Lanner8 hours ago
·
แรงงานข้ามชาติจากประเทศเพื่อนบ้าน โดยเฉพาะจากเมียนมา ถือเป็นกลไกสำคัญที่ขาดไม่ได้ พวกเขาเป็นกำลังหลักในกลุ่มแรงงานทักษะต่ำ ซึ่งคิดเป็นจำนวนกว่า 80% ของแรงงานต่างชาติทั้งหมดในประเทศ จากการรายงานของคณะทำงานเครือข่ายสหประชาชาติว่าด้วยการโยกย้ายถิ่นฐานประเทศไทย (UNNM) ระบุว่า แรงงานข้ามชาติมีส่วนช่วยในการขับเคลื่อนผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ของไทยถึงประมาณ 6.2%
อย่างไรก็ตาม ในสายตาของสังคมไทย แรงงานกลุ่มนี้มักถูกมองด้วยความเข้าใจผิดและอคติ พวกเขามักถูกเหมารวมว่าเป็น ‘ภาระ’ ในยามเจ็บป่วย หรือ ‘ผู้แย่งงาน’ ของผู้คนในสังคมไทย
แต่เบื้องหลังตัวเลขและภาพลักษณ์ที่ถูกตีตรา คือเรื่องราวของมนุษย์คนหนึ่งที่มีความฝัน มีความทุ่มเท และต้องต่อสู้ดิ้นรนเพื่อสร้างชีวิตที่ดีกว่าให้กับตนเองและครอบครัว และยังเป็นกำลังหลักสำคัญของโครงสร้างทางสังคมไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาคส่วนที่ต้องใช้แรงงานเข้มข้น เช่น การก่อสร้าง เกษตรกรรม ประมง และอุตสาหกรรมการผลิต ซึ่งเป็นฐานรากสำคัญที่ช่วยขับเคลื่อนและค้ำจุนการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศ

ชีวิตที่ฝากไว้กับค่าแรงขั้นต่ำ
สำหรับแรงงานข้ามชาติหลายคน การตัดสินใจเดินทางมายังประเทศไทยไม่ใช่ทางเลือกที่ง่ายดาย หากแต่เป็นความจำเป็นที่ถูกผลักจากสองปัจจัยหลัก คือ ‘ความไม่สงบในบ้านเกิด’ และ ‘โอกาสทางเศรษฐกิจที่มากกว่า’
‘ไตรักไต’ คือข้อความที่อยู่บนเสื้อของ จิ่งต้ะ ชายชาวไทใหญ่อายุ 37 ปี ผู้เป็นแรงงานในประเทศไทยยาวนานถึง 12 ปี ซึ่งผูกพันอยู่กับการเป็นแรงงานภาคการเกษตรในภาคเหนือของไทย เขาเริ่มต้นจากการทำงานในสวนหอม สวนส้ม โรงงานขวด โรงผึ้ง และปัจจุบันเป็นคนดูแลไร่โกโก้ที่มากกว่าสี่พันต้น ในจังหวัดเชียงใหม่
“อยู่ที่รัฐฉาน เวลาทำไร่ทำสวน มันไม่พอกิน เวลาเราทำเองเพราะไม่มีเงินไปจ้างคนอื่น ผลผลิตก็จะไม่ได้ตามเป้า แต่พอมาอยู่ที่ไทย เรามาเป็นลูกจ้าง เงินก็ได้เยอะกว่าและพอกินพอใช้ สามารถเลี้ยงครอบครัวได้ ในขณะที่รัฐฉาน ไม่พอเลย”
จิ่งต้ะเล่าถึงความแตกต่างของค่าแรงระหว่างรัฐฉาน ประเทศเมียนมา กับภาคเหนือ ประเทศไทย ในปี พ.ศ. 2555 ซึ่งเป็นปีที่เขาตัดสินใจข้ามมาทำงานในประเทศไทย ในเวลานั้น ค่าแรงต่อวันในรัฐฉานอยู่ที่ประมาณ 2,000 จ๊าด หรือคิดเป็นเงินไทยราว 30 บาทต่อวัน ขณะที่งานสวนหอมในประเทศไทยให้ค่าแรง 150 บาทต่อวัน ซึ่งได้มากกว่าค่าแรงขั้นต่ำในรัฐฉานถึง 5 เท่า
และความเหลื่อมล้ำดังกล่าวยังคงอยู่ในปัจจุบัน (พ.ศ. 2568) ค่าแรงขั้นต่ำในเมียนมาอยู่ที่ประมาณ 10,000 จ๊าดต่อวัน หรือราว 150 บาท ขณะที่ค่าแรงขั้นต่ำของไทยอยู่ที่ 350 บาทต่อวัน นั่นหมายความว่าแรงงานในเมียนมายังคงได้ค่าแรงต่ำกว่าแรงงานในไทยกว่า 2 เท่า
แม้ค่าแรงจะเพิ่มขึ้นจนเทียบเท่ากับประเทศไทยเมื่อ 13 ปีที่แล้ว แต่ปัจจัยสำคัญอย่างสงครามยังไม่สงบลง
