วันศุกร์, สิงหาคม 15, 2568

ไอ๊ซ์ รักชนก เปิดอีกประเด็น ตรวจสอบงบฯ อาสาสมัครหมู่บ้าน กว่า ๒ หมื่น ๖ พันล้านบาท ขณะงบฯ กลาโหมผ่ายฉลุย สั่งซื้ออุปกรณ์ฟิตเนสให้สถานทูตไทยในกัมพูชา

มีคนเปรียบนักเลงคีบอร์ดที่เข้าไปเม้นต์ “ด่าว่า มันใช่เวลาออกมาพูดตอนนี้หรือเปล่า เมื่อพรรคฝ่ายค้านติติงและปูดการใช้จ่ายงบฯ ทหารที่พิลึกพิลั่น ว่าเหมือนลิงเล่นมือถือ ไม่ดูบ้างว่าช่วงนี้เป็นการอภิปรายงบประมาณ

Te Neti ใส่ “ถ้า สส.เค้าไม่ถกเถียงกันเรื่องงบประมาณตอนนี้ จะไปทำตอนไหน จะด่าว่าควาย ยังรู้สึกเกรงใจควายเลย” ซ้ำร้ายสิ่งที่ฝ่ายค้านขุดเจอ ล้วนแต่การโกยกินเงินที่มาจากภาษีอากรของประชาชน บนข้ออ้างเพื่อความมั่นคง

ไอ๊ซ์ รักชนก โพสต์เมื่อคืน “เชิญทัวร์มาลง” จากที่อภิปรายไว้ เรื่องอาสาสมัครทั้งหลายแหล่ “ที่กลายเป็นเครื่องมือทำโอเปอร์เรชั่นทางการเมือง” หรือที่เรียกว่า หัวคะแนนนั่นแหละ รู้ไหม งบประมาณเพื่อการนี้สำหรับปี ๒๕๖๙ น่ะเท่าไหร่

“๓๔,๕๘๓ ล้านบาท ย้ำ ล้านบาท!” นะคะ...สามารถตั้งเป็นกระทรวงอาสาสมัครแแห่งประเทศไทยได้เลย เม็ดเงินทั้งหมดคิดเป็นเกือบ ๑% ของงบประมาณ เกือบเท่างบฯ กระทรวงทรัพย์ฯ ทั้งกระทรวง” มากกว่า เบี้ยเลี้ยงเด็กเท่าตัว (๑๖,๒๖๗ ล้านบาท)

ถ้าแตกตัวเลขออกไป ใน ๓๔,๕๘๓ ล้านนี้เป็นค่าตอบแทนอาสาทหารพราน ๓,๕๐๐ ล้าน อาสารักษาดินแดน ๔,๐๐๐ ล้าน เหลือ ๒๗,๐๐๐ ล้าน ก็ไปเป็นค่าใช้จ่ายการปฏิบัติหน้าที่ของสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน หรือ อสม. เสียอีก ๒๕,๗๗๗ ล้านบาท

บวกกับส่วนที่ต้องสนับสนุน อสส. ซึ่งก็คือ อสม.ที่อยู่ในกรุงเทพ อีกปีละประมาณ​ ๓๓๙ ล้าน เท่ากับค่าใช้จ่ายสำหรับ อสม.และ อสส.ทั่วประเทศ ๑ ล้าน ๕ หมื่นคน คือ ๒๖,๑๑๒ ล้านบาท ก็มากอยู่ แล้วได้อะไรมาบ้าง

พูดง่ายๆ พวก อสม.และ อสส. กลายเป็นหัวคะแนนสำคัญ ในการเลือกตั้งปี ๒๕๖๖ เวลานี้จึงมีการเพิ่มอาสาสมัครกันไม่ขาดสาย เพื่อไปถึงการเลือกตั้ง ๒๕๗๐ อันนี้ของตาย แล้วไง งบประมาณกลาโหมก็ยังผ่านฉลุย ๙ หมื่นล้านบาท

อันรวมถึงงบฯ อุปกรณ์การแพทย์ ซึ่ง สส.ชยพล สท้อนดี ต้องตลึงเมื่อพบว่าเป็นงบฯ เกี่ยวกับม้า ส่วนอุปกรณ์ห้ามเลือด ก็ไม่มีคัน “ขันชะเนาะห้ามเลือดที่ใช้ได้ด้วยมือข้างเดียว มีแค่สายยางไส้ไก่” ร้ายที่สุดทำให้เขาข้องใจ เห็นจะเป็น

คือเราตัดสัมพันธ์ทางการทูตกับกัมพูชา มีการเรียกทูตไทยประจำพนมเปญกลับ แต่ปรากฏว่ากองทัพบกสั่งอุปกรณ์ฟิตเนสไปเติมที่บ้านผู้ช่วยทูตทหารอยู่เลยจะมีใครได้อยู่ใช้หรือ”

(https://www.matichon.co.th/politics/news_5321604 และ https://www.facebook.com/nanaicez112/posts8qXxoPC59KX4qiMvFsox1jGP6Vl) 

ทำไมการตัดสิทธิการเรียนของเด็กต่างด้าวในไทยจะเป็นโทษกับประเทศไทยเอง


Nicha Pittayapongsakorn
18 hours ago
·
/ ทำไมการตัดสิทธิการเรียนของเด็กต่างด้าวในไทยจะเป็นโทษกับประเทศไทยเอง /

เช้านี้เห็นข่าว วุฒิสมาชิกท่านหนึ่งออกมาจี้ให้รัฐบาลตัดงบอุดหนุนเด็กกัมพูชาที่เรียนในโรงเรียนไทย ซึ่งดูจากคอมเมนต์แล้วถูกใจคนที่เกลียดชังกัมพูชามาก แต่จะขออธิบายว่า ถ้านโยบายนี้เกิดขึ้นจริง จะเป็นผลเสียกับคนไทยและประเทศไทยอย่างไร

1. ผิดอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก ลดความชอบธรรมในระดับโลก

แม้ว่าคุณภาพการศึกษาของประเทศเราจะถูกตั้งคำถาม แต่สิ่งหนึ่งที่ประเทศไทยทำได้ดีมาก เป็นความก้าวหน้ามากกว่าบางประเทศ (เช่น อเมริกา) คือการให้สิทธิการศึกษากับเด็กทุกคนที่อยู่ในประเทศไทย ตามที่ไทยเคยลงนามไว้ในอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก

การตัดสิทธิไม่ให้เด็กกัมพูชาเรียนหนังสือ ไม่ได้ช่วยให้เราชนะสงครามได้มากขึ้น แถมยังเสียภาพพจน์ในระดับโลก

--

2. เด็กในวันนี้ คือกำลังแรงงานสำคัญของไทยในวันหน้า

ตอนนี้ ประเทศเราต้องพึ่งพาแรงงานต่างด้าวจำนวนมาก ในปี 2567 มีการสำรวจว่ามีแรงงานต่างด้าวไม่น้อยกว่า 3 ล้านคน เพราะงานหลายอย่าง ค่าจ้างต่ำเกินไป คนไทยไม่อยากทำแล้ว และในอนาคต เราจะยิ่งต้องการมากขึ้นกว่านี้อีก เพราะประเทศไทยมีเด็กเกิดน้อยเกินไป ปีละไม่ถึงครึ่งแสน ไหนจะเป็นสังคมสูงวัย คนแก่คนป่วยต้องการคนดูแล ประเทศต้องการคนขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ถ้าให้โอกาสพวกเขาได้เรียนมากขึ้น ประเทศเราก็จะยิ่งมีแรงงานที่มีคุณภาพมากขึ้นในอนาคต

--

3. ไม่มีอะไรรับประกันว่างบที่ลดไปได้ จะไปสร้างให้เกิดประโยชน์กับเด็กไทยเพิ่มขึ้น

คนที่เสนอนโยบายอ้างว่า ถ้าตัดงบนี้ไปได้ จะ save เงินถึง 800 กว่าล้าน และกองเชียร์ในคอมเมนต์ก็ดูจะพอใจว่าเงินก้อนนี้จะไปช่วยเด็กไทยมากกว่า แต่ในความเป็นจริงแล้ว ไม่ได้มีอะไรรับประกันว่าเงินส่วนนี้จะไปตกที่นักเรียนที่ถือสัญชาติไทยมากขึ้น เพราะการตั้งงบแต่ละโครงการนั้นมันเป็นอิสระต่อกัน โครงการเงินอุดหนุนรายหัวก็โครงการนึง

คนที่มีสิทธิออกนโยบายเพื่อให้เงินไปลงที่เด็กไทยมากขึ้น ก็คือพวกผู้ใหญ่คนไทยที่นั่งกันอยู่ในกรรมการต่างๆ นั่นแหละค่ะ รวมถึงคนที่มาเสนอให้ตัดงบด้วย เขาก็เคยเป็นเลขา กพฐ. มาก่อน ถ้าเขาอยากจะทำอะไรเพิ่มให้เด็กไทย เขาคงทำมานานแล้ว ไม่ใช่เพราะตัดงบก้อนนี้แล้วถึงมีเงินงอกขึ้นมา

ข้อเท็จจริงคือ กระทรวงศึกษาไม่ได้ขาดแคลนงบ แต่งบการศึกษาส่วนใหญ่ 70% มันคือเงินเดือนครูค่ะ ซึ่งครูจะสอนเด็กกัมพูชา หรือสอนเด็กไทย ก็ใช้ครูคนเดียวกัน เงินเดือนเท่าเดิมค่ะ

--

4. เมื่อประตูโรงเรียนปิด ประตูคุกเปิด

ไม่ว่าจะเป็นคนชาติไหน เด็กที่ไม่อยู่ในระบบการศึกษาก็เสี่ยงที่จะสร้างปัญหาสังคมมากกว่า

เราก็เห็นอยู่แล้วกับเด็กไทยที่ไม่ได้ไปโรงเรียน ซึ่งรัฐก็สนับสนุนแล้ว มีโครงการมากมายพากลับมาเรียน (เราไม่สามารถอ้างได้ว่า ถ้าตัดงบเด็กกัมพูชาแล้ว จะทำให้เด็กกลุ่มนี้กลับมาเรียนได้มากขึ้น มันคนละเรื่องกัน กรุณากลับไปอ่านข้อ 3)

เราปฏิเสธไม่ได้ว่าเขาเข้ามาในประเทศเราแล้ว บางคนก็เกิดที่นี่ เราคงอยากให้พวกเขาได้ไปโรงเรียน ไปเรียนหนังสือ มากกว่าออกมาเร่ร่อน ออกมามั่วสุมกันนอกโรงเรียน เป็นอันธพาล ก่ออาชญากรรม สร้างปัญหาให้กับสังคม

--

5. การศึกษาคือ soft power ที่สำคัญที่สุด

คุณเคยเจอลูกหลานของคนต่างด้าวที่ได้เรียนรู้ในระบบการศึกษาไทยตัวจริงๆ มั้ย? เราเคยเจอบางคน เขามีความอยากจะเป็นคนไทย มากกว่าคนที่เกิดมาปุ๊บแล้วได้สัญชาติไทยอย่างเราเลยซะอีก บางคนตั้งใจเรียนมากๆ เพื่อที่จะเรียนต่อป.ตรีแล้วจะได้ทำเรื่องขอสัญชาติ เพื่อจะได้เป็นคนไทยโดยสมบูรณ์ ยังไม่นับว่า เด็กบางคนเกิดที่ไทย ที่นี่คือประเทศเดียวที่เขารู้จักมากกว่าประเทศบ้านเกิดพ่อแม่เขาซะอีก

(ถือเป็นเรื่องที่โชคดี (รึเปล่านะ) ที่ ระบบการศึกษาเราก็โคตรจะตั้งใจสร้างอัตลักษณ์ให้เป็นคนไทย พูดภาษาไทย รู้ประวัติศาสตร์ไทย ภูมิใจในชาติไทย แบบเน้นๆ อยู่แล้ว)

หรือต่อให้ เขาเพิ่งย้ายมาเรียน อย่างน้อยเขาก็อยู่ในประเทศเราด้วยความเข้าใจประเทศเรามากขึ้น และถ้าเขาต้องกลับไปประเทศเขา เขาก็สามารถเป็นตัวแทนเพื่อสร้างความเข้าใจ ลดความเกลียดชังบางอย่างได้ เป็นแบรนด์แอมให้เราได้

คือแล้วเราจะพลาดโอกาสนี้ในการสร้าง soft power ทำไม?

---

ที่น่าผิดหวังมากๆ คือวุฒิสมาชิกที่ออกมานำเสนอนโยบายนี้ คือ คุณกมล รอดคล้าย ซึ่งเคยเป็นเลขาธิการ กพฐ. มาก่อน เคยเป็นที่ปรึกษานโยบายการศึกษาของพรรคภูมิใจไทย และน่าจะมีเทวดาประจำตัวที่ดีมาก จนได้มาเป็น สว.

