วันพฤหัสบดี, พฤศจิกายน 21, 2567

ก.พลังงานสร้างได้เอง อุปกรณ์ ‘โซลาร์รู้ฟท้อป’ ปีหน้าออกขายประชาชนราคาถูก แต่ว่าโครงการรับซื้อ ‘โซลาร์ประชาชน’ เท่าจิ๋มแมวแค่ 90 MW ‘โซลาร์ฟาร์ม’ ได้มากกว่าหลายพันเท่า

นี่น่าจะอ้างเป็นผลงาน เอามาคุยได้ กระทรวงพลังงานในกำกับ พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค หัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ พรรคที่ ทักษิณ บอกว่าไม่ใช่พวกรัฐประหารเพราะหัวเดิมไม่อยู่แล้ว สามารถผลิตอุปกรณ์โซลาร์ เตรียมออกขายราคาถูก

ทั่น รมว.ไปตรวจราชการศูนย์ทดสอบผลิตภัณฑ์ไฟฟ้าและอีเล็คทรอนิคส์ บอก ถึงแม้กระทรวงพลังงานจะพยายามตรึงค่าไฟไว้ที่ระดับ ๔.๑๘ บาท โดยไม่ได้ขยับขึ้นมาตลอด แต่เข้าใจว่าปัญหาค่าไฟก็ยังเป็นภาระของพี่น้องประชาชนอยู่”

ดังนั้นจึงต้องผลักดันให้ชาวบ้านใช้พลังงานแสงอาทิตย์ ผ่านแผ่นโซลาร์บนหลังคากันมากๆ หน้าที่สำคัญของกระทรวงนอกจากปรับปรุงกฎหมายให้เอื้อต่อการหันมาใช้พลังงานแสงอาทิตย์ แล้วก็เป็นการจัดหาอุปกรณ์ผลิตให้แก่ประชาชนในราคาถูก

บัดนี้กระทรวงพลังงานได้ผลิตต้นแบบของเครื่องอินเวอร์เตอร์ (Inverter) ซึ่งเป็นอุปกรณ์หลักของการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ได้สำเร็จแล้ว ปีหน้าจะนำออกขายแก่ประชาชนในราคาถูก อุปกรณ์ดังกล่าวมาจากการคิดค้นของ ครูน้อยนายทวีชัย ไกรดวง

ตั้งแต่ปี ๖๕ เป็นต้นมา “ถ้าประชาชนติดโซลาร์เซลล์บนหลังคาบ้านตัวเอง (Solar Rooftop) นอกจากจะช่วยลดค่าไฟและช่วยลดสภาวะโลกร้อนแล้ว ยังสามารถขายไฟคืนให้รัฐได้” เรียกโครงการนี้ว่า โซลาร์ประชาชนทำให้มีคนเข้าร่วมโครงการกันมาก

แต่รัฐบาลที่ผ่านมา อนุมัติปริมาณรับซื้อไฟฟ้าจากหลังคาประชาชนเพียงแค่ 90 MW จึงมีคนร่วมโครงการเต็มพิกัดตั้งแต่เดือนกันยายน ๒๕๖๗ รัฐบาลแทนที่จะขยายโครงการรับซื้อไฟฟ้าจากโซลาร์มากขึ้น กลับไปขยายการรับซื้อเพิ่มจากนายทุนแทน

เดือนกันยานี้เอง รัฐบาลแพทองธาร ประกาศรับซื้อพลังงานไฟฟ้าแสงอาทิตย์จาก โซลาร์ฟาร์ม เพิ่มขึ้นถึง 2,600 MW อันเป็นส่วนหนึ่งในโครงการรับซื้อไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน 3,600 MW ว่าที่จริงความลำเอียงมีมาตั้งแต่ปี ๖๕ โน่นแล้ว

