น่าจะเป็นอย่างที่ ธนาพล อิ๋วสกุล
บก.ฟ้าเดียวกัน ฟันธงไว้ว่าเหตุที่ทำให้ กกต. ออกมาแถลงรอบสองเมื่อวันศุกร์ แจ้งผลเลือกตั้ง
๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ เป็นเพราะทนโฆษกพรรคอนาคตใหม่เอาไฟรนก้นไม่ไหว
คุณ ‘ช่อ’ พรรณิการ์ วานิช ร่วมกับเลขาธิการพรรค ปิยบุตร แสงกนกกุล เปิดแถลงข่าวหลังจากไปร่วมลงนามสัตยาบันต่อต้านการสืบทอดอำนาจของ
คสช. (และจะร่วมกันจัดตั้งรัฐบาลต่อไป) กับอีก ๕ พรรคการเมืองฝ่ายประชาธิปไตย
เรียกร้องให้ กกต.เปิดเผยผลคะแนนรายหน่วยในทันที
น.ส.พรรณิการ์ ถามว่าที่
กกต.บอกติดขัดเรื่องการจัดส่งคะแนนจากต่างจังหวัดเข้าส่วนกลาง ยังไม่มาอีก ๒๕
จังหวัดนั้น “ติดขัดอย่างไร” ในเมื่อเครือข่ายของพรรคการเมืองคอยตรวจสอบการนับคะแนนกันอยู่แล้วทุกเขต
“มีคะแนนดิบอยู่แล้ว
เราพร้อมที่จะเปิดออกมา เพื่อจะพิสูจน์ว่าของ กกต.
ตรงกับผู้สังเกตการณ์ของเราที่มีอยู่หรือไม่”
เป็นเหตุให้ กกต. แถลงข่าวอย่างมะงุมมะงาหรา
และท่าทางลุกลี้ลุกลนอย่างธนาพลว่า เช่น กกต.คนหนึ่งระหว่างพูดอยู่ถูกผู้ช่วยมากระซิบขัดจังหวะหลังจากที่เขาตรวจดูโทรศัพท์มือถือ
ทำให้หยุดแถลงกลางคัน แล้วผู้ช่วยคนนั้นก็ยกไมโครโฟนออกไป
ผู้ที่ได้ดูคลิปสั้นนั้นต่างวิพากษ์วิจารณ์กันว่า
มีใครคอยสั่ง คอยกำกับ กกต. อยู่ตลอดเวลาหรือเปล่า ในเมื่อ
กกต.คนนั้นตอบคำถามโฟนอินของ จอมขวัญ หลาวเพชร ไทยรัฐทีวี ตอนหนึ่งว่าคะแนนสองจังหวัด
รวมทั้งกรุงเทพฯ เพิ่งเข้ามาเมื่อวาน แสดงว่า กกต.ไม่ใช่คนคุมคะแนนละหรือ
ครั้นเมื่อผลคะแนนที่แจ้งล้วนแต่ไม่สมเหตุสมผล
ไหนจะจำนวนผู้มีสิทธิออกเสียงเพิ่มจากที่แจ้งแล้วเมื่อสี่วันก่อน
ไหนจะจำนวนผู้ใช้สิทธิ์ไม่ตรงกับจำนวนบัตรที่ลงคะแนน ไหนจะคะแนนที่เพิ่มไม่เป็นภาคส่วนกับอัตราร้อยละที่ควร
เช่น เหลือผลคะแนนให้แจ้งอีก ๕ เปอร์เซ็นต์ แต่คะแนนเพิ่มจริงๆ ๑๔ เปอร์เซ็นต์
ตอนนี้ก็มีพวกลิ่วล้อ คสช. ออกมาแถบ้าง
หาเรื่องบ้าง อย่างเช่นนายวันชัย สอนศิริ อดีตสมาชิกสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ
(สปท.) ด้านการเมืองที่ คสช.ตั้ง อ้างว่าทั้งหลายทั้งมวลซึ่งเป็นการเอาเปรียบหรือได้เปรียบของ