ดูจากประวัติแล้ว (ซึ่งก็เปิด public นะคะ ดิฉันไม่ได้ต้องขุดแต่อย่างใด ไปหาอ่านได้) ท่านก็เคยอยู่ในตำแหน่งคณะกรรมการต่างๆ มากมายของภาครัฐที่มีหน้าที่ดูแลสิทธิเด็ก ดูแลเด็กเร่ร่อน เด็กเปราะบาง เช่น

- ผู้อำนวยการศูนย์พิทักษ์สิทธิเด็กและครอบครัว กระทรวงศึกษาธิการ
กรรมาธิการศึกษามาตรการส่งเสริมการจัดการศึกษาเด็กด้อยโอกาส
- ประธานคณะทำงานโรงเรียนวิถีพุทธ
- ประธานเครือข่ายองค์กรเพื่อเด็กเร่ร่อน
- ผลงานเขียน/วิจัย เช่น การลงทุนด้านการศึกษาในเด็ก การจัดการศึกษาและคุ้มครองสิทธิเด็กด้อยโอกาส พระพุทธศาสนากับการพัฒนาเด็ก
- ศึกษาดูงานด้านการบริหารการศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม และการพัฒนาเด็กด้อยโอกาส ประเทศสหรัฐอเมริกา แคนาดา อังกฤษ โปรตุเกส จีน ญี่ปุ่น เกาหลี เนปาล ลาว พม่า กัมพูชา อินโดนีเซีย เวียดนาม มาเลเซีย ฮ่องกง ฟิลิปปินส์ ออสเตรเลีย เยอรมนี ฯลฯ

ท่านมีประสบการณ์ขนาดนี้ มีโอกาสในชีวิตขนาดนี้ และดำรงตำแหน่งสำคัญมากมายขนาดนี้ ทำไมถึงขับเคลื่อนนโยบายด้วยความเกลียดชัง ทำลายภาพพจน์ประเทศไทยในเวทีโลก และตัดโอกาสของเด็กที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ล่ะคะ?

ในตอนนี้ที่เราตื่นตัวกับอินฟลูที่หารายได้จากความเกลียดชังบนโซเชียลมีเดีย เราควรจะตื่นตัวกับนักการเมือง คนในสภา ที่พยายามสร้าง popularity จากนโยบายที่มาจากความเกลียดชังด้วยค่ะ

Reference:

ข่าวต้นทาง: https://www.pptvhd36.com/.../%E0%B8%81%E0%B8%B2.../254728...

ประวัติคุณกมล
https://www.kroobannok.com/68315

Credit รูปจาก PPTV
 
https://www.facebook.com/photo/?fbid=10172019107775514&set=a.10150159961285514



ความคิด สว.พวกนี้ สถุนมาก พวกคลั่งชาติ อาจไม่ไช่พวกรักชาติจริง


Angkhana Neelapaijit
Yesterday
·
เด็กเป็นผู้ได้รับผลกระทบจากสงคราม เด็กไม่ได้เป็นคู่ขัดแย้ง หรือเป็นผู้ใช้ความรุนแรง การเลือกปฏิบัติทางเชื้อชาติ การเหยียดหยาม แก้แค้น หรือกีดกันเด็กในการเข้าถึงการศึกษาและการพัฒนา เป็นการละเมิดสิทธิเด็ก ในช่วงภาวะสงครามเด็กต้องได้รับการคุ้มครองอย่างเต็มที่ตามอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก (Convention on the Rights of the Child: #CRC) และกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ #IHL โดยหลักการสำคัญของกฎหมายมนุษยธรรมคือ เด็กทุกคนต้องได้รับความคุ้มครองพิเศษจากผลกระทบของความขัดแย้งทางอาวุธ นอกจากนั้น #อนุสัญญาเจนีวา และพิธีสารเพิ่มเติม ยังกำหนดให้คู่ขัดแย้งต้องคุ้มครองพลเรือน โดยเฉพาะกรณีเด็กที่ติดตามครอบครัวเพื่อหนีภัยความตาย จำเป็นได้รับความช่วยเหลืออย่างเต็มที่
https://www.dailynews.co.th/news/5013600/

Pipob Udomittipong
16 hours ago
·
พวกสวะที่หิวแสงก็พยายามโหนกระแสชาตินิยมเหมือนกัน แต่มันจะสรา้งความด่างพร้อยอย่างมากให้กับชื่อเสียงของประเทศนี้

https://www.facebook.com/photo/?fbid=10164760409303268&set=a.10151021282338268






จาก "ยุทธหัตถี" สู่ "ยุทหัตถัง" : เพราะรถถังไม่ใช่หลังช้าง กองทัพกัมพูชาถึงไม่มาดวลรถถังต่อรถถังกับไทย


thaiarmedforce.com
14 hours ago
·
ฟังองค์ดำหรือพลตรี วันชนะ สวัสดี พูดแล้วน่าสนใจดี ในประเด็นที่บอกว่าในเหตุการณ์ปะทะ #ชายแดนไทยกัมพูชา ครั้งนี้ทหารม้าของกองทัพบกไทยพยายามเชื้อเชิญทหารม้าของกองทัพบกกัมพูชาให้ออกมาดำเนินกลยุทธ์รถถังต่อรถถังกัน แต่ทางกัมพูชาไม่ยอม ใช้วิธีจอดอยู่ในที่ตั้งยิงอย่างเดียว
เรื่องนี้น่าสนใจเพราะตามข่าวแล้วกัมพูชานำรถถังที่ตนเองมีซึ่งส่วนใหญ่เป็น T-55 ซึ่งกัมพูชามีหลายร้อยคันมาจอดอยู่ตามช่องต่าง ๆ จำนวนมาก โดยช่องเหล่านี้มีที่ราบเพียงพอที่รถถังจะดำเนินกลยุทธ์ได้ รวมถึงเป็นช่องทางสำคัญที่ถ้ากัมพูชาจะเจาะแนวป้องกันของไทยเขามาด้วยการใช้ยานเกราะ ก็ต้องเจาะมาตามช่องทางเหล่านี้
ในทางกลับกัน รถถังของไทยที่มีการวางกำลังในพื้นที่กองทัพภาคที่ 2 อย่าง M48 M60 หรือ VT-4 แม้จะมีความทันสมัยกว่า แต่ก็ไม่ได้ห่างกันนัก โดยเฉพาะ M48 ของกองทัพบกซึ่งค่อนข้างเก่ามากแล้ว
จริง ๆ คุณลักษณะหนึ่งของทหารม้าก็คือมีความคล่องแคล่วในการเคลื่อนที่ มีอำนาจการยิงที่รุนแรง รวมถึงมีอำนาจการทำลายและข่มขวัญ ซึ่งจะใช้คุณลักษณะนี้ให้ได้ผลสูงสุด การดำเนินกลยุทธ์ด้วยการใช้รถถังเป็นหัวหอกเข้าตีน่าจะเป็นทางเลือกที่ดีกว่า แต่การใช้รถถังตั้งรับก็ไม่ได้ผิดแต่อย่างใด โดยเฉพาะในการใช้รถถังเป็นฐานยิงสนับสนุนในกรณีที่ต้องตั้งรับ ซึ่งเชื่อว่าทั้งสองฝ่ายก็ใช้รถถังในการตั้งรับลักษณะนี้
----------------------
ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมกองทัพกัมพูชาจึงไม่มาดวลรถถังต่อรถถัง แต่ถ้าให้เดาอาจจะเป็นเพราะ
1. ไทยใช้การโจมตีทางอากาศโดยไม่คาดคิด เพราะการโจมตีทางอากาศก็เป็นสิ่งที่แม้แต่คนไทยหลายคนก็ไม่นึกว่ากองทัพจะตัดสินใจใช้ ถ้าใช้รถถังเคลื่อนที่เข้าตีแล้วกำลังภาคพื้นดินของไทยเรียกกำลังทางอากาศมาสนับสนุน ความเสียหายต่อกำลังภาคพื้นดินของกัมพูชาอาจจะมากขึ้น
2. โมเมนตั้มสงครามเริ่มเปลี่ยนหลังจากวันที่ 2 - 3 จากไทยเป็นฝ่ายตั้งรับเพราะฝ่ายกัมพูชาเปิดการโจมตีก่อนโดยที่ไทยไม่ได้คาดคิด เปลี่ยนมาเป็นไทยเริ่มรุกในทุกแนว การใช้รถถังของฝ่ายกัมพูชาจึงต้องเปลี่ยนมาเป็นการตั้งรับเพื่อเป็นฐานการยิงสนับสนุนจากที่กำบัง
3. ความพร้อมของยานเกราะของกัมพูชาอาจจะมีไม่มากพอที่จะถึงจำนวนที่จะเปิดการรุกได้หลายแนว เพราะถึงแม้ตามตัวเลขกัมพูชาจะมีรถถัง 400 - 500 คัน แต่เชื่อว่าจำนวนที่ใช้งานได้ในการรบจริงไม่น่าจะมีมากเท่าไหร่
4. กัมพูชาอาจระแวงในกรณีที่ไทยอาจใช้การเข้าตีตัดหลังเพื่อยึดพื้นที่และทำลายอาวุธสนับสนุนในแนวหลังของกัมพูชา จึงต้องเน้นที่การตั้งรับเอาไว้ก่อน เพราะอาจต้องแบ่งกำลังไปตั้งรับตามที่ต่าง ๆ ที่กัมพูชาคาดว่าไทยจะเข้าตี ซึ่งก็ทำให้มีรถถังอยู่หน้าแนวน้อยลงไปอีก แม้ว่าสุดท้ายไทยจะไม่ได้ใช้วิธีนี้ก็ตาม
5. กัมพูชาอาจจะต้องการทำทุกอย่างที่ว่ามาซึ่งก็เป็นไปตามตำรา โดยเฉพาะตำราการทหารของฝ่ายสังคมนิยมที่รถถังคืออาวุธที่สำคัญที่สุดในการดำเนินกลยุทธ แต่พอพิจารณาแล้วว่ารถถัง T-55 ของกัมพูชาค่อนข้างเก่า เพราะส่วนใหญ่คือรถถังในยุคแรกของสงครามเย็น มีบางส่วนเท่านั้นที่เป็นรถปรับปรุง ซึ่งเทียบได้กับ M48 ของไทย แต่ไทยยังมี M60 ที่แม้จะเก่าเหมือนกันแต่ก็ยังทันสมัยกว่าเมื่อเทียบกับ T-55 ไปจนถึง VT-4 ที่ถือว่าเป็นรถถังที่ทันสมัยที่สุดแบบหนึ่งในย่านอาเซียน เมื่อบวกลบคูณหารแล้ว กัมพูชาอาจจะเกรงว่าอาจต้องพบกับความสูญเสียมากกว่าถ้าต้องไปดวลกันตัวต่อตัว
----------------------
การเลือกใช้รถถังตั้งรับอย่างเดียวไม่ออกมาดำเนินกลยุทธ์นอกที่กำบังจึงอาจเป็นเรื่องที่พอเข้าใจได้เมื่อเทียบกับสิ่งที่กัมพูชาประสบอยู่
ถ้ามีการปะทะระหว่าง #ไทยกัมพูชา อีกครั้ง อะไรหลายอย่างไม่น่าจะเหมือนเดิม โดยเฉพาะกัมพูชาได้เรียนรู้ถึงวิธีการของไทยในปัจจุบันแล้ว รวมถึงไทยยึดพื้นที่ได้หลายพื้นที่ในรอบที่ผ่านมา และมีความต้องการยึดพื้นที่คืนในหลายพื้นที่ กัมพูชาอาจจะมีการปรับวิธีการใหม่ เช่น การมุ่งความสำเร็จไปที่การยึดพื้นที่ที่เป็นพื้นที่เชิงสัญลักษณ์ให้ได้ เช่น #ภูมะเขือ หรือ #ปราสาทตาเมือนธม ด้วยการโถมกำลังจำนวนมากเข้าตี ซึ่งบางจุดมีความเหมาะสมในการใช้รถถังอยู่บ้าง หรืออาจเร่งปรับปรุงและเสริมความแข็งแรงของที่มั่นในจุดที่ไทยแสดงออกชัดเจนว่าต้องการยึดคืนให้ได้เช่นที่ #ปราสาทตาควาย ซึ่งก็จะเป็นโจทย์ให้ฝ่ายไทยต้องคิดและรับมือต่อไป

https://www.facebook.com/photo?fbid=1296628535260009&set=a.189090046013869
.....


.....

Suwagee Klampaiboon
14 hours ago
·
จาก "ยุทธหัตถี" สู่ "ยุทหัตถัง"
องค์ดั๊มมมม แกก็ไม่มีแผ่วเลยเนาะ
..."ปืนใหญ่ไม่ใช่ปืนคาบศิลาที่ว่ายิงข้ามแม่น้ำสะโตงเด็ดหัวแม่ทัพบนหลังช้างดั่งเช่นในหนังนะคะ
ยิงทีพลทหารตๅยเท่าไหร่
แม้แต่ช้างยังไม่รอด รถถังไม่ใช่หลังช้าง
และ "องค์ดำ"กับ "ฮุนเซน" ก็ไม่ได้นำทัพเหมือนในหนัง
เราเหล่าผู้คนชนชาวกะลาผู้มีทหารเป็นนักแสดง"...