ในปี ๖๕ มีโครงการรับซื้อพลังงานหมุนเวียน 5,200 MW ที่รับซื้อเพิ่มจากโซลาร์ฟาร์มของนายทุนไปแล้ว 3,400 MW และการรับซื้อแบบนี้ไม่โปร่งใส ไม่มีการประมูล ไม่ประกาศหลักเกณฑ์คำนวณคะแนนคัดเลือก “สามารถล็อคผู้ชนะ...ล็อคโควต้าได้”

อีกทั้งมีความเหลื่อมล้ำระหว่างการรับซื้อจากครัวเรือน หรือระบบ โซลาร์รู้ฟท้อป’ แต่ว่าโครงการรับซื้อพลังงาน กับโซลาร์ฟาร์ม แม้ราคาจะเท่ากันที่ ๒.๒ บาทต่อหน่วย แต่ขนาดกำลังการผลิตนั้นแตกต่างกันมาก เมื่อ “Solar Rooftop ต้องมีขนาดไม่เกิน 10 KW (0.01 MW)

ทว่า Solar Farm มีขนาดใหญ่สุดได้ถึง 90 MW” ซ้ำ “ระยะเวลารับซื้อไฟฟ้า Solar Rooftop เพียงแค่ ๑๐ ปี แต่ Solar Farm มีระยะเวลารับซื้อถึง ๒๕ ปี”

(https://x.com/woraphopv/status/1858121737504006587?s และ https://www.bangkokbiznews.com/business/economic/1154577)


1 ประเทศ 2 ระบบ 1 country 2 systems ไม่มีแล้ว ก็ไม่มีเหตุอันใดที่ไต้หวันควรจะรวมกับจีน


wasanawong @WasanaWW
·19h

1 ประเทศ 2 ระบบ 1 country 2 systems ไม่มีแล้ว ก็ไม่มีเหตุอันใดที่ไต้หวันควรจะรวมกับจีน


Robert Potter @rpotter_9

As China sentences the bravest citizens of Kong Hong to prison, remember that China gave its word to respect “one country, two systems”. China betrayed that promise. So when people inevitably come forward and say China will respect Taiwan, remember this.
.....

27 ปี ฮ่องกงกลับสู่จีน เปลี่ยนไปมากแค่ไหน สิ้นสุด 1 ประเทศ 2 ระบบแล้วหรือยัง?

โดย วิโรจน์ เลิศจิตต์ธรรม
03.07.2024



เป็นเวลา 27 ปีแล้ว ที่อังกฤษส่งมอบ ฮ่องกง กลับคืนสู่จีน ภายใต้หลักการปกครองแบบ ‘1 ประเทศ 2 ระบบ’ เมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม 1997 ซึ่งแนวคิดการปกครองนี้คือการยึดถือนโยบาย ‘จีนเดียว’ (One China) แต่ยังสามารถมีระบบเศรษฐกิจและการเมืองแบบทุนนิยมที่แตกต่างจากระบบสังคมนิยมของจีนแผ่นดินใหญ่ได้

ช่วงไม่กี่ปีหลังกลับสู่อ้อมอกจีน เขตบริหารพิเศษฮ่องกงเปิดตัวแคมเปญที่สร้างแบรนด์ให้เมืองนี้กลายเป็นที่รู้จักในชื่อ ‘นครหลวงของโลกเอเชีย’ (Asia’s World City) สื่อความหมายว่า แม้จะเปลี่ยนประเทศผู้ปกครอง แต่ความเปิดกว้างและบรรยากาศความมีชีวิตชีวาของฮ่องกงก็จะยังคงอยู่

อย่างไรก็ตาม มาถึงวันนี้บรรยากาศในฮ่องกงต้องเรียกได้ว่า ‘เปลี่ยนไปมาก’ ทั้งในด้านเศรษฐกิจ การเมือง และสภาพสังคม ซึ่งเต็มไปด้วยปัญหา เช่น ความเหลื่อมล้ำ ข้าวของ อาหาร และที่พักอาศัย ราคาแพง ในขณะที่สิทธิเสรีภาพและการปกครองแบบประชาธิปไตย (ที่ไม่เคยเต็มใบ) ก็เริ่มถดถอยและถูกกลืนกินจากจีนแผ่นดินใหญ่อย่างเห็นได้ชัด

