วันอังคาร, ธันวาคม 30, 2568

พลังของกราฟฟิคดีไซน์กับการเมือง

https://www.facebook.com/thanapol.eawsakul/posts/25758340433806119

Thanapol Eawsakul 
17 hours ago
·
จากชัชชาติ เบอร์ 8 สู่ พรรคประชาชนเบอร์ 46
พลังของกราฟฟิคกับความนิยมทางการเมือง
........
31 มีนาคม 2565 พลันที่มีการจับเนอร์ผุ้ ว่า กทง ที่ ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้สมัครผู้ว่าฯ กทม. ในนามอิสระ จับได้เบอร์ 8
จับฉลากเบอร์เลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. ปี'65 ‘วิโรจน์’ เบอร์ 1-‘สกลธี’ ชู 3 นิ้ว-‘ชัชชาติ’ เลข 8
https://prachatai.com/journal/2022/03/97946
หลังจากนั้นไม่กี่ชั่วโมง กราฟฟิค ชัชชาติ เบอร์ 8 ก็ออกมาแทบจะทันที
แน่นอนว่าเมื่อรวมกับความนิยมของชัชชาติเองที่ทำให้กราฟฟิคนี้ ได้หนุนเสิร่มให้ภาพลักษณ์ของชัขาติดูดีขึ้นไปอีก
เช่นกัน เมื่อวานนี้มีการสมัคร สส.บัญชีรายชื่อสำหรับการเลือกตั้ง 8 กุมภาพ 2569 พรรคประชาชนได้เบอร์ 46 แน่นอนว่าเป้ฯเบอร์ที่ไม่ปรารถนาสำักเท่าไหร่ จำยาก แถมกราฟฟิคก็น่าจะยุ่งยากไม่น้อย
แต่ก็มี Metee Thampipop นักแปลท่านหนึ่งที่ "วาด 5 นาทีเสร็จ"
https://www.facebook.com/photo/?fbid=10173579562435597&set=a.139375620596
และได้รับการแชร์ไปอย่างกว้างขวาง
https://www.facebook.com/photo?fbid=122181800858480817&set=a.122093105408480817
ปล. ถ้าสนใจเรื่องหนังสือที่ว่าด้วยกราฟฟิคดีไซน์กับพลังทางการเมือง สนใจอ่านได้จากหนังสือ
ดีไซน์+คัลเจอร์ เล่ม 1 โดยคุณประชา สุวีรานนท์
https://sameskybooks.net/product/9786167667133/










https://www.facebook.com/share/p/1NqLGx91EE/


โศกนาฏกรรม 112 ลองหลับตาและจินตนาการถึงใบหน้าของพ่อแม่ ภรรยาและลูก ที่เฝ้ารอหน้าประตูเรือนจำ... อานนท์ นำภา และคนหนุ่มสาวอีกหลายสิบชีวิต แทนที่จะถูกกุมขัง เขาเป็นบุคลากรที่ทรงคุณค่า เขาคือมนุษย์ที่มีความฝัน มีความหวัง ความปรารถนาดีต่อบ้านเมือง เขามีครอบครัวเหมือนเช่นเดียวกับเรา


Wara Chanmanee
20 hours ago
·
โศกนาฏกรรม 112

ในดินแดนที่รอยยิ้มถูกฉาบไว้ด้วยจารีตอันงดงาม ใต้ผืนฟ้าเมืองไทยมีความจริงชุดหนึ่งที่แผดเผาหัวใจคนรุ่นแล้วรุ่นเล่า มันคือเรื่องราวของ "มาตรา 112" กฎหมายที่ถูกนิยามว่ามีไว้เพื่อความมั่นคง แต่สำหรับหลายชีวิต มันคือ "กรงขังที่มองไม่เห็น" และเป็นโศกนาฏกรรมทางการเมืองที่ทำให้บ้านเมืองเราเดินไปไม่ถึงไหน

หากเปรียบการเลือกตั้งปี 2566 เป็นบทละครที่เต็มไปด้วยความหวัง เราได้เห็นเหล่านักการเมืองเรียงรายกันขึ้นเวทีดีเบต ยกมือแสดงจุดยืนว่าจะแก้ไขกฎหมายที่กลายเป็นชนักปักหลังสังคมไทยมาอย่างยาวนาน เสียงปรบมือกึกก้องในวันนั้น คือเสียงของความหวังว่าเพดานที่กดทับเราไว้กำลังจะถูกขยับ

ทว่า เพียงไม่กี่ฤดูกาลผ่านไป ความหวังนั้นกลับกลายเป็น "ตลกร้าย" เมื่ออำนาจลึกลับและกลไกทางกฎหมายได้ตีกรอบจนความกล้าหาญมลายสิ้น พรรคการเมืองที่เคยประกาศก้องกลับต้องสงบปากสงบคำ เพียงเพื่อความอยู่รอดของพรรค นี่คือโศกนาฏกรรมแห่งยุคสมัย เมื่อความถูกต้องถูกแลกด้วยความปลอดภัย และเจตจำนงของประชาชนค่อนประเทศไร้ค่า กลายเป็นแค่เพียงตัวเลขที่ถูกแช่แข็ง

ลองหลับตาและจินตนาการถึงใบหน้าของพ่อแม่ ภรรยาและลูก ที่เฝ้ารอหน้าประตูเรือนจำ... อานนท์ นำภา และคนหนุ่มสาวอีกหลายสิบชีวิต แทนที่จะถูกกุมขัง เขาเป็นบุคลากรที่ทรงคุณค่า เขาคือมนุษย์ที่มีความฝัน มีความหวัง ความปรารถนาดีต่อบ้านเมือง เขามีครอบครัวเหมือนเช่นเดียวกับเรา

สิ่งที่น่าเศร้าที่สุดคือการที่กฎหมายถูกตีความจนกว้างไกลเกินขอบเขต ใครก็ได้สามารถแจ้งความใครก็ได้ เพียงเพราะ “ความเห็นต่างทางการเมือง” กฎหมายที่ควรจะเป็นเกราะคุ้มครองสถาบันฯ กลับกลายเป็น "อาวุธ" ที่ฝ่ายการเมืองหยิบมาทิ่มแทงผู้เห็นต่าง ส่งผลให้ความตระหนกหวาดกลัวแผ่ซ่านไปทั่วสังคมไทย จนไม่มีใครกล้าสบตากับความจริง

ในขณะที่เราป่าวประกาศว่าเราเป็นประชาธิปไตย สังคมโลกกลับมองเราด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยคำถาม องค์กรสากลอย่าง UN และ Amnesty ต่างตั้งกระทู้ถามถึงความยุติธรรมที่ขาดหาย การปฏิเสธสิทธิประกันตัวครั้งแล้วครั้งเล่า และโทษที่สูงลิ่วเกินกว่าเหตุ

มันน่าอับอายเพียงใดที่ไทยต้องเดินเข้าสู่เวทีโลกพร้อมกับป้ายประทับที่หน้าผากว่า "ถอยหลังเข้าคลองทางประชาธิปไตย"

เรากำลังสูญเสียความชอบธรรมและความนับถือในฐานะรัฐสมัยใหม่ ประเทศเราถูกดูแคลนในเรื่องความเคารพต่อสิทธิมนุษยชนในเวทีโลก เพียงเพราะเราไม่สามารถจัดการกับความเห็นต่างด้วยการพูดคุย แต่กลับเลือกใช้การจองจำ

เราในฐานะประเทศที่มีพุทธศาสนิกชนจำนวนมาก ไม่สามารถแม้แต่จะมีเมตตาธรรมพิจารณาอย่างมีโยนิโสมนสิการและร่วมกันผลักดันกฏหมายนิรโทษกรรมให้ผู้ขังคดี 112 เพียงเพราะฝ่ายอำนาจไม่อนุญาต มันน่าอับอายเพียงใด

https://www.facebook.com/photo/?fbid=25446976381627655&set=a.505013726250599



❓ ทำไมเราทุกคนต้องกา "เห็นชอบ" รัฐธรรมนูญฉบับใหม่


ศิลปะปลดแอก - FreeArts
17 hours ago
·
ทำไมเราทุกคนต้องกา "เห็นชอบ" รัฐธรรมนูญฉบับใหม่

ก็เพราะว่า รัฐธรรมนูญ 60 นั้นไม่ต่างจาก "ระเบิดเวลา" และ "มรดกบาป" ที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ทิ้งไว้ให้พวกเราทุกคนจนถึงวันนี้ รัฐธรรมนูญที่ไม่เคยเอื้อให้ประชาธิปไตยเติบโตและเบ่งบาน แต่เพื่อสืบทอดอำนาจ ทำลายฝ่ายตรงข้ามทางการเมือง และลดบทบาทของประชาชนที่มีต่อการเมืองในระบบรัฐสภา

และนี่คือ 4 ปัญหาหลักในตัวรัฐธรรมนูญ (โดยไม่นับกฎหมายลูก) ที่ทำให้เราต้อง "กาเห็นชอบ" เขียนใหม่ทั้งฉบับอย่างถล่มทลายเท่านั้น ไม่มีทางเลือกอื่น!

มีที่มาที่ไม่ชอบธรรม: โดยคนทำรัฐประหาร เพื่อคนทำรัฐประหาร

รัฐธรรมนูญฉบับนี้ไม่ได้เกิดจากประชาชน แต่ถูกร่างขึ้นโดยคนของคณะรัฐประหาร (กรธ.) ที่มีเป้าหมายหลักคือ "ทำให้อำนาจของประชาชนอ่อนแอที่สุด" ผ่านระบบการเลือกตั้งที่ซับซ้อนและบิดเบี้ยว แม้ในทุกวันนี้บทเฉพาะกาลเรื่อง สว. โหวตนายกฯ จะหมดไปแล้ว แต่โครงสร้างที่วางไว้ก็ยังคงทำให้รัฐบาลที่มาจากประชาชนทำงานยากลำบาก ถูกวางยาด้วยกลไกราชการ และยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปีที่เขียนล็อกสเปกการพัฒนาไว้ในรัฐธรรมนูญ กลายเป็นเงื่อนตายที่บีบให้รัฐบาลที่มาจาก รธน. นี้ต้องเดินตามเกมที่ คสช. วางไว้เท่านั้น

องค์กรอิสระ: อาวุธทำลายล้างทางการเมือง

ปัญหาใหญ่ที่สุดที่ฝังอยู่ในรัฐธรรมนูญ 60 คือที่มาและอำนาจของ "องค์กรอิสระ" (เช่น ศาลรัฐธรรมนูญ, กกต., ป.ป.ช.) ซึ่งถูกออกแบบให้ยึดโยงกับเครือข่ายอำนาจเก่าผ่านการคัดเลือกโดย สว. ชุดแต่งตั้ง กลายเป็นเครื่องมือทางการเมืองที่ทรงพลังในการ "ยุบพรรค" ตัดสิทธิ สส. และถอดถอนนายกฯ ที่ประชาชนเลือกมาได้อย่างง่ายดาย ทำให้เสียงของประชาชนหลายสิบล้านเสียงพ่ายแพ้ต่อปากกาของคนเพียงไม่กี่คนซ้ำแล้วซ้ำเล่า และบีบให้พรรคการเมืองอ่อนแออย่างเห็นได้ชัด จนเกิดเป็นดีลประหลาด ๆ นับครั้งไม่ถ้วนอย่างในรัฐบาลหลายชุดที่ผ่าน ๆ มา

มาตรา 279: ใบอนุญาตให้การรัฐประหาร "พ้นผิด" ตลอดกาล

ความเลวร้ายที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะของรัฐธรรมนูญ 60 คือ "มาตรา 279" ซึ่งรับรองให้บรรดาประกาศ คำสั่ง และการกระทำทั้งหมดของ คสช. ทั้งในอดีตและอนาคต เป็นสิ่งที่ชอบด้วยกฎหมายและชอบด้วยรัฐธรรมนูญเสมอ เท่ากับว่ารัฐธรรมนูญฉบับนี้รับรองให้การทำรัฐประหารเป็นสิ่งที่ถูกต้อง และปิดตายไม่ให้ประชาชนฟ้องร้องเอาผิดเผด็จการได้เลย เป็นตราบาปที่ทำให้หลักนิติธรรมของไทยพังทลายอย่างสมบูรณ์