สื่อยุคคลิกเบท : ปัญหาของสื่อวันนี้ไม่ใช่แค่อคติทางการเมือง แบบเกลียดทักกี้ เหมือนปี 49-57 แต่มันเป็นการแห่ตามกระแส เรียกเรตติ้ง ใครจะปั่นได้มากกว่าใคร


Atukkit Sawangsuk
13 hours ago
·
วิบัติสื่อ
รายได้จากยอดไลค์ยอดวิว คลิกเบท
ความแตกสลายถึงโครงสร้างของสื่อไทย ที่กลายเป็นแค่ถือไมค์ให้อินฟลู
:
ว่าที่จริงมันเป็นวิบัติครั้งที่สองในรอบยี่สิบปีของวงการสื่อ
ครั้งแรก แหงละ สื่อหนุนม็อบพันธมาร ขอ ม.7 เชียร์รัฐประหาร 49-57
ซึ่งมันทำลายความเป็นสถาบันสื่อ จรรยาบรรณสื่อ
ปลุกเกลียดชังทักษิณ เฟคนิวส์ปฏิญญาฟินแลนด์-วัดพระแก้ว
ปมสำคัญคือสื่อเปลี่ยนจากผู้รายงานผู้สังเกตการณ์ผู้วิพากษ์วิจารณ์ มาเป็นศัตรูทางการเมือง กับ "ระบอบทักษิณ" ทำทุกวิถีทางเพื่อโค่นล้มจนทุ่มทุนด้วยจรรยาบรรณ
:
วิกฤติสื่อรอบใหม่เริ่มตอนทีวีดิจิตอล พรึ่บเดียวมีทีวียี่สิบกว่าช่องเข้าสู่การแข่งขันแต่ทำได้แค่ข่าวดาราดราม่าชาวบ้าน เพราะถัดมาไม่นานก็เกิดรัฐประหารปิดกั้นเสรีภาพสื่อ
นี่ยังจำได้ตอนนั้นมีข่าวดาราอื้อฉาว เปิดแถลงข่าวโรงแรม ต้องแถลง 2 รอบเพราะนักข่าวล้นห้อง รอบเดียวไม่พอ
รายการเล่าข่าวก็ผุดเป็นดอกเห็ดเพราะสรยุทธโดนเล่นงาน ติดคุก (ข้อหาติดสินบนพนักงาน อสมท.เป็นเช็คหักภาษี ณ ที่จ่าย)
คือสรยุทธเล่าข่าว เร้าอารมณ์คนดู แต่ถึงจุดหนึ่งก็หยุด สรยุทธยังมีเพดาน รู้จังหวะ เพราะสั่งสมประสบการณ์มาจากการเป็นนักข่าว หัวหน้าข่าว บรรณาธิการข่าว
แต่นักเล่าข่าวยุคหลังสรยุทธ ไม่มีฐานอย่างนั้น ปากกว้างๆ ปลุกเรตติ้งไม่แยแสสนใจความรับผิดชอบ
นี่ไม่ใช่แค่ข่าวการเมืองด้วยนะ ข่าวชาวบ้านนี่แหละ มันถึงได้เกิดกรณีลุงพล ป้าทุบรถ ครูปรีชา ที่สื่อเฮโลสาระพาชงลูกขุนออนไลน์ตัดสินถูกผิด
จนกระทั่งถึงยุคโหนกระแส จากความล่มสลายของกระบวนการยุติธรรม ทนายอเวนเจอร์ ดาราดัง อินฟลู นักพ่นคอมเมนท์ ดึงลูกขุนออนไลน์มาตัดสินคดีอาชญากรรมปัญหาสังคมหน้าจอ
:
ความฉิบหายด้านรายได้ คือการคิดเงินผ่านยอดไลค์ยอดวิว คลิกเบท
แบบที่ทำให้สื่อต้องพาดหัว "...เคลื่อนไหวแล้ว" ไม่รู้เคลื่อนไหวเฮี่ยไรต้องคลิกเข้าไปดู แล้วโฆษณาก็ขึ้นมาเต็มหน้าเลย กว่าจะแหวกหาข่าวเจอ
:
สิ่งที่ขาดหายไปคือ ระบบค่าโฆษณาที่ประเมินโดยเอเยนซี
ระบบเอเยนซีมันก็ไม่ได้บอกว่าถูกต้องเป็นธรรม
(ช่วงหนึ่งเป่านกหวีดกันเกือบหมดด้วยซ้ำ)
แต่มันมีการประเมินคุณภาพ ควบคู่ปริมาณ
ยกตัวอย่างสื่อสิ่งพิมพ์ สื่อกระดาษ
หนังสือพิมพ์รายวันไทยรัฐ ค่าโฆษณาสูงสุดเพราะมันเป็น mass รองลงมาก็เดลินิวส์
แต่มันก็จะแยกตลาดคนอ่าน เช่นบางกอกโพสต์ เนชั่น จะได้โฆษณาบ้านหรู คอนโดหรู สินค้าไฮเอนด์ เพราะคนอ่านเป็นฝรั่ง นักธุรกิจ
หรือมติชน (หรือสยามรัฐยุคอดีต) ก็ได้ตลาดคนชั้นกลาง ข้าราชการ
พวกประชาชาติธุรกิจ ฐานเศรษฐกิจ ผู้จัดการ (ก่อนยุคพันธมิตร) ก็จะมีเครดิตในแวดวงธุรกิจ
แยกย่อยลงไปเช่น นิตยสารที่ดิน นิตยสารแม่และเด็ก บ้านและสวน มีตลาดของตัวเองหมด
ค่าโฆษณาอาจไม่เท่าไทยรัฐ แต่ก็เป็นคนละแท่งแตกต่างกันไป
แต่ละสื่อก็พัฒนาคุณภาพในแท่งของตัวเอง
:
ระบบค่าตอบแทนนี้พินาศหมดเมื่อเข้าสู่ยุคโฆษณาผ่านกูเกิล ยูทูบ เพราะมันให้ตามยอดวิว ไม่ได้แยกคุณภาพสื่อ ความสนใจและกำลังซื้อที่แตกต่าง
มันคลิกเบทอย่างเดียว ใครได้ยอดคลิกมากที่สุด ไม่ว่าจะหลอกต้มคนดูคนอ่านอย่างไร ไร้คุณภาพเพียงไร ก็ได้ค่าโฆษณาเยอะที่สุด
สื่อปลุกเกลียดชังบางค่าย ซึ่งถ้าเป็นระบบเดิม เอเยนซีคงตัดจากสารบบ ก็ได้ยอดคลิกยอดวิวจากพวกคลั่ง ที่วันๆ เอาแต่กดอ่านข่าวเสียสติ ไม่ได้สนใจซื้อสินค้าหรืออาจไม่มีกำลังซื้อด้วยซ้ำ
:
การทำข่าวคลิกเบท การสูญเสียรายได้ ทำให้เนื้อหาสาระคุณภาพถูกลดทอน ใครจะคลิกบทความวิชาการ เอาคอมเมนเตเตอร์ปั่นข่าวทางร้ายมาคอมเมนท์ไม่ดีกว่าเหรอ
(แบบเดียวกับสื่อทีวี สัมภาษณ์จารย์จ๊ะ ผิดกี่ทีก็ยังขายได้เพราะมันตื่นเต้น)
การตีพิมพ์ข่าวก็ต้องการความรวดเร็วมากขึ้น พาดหัวล่อใจมากขึ้น สิ่งที่ขาดหายไปคือการกลั่นกรองตามระบบกองบรรณาธิการ นักข่าว รีไรเตอร์ หัวหน้าข่าว การประมวลข่าวอย่างเป็นระบบ ให้แบคกราวด์
เช่น ข่าวบันเทิง ก๊อป IG ดารามาโพสต์ "เคลื่อนไหวแล้ว" ก็คนคลิกล้นหลาม คนไม่เคยตามอ่านข่าวดาราอย่างผมก็งง ดาราคนนี้มีเรื่องอะไรกับใคร ไม่ให้แบคกราวด์ข่าวเลย
:
ปัญหาของสื่อวันนี้ไม่ใช่แค่อคติทางการเมือง แบบเกลียดทักกี้ เหมือนปี 49-57 แต่มันเป็นการแห่ตามกระแส เรียกเรตติ้ง ใครจะปั่นได้มากกว่าใคร
ที่เอาพลเอกรังษี เอาเจษฎ์ เอาจตุพร ฯลฯ ไปออกทีวี ไม่ใช่อุดมคติไล่ทักกี้ แต่เรียกยอดวิวได้เยอะดี ทุกช่องต้องแข่งกันขายตรง เดี๋ยว พักขายสบู่แชมพูเครื่องสำอางห้อมไหกระทะไฟฟ้าก่อน เดี๋ยวมาปลุกกันต่อ
:
ส่วนการที่เฟสบุ๊คมาให้กำไรยอดไลค์ยอดวิว นั่นก็ยิ่งเละไปอีกขั้น
ประชาชนทุกคนเป็นสื่อได้?
ประชาขนทุกคนเป็นเกรียนคีย์บอร์ดได้โดยไม่ต้องรับผิดชอบ

https://www.facebook.com/baitongpost/posts/24326806583641175


รักชาติ Vs คลั่งชาติ ในทัศนะของ Charles de Gaulle


Paul Adithep
Yesterday
·
รักชาติ Vs คลั่งชาติ
สำหรับคนที่แยกไม่ออกนะครับว่า "รักชาติ" กับ "คลั่งชาติ" ต่างกันอย่างไร? Charles de Gaulle อดีตประธานาธิบดีฝรั่งเศส (ประเทศที่คนไทยคลั่งชาติเกลียดเป็นหนักหนา) ซึ่งเป็นผู้นำต่อต้านนาซีในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 เค้าได้จำแนกไว้แบบง่ายๆ ครับว่า
"ความรักชาติคือการให้ความสำคัญกับความรักต่อคนในชาติเป็นอันดับแรก ส่วนคลั่งชาติคือการยกให้ความเกลียดชังต่อผู้อื่นที่ไม่ใช่พวกตนมีความสำคัญเหนือสิ่งใด"
ต้นฉบับคือ "Patriotism is when love of your own people comes first; nationalism, when hate for people other than your own comes first"
คนอาจจะสงสัยว่า "อ้าว ต้นฉบับมันควรจะเป็นภาษาฝรั่งเศสป่าว?" อันนี้ผมก็ไม่รู้นะครับ คนที่อ้างว่า de Gaulle เป็นคนพูดคือ Romain Gary นักประพันธ์และนักการทูตชาวฝรั่งเศสเชื้อสายยิวเค้าว่าไว้ในนิตยสาร Life ซึ่งเป็นสื่ออเมริกัน
ทั้งนี้ครับ ปัจจุบันเรามักจะใช้คำว่า patriotism กับ nationalism สลับกันไปเหมือนมีความหมายเดียวกัน ดิ๊กอังกฤษ-ไทย ก็แปลว่า "ลัทธิชาตินิยม" เหมือนกัน แต่ก็มีคนที่พยายามจะแยกว่า "รักชาติ" แบบกำลังดี กับรักล้นเกินจนเป็นพิษหรือ "คลั่งชาติ" นั้นแตกต่างกัน จึงมีการให้นิยามว่า patriotism แตกต่างจาก nationalism เหมือน quote ของ de Gaulle ข้างต้นนี้ครับ

https://www.facebook.com/photo/?fbid=31437244262526009&set=a.106211759389335


ทหารไทยเหยียบทุ่นระเบิดรายวัน ทำอย่างไรให้ข้อตกลงหยุดยิงไทย-กัมพูชา ไม่ถูกละเมิด


บีบีซีไทย - BBC Thai
14 hours ago
·
"มันเป็นการกล่าวหากันไปกันมา คำถามคือถ้าไม่มีบุคคลที่สาม (Third party) มาช่วยสังเกตการณ์ข้อตกลงหยุดยิงตรงนี้ มันก็จะเกิดเหตุการณ์แบบนี้เรื่อย ๆ" นักวิชาการด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศตั้งข้อสังเกตต่อการกล่าวหาการละเมิดหยุดยิงไทย-กัมพูชา มีข้อเสนอแนะใดอื่นอีกบ้าง อ่านได้ที่: https://bbc.in/4mfYWpy

https://www.facebook.com/photo?fbid=1283447167148778&set=a.627743042719197
.....
บีบีซีไทย

แม้ไทยและกัมพูชาบรรลุข้อตกลงหยุดยิงระหว่างกันแล้วหลังการปะทะบริเวณชายแดนปะทุความรุนแรงขึ้นมาเมื่อปลายเดือน ก.ค. แต่ดูเหมือนว่าการหยุดยิงยังไม่สัมฤทธิ์ผลนัก

ข้อตกลงหยุดยิงระหว่างทั้งสองประเทศเกิดขึ้นเมื่อ 28 ก.ค. ซึ่งเป็นข้อตกลง "หยุดยิงทันที และไม่มีเงื่อนไข" จากการประชุมนัดพิเศษที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย ซึ่งมีนายอันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเชีย ในฐานะประธานอาเชียน เป็นผู้ประสานงาน

นอกจากข้อตกลง "หยุดยิงทันทีโดยไม่มีเงื่อนไข" ตั้งแต่เวลาเที่ยงคืนของวันที่ 28 ก.ค. ไทยและกัมพูชายังเห็นพ้องให้จัดประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (General Border Committee - GBC) ระหว่างวันที่ 4-7 ส.ค. ก่อนที่ทั้งไทยและกัมพูชา ลงนามในข้อตกลงเพื่อให้ทั้งสองฝ่ายยึดมั่นในข้อตกลงการหยุดยิงอย่างเคร่งครัด เมื่อ 7 ส.ค.