ไทม์ไลน์ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นตลอด 27 ปีของฮ่องกง มีหลายหมุดหมายที่สำคัญ และทำให้มองเห็นไปถึงทิศทางที่เมืองแห่งนี้กำลังก้าวเดินไป ท่ามกลางความยากลำบากและท้าทายของชาวฮ่องกงที่ผูกรัดไปกับการขับเคลื่อนบ้านเมืองของพรรคคอมมิวนิสต์จีน

10 ปีแรก ฮันนีมูน

รศ.ดร.วาสนา วงศ์สุรวัฒน์ หัวหน้าภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ให้สัมภาษณ์ THE STANDARD ฉายภาพการเปลี่ยนแปลงของฮ่องกงในช่วงทศวรรษแรกหลังกลับคืนสู่จีน โดยชี้ว่า ตั้งแต่ช่วงปี 1997-2007 หรือช่วงปลายยุครัฐบาลเจียงเจ๋อหมิน ไปจนถึงปลายยุคของรัฐบาลหูจิ่นเทา สามารถเปรียบได้เป็นช่วงฮันนีมูน จากการที่เศรษฐกิจจีนยังคงเติบโตก้าวกระโดดและไม่ประสบปัญหา

ในขณะที่ฮ่องกงเองก็เติบโตและเป็นเหมือนตัวขับเคลื่อนเงินลงทุนให้จีนได้เป็นอย่างดี อีกทั้งในแง่ของสิทธิเสรีภาพต่างๆ ก็ดูจะไม่เป็นปัญหาอะไร ถึงขั้นที่หูจิ่นเทาพูดในโอกาสครบ 10 ปีที่อังกฤษส่งคืนฮ่องกงว่า น่าจะสามารถให้สิทธิออกเสียงเลือกตั้งทั่วไป (Universal Suffrage) หรือสิทธิการลงคะแนนเลือกตั้งตามแบบสากล ให้แก่ชาวฮ่องกงได้ในอีกทศวรรษถัดไป

บรรยากาศอันดีเหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึงความราบรื่นในการปกครองตามหลักการ 1 ประเทศ 2 ระบบในทศวรรษแรก และทำให้ชาวฮ่องกงไม่น้อยมองว่าตนเองนั้นเป็นพลเมืองภายใต้การปกครองแบบกึ่งประชาธิปไตยที่มีสิทธิเสรีภาพ ไม่ใช่พลเมืองใต้ระบบคอมมิวนิสต์

10 ปีหลัง ปัญหาปะทุ

อย่างไรก็ตาม ในช่วงทศวรรษที่ 2 หรือตั้งแต่ปี 2007-2017 ปัญหาต่างๆ ของฮ่องกงที่ไม่เคยปรากฏเด่นชัดก็เริ่มแสดงให้เห็นมากขึ้น โดยมีปัจจัยหลักๆ จากการที่เศรษฐกิจจีนเริ่มเข้าสู่ภาวะชะลอตัว ซึ่งในปีสุดท้ายที่เศรษฐกิจจีนเติบโตเกิน 7% คือปี 2009 และหลังจากนั้นภาวะเศรษฐกิจจีนก็เติบโตถดถอยมาเรื่อยๆ

กระทั่งปี 2013 จีนได้ผู้นำคนใหม่คือประธานาธิบดีสีจิ้นผิง ซึ่งก้าวขึ้นสู่อำนาจในช่วงที่ถือว่ามีความท้าทาย ทั้งจากภาวะเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มถดถอยต่อเนื่อง และความขัดแย้งในพรรคคอมมิวนิสต์ที่ค่อนข้างรุนแรง