“ต้องมาฆ่ากันเอง มันไม่มีประโยชน์เลย”
หม่อง ยอดดี แรงงานช่างก่อสร้างวัย 42 ปี ชาวไทใหญ่ที่ใช้ชีวิตในไทยมาเกือบ 20 ปี เล่าให้ฟังถึงสถานการณ์การสู้รบและความไม่มั่นคงทางการเมืองในรัฐฉาน ซึ่งทำให้การดำรงชีวิตเต็มไปด้วยความเสี่ยง การหนีภัยความไม่สงบและการหลีกเลี่ยงการเกณฑ์ทหารจึงกลายเป็นแรงผลักดันสำคัญที่ทำให้เขาต้องก้าวข้ามพรมแดนเข้ามาทำงานในประเทศไทย
การต่อสู้ที่ยาวนานกว่า 70 ปี ระหว่างกองทัพเมียนมากับกองกำลังรัฐฉาน กลุ่มชาติพันธุ์ไทใหญ่ ส่งผลให้พื้นที่จำนวนมากตกอยู่ในภาวะความไม่มั่นคงอย่างต่อเนื่อง โครงสร้างเศรษฐกิจในท้องถิ่นถูกบั่นทอน การทำกินไม่แน่นอน โอกาสในการทำงานมีจำกัด และความเสี่ยงจากการสู้รบยังซ้ำเติมต้นทุนชีวิตของผู้คนในพื้นที่ชายขอบ
เช่นเดียวกับ รุ่ง อาชีพแม่บ้านในมหาวิทยาลัย วัย 36 ปี เธอเล่าว่าในรัฐฉานมีงานน้อย ค่าแรงต่ำ และเมื่อเกิดสงคราม ราคาสินค้าอุปโภคบริโภคกลับปรับตัวสูงขึ้นสวนทางกับรายได้ของผู้คนในสังคม จนการดำรงชีวิตประจำวันกลายเป็นภาระที่หนักขึ้นสำหรับหลายครอบครัว
สำหรับครอบครัวที่ต้องพึ่งพาแรงงานเพียงคนเดียวเพื่อดำรงชีพ ตัวเลขค่าจ้างขั้นต่ำของไทยจึงกลายเป็นความหวังที่จับต้องได้มากกว่าการอยู่ท่ามกลางความไม่แน่นอนในบ้านเกิด
ข้อมูลแรงงานสะท้อนความเชื่อมโยงดังกล่าวอย่างชัดเจน แรงงานข้ามชาติในประเทศไทยส่วนใหญ่มาจากประเทศเพื่อนบ้าน โดยเฉพาะกลุ่ม CLMV (กัมพูชา ลาว เมียนมา และเวียดนาม) ณ เดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2567 ประเทศไทยมีแรงงานข้ามชาติในระบบประมาณ 3.29 ล้านคน คิดเป็นราว 7.3% ของประชากรวัยทำงานทั้งหมดของประเทศ แรงงานกลุ่มนี้ส่วนใหญ่เป็นแรงงานทักษะต่ำ และกระจายตัวอยู่ในภาคเศรษฐกิจสำคัญ เช่น ก่อสร้าง เกษตรกรรม อุตสาหกรรม และบริการ
เมื่อพิจารณาแหล่งที่มา จะเห็นการพึ่งพาประเทศเพื่อนบ้านอย่างเด่นชัด โดยแรงงานจากเมียนมามีจำนวนมากที่สุดกว่า 1.19 ล้านคน สูงกว่าประเทศอื่นอย่างมีนัยสำคัญ
สถานการณ์ความมั่นคงในเมียนมาจึงเชื่อมโยงโดยตรงกับความมั่นคงทางเศรษฐกิจของไทยอย่างไม่อาจแยกขาด
การไหลเข้ามาของแรงงานในภาคก่อสร้าง – งานบ้าน – การเกษตร จึงไม่ใช่แค่เรื่องของการย้ายถิ่นฐาน แต่คือการเข้ามาทำหน้าที่ในจุดที่แรงงานไทยขาดหายไป ท่ามกลางสถานการณ์ที่ประเทศไทยกำลังเผชิญกับความท้าทายใหม่ที่ยากจะหลีกเลี่ยง นั่นคือการก้าวเข้าสู่สังคมสูงวัยอย่างเต็มตัว

ก่อสร้าง งานบ้าน เกษตร จุดที่แรงงานข้ามชาติทำให้ประเทศเดินต่อ
ในบริบทปัจจุบัน แรงงานข้ามพรมแดนเป็นกลไกสำคัญที่ค้ำจุนระบบเศรษฐกิจไทยอย่างเงียบงัน โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่ประเทศไทยกำลังเผชิญกับวิกฤตแรงงานเชิงโครงสร้างจากการเข้าสู่สังคมสูงวัยอย่างรวดเร็ว จำนวนประชากรวัยทำงานลดลงต่อเนื่อง ขณะที่ความต้องการแรงงานในหลายภาคส่วนยังคงสูงและไม่สามารถหยุดชะงักได้
จากการรายงานของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เรื่องการคาดประมาณประชากรของประเทศไทย พ.ศ. 2553–2583 และบทวิเคราะห์โครงสร้างประชากรโดยธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) พบว่า ประเทศไทยกำลังเผชิญวิกฤตการขาดแคลนแรงงานอย่างจริงจัง ตัวเลขประชากรสะท้อนปัญหานี้ได้ชัดเจน โดยประชากรวัยทำงาน (อายุ 15–59 ปี) ของไทยได้ผ่านจุดสูงสุดไปแล้วตั้งแต่ปี 2560 และนับจากนั้นจำนวนแรงงานก็ลดลงต่อเนื่อง เฉลี่ยปีละประมาณ 3–4 แสนคน
ผลกระทบคือ สัดส่วนประชากรวัยแรงงานที่เคยมีมากถึงร้อยละ 70 ในปี 2553 กำลังลดลงอย่างรวดเร็ว และคาดว่าในอีกไม่ถึง 20 ปีข้างหน้า จะเหลือเพียงร้อยละ 50 เท่านั้น หมายความว่า คนทำงานจะต้องแบกรับภาระทางเศรษฐกิจและสังคมมากขึ้น ขณะที่จำนวนผู้สูงอายุเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง
สถานการณ์นี้ยิ่งน่ากังวลมากขึ้น เมื่อจำนวนเด็กเกิดใหม่ในแต่ละปีลดลงต่ำกว่า 5 แสนคน ซึ่งเป็นระดับต่ำที่สุดในรอบกว่า 70 ปี โดยอัตราการมีบุตรเฉลี่ยของผู้หญิงไทยอยู่ที่ประมาณ 1.08 คนต่อคน ต่ำกว่าระดับที่จำเป็นต่อการทดแทนประชากร
เมื่อเด็กเกิดใหม่น้อยลง แรงงานรุ่นใหม่ที่จะเข้ามาขับเคลื่อนเศรษฐกิจในอนาคตก็ลดลงตามไปด้วย ส่งผลให้โครงสร้างเศรษฐกิจไทยกำลังเผชิญความเสี่ยงจากการขาดแคลนแรงงานในระยะยาวอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ช่องว่างนี้เองที่แรงงานข้ามพรมแดน โดยเฉพาะจากประเทศเพื่อนบ้านอย่างเมียนมา ได้เข้ามามีบทบาทสำคัญ
พวกเขาไม่ได้เข้ามาแทนที่แรงงานไทย หากแต่เข้ามาเติมเต็มในตำแหน่งงานที่ระบบเศรษฐกิจไทยยังต้องพึ่งพา นักเศรษฐศาสตร์แรงงานมักเรียกงานเหล่านี้ว่า ‘งาน 3D’ ได้แก่ Dirty (สกปรก), Dangerous (อันตราย) และ Difficult (ยากลำบาก) ซึ่งเป็นงานที่ต้องใช้แรงกายสูง อยู่ในสภาพแวดล้อมเสี่ยง และมีความไม่แน่นอนในชีวิตการทำงาน
บทบาทของแรงงานข้ามชาติในงาน 3D จึงไม่ใช่การแข่งขันในตลาดแรงงาน แต่คือการเข้ามาเป็นฟันเฟืองที่ทำให้ระบบเศรษฐกิจสามารถเดินหน้าต่อไปได้ โดยเฉพาะในภาคส่วนที่ถือเป็นฐานรากของประเทศ
“เห็นคนเมือง (คนไทย) ไม่กี่คน ที่เหลือก็เป็นคนไทใหญ่ คนพม่า อย่างขุดส้วม น้ำเหม็นๆ ถ้าคนไทยยอมทำเอง อยากทำเองก็ได้ แต่ถ้าทำไม่ได้ พวกผมทำ”
หม่องเล่าให้ฟังถึงบริบทสถานที่ทำงานไซต์ก่อสร้าง และงานต่อเติมซ่อมแซมอาคารบ้าน เขาอธิบายถึงวิธีการทำห้องสุขา ที่ต้องลงไปยืนในน้ำ คลำกลิ่นคละคลุ้ง รวมไปถึงวิธีการยืนบนหลังคาโรงจอดรถกลางแดดจ้า ซึ่งนับเป็นกิจวัตรประจำวันของตัวเขา ที่เมื่อเสร็จงานแล้ว สิ่งนี้จะเป็นหลังคากันแสงแดดออกจากผู้คน
ภาคการก่อสร้างคือหนึ่งในตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุด งานก่อสร้างเป็นงานที่ต้องทำกลางแจ้ง ใช้แรงงานหนัก และมีความเสี่ยงสูง ตั้งแต่การก่อสร้างอาคาร ถนน ไปจนถึงโครงการโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่
