ตกลงใครกันจ้อง ‘ล้ม’ แล้วใครบ้างที่เป็น ‘เจ้า’ อ่านวิวาทะของสองคนนี่ ไพร่ฟ้าหน้าใสได้แต่ ‘งง’ ทาง Peter Puttipong Kongpoung สนิทสนมเป็นอันดีกับ โยธิน ผลประเสริฐ อาข้างแม่ของ วัชเรศร วิวัชรวงศ์ ซัดกลับ เอ็ดดี้ อัษฎางค์
“คุณประสงค์ร้ายต่อราชสกุลมหิดลชัดๆ” ทำไมเขากล้าว่าแรงขนาดนั้น และออกพับลิค เนื่องจาก “คุณพยายามบล็อกผม แต่คุณห้ามไม่ให้ผมพูดความจริงไม่ได้หรอก” ต่อกรณีเอ็ดดี้ลำเลิกว่า “คนในครอบครัว...ถูกตัดขาด...เพราะอะไร”
เอ็ดดี้ไม่วายเหิม ว่า “เกินจากนี้ คือสิ่งที่ไม่ควรก้าวล่วง ของจริง” Peter จึงเอาของจริงมาเล่า “ความจริงคือ ท่านหญิง (กบ) ถูกแย่งไปจากอกแม่ที่โรงแรม ไม่ได้เต็มใจกลับ แล้วพระบรมก็ทรงฟ้องให้แบ่งสิทธิการเลี้ยงดูเอา ก็ตกลงกัน...”
แถมอีก “ท่านชายไม่ได้ผิดอะไร ข่าวลือที่หาว่าท่านแม่คบชู้ คือเรื่องใส่ร้ายของคนที่ชื่นชอบองค์โสม เรื่องที่หาว่าขโมยของ ก็เอาไปแค่ของที่พระบรมทรงให้” ฉะนั้น “เรื่องที่เอ็ดดี้ว่าท่านชายมาแบบไม่บริสุทธิ์ใจนี่ไม่จริง
ในหลวงทรงสัญญากับท่านชายตั้งแต่ ๒ ปีที่แล้ว ช่วงโควิด และปีที่ผ่านมาก็คือตามกำหนดเวลา และเดือนนี้ก็จะกลับมาอีกทั้งสี่คน รองอนุทิน และท่านใหม่ รับทราบและประสานงาน เรื่องคนดูแล และบัตรประชาชน จะทำให้เรียบร้อย ตามขั้นตอน”
จะเป็นอย่างนี้หรือไม่ เอ็ดดี้ถึงได้เต้นแร้งเต้นกา เขียนซะยาวเหยียดชักแม่น้ำทั้งห้า เรื่อง “ไม่ได้รับอนุญาตให้ใช้นามสกุล มหิดล ณ อยุธยา” ซึ่งเขาก็เขียนวกวนอยู่กับ “การไม่ได้รับยอมรับในฐานะสมาชิกของราชวงศ์” อ้างโน่นนี่นั่นเรื่อง ‘ความละเอียดอ่อน’
โยงไปถึง “การเกิดข้อขัดแย้งในเรื่องการสืบสันตติวงศ์ หรือการเรียกร้องสิทธิ์ในราชวงศ์” เนื่องจาก “การกำหนดสถานะทางราชวงศ์ที่ชัดเจน สามารถช่วยลดโอกาสในการเกิดข้อขัดแย้ง” ทำให้เขาก้าวสวบ เสนอแนะให้พินิจ
“ดังนั้น การตัดสินใจในประเด็นนี้ จึงมักถูกพิจารณาอย่างรอบคอบเพื่อป้องกันปัญหาที่อาจเกิดขึ้น” แล้วใครล่ะที่ไม่รู้ จนเอ็ดดี้ต้องสะกิด จะเป็นไปไม่ได้หรือที่คนให้ออกจะเปลี่ยนใจเปิดให้เข้า เมื่อเวลาผ่านไป บนพื้นฐาน “ภาพลักษณ์และความมั่นคงในสายตาประชาชน”
พวกไพร่ฟ้าหน้าใสย่อมไม่มีสิทธิเสนอหน้าว่าความอยู่แล้ว นั่งใต้ถุนเรือนสูงได้ยินเสียงตึงตังข้างบน จนตระหนกตกใจ ว่าใครกันโหวกเหวกดังลั่น ไม่เป็นอันได้ตั้งสติ ตั้งตาทำมาหากิน ข้อสำคัญคนโวยวายนั่น เป็นอะไรกับเจ้าของบ้าน