อย่างที่ ‘ช่อ’ พรรณิการ์ วานิช ว่านั่นละ “จับได้จับไปเลย ตอนนี้ทุกคนคือแกนนำ” ชุมนุม ๑๕ ตุลา ที่ ‘ราษฎร์ประสงค์’ คือสัจจธรรม คนไปร่วมล้นหลามตั้งแต่สี่โมงถึงสี่ทุ่มเป๊งยุติทันทีอย่างมีระเบียบพร้อมเพรียง หลังจากครึกครื้นกับเพลง
“One two three four five, I hear Oh.” ทั้งร้องทั้งเต้น สนั่นทั่วบริเวณที่เมื่อปี ๕๓ จบลงด้วยความระห่ำของ ‘ขี้ข้าเผด็จการ’ ในเครื่องแบบออกศึก ห้ำหั่นพี่น้องประชาชน แต่เมื่อคืนเต็มไปด้วยความเรียบร้อย เป็นสัญญา เจอกันอีก ๕ โมงเย็นวันนี้
ซ้ำก่อนกลับ น้องๆ นักเรียนหญิงมัธยมถือถุงดำช่วยกันเก็บขยะอย่างสนุกสนาน ปากพร่ำตะโกนเป็นทำนองค่อนข้างเสนาะ “ใครมีตู่ทิ้งตู่ ใครมีปารีณาทิ้งปารีณาค่า ตู่ที่แปลว่าขยะ อะค่า” ก่อนหน้านี้ก็น้องนักเรียนหญิงนี่แหละที่ช่วยกันดันแผงกั้นของแนวตำรวจร่นไป
“ก่อนยุติชุมนุมมีข้อเรียกร้อง ๓ ข้อ ๑.จนท.รัฐ หันมาอยู่ฝ่ายประชาชน ๒.ยกเลิกสถานการณ์ฉุกเฉินทันที ๓.#ปล่อยเพื่อนเราอย่างไม่มีเงื่อนไข หากไม่มีการปฏิบัติตามจะยกระดับการชุมนุมในครั้งหน้าอย่างแน่นอน” (@prachatai)
การประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน ‘ร้ายแรง’ ของตู่ พร้อมตั้งกองอำนวยการณ์ร่วม กอร.ฉ. ไม่มีความหมาย เพราะไม่มีอะไรจะให้ฉุกเฉิน มิใยจะได้รับการปั่นจากพวก ‘ดักดาน’ อำนาจนิยม อย่าง ‘I-D’ นิติพงษ์ ห่อนาค หรือ นันทเดช เมฆสวัสดิ์
รายหลังนี่มียศถึงพลโท ทำเป็นวิเคราะห์มั่วๆ ว่ายุติการชุมนุมสี่ทุ่มเพราะเป็นเวลารถไฟฟ้าหยุดเดิน “กองหน้าที่ล้วนเป็นเด็กๆ นักเรียนประมาณ ๕ พันคน ได้เริ่มทะยอยกลับบ้าน” ซึ่งมั่วเพราะตอนยุติม็อบคนก็ยังแน่น อาจจะกลับไป ๕ พัน ที่เหลือก็ ๕ พัน
ส่วน ‘ไอดี’ (มีไม้โท) นั้นออกลูก ‘เฮีย’ (มีไม้เอก) ถึงขั้นโพสต์ว่า ตอน ๖ ตุลาจำได้ “สาเหตุที่เป็นชนวน มันเล็กน้อยกว่าวันนี้มาก #ทำอะไรสักอย่างเถิดจ๊ะ #คนไทยแท้เริ่มหายใจไม่ออกแล้ว” เรียกร้องชัดเจนให้มีการเข่นฆ่า ‘ยิ่งกว่า’ ๖ ตุลา
ประเด็นไม่ได้อยู่ที่ปากคอสามหาวขนาดไหน ชวนให้เอาอะไรยัด แต่อยู่ที่การหลงตัวว่าเป็น ‘ไทยแท้’ ในเมื่อผลงานวิจัยทางประวัติศาสตร์โดย สุจิตต์ วงษ์เทศ ตีพิมพ์ใน มติชน เมื่อ ๒๘ กุมภา ๖๒ ระบุชัดแจ้งเสียยิ่งกว่า ว่า “ไทยแท้ไม่เคยมี ที่มีล้วนลูกผสมร้อยพ่อพันแม่”
