ปกติ มันเป็นข้อสังเกตุตามสามัญสำนึกว่า ‘คนที่ (มุ่ง) ทำ ไม่ค่อยพูด คนช่างพูดไม่ค่อยทำ หรือทำไม่ได้” เอาไปใช้เหมาะเจาะกับคนที่อยากจะเป็นนายกรัฐมนตรีอีกสมัย
โดยวิธีพิเศษ ชุบตัวด้วยการเลือกตั้งที่วางหมาก จัดกติกา วางตัวคนหนุนไว้พร้อมสรรพ
วานนี้ (๑๒ มีนา) ‘ไอทู้บ ๐.๔’ พูดเยอะ
เลอะบ้างไม่เลอะบ้างอย่างถนัดเขาละ เรื่องหนึ่ง “ผมเป็นทหารก็เป็นอย่างนี้ และต้องทำให้สำเร็จ
ถ้าไม่สำเร็จกลับบ้านไม่ได้...ถ้ามีรบมีปะทะ ถ้าแพ้ก็กลับบ้านไม่ได้
ก็ตายอย่างเดียว”
เขาพูดถึงการเลือกตั้ง และการที่ตนเองจงใจจะเป็นนายกรัฐมนตรีอีกครั้ง
ผ่านทางการเสนอชื่อของพรรคพลังประชารัฐ แบบ ‘คนในที่รออยู่ข้างนอก’ หรือ ‘คนนอกที่เข้ามาอยู่ข้างใน’ อย่างไรตาม สุดแต่จะเรียก ในกระแสซึ่งมีแต่ข้อกังขาตามหน้าสื่อ
ไม่ว่าจะพยายามอธิบายเรื่องในสมรภูมิเป็นอย่างไร
เสี่ยงแค่ไหน (ทั้งที่ไม่เคยไป และที่เคยแน่ๆ ก็คือ ดีดกิตาร์ไร้สาย) “ผู้บังคับบัญชาข้างหลังพิจาณาแล้วว่าเป็นการเสี่ยงที่ไม่คุ้มค่า
เขาอาจสั่งถอนก็ได้ ผมก็ต้องถอน”
ฟังแล้วมันย้อนแย้งกันเองในคำพูดคราวเดียวกันนี่น่ะ
ไม่เท่านั้นมีคำถาม (ขออนุญาต independence @redbamboo16 ถือวิสาสะเอามาใช้ตรงนี้)
สักนิดว่า “ใครคือผู้บังคับบัญชา” ของคุณ อยู่มา ๕ ปีใช้อำนาจเบ็ดเสร็จ ม.๔๔
ออกคำสั่งต่างๆ นานาเป็นร้อย แล้วยังตั้งลิ่วล้อมาแก้กฎหมาย เขียนใหม่
ให้แต่คุณแก่ตน
อีกเรื่องพูดถึง สว.ตั้งเอง ๒๕๐ คน ที่ตอนนี้พร้อมแล้วสำหรับประกาศหลังรู้ผลเลือกตั้ง
ส.ส. (ทบทวนความจริงอีกครั้งว่า ในจำนวนทั้งหมดนั้น ๖ คนคือแม่ทัพนายกองที่กำหนดให้เป็นโดยตำแหน่ง
อีก ๕๐ คนมาจาก คสช.คัดเอาจากที่มีการเลือกกันเองในหมู่ผู้สมัครได้ ๑๕๐ คน
กับอีก ๑๙๔ คน คสช. โดยคณะกรรมการของ คสช. เองที่ไม่ยอมเปิดหน้าว่าเป็นใครบ้าง
บอกแต่ว่ารองหัวหน้า คสช. ประวิตร วงษ์สุวรรณ คนมีนาฬิกาหรูแยะๆ เป็นผู้กำกับ)
ตามโพยระบุให้อยู่ในอำนาจ (เลือกตัวนายกฯ) ๕ ปี สองรัฐบาล
ประยุทธ์อ้างว่าที่ต้อง (เอาเปรียบ) อย่างนี้เพื่อให้มีสมดุล
เพราะถ้า “ทั้งหมดเลือกตั้งมาด้วยกัน
ซึ่งอย่างนั้นน่ากลัวกว่า” (ขอความกรุณาผู้อ่านอดใจกันไว้ก่อนหน่อย
คำพูดจะมั่วซั่วแค่ไหน ก็ยังไม่ถึงที่สุด) เมื่อเขาต่อความว่า
“อย่างน้อยก็สร้างความสมดุลได้ไปก่อนในช่วงแรก