อย่างไรก็ตาม ยังมีรายงานจากทั้งทางการไทยและกัมพูชา ถึงความเคลื่อนไหวทางการทหารบริเวณชายแดนโดยทั้งสองประเทศต่างอ้างว่าอีกฝ่ายเป็นผู้ละเมิดข้อตกลงหยุดยิงก่อน

เกิดอะไรขึ้นบ้างหลังจากที่ประชุมคณะกรรมการจีบีซีของไทยและกัมพูชา บรรลุข้อตกลง "หยุดยิงอย่างเคร่งครัด" เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว และมีปัจจัยใดบ้างที่นักวิชาการมองว่าสำคัญในการช่วยให้ทั้งสองคู่ขัดแย้งรักษาข้อตกลงหยุดยิงให้เป็นไปอย่างมั่นคงโดยไม่มีการละเมิด

ไทยระบุว่ากัมพูชาละเมิดข้อตกลงหยุดยิงหลังทหารไทยบาดเจ็บจากทุ่นระเบิด

ในการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (General Border Committee - GBC) เมื่อวันที่ 7 ส.ค. ที่ผ่านมา ไทยและกัมพูชาได้ร่วมลงนามในบันทึกผลการประชุม 13 ข้อ เพื่อให้ทั้งสองฝ่ายยึดมั่นในข้อตกลงการหยุดยิง แต่ พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม ในฐานะรักษาการแทน รมว.กระทรวงกลาโหม เปิดเผยว่ายังมี 2 ประเด็นที่ไทยเสนอ แต่ทางกัมพูชายังไม่ตอบรับและขอนำไปหารือ คือ เรื่องความร่วมมือในการเก็บกู้ทุ่นระเบิด และความร่วมมือในการปราบปรามการพนันข้ามชาติ

พล.อ.ณัฐพล กล่าวในการแถลงหลังการประชุมจีบีซีด้วยว่า ฝ่ายไทยจะยึดมั่นให้ความร่วมมือรักษาข้อตกลงหยุดยิง และ "หวังว่ากัมพูชาจะปฏิบัติตามเช่นกัน"

ด้านนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.มหาดไทย ในฐานะรักษาการแทนนายกรัฐมนตรี ก็ระบุถึงข้อตกลงดังกล่าวว่าเป็น "นิมิตหมายที่ดี"

แต่เพียงไม่กี่วันให้หลังการลงนามหยุดยิงของคณะกรรมการจีบีซีทั้งสองชาติ ปรากฏเหตุทหารฝ่ายไทยเหยียบกับระเบิดใน 2 เหตุการณ์ กำลังพลบาดเจ็บ 10 นาย ในจำนวนนี้สูญเสียขา 2 นาย

เมื่อวันที่ 9 ส.ค. กองทัพบกไทยระบุว่ามีรายงานกำลังพลของกองร้อยทหารราบที่ 111 จำนวน 3 ราย บาดเจ็บจากเหตุเหยียบกับระเบิด ขณะปฏิบัติภารกิจลาดตระเวนเส้นทางในพื้นที่รอยต่อบ้านโดนเอาว์–บ้านกฤษณา จ.ศรีสะเกษ

นอกจากนี้ เมื่อวันที่ 12 ส.ค. ทีมโฆษกกองทัพบก ระบุด้วยว่ากำลังพลกองร้อยทหารพรานที่ 2610 รวม 7 นาย ประสบเหตุเหยียบทุ่นระเบิดสังหารบุคคล ขณะทำการลาดตระเวนในพื้นที่บริเวณปราสาทตาเมือนธม อ.พนมดงรัก จ.สุรินทร์ ส่งผลให้กำลังพลได้รับบาดเจ็บและสูญเสียขา 1 นาย

กระทรวงการต่างประเทศของไทยออกแถลงการณ์วานนี้ (12 ส.ค.) ประณามการใช้ทุ่นระเบิดสังหารบุคคลของฝ่ายกัมพูชา "ที่เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า" และเรียกการกระทำดังกล่าวว่า เป็นการขัดต่อกฎหมายระหว่างประเทศ หลักการพื้นฐานของกฎบัตรสหประชาชาติ และเป็นการละเมิดอนุสัญญาออตตาวา รวมถึงกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ



ทว่า พล.ท.หญิงมาลี โสเจียตา โฆษกกระทรวงกลาโหมของกัมพูชา ระบุในแถลงการณ์วันนี้ (13 ส.ค.) ปฏิเสธข้อกล่าวหาว่ากัมพูชาฝังทุ่นระเบิดใหม่ในฝั่งไทย โดยบอกว่า ข้อกล่าวหานี้ของไทย "ขาดหลักฐานที่ชัดเจนและไม่มีมูลความจริง" และทางการกัมพูชาปฏิเสธการมีส่วนเกี่ยวข้องกับการบาดเจ็บของทหารไทยจากเหตุระเบิดทุ่นระเบิดบริเวณปราสาทตาเมือนธม เมื่อวันที่ 12 ส.ค.

อย่างไรก็ตาม พล.ต. วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก ระบุว่าจากการตรวจสอบของกองทัพไทยต่อเหตุการณ์ดังกล่าว พบว่าทุ่นระเบิดที่ใช้ในเหตุครั้งนี้เป็นชนิด PMN-2 ซึ่งเป็นแบบเดียวกับที่พบในหลายพื้นที่ที่กัมพูชาลักลอบติดตั้งเพื่อทำร้ายกำลังพลไทยมาโดยตลอด

"ฝ่ายไทยยืนยันอย่างชัดเจนว่า กัมพูชายังคงมีทุ่นระเบิดอยู่ในครอบครองจำนวนมาก และได้ลักลอบนำมาวางในพื้นที่ต่าง ๆ ตามแนวชายแดนไทย–กัมพูชา เพื่อมุ่งทำร้ายฝ่ายไทย ทั้งที่กัมพูชาเป็นภาคีอนุสัญญาห้ามทุ่นระเบิดสังหาร" พล.ต.วินธัย ระบุในแถลงการณ์

ด้านนายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ กล่าววานนี้ (12 ส.ค.) ว่าตนได้โทรศัพท์หารือกับรัฐมนตรีต่างประเทศญี่ปุ่น ซึ่งเป็นประเทศที่จะเป็นประธานการประชุมรัฐภาคีอนุสัญญาออตตาวาในเดือน ธ.ค. นี้ เพื่อขอให้ใช้กลไกในกรอบอนุสัญญาออตตาวาไต่สวนการกระทำของกัมพูชา


ทั้งนี้ นายมาริษบอกด้วยว่าเขาได้มีการโทรศัพท์พูดคุยกับรัฐมนตรีต่างประเทศมาเลเซีย และสิงคโปร์เพื่อขอให้ใช้กลไกอาเซียนกดดันให้กัมพูชาร่วมมือเก็บกู้ทุ่นระเบิดอีกด้วย

กัมพูชาอ้างไทยละเมิดข้อตกลงหยุดยิง ยื่นหลักฐานต่อ UNSC

เมื่อวันที่ 8 ส.ค. สมเด็จฮุน เซน ประธานวุฒิสภาและอดีตนายกฯ กัมพูชา โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัวโดยอ้างว่า ทหารไทยบริเวณชายแดนได้ใช้หนังสติ๊กยิงยั่วยุมาฝั่งกัมพูชา พร้อมกล่าวด้วยว่า แม้นี่อาจฟังดูเหมือนเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่ "หากเราไม่ยับยั้งมัน มันจะเปลี่ยนจากการใช้หนังสติ๊กไปเป็นการใช้อาวุธทุกประเภท"

ในเวลาต่อมานายภูมิธรรม เวชยชัย ระบุว่าตน "ไม่ทราบ" ว่าข้อกล่าวหาเรื่องการยิงหนังสติ๊กยั่วยุของทหารฝ่ายไทยเป็นเรื่องจริงหรือไม่ แต่ "ทุกฝ่ายต้องไปตรวจสอบคนของตัวเอง หากอะไรที่เป็นปัจจัยที่จะทำให้เกิดความไม่สบายใจต่อกันหรือเป็นเงื่อนไขก็ไม่ควรทำ แต่เราเข้มงวดคนของเราอยู่แล้ว"

ต่อมาเมื่อวันที่ 10 ส.ค. พล.ท. บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนถึงสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา โดยระบุว่ามีฐานทหารกัมพูชาอยู่ใกล้และวางกำลังแน่นหนา บริเวณปราสาทตาควาย แต่ยืนยันว่าปราสาทตาควายเป็นของไทยและ "ต้องเร่งนำกลับคืนให้ได้"

ขณะที่วานนี้ (12 ส.ค.) กระทรวงกลาโหมกัมพูชา ระบุว่าผู้บัญชาการทหารระดับสูงของไทยวางแผนอย่างเปิดเผยเพื่อยึดครองดินแดนกัมพูชา ซึ่งเป็น "หลักฐานที่ไม่อาจปฏิเสธได้" ในความพยายามยั่วยุและวางแผนไว้ล่วงหน้าเพื่อละเมิดอำนาจอธิปไตยของราชอาณาจักร และจะเป็นการละเมิดข้อตกลงหยุดยิง



สำนักงานข่าว CambojaNews รายงานด้วยว่า นายชุม ซูนรี โฆษกกระทรวงการต่างประเทศกัมพูชา เปิดเผยว่า นายปรัก สุคน รองนายกฯ และ รมว.ต่างประเทศของกัมพูชา ได้เขียนจดหมายสองฉบับ ถึงประธานคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (UNSC) และเลขาธิการสหประชาชาติ โดยระบุว่า ทหารไทยได้มีการรุกล้ำเข้ามาในดินแดนกัมพูชาหลายครั้ง แม้จะมีข้อตกลงหยุดยิงเมื่อวันที่ 28 ก.ค. และฝ่ายไทยได้วางลวดหนามและสร้างถนนอย่างผิดกฎหมายในหลายพื้นที่

"พวกเขา [ฝ่ายไทย] เริ่มตั้งแต่การวางลวดหนาม ไปจนถึงการทำลายบ้านเรือนชาวบ้านชาวกัมพูชา และใช้เครื่องจักรกลหนักสร้างป้อมปราการป้องกัน" ซูนรี กล่าว

อย่างไรก็ตาม นายมาริษ รมว.กระทรวงการต่างประเทศของไทย เปิดเผยวานนี้ (12 ส.ค.) ว่า ข้อกล่าวหาของฝ่ายกัมพูชาว่าฝ่ายไทยละเมิดข้อตกลงหยุดยิง "ไม่มีหลักฐานที่แน่ชัด" ต่างกับแต่ฝ่ายไทย ซึ่งมีข้อมูลชัดเจนเกี่ยวกับการยั่วยุของกัมพูชาและการวางทุ่นระเบิด

นักวิชาการ มธ. เสนอไทยควรเร่งการเข้ามาของผู้สังเกตการณ์การหยุดยิง

นักวิชาการด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศตั้งข้อสังเกตต่อการกล่าวหาการละเมิดหยุดยิงว่าควรต้องมีบุคคลที่สามเข้ามาสังเกตการณ์โดยเร็วที่สุด

"มันเป็นการกล่าวหากันไปกันมา คำถามคือถ้าไม่มีบุคคลที่สาม (Third party) มาช่วยสังเกตการณ์ข้อตกลงหยุดยิงตรงนี้ มันก็จะเกิดเหตุการณ์แบบนี้เรื่อย ๆ แล้วก็กลัวว่ามันจะลามไปถึงการกลับมาของการยิงกันอย่างหนัก" ดร.ฟูอาดี้ พิศสุวรรณ อาจารย์ประจำสาขาวิชาการระหว่างประเทศ คณะรัฐศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์ ระบุกับบีบีซีไทย

เกี่ยวกับคณะผู้สังเกตการณ์หยุดยิง พล.ร.ต.สุรสันต์ คงสิริ โฆษกศูนย์เฉพาะกิจบริหารสถานการณ์บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา (ศบ.ทก.) ระบุเมื่อช่วงเช้าวันนี้ (13 ส.ค.) ว่ากองบัญชาการกองทัพไทยจะนำคณะผู้สังเกตการณ์ชั่วคราว (Interim Observer Team - IOT) ลงพื้นที่ จ.อุบลราชธานี ในวันพรุ่งนี้ (14 ส.ค.) เพื่อสังเกตการณ์ผลกระทบต่าง ๆ ในพื้นที่

ปัจจุบันไทยและกัมพูชาได้มีการตกลงจัดตั้งคณะผู้สังเกตการณ์ชั่วคราว ซึ่งประกอบไปด้วยผู้ช่วยทูตฝ่ายทหารของประเทศสมาชิกอาเซียนที่ประจำการในกัมพูชาหรือไทย โดยจะนำโดยผู้ช่วยทูตฝ่ายทหารมาเลเซีย โดยคณะทำงานฯ จะถูกเชิญจากประเทศเจ้าภาพที่ต้องการให้ตรวจสอบพื้นที่ของตน โดยจะมีการหารือกับมาเลเซียก่อนที่จะดำเนินการ

แต่ในทัศนะของ ดร.ฟูอาดี้ มองว่าประเทศไทยควรมีการทำงานเชิงรุกมากยิ่งขึ้น

"ตอนนี้ขึ้นอยู่กับทางการไทย กัมพูชา และมาเลเซียแล้วว่าจะดำเนินการส่งคณะสังเกตการณ์ของประเทศอาเซียนได้เร็วแค่ไหน และมีองค์ประกอบอะไรบ้าง อยากให้ไทยกระตือรือร้นในเรื่องนี้ ช่วยออกแบบช่วยเสนอแบบต่าง ๆ ซึ่งเราสามารถทำได้เลยไม่ต้องรอกัมพูชา... เพื่อให้การหยุดยิงดำเนินการต่อไปได้ ไม่อย่างนั้นมันเสี่ยงมากที่จะล่ม" ดร.ฟูอาดี้ กล่าว