มาตรา 256: กลไก "แช่แข็ง" การแก้ไข

ผู้ร่างจงใจวางกับดักไว้ใน มาตรา 256 ซึ่งเป็นมาตราที่ว่าด้วย "วิธีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ" โดยสร้างเงื่อนไขที่แทบเป็นไปไม่ได้เอาไว้ นั่นคือต่อให้ สส. ที่มาจากการเลือกตั้งจะเห็นด้วยกันทั้งสภา ก็ยังแก้ไม่ได้ถ้าไม่มี "เสียงพิเศษ" ของ สว. ถึง 1 ใน 3 มารองรับ และต้องมี เสียงฝ่ายค้านอีก 20% ในวาระสุดท้าย เท่ากับว่าอำนาจในการแก้กฎหมายสูงสุดไม่ได้อยู่ที่ประชาชน แต่อยู่ที่ว่าชนชั้นนำจะอนุญาตหรือไม่ นี่จึงเป็นทางตันที่ทำให้เราไม่สามารถแก้รายมาตราได้อย่างอิสระ นำมาซึ่งการทำประชามติ 8 กุมภานี้ เพื่อรื้อทิ้งแล้ว "เขียนใหม่ทั้งฉบับ" เท่านั้น

#8กุมภากาเห็นชอบ
#เห็นชอบเห็นชอบเห็นชอบ

https://www.facebook.com/photo/?fbid=1341521804439702&set=a.108707001054528




ลองหลับตานึกดู หากเกือบสองปีที่ผ่านมาไม่มีพวกเขา ออกมาเรียกร้องให้สิทธิต่างๆของผู้ประกันตนดีขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม พี่น้องผู้ประกันตนคิดว่าสิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นไหมหากไม่มีพวกเขาเข้ามาเป็นปากเป็นเสียงให้


Sustarum Thammaboosadee
Yesterday
·
หากพูดถึงการเลือกตั้ง แต่ไม่พูดถึง อดีต ส.ส. สองท่านที่ทำงานเรื่องประกันสังคม ผมคิดว่าไม่ครบถ้วน

ผมทราบดีว่าผู้สนับสนุนทีมประกันสังคมก้าวหน้ามากกว่าครึ่งก็คือผู้สนับสนุนพรรคประชาชน แต่ก็มีจำนวนไม่น้อยที่ไม่ได้เลือก หรือสนใจการเมืองระดับชาติ แต่ชีวิตปากท้องเรื่องประกันสังคมก็เป็นสิ่งที่สนใจมากกว่าก็มีไม่น้อยเหมือนกัน
.
การทำงานประกันสังคมของบอร์ดเลือกตั้ง เราต้องทำงานภายใต้บริบทหลายกลุ่มอำนาจ รัฐมนตรีสามคน จาก ภูมิใจไทย เพื่อไทย พลังประชารัฐ
กรรมาธิการแรงงานจากภูมิใจไทย และ พรรคการเมืองที่ใหญ่ที่สุดแต่ไม่มีอำนาจบริหารคือ พรรคก้าวไกล-ประชาชน
.
การผลักดันเรื่องประกันสังคมเมื่อพ้นจากบอร์ดก็มีเรื่องที่ทั้งยากและง่าย เรื่องง่ายก็แก้ไขกฏกระทรวง ตามที่บอร์ดพิจารณาผ่านแล้ว เรื่องสิทธิประโยชน์ต่างๆ เราบอกรัฐมนตรีทุกท่านว่า สิ่งใดที่ท่านจะนำเป็นผลงานกับฐานเสียงของท่านขอให้ทำเลย ไม่ต้องให้เครดิตเราก็ได้ ขอให้ผลประโยชน์ตกแก่ผู้ประกันตน
.
แต่เรื่องยาก ที่เป็นการเอากระดิ่งไปผูกคอแมว ในประเทศ "กรมาธิปไตย" จะมีรัฐมนตรี หรือ ส.ส.คนไหนกล้าที่จะยืนยัน เรื่อง "ปัญหาการลงทุน" "ความไม่โปร่งใสของงบประมาณด้านการบริหาร" โครงการต่างๆมูลค่าร้อยล้านพันล้านอาจเล็กน้อย เมื่อเทียบกับขนาดกองทุน แต่มันคือสนิมที่ฝังในกองทุนนี้ และบั่นทอนความเชื่อมั่นในประกันสังคม
.
ผมรู้จัก ส.ส.เนม สหัสวรรต คุ้มคง ก่อน ส.ส.ไอซ์ รักชนก เมื่อครั้งที่ผมพบว่าพวกเขาต้องเผชิญอะไร ผมบอกพวกเขาว่า "ที่จริง ทั้งคู่ทำหน้าที่แบบ ส.ส.ทั่วไปก็ได้ แจกข้าวกล่อง ลอกท่อ (ทั้งคู่เป็น ส.ส.เขต) จะมาตกระกำลำบากอะไรกับเรา"-แต่สิ่งที่ทั้งคู่ตอบกลับมาคือ ขอใช้สิ่งที่ ส.ส.จะทำได้ที่ประชาชนทั่วไปทำไม่ได้ เอาชีวิตตัวเองค้ำประกันความถูกต้อง
.
ทั้งคู่อุดมการณ์เดียวกัน แต่แนวทางต่างมาก ไอซ์เชื่อในระบบพรรคทั้งในระบบองค์กรและอุดมการณ์ เทียบได้ กับ บูคาริน (darling of the party) ถ้าสิ่งใดเป็นสิ่งที่พรรคเห็นชอบพร้อมสนับสนุน ไม่เกรงกลัวต่อสิ่งที่จะเกิดขึ้นกับตน ขณะที่เนม เหมือนโรซา ลักเซมเบิร์ก ยึดถือหลักการและผลประโยชน์ของชนชั้นแรงงานเป็นที่ตั้ง เพื่อประโยชน์ของแรงงานก็เอาชีวิตแลกได้เหมือนกัน

เป็นความโชคดีอย่างมากในช่วงหนึ่งปีที่ผ่านมาที่ ส.ส. สองท่านได้ใช้จุดยืนของทั้งสองท่านค้ำประกันความยุติธรรมของผู้ประกันตน
.
ผมทราบดีว่าผู้สนับสนุนเรามีหลากหลาย แต่การเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้น ผมอยากชวนจินตนาการว่า ที่ผ่านมาเราได้ ส.ส.สองท่าน ยังสามารถเปลี่ยนแปลงได้ขนาดนี้ ถ้า เราใช้บรรทัดฐานนี้ในการเลือกให้ได้ ส.ส.สัก 300 คนยึดถือตามหลักนี้ คงไม่ใช่แค่ประกันสังคม แต่การเปลี่ยนแปลงขนานใหญ่ก็เกิดขึ้นได้เช่นกัน
...

Santiti Jindasu

ในประเทศไทยมีการเลือกตั้งในหลายๆระดับ ระดับท้องถิ่นคือเทศบาลและอบต. ระดับจังหวัดคืออบจ. และระดับประเทศคือการเลือกตั้ง สส. แต่อีกการเลือกตั้งหนึ่งซึ่งมีผลโดยตรงกับผู้ประกันตนที่ส่งเงินสบทบเข้าสู่หน่วยงานประกันสังคมก็คือการเลือกตั้ง "บอร์ดประกันสังคม" ที่เพิ่งเคยเกิดการเลือกตั้งครั้งแรกเมื่อเกือบสองปีที่ผ่านมา อยากให้ผู้ประกันตนลองวางอคติการเมืองและความคัดแย้งลงและคิดไตร่ตรองดูว่ามีใครคนไหนที่สู้เพื่อสิทธิประโยชน์ประกันสังคมของเราบ้าง สิ่งที่พวกเขาทำมาในเกือบสองปีที่ผ่านมาเขาทำเพื่ออะไร มิใช่เพื่อพี่น้องผู้ประกันตนหรอกหรือ สิ่งที่พวกเขาทำส่งผลดีต่อผู้ประกันตนทุกคนไม่ว่าจะเป็นสีแดง สีเขียว สีน้ำเงิน สีส้ม สีม่วง หรือ อีกหลายๆสี สิ่งนี้แหละเป็นสิ่งที่ยืนยันว่าพวกเขาไม่ได้แบ่งพรรคแบ่งพวก ไม่ได้ต่อสู้เพื่อกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง แต่ต่อสู้เพื่อผู้ประกันตนทุกๆคน
.
ลองหลับตานึกดูอีกครั้งว่าหากเกือบสองปีที่ผ่านมาไม่มีพวกเขาออกมาเรียกร้องการลงทุนที่ควรได้ผลตอบแทนมากกว่านี้ จาก 3% เป็น 6% ออกมาเรียกร้องการซื้อตึก Sky9 ที่ราคาสูงผิดปกติ ออกมาเรียกร้องการใช้เงินที่ไม่สมเหตุสมผล และ ออกมาเรียกร้องให้สิทธิต่างๆของผู้ประกันตนดีขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม พี่น้องผู้ประกันตนคิดว่าสิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นไหมหากไม่มีพวกเขาเข้ามาเป็นปากเป็นเสียงให้
.
หากพี่น้องผู้ประกันตนได้อ่านข้อความนี้ โปรดจงเห็นใจและช่วยเป็นกำลังใจให้พวกเขาที่ยืนหยัดต่อสู้ให้กับผู้ประกันตนจนถูกฟ้องร้องมีคดีจากนักการเมืองบางคนและถูกหมายหัวจากบุคคลบางกลุ่มเพราะไปขัดผลประโยชน์ของเขา จริงๆพวกเขาเหล่านี้อาจจะทำเป็นมองไม่เห็นและปล่อยผ่านไปเหมือนคนก่อนๆที่เคยรับทราบก็ได้ แต่ทำไมเขาต้องเอาตัวเข้ามาเสี่ยงเพื่อผู้ประกันตนด้วย มันคุ้มไหมกับการโดนคดีจากนักการเมือง ผู้มีอำนาจ และ บุคคลที่อยู่ในที่มืด
.
กองทุนประกันสังคมนี้ไม่ได้มีฝักมีฝ่ายใด แต่เป็นของทุนของผู้ประกันตนทุกคน อย่างน้อยแม้ว่าในทางการเมืองคุณไม่เห็นด้วยกับเขา แต่การที่เขาต่อสู้เพื่อเงินบั้นปลายชีวิตของพวกคุณใน ณ จุดนี้คุณก็ยังจะไม่เห็นด้วยกับเขาอีกหรือ?

https://www.facebook.com/photo/?fbid=26141862278744904&set=a.185043668186787



คำทำนายสุดดาร์กจากปากสิงห์ วรรณสิงห์ ทำไมเราต้องฟังคนเห็นต่างก่อนจะสาย - มองอนาคตประเทศไทย ผ่าน ' เวเนซุเอลา '


MaggieF8
December 27
·
คำทำนายสุดดาร์กจากปากสิงห์ วรรณสิงห์ ทำไมเราต้องฟังคนเห็นต่างก่อนจะสาย

1. เวเนซุเอล่าสามารถถูกมองเป็นภาพสะท้อนของประเทศไทยที่ถูกคูณด้วย 5 เท่า หรืออาจเป็นภาพอนาคตของไทยในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า หากเราไม่ดำเนินการใด ๆ เพื่อเบรกวิถีทางที่เรากำลังดำเนินไป บางครั้งการรับฟังเรื่องที่ไม่สบายใจหรือขัดใจอาจเป็นสิ่งที่จำเป็นต้องทำ เพื่อป้องกันไม่ให้ประเทศเดินไปสู่เส้นทางที่ยากลำบากในอนาคต การที่ประชาชนหรือผู้มีอำนาจมัวแต่ให้ความสำคัญกับเรื่องที่ไม่ถูกต้อง อาจทำให้เกิดการใช้ทรัพยากรของรัฐอย่างสุรุ่ยสุร่าย โดยไม่มีการสร้างเศรษฐกิจใหม่มารองรับ ซึ่งในที่สุดระบบเหล่านี้ก็จะรอวันพังทลายลงได้

