วันพุธ, มิถุนายน 25, 2568

เพราะ #แพทองธารชินวัตร พลาด กองทัพจึงสามารถกอบกู้พื้นที่(การนำ)ทางการเมืองที่สูญเสียไปกลับมาได้


Pipob Udomittipong
11 hours ago
·
“กองทัพไทยยึดพื้นที่คืนได้ หลัง #แพทองธารชินวัตร พลาด ท่ามกลางความขัดแย้งกับ #กัมพูชา ” สองปีหลังจากประเทศไทยเปลี่ยนผ่านสู่การปกครองโดยพลเรือน หลังการปกครองภายใต้ระบอบทหารมานานกว่าทศวรรษ อำนาจทางการเมืองก็เริ่มกลับไปสู่การควบคุมของกองทัพอีกครั้ง Nikkei Asia รายงาน
แพทองธาร เดินทางไปเยี่ยมแม่ทัพกองทัพภาคที่ 2 หารือกับผบ.สส. ผบ.ทบ. ผบ.ทอ. และ ผบ.ทร. เพื่อพยายามแสดงภาพให้เห็นว่า “รัฐบาลและกองทัพกำลังประสานงานกันเป็นอย่างดี” แต่แหล่งข่าวในกองทัพเปิดเผยกับ @NikkeiAsia ว่า มันเป็นการตอกย้ำว่า แพทองธารได้สูญเสียความได้เปรียบของรัฐบาลพลเรือนเหนือกองทัพ ที่เคยมีมาตั้งแต่ปี 2566 ไปแล้ว
ผู้เชี่ยวชาญมองว่า “การรั่วไหลของคลิปบันทึกเสียงการสนทนา มีเป้าหมายเพื่อปลุกปั่นให้เกิดความปั่นป่วนระหว่างรัฐบาลไทยกับกองทัพ และยุยงให้มีการยุบสภา ให้แพทองธารลาออก หรือมีการทำรัฐประหาร”
ความผิดพลาดทางการทูตที่ร้ายแรงของแพทองธาร ยังเผยให้เห็นปัญหาระหว่างรัฐบาลพรรคเพื่อไทยกับกองทัพ นับแต่ตั้งรัฐบาลในปี 2566 เพราะพรรคเพื่อไทยไม่สามารถหาพันธมิตรทางทหาร มาดำรงตำแหน่งรมต.กลาโหม และรองนายกฯ ฝ่ายความมั่นคงได้
พลเรือนที่พรรคเพื่อไทยเลือกให้ดำรงตำแหน่งรมต.กลาโหม ก็ "ไม่ค่อยได้รับความเคารพจากผู้บังคับบัญชาชั้นผู้ใหญ่" แหล่งข่าวของทหารบอก
ท่ามกลางแรงกดดันจากฝ่ายกษัตริย์นิยมและทหารต่อแพทองธาร บุคคลในแวดวงการเมืองและนักการทูตเริ่มให้ความสนใจกับบทบาทของวัง การประชุมเมื่อเร็ว ๆ นี้ ระหว่างพล.อ.พนา แคล้วปลอดทุกข์ ผู้บัญชาการทหารบก กับเจ้าหน้าที่ระดับสูงของวัง ท่ามกลางความวุ่นวายทางการเมือง ดึงดูดความสนใจจากนักการทูต
แต่แม้ว่ากองทัพไทยได้ทำรัฐประหารสำเร็จ 13 ครั้งจากทั้งหมด 19 ครั้ง แต่ผู้สังเกตการณ์ตัดความเป็นไปได้ที่จะมีการรัฐประหารในเร็ว ๆ นี้ออกไป “นายพลทหารกำลังใช้กลอุบายชาตินิยมสุดโต่ง เพื่อกระชับความได้เปรียบ” บุคคลวงในทางการเมืองคนหนึ่งกล่าว “พวกเขามุ่งหวังที่จะกอบกู้พื้นที่ทางการเมืองที่สูญเสียไปกลับคืนมา หลังจากที่แพทองธารยิงปืนใส่เท้าตัวเอง”
https://asia.nikkei.com/.../Thai-military-regaining...


https://www.facebook.com/photo/?fbid=10162672535936649&set=a.10150096728651649




อ.ปิ่นแก้ว เหลืองอร่ามศรี สวด สส.พรรคประชาชนลงพื้นที่แม่สอด ปลุกกระแสชาตินิยม ด้วยวาทกรรม คนพม่าแย่งงานคนไทย แล้วเที่ยวเล่นงานคนตัวเล็กตัวน้อย อย่างสามล้อรับจ้าง คนหาเช้ากินค่ำแล้ว ชี้เหตุ เพราะกฎหมายล้าหลัง-ไม่สอดคล้องความเป็นจริง


Pinkaew Laungaramsri
8 hours ago
·
เห็น สส พรรคประชาชน ลงพื้นที่แม่สอด ปลุกกระแสชาตินิยม ด้วยวาทกรรม คนพม่าแย่งงานคนไทย แล้วเที่ยวเล่นงานคนตัวเล็กตัวน้อย อย่างสามล้อรับจ้าง คนหาเช้ากินค่ำแล้ว ได้แต่มองอย่างละเหี่ยใจ และยิ่งน่าแปลกใจที่สื่ออย่างไทยพีบีเอส ก็ผสมโรงกระแสชาตินิยมพรรค์นี้กับเขาด้วย
รากปัญหาของส่วยและสินบนแรงงานข้ามชาติในแม่สอด ไม่ได้แค่เรื่องการใช้อำนาจที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายของเจ้าหน้าที่ไทยในพื้นที่ในการขูดรีดแรงงานเหล่านี้ แต่เป็นเรื่องกฎหมายที่ล้าหลัง ไม่สอดคล้องกับความเป็นจริง ที่บีบและกดบังคับให้แรงงานข้ามชาติทำงานได้เพียงสองประเภท คือ ถ้าไม่เป็นแม่บ้าน ก็เป็นกรรมกรรับจ้าง ข้อกำหนดนี้ ไม่เพียงล้าหลัง แต่เป็นการกดขี่แรงงานอย่างไม่เป็นธรรม ปิดทางไม่ให้ผู้คนในชายแดนสามารถมีโอกาสในการทำงานอื่นๆที่ดีขึ้น อีกทั้งยังปิดโอกาสการจ้างงานอันหลากหลายของนายจ้างอีกด้วย
แม่สอดนั้นเป็นทั้งเมืองการค้า และเมืองอุตสาหกรรม ที่พึ่งพาทั้งแรงงานชาวพม่าและพ่อค้าแม่ขายชาวพม่าแทบจะเรียกได้ว่า 100% ในตลาด มีพ่อค้า แม่ค้า ชาวพม่า มากพอๆกับพ่อค้า แม่ค้า คนไทย คนเหล่านี้ใช้บริการสามล้อแดงในการขนส่งสินค้าของพวกเขามาตลอด ดิฉันเคยสัมภาษณ์พ่อค้าชาวไทย ในตลาดพาเจริญ พวกเขาไม่เห็นว่าสามล้อแดงจะมาแย่งงานใคร เพราะลูกค้าของพวกเขา เป็นกลุ่มคนที่พวกเขาสื่อสารภาษากันได้ ไม่ใช่พ่อค้า แม่ค้าชาวไทย เช่นเดียวกับพ่อค้า แม่ค้าคนไทยที่มีลูกจ้างหน้าร้านเป็นชาวพม่า ลองไปถามดูว่า พวกเขาคิดอย่างไรกับวาทกรรมแย่งงานคนไทย
วาทกรรมต่างด้าวแย่งงานคนไทย เป็นวาทกรรมเหยียดเชื้อชาติ ที่ชนชั้นนำไทยใช้ปลุกกระแสความเกลียดชังชนที่เป็นอื่นมาตลอดประวัติศาสตร์การเมืองชาตินิยม น่าเศร้าใจที่พรรคการเมืองที่ใช้คำว่า “ประชาชน” เป็นชื่อพรรค กลับมาผลิตซ้ำวาทกรรมนี้เสียเอง
...

