วันอังคาร, ตุลาคม 29, 2567
"ความไม่สงบในชายแดนใต้: การทุ่มงบกว่า 400,000 ล้านบาทกับคำถามที่ยังไร้คำตอบ
Research Cafe
3 days ago
·
"ความไม่สงบในชายแดนใต้: การทุ่มงบกว่า 400,000 ล้านบาทกับคำถามที่ยังไร้คำตอบ"
.
ปัญหาความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ของประเทศไทยเป็นเรื่องที่มีความซับซ้อนและกินเวลายาวนาน เกิดจากปัจจัยหลายด้าน ทั้งประวัติศาสตร์ การเมือง สังคม และวัฒนธรรม โดยในช่วงสองทศวรรษที่ผ่านมา จนถึงเดือนเมษายน 2567 เกิดเหตุการณ์ความไม่สงบขึ้นถึง 22,495 ครั้ง มีผู้เสียชีวิต 7,594 คน และบาดเจ็บ 14,122 คน ทรัพย์สินเสียหายเป็นจำนวนมาก แม้รัฐบาลจะใช้งบประมาณกว่า 400,000 ล้านบาท และส่งกำลังทหาร ตำรวจ รวมถึงพลเรือนเพื่อควบคุมสถานการณ์ แต่ปัญหายังคงอยู่ และยังไม่มีแนวโน้มที่จะคลี่คลายลง
.
เพื่อแก้ไขปัญหานี้ สกสว. ได้สังเคราะห์มูลงานวิจัยชายแดนใต้ ภายใต้การสนับสนุนงบประมาณของกองทุนส่งเสริมวิทยาศาสตร์วิจัยและนวัตกรรม แก่ ศ.ดร.อนุสรณ์ อุณโณ ภายใต้การสนับสนุนของ สกสว. เพื่อสื่อสารและทำความเข้าใจ กับงานวิจัยชายแดนใต้ ซึ่งมีข้อเสนอที่สำคัญ แบ่งออกเป็น 5 ด้านหลัก ได้แก่ รูปแบบการปกครอง วัฒนธรรม กฎหมายและกระบวนการยุติธรรม เศรษฐกิจและการพัฒนา และการศึกษา ซึ่งทั้งหมดนี้จะช่วยให้การแก้ปัญหามีความรอบด้านและสอดคล้องกับความต้องการของประชาชนในพื้นที่
.
1) ปัญหาการปกครองและการมีส่วนร่วม :
ความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ของประเทศไทยมีรากฐานมาจากปัญหาทางการเมืองและความสัมพันธ์ระหว่างรัฐกับท้องถิ่น โดยชาวมลายูมุสลิมรู้สึกว่าระบบการปกครองไม่สอดคล้องกับวัฒนธรรมและสิทธิเสรีภาพของพวกเขา จึงมีข้อเรียกร้องเริ่มต้นในการแยกตัวเป็นเอกราช (Merdeka) แต่แนวคิดนี้มีความท้าทายมากเกินไป งานวิจัยจึงเสนอเป้าหมายในการแก้ปัญหาคือการส่งเสริม “สิทธิในการกำหนดชะตากรรมตนเอง” (Right to Self-Determination) ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากเยาวชนและกลุ่มที่ไม่ใช้ความรุนแรง แต่ต้องเผชิญกับการต่อต้านจากฝ่ายความมั่นคงและชาวไทยพุทธ อีกแนวทางหนึ่งคือการเสนอโครงการ “อัตบัญญัติ” (Autonomy) หรือการปกครองท้องถิ่นแบบพิเศษ เพื่อให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการตัดสินใจ นอกจากนี้ การจัดตั้ง “ทบวงการบริหารการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้” และการสร้างกระทรวงที่รับผิดชอบโดยตรงก็เป็นทางเลือกที่เสนอ แต่อาจมีความขัดแย้งและการไม่เห็นด้วยจากหลายฝ่าย ข้อเสนอในการสร้าง “จังหวัดจัดการตนเอง” (Self-Managed Province) และการปรับปรุงระบบราชการเพื่อเพิ่มความชอบธรรม (Legitimacy) ยังไม่ได้รับการสนับสนุนเพียงพอ การแก้ปัญหาความไม่สงบจึงจำเป็นต้องปรับความสัมพันธ์ระหว่างศูนย์กลางและท้องถิ่น โดยให้ท้องถิ่นมีอำนาจในการตัดสินใจตามวัฒนธรรมและความต้องการของพวกเขา พร้อมกับการผลักดันกระแสการปกครองท้องถิ่นแบบพิเศษภายใต้บรรยากาศประชาธิปไตยที่เหมาะสม
.