2. สถานการณ์ในเวเนซุเอล่าถูกเปรียบเทียบว่าเป็นเหมือนมะเร็ง ซึ่งแตกต่างจากสงครามยูเครนที่เป็นเหมือนแผลสด หรือสงครามในเมียนมาร์ที่เป็นปัญหารื้อรัง ความรุนแรงในประเทศนี้ไม่ได้มาจากกระสุนหรือระเบิดโดยตรง แต่มาจากความรุนแรงแบบเชื่องช้า (Slow Violence) ซึ่งหมายถึงการสร้างเงื่อนไขในการใช้ชีวิตที่นำไปสู่ความรุนแรงทางจิตใจ ทางอารมณ์ และท้ายที่สุดอาจนำไปสู่ความรุนแรงเชิงกายภาพได้ การเล่าเรื่องราวของเวเนซุเอล่าจึงค่อนข้างยาก เพราะปัญหาเกิดจากหลายปัจจัยที่ซับซ้อน ไม่ใช่แค่การรุกรานจากประเทศอื่นเท่านั้น

3. เวเนซุเอล่าเป็นประเทศแห่งความสุดโต่งอย่างแท้จริง ในด้านหนึ่ง เขาเป็นประเทศที่มีน้ำมันดิบใต้ดินเยอะที่สุดในโลก แต่อีกด้านหนึ่ง เขากลับเป็นประเทศที่มีสถิติการวิสามัญฆาตกรรมเยอะที่สุดในโลกด้วย นอกจากนี้ ภาพลักษณ์ที่คนส่วนใหญ่นึกถึงคือเวเนซุเอล่ามีชื่อเสียงด้านนางงาม โดยเป็นประเทศที่ชนะการประกวดมิสยูนิเวิร์สมากเป็นอันดับ 2 ของโลก รองจากสหรัฐอเมริกาเท่านั้น และโดยเฉลี่ยแล้วผู้คนบนท้องถนนก็หน้าตาดีมาก

4. ปัญหาหลักของเวเนซุเอล่าคือการพึ่งพาทรัพยากรเพียงอย่างเดียว คือน้ำมัน เมื่ออดีตประธานาธิบดี ฮูโก ชาเวซ เข้ามามีอำนาจ ก็ได้ประกาศโครงการประชานิยมเพื่อดูแลคนจนจำนวนมาก โดยใช้รายได้จากน้ำมันเป็นหลัก และแทบจะนำเข้าทุกอย่าง ทำให้ประเทศไม่ได้ผลิตอะไรเองเลย เมื่อราคาน้ำมันดิ่งลง เศรษฐกิจที่พึ่งพาสิ่งเดียวก็พังลงทันที

5. เพื่อแก้ไขปัญหารัฐบาลได้เลือกวิธีการพิมพ์เงิน เพิ่มขึ้นเพื่อมาจ่ายค่าใช้จ่ายในโครงการประชานิยมที่สร้างไว้มากมาย การพิมพ์เงินจำนวนมหาศาลนี้เองที่ทำให้มูลค่าของเงินในระบบลดลงอย่างรวดเร็ว และนำไปสู่ภาวะเงินเฟ้อที่สูงมาก ในปี 2018 อัตราเงินเฟ้อเคยสูงถึงประมาณ 130000% ต่อปี ซึ่งหมายความว่าของที่มีราคา 1 บาท จะกลายเป็น 1300 บาทภายในปีเดียว

6. ภาวะเงินเฟ้อรุนแรงส่งผลกระทบอย่างมากต่อประชาชน โดยเฉพาะคนจน คนที่มีอำนาจและพวกพ้องสามารถเข้าถึงเงินดอลลาร์ได้ ทำให้พวกเขารวยขึ้นเรื่อย ๆ ในขณะที่เงินของประชาชนทั่วไป โดยเฉพาะเงินออมในธนาคาร แทบจะไม่มีค่าเลย นี่คือการขโมยเชิงมูลค่า โดยที่รัฐบาลไม่ได้ขโมยโดยตรง แต่ทำให้มูลค่าของสิ่งที่พวกเขามีลดน้อยลงไปเรื่อย ๆ

7. แม้ว่าสถานการณ์จะดูเลวร้าย แต่รัฐบาลก็เริ่มมีการปรับตัวเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงที่เดินทางไปถ่ายทำ พวกเขาเริ่มอนุญาตให้ประชาชนทั่วไปใช้เงินดอลลาร์ได้ เพื่อให้เศรษฐกิจมีการขับเคลื่อน นอกจากนี้ ยังมีการปรับลดตัวเลขศูนย์ออกจากค่าเงินถึง 8 ตัว เพื่อให้ราคาสินค้าไม่เป็นหลักพันล้าน และมีการอิงราคาสินค้าจากดอลลาร์ เพื่อให้เศรษฐกิจมีความเสถียรมากขึ้น

8. ในปัจจุบัน การใช้จ่ายในเวเนซุเอล่ามีระบบที่ทันสมัยขึ้น แทนที่คนจะพกเงินเป็นถุงพลาสติกเหมือนแต่ก่อน ตอนนี้มีการใช้บัตรเครดิตได้เกือบทุกที่ แม้แต่ร้านโชห่วย คล้ายกับประเทศอื่น ๆ เช่น โซมาเลีย ที่ผู้คนจ่ายเงินผ่านระบบมือถือ แม้จะเป็นประเทศที่ขาดรัฐบาลมานานแล้วก็ตาม

9. การเตรียมตัวถ่ายทำสารคดีในเวเนซุเอล่าค่อนข้างซับซ้อน ต้องมีการวางแผนนานกว่า 3 เดือน เพื่อประสานประเด็นเชิงเศรษฐศาสตร์ การเมือง และสถานการณ์ความรุนแรงบนพื้นที่จริงเข้าด้วยกัน การเล่าเรื่องจำเป็นต้องทำให้ผู้ชมเข้าใจว่าความรุนแรงเหล่านั้นเป็นผลมาจากปัญหาทางเศรษฐกิจและการเมืองที่ซับซ้อน โดยที่ไม่น่าเบื่อจนเกินไป

10. การเข้าประเทศเวเนซุเอล่ากลับไม่ได้ยากนัก แต่การหาผู้ประสานงาน (Fixer) ที่เชี่ยวชาญนั้นสำคัญมากโรมัน ฟิกเซอร์ที่ได้ร่วมงานด้วย เป็นนักข่าวอาชญากรรมที่ทำงานด้วยตัวเอง (ไม่มีสังกัด) เขาเป็นมืออาชีพมาก มีคอนเนกชันกับทุกฝ่าย ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายแก๊ง ตำรวจ หรือรัฐบาล เขาทำงานได้คล่องแคล่วและรู้จริงว่าอะไรทำได้หรือทำไม่ได้

11. เปตาเร่ (Petare) ซึ่งเป็นสลัมที่ใหญ่ที่สุดในเมืองหลวงคารากัส มีผู้คนอาศัยอยู่มากกว่า 400000 คน สลัมเหล่านี้ถูกเรียกว่าบาริโอ (Barrio) ในภาษาสเปน ลักษณะคือผู้คนค่อย ๆ เข้าไปยึดครองที่ดินและสร้างสิ่งปลูกสร้างซ้อน ๆ กันขึ้นไปบนเนินเขาเพื่อหาเลี้ยงชีพในเมือง

12. สภาพในเปตาเร่เป็นภาพสะท้อนของความเหลื่อมล้ำที่ชัดเจนมาก เราสามารถขับรถออกจากถนนที่เต็มไปด้วยตึกสูงและบ้านหรูหราในคารากัส แล้วข้ามไปอีกฝั่งที่เต็มไปด้วยสลัมขนาดใหญ่ทันที โดยมีแค่ทางด่วนเส้นเดียวที่แบ่งโลกทั้งสองนี้ออกจากกัน แทนที่จะเป็นที่ดินแพงสำหรับคนรวยเหมือนในประเทศทั่วไป เนินเขากลับกลายเป็นที่อยู่ของคนยากจน

13. ในสลัมขาดโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็น เช่น ระบบน้ำประปาที่ใช้งานไม่ได้ ทำให้ชาวบ้านต้องซื้อน้ำใส่ถังจากเอกชนที่ควบคุมน้ำอยู่บนภูเขา ซึ่งถูกเปรียบเหมือนฉากในภาพยนตร์ Mad Max นอกจากนี้ โครงสร้างที่รัฐบาลเคยสร้างไว้ เช่น เสาของรถกระเช้า (เคเบิลคาร์) เพื่อให้ชาวบ้านเดินทางขึ้นลงภูเขาได้ง่าย กลับถูกทอดทิ้งและไม่ได้รับการดูแล

14. แม้จะมีระบบสวัสดิการ แต่ก็ดูแลไม่ทั่วถึง รัฐบาลพยายามสร้างระบบคล้ายสังคมนิยม เพื่อดูแลคนจน โดยการอุดหนุนราคาในบางจุด เช่น มีร้านค้าหรือปั๊มน้ำมันที่ขายสินค้าราคาถูกกว่าตลาด อย่างไรก็ตาม ระบบนี้ทำให้เกิดตลาดมืด (Black Market) ขึ้นมา เพราะคนก็ไปซื้อของถูกจากตลาดที่รัฐบาลอุดหนุน แล้วนำไปขายในราคาตลาดจริงเพื่อทำกำไร

15. แก๊งอาชญากรรมไม่ได้ทำแค่อาชญากรรมเท่านั้น แต่ได้กลายเป็นผู้แข่งกับรัฐบาล ในการดูแลชุมชน แก๊งเหล่านี้พยายามเอาชนะใจชาวบ้านโดยการให้ของ ให้เงิน เพื่อให้ชาวบ้านสวามิภักดิ์ต่อพวกเขา ในทางกลับกัน ฝ่ายตำรวจก็พยายามเอาชนะใจชาวบ้านด้วยเช่นกัน ทำให้ชาวบ้านรู้สึกเหมือนอยู่ท่ามกลางมาเฟีย 2 แก๊งที่พยายามแย่งชิงอำนาจกัน

16. แก๊งอาชญากรรมในเวเนซุเอล่ามีอาวุธครบมือ ไม่เหมือนแก๊งอันธพาลทั่วไป พวกเขามีระเบิด C4 ปืนกล บาซูก้า และมีการสร้างลานจอดเฮลิคอปเตอร์อยู่บนยอดเขาสลัมด้วย หากปล่อยให้เติบโตไปเรื่อย ๆ แก๊งเหล่านี้อาจมีอำนาจทัดเทียมกับ warlords (ขุนศึก) ได้

17. มีการปะทะกันอย่างรุนแรงระหว่างตำรวจกับแก๊งในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เมื่อ 5-6 ปีที่แล้ว ตำรวจกับแก๊งเคยเปิดฉากยิงกันกลางเมืองคารากัสเหมือนกับพื้นที่สงครามจริง ๆ แม้ในปัจจุบันสถานการณ์จะบรรเทาลงแล้ว แต่ความรุนแรงของอัตราการฆาตกรรมยังคงสูงอยู่

18. ความสัมพันธ์ระหว่างตำรวจกับอาชญากรมีความซับซ้อนมาก มีกรณีที่สมาชิกแก๊งที่ถูกปราบปรามต่อรองสำเร็จ และถูกรับเข้ามาอยู่ในหน่วยตำรวจ นอกจากนี้ หน่วยตำรวจที่โหดที่สุดบางหน่วยยังโดนยุบไปเนื่องจากมีชื่อเสียงที่ไม่ดี และถูกแปลงร่างไปเป็นหน่วยอื่นเพื่อเหตุผลด้าน PR สมาชิกของหน่วยเดิมบางส่วนก็ยังคงอยู่ในกองทัพตำรวจด้วย

19. แม้จะเป็นเจ้าหน้าที่บังคับใช้กฎหมาย แต่เงินเดือนของตำรวจก็ต่ำมากเช่นกัน และพวกเขามักจะดูไม่เหมือนกับภาพลักษณ์ตำรวจที่แข็งแกร่งในหนัง บางครั้งเราอาจรู้สึกว่าตำรวจกับสมาชิกแก๊งก็มาจากสภาพแวดล้อมเดียวกัน เพียงแต่เลือกที่จะอยู่คนละฝั่งเท่านั้น