หากแรงงานข้ามชาติในภาคการก่อสร้างหายไป ภายใน 3 เดือน โครงการอสังหาริมทรัพย์และโครงสร้างพื้นฐานทั่วประเทศจะหยุดชะงัก ผลที่ตามมาคือ ดอกเบี้ยเงินกู้ที่ผู้ประกอบการต้องแบกรับจะถูกบวกเพิ่มเข้าไปใน “ราคาบ้านและคอนโด” ของคนไทยในอนาคต รวมถึงงานซ่อมแซมเล็กน้อยในบ้านที่คนไทยไม่ทำเอง จะกลายเป็นปัญหาใหญ่ทางสุขอนามัยที่หาคนมาจัดการไม่ได้
ในภาคการเกษตร ซึ่งเป็นอีกเสาหลักของเศรษฐกิจไทย ก็พึ่งพาแรงงานข้ามชาติอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ทั้งในงานเพาะปลูก ปศุสัตว์ และประมง งานเหล่านี้ต้องอาศัยแรงงานเข้มข้น ทำงานตามฤดูกาล และต้องเก็บเกี่ยวให้ทันเวลา
“งานบางอย่างเป็นงานที่คนไทยไม่ค่อยเลือกทำ โดยเฉพาะงานที่ต้องตากแดดตลอดทั้งวัน อย่างงานในสวนส้ม แทบไม่มีแรงงานไทยทำเลย งานอันตราย โดนยา (สารเคมี) เข้าไปเนี่ย ผื่นขึ้นคันทั้งตัวเลย บางคนโดนเข้าตา ก็เป็นต้อตา”
“หลายที่เป็นแรงงานต่างด้าวทั้งหมดเลย มีแค่นายจ้างที่เป็นคนไทย” จิ่งต้ะเล่าติดตลกว่า หากไม่มีแรงงานข้ามชาติคอยทำงานเหล่านี้แล้ว คงต้องเป็นนายจ้างหรือเจ้าของสวนเองที่ต้องเข้าไปฉีดยา ใช้สารเคมีด้วยตัวพวกเขาเอง
แรงงานข้ามชาติคือกำลังหลักที่ทำให้ระบบอาหารของประเทศยังเดินต่อไปได้ ข้อมูลจากกระทรวงแรงงานระบุว่า ปัจจุบันมีแรงงานข้ามชาติที่ขึ้นทะเบียนในภาคเกษตรและปศุสัตว์ประมาณ 400,000–500,000 คน แต่ในความเป็นจริง ตัวเลขอาจสูงเกือบเท่าตัว หากนับรวมแรงงานตามฤดูกาลและแรงงานนอกระบบ ซึ่งเป็นกลุ่มที่ไม่ปรากฏในสถิติอย่างเป็นทางการ
แรงงานเหล่านี้ทำงานกับพืชเศรษฐกิจที่ต้องอาศัย ‘มือคน’ อย่างเข้มข้น ตั้งแต่การเก็บเกี่ยว คัดแยก ไปจนถึงการรักษาคุณภาพก่อนส่งถึงตลาด
หากแรงงานข้ามชาติหายไป ภายในเวลาไม่ถึงหนึ่งเดือน ผลผลิตจำนวนมากจะเน่าเสียคาต้น เพราะไม่มีคนเก็บเกี่ยว แรงงานไทยที่มีอยู่อย่างจำกัดไม่สามารถทดแทนได้ทัน
มูลค่าการส่งออกพืชผักและผลไม้ในปี 2566–2567 โดยมูลค่าการส่งออกผลไม้สด แช่เย็น แช่แข็ง และแห้ง ของไทยอยู่ที่ประมาณ 200,000–250,000 ล้านบาทต่อปี และนี่คือตัวเลขที่ทั้งประเทศจะสูญเสียจากการไม่สามารถส่งออกสินค้าได้
ผลกระทบจะส่งตรงถึงผู้บริโภค ภายใน 2 เดือน ราคาผัก ผลไม้ และเนื้อสัตว์จะพุ่งสูงขึ้นจากต้นทุนที่เพิ่มขึ้นและผลผลิตที่ลดลง ความมั่นคงทางอาหารของครัวเรือนไทยจะสั่นคลอนทันที
บทเรียนนี้เคยเกิดขึ้นมาแล้วในช่วงวิกฤต COVID-19 เมื่อการชะงักของการเคลื่อนย้ายแรงงานเพียงระยะสั้น ทำให้ผลผลิตจำนวนมากไม่สามารถเก็บเกี่ยวได้ทัน เกษตรกรเสียหาย และราคาสินค้าเกษตรผันผวนอย่างรุนแรง สถานการณ์ดังกล่าวชี้ชัดว่า แรงงานข้ามชาติไม่ใช่เรื่องของ ‘คนอื่น’ แต่เชื่อมโยงโดยตรงกับความมั่นคงทางอาหารของไทย
ขณะเดียวกัน งานบ้านและงานดูแล ซึ่งรวมถึงการดูแลผู้สูงอายุ เด็กเล็ก และงานภายในครัวเรือน ก็เป็นอีกภาคส่วนที่แรงงานข้ามชาติเข้ามามีบทบาทสำคัญ งานเหล่านี้เป็นงานที่หนัก ใช้ทั้งแรงกายและแรงใจ ชั่วโมงการทำงานที่มากและไม่แน่นอน ในหลายกรณียังขาดการคุ้มครองทางกฎหมายที่เพียงพอ