๕ ปี ระหว่างนั้นถ้ามีอะไรดีขึ้นเริ่มนิ่งก็ลดสัดส่วน เอาคัดสรรออกไปสักหน่อย
เอาเลือกตั้งเข้ามาแทนเป็นระยะๆ ในวันหน้า” ต้องฟังดีๆ
มันมีความนัยแอบแฝงระหว่างบรรทัด
สว. ชุดตั้งเอง ๒๕๐ คนนี้ที่กำหนดให้อยู่ ๕
ปี นั่นเป็นเพียง ‘ช่วงแรก’ เท่านั้นนะพ่อแม่พี่น้อง ต่อไปหลังจากนั้น “ถ้ามีอะไรดีขึ้น”
ถึงจะยอมลดสัดส่วน ค่อยเป็นค่อยไป “เอาเลือกตั้งเข้ามาแทนเป็นระยะๆ” อีกไม่นานเท่าไร
ขอให้ทนรอ ทนรอ
(ขอบคุณข้อมูลจาก Wassana Nanuam และ
Deep Blue Sea https://www.facebook.com/100001454030105/posts/2222252901166489?sfns=mo)
ก็เนอะ จะว่า ‘ตอแหล’ หรือก็เบื่อขี้ปากตัวเอง ทั้งชี้ทั้งจี้อย่างนั้นมาตลอดทุกบ่อย
เฮียเค้าไม่เคยได้ยินได้ฟัง
แต่ต้องมาจี้อีกก็เพราะเดี๋ยวนี้ลิ่วล้อเอาอย่างกันเป็นทิวแถว กกต. หนึ่งละตัวดี
วานนี้เช่นกันทั่นเลขาฯ ออกมาจ้อ
พ.ต.อ.จรุงวิทย์ ภุมมา
พูดถึงเรื่องจัดการเลือกตั้ง เอกสารต่างๆ ไม่เรียบร้อย ไม่สมบูรณ์
การเลือกตั้งล่วงหน้าและนอกราชอาณาจักรขุกขลัก บัตรหายบัตรไปไม่ถึงมือ
ซ้ำคาดไมถึงมีคนต้องการเลือกตั้งมากเกินคาด
ความผิดพลาดเหล่านั้น ต้องทนฟังทั่นเลขาฯ
แก้ตัวไป ยกประโยชน์ให้จำเลย ‘Human errors’ แต่พอมาถึงเรื่องจะเข้าเนื้อเจ้านายของทั่นนั่นสิ
เล่นใช้ ‘compulsive habit’ (บางแห่งเขาแปลว่า ‘สันดานเสีย’) มาแก้
อย่างตอนที่ถูกถามว่าคดีโต๊ะจีนระดมทุนของพรรคพลังประชารัฐไปถึงไหน
พ.ต.อ.จรุงวิทย์ตอบว่า “จากการตรวจสอบนิติบุคคล
๔๐ ราย และบุคคล ๘๔ คนที่บริจาคเงิน ไม่พบการบริจาคจากต่างชาติ
จึงถือว่าไม่มีความผิดเข้าข่ายยุบพรรค”
อ้าว
มีใครเขา “ยื่นให้ กกต.สอบประเด็นต่างชาติบริจาคโต๊ะจีน” เหรอ “จริงๆ
ต้องตรวจสอบกรณีหน่วยงานของรัฐร่วมบริจาคเงินหรือไม่ หรือเปล่า” (@joydaynapas เค้าถาม)
หนักไปกว่านั้น เห็นข่าวอมรินทร์ทีวีรายงานว่า
พรรค พปชร.นำหลักฐานโพสต์ของผู้ใช้เฟชบุ๊ครายหนึ่ง
เข้าแจ้งความดำเนินคดีข้อหานำลงข้อมูลเท็จ “พาดพิงกับตัวผู้สมัคร ส.ส.และ กกต.
จนอาจสร้างความสับสนให้กับ ปชช.”
เนื่องมาจาก
จดหมายของ กกต.ส่งเอกสารแนะนำวีการและระเบียบการเลือกตั้งถึงมือผู้รับรายหนึ่ง
ในนั้น “มีใบปลิวของพรรคลุงแนบมา” ผู้รับจึงถ่ายภาพโพสต์พร้อมข้อความ “...แบบนี้สมคบคิดหรือไม่
ไม่ยุติธรรมนะ กกต.”