20. ชุมชนที่ถูกทอดทิ้งอย่างสมบูรณ์แบบคือกลุ่มชนพื้นเมืองยุคปา (Yuku-pa) พวกเขาอาศัยอยู่ในเพิงริมถนนที่สภาพย่ำแย่กว่าในสลัม คนเหล่านี้คือคนที่หนีภัยความรุนแรงมาจากชายแดน พวกเขาไม่มีเงิน และเมื่อติดต่อไปขอสัมภาษณ์ พวกเขากลับขอยา มากกว่าเงิน เพราะมีเด็กกำลังจะตายอยู่ริมถนนและไม่สามารถไปโรงพยาบาลได้

21. การเลือกตั้งประธานาธิบดีในเวเนซุเอล่ายังคงมีปัญหา มาดูโร่ ชนะการเลือกตั้งอีกครั้ง แม้จะมีข้อกังขาเรื่องความโปร่งใส ทำให้หลายประเทศรวมถึงสหรัฐ และสหภาพยุโรปไม่ยอมรับผลการเลือกตั้ง โดยมีการออกหมายจับและตั้งค่าหัวมาดูโร่ด้วย การไม้ยอมรับนี้ส่งผลให้เวเนซุเอล่าโดนคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจ (Sanction) ซึ่งทำให้ประเทศยากจนลงไปอีก

22. แรงกดดันจากต่างประเทศต่อเวเนซุเอล่าไม่ได้มีแค่ทางเศรษฐกิจเท่านั้น แต่ยังมีในเชิงการทหารด้วย สหรัฐ เคยส่งเรือรบมาประชิดน่านน้ำของเวเนซุเอล่า โดยอ้างเหตุผลว่ามาปราบปรามแก๊งยาเสพติด ในขณะที่เวเนซุเอล่าก็มีการเดินพาเหรดทหาร แสดงยานรบ เพื่อแสดงแสนยานุภาพให้ทั่วโลกเห็นว่าตนก็มีกำลังเช่นกัน

23. น่าเสียดายที่เวเนซุเอล่ามีทรัพยากรน้ำมันมากมาย แต่กลับขาดความสามารถในการขุดขึ้นมาใช้ประโยชน์ แม้แต่นักข่าวในประเทศก็พูดว่าถ้าบริหารดี ๆ บ้านกูเป็นดูไบไปแล้ว ประเทศนี้ไม่ได้ใหญ่โตมาก ประชากรแค่ 30 ล้านคน ซึ่งสามารถดูแลได้ แต่การพึ่งพาสิ่งเดียวโดยไม่กระจายความเสี่ยง (Diversify) และไม่ยอมเปลี่ยนแปลง ทำให้ประเทศอยู่ในสภาพนี้

24. การที่เวเนซุเอล่าไม่ได้ทำตามระเบียบของประชาคมโลก ทำให้ประเทศกลายเป็นประเทศเพื่อนน้อย การขาดการสนับสนุนจากนานาชาติและถูกกดดันจากมหาอำนาจ ทำให้การค้าขายและการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจเป็นไปได้ยากมาก

25. ในการบุกตรวจค้นสลัมของตำรวจ แม้จะไม่ได้เป็นการทำเพื่อโชว์สื่อ แต่ตำรวจต้องปฏิบัติการอยู่แล้ว ชาวบ้านที่นั่นแสดงความชินต่อเหตุการณ์เหล่านี้ แต่ก็ยังคงใช้ชีวิตตามปกติ เพราะไม่มีทางเลือก พวกเขาต้องทำมาหากิน กินข้าว อาบน้ำ ใช้ไฟเหมือนเดิม แม้จะมีตำรวจหรือความขัดแย้งเกิดขึ้นรอบตัวก็ตาม

26. การเข้าพื้นที่สลัมของตำรวจทำในเวลากลางคืน ซึ่งเป็นภาพที่น่าตื่นเต้นแต่ก็สวยงามมาก แสงไฟจากบ้านเรือนที่อยู่บนเนินเขาสูง ดูเหมือนเป็นทะเลดาว หรือท้องฟ้าที่กลับหัวลงมาบนพื้นดิน อย่างไรก็ตาม การถ่ายทำนั้นยากมาก เพราะต้องใช้เลนส์แมนนวลและมีการเร่งความสว่างเนื่องจากแสงน้อย

27. การเดินทางเข้าไปในสลัมเปตาเร่เป็นหนึ่งในการถ่ายทำที่ยากลำบากที่สุด แม้ว่าการซ้อนท้ายมอเตอร์ไซค์จะไม่ได้โหดเท่าที่กะเหรี่ยง แต่การเดินถืออุปกรณ์หนัก ๆ ในสลัมที่ตำรวจเดินเร็วมากนั้นเหนื่อยมาก และต้องระมัดระวังตัวตลอดเวลา เพราะไม่รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่

28. ภาพช็อตสำคัญที่สะท้อนอารมณ์ของการเดินทางครั้งนี้คือภาพเด็กที่ถูกอุ้มและมือที่อุ้มนั้นถือมีดอยู่ เด็กคนนี้มีร่องรอยบาดแผลเต็มขา ภาพนี้ถูกตีความว่าเป็นการสื่อถึงความสิ้นหวัง และความรู้สึกที่ว่าสังคมนี้ขาดการดูแลโดยสมบูรณ์ โดยเด็กถือเป็นสัญลักษณ์ของความหวัง แต่การที่เด็กอยู่ในสภาพเช่นนี้ก็สะท้อนให้เห็นว่าการจะออกจากหลุมนี้ในสังคมที่พังทลายเป็นเรื่องยากมาก

29. จากการสังเกตหน่วยตำรวจในการตรวจพื้นที่ จะเห็นว่าพวกเขาต้องปฏิบัติอย่างเข้มงวด โดยการให้ชาวบ้านยืนชิดกำแพง ตรวจค้นอย่างละเอียด บรรยากาศนี้เหมือนเป็นกิจวัตรประจำวันที่ชาวบ้านต้องยอมรับ และเมื่อเด็ก ๆ เติบโตมาในสภาพแวดล้อมที่พวกเขาถูกปฏิบัติแบบนี้ตลอดเวลา ก็ย่อมส่งผลกระทบต่อมุมมองชีวิตของพวกเขาอย่างแน่นอน

30. แม้ว่าหลายคนจะมองว่าการกำจัดความรุนแรงในเวเนซุเอล่าคือการฆ่า อาชญากรทิ้ง ซึ่งในทางหลักการแล้วไม่ควรเป็นเช่นนั้น แต่การล่มสลายของระบบและการขาดความเชื่อใจ ทำให้การเจรจาหาทางออกเป็นไปไม่ได้ในระยะสั้น ดังนั้น การใช้ปืนจึงกลายเป็นทางออกที่รัฐเลือกใช้ ซึ่งนี่ไม่ใช่แค่การปราบปรามอาชญากรรม แต่คือการกำจัดคู่แข่งทางการเมืองที่พยายามแย่งชิงอำนาจในเชิงอำนาจรัฐด้วย

https://www.facebook.com/photo/?fbid=122117469615016745&set=a.122094513273016745


(FULL) เปิดใจ คุยคุ้ยเถื่อน04 : มองอนาคตประเทศไทย ผ่าน ' เวเนซุเอลา ' | เถื่อนTravel Bad Bad World

ป๋าเต็ด

Dec 26, 2025 

(FULL)
คุยคุ้ยเถื่อน Bad Bad World
กับ วรรณสิงห์ ประเสริฐกุล
ตอน เวเนซุเอลา:เมื่อรัฐล่มสลาย
 
0:00 Highlight
02:27 พูดถึง ‘เวเนซุเอลา’ แล้วนึกถึง…
04:21 นิยามของ ‘Slow Violence’ คืออะไร ?
05:06 ปัญหาในเวเนซุเอลาเหมือน ‘มะเร็ง’ !
5:38 ภาพของ ‘เวเนซุเอลา’ ในความคิด กับความจริง
9:16 เตรียมตัวเดินทาง และหา Fixer ยังไง ?
11:17 (ซีนที่ 1) Garagas ความสิ้นหวังที่ซ่อนอยู่ในเมืองหลวง
14:39 วิกฤตเงินเฟ้อกว่า ‘แสนเปอร์เซ็นต์’ !!
17:44 ‘โรมัน’ Fixer นักข่าวอิสระสายลุย
18:53 มุมมองปัญหาจากคน ‘ท้องถิ่น’
20:58 (ซีนที่ 2) Petare สลัมอันดับ 2 ของโลก
23:42 อยู่กันยังไงกับรายได้ 1,000 บาทต่อเดือน ?
26:07 Petare ต่างจากสลัมที่อื่นอย่างไร ?
29:38 (ซีนที่ 3) การแย่งชิงอำนาจระหว่าง ‘รัฐบาล’ และ ‘แก๊งอาชญากรรม’
33:14 ‘ความฝัน’ ของคนหนุ่มสาวในเวเนซุเอลา
35:51 ความคล้ายคลึงที่เกิดขึ้นใน ‘ปาเลสไตน์’
37:31 (ซีนที่ 4) การทำงานของหน่วย F.A.E.S
41:53 ปัญหา ‘น้ำมัน’ ‘คอรัปชั่น’ และ ‘การเมืองระหว่างประเทศ’ ในเวเนซุเอลา
45:43 เหตุผลว่าทำไมต้องทำตาม ‘ระเบียบโลก’
46:59 เวนซุเอลา ‘โกงเลือกตั้ง’ จริงไหม !?
48:50 (ซีนที่ 5) ‘ชาวยุคปา’ ชนชั้นล่างสุดที่ถูกทอดทิ้งจากทุกฝ่าย
51:34 ถ้า ‘ไทย’ ไม่แก้ไขจะกลายเป็นแบบ ‘เวเนซุเอลา’ !!
54:00 (ซีนที่ 6) ภาพประจำทริป ‘เด็กทารกที่เต็มไปด้วยรอยผด’
56:02 (ซีนที่ 7) เข้าทำภากิจใน Cota 905
57:29 พื้นที่ที่ถ่ายทำ ‘ยากที่สุด’ ตั้งแต่เคยถ่ายมา !!
59:33 เบื้องหลัง ‘การถ่ายทำ’ ใน Cota 905
1:03:05 พื้นเพ ‘ความขัดแย้ง’ ที่เคยเกิดขึ้น
1:04:20 ‘อาชญากร’ ควรโดนกำจัดทิ้งทั้งหมดไหม ?
1:05:36 TO BE CONTINUED

เรียนรู้ 'ความล่มสลาย'
แล้วย้อนมามองสิ่งที่อยู่ใกล้ตัว อะไรคือสิ่งที่กำลังจะพาเราไปสู่จุดนั้น ?
อะไรคือสิ่งที่เราควรทำ ?
อะไรคือสิ่งที่จะเป็นประโยชน์ต่อ
' อนาคต ' ของประเทศไทยจริง ๆ

คำถามเหล่านี้ผมเชื่อว่า
ทุกท่านจะได้คำตอบไปไม่มากก็น้อย
จากการรับชมบทสนทนาระหว่างผม กับคุณสิงห์
ใน เถื่อน Travel ซีซั่นล่าสุด ที่เขามีโอกาส
ได้ผจญภัยไปในเวเนเซุเอลาครับ : )

https://www.facebook.com/photo/?fbid=122117469615016745&set=a.122094513273016745
https://www.youtube.com/watch?v=ZpqdWZT4zok



กี่ปีนะกว่าจะยกเลิกได้เครื่องมือเผด็จการ ประกาศใช้แล้ว พ.ร.บ.ยกเลิกประกาศ-คำสั่ง คสช. ที่หมดความจำเป็นรวม 55 ฉบับ!