Jakkapon Phonlaor
ผมคิดว่าต้องน้อมรับคำเตือนและคำวิจารณ์จากอาจารย์ครับ บางครั้งเรื่องการสื่อสารของ ส.ส. อาจจะผิดพลาดคลาดเคลื่อนไป หรือสื่อพาดหัวไปจนเกิดความเข้าใจผิด การได้รับเสียงเตือนเช่นนี้จึงนับเป็นเรื่องดี
ส่วนผู้สนับสนุนพรรคส้ม ผมคิดว่าต้องใจเย็นๆ ค่อยๆ อ่านและเปิดใจให้กว้าง ผมคิดว่าคำเตือนของ อ.ปิ่นแก้ว เป็นการกระตุ้นเตือนไม่ให้พรรคเดินหลงทิศหลงทาง ไม่ใช่มุ่งโจมตีใส่ร้ายกัน แบบนี้ต้องรับฟังครับ
จะสร้างวัฒนธรรมปกป้องพรรคแบบตะพึเตะพือใครวิจารณ์แตะต้องไม่ได้เลย แบบนี้อันตรายต่อพรรคมากในระยะยาว.

Pinkaew Laungaramsri
Jakkapon Phonlaor ฝากบอกไปยังสส.ว่า ถ้ามีโอกาส ช่วยคุยกับองค์กรที่ทำงานเรื่องแรงงานข้ามชาติ องค์กรที่ทำงานเรื่องผู้ลี้ภัยการเมือง ในแม่สอด Activists พม่า/กะเหรี่ยง รวมทั้งกลุ่มธุรกิจไทยในแม่สอด ตลอดจน CBO ต่างๆ ให้รอบด้าน ก่อนจะออกแคมเปญชาตินิยมอะไรแบบนี้ออกมา แม่สอดเป็นเมืองชายแดนที่มีลักษณะเป็นพหุลักษณ์ทางชาติพันธุ์ ในขณะเดียวกันมีปัญหาเรื่องเหยียดเชื้อชาติ เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว นี่ก็คนในแม่สอด ขอให้ช่วยออกหน้าแสดงความเห็น เพราะหลายคนก็รับไม่ได้กับข่าวที่ออกมาช่วงนี้
....


(ส่วน)นายอดิศร เกิดมงคล ผู้ประสานงานองค์กรด้านประชากรข้ามชาติ(MWG) ให้สัมภาษณ์ว่า ถ้าไม่เข้าใจพื้นที่ชายแดนและเร่งพิจารณาไม่รอบด้านโดยอ้างว่าแย่งงานคนไทยทำให้กระแสถูกตีกลับซึ่งเป็นคำพูดที่ไม่แตกต่างจากที่เต้ อาชีวะออกมาเคลื่อนไหวเลย แทนที่จะพิจารณาว่าทำไมแรงงานข้ามชาติถึงทำงานแบบนี้ และการขาดมิติเรื่องความสัมพันธ์เชิงอำนาจระหว่างแรงงาน ผู้ลี้ภัยและเจ้าหน้าที่รัฐหรือนายจ้าง ทำให้มองว่าแรงงานข้ามชาติที่เข้ามาทำงานเป็นฝ่ายกระทำต่อคนไทย

“ปัญหาหนึ่งที่เกิดขึ้นคือคนพม่าที่เข้ามา ขาดการอธิบายว่าสถานะของเขาเป็นใคร เป็นแรงงานข้ามชาติ หรือเป็นผู้ลี้ภัย ดังนั้นเมื่อเขาจำเป็นต้องอยู่รอดให้ได้ จึงต้องหางานทำเพื่อให้ตัวเองอยู่ได้ บางทีต้องทำบัตรตำรวจ ที่ผ่านมาคณะทำงานพรรคประชาชนก็ได้ศึกษาเรื่องนี้กันไปพอสมควร จึงเข้าใจว่าไม่ได้คุยแนวทางในพรรคกันให้ชัดเจน ผมไม่แน่ใจว่าการที่ทำกันเช่นนี้จะทำให้ สส.ในพื้นที่ได้คะแนนเสียงเพิ่มขึ้นหรือไม่ เพราะมีการวิพากษ์วิจารณ์กันพอสมควร เพราะไม่แตกต่างจากนักการเมืองเดิมๆที่เล่นการเมืองเพื่อเอาใจฐานเสียงตัวเองในพื้นที่ เป็นผลกระทบระยะยาว เพราะมีการไล่จับแรงงานข้ามชาติมากขึ้น”นายอดิศร กล่าว

เมื่อถามว่าเป็นการแก้ไขปัญหาสินบนหรือส่วย นายอดิศร กล่าวว่า ปัญหาของแม่สอดเป็นเรื่องของการบริหารจัดการระบบพื้นที่ชายแดน ดังนั้นจึงควรเข้าใจบริบทพื้นที่ให้ดีก่อน หากไม่เข้าใจเรื่องส่วยชายแดนในพื้นที่มากพอก็เท่ากับการแตะหมูเข้าปากหมา ยิ่งเข้มงวดเท่าไรก็ยิ่งทำให้ส่วยทำงานได้เร็วขึ้น เจ้าหน้าที่ทางการก็ยิ่งเข้าไปจับแรงงานหรือผู้ลี้ภัยแล้วเรียกเงินได้ง่ายขึ้น ดังนั้นจึงควรไปแก้ที่ตัวนโยบายหรือปัญหาที่ไม่เอื้อต่อชายแดนมากกว่า

(จากสำนักข่าวชายขอบ - 
https://transbordernews.in.th/home/?p=43104
รุมสวด สส.พรรคประชาชนผสมโรงกระแสชาตินิยมจับแรงงานข้ามชาติในแม่สอด ศ.ปิ่นแก้วชี้เหตุกฎหมายล้าหลัง-ไม่สอดคล้องความเป็นจริง “วิโรจน์”เผยระบบสินบนสร้างปัญหาให้คนเล็กคนน้อย เตรียมยื่นดีเอสไอตรวจสอบ

https://www.facebook.com/arunothai.ruangrong/posts/23932741589679577



DO NOT forget GAZA - At least 410 Palestinians killed by Israeli military trying to access food - UN


UN: At least 410 Palestinians killed by Israeli military trying to access food | DW News

Jun 24, 2025 

There's been no let up in the fighting in Gaza, where the humanitarian situation is becoming ever more critical. Officials say at least 20 more people have been killed trying get food from an aid distribution point. Israeli authorities say they are investigating. A warning: Our next report contains some disturbing images. Chapters: 0:00 Tragedy continues in Gaza 02:13 Ahmed Bayram, Norwegian Refugee Council

https://www.youtube.com/watch?v=dUdLoqD6h7w






CNN Exclusive: US strikes on Iran did not destroy nuclear sites, sources say


Exclusive: US strikes on Iran did not destroy nuclear sites, sources say

CNN

Jun 24, 2025 

The US military strikes on three of Iran’s nuclear facilities last weekend did not destroy the core components of the country’s nuclear program and likely only set it back by months, according to an early US intelligence assessment that was described by three people briefed on it. #CNN #News


https://www.youtube.com/watch?v=aK-xBsIqrt8




ปฏิเสธไม่ได้ว่าการปฏิวัติ พ.ศ. 2475 คือต้นสายธารของการเมืองไทยสมัยใหม่ ไม่ว่าคุณจะมองคณะราษฎรอย่างไร ความคิดและสำนึกของผู้คนก็เดินไปข้างหน้า - ณัฐพล ใจจริง


พลังแห่งการปลดปล่อย'2475' ในสายตาณัฐพล ใจจริง

Thairath News

Jun 23, 2025 

ปฏิเสธไม่ได้ว่าการปฏิวัติ พ.ศ. 2475 คือต้นสายธารของการเมืองไทยสมัยใหม่ ไม่ว่าคุณจะมองคณะราษฎรอย่างไร ความคิดและสำนึกของผู้คนก็เดินไปข้างหน้า 

ในวาระโอกาส 93 ปีของการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ไทยรัฐออนไลน์เคาะประตูบ้าน ‘ณัฐพล ใจจริง’ เจ้าของหนังสือการเมืองเล่มสำคัญ ‘ขุนศึก ศักดินา และพญาอินทรีย์’ เพื่อคุยกับหนึ่งในนักประวัติศาสตร์ที่รัฐไทยมองว่าเขา อันตรายและน่ากลัวที่สุด

https://www.youtube.com/watch?v=vh5Y7_NHxag


การเมืองที่ตั้งบนแรงแค้น ประชาชนต้องถามตัวเอง - แล้วพวกกูได้อะไร?