รุ่ง คือตัวแทนของแรงงานในภาคบริการและงานบ้าน ที่เป็น ‘มือขวา’ ให้กับครอบครัวคนเมืองในสังคมสูงวัย งานของเธอไม่ใช่แค่การทำความสะอาด แต่คือการดูแลผู้สูงอายุและเด็ก ช่วยให้คนไทยวัยทำงานสามารถออกไปขับเคลื่อนเศรษฐกิจได้อย่างไร้กังวล
หากขาดแรงงานกลุ่มนี้ ภายใน 1 เดือน วิกฤตการดูแล (Care Crisis) จะเกิดขึ้นทันที วัยทำงานจำนวนมากต้องเลือกระหว่าง ‘งานประจำ’ กับ ‘การกลับไปดูแลคนป่วยที่บ้าน’
ผลผลิตของแรงงานไทยจะลดลงอย่างมหาศาล และความเครียดในครอบครัวจะเพิ่มสูงขึ้น งานดูแลที่รุ่งทำจึงไม่ใช่แค่การจ้างงานส่วนตัว แต่คือการแบกรับภาระทางสังคมที่รัฐไทยยังไม่มีสวัสดิการรองรับเพียงพอ
แรงงานข้ามชาติจึงเป็น ‘เสาค้ำ’ ที่มองไม่เห็น แต่มีบทบาทสำคัญต่อการดำรงอยู่ของเศรษฐกิจไทยในชีวิตประจำวัน ตั้งแต่ไซต์ก่อสร้าง ไร่นา โรงงาน ไปจนถึงภายในบ้านของผู้คนในเมืองใหญ่ และเป็นคำถามสำคัญที่สังคมไทยต้องหันกลับมาทบทวนว่า เราจะมองคนกลุ่มนี้อย่างไร ในฐานะแรงงาน หรือในฐานะมนุษย์ที่มีส่วนร่วมในการสร้างประเทศไปด้วยกัน

อุปสรรคของ ‘ความถูกต้อง’ ค่าใช้จ่ายที่มองไม่เห็นและภาระทางกฎหมาย
“เวลามาอยู่ไทย เราพออยู่พอกิน แต่เราต้องมีนายจ้าง ถ้าไม่มีนายจ้างเราจะลำบาก” จิ่งต้ะยกตัวอย่างให้เห็นภาพว่า คนไทยอยู่ในประเทศไม่จำเป็นต้องมีนายจ้าง พลเมืองเจ้าของประเทศสามารถประกอบอาชีพได้อย่างอิสระ แต่สำหรับแรงงานข้ามชาติ ‘นายจ้าง’ คือเงื่อนไขเดียวที่ชี้เป็นชี้ตายสถานะการมีตัวตนในสังคมไทย
ภายใต้ พ.ร.ก. การบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าว พ.ศ. 2560 รัฐไทยได้วางระบบการขึ้นทะเบียนแบบระบุชื่อนายจ้างอย่างเข้มงวด โดยอ้างเหตุผลด้านความมั่นคงและการควบคุมปริมาณแรงงาน แต่ระบบนี้เปรียบเสมือนการผูกขาดสถานะที่เปลี่ยนแรงงานให้กลายเป็น “ทรัพย์สิน” ของนายจ้างมากกว่าจะเป็นหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจ
หากนายจ้างเอารัดเอาเปรียบ แรงงานส่วนใหญ่จำต้องเลือกที่จะนิ่งเฉย เพราะการเปลี่ยนนายจ้างมีเงื่อนไขที่ซับซ้อนและมีเวลาจำกัดเพียง 30–60 วัน มิฉะนั้นสถานะถูกกฎหมายจะสิ้นสุดลงทันที
ยิ่งไปกว่านั้น ความสลับซับซ้อนของนโยบายที่เกี่ยวข้องกับแรงงานข้ามชาติ มักออกผ่านมติคณะรัฐมนตรี ซึ่งเปลี่ยนแปลงบ่อยและมีเส้นตายที่กระชั้นชิด ทำให้เกิดช่องว่างให้ธุรกิจ ‘นายหน้า’ เข้ามาแสวงหาผลประโยชน์
สำหรับแรงงานภาคครัวเรือนอย่าง รุ่ง การจัดการเอกสารที่ยากเกินจะทำได้ด้วยตนเองบีบให้เธอต้องพึ่งพาจ้างวานคนกลาง ทำให้มีค่าใช้จ่ายส่วนเกินพุ่งสูงกว่า 10,000 บาทต่อปี ค่าใช้จ่ายเหล่านี้จึงไม่ใช่แค่ค่าธรรมเนียมรัฐ แต่คือ ‘ค่าความไม่รู้’ และ ‘ค่าอำนวยความสะดวก’ ที่เกิดจากนโยบายรัฐที่ขาดความชัดเจน