และแน่นอนว่าการสนุกสนานของเด็กๆ เป็นองค์ประกอบให้การชุมนุมราษฎร์ประสงค์คราวนี้ มีทั้งพลังและเสน่ห์ยิ่งกว่าครั้งก่อน ชนิดที่ผู้ชุมนุมครั้งนั้นหลายคนอุตส่าห์เดินทางจากต่างจังหวัดเข้ามาร่วม @PONGTHEPP โพสต์ทวิตเตอร์ว่าพบคุณยายคนหนึ่ง
“ยายนั่งรถไฟมาคนเดียว พอนักข่าวถามแกร้องไห้อะ บอกว่าเสียใจที่ต้องกลับมาอีก อห. (จะเอาโอ้โหหรือไอ้ห่า สุดแท้แต่อารมณ์) ขนลุกวะ” เช่นกันกับ @mmmooyor ว่า “วันนี้เจอคุณยายอายุ ๘๓ มาคนเดียวคุณยายบอกว่าฝากอนาคตไว้ที่หลานๆ
ทุกคนเก่งมากอย่าไปกลัวมัน ยายบอกไปตั้งแต่ตอน ๑๔ ตุลา ตอนนั้นโดนตีและโดนตามไปถึงบ้าน ใครเจอคุณยายก็ฝากดูแลด้วยน้า” ทำให้เกิด ‘ไอค่อน’ ขึ้นมาเป็นประกาศ ‘ม้อบมีที่นอน @mobmeeteenon’ ว่าใครพบผู้สูงอายุมาจากต่างจังหวัดให้แจ้ง
@AloNe_enjoyy บอก “ยังไงพรุ่งนี้ชุมนุมอีก ถามคนข้างๆ ว่าคืนนี้มีที่นอนหรือยัง ช่วยประสาน” จะจัดหาที่นอนฟรีให้ “ไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆ + ปลอดภัย” ลักษณะแห่งการเอื้ออาทรต่อเพื่อนมนุษย์อย่างนี้ มองไม่เห็นมีอยู่ในกมลสันดานของนิติพงษ์และนันทเดช
ไม่ว่า “ศาลเชียงใหม่ไม่ให้ประกันอานนท์ ประสิทธิ์ ศาลธัญบุรีไม่ให้ประกันรุ้ง เพนกวิน ณัฐชนน ศาลอาญาไม่ให้ประกันไผ่ ศาลแขวงดุสิตไม่ให้ประกันเอมมี่และอีก ๑๘ คน ทั้งที่ไม่ใช่แกนนำ ต่างศาลคำสั่งพิมพ์เดียวกันเป๊ะ” อย่างไร
พร้อมทั้งมีออกประกาศหมายจับบรรดาแกนนำอีก ๒๔ คน รวมทั้ง ไม้ค์ ภาณุพงศ์ ลูกเกด ชลธิชา อั๋ว จุฑาทิพย์ ตูน เธนตร และมายด์ ภัสราวลี จะอย่างไรก็ตามไม่ทำให้พลังของคนรุ่นใหม่อ่อนแรงได้ ดังปรากฏอีกครั้งเมื่อคืน ๑๕ ตุลาคม
ต่างผลัดเปลี่ยนเวียนกันขึ้นปราศรัย ต่างร่วมแรงร่วมใจจัดตั้งเวทีย่อย และนั่งฟังพร้อมชูสามนิ้ว รวมทั้งบางตอนร่วมหรรษารื่นเริงกับเสียงเพลงและดนตรี กันอย่างมี ‘dynamics’ เป็น ‘พลวัต’ สมดังคำสรุปของ ยิ่งชีพ (เป๋า) @yingcheep แห่งไอลอว์
“เป็นการชุมนุมที่เตรียมตัวเหี้ยที่สุด มีเวลาคิดไม่ถึง ๒๔ ชั่วโมง การ์ดเท่าที่มีวันก่อนทำงาน ๒๔ ชม. เหนื่อยหมดแล้ว คนที่เคยนำหลักๆ ถูกจับติดคุกไปแล้ว เครื่องเสียงก็ไม่มี เวทีก็ไม่มี ไฟก็ไม่มี สัญญาณเน็ตก็ไม่มี แต่ออกมาสวยงามที่สุด วันนี้แค่นี้ก็ชนะแล้ว”