คสช. มาจากรัฐธรรมนูญ ๖๐ ที่ “ประชาชนเห็นชอบ” ทั้งนั้น
การเลือกนายกรัฐมนตรีต้องกระทำโดยสองสภารวมกัน
สภาผู้แทนฯ จากการเลือกตั้ง ๕๐๐ คน และวุฒิสภาจากการแต่งตั้งโดย คสช. อีก ๒๕๐ คน “จึงเป็นที่แน่ชัดว่าใครจะเป็นรัฐบาล
หรือเป็นนายกรัฐมนตรี ต้องมีเสียงสนับสนุนไม่น้อยกว่า ๓๗๖ คน” วันชัยอ้าง
“การประกาศจัดขั้วทางการเมืองของบางพรรคบางกลุ่ม
แล้วอ้างว่าเป็นฝ่ายประชาธิปไตย แล้วกล่าวหาอีกฝ่ายว่าเป็นฝ่ายสืบทอดอำนาจ”
เป็นแค่ปาหี่ “รู้อยู่เต็มอกว่าที่นั่งหน้าซีดหน้าเซียว สลอนกันอยู่นั่น ยังไงๆ
ก็ตั้งรัฐบาลไม่ได้ ไม่มีทาง”
พูดอวดวิเศษโดยไม่แยแสใดๆ
ว่าก่อนหน้านั้นหนึ่งวัน น.ส.พรรณิการ์พูดไว้แล้วว่า
การอ้างคะแนนรายหัวหรือป็อปปูลาร์โหวตของพรรค คสช.จัดตั้ง มีจำนวนมากกว่า “หากนับพรรคใหญ่สองพรรค
คือเพื่อไทยและอนาคตใหม่ รวมกัน ๑๒-๑๓ ล้านเสียงแล้ว
ชัดเจนว่าคะแนนป็อปปูลาร์ในฝั่งประชาธิปไตยย่อมมีมากกว่า”
รูปการณ์ ณ เวลานี้ปรากฏว่า สองพรรค (บ้างว่า
‘เนื้อหอม’ บ้างเห็น ‘ขี้เต่าเหม็น’) ที่ใครๆ ก็ฟันธงว่าจะไปร่วมกับพลังประชารัฐในบั้นปลาย
กลับออกแนวๆ ‘กั๊กๆ’ และชักคะเย่อ
กันบ้างแล้ว
เช่นพรรคภูมิใจไทย (๕๒ เสียง) ตัวหัวหน้า
อนุทิน ชาญวีรกูล “โต้ข่าวหนุน ‘บิ๊กตู่’ อย่าทึกทัก ยันตัดสินใจหลัง ๙ พ.ค.”
เขาปฏิเสธเรื่องที่กำลังเดินทางอยู่ต่างประเทศเพื่อพักผ่อนกับเพื่อนๆ “กรุณาอย่าทึกทักเขียนว่าไปพบใครที่ไหนในยามนี้
เพราะไม่มีความจำเป็นครับ”
“ไม่ต้องมาดุด่าว่ากล่าวอะไรผม
ไม่ต้องเขียนข้อมูลบิดเบือนเพื่อชี้นำให้คนเข้าใจผิดครับ #เรื่องของบ้านเมืองไม่มีอะไรจะมากดดันผมได้” ของขึ้นขนาดว่า “#หากใครยังไม่พอใจ #เที่ยวหน้าก็ไม่ต้องเลือกพรรคภูมิใจไทยครับ” นั่นเลย
เพราะมีคนโพสต์คนแชร์กันเกลื่อนว่าเขา “ยืนยันจุดยืนชัดเจนว่าจะสนับสนุน
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกฯ”
อีกรายเป็นคนดังในพรรคประชาธิปัตย์ (๕๔
เสียง) ฉายา ‘ผู้กองปูเค็ม’ ร.อ.ทรงกลด ชื่นชูผล ‘ดังแล้วรวบรัด’ ทำนองเดียวกับ ‘โตแล้วเรียนลัด’ ในเมื่อพรรคของตนแพ้อนาคตใหม่แบบจมฝุ่น ก็เลยหาทางยุบพรรคใหม่ด้วยการไปฟ้อง
กกต.