Pavin Chachavalpongpun
7 hours ago
·
ด่าอีพรรคส้มแทบตๅย จ้างนางแบกมานั่งด่า สุดท้าย ศัตรูที่แท้จริงของอึเพื่อไทยคือฮุนเซนกับภูมิใจไทย ตอนนี้ประกาศศึกกับกัมพูชาแล้ว แต่อีกศึกที่กำลังจะเกิดคือกับภูมิใจไทย หลังจากถูกเขี่ยออกจากรัฐบาล อนุทินก็เตรียมลับมึด นี่จะเริ่มอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล แถมอนุทินเพิ่งออกมาพูดชัดๆ ว่าไม่เอาคาสิโน สถานการณ์แบบนี้ แม่งคือการเมืองที่ตั้งบนแรงแค้น ประชาชนต้องถามตัวเอง - แล้วพวกกูได้อะไร? แก้ไขรัฐธรรมนูญก็จะไม่เกิด ปฏิรูปกองทัพก็เป็นไปไม่ได้ ไม่ต้องพูดเรื่อง 112 และนักโทษการเมือง เศรษฐกิจก็ฉิบหาย ใครต้นทุนไม่สูงเตรียมตัวตๅยห่า ไร้เกียรติ ไร้ศักดิ์ศรี มีแต่สงคราม กับการล้างแค้นทางการเมืองที่เกิดขึ้นพร้อมๆ กัน

https://www.facebook.com/pavinchachavalpongpun/posts/9473851106049901







ประมวลภาพ “93 ปี วันประชาชน” เชียงใหม่ร่วมรำลึกอภิวัฒน์สยาม 24 มิถุนายน 2475

https://www.facebook.com/lanner2022/posts/742728415178571
Lanner
3 hours ago
·
ประมวลภาพ “93 ปี วันประชาชน” เชียงใหม่ร่วมรำลึกอภิวัฒน์สยาม 24 มิถุนายน 2475

24 มิถุนายน 2568 หลายกลุ่มกิจกรรมในจังหวัดเชียงใหม่ อาทิ นักกิจกรรม นักสร้างสรรค์ และนักศึกษา จัดกิจกรรมทั่วเมืองเชียงใหม่ รำลึกวาระครบรอบ 93 ปี การอภิวัฒน์สยาม 2475 หรือ “วันประชาชน” ท่ามกลางบรรยากาศที่สะท้อนทั้งความหวัง อุดมการณ์ประชาธิปไตย และการตั้งคำถามต่อระบอบอำนาจนิยมที่ยังฝังรากในสังคมไทย

ป้ายผ้า “อำนาจนิยมอยู่ได้ เพราะเรายอมรับมันทุกวัน” หน้า ม.แม่โจ้

ช่วงเช้า บริเวณหน้าประตูมหาวิทยาลัยแม่โจ้ มีการแขวนป้ายผ้าข้อความว่า“ประชาธิปไตยเป็นกระบวนการที่เราร่วมกันสร้างในชีวิตประจำวัน ระบอบอำนาจนิยมอยู่ได้ เพราะเรายอมรับมันในทุกวัน ครบรอบ 93 ปี 24 มิถุนายน 2475”

สะท้อนแนวคิดว่าการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองต้องเริ่มจากการปฏิเสธอำนาจเผด็จการในชีวิตประจำวันของทุกคน

นักศึกษา ”นิติซ้าย“ จัดกิจกรรมนัดถ่ายรูปรณรงค์วันประชาชน

กลุ่มนิติซ้าย Law of Left กลุ่มนักศึกษาคณะนิติศาสตร์ มช. จัดกิจกรรมถ่ายรูปรณรงค์ ภายใต้แฮชแท็ก #วันประชาชน ตั้งแต่เวลา 14.30 น. หน้าคณะนิติศาสตร์ ก่อนเดินสายถ่ายภาพตามจุดต่างๆ ในมหาวิทยาลัย อาทิ อ่างตาด อมช. สนามกีฬา วงเวียนหน้ามอ และลานควายยิ้ม

โดยมีข้อความที่ผู้ร่วมกิจกรรมถือป้าย ได้แก่ “ไม่เอารัฐประหาร” “NO COUP NO WAR”
ประเทศนี้เป็นของราษฎร มิใช่ของกษัตริย์ตามที่เขาหลอกลวง”

2 งานใหญ่ใจกลางเมืองฉลอง “วันของประชาชน”

Hangpui Art Space และเครือข่ายจัดกิจกรรม 2 จุดหลักในตัวเมืองเชียงใหม่ ในเวลา 10.00 - 15.00 น. กิจกรรม “Long Live the People” ที่ลานตั้งนโม ข้างหอศิลป์ มช. ผู้ร่วมงานนำเสื้อหรือกระดาษมาสกรีนลายพิเศษสำหรับวันประชาชน ออกแบบโดยศิลปิน สะอาด และ ไกร ศรีดี พร้อมร่วมสร้าง “ธงประชาชน” ของตัวเอง บรรยากาศเป็นกันเองโดยมีเครือข่ายศิลป‘ไม่ (artn’t) ดูแลกิจกรรม

และตั้งแต่เวลา 16.00 - 19.00 น. งาน “It’s Not My Revolution” ที่ Museum of Broken Relationships Thailand ถนนท่าแพ โดยภายในงานมีการบรรยายพิเศษ “สะกดการเมืองไทยด้วยวรรณกรรมหลังยุคคณะราษฎร” โดย ณัฐพล ใจจริง พร้อมการอ่านบทกวีโดย ภัทร คะชะนา, ศิวะ วิธญ และ สิรศิลป์ ปังประเสริฐกุล ที่สะท้อนการต่อต้านอำนาจรัฐผ่านภาษาวรรณกรรม

นอกจากนี้ อนุสรณ์ ธัญญะปาลิต ยังนำเสนอศิลปะร่วมสมัย สร้างบทสนทนาอักษรเบรลล์จากแนวคิดเรื่องอภิวัฒน์และรัฐประหาร

ปิดท้าย “วันประชาชน” ที่คณะลาบ 2563

ร้านคณะลาบ 2563 จัดกิจกรรมในช่วงค่ำ โดยมี Performance Art ไหว้ผีบรรพบุรุษและกินของไหว้ร่วมกัน เพื่อรำลึกถึงผู้วายชนม์ที่ต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยตลอด 93 ปีที่ผ่านมา จากอำนาจเผด็จการ

#เปลี่ยนแปลงการปกครอง #คณะราษฎร #ปฏิวัติ2475 #Lanner #สื่อออนไลน์ภาคเหนือเพื่อคุณภาพชีวิตของทุกคน


ไม่มีประเทศไหนที่ทำรัฐประหารแล้วเจริญได้: มองข้อสรุปทางรัฐศาสตร์ กับอ.ประจักษ์ ก้องกีรติ



ไม่มีประเทศไหนที่ทำรัฐประหารแล้วเจริญได้: มองข้อสรุปทางรัฐศาสตร์ กับอ.ประจักษ์ ก้องกีรติ

3 February 2021
Karoonp. Chetpayark
The Matter

‘รัฐประหาร’ วิธีทางการเมืองของกองทัพทหารที่ยึดอำนาจ เข้ามาปกครองประเทศ ที่แม้ในทางรัฐศาสตร์ และการเมืองโลกจะถูกมองว่าล้าหลัง แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่เกิดขึ้น ซึ่งประวัติศาสตร์ไทยเอง เราก็คุ้นชินกับเหตุการณ์นี้ รวมไปถึง ล่าสุดในประเทศพม่า ที่เพิ่งมีการยึดอำนาจไปเมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา

แม้ว่ากองทัพพม่า จะอ้างว่ายึดอำนาจเพื่อปกป้องรัฐธรรมนูญ และปกป้องประชาธิปไตยจากการเลือกตั้งที่ไม่ชอบธรรม แต่จากงานวิจัยต่างๆ ก็มีให้เราเห็นแล้วว่า รัฐประหารไม่ใช่คำตอบ และไม่ใช่ทางออกที่ทำให้ประเทศก้าวหน้าสู่ประชาธิปไตย ซึ่ง ผศ.ดร.ประจักษ์ ก้องกีรติ อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์เอง ก็ยืนยันถึงจุดนี้ ใน 3 ประเด็น

อาจารย์ประจักษ์กล่าวกับเราว่า ข้อเท็จจริงทางรัฐศาสตร์ในศตวรรษที่ 21 ชี้ชัดว่าประการแรกว่า ‘ไม่มีประเทศไหนที่ทำรัฐประหารแล้วเจริญได้’ ด้วยความเปลี่ยนแปลงต่างๆ ทำให้การรัฐประหารกลายเป็นวิธีที่ล้าหลัง และไม่ได้รับการยอมรับจากทั่วโลกแล้ว

“ก่อนหน้านี้ ศตวรรษที่ 20 ในช่วงที่มีภัยในการสู้รบช่วงสงครามเย็น การทำรัฐประหารเป็นเรื่องปกติ หลายประเทศก็ใช้วิธีนี้ แต่พอศตวรรษที่ 21 มา แทบไม่มีประเทศไหนในโลกทำรัฐประหารกันแล้ว การทำรัฐประหารกลายเป็นสิ่งล้าหลังในโลกไปแล้ว ด้วยความเปลี่ยนแปลงหลายอย่าง ทั้งคุณค่าทางกฎหมายระหว่างประเทศ เศรษฐกิจ โลกาภิวัฒน์ที่ทำให้ ในศตวรรษนี้ ถ้าประเทศไหนยังทำรัฐประหาร ต้นทุนจะสูงมาก ทั้งที่จะโดนบอยคอตจากนานาชาติ โดนแทรกแซง โดนตัดความช่วยเหลือทางเศรษฐกิจ ภาพลักษณ์ที่มีต่อนักลงทุน ที่จะขาดความเชื่อมั่น

ถ้าไปดู ตั้งแต่ ค.ศ. 2000 เป็นต้นมา ประเทศที่ยังมีรัฐประหารอยู่ คือประเทศที่ล้าหลังทางการเมืองมากๆ บางประเทศคนไทยยังไม่เคยรู้จักชื่อด้วยซ้ำ ไม่ว่าจะเป็น บูร์กินาฟาร์โซ มาลี ซูดาน ขณะที่ประเทศอื่นๆ เขาไม่เลือกวิธีนี้กันแล้ว แม้แต่ประเทศที่เคยทำรัฐประหารบ่อยๆ ในลาตินอเมริกา อย่างบราซิล ชิลี อาร์เจนตินา หรือในอินโดนีเซีย และหลายประเทศ ดังนั้น ตอนนี้ถ้ายังทำรัฐประหารอยู่ ผลกระทบทางเศรษฐกิจจะเยอะ ประเทศก็จะยากที่จะเจริญก้าวหน้า เพราะเหมือนคุณตัดตัวเองออกจากความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ทั้งในเชิงการทูต ในทางเศรษฐกิจ และที่สำคัญนักลงทุนจะไม่เชื่อมั่น เพราะประเทศนี้ไม่มีกฎเกณฑ์

ในยุคที่ไม่มีใครทำรัฐประหาร ถ้าคุณยังทำ คุณก็ไม่สามารถให้ความไว้วางใจกับนักลงทุนได้ว่า ประเทศจะเดินหน้าต่อไปยังไง เขาก็จะถอนทุน และเกิดความหวั่นเกรง อย่างพม่าในครั้งนี้ ก็ไม่ง่ายเหมือนตอนที่เขารัฐประหารในอดีต บริษัทใหญ่หลายๆ บริษัทตอนนี้เริ่มประเมินสถานการณ์แล้วว่าจะย้ายทุนออก หรือจะหยุดผลิตชั่วคราวแล้ว” อาจารย์กล่าวในประเด็นแรก

นอกจากการรัฐประหาร ที่ทำให้รัฐบาลพลเรือนถูกยึดอำนาจแล้ว ยังเป็นการทำให้นายพล และทหารขึ้นสู่อำนาจโดยปริยาย ซึ่งประเด็นที่ 2 นี้ อาจารย์ประจักษ์ก็บอกว่างานวิจัยยังชี้ชัดเจนว่า ‘ไม่มีนายพลที่เข้าไปบริหารประเทศ แล้วประเทศพัฒนาขึ้น’

“ประเด็นนี้ เชื่อมโยงกับข้อที่ 1 ในโลกยุคปัจจุบัน ถ้าเราไปดู แทบจะไม่มีประเทศไหนที่นายพลเข้ามาบริหารประเทศ โดยเฉพาะนายพลที่บริหารประเทศผ่านการยึดอำนาจ เพราะทั่วโลกสรุปแล้วว่า ยุคปัจจุบัน ภัยความมั่นคงมันเปลี่ยนไป เวลาเราพูดถึง security มันไม่ใช่ความมั่นคงแห่งรัฐ (state security) เป็นหลักแล้ว เขาเน้นไปที่ความมั่นคงของมนุษย์ (human security) ปัจจุบันถ้าพูดถึงภัยความมั่นคง มันไม่ได้หมายถึงสงครามแล้ว สงครามสู้รบเกิดขึ้นน้อยลงมากในโลกนี้ แต่ภัยความมั่นคงจริงๆ มันคือโรคระบาด วิกฤตเศรษฐกิจ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ภัยธรรมชาติ ภาวะความอดอยาก ขาดแคลนทางอาหาร ทรัพยาการ การเข้าถึงน้ำ และอากาศที่สะอาด สิ่งเหล่านี้มันมาคุกคามชีวิตมนุษย์ในแต่ละรัฐ”

อาจารย์ชี้ว่า เมื่อความหมายของความมั่นคงเปลี่ยน ตัวผู้ที่จะรับมือเรื่องราวเหล่านี้ก็ต้องเปลี่ยนด้วย

“พอคอนเซ็ปต์เรื่องความมั่นคงเปลี่ยนไป ทหารไม่ใช่คนที่เก่งที่สุดในการรับมือเรื่องพวกนี้ ถามว่าทหารสู้กับเชื้อโรคได้ไหม ? หรือทหารไม่ใช่คนที่เก่งที่สุดที่รับมือกับเรื่องอากาศ ดังนั้นยุคปัจจุบันเราต้องการคนที่มีความรู้เท่าทันมาบริหารเรื่องเหล่านี้”

จะเป็นนักบริหาร นักวิทยาศาสตร์ นักเศรษฐศาสตร์ หรือพลเรือนที่สามารถมารับมือกับภัยคุกคาม ความมั่นคงที่ซับซ้อนมากขึ้น ก็เลยไม่มีใครเอานายพลมาบริหาร”

มันไม่เหมือนในยุคสงครามเย็น ที่ภัยความมั่นคงคือจะโดนบุก โดนยึดครอง ปัจจุบันไม่มีแล้ว ยกเว้นถ้าทหารคนไหนมีความทะเยอทะยาน อยากขึ้นสู่อำนาจ ก็ต้องไปลงสมัครรับเลือกตั้ง หรือตั้งพรรค แต่รูปแบบการยึดอำนาจ ปกครองตนเอง และตั้งเพื่อนฝูงนายพลมาปกครอง มันไม่มีใครเขาทำ ก็อาจจะเหลือ พม่า ไทย และอียิปต์เท่านั้น” อาจารย์ยกตัวอย่าง



