วันอาทิตย์, ตุลาคม 20, 2567
พระราชดำรัส สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถเกี่ยวกับสถานการณ์ภาคใต้
พระราชดำรัส สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถเกี่ยวกับสถานการณ์ภาคใต้
17 พฤศจิกายน 2547
ประชาไท
วานนี้ (16 พ.ย.) สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ พระราชทานพระบรมราชานุญาตให้คณะบุคคลต่างๆ กว่า 1,000 คน เข้าเฝ้า ณ ศาลาดุสิดาลัย สวนจิตรลดา พร้อมพระราชทานกระแสพระราชดำรัสเกี่ยวกับสถานการณ์ภาคใต้ ตลอดระยะเวลา 2 เดือน ที่พระองค์เสด็จพระราชดำเนินแปรพระราชฐานไปประทับแรม ณ พระตำหนักทักษิณราชนิเวศน์ความว่า
"ข้าพเจ้าขอขอบคุณท่านทั้งหลาย ที่กรุณามาพบข้าพเจ้าตามคำเชิญ คำขอร้องของข้าพเจ้า สิ่งที่ทำให้ข้าพเจ้าต้องขอพบท่านทั้งหลาย ก็เป็นสิ่งที่คิดว่าทุกท่านก็พอจะทราบดีอยู่ นั่นคือความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ไปคราวนี้ข้าพเจ้าจึงไม่สามารถที่จะไปอยู่แค่เดือนเดียวแล้วก็กลับมา ดั่งที่เคยกระทำ ก็ต้องอยู่ 2 เดือน เพราะว่าเป็นห่วงประชาชนอย่างมาก และยิ่งไปได้พบได้เห็นชีวิตความเป็นอยู่ของคนไทยทางภาคใต้ว่าขณะนี้กำลังเดือดร้อนแสนสาหัส ไม่ว่าจะเป็นไทยพุทธ หรือไทยมุสลิมก็ตาม คนไทยผู้บริสุทธิ์เหล่านี้ถูกฆ่าไม่เว้นแต่ละวัน จนบัดนี้ก็ยังฆ่าอยู่
ข้าพเจ้าได้พูดคุยกับราษฎรในจังหวัดปัตตานี ยะลา และนราธิวาส แล้ว ต่างคนต่างก็บอกว่า อยู่ในพื้นที่นี้มาตั้งแต่ครั้งปู่ย่าตายายด้วยความสงบสุข และทั้งไทยพุทธ และไทยมุสลิม ต่างก็สามัคคีปรองดองกัน เป็นเพื่อนกัน เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ซึ่งกันและกัน ทุกคนก็นึกว่าตัวเป็นคนไทย และรักแผ่นดินไทย ไม่อยากไปอยู่ที่ไหน แต่ปัญหาทุกวันนี้คือว่า ทำมาหากินไม่ได้เลย และไม่มีความปลอดภัยในชีวิตแม้แต่น้อย พื้นที่ภาคใต้ของเราเป็นพื้นที่ที่มีความสวยสดงดงาม มีความอุดมสมบูรณ์ มีทั้งทะเล ภูเขา ป่าไม้ มีพืชพรรณไม้นานาพันธุ์ มีป่าผืนใหญ่ ได้แก่ป่าบาราฮารา เป็นป่าผืนใหญ่ที่อุดมสมบูรณ์มาก มีพื้นที่กว่า 1 ล้านไร่
มีสัตว์ป่านานาชนิด มีดอกไม้หายาก ที่เรียกว่า ดอกดาหรา แต่เป็นสีขาว อยู่ในป่าลึกมาก และพันธุ์ไม้ใบที่มีความสีสวย และงดงามมาก มีผลไม้ที่มีรสหวาน ลองกอง และเงาะน้ำตาลกรวด มังคุด ล้วนเป็นผลไม้ที่คนในภาคอื่นๆ อยากหาซื้อรับประทานตามฤดูกาล
ข้าพเจ้าเองชอบรับประทานเงาะพันธุ์น้ำตาลกรวดเป็นอย่างยิ่ง ซึ่งมีรสหวาน นุ่มนวล อร่อย เราทั้งหลายควรขอบคุณบรรพบุรุษ ที่ช่วยรักษาแผ่นดินที่อุดมสมบูรณ์ผืนนี้ไว้ ให้เป็นมรดกตกทอดถึงพวกเราทั้งหลายได้ทำมาหากิน ได้อยู่อาศัยอย่างสุขสบายจนถึงปัจจุบัน นับเป็นเวลากว่า 30 ปีที่ข้าพเจ้าได้มีโอกาสตามเสด็จพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ไปเยี่ยมราษฎรภาคใต้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงศึกษาค้นคว้าด้วยพระองค์เอง ทรงศึกษารายละเอียดจากแผนที่และภาพถ่ายทางอากาศ ถึงที่ตั้งหมู่บ้าน แม้จะอยู่ห่างไกลปานใด และได้เสด็จพระราชดำเนิน ไปตรวจสภาพภูมิประเทศจริงๆ ทรงกำหนดโครงการต่างๆมากมาย จากนั้นพระราชทานให้หน่วยงานที่รับผิดชอบรับไปพิจารณาดำเนินการพัฒนาตามความเหมาะสม ซึ่งได้ช่วยแก้ปัญหาการขาดแคลนน้ำของราษฎร