คณะผู้แทนนักการทูตจาก 11 ประเทศ พร้อมด้วยตัวแทนจากหน่วยงานสหประชาชาติ 15 แห่ง เดินทางไปเยี่ยมค่ายผู้ลี้ภัยบริเวณชายแดนกัมพูชา เมื่อวันที่ 6 ส.ค. 68

อีกหนึ่งประเด็นที่อาจารย์จากคณะรัฐศาสตร์ มธ. มองว่าประเด็นที่อาจเป็นอุปสรรคในการทำงานกับคณะผู้สังเกตการณ์หรือกับองค์กรนานาชาติคือ "ความกลัว" การทำให้ปัญหากลายเป็นเรื่องในระดับสากล (internationalization) ซึ่งอาจทำให้ไทยเสียเปรียบกัมพูชา

"พอกัมพูชาเล่นเกมนั้น [การดึงนานาชาติมาในปัญหาชายแดน] สิ่งที่เราทำได้คือไม่ควรกลัว ควรเล่นกับมันอย่างมีชั้นเชิงมากกว่า คือมันถูกทำให้เป็นสากลแล้ว อะไรที่เรามี จังหวะที่ดีกว่า เราก็เล่นเกมนี้ได้ แต่ไทยเองมีความกลัวและมีมรดกทางความคิดในเรื่องของการไม่เคยเป็นเมืองขึ้นของใคร ทำให้เรากลัวการทำให้การขัดแย้งเป็นเรื่องสากล" ดร.ฟูอาดี้ ระบุ

นักวิชาการผู้นี้บอกด้วยว่า ทางการไทยย้ำหลายครั้งว่าต้องการแก้ปัญหาด้วยสันติวิธีในระดับทวิภาคี ควบคู่ไปกับการฟ้องร้องต่อองค์กรนานาชาติ ซึ่งเป็นเรื่องที่ทำได้ แต่ "ไม่ควรตามหลังเกมของกัมพูชาในระดับภูมิภาคและระดับนานาชาติ"

ผู้นำหลายระดับของทั้งสองประเทศควรมี "สายตรง" (hotline) ติดต่อกัน


ดร.ฟูอาดี้ เสนอว่า ผู้นำในหลายระดับของทั้งสองประเทศควรมีสายตรงติดต่อกันเพื่อแก้ปัญหาเฉพาะหน้าการเกิดการละเมิดข้อตกลงหยุดยิง

"เราไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่า แม่ทัพทั้งสองประเทศหรือว่ารัฐมนตรีกลาโหมของทั้งสองฝ่ายมีสายตรง (hotline) ถึงกันไหม มายกหูโทรหากันเลยได้ไหม ซึ่งตรงนี้สำคัญ" ดร.ฟูอาดี้ กล่าว พร้อมระบุถึงสาเหตุที่การมีสายตรงติดต่อกันระหว่างบุคคลในหลายระดับของสองประเทศไว้ 4 อย่าง คือ เพื่อลดความรุนแรง ลดความไม่เข้าใจ สร้างความมั่นใจซึ่งกันและกัน และแก้ปัญหาเฉพาะกาล

ดร.ฟูอาดี้ กล่าวด้วยว่าการมีสายตรงติดต่อถึงกันจะช่วยในการทำให้ทั้งสองฝ่ายกลับมารักษาข้อตกลงหยุดยิงได้เร็วขึ้น

"การมีสายตรงหากันไม่ใช่แค่เรื่องการละเมิดหรือไม่ละเมิดหยุดยิงอย่างเดียว มันจะสามารถช่วยให้การรักษาข้อตกลงหยุดยิงกลับมาอย่างรวดเร็วขึ้น กลับมาที่โต๊ะเจรจาเร็วขึ้น เป็นหนึ่งในกลไกที่ช่วยให้ข้อตกลงหยุดยิงคงอยู่ได้ ถ้ามีเหตุการณ์อะไร ท่านภูมิธรรมก็สามารถยกหูถึงฮุน มาเนตได้เลย" เขาอธิบาย

แผนการตอบโต้กลับต้องได้สัดส่วนและถูกจุด

หลังเกิดเหตุกำลังพลของกองทัพไทยเหยียบทุ่นระเบิดบาดเจ็บเมื่อต้นเดือน ส.ค. 2 ครั้ง หลังการบรรลุการหยุดยิงของคณะกรรมการจีบีซี กองทัพบกไทยได้ออกแถลงการณ์ถึงความพร้อมในการใช้สิทธิ์ในป้องกันตนเอง

"ที่ผ่านมากองทัพบกได้ยึดมั่นในแนวทางสันติวิธีมาโดยตลอดและไม่ได้เป็นฝ่ายเริ่มก่อน แต่หากสถานการณ์บีบบังคับก็อาจจำเป็นต้องใช้สิทธิ์ในป้องกันตนเองภายใต้หลักกฎหมายระหว่างประเทศในการคลี่คลายสถานการณ์ที่ทำให้ฝ่ายไทยต้องสูญเสียกำลังพลอย่างต่อเนื่อง" พล.ต.วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก ระบุ

ดร.ฟูอาดี้ แสดงทัศนะต่อประเด็นนี้กับบีบีซีไทยว่าหากกองทัพต้องการป้องกันตนหรือตอบโต้กลับก็ควรพิจารณาถึงขอบเขตการตอบโต้กลับอย่างถี่ถ้วนว่า "เราจะตอบโต้ตรงไหน เยอะขนาดไหน เพราะเรื่องทุ่นระเบิดนี้"

"ถ้าเราจะใช้สิทธิ์ในการตอบโต้ มันเป็นวีธีทางออกที่ดีที่สุดแล้วหรือเปล่า เพราะมันก็จะมีการโต้ตอบ (retaliate) กลับมา" พร้อมเสริมด้วยว่า ปัจจุบันกระแสสังคมกำลังสนับสนุนให้ฝ่ายไทยโต้ตอบกลับต่อกัมพูชา แต่นั่นอาจเป็นการเกาไม่ถูกจุด

"ตอนนี้ทุ่นระเบิดมันถูกเหยียบตรงปราสาทตาเมืองธม แต่ว่ากระแสในสังคมของเรา บอกว่าต้องมายึดปราสาทตาควาย ไม่แน่ใจว่านี่เป็นการแก้ปัญหาถูกจุดหรือเปล่า" ดร.ฟูอาดี้ กล่าว

อย่างไรก็ตาม อาจาร์ยประจำคณะรัฐศาสตร์ มธ. กล่าวด้วยว่า สิ่งที่สำคัญที่สุดในตอนนี้ที่รัฐบาลไทยควรมุ่งเน้นคือการลดความเสียหาย

"ตอนนี้ที่สำคัญที่สุดคือการลดความสูญเสียไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม ไม่ว่าทุ่นระเบิดจะเป็นอันใหม่ ไม่ว่าพื้นที่นั้นจะเป็นอธิปไตยของไทยหรือไม่ การลดความสูญเสียเป็นเรื่องที่ต้องถูกดำเนินการอย่างเร่งด่วน" เขากล่าวสรุป

https://www.bbc.com/thai/articles/cp89jp2qlq5o


อยากรวย จีบหนุ่มคณะไหนดี ?


สุรพศ ทวีศักดิ์
8 hours ago
·
คิดได้งัยส์ จริงเสียด้วย!

https://www.facebook.com/photo/?fbid=24212583901741621&set=a.969393776487295

กองทัพไทยและกัมพูชา มองผ่านแว่น รัฐสมบัติส่วนตัว Patrimonial State มีความเหมือนมากกว่าความแตกต่าง


Thanapol Eawsakul
13 hours ago
·
ถ้าหากใช้แว่น รัฐสมบัติส่วนตัว Patrimonial State
มามองกองทัพไทบและกัมพูชา
เราอาจจะเห็นความเหมือนมากกว่าความแตกต่าง
กองทัพแห่งชาติหรือสมบัติส่วนตัวของใคร?
สุภลักษณ์ กาญจนขุนดี
https://www.the101.world/patrimonial-army/
กัมพูชา: รัฐสมบัติส่วนตัวและทุนนิยมพวกพ้อง
สุภลักษณ์ กาญจนขุนดี
https://www.the101.world/patrimonial-state-crony.../...
แลถถ้าอยากจะเข้าใจมากขึ้นแนะนำ
ทหารไทยมาถึงจุดนี้ได้อย่างไร :
ลัทธิอาณานิคม วัฒนธรรมเผด็จการ และการเมืองมวลชน
นิธิ เอียวศรีวงศ์
https://sameskybooks.net/product/9786169476719/

https://www.facebook.com/thanapol.eawsakul/posts/24543438075296367


การขัดกันทางอาวุธล่าสุดระหว่าง #ไทยกัมพูชา ไม่ได้เกิดจากกระแสชาตินิยม หรือไม่ได้เกี่ยวกับข้อพิพาทเรื่องดินแดน แต่เกิดจากความพยายามของชนชั้นนำทั้งสองประเทศที่ต้องการแก้ปัญหาความชอบธรรมที่ลดน้อยลงของพวกตน (ระบอบฮุนเซน กลุ่มอนุรักษ์นิยม-รอยัลลิสต์และทหาร) - บทวิเคราะห์จากนักวิชาการอเมริกัน


Atukkit Sawangsuk
15 hours ago
·
Pipob Udomittipong
16 hours
·
บทความจาก Jacobin magazine ของ Michael G. Vann 58 ปี นักประวัติศาสตร์ชาวอเมริกันแย้งว่า การขัดกันทางอาวุธล่าสุดระหว่าง #ไทยกัมพูชา ไม่ได้เกิดจากกระแสชาตินิยม หรือไม่ได้เกี่ยวกับข้อพิพาทเรื่องดินแดน แต่เกิดจากความพยายามของชนชั้นนำทั้งสองประเทศที่ต้องการแก้ปัญหาความชอบธรรมที่ลดน้อยลงของพวกตน
ศาสตราจารย์ด้านประวัติศาสตร์จากมหาวิทยาลัยแห่งรัฐแคลิฟอร์เนีย เมืองซาคราเมนโตบอกว่า ชนชั้นปกครองของไทยและกัมพูชาต่างเผชิญกับวิกฤตความชอบธรรมภายในประเทศ และหันไปพึ่งลัทธิชาตินิยม ซึ่งเป็นสิ่งที่ใช้กันมาแต่โบราณ เพื่อรวบรวมการสนับสนุนและเบี่ยงเบนความสนใจจากความล้มเหลวของพวกเขา
ในประเทศไทย กลุ่มอนุรักษ์นิยม-รอยัลลิสต์และฝายทหารยังคงมีสถานะที่เปราะบาง ยังคงมีการประท้วงเรียกร้องประชาธิปไตยและท้าทายต่อโครงสร้างอำนาจที่ฝังรากลึกของพวกเขา
ในกัมพูชา นายกฯ ฮุน มาเนต ได้รับมรดกเป็นระบอบเผด็จการอันแข็งแกร่งจากฮุน เซน บิดาของเขา ระบอบซึ่งเต็มไปด้วยการแย่งชิงที่ดินจากชาวบ้าน ระบบทุนนิยมที่เอื้อพวกพ้อง และการกดขี่ปราบปราม ระบอบการปกครองทั้งของพ่อและลูกต่างไม่มีความชอบธรรม การปลุกกระแสชาตินิยมจึงเป็นทางออกที่มีประโยชน์กับพวกเขา
ประวัติศาสตร์จึงไม่ใช่สาเหตุที่ทำให้เกิดสงครามแย่งชิงปราสาทครั้งนี้ มากเท่ากับวิกฤตการณ์ทางการเมือง ชนชั้นนำของไทยและกัมพูชาต่างใช้ตำนานเรื่องเล่าขานเป็นอาวุธ เพื่อเบี่ยงเบนความสนใจจากการทุจริต ความไม่เท่าเทียม และการกดขี่ปราบปราม เมื่อความชอบธรรมเริ่มสั่นคลอน พวกเขาจะเริ่มพูดถึงเรื่องธงชาติ พรมแดน และซากปรักหักพัง
การนองเลือดครั้งนี้ช่วยสร้างความแข็งแกร่งให้ระบอบปกครองทั้งสองประเทศ Paul Chambers นักรัฐศาสตร์ ได้แสดงให้เห็นว่าในกรุงเทพฯ กองทัพไทยกำลังใช้วิกฤตการณ์นี้เพื่อเสริมกำลังของกองทัพเหนืออำนาจการปกครองของพลเรือน
ดังที่เบเนดิกต์ แอนเดอร์สัน ได้เตือนเราว่า ประเทศชาติคือชุมชนจินตกรรม แต่กระบวนการแห่งจินตนาการนั้นไม่ได้ส่งผลดี ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ยุคหลังอาณานิคม กระบวนการนี้มักถูกใช้เป็นเครื่องมือในการครอบงำ ไม่ใช่การปลดปล่อย มีเส้นแบ่งที่บางมากระหว่างความภาคภูมิใจทางวัฒนธรรม และความรุนแรงจากลัทธิชาตินิยม
คนที่ต้องจ่ายให้กับการข้ามเส้นแบ่งนี้กลับเป็นคนชนบทที่ยากจน ไม่ใช่นายพล ชนชั้นปกครอง หรือข้าราชการที่ส่งพวกเขาไปตาย นี่ไม่ใช่ความขัดแย้งเรื่องปราสาท แต่มันคือการต่อสู้เพื่อแย่งชิงอำนาจ ความทรงจำ และบทบาทของคนที่นิยามความเป็นชาติ
https://jacobin.com/.../08/thailand-cambodia-war-elite-power


https://www.facebook.com/photo/?fbid=10162934700256649&set=a.10150096728651649


ใบตองแห้ง คันปาก 🤣 เปรียบเทียบ ค่าตอบแทนเหมาจ่ายรถประจำตำแหน่ง sะหว่าง ทหาร กับ ผู้พิพากษา-ตุลาการ-อัยการ กระบวนการยุติธรรม ค่าตอบแทนของทหาร นี่จิ๊บจ้อยมาก


