคับใช้แล้วก็ตาม
เมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย ร่วมกับมูลนิธิผสานวัฒนธรรม (CrCF), คณะกรรมการนิติศาสตร์สากล (ICJ), กลุ่มด้วยใจ และคณะกรรมาธิการกฎหมาย การยุติธรรม และสิทธิมนุษยชน สภาผู้แทนราษฎร ร่วมกันจัดงาน ‘Echoes of Hope: ให้กฎหมายทำงาน ให้ความยุติธรรมเป็นจริง’ เพื่อพูดคุยถึงประเด็นดังกล่าว
“2 ปีที่ผ่านมา ไม่มีหน่วยงานไหนสัญญาว่าจะออกตามหาผู้ที่เกี่ยวข้อง คนเหล่านั้นยังใช้ชีวิตได้ตามปกติ” อังคณา นีละไพจิตร สว. และ ภรรยาของสมชาย นีละไพจิตร ผู้ที่ถูกทำให้สูญหาย เมื่อปี 2547 กล่าวในงาน
“พ.ร.บ.ป้องกันการทรมาน-อุ้มหาย คือเครื่องมือสำคัญที่ผลักดันกันมาอย่างยาวนาน แต่กฎหมายนี้จะไม่มีความหมาย หากคนที่ทรมานและคนที่ถูกบังคับให้สูญหาย ไม่ได้รับความยุติธรรม หากความจริงยังไม่เปิดเผย และหากครอบครัวของพวกเขายังคงต้องรอคำตอบอย่างไร้จุดหมาย” แอมเนสตี้ และเครือข่ายภาคประชาสังคม ระบุ
https://thematter.co/brief/244723/244723