โดยมากที่นั่นผืนดิน มักมีดินเป็นรสเปรี้ยว ทรงมีโครงการที่จะกลับให้ดินเป็นดินที่ปลูกข้าวได้ นอกจากนั้นยังได้ทรงศึกษาวิธีการใช้ผืนดิน ผืนดินที่ถูกทิ้งรกร้างว่างเปล่าให้เป็นผืนดินที่ทำมาหากินได้ ทรงพบว่า จังหวัดนราธิวาส มีพรุขนาดใหญ่ที่สุดของประเทศ จึงมีพระราชดำริให้นำพื้นที่ของพรุส่วนหนึ่ง มาจัดสรรให้ราษฎรที่ยากจน และขาดแคลนที่ดินทำกินได้ใช้ประโยชน์ โดยระบายน้ำออกจากพรุบางส่วน มีพระราชดำริให้จัดทำโครงการแก้มลิง ให้นำมาปลูกพืชทางเศรษฐกิจจนได้
สามารถผลิตข้าวเพิ่มขึ้นได้ ในที่นาของเขาต่างๆ และทรงตั้งศูนย์ศึกษาการพัฒนาพิกุลทองขึ้น เพื่อให้ราษฎรได้เข้าไปรับการฝึกอบรมทำการเกษตรอย่างถูกหลักวิชาการ โดยเน้นให้มีการฝึกปฏิบัติอีกจนเกิดความชำนาญ และนำกลับไปขยายผลทำเองที่บ้าน เพื่อใช้พื้นดินที่มีอยู่จำกัดให้ได้ผลผลิตพอเลี้ยงตนเองได้ ทรงมีโครงการมากมาย แก้ปัญหาสิ่งแวดล้อมที่เกิดจากการเลี้ยงกุ้ง โดยมีพระราชดำริให้จัดทำโครงการพัฒนาพื้นที่ลุ่มน้ำปากพนัง เพื่อให้สามารถทำนากุ้งได้ และทำการบำบัดน้ำเสียจากบ่อเลี้ยงกุ้งก่อนจะทิ้งลงสู่แหล่งน้ำธรรมชาติ รวมทั้งจัดระบบชลประทาน โดยจัดสร้างระบบคลองส่งน้ำเค็มในลำน้ำปากพนัง และคลองระบายน้ำเสียแยกจากกัน วิธีการดังกล่าวสามารถลดปัญหาสิ่งแวดล้อมที่ถูกทำลายจากการทำนากุ้ง ซึ่งเป็นการพัฒนาการเลี้ยงกุ้งแบบยั่งยืนได้ และทรงมอบหมายให้ข้าพเจ้าเป็นผู้ดูแลการฝึกอาชีพของแม่บ้าน เพื่อให้เขามีอาชีพเสริมช่วยครอบครัว และดูแลเรื่องสุขภาพอนามัย รวมทั้งดูแลเรื่องการศึกษาของเด็กๆ
ราษฎรที่มาเฝ้าฯ ก็มีทั้งไทยพุทธและไทยมุสลิม ล้วนมีอัธยาศัยไมตรีดีงาม มีความรัก มีความสามัคคีกลมเกลียวกันดี เป็นคนมีฝีมือด้วย ทั้งในเรื่องการจักสานย่านลิเพาที่ละเอียดมาก ทอเสื่อกระจูดงดงาม แกะสลักไม้ ทอผ้า และปักผ้าด้วยเส้นไหม โดยมากเดี๋ยวนี้เขาเริ่มปักด้วยไหมไทย การปักผ้าด้วยเส้นไหมไทยของราษฎรในภาคใต้มีฝีมือประณีตสวยงามเป็นที่หนึ่ง สามารถอวดชาวต่างชาติได้
ข้าพเจ้ารู้สึกดีใจมากที่ราษฎรเล่าให้ฟังว่าเวลากลางวันเขาออกเรือประมงหาปลาตามชายฝั่งทะเลพอตกกลางคืนก็จุดตะเกียงนั่งปักผ้าทำเป็นอาชีพเสริม ฝีมือเขาสวยซะเหลือเกิน สวยมากอย่างที่ข้าพเจ้าไม่เคยเห็นที่ไหนมาก่อนนอกจากประเทศจีน พวกผู้หญิงชาวบ้านมาเล่าให้ฟังว่าแต่ก่อนเขาเนี่ยต้องให้สามีหาเลี้ยง ที่เขาพูดเขากระซิบไม่อยากพูดดังเดี๋ยวทางฝ่ายสามีจะได้ยินเข้า เดี๋ยวนี้ท่านเชื่อไหมว่าเดี๋ยวนี้ฉันมีเงินมากกว่าสามีซะอีก แล้วต้องหาเลี้ยงสามี บอกมีเงินใช้สอยพอเพียง ซึ่งสำหรับเขารู้สึกแปลกใจมากว่าทำไมผู้หญิงอย่างเขาถึงจะต้องเป็นฝ่ายที่ช่วยเหลือสามีในเรื่องการเงินการทอง
และเมื่อประมาณเดือน ต.ค.2537 ทางจังหวัดปัตตานีพร้อมด้วยชาวอำเภอไม้แก่น ได้ช่วยกันสร้างศาลาริมน้ำ มอบให้ข้าพเจ้าไว้นั่งทำงานยามออกเยี่ยมราษฎรบ้านละเวง ในพิธีมอบศาลานั้นทางจังหวัดปัตตานี พร้อมด้วยผู้นำท้องถิ่นและประชาชนได้สามัคคีพร้อมใจกันจัดพิธีบายศรีต้อนรับ ถ้าข้าพเจ้าจำไม่ผิดชาวปัตตานีเรียกว่า "บุหงาซีเละ" มีขบวนแห่แบบปัตตานีโบราณหลายสิบขบวน ล้วนสวยงามตระการตา บางขบวนก็สื่อสัญลักษณ์ของประเพณีโบราณของปัตตานี มีการแสดงศิลปวัฒนธรรม การแต่งกายพื้นเมืองอย่างวิจิตรพิสดาร และชาวบ้านที่พร้อมใจกันมา ก็ประมาณสัก 2,000 คน ข้าพเจ้าได้นั่งชมการทำพิธีแห่บายศรีดังกล่าวอยู่เกือบ 2 ชั่วโมง ด้วยความประทับใจและชื่นชมในความร่วมมือร่วมใจของชาวบ้านทุกอำเภอของ จ.ปัตตานี ในปีนั้น และยังจดจำภาพอันงดงามในเย็นวันนี้ตลอดมาจนทุกวันนี้