สำหรับประเด็นที่ 3 ไม่เพียงแค่เรื่องของการบริหาร และพัฒนา แต่อาจารย์ประจักษ์ยังชี้ข้อเท็จจริงอีกหนึ่งข้อว่า การรัฐประหาร ซึ่งถือเป็นการแทรกแซงทางการเมือง ที่ทำให้ ‘ประเทศเกิดความแตกแยกมากกว่าความสมานฉันท์’

“ถ้าเราไปดู มีงานศึกษาวิจัยว่า การรัฐประหารในปัจจุบัน มันทำได้ยาก เพราะไม่ได้รับความชอบธรรม ดังนั้นถ้าจะทำ คณะรัฐประหารจะใช้เหตุผลหลัก คือสังคมมีความแตกแยก และประชาธิปไตยมีความถดถอย กองทัพจึงจะเข้ามาทำให้สังคมสงบสุข และฟื้นฟูประชาธิปไตย ทุกประเทศที่ผมกล่าวถึงทำอย่างนี้หมด

ปกติคณะรัฐประหารมักจะมีข้ออ้างสองข้อ คือรัฐบาลพลเรือนคอร์รัปชั่น หรือไม่ก็โกงการเลือกตั้ง มีประชาธิปไตยที่สกปรก ข้ออ้างแบบนี้ก็ปรากฏขึ้นในประเทศอื่นๆ ไม่ใช่แค่ไทย ครั้งนี้เราก็เห็นว่า พม่าก็อ้างเรื่องโกงการเลือกตั้ง การเลือกตั้งไม่ยุติธรรม ต้องหาข้ออ้างที่ดูชอบธรรมหน่อยว่า เราไม่ได้รัฐประหารเพื่อตัวเอง เพื่อบ้านเมือง และเพื่อประชาธิปไตยด้วยซ้ำ

แต่ผลที่เกิดขึ้นจากปรากฎนักวิชาการก็ไปศึกษา และมีงานวิจัยที่ชี้ว่าระดับความเป็นประชาธิปไตยของแต่ละประเทศ หลังการเกิดรัฐประหารยิ่งถดถอยลงไปเรื่อยๆ ไม่ได้ฟื้นฟูประชาธิปไตย แต่ทำให้ความเป็นเผด็จการดิ่งลึกลงไปเรื่อยๆ สิทธิเสรีภาพคนก็หายไป สิทธิเสรีภาพสื่อยิ่งหายไปกว่าเดิม ในเรื่องความแตกแยก ไม่มีประเทศไหนที่ทำรัฐประหารแล้ว สงบสุขขึ้นกว่าเดิม บางประเทศบานปลายเป็นสงครามการเมือง เพราะว่ามันไม่สามารถทำให้คนยอมรับร่วมกันได้ ว่าอำนาจของคุณมีความชอบธรรม เมื่อคุณทำรัฐประหาร ฝ่ายที่สูญเสียอำนาจไป หรือฝ่ายที่เขาสนับสนุนรัฐบาลของเขา เขาไม่มีทางที่จะยอมรับการปกครองของคุณ อย่างเช่นตอนนี้ที่เราก็เริ่มเห็นคนพม่าออกมา อารยะขัดขืน บอยคอตแล้ว”

นอกจากสามประเด็นที่สะท้อนจากการทำรัฐประหาร เหตุการณ์ในพม่าครั้งนี้ มักทำให้คนพูดถึงประชาคมอาเซียน และความเป็นเพื่อนบ้านของประเทศในภูมิภาคนี้ ว่ามีความเหมือนกัน ทั้งในเรื่องของอำนาจกองทัพ ความเป็นเผด็จการ ซึ่งอาจารย์ประจักษ์ก็มองว่า เพราะภูมิภาคนี้ยังมีประชาธิปไตยที่ไม่เข้มแข็ง และการไม่แทรกแซงกันของอาเซียน ยิ่งทำให้เกิดรัฐประหารง่ายขึ้นด้วย

“อาเซียนเรามีประวัติที่ไม่ดี หลายประเทศก็เคยเป็นแชมป์เปี้ยนรัฐประหารมาก่อน อินโดนีเซียก็ถูกปกครองโดยเผด็จการทหารยาวนาน กัมพูชา ไทย พม่าก็มีการทำรัฐประหารมาเยอะ เรียกได้ว่าเป็นภูมิภาคที่ประชาธิปไตยมันยังไม่ตั้งมั่นเท่าไหร่ แต่ละประเทศก็จะมีนโยบายไม่ยุ่งกันเอง เขาใช้คำหรูๆ ว่าเราจะสัมพันธ์กันอย่างสร้างสรรค์ของประเทศเพื่อนบ้าน แต่จริงๆ หลักการนี้มันตั้งขึ้นมาเพราะเขารู้ว่า แต่ละประเทศมีแผล ฉะนั้นอย่าวิพากษ์วิจารณ์กันเองเยอะ เพราะถ้าเราไปวิจารณ์เขาเดี๋ยวก็โดนกลับ

พูดง่ายๆ พลเอกประยุทธ์จะกล้าไปวิพากษ์วิจารณ์การรัฐประหารในพม่าได้อย่างไร เพราะพูดไปมันเข้าตัวเอง สมมติแกไปบอกว่า การรัฐประหารนี้ไม่ชอบธรรม ไปล้มรัฐบาลพลเรือนที่มาจากการเลือกตั้งได้ยังไร ผู้นำก็เป็นผู้หญิงด้วย เขาพูดไม่ได้ มันเข้าตัวเองทั้งสิ้น ซึ่งก็คือสิ่งที่พลเอกประยุทธ์ทำตอนการรัฐประหารปี 2557 ดังนั้น เวลาเกิดการรัฐประหารขึ้น อาเซียนก็จะไม่ค่อยเกิดการวิพากษ์วิจารณ์ หรือบอยคอตกัน มันก็น่าเศร้า เพราะเป็นภูมิภาคที่ประชาธิปไตย และสิทธิมนุษยชนไม่ตั้งมั่น ดังนั้นเวลาเกิดเหตุละเมิดสิทธิมนุษยชน ประเทศเพื่อนบ้านก็จะเงียบ เพราะประเทศตัวเองก็ละเมิดเหมือนกัน

ฉะนั้นพอเป็นแบบนี้มันยิ่งไปเพิ่มความเสี่ยง ให้เกิดการรัฐประหารได้ เพราะสมมติคุณเป็นนายพลในพม่า คุณรู้ว่าถ้าคุณทำรัฐประหาร อย่างน้อยในประเทศเพื่อนบ้านก็จะไม่มีใครมาเอาเรื่อง ไม่โดนบอยคอต เหมือนไทยตอนปี 49 และ 57 เพื่อนบ้านก็ไม่มีใครมาว่าเรา

ดังนั้นก็อย่าประมาท ก็ต้องมีบทเรียนจากพม่า คือไม่ใช่ว่าของไทยเราไม่มีความเสี่ยงในการเกิดรัฐประหารเช่นกัน มันก็ยังมีความเสี่ยงอยู่ เพราะว่าถ้าเราดูพม่า จริงๆ ทหารก็มีอำนาจเยอะอยู่แล้ว และก็เอาอำนาจไปฝังในรัฐธรรมนูญอยู่แล้ว แบบเดียวกับไทย แต่พอถึงจุดนึงที่เขารู้สึกว่า สั่นคลอนแล้ว จะโดนปฏิรูป โดนปรับเปลี่ยน เขาก็ต้องตัดสินใจกระชับอำนาจผ่านการรัฐประหาร มันเหมือนเป็นเครื่องมือที่เขาคุ้นเคยที่สุด มันเป็นสกิลที่เขามี และอยู่ใน DNA ของเขา ซึ่ง DNA นี้อยู่ในทหารไทยเช่นกัน”



โดยสำหรับสถานการณ์การเมืองในพม่าครั้งนี้ อ.ประจักษ์ ยังได้แนะนำหนังสือ 2 เล่ม คือ ‘เมียนมา การเมืองการปกครองระยะเปลี่ยนผ่าน’ โดย อ.ดุลยภาค ปรีชารัชช และ ‘ผ่าพม่า เปิดประวัติศาสตร์ปกปิด’ โดย ตั้น เมี่ยน-อู ซึ่งเล่มแรกนั้น อาจารย์แนะนำว่า เป็นหนังสือในเชิงตำรารัฐศาสตร์ เรียนรู้โครงสร้าง และเข้าใจภาพการเมืองของพม่า ขณะที่เล่มผ่าพม่านั้น เป็นเล่มที่เล่าประวัติศาสตร์ของพม่า จากอดีตตั้งแต่มนุษย์ยุคใหม่ ถึงปัจจุบันมา ซึ่งผู้เขียนเองก็เป็นชนชั้นนำ ที่ทำให้ในช่วงที่หนังสือเปิดตัว ได้สร้างความฮือฮาในสังคมพม่าด้วย

photo by. Asadawut Boonlitsak


https://thematter.co/social/coup-in-pol-sci-with-aj-prajak/134759


Donald Trump’s shot at winning the Nobel Peace prize is gone. A senior Ukrainian lawmaker who nominated U.S. President Donald Trump for a Nobel Peace Prize has withdrawn it


stephff cartoonist
@stephffart
No comment...