2) ปัญหาด้านวัฒนธรรมและศาสนา :
โดยเฉพาะในแง่ของชาติพันธุ์และศาสนา ชาวมลายูมุสลิมที่รู้สึกถูกกดทับหลังจากการรวมเป็นส่วนหนึ่งของสยามมีการต่อต้านต่อหลักการ "ความเป็นไทย" และพุทธศาสนา การตีความศาสนาอิสลามที่เข้มงวดและการเชื่อมโยงกับกลุ่มอิสลามสุดขั้วสากลก่อให้เกิดความตึงเครียดในพื้นที่ ปัจจุบัน กลุ่มเคลื่อนไหวได้ปรับใช้ศาสนาเพื่อสร้างความชอบธรรมให้กับปฏิบัติการของตน โดยมีครูและผู้นำศาสนาอิสลามเป็นทั้งผู้สนับสนุนและเหยื่อ ขณะเดียวกัน ชาวไทยพุทธเริ่มต่อต้านการแสดงออกอัตลักษณ์ศาสนาอิสลาม ส่งผลให้เกิดความเหินห่างและความหวาดระแวงระหว่างสองกลุ่ม เพื่อแก้ไขปัญหานี้ จำเป็นต้องเสนอแนวคิดพหุวัฒนธรรม (Multiculturalism) ที่เคารพความหลากหลายทางวัฒนธรรม รวมถึงการส่งเสริมการศึกษาและการปกครองที่สอดคล้องกับวัฒนธรรมท้องถิ่น เช่น การใช้ภาษามลายู การดำเนินการควรใช้แนวคิดพหุวัฒนธรรมเชิงวิพากษ์ (Critical Multiculturalism) และแนวคิดสหวัฒนธรรม (Interculturalism) ที่เน้นความสัมพันธ์ระหว่างกลุ่มต่างๆ พร้อมทั้งสร้างพื้นที่กลางและกิจกรรมที่สะท้อนชีวิตจริงของประชาชน โดยแยกปฏิบัติการด้านความมั่นคงออกจากวัฒนธรรม เพื่อให้การแก้ปัญหาเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืนในระยะยาว
.
3) ปัญหาด้านกฎหมายและสิทธิมนุษยชน :
โดยเฉพาะการใช้กฎหมายพิเศษซึ่งมีผลกระทบอย่างมากต่อหลักนิติธรรมและสิทธิของประชาชน ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2547 ได้มีการประกาศใช้กฎหมายพิเศษสามฉบับ ได้แก่ พระราชบัญญัติกฎอัยการศึก พระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน และพระราชบัญญัติการรักษาความมั่นคงภายใน ซึ่งส่งผลให้เกิดการละเมิดสิทธิเสรีภาพและสร้างความหวาดระแวงในหมู่ประชาชน นอกจากนี้ การบังคับใช้กฎหมายที่ไม่ชัดเจนทำให้ประชาชนไม่สามารถเข้าถึงข้อมูลเกี่ยวกับสิทธิของตนเองได้ ในด้านกระบวนการยุติธรรม ยังมีปัญหาหลายประการ เช่น หลักทรัพย์ในการประกันตัวที่สูงเกินไปและการเยี่ยมญาติที่ถูกเฝ้าติดตาม การปรับปรุงกฎหมายจึงเป็นสิ่งสำคัญ โดยควรพิจารณายกเลิกการใช้กฎหมายพิเศษที่ไม่จำเป็น และปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและความโปร่งใส นอกจากนี้ควรมีการเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากความไม่สงบและศึกษากลไกทางกฎหมายที่ประสบความสำเร็จจากประเทศอื่นเพื่อช่วยในการฟื้นฟูและกลับคืนสู่สังคม การดำเนินการตามข้อเสนอเหล่านี้จะช่วยลดความไม่สงบในพื้นที่และส่งเสริมความสงบสุขในระยะยาว
.