ใน 2 - 3 ปีต่อมา ทางจังหวัดปัตตานี ก็ยังจัดงานนี้อย่างต่อเนื่อง แต่เปลี่ยนมาจัดที่ศูนย์ศิลปาชีพวัดช้างให้ฯ แทน ซึ่งข้าพเจ้าก็ยังได้เดินทางไปรับบายศรีบุหงาซีเละด้วยความสุขและปีติยินดีทุกครั้ง เมื่อข้าพเจ้าไปเยี่ยมราษฎรที่บ้านละเวงอีกในปีต่อๆ มา ก็ได้รับการร้องทุกข์ขอความช่วยเหลือ ตอนนั้นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ไม่ได้เสด็จไปแล้ว เพราะว่ารับสั่งว่า เสด็จไปประทับนานๆ แล้วต้องก้มๆ เงยๆ ไม่ไหวแล้ว เพราะว่าทรงปวดหลังอย่างมาก เมื่อได้พักอย่างขณะนี้ก็ทรงสบายขึ้นมาก ตอนนั้นราษฎรก็ไม่ทราบ ไม่อย่างนั้นราษฎรจะวิ่งเข้าไปเฝ้าฯ และไปถวายรายงานเกี่ยวกับทุกข์และสุขของชีวิตเขา เมื่อไม่ได้เสด็จเขาก็วิ่งมาหาข้าพเจ้าแทน ซึ่งข้าพเจ้าก็ตกใจ เคยแต่ดูแลปัญหาเรื่องครอบครัวทางฝ่ายหญิง ไม่เคยคิดว่าจะต้องไปดูแลเป็นส่วนรวม
ราษฎรบอกว่า ประสบปัญหาการจับปลา เพราะเขามีเรือขนาดเล็กเท่านั้น จับปลาตามชายฝั่งทะเลไม่ได้เลย ปลาเล็กปลาน้อยหายไปหมด พอกลับมาที่ทักษิณฯ พระตำหนักทักษิณฯ ข้าพเจ้าก็เชิญผู้เชี่ยวชาญด้านการประมงมาร่วมประชุม ปรึกษาหารือ หลังจากรับประทานอาหารค่ำด้วยกันแล้ว ผู้จดบันทึกประชุมได้บันทึกว่า การประชุมเมื่อวันที่ 24 ก.ย.2545 เริ่มต้นประชุม 02.30 น.เสร็จการประชุมเมื่อ 05.30 น. ข้าพเจ้าขอให้จัดตั้งคณะทำงานโดยมีกรมประมงเป็นแม่งานที่สำคัญ คณะทำงานเริ่มทำงานกันอย่างรวดเร็วมาก หลังจากนั้นที่ประชุมกัน 7 วัน คณะทำงานก็ได้เชิญข้าพเจ้าไปเปิดโครงการฟื้นฟูทรัพยากรชายฝั่งทะเลที่บ้านละเวง อ.ไม้แก่น จ.ปัตตานี เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2545 โครงการฟื้นฟูทรัพยากรชายฝั่งทะเลหมายถึงการฟื้นฟูป่าชายเลน และการทำปะการังเทียม ซึ่งแต่ก่อนข้าพเจ้าเองก็ไม่ได้ทราบ
ทรัพยากรชายฝั่งทะเลหมายถึงการฟื้นฟูป่าชายเลน และการทำปะการังเทียม ซึ่งแต่ก่อนข้าพเจ้าเองก็ไม่ได้ทราบเลย ไม่มีความรู้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวสอนข้าพเจ้าทั้งนั้นว่า ป่าชายเลนสำคัญมากต้องเฝ้าดูแล สำคัญต่อระบบนิเวศน์ชายฝั่งทะเล และอ่าวไทย เพราะเป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์น้ำต่างๆ เช่น กุ้ง หอย ปู ปลา ขณะที่มันยังตัวเล็ก สัตว์น้ำเหล่านี้ใช้พื้นที่ป่าชายเลนเป็นที่วางไข่ และขยายพันธุ์ ถ้าป่าชายเลนถูกทำลายลงหมด ก็เท่ากับพวกเราทำลายแหล่งผลิตอาหารของมนุษย์ไปด้วย
ข้าพเจ้ารู้สึกซาบซึ้ง และขอบคุณนายกฯ และคณะรัฐบาลที่สนับสนุนโครงการนี้อย่างต่อเนื่อง และขอบคุณการรถไฟแห่งประเทศไทยที่ช่วยสนับสนุนตู้รถไฟกว่า 600 ตู้ และขอบคุณกรมทางหลวงที่สนับสนุนท่อคอนกรีตสำหรับใช้ทำปะการังเทียม และสำคัญที่สุดคือ กรมประมง ซึ่งทำหน้าที่เป็นแม่งานที่สำคัญ ช่วยให้โครงการนี้สำเร็จลุล่วงด้วยดี ทำให้ชาวปัตตานี และนราธิวาสสามารถทำมาหากินด้วยการทำประมงขนาดเล็กตามชายฝั่งทะเลได้อีก
ทางกรมประมงรายงานว่า ชายฝั่งทะเลทั้ง 2 จังหวัด เดี๋ยวนี้มีปลาชุมมาก เขาลงไปถ่ายหนังให้ข้าพเจ้าดูด้วย ปลาหมอทะเลตัวใหญ่มาก ข้าพเจ้าไม่เคยเห็นตัวจริง เคยเห็นแต่ในรูปของประมง ปลาหมอทะเลนี้ตัวขนาดใหญ่หนัก 100 กิโลกรัม และมีปลาชนิดอื่นๆ อีกมากมายเข้ามาชุมนุมกัน ที่เราทิ้งปะการังเทียมลงไป เช่น ปลาผีเสื้อเทวรูป ปลากะพงข้างเหลือง ปลากะพงแดงหางปาน ปลากระรังหางซ้อน ปลาช่อนทะเล ปลาตะคองเหลือง ปลาสร้อยนกเขา ปลาผมนาง ปลาสลิดทะเลแถบ ปลาหางกิ่งหม้อ ปลาอินทรีย์บั้ง ปลาอีโต้มอญ ปลากล้วยหางเหลือง เป็นต้น