รศ.ดร.วาสนา ชี้ว่า ปัจจัยท้าทายเหล่านี้ทำให้สีดำเนินการสร้างความมั่นคงให้ตนเองด้วยการปฏิรูปกองทัพและพยายามที่จะรวบอำนาจเข้าสู่ศูนย์กลาง ในขณะที่พยายามยกเลิกกระบวนการตรวจสอบและถ่วงดุลต่างๆ ที่ปูรากฐานไว้ตั้งแต่ยุคเติ้งเสี่ยวผิง เพื่อให้มีการคานอำนาจภายในพรรคคอมมิวนิสต์

อีกอย่างที่เกิดขึ้นในยุคแรกของสีคือเริ่มจัดการ ‘กำราบ’ ฮ่องกงอย่างจริงจัง เนื่องจากหลักการ 1 ประเทศ 2 ระบบ ทำให้ฮ่องกงมีเสรีภาพในการแสดงออก ทั้งด้านสื่อ ศาสนา และการเมือง แบบที่แตกต่างจากจีนแผ่นดินใหญ่ จนทำให้ฮ่องกงกลายมาเป็นศูนย์กลางในการเผยแพร่ข้อมูลต่างๆ ที่จะถูกแบนได้ในจีนแผ่นดินใหญ่ เช่น กรณีโศกนาฏกรรมเทียนอันเหมิน ซึ่งช่วงนั้นมีการจัดงานรำลึกทุกปีในฮ่องกง

เหตุการณ์ที่ทำให้ทั่วโลกเห็นถึงความพยายามของรัฐบาลสีในการแทรกแซงเสรีภาพในฮ่องกงคือ กรณีการหายตัวไปของ 5 พนักงานและเจ้าของร้านหนังสือ Causeway Bay Books ในฮ่องกง ระหว่างเดือนตุลาคม-ธันวาคม 2015 ซึ่งร้านนี้ขายหนังสือเกี่ยวกับการเมืองและประเด็นละเอียดอ่อนต่างๆ ในจีน

เหตุการณ์นี้จุดชนวนให้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ไปทั่วโลกว่าทั้ง 5 คนอาจถูกทางการจีนจับตัวไป ก่อนที่ทางการมณฑลกวางตุ้งของจีนจะยอมรับว่าได้ควบคุมตัวทั้ง 5 คนไว้ในคดีค้างเก่าเกี่ยวกับการจราจร โดยไร้คำอธิบายอื่นๆ และเผยแพร่คลิปวิดีโอของหนึ่งในผู้ถือหุ้นร้านหนังสือที่ถูกจับ สารภาพว่าพวกเขาได้ข้ามไปยังจีนแผ่นดินใหญ่โดยสมัครใจ

แต่หลังจากที่เจ้าของร้านหนังสือได้กลับไปยังฮ่องกง ก็มีการแถลงข่าวในเดือนมิถุนายน 2016 เผยว่าพวกเขาถูกทางการจีนคุมขังไว้ 8 เดือน โดยทีมสืบสวนกลางของรัฐบาลจีนนั้นมีส่วนเกี่ยวข้องภายใต้การควบคุมตรงจากผู้นำระดับสูงของปักกิ่ง ซึ่งจีนปฏิเสธข้อกล่าวหาทั้งหมด

ทั้งนี้ ช่วงต้นทศวรรษ 2010 ยังมีการปรากฏตัวของนักเคลื่อนไหวรุ่นเยาว์ในฮ่องกง ที่ต่อมากลายเป็นที่รู้จักไปทั่วโลกอย่าง โจชัว หว่อง ซึ่งเริ่มเคลื่อนไหวต่อต้านระบบการศึกษาแห่งชาติที่เขามองว่า ‘ล้างสมอง’ จากการพยายามแทรกเนื้อหาสอนเรื่องหน้าที่พลเมือง เพื่อเสริมสร้างความรู้สึกเป็นพลเมืองจีนให้แก่ชาวฮ่องกงตั้งแต่เด็กๆ