iLaw
7 hours ago
·
ประกาศใช้แล้ว พ.ร.บ.ยกเลิกประกาศ-คำสั่ง คสช. ที่หมดความจำเป็นรวม 55 ฉบับ!
https://ratchakitcha.soc.go.th/documents/94162.pdf
.
๐ 48 ฉบับ ยกเลิกทันทีในวันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษา มีผล 30 ธันวาคม 2568
๐ อีก 7 ฉบับ ยกเลิกแต่ระบุเงื่อนไขหรือมีมาตรการที่เกี่ยวข้องเฉพาะให้สอดคล้องกับประกาศหรือคำสั่งฉบับนั้นๆ
.
ทั้งนี้ข้อเสนอ "ยกเลิก" ประกาศ-คำสั่ง คสช. อันเป็นผลพวงจากคณะรัฐประหาร หลายฉบับมีเนื้อหาที่กระทบต่อสิทธิเสรีภาพประชาชน อีกทั้งกระบวนการออกก็มาจากคณะรัฐประหาร ภาคประชาชนเคยทำแคมเปญ #ปลดอาวุธคสช เข้าชื่อเสนอกฎหมายเพื่อยกเลิกประกาศ-คำสั่ง คสช. ที่กระทบต่อสิทธิมนุษยชน และยื่นเสนอร่างกฎหมายเข้าสภาในปี 2562 กว่าจะได้พิจารณาวาระหนึ่ง ก็ใช้เวลาไปเกือบ 3 ปี แต่สภาก็มีมติ "ไม่รับหลักการ" ร่างภาคประชาชน และร่างที่สส.พรรคอนาคตใหม่เสนอ พรรคภูมิใจไทยซึ่งเป็นพรรคร่วมรัฐบาลภายใต้การนำของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ก็โหวต "ไม่เห็นด้วย"
.
แต่หลังเปลี่ยนรัฐบาลและสภา ครม. รวมถึง สส. หลายพรรค ได้แก่ พรรคก้าวไกล (ก่อนยุบพรรค) พรรคประชาชาติ และพรรคภูมิใจไทย ก็เสนอร่างกฎหมายยกเลิกประกาศ-คำสั่ง คสช. รวมกันได้ 5 ฉบับ ผ่านการพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา ระหว่างกระบวนการพิจารณามีเนื้อหาบางส่วนของร่างที่ถูกแก้ไขอยู่บ้าง เช่น คำสั่งปิดเหมืองทองคำ หรือคำสั่งหัวหน้าคสช. ที่ 72/2559 เรื่อง การแก้ไขปัญหาผลกระทบจากการประกอบกิจการเหมืองแร่ทองคำ ” ที่ทำให้รัฐบาลไทยถูกบริษัท คิงส์เกต คอนโซลิเดตเต็ด ลิมิเต็ด จำกัด บริษัทสัญชาติออสเตรเลีย ฟ้องต่ออนุญาโตตุลาการระหว่างประเทศ ก็ถูกนำออกไป ไม่ได้ยกเลิก
.
ย้อนอ่านกระบวนการพิจารณากฎหมายฉบับนี้ได้ที่ https://www.ilaw.or.th/articles/55547

https://www.facebook.com/photo/?fbid=1290488956458054&set=a.625664036273886




นี่คือโอกาสอีกครั้งที่คนไทยจะสามารถออกมาแสดงพลังธรรมชาติของตนเอง ว่าอำนาจสูงสุด(อำนาจอธิปไตย) ในการปกครองบ้านเมืองเป็นของประชาชน ไม่ใช่ของพรรคการเมือง หรือผู้มีอำนาจบารมีใดๆ ออกมาใช้สิทธิเลือกตั้งในวันที่ 8 กพ.69 ให้มากที่สุดให้ถึง 80% เป็นอย่างน้อย


จับตา “เลือกตั้ง 2569” เสียงของทุกคน ฝ่าวิกฤตประเทศ? | ห้องข่าวไทยพีบีเอส NEWSROOM | 28 ธ.ค. 68

Thai PBS

Dec 28, 2025 

การแข่งขันอย่างดุเดือดในสนามเลือกตั้ง 2569 คะแนนความนิยมต่อพรรคการเมือง และแนวโน้มการจับมือจัดตั้งรัฐบาลในอนาคต

Panat Tasneeyanond
19 hours ago
·
นี่คือโอกาสอีกครั้งที่คนไทยจะสามารถ
1.ออกมาแสดงพลังธรรมชาติของตนเองว่าอำนาจสูงสุดในการปกครองบ้านเมืองเป็นของประชาชน (อำนาจอธิปไตย)ไม่ใช่ของพรรคการเมืองหรือผู้มีอำนาจบารมีใดๆ
2.ออกมาใช้สิทธิเลือกตั้งในวันที่ 8 กพ.69 ให้มากที่สุดให้ถึง 80% เป็นอย่างน้อย
3. หย่อนบัตรเลือกตั้งไม่เอานักเลือกตั้งจากพรรคสีเทาไม่ว่าจากบ้านเล็กหรือบ้านใหญ่ทั้งหมด
Check out this video, "tpbs News Room 28/12/69"

https://www.youtube.com/watch?v=iEBHKaQ9A9Y




ขวาไทย การศึกษาสูง เป็นถึงด็อกเตอร์ ไม่ได้ช่วยเรื่องความคิดต่ำตม

.....

ตามติดชีวิตแม่บ้านแขก
5 hours ago
·
ดูคลิปคุณไอซ์เล่าชีวิตในรายการป๋าเต็ดแล้วแบบ…

โห ชีวิต

“ไม่เคยฝันว่าอยากเป็นอะไร ไม่เคยมีใครเป็นไอดอล“

”ไม่เคยมีใครให้ได้กอด ตอนเด็กๆจำไม่ได้ว่าเคยกอดใคร“

”คนจนเหมือนมีเหรียญอยู่ 16 ด้าน มีหัวแค่ด้านเดียว ที่เหลือเป็นก้อยหมด กว่าจะเจอหัวคือมันต้องอาศัยความพยายามและโชคดีอย่างมาก ในขณะที่คนรวยคือเค้ามีหัว 16 ด้าน และก้อยแค่ด้านเดียว เค้ามีโอกาสในชีวิตมากกว่า“

ฟังชีวิตคุณเค้าแล้วโคตรสะอึก

คุณไอซ์เกิดมาอย่างที่แม่เป็นนักร้องในบาร์ ท้องกับนักเที่ยว พอมีลูกในขณะที่ไม่พร้อมก็เลี้ยงไม่ได้ เลยเอาไปฝากคนอื่นเลี้ยง พอแม่ไม่ส่งเงินให้คนที่เลี้ยง เค้าก็เอาคุณไอซ์มาประกาศหาคนดูแลต่อ

ฟังตรงนี้แล้วแบบ…เหมือนอะไรซักอย่างที่โยนกันไปมา

คุณไอซ์ถูกรับเลี้ยงโดยครอบครัวหนึ่งที่มีลูกอยู่แล้วหลายคน โดยเชื่อว่าคุณไอซ์ให้โชคลาภ เพราะเคยชี้ลอตเตอรี่ถูก

แต่เธอกลับไม่ได้รับความรัก เธอโตมาในครอบครัวที่ยากจน อาศัยอยู่ในชุมชนแออัด ที่มีทั้งยาเสพติด มีความดำมืดต่างๆ คุณเค้าโตมาแค่พอมีหลังคาคุ้มกะลาหัว แต่ไม่มีความรักใดๆที่เค้ารู้จักว่าได้รับเลย

คุณไอซ์สะท้อนใจทุกครั้งที่มีวันพ่อ วันแม่ เพราะเธอไม่รู้ว่าใครเป็นพ่อ ไม่มีชื่อพ่อในทะเบียนบ้าน เธอรู้แค่ว่า ”รักชนก“ เป็นชื่อทึ่แม่ตั้งให้เพราะแม่ชื่อขวัญชนก แค่นั้น

สิ่งเดียวที่ทำให้เธอมีความสุข คือโรงเรียน

คุณไอซ์เรียนดี เป็นที่รักของคุณครู มีเพื่อนๆรอบตัว

จนจบ ม.3 โลกถล่มทันที เพราะแม่บุญธรรมพูดว่า จะไม่ส่งเรียนต่อ ม.ปลาย เพราะไม่มีเงิน และไม่มีคนในบ้านเรียนต่อซักคน

เธอดิ้นรนไปเรียนสายอาชีพ ที่รอบตัวไม่ได้มีคนตั้งใจเรียน ในขณะเดียวกันก็ทำงานพิเศษหาเลี้ยงตัวเองไปด้วย

จนวันนึงได้คุยกับแม่แท้ๆ และแม่เพิ่งมารู้ว่าเธอลำบาก

ทั้งที่ตลอดชีวิต 16 ปีเธออยู่อย่างแร้นแค้นมาตลอด ไม่เคยสุขสบาย เธอบอกว่าจำไม่ได้แล้วด้วยว่าครั้งสุดท้ายที่แม่บุญธรรมให้เงินเธอคือเมื่อไหร่

แม่เลยติดต่อหาพ่อของเธอ ซึ่งความจริงก็คือพ่อทำงานในบ่อน คุณไอซ์ขอเงินพ่อ และขอกลับไปเรียนสายสามัญที่โรงเรียนเดิม

ที่นั่นเธอได้เจอเพื่อนที่ช่วยเหลือกันมาตลอด และยังคบกันทุกวันนี้ ทุกคนสลับกันแบ่งข้าวกลางวันให้เธอ เพื่อนอีกคนบ้านทำโรงงานน้ำแข็ง เธอก็ไปซ้อนมอเตอร์ไซค์ส่งน้ำแข็งกับเพื่อน และได้ข้าวเย็นเป็นค่าตอบแทน

ทุกคนพากันเรียน จนเธอสอบเข้าคณะวิทยาศาสตร์ เอกสถิติ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ได้ แม้ว่าจะไม่ได้ชอบนัก แต่ตอนนั้นพอบอกแม่บุญธรรมแล้วเค้าอวดคนในชุมชนหนักมาก ก็เลยเรียนต่อไป

ระหว่างเรียนเธอหาเงินค่าหอ ค่ากิน โดยการทำงานสอนพิเศษ หาของในสำเพ็งไปขายจนเรียนจบ เริ่มมีรายได้ดีจากการขายของออนไลน์ รวมทั้งมีแฟน มีชีวิตที่ดี จนมาสนใจการเมือง การขายของต้องหยุดไป ชีวิตคู่ก็จบเพราะเธอไม่มีเวลาให้แฟนจนเลิกกัน จนมาเป็นไอซ์ รักชนกทุกวันนี้

ฟังแล้วโห น่าชื่นชมมากที่ยึดมั่นว่าอยากได้ดี จะได้มีชีวิตที่ดีขึ้น การศึกษามันสามารถเปลี่ยนคุณภาพชีวิตคนๆนึงได้จริงๆ

แปลกทึ่คนระดับด็อกเตอร์ถึงเหยียดคนๆนึงอย่างน่ารังเกียจ

ความเห็นทางการเมืองจะด่าเค้าก็ด่าไป

แต่ด่าขุดไปถึงชาติกำเนิด ถึงพ่อถึงแม่เค้ามันน่าอดสูมาก ที่แนวคิดของคนเป็นอาจารย์มีมุมมองเกี่ยวกับมนุษย์คนนึงที่เลือกเกิดไม่ได้แบบนี้

แย่กว่าคือคอมเมนต์ส่งเสริมที่บางคนกลับเป็นพ่อแม่คนด้วยซ้ำ มุมมองที่เหยียด กดต่ำคนที่เค้าไม่มีโชคเรื่องการอยู่ในครอบครัวที่พร้อม แต่ดึงดันทุกอย่างเพื่อทึ่จะให้ตัวเองมีการศึกษาที่ดีให้ได้ กลับรวมใจกันเหยียดเพราะคนๆนึงไม่มีพ่อแม่ หรือพ่อแม่ที่ทำงานที่มองแล้วว่าไม่ดึ หรือเกิดในชุมชนแออัด เด็กคนนึงที่ไม่ได้รับความรักจากพ่อแม่ ปากกัดตีนถีบ มันน่าเหยียดเหรอ?

แค่เพราะตัวเองมีมากกว่า เราควรมีมุมมองที่เหยียดคนที่ด้อยกว่าเหรอ?