ชาวไทยอิสลามซึ่งโดยมากจะเป็นชาวประมงแบบเรือเล็กๆ ชายฝั่งก็มาหาข้าพเจ้า ว่าเดี๋ยวนี้เขายิ้มแย้มแจ่มใส ว่าเดี๋ยวนี้จับปลาได้ มีกินแล้ว จับปลาได้ มีปลาเยอะแยะไปหมด และกลางคืนขณะที่ข้าพเจ้ากำลังเดินทางกลับจากการทำงาน ก็จะมีประชาชน ทั้งไทย-พุทธ ไทย-มุสลิม มายืนจุดเทียนส่องอยู่ สองข้างทาง เขาบอกว่าเขาเป็นห่วงข้าพเจ้าที่ทำงานแล้วกลับบ้านดึกๆ ดื่นๆ
ที่ข้าพเจ้าขอเชิญท่านทั้งหลายมาวันนี้ ก็คิดว่าท่านทั้งหลายเป็นคนไทย เป็นเจ้าของประเทศ และเมื่อครั้งที่ข้าพเจ้าได้ไปกราบท่านอาจารย์แบน ที่ทางภาคอีสาน พร้อมด้วยผู้ติดตามอีกมากมาย ท่านก็เทศน์ให้ฟัง และอันหนึ่งที่ท่านกำชับนักหนา ขอให้ทุกคนนึกถึงพระคุณของแผ่นดิน อย่าได้ลืมพระคุณของแผ่นดินเป็นอันขาด ที่จะคอยปกป้อง ทะนุบำรุงแผ่นดินอยู่เสมอ เลยทำให้ข้าพเจ้าคิดว่าข้าพเจ้าไปภาคใต้มา 2 เดือน ปีนี้ อยู่มา 2 เดือนเต็ม ได้ยิน ได้เห็นอะไรหลายอย่าง และก็รู้สึกว่า สถานการณ์ได้เปลี่ยนไป เป็นที่น่าเสียดายว่า แต่ก่อนคนไทยพุทธ ไทยมุสลิม เคยอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุข ตอนนี้กำลังประสบภัยคุกคามอย่างหนัก อันที่จริงประเทศไทยของเราทุกคนมีอิสระ เสรี ในการเลือกนับถือศาสนา ไม่เคยต้องโดนบังคับว่า ศาสนานี้พวกเธอนับถือไม่ได้ ศาสนานี้นับถือไม่ได้
เพื่อนชาวต่างประเทศของข้าพเจ้า ทุกครั้งที่ข้าพเจ้าได้ไปรับเชิญไปรับรางวัล ไปเยี่ยมทางต่างประเทศ ทุกคนจะสรรเสริญประเทศไทยว่า เป็นประเทศที่ให้อิสระ เสรีภาพกับคน ที่ว่าจะเลือกนับถือศาสนาใดก็ได้ โดยไม่มีการรังแก ไม่มีการแกล้ง หรือฆ่าฟันอะไรกันเช่นนี้ และพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ทรงเป็นอัครศาสนูปถัมภก ทรงสนับสนุนปกป้องทุกศาสนา อย่างกรุงเทพฯ ของเรา จะเห็นได้ชัด มีวัด มีโบสถ์คริสต์ มีมัสยิด มีโบสถ์พราหมณ์ ทุกอย่างเราอยู่ใกล้ๆ กัน ก็ไม่เคยสักครั้งที่ชาวพุทธจะวิ่งไล่ฆ่าชาวคริสต์ หรือชาวคริสต์จะเที่ยววิ่งไล่ฆ่าชาวอิสลาม ไม่เคยเกิดขึ้น ซึ่งเป็นชื่อเสียงของประเทศมา
ผู้คนเวลาพบกันก็ ถึงแม้จะต่างศาสนาก็ทักทายกันด้วยความยิ้มแย้มแจ่มใส แต่เดี๋ยวนี้กลับแปร
เปลี่ยนไป ในพื้นที่ 3 จังหวัดภาคใต้ ทำให้ข้าพเจ้าวิตกอย่างมาก มีการทำร้ายอย่างอำมหิต คนเข้าไปซื้อของในร้าน พอซื้อของเสร็จลูกค้าก็ชักปืนยิงเจ้าของร้าน ที่ข้าพเจ้าทราบด้วยตัวเอง คืออ่านหนังสือพิมพ์ ไม่ใช่ว่าอยู่ในเหตุการณ์นั้น ชักปืนยิงเจ้าของร้านชำเล็กๆ ใน อ.เมืองนราธิวาส เป็นผู้หญิง อายุ 70 กว่า และหาเลี้ยงลูกพิการ แม่แก่เท่าไรก็ตามก็พยายามเลี้ยงลูก และวันหนึ่งก็มีคนขี่มอเตอร์ไซค์เข้าไปที่ร้าน และเข้าไปถึงก็บอกจะซื้ออะไหล่ยาง พอแม่แก่จะหันหลังไปหยิบของ ก็ยิงตาย แม่ตายแล้วลูกชายที่เดินไม่ได้ก็นั่งอยู่ที่นั่นด้วย ก็บาดเจ็บสาหัส เวลานี้ก็บาดเจ็บสาหัสอยู่ ถ้าเขารอดข้าพเจ้าเองก็ยังไม่ทราบว่าใครจะดูแลเขาต่อไป
เรื่องพรรค์นี้ในปีนี้ข้าพเจ้าได้รับทราบเรื่องเองมาก เรื่องที่แต่ก่อนไม่มีเกิดขึ้นแก่ประเทศไทยเลย เช่นว่า พระเดินออกไปบิณฑบาต 30 ปีที่ข้าพเจ้าไป แม้จะขึ้นชื่อว่ามีโจรแบ่งแยกดินแดน แต่โจรแบ่งแยกดินแดนก็ไม่ใช่ว่าเที่ยวไปฆ่าคน ทุบตีคน หรือว่าเที่ยวฆ่าพระ ฆ่าเณร อะไรเช่นนั้น ไม่เคยเกิดขึ้น เพิ่งเกิดขึ้นปีที่จะ 31 ที่ข้าพเจ้าไปอยู่เนี่ย นักเรียนขี่จักรยานไปเรียนหนังสือก็ถูกยิงตาย ใครยิงก็ไม่ทราบ กลางวันไม่ใช่กลางคืนเนี่ย พระเณรออกบิณฑบาต นี่พระท่านเล่าให้ข้าพเจ้าฟังเองว่าถูกฆ่า เชือดคอ ถูกฟัน ถูกทุบตีจนกระทั่งพิการ ต้องสึกออกมาเพราะว่าพิการเดินอะไรไม่ได้ ฟาดไปบนศีรษะ ทำร้ายร่างกายต่างๆ