การเคลื่อนไหวของหว่องและกลุ่มเพื่อนร่วมชั้นเรียนนำมาสู่การเดินขบวนประท้วงใหญ่ในปี 2012 ที่มีผู้เข้าร่วมมากกว่า 1 แสนคน ทำให้หว่องและเพื่อนๆ ตกเป็นเป้าของทางการฮ่องกงและจีนแผ่นดินใหญ่

ต่อมาในเดือนกันยายน 2014 เป็นช่วงที่การเมืองฮ่องกงเริ่มจะคุกรุ่นขึ้น จากการที่เริ่มมีผู้ตั้งคำถามเกี่ยวกับระบบการเลือกผู้บริหารสูงสุดของฮ่องกง (Chief Executive) ซึ่งถือเป็นประชาธิปไตยไม่เต็มใบ และเริ่มทวงถามถึงสิทธิออกเสียงเลือกตั้งทั่วไปที่ชาวฮ่องกงสามารถเลือกผู้บริหารสูงสุดได้โดยตรง

กระทั่งเกิดการประท้วงใหญ่ที่เรียกว่าการปฏิวัติร่ม (Umbrella Revolution) ซึ่งหว่องและกลุ่มนักศึกษาเป็นผู้นำการประท้วงที่ยืดเยื้อกว่า 2 เดือน แต่การประท้วงจบลงหลังการสลายการชุมนุม โดยไร้การตอบรับหรือการประนีประนอมใดๆ จากรัฐบาลฮ่องกงและปักกิ่ง

สิ้นสุด 1 ประเทศ 2 ระบบ?

บรรยากาศทางการเมืองในฮ่องกงยิ่งทวีความรุนแรงในช่วงที่สีรับตำแหน่งประธานาธิบดีเป็นสมัยที่ 2 โดยเริ่มมีประเด็นเรื่องการเสนอร่างกฎหมายส่งผู้ร้ายข้ามแดน ที่เปิดทางให้ฮ่องกงสามารถส่งตัวผู้ต้องหาที่ทางการจีนต้องการตัวไปดำเนินคดีในจีนแผ่นดินใหญ่ได้

รศ.ดร.วาสนา ชี้ว่า กฎหมายส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดนดังกล่าวถือเป็นกฎหมายที่ทำให้ฮ่องกงสิ้นสุดเอกราชทางการศาล และไร้ซึ่งความเป็น 1 ประเทศ 2 ระบบ เนื่องจากทำให้สิทธิเสรีภาพใดๆ ของชาวฮ่องกงที่แตกต่างจากจีนแผ่นดินใหญ่ เช่น การเขียนหรือเผยแพร่ข้อมูลวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาล หรือการจัดกิจกรรมรำลึกเทียนอันเหมิน อาจกลายเป็นความผิดได้

ร่างกฎหมายฉบับนี้ยังเป็นชนวนให้เกิดการประท้วงที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ช่วงปลายปี 2019 ซึ่งการประท้วงทวีความรุนแรงจนทำให้รัฐบาลฮ่องกงถอนร่างกฎหมายออกไป

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่จีนนำมาแทนที่ในช่วงกลางปี 2020 และดูจะส่งผลร้ายต่อเสรีภาพของชาวฮ่องกงมากกว่าเดิมคือกฎหมายความมั่นคงฉบับใหม่ ซึ่งมีเนื้อหาชี้ว่า อะไรก็ตามที่ถือเป็นภัยต่อความมั่นคงของชาติและพรรคคอมมิวนิสต์จีน ก็สามารถถูกจับและดำเนินคดีได้ ส่งผลให้การเคลื่อนไหวหรือแสดงความคิดเห็นต่อต้านของประชาชนและพรรคการเมืองในฮ่องกงค่อยๆ หายไป และยังไม่มีการประท้วงใดๆ เกิดขึ้นอีกนับจากนั้น

การขึ้นครองอำนาจสมัยที่ 3 ของสีเมื่อปีที่แล้ว ยิ่งส่งผลให้แนวโน้มสถานการณ์ด้านสิทธิเสรีภาพตามหลักการ 1 ประเทศ 2 ระบบของฮ่องกงยิ่งถดถอย

