มีหลายคนตอบโต้ ธนกร วังบุญคงชนะ
รองโฆษกพรรคพลังประชารัฐ อย่างแสบสันต์ ที่จาบจ้วงคุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์
แคนดิเดทนายกฯ พรรคเพื่อไทย ในการแถลงว่าร่วมกับอีก ๖ พรรคฝ่ายประชาธิปไตยขัดขวางการสืบทอดอำนาจของ
คสช. และเดินหน้าไปสู่การจัดตั้งรัฐบาล
หนึ่งในนั้น ธนวัฒน์ วงศ์ไชย
นิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย นักกิจกรรมต่อต้านเผด็จการที่เคยมีบทบาทเคียงคู่กับ เนติวิทย์
โชติภัทร์ไพศาล ดูจะแจงไว้ละเอียดกว่าเพื่อน “ก่อนจะด่าคุณหญิงสุดารัตน์
ช่วยหันไปมองแคนดิเดทนายกฯ พรรคของคุณด้วยครับ
นอกจากจะยังไม่ได้เป็น ส.ส.แล้ว
ยังไม่ได้ลงสมัครเป็น ส.ส.อีก เจ้าหน้าที่รัฐก็ไม่ได้เป็น เขาดีเบทกันก็ไม่มา”
เนื่องเพราะวาทะของรองโฆษกฯ บริภาษณ์ว่าหญิงหน่อยไม่ได้รับเลือกเป็น ส.ส.
(พลาดบัญชีรายชื่อ) ยังจะมาเสนอตัวเป็นนายกฯ
“น่าจะสำรวมมากกว่านี้”
รายละเอียดที่ธนวัฒน์ย้อนให้ ธนกรหน้าหงายยังไม่พอ
หากย้อนไปยังประเด็นที่พรรคพลังประชารัฐพยายามอ้างคะแนนเสียงทั้งประเทศ หรือ ‘ป็อปปูลาร์โหวต’ เพื่อตั้งรัฐบาลเอง
โดยที่มีเสียงวุฒิสมาชิก ๒๕๐ คน ซึ่ง คสช. ตั้งเอง รออนุมัติ พล.อ.ประยุทธ์
จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรี
ศิโรตน์ คล้ามไพบูลย์
ผู้ดำเนินรายการข่าวที่มีชื่อเสียงคนหนึ่งซัดแรงว่าเป็น “ความประพฤติของพรรคที่ไร้มารยาท
ก็เหมือนคนมารยาททราม ต่อให้กฎหมายลงโทษไม่ได้ คนที่เห็นก็รู้ว่าเป็นคนมารยาทต่ำ
ไม่มีใครอบรม พ่อแม่ไม่สั่งสอน ไม่มีความคิด”
เขาอธิบายประเพณีการเมืองไทยที่ผ่านมา ๓๐
ปี “การวัดว่าใครได้เสียงข้างมากที่สุด” วัดกันที่จำนวนผู้แทนในสภา “ไม่ใช่บิดเบือนว่าเอาจำนวนคนลงคะแนนทั้งประเทศเป็นตัวตั้ง
เพราะนั่นเป็นระบบนายกทางตรงซึ่งเราไม่ได้ใช้”
เหตุผลสำคัญที่เขาอ้างน่าฟัง “อีกอย่างเสียงส่วนนี้ก็ถูกใช้นับเป็น
ส.ส.บัญชีรายชื่อไปแล้ว จะเอามาอ้างเพื่อตั้งรัฐบาลซ้ำอีกได้อย่างไร”
ลงท้ายเขาอัดกลับแรงกว่าเก่าว่านี่ “ก็คือพรรคที่หื่นกระหายอำนาจ
จนทำทุกวิถีทางโดยปราศจากยางอาย”
นักวิชาการอีกคนหนึ่ง รศ.อัษฎางค์
ปาณิกบุตร
ให้ความเห็นต่อปมที่พรรคพลังประชารัฐพยายามช่วงชิงการตั้งรัฐบาลจากพรรคที่ได้ ส.ส.มากที่สุด
ว่าเรื่องนี้เถียงกันจนได้ข้อสรุปมาเป็นศตวรรษแล้ว “ผมไม่รู้พวกนี้เรียนที่ไหน
จะได้ไม่ให้ลูกหลานไปเรียน”
เป็นที่รู้กันว่าพลังประชารัฐตอนนี้คาดว่าจะมีเสียงในสภาอยู่ที่
๑๑๘ บวกกับพรรค รปช.ของสุเทพ เทือกสุบรรณ แน่ๆ อีก ๕ เสียง ยังต้องการอีก ๓
เสียงเพื่อเมื่อรวมกับ สว. ๒๕๐ เสียงแล้วได้ตำแหน่งนายกรัฐมนตรี
มันไปเข้าไคล้กับที่ @DuangritBunnag ทวี้ตไว้ “ให้คอยดู
สาเหตุเดียวที่ยังไม่ประกาศชื่อ สว.ตอนนี้ ก็เพราะรอ ส.ส. สอบตกฝ่าย พปชร.