และอีกแห่งน่าสงสารมากเลยเป็นชาวบ้านที่ยากจน ก็มีที่นาอยู่เล็กๆ และมีสวนยางเล็กๆ เขาเพิ่งจะซื้อห้องแถวและไปรับลูกเล็กๆ จากแม่ ไม่งั้นฝากแม่เลี้ยงเอาไว้ให้มาอยู่กับเขา แล้วก็นี่เพื่อนบ้านเล่า เหตุเกิดที่ จ.ยะลา อ.เมือง ด้วย นั่งดูโทรทัศน์เล็กๆ อยู่ในบ้าน เพื่อนบ้านเขาเล่าว่า เสียงเด็กร้องและก็เพื่อนก็เข้าไปเห็นเด็กเนี่ยอายุ 8 ขวบ กำลังประคองหัวพ่อ ประคองศีรษะพ่อ เพื่อที่จะไปต่อกับร่าง เด็กขนาด 8 ขวบ ทุกข์โศกและตกใจขนาดหนัก เขาก็พาเด็กมาพบข้าพเจ้า เพราะเด็กก็ไม่มีใครแล้ว เพราะแม่ก็ทิ้งไปนานแล้ว ไปแต่งงานใหม่
ข้าพเจ้าก็บอกกับลุง บอกว่า ไม่เป็นไร ข้าพเจ้าจะดูแลเอง ถ้าข้าพเจ้าไป ไปอยู่ 2 เดือน กลับมาโดยไม่ได้เล่าให้ท่านฟัง ไม่ได้บอกให้เพื่อนคนไทยซึ่งเป็นเจ้าของประเทศทราบ ข้าพเจ้าก็จะเป็นคนที่ใช้ไม่ได้ ไปเห็นเขานั่งอมพะนำ ไม่พูดอะไร ไปเห็น ไม่ได้เห็นเขาตอนกำลังฆ่า แต่ลุงเขาพาเด็กเข้ามา ซึ่งเป็นเด็กแกร็น น่าสงสาร
ไม่ว่าข้าพเจ้าไปที่ไหน ไปที่ อ.สุคิริน เป็นนิคมซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ทรงสนับสนุนตั้งขึ้น ก็มีชาวอีสาน มีชาวไทยที่นราธิวาสเอง อยู่ที่นั่น พอข้าพเจ้าไปเยี่ยมก็บอกว่า ดีใจที่ราชินีมา ที่ได้เห็นหน้า แต่ก็ไม่อยากให้มา ใจหนึ่งก็ไม่อยากให้มาเพราะมันอันตราย น่ากลัวเหลือเกิน ไม่อยากให้ท่านมา ข้าพเจ้าก็บอกว่าไม่มีอันตรายหรอกข้าพเจ้านี่ ทางรัฐบาล ทหาร ตำรวจ เขาดูแลใกล้ชิด เขาก็เล่าให้ฟังว่า เขาไม่ทราบจะว่าอย่างไรแล้ว ราวๆ ทุ่ม พวกเรากินข้าวเสร็จแล้ว ชาวบ้านก็นั่งคุยกัน ช่วยกันสร้างศาลานานแล้ว ก็นั่งคุยกันที่นั่น ประเดี๋ยวก็เห็นคนขับมอเตอร์ไซค์มา เป็นผู้ชายหนุ่มซ้อนท้ายมา แล้วก็พอมาถึงที่ศาลานั้น ก็ไม่พูดพร่ำทำเพลง ไม่ต่อว่า ไม่ว่าอะไรทั้งนั้น กระชากเอาปืนอาก้าออกมา ปืนกลที่ทำในรัสเซีย ที่เคยทำในรัสเซีย ออกมายิง ที่นั่งคุยกันนั่นก็ตายหมด และจนป่านนี้ก็ไม่มีใครทราบว่า ผู้ที่ตายทั้งหลายแหล่นี้ ถูกยิงด้วยอาก้านี้ เป็นใครยิง ก็เงียบหายไป คนก็อยู่ด้วยความหวาดกลัวเต็มที่
และตอนหลังเขาก็ทิ้งใบปลิว ที่ตลาดนราธิวาส ใบปลิวบอกว่า ไอ้พวกไทย-พุทธออกไปเดี๋ยวนี้จากแผ่นดินของกู ไม่งั้นจะให้กินลูกปืน ข้าพเจ้าก็ได้แต่ปลอบใจ ชวนไปหัดยิงปืนลูกซอง เพื่อป้องกันตัว อาสาเขาก็อยากป้องกันตัวเองได้ ตกลงเขาก็ไปกันทั้งผู้หญิงผู้ชายไปหัดยิงปืนที่ค่ายของนาวิกโยธินที่ อ.เมืองนราธิวาส ผู้หญิงยิงแม่นมาก ซึ่งไม่นึกว่าผู้หญิงที่ดูมีอายุ ยิงได้พั่วๆ ซึ่งเขาก็ภูมิใจว่าสามารถป้องกันตัวเองได้
ข้าพเจ้าตามเสด็จพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมากกว่า 30 ปี ไม่เคยพบเคยเห็น เหตุการณ์โหดร้ายทารุณเช่นนี้เลย และบางครั้งชาวบ้านที่มีสวนยางบางทีเขาก็จะเอาใบปลิวมาติดที่สวนยาง และบอกว่า ห้ามกรีดยาง ถ้าใครกรีดยางจะฆ่า เหมือนบ้านเมืองไม่มีขื่อไม่มีแป แล้วชาวบ้านก็เล่าให้ฟังว่าที่แถวบ้านตันหยงลิมอร์ ถ้าคนไทย-พุทธ ไปกรีดยางเขาเองก็จะถูกเชือดคอ เอาหัวไปทิ้งซะที่อื่น แล้วก็จะมีคนแปลกหน้ามาถามว่าจะขายสวนยาง สวนเงาะ สวนลองกองหรือไม่ ถ้าบอกไม่ขายตอนดึกก็จะมีคนเข้ามาตัดทำลายสวนผลไม้ ทำลายสวนยาง ผลไม้กำลังออกผล และก็พร้อมที่จะเก็บขายได้แต่ก็ถูกตัดไปจนหมด เมื่อข้าพเจ้าไปเยี่ยมที่บ้านตันหยงลิมอร์ ชาวบ้านโดยมากเป็นผู้หญิง บอกว่าท่านมาก็ดีแล้ววันนี้ เพราะว่าเราอยากจะฟังจากปากท่านคำเดียวเท่านั้นว่าเราเนี่ย มีสิทธิ์ที่จะอยู่ที่นี่มั้ย หรือท่านจะให้เราไปให้พ้น