Atukkit Sawangsuk
5 hours ago
·
คันปากอยากเถียงแทนพวกทหารนิยม
พลโทพลเอก ได้ค่าตอบแทนเหมาจ่ายรถประจำตำแหน่ง 41,000 บาท (เทียบเท่าปลัดกระทรวง) จำนวนแค่ 46 คน นี่เรื่องจิ๊บๆ
เมื่อเทียบกับกระบวนการยุติธรรม
:
ศาลยุติธรรม
ผู้พิพากษาศาลฎีกา เงินเดือนชั้น 4 สูง จำนวนเกือบ 200 คน
ผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ เงินเดือนชั้น 4 จำนวนเกือบ 900 คน
ล้วนได้ค่าตอบแทนเหมาจ่ายรถประจำตำแหน่ง 41,000 บาท
โดยยังมีผู้พิพากษาอาวุโส ที่น่าจะได้อัตราเดียวกันอีก 3-400 คน
ส่วนผู้พิพากษาศาลชั้นต้น ก็จะได้ลดหลั่นลงไปตามแต่ตำแหน่ง 31,800 หรือ 25,400
:
ศาลปกครอง
ตุลาการศาลปกครองได้ค่าตอบแทนเหมาจ่ายรถประจำตำแหน่ง 41,000 บาท เท่ากันหมด ตั้งแต่แรกเข้าเป็นตุลาการศาลปกครองกลาง (ชั้นต้น)
จำนวนทั้งหมดน่าจะประมาณ เกือบ 300 คน
:
อัยการ
ที่รับเงินเดือนตั้งแต่ชั้น 6 ขึ้นไป อธิบดี อธิบดีภาค รองอธิบดี อัยการพิเศษฝ่าย อัยการผู้เชี่ยวชาญพิเศษ
ได้ค่าตอบแทนเหมาจ่ายรถประจำตำแหน่ง 41,000 บาท ไม่รู้จำนวน แต่น่าจะไม่ต่ำกว่า 400 คน เมื่อดูจากประกาศแต่งตั้งประจำปี
:
อ้อ แต่พวกทหารนิยมไม่โวยหรอก พวกนี้ก็หวังพึ่งศาล
(องค์กรอิสระไม่มีค่าตอบแทนเหมาจ่าย แต่มีรถประจำตำแหน่งคันใหญ่ หรู พร้อมค่าจ้างคนขับ)

https://www.facebook.com/photo?fbid=24328692820119218&set=a.1744875672260921


“เขาจะขังเราไว้ทำไม”: หนึ่งปีแห่งชีวิตของ “ทิวากร” ผู้ต้องขังคดี ม.112 ในระหว่างสู้ฎีกา


ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน
13 hours ago
·
“เขาจะขังเราไว้ทำไม”: หนึ่งปีแห่งชีวิตของ “ทิวากร” ผู้ต้องขังคดี ม.112 ในระหว่างสู้ฎีกา
.
.
เมื่อต้นเดือนสิงหาคม 2568 ทนายเข้าเยี่ยม “ทิวากร วิถีตน” เกษตรกรชาวขอนแก่นวัย 49 ปี ที่ถูกคุมขังในทัณฑสถานบำบัดพิเศษขอนแก่น ระหว่างฎีกาในคดีมาตรา 112 หลังจากเมื่อวันที่ 14 ส.ค. 2567 ศาลอุทธรณ์ภาค 4 กลับคำพิพากษาของศาลชั้นต้นที่เคยยกฟ้อง ให้ทิวากรมีความผิดตามมาตรา 112 และ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ มาตรา 14 (3) รวม 3 กระทง จำคุกกระทงละ 3 ปี โดยทางนําสืบของจําเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาอยู่บ้าง ลดโทษให้กระทงละ 1 ใน 3 คงจําคุกกระทงละ 2 ปี รวมจําคุก 6 ปี
.
ตั้งแต่กลางปีที่แล้ว ทั้งครอบครัวและทิวากร ยื่นขอประกันตัวระหว่างฎีกาไปถึง 8 ครั้งแล้ว ศาลฎีกามีคำสั่งไม่อนุญาต เห็นว่ากรณียังไม่มีเหตุเปลี่ยนแปลงคำสั่งเดิม ทำให้ทิวากรยังคงถูกคุมขังที่ทัณฑสถานบำบัดพิเศษขอนแก่นต่อไป
.
กับหนึ่งปีแห่งชีวิตในเรือนจำ ทิวากรเล่าถึงชีวิตและกิจวัตรที่เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง จากเกษตรกรที่เคยต่อสู้กับธรรมชาติเพื่อหาเลี้ยงชีพ กลายเป็นผู้ต้องขังที่ต้องต่อสู้กับความหวังและสุขภาพที่อ่อนแอลง
.
เขาได้เรียนรู้ชัดแจ้งว่า ความยุติธรรมไม่ค่อยมีอยู่จริง และรู้สึกเหมือนกับจำเลยคดีเกี่ยวกับลอบปลงพระชนม์รัชกาลที่ 8 แต่ความรู้สึกตื้นตันต่อผู้คนที่ไม่เคยรู้จักมาก่อน กลับมาเยี่ยมและให้กำลังใจ รวมทั้งการที่มีคนมาชูป้าย 'ปล่อยผู้ต้องขังทางการเมือง' ที่หน้าเรือนจำ แม้จะไม่ได้พบ แต่ก็สัมผัสและรับรู้ได้ ทำให้เขาน้ำตาไหลด้วยความซาบซึ้ง
.
ในฐานะผู้ต้องขังการเมืองทิวากรยังยืนหยัดในสิ่งที่เขาเชื่อมั่น โดยสดุดีผู้ที่ไม่ปิดกั้นตนเองและแสดงออกทางการเมืองโดยเฉพาะในประเด็นสถาบันกษัตริย์ พร้อมมองว่าสังคมวิตกจริตเกิดจากฝ่ายผู้มีอำนาจที่กลัวอำนาจของตนสูญเสีย
.
สุดท้ายแม้การถูกคุมขังยาวนาน จะเป็นอุปสรรคต่อชีวิต และการต่อสู้ในสิ่งที่่เรียกว่ากระบวนการยุติธรรม แต่ทิวากรยังคงยืนยันจะต่อสู้ในชั้นฎีกาต่อไป แม้จะต้องใช้เวลาอีกนับปี

_____________________

ในห้องเยี่ยมทนายความที่เงียบสงบกว่าห้องเยี่ยมทั่วไป ทิวากรนั่งตรงข้าม ทรงผมสกินเฮดเบอร์ 4 ผมขาวดำแซมกัน รูปร่างผอมลง ขวบปีผ่านไปหลังจากตื่นขึ้นมาในทุก ๆ เช้า เขาต้องนั่งฟังการบรรยายธรรมะจากโทรทัศน์ หรือนั่งพับเพียบขัดสมาธิ สำหรับผู้ที่นับถือศาสนาพุทธ ส่วนคนที่ไม่ได้นับถือก็นั่งเฉย ๆ ช่วงเวลานี้เป็นโอกาสเดียวที่จะจัดการธุระส่วนตัว
.
เวลา 6.30 น. คือเวลาอาบน้ำ ถ้าพลาดช่วงนี้ก็จะไม่ได้อาบอีกเลยตลอดวัน เวลา 7.10 น. และ 7.40 น. เป็นเวลารับประทานอาหารเช้าแบ่งเป็น 2 รอบ เพื่อไม่ให้แออัด จากวันแรกถึงปัจจุบันอาหารดีขึ้นกว่าแต่ก่อน มีเนื้อสัตว์และผักครบถ้วน แต่ที่ทำให้เขาไม่อดอยากคือการที่ญาติฝากอาหารมาให้ สัปดาห์ละ 5 วัน
.
เวลา 8.00 น. เป็นช่วงเคารพธงชาติ และรับฟังการแจ้งสิทธิต่าง ๆ เกี่ยวกับการถูกขัง การอภัยโทษ หรือการลดหย่อนโทษ ก่อนที่จะเข้ากองงาน ตั้งแต่ 8.30 น. ซึ่งสามารถเลือกได้ตามความถนัด
.
ภายใต้ชีวิตและกิจวัตรที่ซ้ำเดิม ในทางกลับกันการอยู่ข้างในนานวันเข้า ก็เปลี่ยนแปลงร่างกายของเขาจากที่เคยเป็นเกษตรกรที่ได้โดนแดดและสูดอากาศบริสุทธิ์ทุกวัน ตอนนี้สุขภาพแย่ลง มีปัญหาต่อมผิวหนัง ระบบภูมิคุ้มกันไม่ดี หัวใจเต้นผิดจังหวะ เจ็บกล้ามเนื้อเวลาขยับตัว จนมีอาการป่วยเมื่อเดือนที่แล้ว
.
อาจเพราะระบบสุขอนามัยในเรือนจำไม่เพียงพอ เรือนจำไม่จัดให้มีอุปกรณ์รักษาความสะอาดร่างกาย ต้องให้ญาติซื้อฝากเข้ามาให้ ไม่ว่าจะเป็นสบู่ ผงซักฟอก ยาสีฟัน แปรงสีฟัน ทำให้ผู้ต้องขังที่ไม่มีญาติมาเยี่ยมขาดแคลนสิ่งเหล่านี้ ทิวากรเองก็ติดโรคหิดจากผู้ต้องขังคนอื่นในกองงานเดียวกัน เพราะความไม่สะอาด แม้จะกินอาหารบางชนิดได้เหมือนปกติ แต่สิ่งที่เขาคิดถึงมากที่สุดคือส้มตำ ไม่ว่าจะเป็นตำลาว ตำป่า ตำแตง
.
หลังจากถูกขังมา 1 ปี ความรู้สึกส่วนตัวสะท้อนออกมาเป็นคำพูดคือ “เขาเป็นรองจึงขังเราไว้” “ผมยังมีราคาอยู่ อานนท์ นำภา ยังมีราคาอยู่” และ “ผู้มีอำนาจหาวิธีจัดการกับผม เพื่อให้ผมหมดหวัง” ช่วงเวลาที่ยากที่สุดคือตอนที่ล้มป่วย หน้ามืด หัวใจเต้นผิดจังหวะ และมีความคิดย้อนไปย้อนมาในหัวว่า “เขาจะขังเราไว้ทำไม”
.
ทิวากรเปิดใจถึงช่วงที่เกือบสิ้นหวังหรือท้อแท้คือช่วงวันแรก ๆ เพราะเป็นห่วงพ่อแม่ว่าเป็นอย่างไร แต่หลังจากที่แม่และพ่อได้มาเยี่ยมแล้ว กำลังใจก็ดีขึ้น ความเหงาและการขาดการติดต่อจากโลกภายนอกไม่ค่อยมีผลต่อกำลังใจเท่าไร เพราะมีคนมาเยี่ยมบ่อย แม่จะมาเดือนละประมาณ 1 ครั้ง ช่วงหลัง ๆ ประมาณเดือนครึ่งต่อครั้ง เพราะเดินทางมาเองไม่ได้ และมีคนซึ่งไม่เคยรู้จักกันมาก่อนแต่มาเยี่ยมและให้กำลังใจ ทำให้ทิวากรรู้สึกมีกำลังใจมาก แต่การที่เขาไม่ได้รู้ข่าวคราวข้างนอกทำให้เขารู้สึกความรู้น้อยลง ความคิดอ่านช้าลง แม้บางทีเรื่องง่าย ๆ ก็ใช้เวลาค่อนข้างมากถึงจะนึกได้
.
ขณะที่สัมพันธภาพกับเพื่อนในเรือนจำก็มีแนวโน้มในทางที่ดี เพื่อนค่อนข้างเยอะ ด้วยเป็นคนชอบช่วยเหลือคนอื่น เมื่อได้เงินที่ญาติฝากมาให้ ก็จะเอาไปซื้อเสื้อผ้า แปรงสีฟัน ยาสีฟัน ผงซักฟอกให้กับเพื่อนนักโทษคนอื่น ๆ ที่ขาดแคลน
.
ทิวากรเล่าถึงความฝันอยู่สองครั้ง ครั้งแรกฝันว่าได้เจอกับอาจารย์สมัยอยู่มหาวิทยาลัยพระจอมเกล้าพระนครเหนือ และได้ไปทำงานให้กับอาจารย์ ซึ่งเป็นความรู้สึกผิดที่เคยให้สัญญากับอาจารย์เอาไว้ ฝันเรื่องที่สอง คือได้ขึ้นเครื่องบินลำเดียวกันกับ ทักษิณ ชินวัตร
.
ก่อนบทสนทนาย้อนไปถึงคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ภาค 4 ที่กลับคำตัดสิน ทิวากรเชื่อว่ากระบวนการยุติธรรมไทยมีแนวคิดที่แตกแยก ผลคำพิพากษาเกิดจากอคติส่วนตัวของผู้พิพากษา จากที่เคยคำนวณโอกาสชนะคดี 33.33% ตอนนี้เขามีความเชื่อมั่นและมั่นใจว่าในชั้นฎีกาจะกลับมาชนะ
.
เมื่อถามถึงการที่มีกลุ่มประชาชนเดินทางมาชูป้าย ‘ปล่อยผู้ต้องขังทางการเมือง’ เพื่อให้กำลังใจหน้าเรือนจำ สิ่ง ๆ นั้นทำให้ทิวากรรู้สึก “ซาบซึ้งมาก ขอบคุณมาก ๆ น้ำตาไหล” แม้จะไม่ได้พบใครเลยก็ตาม
.
หนึ่งปีในเรือนจำทำให้เขาเข้าใจความหมายคำว่า ‘ยุติธรรม’ แตกต่างไปจากเดิม เขาตอบว่าทราบก่อนหน้าแล้วว่าความยุติธรรมไม่ค่อยมีอยู่ ตอนนี้เขามีความรู้สึกเหมือนกับจำเลยคดีเกี่ยวกับลอบปลงพระชนม์รัชกาลที่ 8
.
ก่อนจากกัน มีข้อความในโอกาสครบ 1 ปี ของการถูกคุมขัง ทั้งที่คดียังไม่ถึงที่สุด ทิวากรฝากว่า “สดุดีท่านที่ไม่ปิดกั้นตนเอง ยืนหยัดในการแสดงออกทางการเมือง โดยเฉพาะประเด็นสถาบันกษัตริย์” ทิ้งท้ายอีกว่า “สังคมวิตกจริตหมายถึงว่าชนชั้นนำทำตัวเอง มีฝ่ายผู้มีอำนาจที่วิตกจริต ประสาทแดก หรือกลัวอำนาจของตนสูญเสีย”
.
.
อ่านบันทึกเยี่ยมทั้งหมดบนลิ้งก์https://tlhr2014.com/archives/77515