ต้นทุนของการมี ‘สถานะถูกกฎหมาย’ จึงกลายเป็นภาระหนักหนาที่แรงงานต้องแบกรับเองทั้งหมด ตั้งแต่ค่าต่ออายุหนังสือเดินทางที่สูงถึง 5,000 บาทต่อครั้ง ไปจนถึงค่าธรรมเนียมวีซ่า ใบอนุญาตทำงาน และประกันสังคม ซึ่งเมื่อรวมกันแล้วอาจพุ่งสูงถึง 16,000 บาทต่อคน เงินจำนวนนี้ไม่ได้เป็นเพียงตัวเลขในหน้ากระดาษ แต่มันคือรายได้ทั้งหมดตลอด 2–3 เดือนของแรงงาน ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อเงินที่ต้องส่งกลับไปจุนเจือครอบครัว
ความพยายามดิ้นรนเพื่อหาเงินมาจ่ายค่าธรรมเนียมเหล่านี้ นำไปสู่ความเสี่ยงใหม่ เมื่อแรงงานต้องแอบรับจ้างทำงานนอกเหนือจากที่ระบุในใบอนุญาต
จิ่งต้ะเล่าว่า ด้วยค่าใช้จ่ายที่สูงเท่านี้ ทำให้บางครั้งแรงงานต้องรับจ้างหางานนอกเหนือจากที่บริษัทกำหนด เช่น การรับจ้างตัดหญ้า ทำความสะอาด หากถูกตรวจสอบจะถือเป็นความผิดฐานปฏิบัติงานไม่ตรงตามสถานที่และประเภทงาน สิ่งนี้คือ ‘กับดักความยืดหยุ่น’ ที่กฎหมายไทยมองข้าม
แม้รัฐจะอ้างว่าการจำกัดพื้นที่ทำงานและประเภทงานคือการป้องกันการแย่งอาชีพคนไทย แต่ในความจริงมันคืออุปสรรคต่อการใช้ศักยภาพมนุษย์ ดังเช่นกรณีของ หม่อง ช่างก่อสร้างที่มีฝีมือ ที่ต้องเผชิญข้อจำกัดทางกฎหมายเรื่อง ‘การทำงานผิดพื้นที่’ การรับงานสั้นๆ นอกเขตที่ระบุไว้มีโทษปรับถึง 1,000 บาท
นโยบายรัฐที่มองแรงงานเป็นเพียงตัวเลขที่นับได้และคงที่ (Static Unit) จึงสวนทางกับโลกความเป็นจริงของเศรษฐกิจที่ต้องการความคล่องตัว และเป็นการตัดโอกาสในการสร้างรายได้ที่มั่นคงของแรงงานที่มีทักษะ
หากแรงงานรายใดไม่สามารถแบกรับค่าใช้จ่ายหรือทำตามเงื่อนไขที่แข็งตัวเหล่านี้ได้ พวกเขาจะกลายเป็น ‘แรงงานผิดกฎหมาย’ ทันที ซึ่งหมายถึงการสูญเสียการคุ้มครองทั้งหมด และเสี่ยงต่อการถูกจับกุม การเข้าสู่วงจรการค้ามนุษย์ หรือถูกเบี้ยวค่าจ้างได้ง่ายขึ้น
ซ้ำร้ายกว่านั้น การขาดความเข้าใจจากสังคมยังสร้างแรงกดดันทางจิตใจมหาศาล รุ่งเล่าด้วยความอัดอั้นว่า เธอเคยถูกกล่าวหาว่าเป็นคนนำขยะมาทิ้ง ทั้งที่ความจริงเธอเพียงเก็บขวดและของเก่าเพื่อเป็นรายได้เสริมเลี้ยงครอบครัว
“ถ้าเราสะอาด เราก็อยากให้คนอื่นสะอาดเหมือนกัน เรามาทำงานหาเงิน ไม่ได้ต้องการจะสร้างปัญหา” คำพูดของรุ่งสะท้อนให้เห็นว่า นอกจากกำแพงทางกฎหมายและต้นทุนทางการเงินที่สูงลิ่วแล้ว แรงงานข้ามชาติยังต้องต่อสู้กับอคติที่มองว่าพวกเขาเป็นภาระ ทั้งที่ในความเป็นจริง พวกเขาคือฟันเฟืองที่ยอมจ่ายราคาแพงที่สุดเพื่อให้ได้สิทธิในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยอย่างถูกต้อง

ความเป็นมนุษย์ ความฝัน และความผูกพันบน ‘บ้านหลังที่สอง’
อคติทางสังคมมักมองว่าแรงงานข้ามชาติเป็นแรงงานไร้ทักษะ แต่ความจริงคือ แรงงานเหล่านี้จำนวนมากได้พัฒนาตนเองจนกลายเป็นผู้เชี่ยวชาญในสายอาชีพของตนเอง และเรียนรู้ด้วยตนเอง
หม่องคือตัวอย่างที่ชัดเจน เขาเริ่มต้นจากการเป็นเพียงกรรมกรแบกหามในงานก่อสร้าง ด้วยค่าแรงเริ่มต้นเพียง 150 บาทต่อวัน แต่ด้วยความขยันและความอยากรู้อยากเห็น เขาได้เรียนรู้ทักษะช่างไม้ ช่างปูน และงานติดตั้งต่างๆ จากประสบการณ์จริง จนสามารถพัฒนาตนเองเป็น ‘ช่างก่อสร้างอิสระ’ ที่มีความเชี่ยวชาญรอบด้าน ลูกค้าสามารถเชื่อมั่นในฝีมือของเขาได้