ข้าพเจ้าก็บอกว่าอยู่สิ อยู่ เพราะว่าต้นไม้ ต้นผลไม้ ต้นยางอะไรก็โตหมดแล้ว เราควรอยู่และก็ช่วยกัน ค่อยๆ ช่วยกันคิดอ่าน ราษฎรเหล่านั้นก็บอกว่าเขาอยู่ที่นี่มาตั้งแต่ปู่ ย่า ตา ยาย อาศัยทำกินอยู่ที่นี่มาเป็น 100 ปีแล้ว และพวกเราจะต้องออกไปจากที่นี่เนี่ย จะไปไหนกัน พวกเราไม่ได้ทำผิดอะไร ทำไมจะยอมให้ใครมาไล่ออกนอกพื้นที่ ราษฎรเหล่านั้นก็ขอข้าพเจ้าว่า ขอให้ช่วยพูดกับคณะรัฐบาล ท่านนายกรัฐมนตรี ขอร้องว่าอย่าให้ถอนทหารออกจาก 3 จังหวัดภาคใต้ เพราะว่าถ้าทหารอยู่ ชีวิตเขาก็ยังอยู่ ถ้าทหารถอนออกไปเขาคงตาย และข้าพเจ้าก็เลยบอกว่า ขอให้ทหารซึ่งเป็นนาวิกโยธินไปช่วยทำการฝึกชาวบ้าน ชาวบ้านก็จะทยอยกันไปที่ค่ายของนาวิกโยธินแล้วก็ฝึกยิงลูกซอง
และก่อนที่ข้าพเจ้าจะกลับเขาส่งข่าวมาว่าตั้งแต่พวกเขายิงปืนลูกซองเป็นเนี่ย การก่อกวน เช่น ถึงเวลานอนก็ไม่ให้นอน ส่งกลุ่มมอเตอร์ไซค์ไปขับขี่ในหมู่บ้าน ทำเสียงให้ดัง ซึ่งพวกเขาก็กลัวไม่รู้จะทำยังไง แต่ถ้าเขายิงปืนแม่น พวกก่อกวนเหล่านี้ก็หายไป หายเงียบลงไป ข้าพเจ้าจึงขอร้องท่านแม่ทัพภาคที่ 4 ให้ช่วยสงเคราะห์ดูแลฝึกราษฎรไปเรื่อยๆ เรียกว่า อาสาสมัครรักษาหมู่บ้าน เหมือนที่รัฐมนตรีโภคิน ได้เคยทำไว้ ข้าพเจ้าก็ทำเพิ่มขึ้นอีก เพราะรู้สึกเขาสบายใจขึ้น ข้าพเจ้าก็เลยกลับไม่ลง ใครๆ บอกว่า อยู่ 2 เดือนแล้วน่าจะกลับไปซะที แต่กลับไม่ลง เพราะเห็นเขาทุกข์โศกมากมาย และเขาบอกเวลาที่ แม้แต่พระ ก็บอกว่า มาประทับอยู่เหตุการณ์ทั้งหลายเบาบางลงไป ไม่เหมือนกับไม่ประทับอยู่จะโดนเต็มที่
อันนี้ข้าพเจ้าเห็นว่า ประชาชนเหล่านั้นก็เป็นคนไทยแท้ๆ ทำมาหากินอยู่ในประเทศไทย น่าจะให้ไทยเราภาคกลาง หรือตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคเหนือได้ทราบ เพราะเป็นคนไทยด้วยกัน น่าจะห่วงใยชีวิตคนไทยด้วยกัน เมื่อประสบความยากเข็ญขณะนี้ ซึ่งข้าพเจ้าคนเดียวจะไปคิดทุกอย่างที่จะช่วย คงไม่มีแรงพอทำได้ แต่ถ้าเป็นคนไทยทั้งชาติ ไม่ต้องฆ่าใครหรอก แสดงกำลังอย่างลูกเสือชาวบ้าน ก็เคยสาบานต่อหน้าข้าพเจ้าว่า จะทำประโยชน์เพื่อชาติ ก็แสดงพลังออกมาว่า ไม่พอใจในการที่เกิดการรังแกผู้คนที่ยากจน ทำมาหากินไปวันๆ ไม่ถูกต้อง บางคนก็อยู่ไม่ได้ก็หนีไป เขาก็ไม่รู้จะหนีไปไหน หนีไปหาเพื่อนบ้าง ไปนครปฐม และยกบ้านให้ ขอให้ทหาร ทหารทำชื่อเสียงที่ดีมาก
จะเห็นว่าประชาชนขอร้องให้ทหารช่วยอยู่พิทักษ์คุ้มครองให้เขาทำมาหากินได้ พวกที่อพยพไปก็ยกบ้านให้ทหารใช้เป็นที่พัก สำหรับดูแลคุ้มกันชาวบ้านให้ได้รับความปลอดภัย ข้าพเจ้าก็อยู่ดู 2 เดือน แล้วก็คิดทบทวนว่า เอ เราจะปล่อยให้เหตุการณ์ฆ่ารายวันเกิดขึ้นอยู่อย่างนี้เรื่อยๆ ไปเช่นนี้หรือ เป็นถึงพระราชินี แล้วก็อายุ 72 แล้ว ไปเห็นเหตุการณ์ต่างๆ กลับมาก็นิ่งอมพะนำอยู่อย่างนั้น ไม่รู้จักพูดไม่รู้จา ช่วยเหลือคนไทยที่อาภัพเหล่านั้น ก็เลยคิดว่า อย่าเลย พูดให้ท่านฟัง พูดให้ท่านได้ยินว่า สมควรหรือที่จะปล่อยให้ใครอยากฆ่าใครก็ได้ ฆ่าแล้วก็แล้วไป ไม่เห็นถูกจับ คือรู้สึกว่ากฎหมายของประเทศไทยมีอยู่แต่ใช้ไม่ได้
ใน 3 จังหวัดนั้น ไม่ทราบว่าเป็นเพราะอะไร แต่ว่าน่ากลัว น่ากลัวเหลือเกิน เพราะว่าพูดถึงสิทธิมนุษยชน ข้าพเจ้าว่า คนไทยทั้งหลายมีสิทธิ์ที่จะมีชีวิตอยู่ และมีสิทธิ์ที่จะทำมาหากินโดยสุจริต ทีนี้ถ้าเผื่อเขาทำมาหากินก็ไม่ได้ กรีดยางก็ไม่ได้ เก็บผลไม้ของเขาที่เขาปลูกไปขายก็ไม่ได้ แล้วเขาจะมีชีวิตอยู่อย่างไร และข้าพเจ้าซึ่งไปนั่งอยู่กับเขา 2 เดือน กลับมาก็นั่งอมพะนำ ปิดปาก ไม่พูดอะไรเลย ด้วยความเกรงกลัวว่าเดี๋ยวจะเสียอย่างโน้น เสียอย่างนี้ ข้าพเจ้าก็ว่า คิดว่าชีวิตมนุษย์นี้สำคัญที่สุด เราจงใจที่จะช่วยชีวิตมนุษย์ ไม่ได้จงใจที่จะเบียดเบียนใครเลย ช่วยชีวิตมนุษย์ให้รอด และคนเหล่านี้เป็นคนบริสุทธิ์ ไม่ได้ทำร้ายใคร ก็ขอให้เขาได้อยู่อย่างร่มเย็นเป็นสุข