โคตรใจดำ

ตัวเองจะจดจำเรื่องราวของคนพวกนี้เอาไว้สั่งสอนลูกว่า การศึกษามันช่วยพัฒนาชีวิตจริง แต่ไม่ได้หมายความว่าทุกคนที่มีการศึกษาที่ดึ จะได้รับการพัฒนาด้านจิตใจ และศีลธรรมที่ดี ไม่ใช่ทุกคนที่ไปเมืองนอก เห็นโลกมามาก จะซึมซับมุมมองที่เป็นโกลบอลซิติเซ่นทึ่ดึมาด้วย จะสอนให้ลูกชื่นชมคนที่เหรียญหัวมีด้านเดียว แต่มีก้อย 16 ด้าน แล้วเค้ายังเจอหัว มีชีวิตที่ดีขึ้นเสมอ เราเลือกครอบครัวไม่ได้ ไม่ใช่ทุกคนมีโชคทางด้านครอบครัวที่อบอุ่น แม้ว่าจะเป็นคนรวยก็ตาม ดังนั้นเอมพาตี้โคตรสำคัญค่ะ

คลิปรายการ (มี 2 ตอน)
https://youtu.be/EK2T87xgBFQ?si=L1Qlh76RcGb9EVAv

https://www.facebook.com/photo?fbid=1449046366579872&set=a.270291051122082




‘ไอซ์ รักชนก’ ถึง ผู้บริหาร-ศิษย์เก่า-ศิษย์ปัจจุบัน ‘นิด้า’ ปม ‘ดร.อานนท์’

https://www.facebook.com/sorrayuth9115/posts/pfbid0qom9ZaLuQWQebBW1zPuh9DFH7hvtJYd2hwaU9N4vMMsFzzKWTf5jcNbvmx6vYhnrl

สรยุทธ สุทัศนะจินดา กรรมกรข่าว 
7 hours ago
·
‘ไอซ์ รักชนก’ ถึง ผู้บริหาร-ศิษย์เก่า-ศิษย์ปัจจุบัน ‘นิด้า’ ปม ‘ดร.อานนท์’
วันที่ 29 ธ.ค.68 นางสาวรักชนก ศรีนอก อดีต สส.กทม.พรรคประชาชน โพสต์ถึงข้อคงามของ รศ.ดร.อานนท์ อาจารย์ประจำคณะสถิติประยุกต์ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า)
”นี่คือสิ่งที่ต้องเจอทุกวันๆ ตั้งแต่เป็นนักการเมือง อย่างเบาหน่อย ก็ด่าว่าเป็นสก๊อย เด็กไม่มีพ่อไม่มีแม่ บ้างก็กล่าวหาว่าเป็นกระหรี่ เป็นเด็กเสี่ย หรือเป็นเมียน้อยใครสักคน มีการเอารูปไปตัดต่อให้เสื่อมเสียพร้อมคำเหยียดหยามสาระพัด ใช้ AI ทำเป็นคลิปอนาจาร สร้างข่าวปลอมมาใส่ร้ายป้ายสีทุกวัน หนักขึ้นมาหน่อยก็โดนฟ้อง ฟ้องปิดปาก ถูกขู่ ถูกคุกคาม ถูก sexual harassment ทั้งท่าทีและคำพูด และไม่นานมานี้ก็ถึงขั้นถึงตัวทำร้ายร่างกาย
ล่าสุดลามไปกล่าวหาบุคคลอื่นๆ ในครอบครัว ไม่เข้าใจว่าคุณมีสิทธิ์มากล่าวหาพ่อแม่คนอื่นได้เป็นเรื่องราวขนาดนี้ได้ยังไง
ทุกคนได้อ่านข้อความนี้แล้ว ทุกคนรู้สึกยังไงบ้างคะ ?
สิ่งที่เราคิดคือ ทำไมกลุ่มคนที่เรียกตัวเองว่า กลุ่มคนรักสถาบัน ถึงได้กล้าพฤติกรรมที่น่ารังเกียจทุกรูปแบบกับคนอื่นโดยอ้างความจงรักภักดี คุณจะไม่ชอบนักการเมืองคนไหน การวิพากษ์วิจารณ์ด่าทอทำได้เต็มที่กับบุคคลนั้นๆ
แต่ถึงขึ้นกล่าวหาพ่อแม่คนอื่นด้วยถ้อยคำเหยียดหยามลดทอนคุณค่าแบบนี้ ตัวดิฉันเองที่เติบโตมาในสังคมที่แย่มากๆ ไม่ได้รับการอบรมสั่งสอน อย่างที่ผู้โพสต์กล่าวหา ยังไม่คิดทำอะไรแบบนี้กับพ่อแม่ใครเลย
ดิฉันสนับสนุนหลักการ เรื่อง free speech เสมอมา แต่อันนี้มันเข้าข่ายเป็น hate speech ทำไมคนที่แอบอ้างตัวเองว่ารักสถานบันกว่าใคร และต้องการปกป้องสถาบัน ถึงเลือกใช้วิธีลดทอนคุณค่าความเป็นมนุษย์ของคนที่เห็นต่าง แทนที่จะถกเถียงกันด้วยวิธีอย่างคนที่ได้รับการอบรมมาบ้างแล้วใช้กัน เถียงด้วยเหตุผล หักล้างกันด้วยตรรกะ
สุดท้ายดิฉันมีกลุ่มคนที่อยากสื่อสารด้วย อยู่ 3 กลุ่ม
1)ผู้บริหาร สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ - NIDA
ที่ผ่านมาดิฉันเข้าใจดี ว่าสถาบันเป็นกลางทางการเมือง และ ไม่ได้ห้ามให้บุคลากรของสถาบันแสดงความเห็นต่างๆ ทางการเมืองในช่องทางต่างๆ และสื่อสาธารณะซึ่งเป็นเรื่องน่ายกย่อง
แต่อยากถามว่า สถาบัน NIDA มีจุดยืนอย่างไร กับการลดทอนคุณค่าความเป็นมนุษย์ หรือ การนำเอาทรอม่า หรือ เรื่องราวในบางชีวิตของบุคคลอื่น ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ไม่ได้ผ่านมากันอย่างง่ายๆ มาพูดในเชิงด้อยค่า สถาบัน NIDA สนับสนุนพฤติกรรมที่เป็นภัยคุกคามสังคมเช่นนี้หรือไม่ และสนับสนุนให้บุคลากรในสถาบันทำพฤติกรรมเช่นนี้ได้หรือไม่
2)ศิษย์เก่า และ ศิษย์ปัจจุบัน สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ - NIDA
ดิฉันมีความเคารพทุกความเห็นทางการเมือง ท่านจะเป็นอนุรักษ์นิยมหรือเสรีนิยม จะสนับสนุนหรือไม่สนับสนุน ดิฉันก็เคารพทุกความหลากหลาย การวิพากษ์วิจารณ์กันที่ผ่านมา ไม่ว่าจะด้วยความสุภาพหรือใช้ถ้อยคำหยาบคาย ดิฉันก็ไม่เคยคิดจะฟ้องร้อง เพราะการเสนอตัวมาเป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง มันต้องโดนมากกว่าคนปกติเป็นธรรมดา แต่ศิษย์เก่าและศิษย์ปัจจุบันของสถาบัน NIDA ท่านมีความเห็นอย่างไร ที่มีบุคลากรของสถาบันอันทรงเกียรติ แสดงมีทัศนคติเช่นนี้ ซึ่งสถาบันนิ่งเฉยกับ hate speech และการด้อยค่าเพื่อนมนุษย์ ซึ่งไม่ใช่ครั้งแรก
3)คนที่เกิดมาไม่พร้อม ไม่ว่าจะด้านไหนในชีวิตก็ตาม (เหมือนเรา)
คนเราเลือกเกิดไม่ได้ ถ้าเลือกได้เราทุกคนคงอยากเกิดมาในครอบครัวที่พร้อมทุกด้านและอบอุ่น ใครๆ ก็อยากมีครอบครัวอยู่ในชุมชนที่ไม่มีการใช้ความรุนแรง ไม่มีปัญหาสังคม เด็กๆ ได้ไปโรงเรียนดีๆ ก็คงไม่มีใครอยากเกิดมาพบเจอกับประสบการณ์วัยเด็กแย่ๆ คำดูถูกดูแคลน คำเหยียดหยาม เพื่อนๆ ที่โดนอะไรที่แย่กว่าตัวเราแต่เราไม่มีพลังความสามารถอะไรจะช่วยเหลือเค้าได้
ไม่มีใครผิดที่เกิดมาในครอบครัวที่ไม่ดีพร้อม ชาติกำเนิดอยู่ในสลัม เติบโตท่ามกลางปัญหาสังคม กว่าจะรอดได้แต่ละวันโคตรยากลำบาก คนเราเลือกเกิดไม่ได้ แต่เราเลือกได้ว่าจะส่งต่อสังคมแบบไหนให้คนรุ่นถัดไป เราเลือกได้ว่าจะส่งต่อทัศนคติค่านิยมที่ตัดสินคนจากชาติกำเนิด ส่งต่อคำดูถูกเหยียดหยามให้กับเด็กๆ ที่เป็นกำพร้าหรือเด็กๆ ที่พ่อแม่มีปัญหาชีวิตรุมเร้า แล้วก็ต้องรับส่งต่อปัญหามาด้วยอย่างเลี่ยงไม่ได้ ทั้งๆ ที่เด็กๆ ไม่ได้เลือก
คนเรามีข้อจำกัดในชีวิตที่แตกต่างกัน ถูกหล่อหลอมมาไม่เหมือนกัน แน่นอนคนที่เกิดในครอบครัวอบอุ่น กินอิ่มนอนหลับทุกวัน มีคนที่รักอยู่ใกล้ๆ ในช่วงเวลายากลำบาก อาจจะไม่เข้าใจเด็กๆ ที่ต้องเติบโตในชุมชนแออัดที่มองไปทางไหนก็มีแต่ปัญหาสังคมเต็มไปหมด
แต่ถึงไม่เข้าใจ ก็ไม่ดูถูกดูแคลนกันได้ไหม คุณด่าคนๆ นึงเพราะอยากให้คนๆ นั้นเจ็บปวด แต่คนที่เจอกับบทบริบทที่เลือกไม่ได้มันมีอีกจำนวนมหาศาล มองไม่เห็นปัญหาในสังคมไม่เป็นไร แต่อย่าทำตัวเป็นส่วนหนึ่งของปัญหา สังคมจะน่าอยู่ขึ้นอีกมากค่ะ
ส่งกำลังใจให้คนที่เจอบริบทในชีวิตคล้ายๆ กัน เวลาอ่านอะไรทำนองนี้แล้วรู้สึกทริกเกอร์ในใจ ก็ให้นึกว่า ชีวิตกากๆ อย่างเรายังอยู่มาจนมีวันนี้ได้ ใครๆ ก็ทำได้ทั้งนั้น มีแค่ตอนเกิดที่เลือกไม่ได้ แต่หลังจากนั้นเรากำหนดเอง
ปล. เรื่องนี้แม้จะไม่เอ่ยอ้างชื่อดิฉันสักคำ แต่คนอ่านแทบทุกคนก็รู้ดีว่าหมายถึงใคร ดูได้จากคอมเม้นทุกคนก็เข้าใจตรงกัน การกระทำเช่นนี้อาจจะหลักหนีกฎหมายไปได้
ไอซ์ไม่ได้มีทัศนคติไม่ได้กับอาชีพ sex worker แต่เพื่อความเป็นธรรมกับพ่อและแม่ ไอซ์ขอยืนยันว่า เค้าไม่ได้ทำอาชีพอะไรแบบที่บุคคลคนนี้กล่าวหา
คนที่กระทำตัวเช่นนี้แล้วมักอวดอ้างว่าทำเพื่อปกป้องสถาบัน เคยถอดบทเรียนบ้างไหมว่า พฤติกรรมเช่นนี้มันส่งผลดีอย่างไรกับสิ่งที่คุณรักและหวงแหนบ้างไหม“