A senior Ukrainian lawmaker who nominated U.S. President Donald Trump for a Nobel Peace Prize has withdrawn it, as peace talks between Kyiv and Moscow slip under the radar and the president keeps his sights fixed on the Middle East.

Oleksandr Merezhko, the head of Ukraine's parliamentary foreign committee, told Newsweek on Tuesday he had "lost any sort of faith and belief" in Trump and his ability to secure a ceasefire between Moscow and Kyiv.

Merezhko originally nominated Trump for the prize in November, but said he submitted his nomination withdrawal on Monday morning.
...

https://www.msn.com/en-us/news/world/donald-trump-nobel-peace-prize-nomination-withdrawn/ar-AA1HjxG1

https://x.com/CalltoActivism/status/1937515268281880884



รำลึก "24 มิถุนายน 2475" เมื่อการต่อสู้เพื่อเปลี่ยนแปลงประเทศยังสืบเนื่องมาถึงปัจจุบัน ฟังทรรศนะของเกษียร เตชะพีระ, ธงชัย วินิจจะกูล, ณัฐพล ใจจริง และพิธา ลิ้มเจริญรัตน์


รำลึก "24 มิถุนายน 2475" เมื่อการต่อสู้เพื่อเปลี่ยนแปลงประเทศยังสืบเนื่องมาถึงปัจจุบัน

ขรรค์ชัย-สุจิตต์ ทอดน่องท่องเที่ยว

รำลึก "24 มิถุนายน 2475" เมื่อการต่อสู้เพื่อเปลี่ยนแปลงประเทศยังสืบเนื่องมาถึงปัจจุบัน ฟังทรรศนะของเกษียร เตชะพีระ, ธงชัย วินิจจะกูล, ณัฐพล ใจจริง และพิธา ลิ้มเจริญรัตน์

https://www.youtube.com/watch?v=rIOeLiIquhk




https://www.youtube.com/watch?v=rIOeLiIquhk


24 มิถุนา เคยเป็นวันชาติ 21 ปี แต่ปีนี้ผ่านไปอย่างเงียบๆ ชวนย้อนดูบรรยากาศวันชาติครั้งแรก “24 มิถุนายน 2482” การเฉลิมฉลองเพื่อประชาชนทุกชั้น มีกิจกรรมมากมายตั้งแต่เช้าจรดค่ำ!


ย้อนดูบรรยากาศวันชาติครั้งแรก “24 มิถุนายน 2482” การเฉลิมฉลองเพื่อประชาชนทุกชั้น!

ธงชัย อัชฌายกชาติ
10 มิถุนายน พ.ศ.2567
ศิลปวัฒนธรรม

รู้หรือไม่? เมื่อ 80 กว่าปีก่อน “วันชาติ” ของเรานั้นตรงกับวันที่ 24 มิถุนายน และมีการฉลองอย่างยิ่งใหญ่ ทั้งกิจกรรมมากมายตั้งแต่เช้าจรดค่ำ ว่าแต่จะมีอะไรบ้าง วันนี้เราจะพาทุกคนมาตะลุยเพื่อซึบซับบรรยากาศในวันวานกัน!

ในวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2482 เป็นครั้งแรกที่ประเทศไทยจัดงานเฉลิมฉลองวันชาติ หลังจากที่คณะรัฐมนตรีลงมติเมื่อวันที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2481 กำหนดให้วันที่คณะราษฎรทำการเปลี่ยนแปลงการปกครองถือเป็นวันชาติ

วันชาติปีแรกเต็มไปด้วยความสนุกสนานคึกครื้น ราษฎรทั้งจากพระนคร ธนบุรี และต่างจังหวัด มุ่งหน้าเข้ามาร่วมงานวันชาติอย่างคึกคัก รัฐบาลยังให้ความสำคัญกับวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2482 ด้วยการประกาศเปลี่ยนชื่อประเทศจาก “สยาม” เป็น “ไทย” ในวันนี้ จึงทำให้ในปีเดียวกันมีการจัดประกวดเนื้อร้องเพลงชาติใหม่ ซึ่งยังคงทำนองเดิม


ประชาชนร่วมงานฉลองวันชาติ 2482 (ภาพจาก ไทยในปัจจุบัน ที่ระลึกงานฉลองวันชาติ 2483, เอื้อเฟื้อภาพโดย นริศ จรัสจรรยาวงศ์)

โดยการประกวดแต่งคำร้องเพลงชาติใหม่นี้มีผู้เข้าร่วมมากถึง 614 คน และผู้ชนะประกวดคือ หลวงสารานุพันธ์ (นวล ปาจิณพยัคฆ์) ที่ส่งในนามกองทัพบก และภายหลังการบรรเลงขับร้องในวันที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2482 คณะรัฐมนตรีก็ลงมติให้ใช้เป็น เพลงชาติไทย มาจนถึงปัจจุบัน


ขบวนแห่ของสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม ในงานฉลองวันชาติ 2482 (ภาพจาก ไทยในปัจจุบัน ที่ระลึกงานฉลองวันชาติ 2483, เอื้อเฟื้อภาพโดย นริศ จรัสจรรยาวงศ์)

นอกจากนี้ วันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2482 ก็นับเป็นวันร่วมเฉลิมฉลองสนธิสัญญาใหม่ ที่คณะราษฎรสามารถต่อรองเจรจากับเหล่าประเทศอำนาจจนสามารถแก้ไขให้เป็นธรรมได้สำเร็จ และถือเป็น 1 ในหลัก 6 ประการที่คณะราษฎรใช้เป็นหมุดหมายในการพัฒนาบ้านเมือง นั่นก็คือหลัก “เอกราช” นั่นเอง


ขบวนแห่ของกองทัพอากาศในงานฉลองวันชาติ 2482 (ภาพจาก ไทยในปัจจุบัน ที่ระลึกงานฉลองวันชาติ 2483, เอื้อเฟื้อภาพโดย นริศ จรัสจรรยาวงศ์)

แม้งานจะเริ่มตั้งแต่ตี 5 ถึงเที่ยงคืนของวันที่ 24 แต่หนังสือพิมพ์ประชาชาติก็มีรายงานว่า

“มีคนจำนวนมากที่ออกเที่ยวเตร่เอาฤกษ์กันตั้งแต่วันงาน 2 วัน มีทั้งหนุ่มสาว และผู้เฒ่าผู้แก่พาหลานออกไปเดินดูไฟและธงทิวที่ตกแต่งประดับตามอาคารพุ่มพฤกษ์ในย่านงาน ถนนราชดำเนิน อย่างสราญใจ ไม่ผิดอะไรกับวันงานจริงๆ”


ขบวนทหารบกสวนสนามในงานฉลองวันชาติ 2482 (ภาพจาก ไทยในปัจจุบัน ที่ระลึกงานฉลองวันชาติ 2483, เอื้อเฟื้อภาพโดย นริศ จรัสจรรยาวงศ์)