เดี๋ยวนี้แม้แต่เจ้าหน้าที่ชลประทานที่ออกไปทำงานเพื่อช่วยข้าพเจ้าหาแหล่งน้ำ ช่วยเหลือชาวไร่ ชาวนาในโครงการพระราชดำริ ก็ถูกฆ่า ผู้พิพากษานั้นน่าสงสารที่สุด ผู้พิพากษาอายุยังไม่ 40 เลย ลูกก็ยังเล็กๆ ก็ถูกฆ่า ติดไฟแดงแล้วก็ถูกฆ่า ไม่ทราบว่าเมืองไทยเราปล่อยได้อย่างไร พวกคนไทยเราเนี่ย ท่านทราบแล้ววันนี้ ท่านก็ไม่ควรปล่อย ต่างคนต่างคิด ปรึกษากันว่าควรจะทำอย่างไร ช่วยรัฐบาลของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ดูแลคนไทยด้วยกันให้ได้อยู่ร่มเย็นเป็นสุข แม้แต่พระสงฆ์ก็โดนทุบ โดนฆ่า เพียงแต่ออกไปบิณฑบาตซึ่งแต่ก่อนไม่เคยมีเลย เพราะที่นั่นก็เป็นดินแดนของคนไทยอิสลาม เขาก็ไม่เคยแตะแม้แต่โจรแบ่งแยกดินแดนเขาก็ไม่เคยแตะ วัดไทยเขาก็ไม่เคยแตะ ทำคนบริสุทธิ์เลย เขาจะสู้กับทหาร ตำรวจอะไรของเขาไป ก็ไม่เคยรังแกชาวบ้านที่ไม่สามารถช่วยตนเองได้ และการฆ่าก็ไม่เหมือนปกติ เป็นการกระทำที่โหดร้ายทารุณ ซึ่งข้าพเจ้าก็ไม่ยอมเชื่อว่าเป็นการกระทำของชาวไทย-มุสลิม ที่ข้าพเจ้าเคยพบและรู้จักมานานกว่า 30 ปี ที่เคยรู้จักใกล้ชิดมันไม่ใช่เขา มันเป็นอะไรมาจากไหนก็ไม่ทราบ
ข้าพเจ้าก็จะวิงวอนขอร้องท่านทั้งหลายให้ร่วมกัน ร่วมกันทำอย่างไรข้าพเจ้าก็จะไม่ขอพูดละเอียด เพราะบางครั้งข้าพเจ้าก็คิดไม่ถึง แต่ขอให้ท่านแสดงออกถึงความห่วงใยต่อประชาชนคนไทยถึงแม้จะอยู่ไกลถึงภาคใต้ ที่ถูกรังแกเอาชีวิตอย่างน่าสงสารที่สุด ข้าพเจ้าก็เลยคิดถึงท่านทั้งหลายเนี่ย ที่เป็นผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภา ผู้แทนองค์กรอิสระ ผู้แทนมูลนิธิ สมาคม สโมสร สภา คณาจารย์ นิสิต นักศึกษา ลูกเสือชาวบ้าน ไทยอาสาป้องกันชาติและสื่อมวลชน ช่วยกันคิดอ่านหาทางยุติการฆ่าฟันรายวันเพราะเดี๋ยวนี้ แต่ก่อนตอนข้าพเจ้ายังอยู่อย่างมากก็ วันละ 2 คน แต่เดี๋ยวนี้เมื่อข้าพเจ้ากลับมาแล้วบางวันก็ 8 คน
ท่านทั้งหลายน่าจะช่วยกัน ช่วยรัฐบาลของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ช่วยกันคิด ช่วยกันยุติ เหตุการณ์ฆ่าอย่างนี้ ไม่ได้บอกให้วิ่งถืออาวุธลงไปช่วย แต่แสดงพลังทางใจก็ได้ พร้อมใจแสดงความไม่พอใจ แต่ข้าพเจ้าคิดว่า คนไทยทุกคนควรจะมีส่วนร่วมในการแก้ปัญหา ไม่ใช่มอบให้เป็นหน้าที่รัฐบาลฝ่ายเดียว ตั้งแต่เดือน ม.ค.จนถึงบัดนี้ ผู้ที่ถูกฆ่าประจำวัน เสียชีวิตไปกว่า 300 คนแล้ว คนที่บริสุทธิ์ตายทุกวัน ซึ่งข้าพเจ้าเองก็หมดสติปัญญา
ต้องขอร้องนายกฯ คณะรัฐบาล ก็ทราบว่ามีรายชื่อมากในคนที่ถูกยิง ซึ่งข้าพเจ้าอยากแจ้งให้ทราบว่า เมื่อข้าพเจ้าอายุ 72 ปีนั้น ก็ได้รับเงินบริจาคจากท่านทั้งหลายเอง เป็นจำนวนมาก คนโน้นให้ที คนนี้สมาคมต่างๆ ก็ได้เอาเงินนี้ไปซื้อที่ จ.นราธิวาสไว้ 600 ไร่ มีความตั้งใจว่า จะเอาพวกภรรยา และครอบครัวของคนที่ถูกฆ่าเช่นเป็น ตำรวจ ตำรวจผู้น้อย สิบตำรวจเอก หรือจ่าสิบเอก หรือจ่าสิบโท ที่ถูกฆ่า เพราะอยู่เวรที่โรงพัก เช้าจะกลับบ้านก็โดนยิงนับไม่ถ้วน 300 กว่ารายแล้ว ข้าพก็พร้อมกับราชองครักษ์ ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่พระราชทานให้มาอยู่กับข้าพเจ้าก็ไปซื้อที่ และช่วยทางเกษตร และประมงไปช่วยกัน จนเดี๋ยวนี้กำลังสร้างบ้านให้พวกแม่ม่ายที่ยากจน และมีลูกเล็กๆ และก็ไม่ทราบจะดำเนินชีวิตอย่างไร