โดยความพยายามรวบอำนาจมาไว้ที่ศูนย์กลางแบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาดของสีสะท้อนถึงการดำเนินการต่อฮ่องกงเช่นกัน มีการเพิ่มการจับกุมประชาชนที่เคลื่อนไหวต่อต้านเชิงสัญลักษณ์หรือแสดงความคิดเห็นในประเด็นละเอียดอ่อนใดๆ อีกทั้งผู้ว่าฮ่องกงคนใหม่คือ จอห์น ลี คา-ชิว (หลี่เจียเชา) ซึ่งเป็นอดีตตำรวจ ยิ่งทำให้ฮ่องกงคล้ายกับการเป็น ‘รัฐตำรวจ’ (Police State) มากขึ้นด้วย

นอกจากการปราบปรามการแสดงความคิดเห็นทางการเมือง ตั้งแต่ช่วงต้นทศวรรษ 2020 จีนยังเริ่มคุมเข้มธุรกิจในฮ่องกง โดยออกกฎหมายใหม่ที่ห้ามการเปิดเผยหรือส่งต่อข้อมูลที่อาจถือว่าเป็นข้อมูลที่ละเอียดอ่อนและมีผลต่อความมั่นคงของชาติ ซึ่งส่งผลให้ข้อมูลการดำเนินธุรกิจต่างๆ ของบริษัทสัญชาติจีนเป็นข้อมูลที่ไม่สามารถเปิดเผยได้ และทำให้การดำเนินธุรกิจของบริษัทต่างชาติในฮ่องกงยิ่งทำได้ยากขึ้น จนทำให้บริษัทต่างชาติ โดยเฉพาะบริษัทด้านสื่อจำนวนมากถอนตัวออกไปจากทั้งจีนและฮ่องกง

อนาคตฮ่องกงต่อจากนี้

สำหรับคำถามที่ว่า อนาคตเสรีภาพและการปกครองแบบกึ่งประชาธิปไตยของฮ่องกงหลังจากนี้ยังมีความหวังอยู่หรือไม่ รศ.ดร.วาสนา ให้คำตอบสั้นๆ แต่น่าคิดว่า ปัญหาทุกอย่างของจีนนั้นจะแก้ไขได้คือพรรคคอมมิวนิสต์ต้องยอมปรับเปลี่ยนเป็นแบบประชาธิปไตย และต้องไม่ใช่รัฐบาลภายใต้การนำของสี

“ถ้ายังเป็นรัฐบาลสี และยังเป็นเผด็จการของพรรคคอมมิวนิสต์จีนอยู่ ก็จะไม่มีอะไรดีขึ้น”

ส่วนปัญหาอื่นๆ อย่างสภาพเศรษฐกิจของฮ่องกง ตอนนี้ยังคงมีปัญหามาก โดยเฉพาะจากผลกระทบของวิกฤตอสังหาริมทรัพย์ในจีนช่วงที่ผ่านมา ซึ่งค่อนข้างสาหัส และรัฐบาลยังไม่มีนโยบายใดๆ ที่จะแก้ไขได้ ทำให้ทิศทางจากนี้น่าจะยังแย่ลงต่อไปอีก

“ปัญหาฮ่องกงมันเริ่มต้นจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีน คือถ้าจีนรวย ถ้ามีเงิน ทุกคนก็มีความสุข มันจะมีปัญหาถ้าหากเศรษฐกิจไม่ดีแล้วคนเริ่มวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาล”

ภาพ: Martin Henery / Anadolu via Getty Images

(https://thestandard.co/hong-kong-china-27-years-one-country-two-systems/)



"ไหม ศิริกัญญา" โพสต์เล่า รอมา 2 เดือนเต็ม! วันนี้คณะกรรมการนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจให้ประชุมนัดแรก เราได้ความชัดเจนอะไรกันบ้าง และ คาใจ แจกเงินหมื่นคนสูงวัย 60 ปี แก้ปัญหาได้จริงหรือ