“ผมเริ่มจากกรรมกร ไม่รู้เรื่องอะไรเลย แต่ผมเรียนรู้จนทำได้ทุกอย่าง ทั้งงานไม้ งานปูน งานหลังคา งานอิเล็กทริก ผมทำคนเดียวก็เสร็จหมด ผมภูมิใจในฝีมือตัวเอง” หม่องกล่าวด้วยความภาคภูมิใจ
หรือ จิ่งต้ะ ผู้ดูแลไร่โกโก้ เขาเริ่มงานจากศูนย์ แต่ด้วยความสนใจในเรื่องการเกษตร เขาได้จดบันทึกทุกคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญด้านโกโก้ที่มาให้ความรู้ ปัจจุบันเขาไม่ใช่แค่คนงานทั่วไป แต่เป็นผู้ดูแลหลักของไร่ ที่สามารถจัดการดูแลต้นโกโก้กว่า 4,000 ต้น รวมถึงงานตัดแต่งกิ่ง การใส่ปุ๋ย และการเก็บเกี่ยวทั้งหมด ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความสามารถในการเรียนรู้และความรับผิดชอบที่สูง
แรงงานเหล่านี้ตระหนักดีว่าความขยันหมั่นเพียรเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในการเอาตัวรอดและสร้างอนาคตในต่างแดน ความอดทนและความทุ่มเทที่พวกเขาแสดงออกมาจึงไม่ใช่แค่การทำงาน แต่เป็นการลงทุนเพื่อชีวิตที่ดีกว่าของครอบครัวที่รออยู่
สิ่งที่ทำให้แรงงานข้ามชาติแตกต่างจากหุ่นยนต์คือ ‘ความเป็นมนุษย์’ ที่มีความฝัน มีความผูกพันทางครอบครัว และมีความหวังสำหรับอนาคต
การสร้างครอบครัวในไทย แรงงานหลายคนได้สร้างรากฐานชีวิตในประเทศไทย หม่องแต่งงานกับภรรยาชาวไทใหญ่ที่เชียงใหม่ และมีบุตรที่เกิดในไทย ลูกของเขาเรียนในโรงเรียนไทย พูดภาษาไทยได้ และมองประเทศไทยเป็นบ้าน
ภาระและหน้าที่ต่อบ้านเกิด แม้จะสร้างชีวิตใหม่ในไทย แต่แรงงานเหล่านี้ไม่เคยลืมครอบครัวที่อยู่บ้านเกิด รุ่งต้องส่งเงินกลับไปดูแลพ่อแม่และญาติพี่น้องที่รัฐฉานอย่างสม่ำเสมอในจำนวนที่มากเมื่อเทียบกับรายได้
“เดือนหนึ่งต้องส่งกลับไปประมาณ 1,600 ถึง 1,700 บาท” รุ่งกล่าว แม้เงินจำนวนนี้อาจดูน้อยนิดในสายตาคนเมือง แต่สำหรับรุ่ง มันคือ 1 ใน 4 ของรายได้ทั้งเดือน และสำหรับพ่อแม่ที่พม่า มันคือเงินต่อลมหายใจที่ช่วยให้มีชีวิตรอดท่ามกลางวิกฤตการณ์ทางการเมืองและเศรษฐกิจ
ความฝันของพวกเขาเรียบง่ายแต่ทรงพลัง หม่องฝันอยากเป็น ‘หัวหน้าช่าง’ ที่ได้รับผิดชอบโครงการใหญ่ ส่วนรุ่งฝันถึงวันที่จะมีเงินก้อนเพื่อกลับไปเปิดร้านขายของชำเล็ก ๆ ที่บ้านเกิด ความฝันเหล่านี้ไม่ใช่ภัยคุกคาม แต่มันคือ ‘แรงขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจ’ (Economic Driver) ที่ส่งผลบวกต่อทั้งสองประเทศ แรงงานเหล่านี้ทำงานหนักเพื่อจ่ายภาษีทางอ้อมและกระตุ้นการบริโภคในไทย ขณะเดียวกันก็ส่งเงินไปกระตุ้นเศรษฐกิจในเมียนมา

ความจริงใต้พรม ระบบที่ฝากความหวังไว้บน ‘ความไม่มั่นคง’
เรื่องเล่าของแรงงานในสามภาคส่วนนี้สะท้อนภาพใหญ่ของการเคลื่อนย้ายแรงงานในภูมิภาค การสู้รบที่ยืดเยื้อในเมียนมาไม่ได้จำกัดผลกระทบอยู่ภายในประเทศ หากแต่ส่งแรงสะเทือนข้ามพรมแดน ทั้งการอพยพของประชาชน การไหลเข้ามาของแรงงาน และแรงกดดันต่อระบบเศรษฐกิจและตลาดแรงงานของประเทศเพื่อนบ้านอย่างไทย สถานการณ์ความมั่นคงในเมียนมาจึงเชื่อมโยงโดยตรงกับความมั่นคงทางสังคมและเศรษฐกิจของไทยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