ทีแรกข้าพเจ้าก็คิดว่า จะเอาเงินที่ท่านทั้งหลายให้ ให้ทุกครอบครัว แต่ไม่มั่นใจว่า ให้เป็นเงินจะมีประโยชน์เท่ากับให้ที่แต่ละคน แต่ละพวก ที่ 2 ไร่ และบ้านหลังหนึ่ง และสอนวิธีการเลี้ยงปลา ปลูกพืชพันธุ์ธัญญาหารต่างๆ ซึ่งตอนนี้เขาก็กำลังสร้างบ้านอยู่ และมีคนทยอยเข้าไป ที่เราตรวจสอบแล้วว่า เป็นผู้ที่โดนฆ่าในหน้าที่จริงๆ ค่อยๆ เข้าไป ท่าเขาก็มีความสุขเพิ่มขึ้น เลยจะขอบพระคุณท่านทั้งหลายผู้เป็นเจ้าของเงิน และก็ให้ทราบว่า ข้าพเจ้าเอาเงินไปทำอะไร และอีกอย่างที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงปลาบปลื้มนัก รับสั่งว่า นักวิชาการของไทยเก่งมาก เก่งเหลือเกิน ไม่ว่าทางเกษตร ทางประมง ทางป่าไม้ ทาง...ช่วยข้าพเจ้าให้สามารถช่วยชาวบ้านได้สำเร็จ ข้าพเจ้าก็คิดว่า ข้าพเจ้ากลับมานี่แล้วก็ ถึงอายุ 72 ก็ตาม ก็เห็นจะฝึกยิงปืนขึ้นมาอีกล่ะ แก่เฒ่าแก่ ก็เอาพวกแก่ๆ นี่ไปหัดยิงปืน ได้แค่ไหนก็แค่นั้น ก็ยังดีกว่าจะต้องให้คนคอยดูแล
ต่อไปนี้เป็นรายชื่อพวกผู้ที่เสียชีวิตต่างๆ ข้าพเจ้าก็คิดว่ารายละเอียดต่างๆ ก็คงไม่ต้องเล่าให้ท่านฟังแล้ว มีร้านขายข้าวต้มเป็นคนไทย-จีน เขาขายราคาถูก ขายดีและก็มีคนไปนั่งรับประทานอยู่เสมอ เกิดโดนวางระเบิด ผู้คนเจ็บป่วยเป็นจำนวนมาก น่าสงสารมาก เดี๋ยวนี้ไม่ใช่ใช้ยิงเฉย ๆ ใช้วางระเบิดด้วย ชื่อร้านขายข้างต้มอั้งม้อ ตอนนี้พังไปหมดแล้ว มีคนบาดเจ็บ 15 คน สาหัส 4 คน และมีเด็กเล็กๆ ได้รับบาดเจ็บด้วย เท่าที่ข้าพเจ้าสังเกตดูเนี่ยคนร้ายมักจะลอบประทุษร้ายเฉพาะคนที่ไม่มีหนทางต่อสู้ ก็เลยขอขอบพระคุณท่านทั้งหลาย ที่ช่วยให้กำลังใจข้าพเจ้าแล้วก็มาฟังกันในวันนี้ ทั้งท่านนายกรัฐมนตรี ซึ่งก็ไม่ค่อยสบายอยู่ด้วย แต่ท่านนายกฯ ก็ ตอนที่ข้าพเจ้าอยู่นราธิวาส ก็ไปเสมอ ไปเยี่ยมเยียน ไปดูแลทุกข์สุขเสมอ
ข้าพเจ้าก็ทราบดี นายกฯ ก็ต้องวิ่ง แต่คิดว่าไม่ควรมอบให้เป็น เรียกว่าโมะให้เป็นหน้าที่รัฐบาลอย่างเดียว คนไทยทั้งชาติก็มีหน้าที่ต้องตอบแทนพระคุณของแผ่นดิน เพราะฉะนั้นข้าพเจ้าถึงต้องมานั่งพูดวันนี้ ขอร้องท่าน ขอให้ท่านช่วยเพื่อนไทยด้วยกัน ซึ่งเป็นคนสะอาด สุจริต เขามีอย่างเดียวก็ทำมาหากินของเขา แต่ขณะนี้ทำมาหากินก็ไม่ได้ ตายลูกเดียว จะให้เขาอพยพออกมาจากผืนดินที่ปู ย่า ตา ยาย เขาหามาเนี่ย ก็ได้แต่ข้าพเจ้าก็ยังมองไม่เห็นว่าจะอพยพคนไทยจำนวน 300,000 ไปอยู่ที่ไหนกันบ้าง และให้เขาทำกินอย่างไร มันก็คงเป็นปัญหาใหญ่ ครั้นจะปล่อยให้โดนฆ่าตายทุกวันๆ มันก็แย่เหมือนกัน แย่ทั้งนั้น
เพราะฉะนั้นท่านเองก็เป็นผู้ที่มีสติปัญญา เป็นเจ้าของแผ่นดินไทยและเป็นผู้ที่ควรตอบแทนพระคุณแผ่นดินก็คงจะช่วยข้าพเจ้า ช่วยกันคิดว่าควรจะทำอย่างไรบ้างที่พยายามที่จะช่วยชีวิตคนไทยประมาณ 300,000 คน ทางภาคใต้ ให้เขามีทางที่จะทำมาหากินและได้มีชีวิตอยู่ ขอให้เขามีสิทธิ์ที่จะมีชีวิตอยู่ อยากจะพูดกับพวกสิทธิมนุษยชนว่า พวกนี้ไม่ได้ทำบาปทำกรรมอะไรเลย เขาก็มีสิทธิ์ น่าจะมีสิทธิ์ที่จะมีชีวิต ทำมาหากินในประเทศของเขาอย่างสงบสุข ไม่อย่างนั้นก็โดนฆ่าไปเรื่อยๆ ตลอดเวลา ก็ขอขอบพระคุณทุกท่านที่อุตส่าห์มาฟังในวันนี้ และขอขอบพระคุณท่านนายกรัฐมนตรี และคณะรัฐบาลนะคะ ที่ช่วยกันพยายามแก้ปัญหาอย่างยิ่ง และข้าพเจ้าก็สัญญาว่า ข้าพเจ้า 72 แล้ว จะไปหัดยิงปืนใหม่แล้ว โดยไม่ต้องใส่แว่น ก็ยิงมันไปก็แล้วกัน ขอบพระคุณค่ะ ขอบพระคุณมาก"
ประชาไทรายงาน
https://prachatai.com/journal/2004/11/1246