ประชุมรมว.กต. 'จีน-กัมพูชา-ไทย' บรรลุฉันทามติ 3 ประการ


China Xinhua News
China state-controlled media ·
9 hours ago
·
ประชุมรมว.กต. 'จีน-กัมพูชา-ไทย' บรรลุฉันทามติ 3 ประการ
.
วันจันทร์ (29 ธ.ค.) มีการจัดประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศจีน-กัมพูชา-ไทย ในเมืองอวี้ซี มณฑลอวิ๋นหนาน (ยูนนาน) ทางตะวันตกเฉียงใต้ของจีน พร้อมออกคำแถลงต่อสื่อมวลชนหลังจากการประชุมไตรภาคีครั้งนี้สำเร็จลุล่วงด้วยดี
.
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของกัมพูชาและไทยนำคณะผู้แทนเข้าพบปะหารือกันในมณฑลอวิ๋นหนานระหว่างวันที่ 28-29 ธ.ค. ตามคำเชิญของหวังอี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของจีนและกรรมการกรมการเมืองแห่งคณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์จีน หลังจากลงนามแถลงการณ์ร่วมที่ตกลงหยุดยิง
.
หวังกล่าวว่ากระทรวงการต่างประเทศและกองทัพของกัมพูชาและไทยได้แลกเปลี่ยนมุมมองเชิงลึกเกี่ยวกับเรื่องนี้ ทั้งสองฝ่ายแสดงความมุ่งมั่นลดทอนความรุนแรงของสถานการณ์ความขัดแย้ง และยินดีจะปรับปรุงความสัมพันธ์ทวิภาคีบนพื้นฐานของการหยุดยิง
.
อนึ่ง การหารือระหว่างสามฝ่ายเป็นไปอย่างสร้างสรรค์และมีประสิทธิภาพ ซึ่งนำสู่การบรรลุฉันทามติสำคัญหลายประการดังนี้
.
ประการที่ 1 ทุกฝ่ายควรก้าวมองไปข้างหน้าด้วยกัน เนื่องจากข้อตกลงหยุดยิงไม่ใช่สิ่งที่ได้มาโดยง่ายดาย จึงต้องไม่ถูกละทิ้งไว้กลางทางจนทำให้เกิดการกลับมาสู้รบทำสงคราม
.
ประการที่ 2 ควรรักษาและเพิ่มพูนความก้าวหน้า หลีกเลี่ยงการหยุดนิ่งชะงักงัน โดยการดำเนินการตามข้อตกลงหยุดยิงต้องอาศัยการติดต่อสื่อสารและการปรึกษาหารืออย่างต่อเนื่อง และการฟื้นฟูความสัมพันธ์ทวิภาคีต้องเดินหน้าอย่างค่อยเป็นค่อยไป
.
ประการที่ 3 การฟื้นคืนความไว้วางใจซึ่งกันและกันเป็นสิ่งสำคัญสูงสุด ความขัดแย้งได้ก่อให้เกิดการสูญเสียความไว้วางใจ แต่กัมพูชาและไทยย่อมเป็นเพื่อนบ้านกันตลอดไป จึงหวังว่าการประชุมครั้งนี้ในมณฑลอวิ๋นหนานจะช่วยสะสางความบาดหมางระหว่างสองฝ่าย ซึ่งนี่เป็นผลประโยชน์ของประชาชนชาวกัมพูชาและชาวไทย ทั้งยังสะท้อนปณิธานร่วมของทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง
.
สำหรับคำแถลงต่อสื่อมวลชนหลังจากการประชุมไตรภาคีนั้นระบุกัมพูชาและไทยจะยกระดับประสิทธิภาพการติดต่อสื่อสาร เพิ่มพูนความเข้าอกเข้าใจให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น และส่งเสริมสถานการณ์หยุดยิงอย่างค่อยเป็นค่อยไป รวมถึงฟื้นฟูการแลกเปลี่ยนระหว่างกัน ฟื้นคืนความไว้วางใจทางการเมือง ปรับปรุงความสัมพันธ์ และรักษาสันติภาพในภูมิภาค
.
(แฟ้มภาพซินหัว : หวังอี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของจีนและกรรมการกรมการเมืองแห่งคณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์จีน ปรัก สุคน รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของกัมพูชา สีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของไทย ในเมืองอวี้ซี มณฑลอวิ๋นหนานทางตะวันตกเฉียงใต้ของจีน วันที่ 29 ธ.ค. 2025)

https://www.facebook.com/photo/?fbid=1327530162749357&set=a.593655116136869



เล่าบ้านอองโตนี ที่พำนักสุดท้ายจองท่านปรีดี ผ่านบทสัมภาษณ์ โลร็อง มาเลสปีน ผู้ใกล้ชิดครอบครัวพนมยงค์ ทั้งในฐานะที่อยู่อาศัยและ “สถานที่แห่งความทรงจำ” อย่างละเอียดมาก


สถาบันปรีดี พนมยงค์ Pridi Banomyong Institute
14 hours ago
·
ในปี 2569 สังคมไทยอาจได้เห็นการเปิดตัว “บ้านอองโตนี” ภายหลังการเข้าซื้อและดูแลโดย ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ในฐานะพื้นที่แห่งความทรงจำทางประวัติศาสตร์และการเมือง
.
สถาบันปรีดี พนมยงค์ ชวนติดตามผ่านบทสัมภาษณ์ โลร็อง มาเลสปีน ผู้ใกล้ชิดครอบครัวพนมยงค์ ถ่ายทอดเรื่องเล่าจากบ้านอองโตนี ทั้งในฐานะที่อยู่อาศัยและ “สถานที่แห่งความทรงจำ” ซึ่งเชื่อมโยงอดีตกับความหวังของอนาคต
.
โลร็องเล่าถึงบรรยากาศ ความสัมพันธ์ และวิถีชีวิตในบ้านอองโตนี พร้อมรำลึกเหตุการณ์เมื่อครั้ง ดำรง พุฒตาล เดินทางไปถ่ายทำและสัมภาษณ์เขาในวัยหนุ่ม การสนทนาดำเนินรายการโดย ประวิตร โรจนพฤกษ์ โดยมี สุดา พนมยงค์ และ ดุษฎี พนมยงค์ ร่วมสนทนา
.
สิ่งที่ผู้ชมจะได้พบในคลิปนี้

– ภาพความทรงจำเกี่ยวกับบ้านอองโตนี บรรยากาศและความเป็นอยู่ของครอบครัวพนมยงค์ผ่านสายตาชาวฝรั่งเศส

– มิตรภาพข้ามวัฒนธรรมและความผูกพันที่ก้าวข้ามภาษาและเชื้อชาติ

– เบื้องหลังการถ่ายทำและความทรงจำเมื่อโลร็องได้พบกับดำรง พุฒตาล ในช่วงวัยหนุ่ม

– คำถามถึงอนาคตของบ้านอองโตนี การส่งต่อความหวัง และการติดตามพัฒนาการของพื้นที่แห่งความทรงจำสำหรับสาธารณะ
.
รับชมและอ่านบทสัมภาษณ์ได้ที่นี่ : https://pridi.or.th/th/content/2025/12/2731

https://www.facebook.com/photo/?fbid=1288782226627811&set=a.635945515244822



บ้านอองโตนี: สถานที่แห่งความทรงจำ | โลร็อง มาเลสปีน ชายชาวฝรั่งเศสผู้ใกล้ชิดครอบครัวพนมยงค์

PRIDI Institute

Dec 28, 2025 

คลิปสัมภาษณ์นี้บันทึกความทรงจำจาก โลร็อง มาเลสปีน ชาวฝรั่งเศสผู้มีความใกล้ชิดกับครอบครัวของ ปรีดี พนมยงค์ ถ่ายทอดเรื่องราวของ บ้านอองโตนี สถานที่ซึ่งเป็นทั้งที่อยู่อาศัยและพื้นที่แห่งความทรงจำในช่วงปลายชีวิตของรัฐบุรุษอาวุโสในฝรั่งเศส 

โลร็องเล่าถึงบรรยากาศ ความสัมพันธ์ และวิถีชีวิตในบ้านอองโตนี ผ่านสายตาของผู้ที่ได้สัมผัสอย่างใกล้ชิด พร้อมย้อนรำลึกเหตุการณ์เมื่อครั้ง ดำรง พุฒตาล เดินทางไปถ่ายทำรายการและสัมภาษณ์เขาในวัยหนุ่ม เหตุการณ์ซึ่งสะท้อนการเชื่อมต่อระหว่างความทรงจำส่วนบุคคลกับประวัติศาสตร์การเมืองไทยร่วมสมัย 

การสนทนาในคลิปนี้ดำเนินรายการและสัมภาษณ์โดย ประวิตร โรจนพฤกษ์ โดยมี สุดา พนมยงค์ และ ดุษฎี พนมยงค์ ร่วมสนทนา เสริมบริบทจากความทรงจำของครอบครัวพนมยงค์โดยตรง 

คลิปยังกล่าวถึงเหตุการณ์สำคัญในเวลาต่อมา คือการที่ ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ เข้าซื้อและดูแล บ้านอองโตนี โดยมีวัตถุประสงค์ในการรักษาพื้นที่ทางประวัติศาสตร์และความทรงจำทางการเมือง มิใช่เพียงทรัพย์สินส่วนบุคคล หากแต่เป็นการธำรงมรดกทางความคิดและคุณค่าประชาธิปไตยให้คงอยู่ในพื้นที่จริง 

บทสนทนานี้มิได้มุ่งเพียงเล่าอดีต หากแต่ชวนผู้ชมทำความเข้าใจความหมายของ “สถานที่แห่งความทรงจำ” (lieu de mémoire) บทบาทของพยานทางประวัติศาสตร์ และคุณค่าของการบันทึกเรื่องเล่าที่อยู่นอกเอกสารทางการ เพื่อธำรงสัจจะและมรดกทางความคิดของปรีดี พนมยงค์ให้ดำรงอยู่ในความทรงจำร่วมของสังคม 

💡สิ่งที่ผู้ชมจะได้ชมในคลิปนี้: 

  • ความทรงจำที่มีต่อบ้านอองโตนี บรรยากาศและความเป็นอยู่ของครอบครัวพนมยงค์ในสายตาชาวฝรั่งเศส
  •  มิตรภาพข้ามวัฒนธรรม ความผูกพันที่ก้าวข้ามกำแพงภาษาและเชื้อชาติระหว่างคุณโลร็องกับครอบครัวพนมยงค์ 
  • เบื้องหลังการถ่ายทำของ ดำรง พุฒตาล ย้อนวันวานเหตุการณ์ในอดีตที่คุณโลร็องได้พบกับสื่อมวลชนระดับตำนานของไทย 
  • คำถามถึงอนาคตบ้านอองโตนี: การส่งต่อความหวังจากคุณโลร็องถึงคุณธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ และการติดตามความคืบหน้าในการเปลี่ยนบ้านหลังนี้ให้เป็นพื้นที่แห่งความทรงจำสำหรับทุกคน 
อ่านบทสัมภาษณ์ได้ที่นี่: https://pridi.or.th/th/content/2025/1...