การไหลเข้ามาของแรงงานข้ามพรมแดนจากเมียนมาเหล่านี้ จึงมิใช่เพียงปรากฏการณ์ทางสังคมหรือความมั่นคงเท่านั้น แต่เป็นกลไกสำคัญที่ช่วยเติมเต็มช่องว่างในตลาดแรงงานไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาคส่วนที่ต้องพึ่งพาแรงงานเข้มข้นอย่าง ภาคก่อสร้าง – งานบ้าน – การเกษตร
หากเรามองให้ลึกลงไปกว่าเรื่องราวความสำเร็จส่วนบุคคล เราจะพบคำถามที่น่าอึดอัดใจว่า
“เรากำลังสร้างระบบเศรษฐกิจที่ฝากความหวังไว้กับความไม่มั่นคงของเพื่อนมนุษย์อยู่หรือไม่?”
และเราพอใจจริงหรือกับการเห็นคนที่ทำงานหนักที่สุดในห่วงโซ่การผลิตต้องแบกรับต้นทุนความเสี่ยงไว้เพียงลำพัง เพียงเพื่อให้สินค้าและบริการที่เราใช้ในชีวิตประจำวันมีราคาถูกลง
ในวันที่การรักษาสถานะ ‘ถูกกฎหมาย’ มีต้นทุนสูงเกินกว่าที่ค่าแรงขั้นต่ำจะรองรับได้ คำถามสำคัญจึงไม่ใช่ว่าแรงงานควรพยายามมากขึ้นแค่ไหน แต่คือใครกันแน่ที่ควรเป็นผู้รับผิดชอบต้นทุนนี้
แรงงานที่ต้องจ่ายด้วยหนี้สิน เสรีภาพ และชีวิตที่ถูกผูกมัดกับนายจ้าง เพียงเพื่อแลกกับสิทธิขั้นพื้นฐานอย่างการไม่ถูกจับกุมและไม่ถูกผลักออกจากระบบ
หรือรัฐที่มองแรงงานข้ามชาติเป็นเพียงปัญหาความมั่นคง แต่กลับตั้งค่าธรรมเนียมสูงลิ่วในกระบวนการที่ซับซ้อนและเข้าถึงยาก ขณะเดียวกัน ภาคธุรกิจที่ได้รับประโยชน์จากแรงงานราคาถูกและกำไรที่เพิ่มขึ้น กลับสามารถปัดภาระความรับผิดชอบด้านสวัสดิการและต้นทุนทางกฎหมายออกไปจากห่วงโซ่การผลิตได้อย่างไร้แรงเสียดทาน
เพราะระบบที่ยั่งยืนอย่างแท้จริง ไม่ควรตั้งอยู่บนการสร้างกำไรจากความเปราะบางของใครคนหนึ่ง และเมืองที่ศิวิไลซ์ไม่ใช่เมืองที่มีตึกสูงหรือการเติบโตทางเศรษฐกิจเพียงอย่างเดียว หากแต่เป็นเมืองที่เห็นคุณค่าในหยาดเหงื่อของทุกชีวิตอย่างเท่าเทียม และไม่ปล่อยให้ใครต้องจ่ายราคาของความเจริญแทนผู้อื่นเพียงลำพัง
อ่านในรูปแบบเว็บไซต์ที่
https://www.lannernews.com/18122568-02/
เรื่อง: กุลธิดา กระจ่างกุล
ภาพ: จิราเจต จันทร์คำ
รายงานนี้ได้รับการสนับสนุนโดย กองบรรณาธิการ “โครงการห้องทดลองพัฒนาระบบนิเวศเครือข่ายการสื่อสารสาธารณะเพื่อสันติภาพ”
Lanner, Louder, The Isaan Record, The Motive, Sound Isan, Wartani, ประชาไท, สำนักข่าวชายขอบ,ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน), สถาบันสันติศึกษา มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์, องค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย
#แรงงานข้ามชาติ #ชายแดน #ไทย #เมียนมา #สื่อสาธารณะเพื่อสันติภาพ #ชายแดนไม่เงียบ #ไทยพีบีเอส #Lanner #สื่อออนไลน์ภาคเหนือเพื่อคุณภาพชีวิตของทุกคน
https://www.facebook.com/photo/?fbid=885998327518245&set=a.133395686111850