ภาพจาก The Room 44

Sirikanya Tansakun - ศิริกัญญา ตันสกุล
1d ·

อุตส่าห์รอมา 2 เดือนเต็ม! วันนี้คณะกรรมการนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจให้ประชุมนัดแรก เราได้ความชัดเจนอะไรกันบ้าง ลองมาดูกันนะคะ
1. แจกเงินหมื่นรอบที่ 2 (ยังไม่เป็น Digital Wallet) กับคนอายุ 60 ปีขึ้นไป 3-4 ล้านคน โดยจะแจกประมาณต้นปีหน้า ช่วงตรุษจีน ยังไม่ชัดว่าแจกวันที่เท่าไหร่ ลงทะเบียนเพิ่มเมื่อไหร่
2. ปรับโครงสร้างหนี้ครัวเรือน 3 กลุ่ม คือ กลุ่มบ้าน กลุ่มรถยนต์ และกลุ่มหนี้บริโภค ที่เป็น NPL ไม่เกิน 1 ปี วงเงินหนี้ประมาณ 1.3 ล้านล้านบาท จะได้รับพักชำระดอกเบี้ยค้างจ่าย รายละเอียดยังไม่ชัดต้องรอหลังวันที่ 20 พ.ย.
3. โครงการไร่ละพันก็มา (ปกติต้องเป็นคณะกรรมการนโยบายข้าว หรือ นบข.ต้องเป็นคนเคาะ) แต่จะมีการปรับรายละเอียดอีกเพื่อไม่ให้เป็นภาระงบประมาณในระยะยาว ซึ่งยังไม่รู้ว่าจะปรับอะไร ได้ข่าวว่าน่าจะปรับจากแจกไม่เกิน 20 ไร่ เหลือไม่เกิน 12 ไร่ เท่ากับจะได้บ้านละไม่เกิน 12,000 บาท จากเดิม 20,000 บาท
สรุปว่ายังไม่มีอะไรชัดเจนซักอย่าง จริงๆ นะ… แค่เปลี่ยนนายกคนเดียวนี่เหมือนอย่างกับตั้งรัฐบาลใหม่ เหมือนไม่เคยคิดเรื่องกระตุ้นเศรษฐกิจกันมาก่อนหน้านี้เลยต้องเริ่มต้นใหม่ต้องใช้เวลาถึง 2 เดือน
หรือว่า… เศรษฐกิจไตรมาส 3 ที่สภาพัฒน์เพิ่งออกมาประกาศว่าโต 3% ดีกว่าที่ตลาดคาดไว้ อาจจะทำให้รัฐบาลรู้สึกว่าไม่มีความจำเป็นต้องกระตุ้นเศรษฐกิจแล้วก็ได้หรือไม่ ถึงได้ดูลังเล ไม่รีบร้อน
แต่ถ้าเราเจาะไส้ในของ GDP จะพบว่า ที่เศรษฐกิจโตดีมาจากงบปี 67 ที่ออกมาไตรมาส 2 และเร่งเบิกจ่ายกันในไตรมาส 3 ทั้งส่วนของรายจ่ายลงทุน และรายจ่ายประจำ บวกกับการส่งออกที่กลับมาดี และแน่นอนการท่องเที่ยวยังคงเติบโตได้ดี
แต่ส่วนที่ยังเป็นปัญหาคือการลงทุนภาคเอกชนที่ยังหดตัวมา 2 ไตรมาสติดแล้วจากหมวดยานยนต์ และหมวดก่อสร้าง สอดคล้องกับยอดขายรถกระบะที่หดตัวลง (ใช่ค่ะรถกระบะเชิงพาณิชย์นับเป็นการลงทุน) และยอดขายบ้านที่ลดลง ที่ทั้ง 2 เรื่องเป็นเรื่องของการไม่ปล่อยสินเชื่อของแบงก์
แน่นอนว่าทั้ง 2 เรื่องโยงกลับไปที่ปัญหาหนี้ครัวเรือน ซึ่งรัฐบาลเองก็มีมาตรการแก้ปัญหาเรื่องนี้อยู่เหมือนกัน คือการปรับโครงสร้างหนี้ให้คนที่เป็น NPL ก็ดูเหมือนจะมาถูกทาง? รึเปล่า?
มาดูกันว่าการปรับโครงสร้างหนี้รอบนี้จะช่วยอะไรบ้าง? ช่วยให้ยอด NPL ลดลง ทำให้แบงก์ตั้งทุนสำรองลดลง แบงก์มีกำไรเพิ่ม แต่แบงก์จะปล่อยกู้เพิ่มมั้ย อันนี้บอกเลยว่าไม่แน่เสมอไป
เพราะสาเหตุที่แบงก์ไม่ปล่อยกู้ คือความเสี่ยงของลูกหนี้เอง ที่มีรายได้ไม่พอจ่ายหนี้ (credit risk) แปลว่าถึงแบงก์มีเงินเพิ่มก็ไม่ได้หมายความว่าจะปล่อยกู้บ้าน กู้รถเพิ่มในปริมาณเท่ากัน เหตุการณ์คล้ายๆ กันกับการที่แม้ดอกเบี้ยลด ก็ไม่ได้หมายความว่าแบงก์จะปล่อยกู้เพิ่ม
วิธีที่จะแก้ปัญหานี้ คือต้องทำให้รายได้ประชาชน รายได้ผู้ประกอบการดีขึ้น เพื่อลดความเสี่ยงฝั่งลูกหนี้ จะหวังแค่ว่าให้ GDP โตอย่างเดียวไม่ได้ ประชาชนต้องมีเงินมากขึ้นด้วย
วิธีแก้ => รัฐบาลก็เลยแจกเงินหมื่นให้คนอายุเกิน 60 3 ล้านคน? แบบนี้หรอ? มันจะช่วยอะไรได้จริงๆ หรอ
2 เดือนที่รอคอย ยิ่งตามก็ยิ่งงงกับรัฐบาลนี้จริงๆ