ภายในงานมีทั้งตลาดนัดทั้งฝั่งธนบุรี และฝั่งพระนคร ซึ่งผู้คนจำนวนมากออกมาเที่ยวชมตั้งแต่เช้าตรู่ มีการเดินขบวนสวนสนาม ประกวดเพลงปลุกใจ ประกวดเรียงความวันชาติ และหนังสือพิมพ์ประชาชาติยังได้ตีพิมพ์หนังสือที่ระลึกซึ่งปรากฏคติพจน์ของรัฐบุรุษคณะราษฎรบางคน และสุนทรพจน์ฉบับเต็มของนายกรัฐมนตรี (ขณะนั้นคือหลวงพิบูลสงคราม) ที่ได้กล่าวในค่ำของงานฉลองวันชาติ


ขบวนยุวชนสวนสนามในงานฉลองวันชาติ (ภาพจาก ไทยในปัจจุบัน ที่ระลึกงานฉลองวันชาติ 2483, เอื้อเฟื้อภาพโดย นริศ จรัสจรรยาวงศ์)

รัฐบาลเองก็ตีพิมพ์หนังสือที่ระลึกวันชาติอย่างหรูหราด้วยกระดาษอาร์ตมันปกแข็งหุ้มด้วยผ้ากระสอบป่าน ซึ่งมีเนื้อหาแสดงผลงานที่ผ่านมาของรัฐบาล พร้อมภาพประกอบ ตัวเลขสถิติต่าง ๆ รวมไปถึงความรู้เรื่องการตกลงข้อสนธิสัญญาใหม่


ขบวนรถถังสวนสนามในงานฉลองวันชาติ 2482 (ภาพจาก ไทยในปัจจุบัน ที่ระลึกงานฉลองวันชาติ 2483, เอื้อเฟื้อภาพโดย นริศ จรัสจรรยาวงศ์)

อีกหนึ่งไฮไลต์ของงาน “วันชาติ” คงหนีไม่พ้น “พิธีลงหลักศิลาฤกษ์สำหรับอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย” ที่ทำให้ผู้คนเดินตลาดนัดตั้งแต่เช้า ถึงกับต้องหยุดเพื่อมามุงดูพิธีก่อฤกษ์นี้ ซึ่งในวันชาติปี 2483 คนไทยก็ได้เข้าร่วมพิธีเปิดและเฉลิมฉลองอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยที่เสร็จสมบูรณ์


จอมพล ป. พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรี (ซ้ายบน) ทำพิธีวางศิลาฤกษ์อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2482 (ภาพจาก ไทยในปัจจุบัน ที่ระลึกงานฉลองวันชาติ 2483, เอื้อเฟื้อภาพโดย นริศ จรัสจรรยาวงศ์)


พิธีวางศิลาฤกษ์อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2482 (ภาพจาก ไทยในปัจจุบัน ที่ระลึกงานฉลองวันชาติ 2483, เอื้อเฟื้อภาพโดย นริศ จรัสจรรยาวงศ์)

ความสนุกสนานของ “วันชาติ” ในอดีตยังไม่หมดเพียงเท่านี้ แต่ยังมีการแสดงไฟสวยงาม ธงทิวที่ปลิวไสวประดับประดาไปทั่วอาคาร ถนนราชดำเนิน รวมถึงมีการสวนสนามจากกองทหาร เรียกได้ว่างานนี้เป็นช่วงเวลาแห่งความรื่นเริง ชื่นบาน หรรษาของประชาชนทุกชนชั้นจริง ๆ

https://www.silpa-mag.com/history/article_111747
.....




ฝ่ายผู้สนับสนุน “เชียร์เจ้า” อ้าง "ร.7 เตรียมพระราชทานประชาธิปไตยอยู่แล้ว" แต่ข้อเท็จจริงคือ อำนาจทั้งหมดยังเป็นของกษัตริย์ ไม่ใช่ของประชาชนเลย


อุเชนทร์ เชียงเสน
June 25, 2023
·
นี่คือเค้าโครงร่างรัฐธรรมนูญ ร.7 หรือที่เรียกกันว่า ร่างฉบับพระยากัลยาณไมตรี ต้นฉบับภาษาอังกฤษ ที่ฝ่ายผู้สนับสนุน “เชียร์เจ้า” อ้างว่า ร.7 ตั้งใจหรือเตรียมพระราชทานประชาธิปไตยให้คนไทยอยู่แล้ว แต่คณะราษฎร ชิงสุกก่อนห่าม เสียก่อน
ดูจากร่างนี้ อำนาจทั้งหมดยังเป็นของกษัตริย์ ไม่ใช่ของประชาชนเลย









ร่างรัฐธรรมนูญฉบับพระยากัลยาณไมตรี (ฉบับแปลโดยวิษณุ เครืองาม)

มาตรา 1
อำนาจอธิปไตยเป็นของพระมหากษัตริย์

มาตรา 2
พระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีนายหนึ่งซึ่งรับผิดชอบ ต่อพระองค์ในการบริหารราชการแผ่นดินทั้งปวง และให้นายกรัฐมนตรีอยู่ในตำแหน่งตามพระราชอัธยาศัย

มาตรา 3
ให้นายกรัฐมนตรีเป็นผู้รับผิดชอบในการแต่งตั้งและถอดถอนรัฐมนตรีทั้งหลาย ซึ่งเป็นเจ้ากระทรวงต่าง ๆ โดยนายกรัฐมนตรีเป็นผู้รับผิดชอบต่อพระมหากษัตริย์ในกิจการทั้งปวงของแต่ละกระทรวง และจะต้องรับผิดชอบในการปฏิบัติภารกิจตามนโยบายทั่วไปของรัฐบาล ดังที่มีพระบรมราชโองการ และรับผิดชอบในการประสานงานระหว่างกระทรวงต่าง ๆ เพื่อให้บรรลุนโยบายดังกล่าว

มาตรา 4
ให้รัฐมนตรีแต่ละนายรับผิดชอบโดยตรงต่อนายกรัฐมนตรี สำหรับงานในกระทรวงของตน และให้ร่วมปฏิบัติภาคกิจตามนโยบายทั่วไปของรัฐบาลตามคำบัญชาของนายกรัฐมนตรี

มาตรา 5
ให้มีการประชุมคณะรัฐมนตรี โดยมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน โดยให้คณะรัฐมนตรีประกอบด้วยรัฐมนตรีทุกนาย คณะรัฐมนตรีอาจอภิปรายปัญหาสำคัญอันเป็นประโยชน์ได้เสียร่วมกันได้แต่ให้ นายกรัฐมนตรีเป็นผู้รับผิดชอบในการลงมติทั้งปวง

มาตรา 6
ให้นายกรัฐมนตรีกราบบังคมทูลพระมหากษัตริย์เพื่อขอรับพระบรมราชวินิจฉัย ในปัญหาทั้งปวงอันเกี่ยวด้วยนโยบายทั่วไป และไม่ว่ากรณีจะเป็นประการใดก็ตาม นายกรัฐมนตรีต้องปฏิบัติตามพระบรมราชโองการ

มาตรา 7
พระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้งมนตรี 5 นาย ประกอบกันเป็น อภิรัฐมนตรีสภา ให้นายกรัฐมนตรีเป็นสมาชิกอภิรัฐมนตรีสภาโดยตำแหน่ง แต่ห้ามรัฐมนตรีนายอื่นดำรงตำแหน่งสมาชิกด้วย อภิรัฐมนตรีไม่มีอำนาจทางบริหาร ไม่ว่าในกรณีใดๆ ก็ตาม อำนาจหน้าที่ของอภิรัฐมนตรีสภามีเพียงถวายความคิดเห็นแด่พระมหากษัตริย์ ในปัญหาเกี่ยวด้วยนโยบายทั่วไป หรือปัญหาอื่นใดอันมิใช่รายละเอียดเกี่ยวกับงานบริหารราชการแผ่นดินของรัฐบาลเท่านั้น อภิรัฐมนตรีสภาไม่มีอำนาจเสนอแนะให้แต่งตั้งใครดำรงตำแหน่งใดตลอดจนเสนอแนะรายละเอียดเกี่ยวกับการปกครอง อย่างไรก็ตาม อภิรัฐมนตรีสภามีอำนาจเปลี่ยนแปลงผู้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี หรือรัฐมนตรี