4) ปัญหาเศรษฐกิจและการพัฒนา :
สามารถมองได้จากสองมุมมองหลัก คือ ความยากจนและการพัฒนาที่ผิดพลาด มุมมองแรกชี้ว่า ความไม่สงบเกิดจากปัญหาความยากจนที่ส่งผลต่อรายได้และอัตราการว่างงานสูงในกลุ่มชาวมลายูมุสลิม การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและการศึกษาของรัฐไม่ได้ช่วยลดความไม่สงบอย่างมีนัยสำคัญ เพราะไม่ตอบโจทย์ความต้องการของชุมชน ขณะที่มุมมองที่สองชี้ว่าการพัฒนาของรัฐมักไม่สอดคล้องกับความต้องการของประชาชน ทำให้ชุมชนขาดการพึ่งพาตนเองและรู้สึกไม่เกี่ยวข้องกับการแบ่งแยกดินแดน นโยบายเชิงนโยบายที่เสนอจึงเน้นการใช้ “ทุนทางวัฒนธรรม” โดยส่งเสริมการพัฒนาท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมและธุรกิจที่สอดคล้องกับศาสนาอิสลาม ซึ่งต้องดำเนินการอย่างรอบคอบเพื่อหลีกเลี่ยงการเพิ่มความขัดแย้ง นอกจากนี้ การพัฒนาเศรษฐกิจและการจัดการทรัพยากร ควรคำนึงถึงสภาพสังคมวัฒนธรรมของชาวมลายูมุสลิมอย่างละเอียด และหลีกเลี่ยงการมองเพียงด้านเศรษฐศาสตร์ในการวิเคราะห์ปัญหา เพื่อให้การพัฒนาสอดคล้องกับความเป็นจริงของชุมชนและสร้างความร่วมมือที่ยั่งยืน
.
5) การศึกษาและการมีส่วนร่วมทางสังคม :
ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ การศึกษาและความไม่สงบมีความสัมพันธ์ที่ซับซ้อน โดยเฉพาะสถานศึกษาอิสลาม เช่น สถาบันปอเนาะและโรงเรียนตาดีกา ที่ถูกมองว่าเป็นแหล่งบ่มเพาะความคิดสุดขั้ว ปัญหาหลักในการเรียนการสอนเกิดจากเด็กมลายูมุสลิมขาดความมั่นใจในภาษาไทยและความเคร่งครัดในศาสนา ทำให้ไม่เข้าเรียนสายสามัญ ซึ่งมักถูกมองว่าเป็นช่องทางปลูกฝังอุดมการณ์รัฐและทำให้สูญเสียอัตลักษณ์ทางชาติพันธุ์ คุณภาพการศึกษาในพื้นที่ต่ำ โดยสะท้อนจากผลการเรียนที่ต่ำกว่ามาตรฐานและการปิดโรงเรียนบ่อยครั้งเนื่องจากความรุนแรง ข้อเสนอแนะในการแก้ไขรวมถึงการจัดหลักสูตรพหุวัฒนธรรมที่สร้างความรู้สึกเชิงบวก การเปิดโอกาสให้เรียนรู้จากประวัติศาสตร์ที่หลากหลาย และการเชื่อมต่อระหว่างเด็กไทยพุทธกับมลายูมุสลิมในโรงเรียนรัฐ การศึกษาไม่ควรเป็นเครื่องมือสร้างความขัดแย้ง แต่ควรเป็นเครื่องมือเสริมสร้างความเข้าใจและความร่วมมือระหว่างกลุ่มชาติพันธุ์ที่แตกต่างกัน การพัฒนาหลักสูตรที่เปิดกว้างและการปรับปรุงคุณภาพการศึกษาเป็นสิ่งจำเป็นในการลดปัญหาและสร้างสังคมที่สงบสุขมากขึ้นในพื้นที่ที่มีความขัดแย้ง
.
สุดท้ายงานวิจัยเผยว่าการแก้ไขปัญหาความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ของประเทศไทยจำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน โดยเฉพาะการมีส่วนร่วมของชุมชนท้องถิ่น ซึ่งต้องได้รับการรับฟังเสียงและความต้องการอย่างจริงจัง ผ่านการสร้างโอกาสในการกำหนดชะตากรรมตนเองและการพัฒนาระบบการปกครองที่เหมาะสม นอกจากนี้ การสร้างความเข้าใจที่แตกต่างผ่านการศึกษา การส่งเสริมวัฒนธรรมพหุวัฒนธรรม และการปรับปรุงกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม จะเป็นแนวทางสำคัญในการลดความขัดแย้งและสร้างสังคมที่มีความสงบสุขอย่างยั่งยืน ความสำเร็จในครั้งนี้ไม่เพียงแต่จะช่วยให้ประชาชนในพื้นที่มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น แต่ยังสร้างความเข้มแข็งให้กับความสามัคคีในสังคมไทยโดยรวม
.
.
#TSRI #สกสว #สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์วิจัยและนวัตกรรม #เคลื่อนไทยด้วยวิทยาศาสตร์วิจัยและนวัตกรรม #ResearchCafe #ยะลา #ปัตตานี #นราธิวาส #สามจังหวัด #การศึกษา #อิสลาม #พุทธ #สงคราม #ภาคใต้