จะได้ไปเป็น สว. กันเพียบ ไม่ต้องเชื่อแต่ขอดักคอไว้ก่อน
ถ้าเกิดขึ้นจริงจะบัดซบมาก ประเทศนี้”
หรือจะเป็นอย่างที่ อุตตม
สาวยานนท์ หัวหน้า พปชร. อ้างว่า “ตัวเลขเปลี่ยนได้ทุกวัน การคำนวณยังไม่สิ้นสุด” ซึ่งน่าจะหาได้ไม่ยากในช่วงที่
กกต. ยังอุบคะแนนที่นับหมดแล้วแต่ไม่ยอมเปิดจนกว่าจะถึงวันสุดท้าย ๙
แต่การตั้งรัฐบาลคนละเรื่องกันดังที่ศิโรตน์ว่าไว้
ว่าธรรมเนียมปฏิบัติต้องให้พรรคเสียงข้างมากเป็นคนฟอร์ม ซึ่งจะอ้างจำนวน
สว.ก็ไม่ได้เพราะยังไม่มีการโหวตเสียงสองสภา แม้แต่รายชื่อ สว. ก็ยังไม่ได้มีการประกาศออกมา
พลังประชารัฐจึงเลี่ยงบาลีไปอ้างจำนวนคะแนนเสียงทั้งประเทศตอนนี้
๗,๙๓๘,๙๓๗ คะแนน มากกว่าพรรคเพื่อไทยอยู่ ๕ แสนคะแนนกว่าๆ
ข้อนั้นก็มีคนมาเถียงให้เห็นได้ว่า
พลังประชารัฐส่งผู้สมัคร ส.ส. ๓๕๐ เขต เพื่อไทยส่งแค่ ๒๕๐ เขต หากนำเอาทฤษฎีจัดสรรปันส่วนในการคำนวณ
ส.ส.บัญชีรายชื่อมาใช้ ก็ต้องคิดคะแนนเฉลี่ยของจำนวนบัตรคะแนนที่แต่ละพรรคได้
ฉะนี้ @minminjung4 คำนวณออกมาได้ว่า พลังประชารัฐได้คะแนนเฉลี่ยต่อ ๑ เขตเลือกตั้ง ๒๒,๖๘๓
คะแนน ขณะที่เพื่อไทยจะได้ ๒๙,๖๙๐ คะแนน เขาว่า “ดูเอาเถอะ ใครชนะ” ตรรกะอย่างนี้พวก คสช. ไม่ยอมฟังหรอก
พ.อ.วินธัย สุวารี
โฆษก คสช. เอาเชียว ออกมาแถลงเรื่องความสงบเรียบร้อยจากการเลือกตั้งที่ผ่านมา ให้ “เดินหน้าประเทศไปตามกรอบ”
แล้วก็วกไปเข้าเรื่องที่อยากเผือก “กรณีมีพรรคการเมืองหรือกลุ่มการเมืองใดๆ
ที่กำลังพยายามแสวงหา จับกลุ่ม จับขั้วทางการเมือง”
แขวะเข้าไปถึงกรณี ๗
พรรคร่วมลงนามสัตยาบันกันจนได้ “ไม่ควรให้สังคมมองว่าเป็นการชี้นำให้เกิดความแตกแยก
จนอาจไปมีผลกระทบต่อบรรยากาศของความสงบเรียบร้อย”
เห็นมีคอมเม้นต์แบบว่าถ่มมาก็ถุยกลับหลายราย
“การที่กองทัพยึดอำนาจและแทรกแซงการเมืองต่างหาก
ที่สร้างความขัดแย้งและเป็นสาเหตุของความไม่สงบ” นี่จาก @watanamuangsook