https://www.youtube.com/watch?v=gUkeWtYo4fk


Real politics ในมุมมองของ อ. ทัศนัย เศรษฐเสรี น่าสนใจ


Thasnai Sethaseree 
4 hours ago
·
“ยุคหลังศีลธรรม : การเมืองที่ทำงานได้ แต่ไม่ต้องชอบธรรม”
ผมคิดมานานว่า การเมืองไทยไม่ได้พังเพราะไม่มีคนเก่งหรือไม่มีคนดี หากแต่มันพังเพราะ “ความดี” ถูกใช้เป็นเครื่องมือทางอำนาจมานานเกินไป และเมื่อวันหนึ่งความดีนั้นหมดแรง คำอธิบายใหม่ก็ถูกหยิบขึ้นมาแทนที่อย่างรวดเร็ว นั่นคือคำว่า real politics
ถ้ามองให้ดี คำว่า real politics ไม่ได้ถูกใช้เพื่ออธิบายความซับซ้อนของการเมือง หากถูกใช้เพื่อบอกเราว่า อย่าคาดหวังอะไรมากกว่านี้ อย่าถามเรื่องหลักการมากเกินไป และอย่าเอาศีลธรรมมารบกวนการจัดการอำนาจ ในความหมายนี้ real politics ไม่ได้เป็นความจริงของการเมือง แต่เป็นวาทกรรมที่ทำให้อำนาจหลุดพ้นจากการต้องรับผิดชอบ
ในอดีต ฝ่ายอนุรักษนิยมเคยใช้ศีลธรรมเป็นต้นทุนทางการเมือง เพื่อทำให้อำนาจไม่ต้องมาจากการเลือกตั้งเต็มใบ แต่เมื่อศีลธรรมเสื่อมพลัง คำว่า real politics ก็เข้ามาทำหน้าที่เดียวกัน เพียงเปลี่ยนภาษาจากความดี มาเป็นความจำเป็น จากคุณธรรม มาเป็นประสิทธิภาพ และจากอุดมการณ์ มาเป็นการอยู่รอด
ตรงนี้เองที่ผมเริ่มรู้สึกว่า real politics ไม่ได้หมายถึงการยอมรับความจริงของโลก หากหมายถึงการลดโลกให้เล็กพอ จนเหลือเพียงสิ่งที่อำนาจจัดการได้ การเมืองถูกทำให้กลายเป็นเรื่องเทคนิค เรื่องดีล เรื่องการคุมเกม และเรื่องการต่อรอง ขณะที่คำถามเรื่องความชอบธรรมถูกเลื่อนไปเป็นเรื่องรอง หรือแย่กว่านั้น ถูกมองว่าเป็นความไร้เดียงสา
ความล้มเหลวของพรรคประชาธิปัตย์เป็นตัวอย่างที่สำคัญ ที่ไม่เพียงสะท้อนความพ่ายแพ้ของศีลธรรมแบบเก่า แต่เป็นจุดที่ “รัฐพันลึก” เริ่มหันหลังให้การเมืองเชิงคุณค่าอย่างเปิดเผย ไม่ใช่เพราะศีลธรรมผิด แต่เพราะมัน “ไม่ทำงาน” ในกรอบ real politics ที่อำนาจต้องการ พรรคที่ไม่สามารถคุมเสียง คุมพื้นที่ และคุมเครือข่ายได้ ถูกมองว่าไม่มีประโยชน์ ไม่ว่ามันจะสะอาดเพียงใดก็ตาม
จากจุดนี้ real politics จึงกลายเป็นภาษากลางใหม่ของรัฐพันลึก ภาษาที่ไม่ต้องอ้างความดี ไม่ต้องสร้างความชอบธรรม และไม่ต้องสัญญาอะไรกับสังคมมากไปกว่าคำว่า “บริหารได้” การเมืองถูกลดสถานะจากพื้นที่ถกเถียงของสาธารณะ เหลือเพียงสนามจัดการของเครือข่ายผู้มีอิทธิพล
รัฐประหารในความหมายนี้ ไม่ใช่ข้อยกเว้นของ real politics แต่เป็นส่วนหนึ่งของมัน เมื่อการใช้อำนาจนอกระบบเกิดขึ้นซ้ำ ๆ ศีลธรรมยิ่งเสื่อม และ real politics ยิ่งแข็งแรง เพราะมันกำลังบอกว่า ความสำเร็จสำคัญกว่าที่มา และผลลัพธ์สำคัญกว่ากติกา
ในโลกแบบนี้ พรรคภูมิใจไทยจึงไม่ใช่ความผิดปกติ แต่คือผลลัพธ์ที่สมเหตุสมผลในโครงสร้างที่พิลึกกึกกือนี้ บ้านใหญ่ อิทธิพลท้องถิ่น และเครือข่าย ไม่ใช่สิ่งน่ารังเกียจในกรอบ real politics หากเป็นทรัพยากรที่จับต้องได้ พรรคแบบนี้ไม่ต้องพูดดี ไม่ต้องอ้างคุณธรรม ขอเพียงชนะเขตเลือกตั้งได้และต่อรองได้ ก็เพียงพอแล้ว
และเมื่อเสาค้ำยังไม่พอ พรรคกล้าธรรมจึงปรากฏขึ้นในฐานะการทดลองถัดไป การเมืองหลังศีลธรรมในเวอร์ชันที่ไม่แม้แต่จะแสร้งอ้างหลักการ real politics ในที่นี้ไม่ใช่การมองโลกตามจริง แต่คือการออกแบบพรรคให้ทำหน้าที่เหมือนเครื่องมือเคลื่อนย้ายอำนาจ เป็นแท็กซี่ทางการเมืองที่ไม่ต้องมีสมาชิก ไม่ต้องมีอุดมการณ์ และไม่ต้องมีระบบตรวจสอบ
เมื่อการเมืองถูกจัดวางเช่นนี้ คำถามเรื่องอดีต เครือข่าย และทุนเทา จึงไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เป็นผลลัพธ์ตรงไปตรงมาของโครงสร้าง real politics ที่แยกอำนาจออกจากความรับผิดชอบ และแยกประสิทธิภาพออกจากความชอบธรรม
ต้นทุนของการเมืองแบบนี้ไม่เคยตกกับรัฐพันลึก แต่มาตกกับสังคม ทุกครั้งที่เราพูดว่าไม่เป็นไร นี่คือ real politics เรากำลังยอมให้มาตรฐานลดลงอย่างมีเหตุผลที่บ้าบอ และเมื่อมาตรฐานลดลงได้หนึ่งครั้ง มันจะลดลงได้อีกเรื่อย ๆ จนการเลือกตั้งกลายเป็นเพียงพิธีกรรมรองรับดีลของเครือข่ายอำนาจเดิมๆ
ผมไม่คิดว่าปัญหานี้จะถูกแก้ได้ด้วยการด่าการเมืองแบบ real politics อย่างเดียว เพราะตราบใดที่ฝ่ายที่อ้างความถูกต้องทางหลักการ ยังไม่สามารถแปรความชอบธรรมให้เป็นอำนาจที่บริหารได้จริง real politics จะถูกหยิบมาใช้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ในฐานะคำอธิบายบัดซบที่ฟังดูเป็นผู้ใหญ่อาบน้ำร้อนมาก่อน และดูเหมือนเข้าใจโลกมากกว่าคนอื่น
คำถามที่ผมคิดว่าเราหลีกเลี่ยงไม่ได้ คือ real politics แบบนี้เป็นความจริงที่เราจำเป็นต้องยอมรับ หรือเป็นเพียงความจริงที่ถูกทำขึ้นเพื่อให้อำนาจไม่ต้องเปลี่ยนแปลง หากการเมืองที่ตัดศีลธรรมออกจากความรับผิดชอบถูกเรียกว่าเป็นการเมืองที่เป็นจริง สิ่งที่ถูกผลักออกไปไม่ใช่ความเพ้อฝัน แต่คือความคิดว่าการเมืองยังสามารถถูกทำให้ดีกว่านี้ได้
ความหวังจึงไม่ใช่การปฏิเสธ real politics แต่คือการดึงมันกลับมาให้หมายถึงการจัดการอำนาจที่ยังต้องอธิบายตัวเองต่อสังคมได้ และนี่คือภารกิจของฝ่ายก้าวหน้า ไม่ใช่การยืนสูงกว่าอำนาจทางศีลธรรม แต่คือการทำให้ความชอบธรรมแปรเป็นอำนาจที่บริหารได้จริง โดยมีประชาชนเป็นผู้ตรวจสอบอยู่
เพราะถ้าเราไม่ทำเช่นนั้น real politics จะยังถูกใช้เป็นชื่อเรียกของการเมืองที่ไม่ต้องรับผิด และวันนั้น เราอาจเรียกมันว่าความจริง ทั้งที่จริง ๆ แล้ว มันคือความพ่ายแพ้ของประชาธิปไตยทั้งระบบ

https://www.facebook.com/thasnai.sethaseree.5/posts/25555669714100035


วันจันทร์, ธันวาคม 29, 2568

ปัญหาพรรคส้มไม่รู้จักจบสิ้น คือไม่สามารถสกรีนคนได้อย่างถี่ถ้วน กรณีผู้สมัคร สส.เขตบางกอกน้อย-บางพลัด ทำเอาผู้สนับสนุนหลายคน ‘เซ็ง’

ปัญหาพรรคส้มไม่รู้จักจบสิ้น คือไม่สามารถสกรีนคนได้อย่างถี่ถ้วน ต้อง “กราบขออภัยพี่น้องประชาชนอีกครั้ง...ที่เราอาจยังทำไม่ได้ดีในการคัดเลือกผู้สมัครเป็นตัวแทนพรรค” ในการเลือกตั้งเป็น สส.เขตบางกอกน้อย-บางพลัด

วันนี้ (๒๙ ธันวา) มีการจับกุมตัว บุญฤทธิ์ เรารุ่งโรจน์ ข้อหาพัวพันขบวนการฟอกเงินยาเสพติด เปิดช่องให้ พวกแบกเอาไปขยายผลกันขนานใหญ่ ไหนว่ามีเราไม่มีเทา ชวนให้ “คายส้ม กลับไปเลือกแดง” พิจารณ์ เชาวพัฒนวงศ์ กรรมการบริหารพรรคก็ตอบตรงใจ

“นี่คือสิ่งที่ยืนหยัดว่า มีส้มไม่มีเทา พรรคไม่มีเหตุผลต้องปกป้องใคร กราบขออภัยและยืนยันว่าพรรคประชาชน มีส้มไม่มีเทา เราจำเป็นต้องแก้ไขปัญหาทุจริต สแกมเมอร์ เมื่อเราพบทันที รีบหารือ เปลี่ยนตัวผู้สมัครทันที”

ด้าน อดีต สส.คนเก่าเขตนี้ รีบโพสต์ต่อยอดว่า แม้จะเคยเป็นลูกน้องเก่า ตำแหน่งผู้ช่วยฯ ก็ไม่ได้เกี่ยวพันกันนานแล้ว หลังจาก “ทางนั้นได้มาแจ้งว่าขอลาออก” แล้วยัง “ได้มีการโจมตีผมต่อเนื่องเรื่อยมา” พงศ์พันธ์ ยอดเมืองเจริญ บอกด้วยว่ายังตั้งใจทำการเมืองต่อ

ผู้สนับสนุนที่ยังหวังดี ต่างตำหนิติเตียนกันระงม “พรรคเสียความน่าเชื่อถือเยอะมากจากกรณีนี้ และจะเป็นแผลให้โดนโจมตีไปจนเลือกตั้ง” กัปตันคนเนิร์ด @captainnerd23 เขียนทวี้ต “ต้องหามาตรการเพิ่มเติมนอกเหนือจากการตรวจประวัติอาชญากรรม

แสดงให้เห็นเลยว่าแค่นี้ไม่พอจริงๆ ถ้าคิดแบบฟุ้งๆ ไม่แน่ใจทำสัญญาไว้ได้ไหม ถ้าผู้สมัครคนไหนปกปิดข้อเท็จจริงจนมีผลต่อคุณสมบัติ ต้องจ่ายค่าเสียหาย” แต่สำหรับ Pavin Chachavalpongpun ‘มีส้มไม่มีเทา’ กลายเป็นเรื่องน่าขำไปเลย

“พรรคมีปัญหาเรื่องการคัดสรรบุคลากร เป็นปัญหาเรื้อรังที่แก้ไม่ได้” แต่เพจ People's Party เขียนอธิบายชี้แจง “พรรคได้ตรวจสอบประวัติอาชญากรรมของผู้สมัครทุกคนอย่างละเอียด แต่ในกรณีของบุญฤทธิ์ ไม่มีการออกหมายเรียก

ออกมาเป็นหมายจับเลยในวันที่ ๑๗ ธันวาคมที่ผ่านมา ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่พรรคได้ตรวจประวัติผู้สมัครทุกคนเสร็จสิ้นไปแล้ว” พรรคจึงไม่ทราบเรื่องมาก่อน ทราบตอนที่ตำรวจได้เข้าตรวจค้นบ้านพักของผู้สมัครแล้ว ถึงอย่างนั้น

มีส้มไม่มีเทา ไม่ใช่แค่สโลแกนหาเสียง เราพิสูจน์ด้วยการกระทำว่าเราไม่อ่อนข้อต่อทุนเทา การทุจริต คอรัปชั่นใดๆ ด้วยการจัดการเรื่องนี้อย่างโปร่งใสและรวดเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้”

(https://www.facebook.com/PPLEThai/posts/p4CGeduEk, https://x.com/MorningNewsTV3/status/2005474114623127614, https://www.facebook.com/pavinchachavalpongpun/posts/0u5ExjCo และ https://x.com/captainnerd23/status/2005506912042045705)