https://www.facebook.com/photo?fbid=1168437901793345&set=a.656922399611567
.....


iLaw
19 hours ago
·
1 ปีแล้วที่ทิวากรอยู่ในเรือนจำ หมดศรัทธาแต่ยังไม่หมดความหวัง
14 สิงหาคม 2568 ครบรอบ 1 ปีที่ทิวากร วิถีตน เกษตรกรชาวจังหวัดขอนแก่นวัย 49 ปี ถูกคุมขังในทัณฑสถานบำบัดพิเศษขอนแก่น หลังศาลอุทธรณ์ภาค 4 มีคำพิพากษาลงโทษจําคุก 6 ปี จากเหตุโพสต์ภาพตัวเองสวมเสื้อ “เราหมดศรัทธาสถาบันกษัตริย์แล้ว” และโพสต์เรียกร้องให้สถาบันกษัตริย์ยุติการใช้มาตรา 112 และปล่อยสี่แกนนำราษฎรในปี 2564 โดยไม่ได้รับสิทธิประกันระหว่างฎีกา แม้ทนายความจะยื่นขอประกันตัวถึง 8 ครั้งแล้วก็ตาม
คดีนี้ศาลชั้นต้นเคยพิพากษายกฟ้องมาแล้ว โดยให้เหตุผลว่า ภาพและข้อความดังกล่าวไม่ได้เป็นการระบุถึงบุคคลที่ถูกดูหมิ่นหรือหมิ่นประมาทให้รู้ได้แน่นอนว่าเป็นองค์พระมหากษัตริย์องค์ใดองค์หนึ่งโดยเฉพาะ
แต่ในวันที่ 14 สิงหาคม 2567 ศาลอุทธรณ์กลับคำพิพากษาของศาลชั้นต้น โดยอ้างเหตุผลว่า คําว่า “สถาบันกษัตริย์” ในรูปภาพและข้อความที่จำเลยโพสต์นั้นหมายถึงพระมหากษัตริย์รัชกาลที่ 10 และโพสต์ข้อความ “หากสถาบันกษัตริย์ไม่ระงับใช้ 112 โดยทันที ก็เท่ากับทำตัวเองเป็นศัตรูกับประชาชน หากสถาบันกษัตริย์เป็นศัตรูกับประชาชนจุดจบคือล่มสลายสถานเดียว” ปรากฏมีผู้แสดงความเห็นในเชิงเกลียดชัง ด่าทอ จึงเป็นการใส่ความให้พระมหากษัตริย์เสื่อมเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น เป็นความผิดตามมาตรา 112 และพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ เขาถูกควบคุมตัวไปที่ทัณฑสถานบำบัดพิเศษขอนแก่นนับแต่วันนั้น
ย้อนกลับไปก่อนที่เขาจะเข้าสู่โลกของคดีการเมือง ทิวากรเคยเป็นวิศวกรไฟฟ้า ทำงานอยู่ในกรุงเทพฯ ราวๆ 20 ปี เขาเคยร่วมทำกิจกรรมทางการเมืองกับกลุ่มคนเสื้อแดงอยู่พักหนึ่ง ก่อนตัดสินใจทิ้งชีวิตคนเมืองกับอาชีพวิศวกรแล้วเดินทางกลับภูมิลำเนาเพื่อไปอยู่กับครอบครัว และผันตัวมาเป็นเกษตรกรในอำเภอที่ห่างไกลจากตัวเมือง แต่เขาก็ยังติดตามสถานการณ์ทางการเมืองผ่านทางอินเทอร์เน็ตอยู่เป็นระยะ
จนเมื่อมีข่าวการหายตัวไปของวันเฉลิม สัตย์ศักดิ์สิทธิ์ ผู้ลี้ภัยการเมืองชาวไทยที่ถูกอุ้มหายไปจากหน้าที่พักในประเทศกัมพูชา ทิวากรซึ่งตอนนั้นตัดสินใจว่าจะไม่เคลื่อนไหวด้วยการไปร่วมชุมนุมอีกแล้วก็คิดว่าจะสั่งเสื้อที่เขียนข้อความว่า “เราหมดศรัทธาในสถาบันกษัตริย์แล้ว” ออกมาใส่
“ตอนที่ผมคิดเรื่องเสื้อตัวนี้ ผมน่าจะนึกถึงการแสดงออกว่ารักพระมหากษัตริย์หรือรักสถาบันกษัตริย์ด้วยการใส่เสื้อ “เรารักในหลวง” ในเมื่อคนรักสถาบันกษัตริย์สามารถใส่เสื้อ “เรารักในหลวง” ได้ การแสดงออกด้วยการใส่เสื้อที่มีคำว่า “เราหมดศรัทธาสถาบันกษัตริย์แล้ว” ก็น่าจะทำได้ ซึ่งผมมั่นใจว่ามันไม่ผิดกฎหมายข้อไหน แถมยังไม่ผิดศีลธรรมอะไรด้วย ตราบใดที่แค่ใส่เสื้อโดยไม่ได้ไปละเมิดคนอื่น ไม่ได้ระรานคนอื่น ไม่ได้ด่าคนอื่น ไม่ได้ยั่วยุคนอื่น และไม่ได้ไปทำผิดกฎหมายข้อไหน” ทิวากร กล่าวในบทสัมภาษณ์เมื่อปี 2565
หลังได้รับเสื้อทิวากรก็เอามาใส่ออกนอกบ้านในวันเดียวกันนั้นเลย ทั้งใส่ไปไร่และใส่ไปตลาดซึ่งคนที่เห็นเขาใส่เสื้อ ไม่ว่าจะใส่เสื้อไปที่ไหน ก็ไม่มีใครต่อว่าหรือแม้แต่ทักท้วงเสื้อตัวนี้เลยแม้แต่คนเดียว แต่เมื่อเขาตัดสินใจถ่ายรูปตัวเองโพสต์ลงบนเฟซบุ๊กก็กลายเป็นเรื่องขึ้นมา มีผู้ใช้เฟซบุ๊กหลายคนเข้ามาโพสต์แสดงความไม่เห็นด้วยและมีบางคนเข้ามาด่าทอชนิดที่เรียกว่า “ทัวร์ลง” แต่นั่นก็เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของการคุกคาม
ทิวากรเคยถูกเจ้าหน้าที่นอกเครื่องแบบสิบกว่าคนมาที่บ้านเพื่อโน้มน้าวให้เขาเลิกใส่เสื้อหมดศรัทธาและถามเขาถึงเรื่องแนวคิดทางการเมือง รวมถึงเคยถูกควบคุมตัวกว่า 14 วันในโรงพยาบาลจิตเวชขอนแก่นราชนครินทร์ เมื่อปี 2564 เขาถูกจับฉีดยา ถูกควบคุมไว้ในห้องที่มีลูกกรง และยังต้องเข้าสู่กระบวนการประเมินสภาพจิตใจโดยจิตแพทย์
นอกจากนี้เขายังมีคดีมาตรา 116 อีกคดีจากการโพสต์เฟซบุ๊กเชิญชวนให้บุคคลทั่วไปเข้ามาลงชื่อว่า เห็นด้วยหรือไม่ว่าควรมีการทำประชามติ ว่าจะคงไว้หรือยกเลิกระบอบพระมหากษัตริย์ คดีนี้มีประชาชนจากจังหวัดลำปางเป็นผู้ร้องทุกข์ ทำให้ทิวากรต้องเดินทางจากบ้านที่จังหวัดขอนแก่นเป็นระยะทางราว 500 กิโลเมตรเพื่อไปสู้คดีที่จังหวัดลำปาง ซึ่งคดีนี้ศาลจังหวัดลำปางพิพากษารอการลงโทษไว้มีกำหนด 3 ปี
อาจจะนานถึง 5 ปีกว่าที่ทิวากรจะได้กลับบ้านไปใช้ชีวิต ไปดูแลพ่อแม่ที่อายุมากแล้ว ในเรือนจำทิวากรยังคงนิสัยรักการอ่านหนังสือ โดยเฉพาะหนังสือการเมืองและประวัติศาสตร์ จากบันทึกเยี่ยมของศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน เขามักจะเล่าถึงหนังสือที่เขาอ่านในเรือนจำเสมอ และเขายังบอกอีกว่าตัวเขาและผู้ต้องขังคนอื่นๆ ต้องการหนังสือที่หลากหลาย หากใครสนใจบริจาค สามารถส่งมาได้ที่ ห้องสมุดพร้อมปัญญา ทัณฑสถานบำบัดพิเศษขอนแก่น 117 ถนนศรีจันทร์ ต.ในเมือง อ.เมือง จ.ขอนแก่น 40000

https://www.facebook.com/photo?fbid=1168437901793345&set=a.656922399611567
https://www.facebook.com/photo/?fbid=1174438798063071&set=a.625664032940553


สนุกมากนักหรือจับเด็กเข้าคุกนี่ - ศาลอุทธรณ์ภาค 5 กลับคำพิพากษาคดี ม.112-พ.ร.บ.คอมฯ “สุปรียา” แขวนป้าย “งบสถาบันฯ” จำคุกรวม 5 ปี ก่อนได้ประกันชั้นฎีกา


ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน
9 hours ago

oseSportdnt9lh0362ahml35t1f5c92m14gli6a7l46mai8iuc7uh0025t7u ·

ศาลอุทธรณ์ภาค 5 กลับคำพิพากษาคดี ม.112-พ.ร.บ.คอมฯ “สุปรียา” แขวนป้าย “งบสถาบันฯ” จำคุกรวม 5 ปี ก่อนได้ประกันชั้นฎีกา
.
.
วันที่ 14 ส.ค. 2568 ศาลจังหวัดเชียงรายนัดฟังคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ภาค 5 ในคดีของ “แซน” สุปรียา ใจแก้ว อดีตนักกิจกรรมในจังหวัดเชียงราย และทีมงานพรรคเพื่อไทย ในข้อหาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 และ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ มาตรา 14 (2) จากการถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้วางป้ายผ้าที่มีข้อความว่า “งบสถาบันฯ>งบเยียวยาประชาชน” บริเวณห้าแยกพ่อขุนเม็งราย อำเภอเมืองเชียงราย เมื่อวันที่ 4 ม.ค. 2564
.
ศาลอุทธรณ์ภาค 5 กลับคำพิพากษาของศาลชั้นต้น เป็นเห็นว่ามีความผิดตามฟ้อง โดยเห็นว่าข้อความบนป้ายมีลักษณะเปรียบเทียบลดทอนคุณค่า-ความน่าเชื่อถือสถาบันกษัตริย์ ลงโทษจำคุกรวม 5 ปี โดยไม่รอลงอาญา ก่อนจำเลยได้ประกันตัวระหว่างฎีกา
.
.
ศาลชั้นต้นยกฟ้อง เห็นว่าแม้หมายถึง “งบสถาบันกษัตริย์” แต่ก็เป็นการวิพากษ์วิจารณ์งบประมาณแผ่นดิน ไม่เข้าข่าย ม.112
.
คดีนี้มี ร.ต.อ.ศุภากร ภัทรสุขเกษม อดีตรองสารวัตรสืบสวน สภ.เมืองเชียงราย เป็นผู้กล่าวหา อัยการมีคำสั่งฟ้องคดีนี้ โดยแยกเป็น 2 กระทง คือ การกระทำที่เกี่ยวกับการวางป้ายผ้าดังกล่าวใกล้พระบรมฉายาลักษณ์รัชกาลที่ 10 บริเวณห้าแยกพ่อขุนเม็งราย ในข้อหาตามมาตรา 112 และการโพสต์ข้อความในเพจเฟซบุ๊ก “Free Youth CEI-เชียงรายปลดแอก” โดยนำภาพถ่ายป้ายข้อความดังกล่าวมาโพสต์ประกอบคำว่า “งบสถาบันฯ>งบเยียวยาประชาชนเชียงราย ส่งเข้าประกวดค่ะ” โดยกล่าวหาว่าเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ มาตรา 14 (2)
.
หลังการต่อสู้คดี วันที่ 28 ธ.ค. 2566 ศาลจังหวัดเชียงรายมีคำพิพากษายกฟ้องทุกข้อกล่าวหา โดยเห็นว่า ใจความของข้อความคำว่า “งบสถาบันฯ>งบเยียวยาประชาชน” เป็นการวิพากษ์วิจารณ์งบประมาณแผ่นดิน ไม่ปรากฏว่ามีลักษณะหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้าย และการจัดการงบประมาณแผ่นดินนั้นเป็นหน้าที่ของรัฐบาล ไม่ใช่พระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ ข้อความดังกล่าวจึงไม่เป็นการใส่ความหรือให้ร้ายพระมหากษัตริย์
.
ส่วนการโพสต์รูปภาพและข้อความลงในเพจเฟซบุ๊ก โดยลักษณะความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ มาตรา 14 (2) จะต้องเป็นการนำเข้าข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน ดังนั้นองค์ประกอบภายนอกที่โจทก์จะต้องนำสืบให้ได้ว่าข้อความดังกล่าวเป็นความเท็จอย่างไร แต่โจทก์ไม่มีพยานหลักฐานว่าเป็นข้อความอันเป็นเท็จ การกระทำดังกล่าวจึงไม่เป็นความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ มาตรา 14 (2)
.
ต่อมาอัยการได้ยื่นอุทธรณ์คำพิพากษา และฝ่ายจำเลยก็ยื่นโต้แย้งอุทธรณ์ของโจทก์ ก่อนหน้านี้ศาลได้นัดฟังคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ภาค 5 ในวันที่ 10 มิ.ย. 2568 แต่ได้เลื่อนนัดออกมา เนื่องจากคำพิพากษายังไม่แล้วเสร็จ โดยจำเลยได้จองตั๋วเดินทางไปจากกรุงเทพฯ ในช่วงวันนัดดังกล่าวแล้ว
.
.
กลับคำพิพากษา เห็นว่าจำเลยเป็นผู้แขวนป้าย-โพสต์ เห็นว่าข้อความมีลักษณะเปรียบเทียบลดทอนคุณค่า-ความน่าเชื่อถือสถาบันกษัตริย์ จำคุก 5 ปี
.
เวลา 9.00 น. สุปรียา พร้อมทนายความ เดินทางมาฟังคำพิพากษาที่ห้องพิจารณาคดีที่ 4 ศาลเปิดซองและอ่านคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ภาค 5 โดยสรุปวินิจฉัยใน 3 ประเด็นหลัก
.
1. ประเด็นว่าจำเลยเป็นผู้นำแผ่นป้ายผ้าไปแขวนไว้ที่บริเวณห้าแยกพ่อขุนเม็งราย ในวันเกิดเหตุหรือไม่ ศาลพิจารณาว่าคดีนี้แม้ไม่มีประจักษ์พยานที่เห็นเหตุการณ์ แต่จากปากคำของเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสืบสวนของ สภ.เมืองเชียงราย 2 นาย ที่ติดตามกล้องวงจรปิดจากที่เกิดเหตุไปยังสถานที่ต่าง ๆ พบรถยนต์ที่มีบุคคล 3 คน เป็นชาย 2 คนและหญิง 1 คน เป็นผู้ก่อเหตุติดป้ายดังกล่าว โดยผู้หญิงสวมเสื้อกันหนาวสีดำ กางเกงขายาว ใส่รองเท้าผ้าใบ และใส่หน้ากากอนามัยสีดำ
.
ต่อมาเจ้าหน้าตำรวจที่มีการตรวจค้นห้องพักของจำเลย มีการยึดเสื้อกันหนาวสีดำ รองเท้าผ้าใบ หน้ากากอนามัย และโทรศัพท์มือถือ เป็นของกลาง เมื่อนำมาเปรียบเทียบกับภาพจากกล้องวงจรปิด พบว่ามีลักษณะใกล้เคียงกับผู้ก่อเหตุ และรถยนต์ที่ก่อเหตุแม้ไม่สามารถระบุแผ่นป้ายทะเบียน แต่ทราบยี่ห้อรถและปรากฏลักษณะพิเศษ คือมีสติ๊กเกอร์สีเหลืองติดอยู่บริเวณกลางกระจกหลังรถ ซึ่งมีลักษณะตรงกับรถที่ตรวจพบว่าอยู่ในที่พักอาศัยของจำเลย
.
เชื่อว่าพยานโจทก์ทั้งสองปฏิบัติตามหน้าที่ ไม่มีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลย เชื่อว่าเบิกความไปตามข้อเท็จจริง เห็นว่าพยานโจทก์ทั้งพยานบุคคล พยานวัตถุ และพยานเอกสาร มีความสอดคล้องต้องกัน มีน้ำหนักรับฟังได้ ว่าหญิงที่ปรากฏในภาพกล้องวงจรปิด เป็นบุคคลเดียวกับจำเลย
.
2. ประเด็นว่าการกระทำเป็นความผิดตามมาตรา 112 หรือไม่ เห็นว่าโจทก์มีพยานมาเบิกความ ได้แก่ ทนายความ, อาจารย์คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง และมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย, อาจารย์คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย, อดีตเจ้าหน้าที่ทหารกองการข่าว มทบ.37, ข้าราชการบำนาญ กระทรวงศึกษาธิการ โดยมีความเห็นแบ่งเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มแรก พยานสามคน มีความเห็นทำนองว่าป้ายดังกล่าวเข้าข่ายความผิดตามมาตรา 112 กลุ่มที่สอง พยานอีกสามคน เห็นทำนองว่าไม่เป็นความผิด
.
แต่เมื่อพิจารณาว่าป้ายของกลางที่จำเลยนำไปแขวน จงใจเลือกสถานที่บริเวณใต้ป้ายพระบรมฉายาลักษณ์ของรัชกาลที่ 10 ที่มีข้อความ “ทรงพระเจริญ” เมื่อพิจารณาบริบทดังกล่าว คำว่า “สถาบันฯ” ย่อมแสดงเจตนาของผู้กระทำว่าสื่อถึงสถาบันพระมหากษัตริย์ ซึ่งเป็นหนึ่งในสถาบันหลักของชาติ อันมีองค์พระมหากษัตริย์เป็นประมุข และเป็นศูนย์รวมความจงรักภักดี เป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจ และเป็นที่เคารพรักเทิดทูนอย่างสูงของประชาชนชาวไทย
.
ส่วนคำว่า “งบเยียวยาประชาชน” นั้น ขณะเกิดเหตุ ประเทศไทยกำลังเผชิญวิกฤติการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อโควิด-2019 ถ้อยคำดังกล่าวจึงย่อมสื่อความหมายถึงงบประมาณที่รัฐบาลจัดสรร เพื่อใช้ในการแก้ไขปัญหา บรรเทาผลกระทบ และเยียวยาประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนจากวิกฤติดังกล่าว
.
ข้อความเปรียบเทียบดังกล่าว จึงเป็นการสื่อสารที่สร้างความเข้าใจว่างบประมาณที่รัฐบาลจัดสรรให้แก่สถาบันพระมหากษัตริย์ มากกว่างบที่จัดสรรเพื่อเยียวยาความเดือดร้อนของประชาชน แม้จะมิได้ระบุชื่อสถาบันอย่างชัดเจน แต่เมื่อพิจารณาสถานที่ ตลอดจนบริบทสถานการณ์ ย่อมมีนัยสื่อความหมายโดยตรงถึง “สถาบันพระมหากษัตริย์” ในทางเปรียบเทียบกับการใช้งบเยียวยาประชาชน อันมีผลกระทบต่อความรู้สึกของประชาชนทั่วไปที่มีความเคารพเทิดทูนในสถาบันพระมหากษัตริย์
.
ย่อมแสดงให้เห็นถึงเจตนาแอบแฝงในการสื่อสารข้อความเปรียบเทียบ โดยมีจุดประสงค์ให้ประชาชนทั่วไปที่พบเห็น เข้าใจว่างบประมาณสถาบันพระมหากษัตริย์มีจำนวนมากเกินสมควร และมากกว่างบเยียวยาประชาชน การกระทำเช่นนี้ย่อมมีลักษณะของการเปรียบเทียบในการลดทอนคุณค่าของสถาบัน โดยอาศัยบริบทของสถานการณ์สังคมและอารมณ์ของประชาชน เพื่อสื่อสารชี้นำหรือยั่วยุให้เกิดความไม่พอใจต่อสถาบันพระมหากษัตริย์โดยทางอ้อม อันมีลักษณะบั่นทอนความน่าเชื่อถือของสถาบัน การกระทำของจำเลยจึงเป็นการหมิ่นประมาทใส่ความพระมหากษัตริย์ อีกทั้งด้อยค่าองค์พระมหากษัตริย์ด้วย จึงเห็นว่ามีความผิดตามมาตรา 112
.
3. ประเด็นว่าจำเลยเป็นผู้โพสต์ภาพดังกล่าวและข้อความประกอบ ในเพจเฟซบุ๊ก “Free Youth CEI-เชียงรายปลดแอก” หรือไม่ เห็นว่าจากปากคำของตำรวจฝ่ายสืบสวนทั้งสองนาย เบิกความทำนองว่าเพจดังกล่าวมีเนื้อหาเคลื่อนไหวทางการเมือง ตำรวจได้เฝ้าระวังและติดตามเนื้อหาอย่างต่อเนื่อง และตามรายงานการสืบสวนมีข้อมูลบัญชีผู้ใช้งานที่เชื่อมโยงกับจำเลย ในฐานะผู้ก่อตั้งกลุ่มดังกล่าวเมื่อปี 2563 แม้จำเลยนำสืบว่าเป็นผู้ติดตามเพจดังกล่าว
.
ทั้งเนื้อหาของเพจเฟซบุ๊กดังกล่าวภายหลังเกิดเหตุ ยังบ่งชี้ความเชื่อมโยงกับจำเลย โดยมีโพสต์ข้อความที่บอกเล่าการถูกจับกุม ภาพหมายจับ และเหตุการณ์ในวันจับกุม และหลังจากนั้นยังมีการเผยแพร่ภาพสด ที่มีจำเลยเป็นผู้ดำเนินรายการ รายละเอียดดังกล่าวมีลักษณะเฉพาะเจาะจงและเกี่ยวข้องกับตัวจำเลย อันเป็นลักษณะที่ยากแก่การรับรู้ของบุคคลอื่น แสดงให้เห็นว่าจำเลยมีบทบาทเป็นผู้ควบคุมดูแลจัดการเนื้อหาเพจเฟซบุ๊กดังกล่าวโดยตรง
.
พยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบรับฟังได้ว่าจำเลยเป็นผู้โพสต์ภาพและข้อความดังกล่าว อันเป็นการนำเข้าข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จโดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายต่อการรักษาความมั่นคงปลอดภัยของประเทศ ตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 มาตรา 14 (2)
.
พิพากษากลับเป็นว่าจำเลยมีความผิดตามฟ้อง ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไป ลงโทษตามมาตรา 112 จำคุก 3 ปี ลงโทษตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ จำคุก 2 ปี รวมจำคุก 5 ปี และให้ริบป้ายผ้าของกลาง
.
องค์คณะผู้พิพากษาในศาลอุทธรณ์ภาค 5 ได้แก่ สมศักดิ์ แก้วร่วมวงศ์, สมเจตน์ วิทยาผาสุข และ มาโนช รัตนะนาคะ
.
.
หลังอ่านคำพิพากษา สุปรียาได้ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจศาลควบคุมตัวไปยังห้องขังใต้ถุนศาล ส่วนทนายความได้ยื่นขอประกันตัวจำเลยในชั้นฎีกา
.
ต่อมาเวลาประมาณ 13.20 น. ศาลจังหวัดเชียงรายมีคำสั่งอนุญาตให้ประกันระหว่างฎีกา โดยใช้หลักทรัพย์จำนวน 200,000 บาท ซึ่งได้รับความช่วยเหลือจากกองทุนราษฎรประสงค์ และต้องต่อสู้คดีในชั้นฎีกาต่อไป
.
ทั้งนี้ก่อนหน้านี้มีคดีลักษณะเดียวกันนี้ คือกรณีแขวนป้ายที่มีข้อความ “งบสถาบันกษัตริย์>วัคซีนCOVID19” ซึ่งมีนักศึกษาและนักกิจกรรมรวม 5 คน ถูกสั่งฟ้องคดีมาตรา 112 ที่ศาลจังหวัดลำปาง ทั้งศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 5 มีคำพิพากษายกฟ้องไปแล้ว โดยเห็นว่าข้อความไม่เข้าข่ายมาตรา 112 เป็นการวิพากษ์วิจารณ์งบประมาณแผ่นดิน ไม่ได้ระบุตัวบุคคลใดโดยเฉพาะ และคดีสิ้นสุดลงแล้ว
.
.
อ่านข่าวบนเว็บไซต์จากลิงค์
https://tlhr2014.com/archives/77525
.....