มาตรา 8
พระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้งและถอดถอนสมาชิกองคมนตรีสภาตามพระราชอัธยาศัย

มาตรา 9
ภายในระยะเวลา 3 วันนับแต่วันเสวยราชสมบัติ พระมหากษัตริย์จะทรงเลือกบุคคลหนึ่ง เป็นทายาทด้วยคำแนะนำและยินยอมขององค์มนตรีสภา บุคคลผู้จะเป็นรัชทายาทได้นั้น จะต้องเป็นโอรสของพระมหากษัตริย์และสมเด็จพระบรมราชินี หรือเป็นบุคคลอื่นซึ่งอยู่ในราชตระกูล แต่ทั้งนี้ไม่จำต้องอยู่ในลำดับฐานะมีพระอิสริยยศสูง หรือมีอาวุโสสูง การกำหนดบุคคลใดให้เป็นรัชทายาทย่อมไม่อาจเพิกถอนได้ แต่อาจถูกทบทวนใหม่ได้ในเวลาสิ้นสุดของทุกกำหนด 5 ปี โดยพระมหากษัตริย์ด้วยคำแนะนำและยินยอมขององคมนตรีสภา หากพระมหากษัตริย์สวรรคตก่อนมีการเลือกรัชทายาท ให้องคมนตรีสภาเลือกบุคคลหนึ่งขึ้นเป็นรัชทายาททันทีหลังจากที่พระมหากษัตริย์สวรรคต ไม่ว่ากรณีจะเป็นประการใดก็ตาม สามในสี่ของสมาชิกองคมนตรีสภา ซึ่งอยู่ในราชอาณาจักร ย่อมประกอบกันเป็นองค์ประชุมกำหนดตัวรัชทายาท

มาตรา 10
ภายใต้บังคับแห่งพระราชอำนาจสูงสุด ศาลฎีกาและศาลอื่นใดทั้งหลายซึ่งพระมหากษัตริย์ทรงตั้งขึ้นเป็นคราว ๆ เป็นผู้ใช้อำนาจตุลาการ

มาตรา 11
อำนาจสูงสุดทางนิติบัญญัติเป็นของพระมหากษัตริย์

มาตรา 12
การแก้ไขเปลี่ยนแปลงรัฐธรรมนูญนี้กระทำได้โดย พระมหากษัตริย์ประกอบด้วยคำแนะนำและยินยอมจากสามในสี่ของสมาชิกองคมนตรีสภา

ที่มา ประชาไท
https://prachatai.com/journal/2017/04/71108


วันอังคาร, มิถุนายน 24, 2568

ครม.อุ๊งอิ๊ง ๑.๒ จวนคลอด แก่นของโผคงเดิมไม่แกว่ง รอ น.ส.แพทองธารจิ้มอีกที จะเอาช่อไหน ดอกไหน แน่ๆ มีลูก ‘เจ๊แดง’ กลับมาเป็นแกนร่วม

ครม.อุ๊งอิ๊ง ๑.๒ จวนคลอดแล้ว หลังจากที่มีโผทำนายทายทักมากมาย แม้หลายตำแหน่งดูเหมือนยังไม่นิ่ง ก็ใช่ว่าจะขึ้นอยู่กับการตัดสินใจสุดท้ายของ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร คนเดียวอย่างที่ภูมิธรรม เวชยชัย พยายามแก้เกี้ยว

นัยว่ายังมีแรงแกว่งอยู่ไม่น้อย แต่ตำแหน่งของตัวเขาเองที่โยกจากกลาโหมไปมหาดไทย ก็แช่แป้งมาแต่แรกเกิดวิกฤตคลิป ฮุน เซน โน่นแล้วว่าต้องให้ทหารคุมกลาโหม แต่จะเป็น รมช.กลาโหม พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ ขยับขึ้นมาหรือไม่

ในเมื่อมีแคนดิเดทใหม่อีกคน ที่ร่วมหัวจมท้ายสายการเมืองมากับพรรคเพื่อไทยในการชิงชัยเลือกตั้งนายก อบจ.ลพบุรี ก็เข้าทีดีอยู่ แถม พล.อ.สุนัย ประภูชะเนย์ ยังเป็นเตรียมทหารร่วมรุ่น ๒๑ มากับ ทวี สอดส่อง  รมว.ยุติธรรม คนปัจจุบัน

ส่วนการคุมมหาดไทยซึ่งเพื่อไทยอยากได้นักหนา ชั่งน้ำหนักดูแล้วระหว่าง ประเสริฐ จันทรรวงทอง กับภูมิธรรม พรี่ อ้วน สหายเก่าน่าจะลงร่องดีกว่า ซ้ำเอา เสริมศักดิ์ พงษ์พานิช ลูกหม้อ มท.กลับมาช่วยดูแลให้กระชับเข้าไปอีก นายใหญ่ไม่ต้องมีกังวล

ตำแหน่งอื่นๆ ที่ดูจะอื้ออึงสักหน่อยเกี่ยวกับพรรคร่วมฯ อย่างรวมไทยสร้างชาติ ที่แยกเป็นสองปีก ๑๘ กับ ๑๘ มีเสียงฮือฮากันอยู่แป๊บ ว่าหัวหน้า พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค อยากได้ตำแหน่งนายกฯ เสียเอง ก็ลงเอยได้ด้วยดี ลงท้ายได้ ๒ รมว.

ทำให้อีกกลุ่ม ๑๘ ของ สุชาติ ชมกลิ่น หน้าตึงไป ทั้งที่เกาะติดกับนายกฯ อุ๊งอิ๊ง มาตลอด กลับได้แค่ ๑ รมว.และ ๑ รมช. เช่นกันกับพรรคประชาธิปัตย์ ที่คณะกรรมการตัดสินเข้าร่วมรัฐบาลต่อทำให้เลือดไหลไม่หยุด ก็ได้บำเหน็ดเพิ่มตำแหน่ง รมช.อีกหนึ่ง

นอกจากปัญหากลุ่ม ส.ส.อีสานพากันโวยเรื่องตำแหน่ง รมช.ที่จะให้กับ อนุดิษฐ์ นาครทัพ อ้างว่าเพิ่งเข้ามาอยู่กับเพื่อไทยได้ไม่กี่เดือน คว้าตำแหน่งรัฐมนตรีไปครองแล้ว ลูกหม้อของพรรคหลายคนรอตำแหน่งรัฐมนตรีอยู่ เกิดอาการเสี้ยนแทงใจกันหลายคน

ล่าสุด เป็นกรณีพิเศษสำหรับการปรับ ครม.ครั้งนี้ มีการนำลูกชาย เจ๊แดงยศชนัน วงศ์สวัสดิ์ กลับเข้าวงใน ซึ่ง อิศรานิวส์ บ่งว่า มั่นหมายให้เป็นหนึ่งในหัวเรือ รุ่นใหม่ ของพรรคเพื่อไทยสืบทอดไป เพราะเป็นหัวแก้วหัวแหวนของ เยาวภา วงศ์สวัสดิ์

นัยว่าแรกเริ่มเดิมทีก่อนมีเลือกตั้ง ๒๕๖๖ ก็ ยศชนัน นี้แหละ “เคยถูกวางตัวให้นำทัพพรรคเพื่อไทยมาแล้ว” ก่อนที่สถานการณ์การเมืองทำให้ ทักษิณ ชินวัตร ต้องแตกแบ๊งค์พัน แล้วก็ตัดสินใจให้ลูกสาวคนเล็กเข้ามาแทน เพราะอายุเกิน ๓๕ ปี

จากภูมิหลังของยศชนันอยู่ในแวดวงวิชาการ เคยเป็นอาจารย์ภาควิชา Biomedical Engineer ที่มหาวิทยาลัยมหิดล ก็เลยจะได้ว่าการกระทรวงศึกษาฯ รอจังหวะและเวลาที่จะต้องปลดระวางแพทองธารเมื่อไร ก็เมื่อนั้น

(https://www.isranews.org/article/isranews/139089-invesnews-58.html)