ว่านายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ “ให้สัมภาษณ์หมิ่นศาลทำให้ประชาชนทั่วไปเข้าใจผิดว่าการดำเนินคดีกับนายทักษิณ
ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เป็นการกลั่นแกล้ง หรือกรณีจำนำข้าวไม่มีใครผิด”
ถือว่าเป็นการด่ากรรมการ (ไม่รู้ว่าศาลมาเป็นกรรมการแง่ไหน)
ข้อสำคัญหาว่า “นายธนาธรกลับใช้ความเป็นเน็ตไอดอลของตัวเองไปปลุกระดม
จูงใจคนรุ่นใหม่ที่ติดโลกโซเชียล” เช่นนี้ “ถือว่าเป็นการฉ้อฉล
เพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจการปกครองประเทศ” ผิด พรป.ว่าด้วยพรรคการเมือง
เขาอ้างด้วยว่าที่มาฟ้องร้องนี่ไม่ได้ทำในนามของพรรค
เพราะตนเองยังด่าหัวหน้า ปชป.เหมือนกัน แน่ละตอนนี้หลายคนใน ปชป. ก็ด่าหัวหน้า
(คนที่เพิ่งลาออก) กันแซด สุดแต่ว่าจะด่าลักษณะไหน แบบสลิ่มๆ หรือสร้างสรรค์
พริษฐ์ วัชรสินธุ หรือที่โด่งดังในนาม ‘ไอติม’ จัดเป็นคนรุ่นใหม่ สายเลือดใหม่ของ ปชป.
พูดในฐานะสมาชิกพรรคและผู้ลงคะแนนเลือก ปชป. ๑ ใน ๓.๙ ล้านเสียง
เขียนข้อความประกาศทางโซเชียล ขอให้ ปชป.เลือกที่จะ
“ไม่เข้าร่วมรัฐบาลทุกฝ่าย
และประกาศทำหน้าที่ #ฝ่ายค้านอิสระอย่าง ‘สง่างาม’ ‘สร้างสรรค์’ และจำเป็นต่อ ‘ความอยู่รอด’ ของพรรค”
เขาสาธยายความจำเป็นเหล่านั้นไว้น่าฟังเชียวละ รวมทั้ง “ต้องไม่สร้างเงื่อนไขให้ประเทศเดินไปข้างหน้าไม่ได้”
ใครรวบรวมเสียงข้างมากได้ในสภาผู้แทนราษฎรควรได้รับสิทธิในการเข้ามาบริหารประเทศ”
และ “หมดเวลา แทงกั๊ก...หมดเวลาล้าสมัย...หมดเวลาล่าช้า...
ช่วยสร้างบ้านหลังนี้ใหม่ จากซากที่ยังคงเหลืออยู่
เพื่อให้เรานำพาประชาธิปัตย์ก้าวข้ามมรสุมในค่ำคืนนี้ ไปสู่ #ฟ้าหลังฝน ที่สดใสและสวยงามกว่าที่เคย”
จึงกลายเป็นความหวังลมๆ แล้งๆ ของกลุ่มพรรคฝ่ายประชาธิปไตยที่ต้องการกำจัด
คสช.ออกไปจากสารบบการเมือง เพราะแม้นว่าทั้งภูมิใจไทยและประชาธิปัตย์ พรรคใดพรรคหนึ่งหรือกระทั่งทั้งสองพรรคเปลี่ยนใจมาอยู่กับฝ่ายนี้
คะแนนก็ยังไม่พอสู้กับ สว. ๒๕๐ เสียงของ คสช.ได้
ความจำเป็นอยู่ที่ต้องสามารถจูงใจพรรคต่ำสิบอีกสองสามพรรคเข้ามาร่วมด้วย
ทั้งชาติไทยพัฒนา (๑๐ เสียง) ของ ‘หนูนา’ กัญจนา ศิลปอาชา ชาติพัฒนา (๓ เสียง) ของ สุวัจน์ ลิปตพัลลภ พรรคท้องถิ่นไทย
(๒ เสียง) ของ ‘ชัช เตาปูน’ ชัชวาล
คงอุดม รวมแล้วครบ ๓๗๖ เสียง จึงจะได้