“ถ้าเราตายก่อนบูมได้ประกันตัว แล้วลูกจะอยู่กับใคร?” คุยกับ “แพร” แม่เลี้ยงเดี่ยวจำเป็น ผู้ป่วยมะเร็ง และภรรยานักโทษการเมือง



“ถ้าเราตายก่อนบูมได้ประกันตัว แล้วลูกจะอยู่กับใคร?” คุยกับ “แพร” แม่เลี้ยงเดี่ยวจำเป็น ผู้ป่วยมะเร็ง และภรรยานักโทษการเมือง

19/11/2567
ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน

เผยแพร่ครั้งแรกที่ Freedom bridge

ตั้งแต่เมื่อเดือนธ.ค. ปีที่แล้ว “บูม” จิรวัฒน์ พ่อค้าขายเสื้อผ้าออนไลน์ วัย 32 ปี ผู้ถูกดำเนินคดีตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 เหตุจากการแชร์โพสต์เฟซบุ๊กทั้งหมด 3 โพสต์ ถูกศาลชั้นต้นลงโทษจำคุก 6 ปี ไม่รอลงอาญา ปัจจุบันจิรวัฒน์ถูกคุมขังอยู่ในเรือนจำพิเศษกรุงเทพ โดยยังอยู่ระหว่างการต่อสู้คดีในชั้นอุทธรณ์โดยไม่ได้รับอนุญาตให้ประกันตัว

เป็นเวลา 200 กว่าวันแล้ว สำหรับครอบครัวของบูม ที่รอคอยการกลับมาของ “สามีและพ่อ” แม้จะมีการยื่นประกันบูมมากว่า 10 ครั้ง แต่ศาลยังคงยกคำร้อง โดยระบุไม่มีเหตุให้เปลี่ยนแปลงคำสั่ง ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนพูดคุยกับ “แพร” (นามสมมติ) ภรรยาของบูม ถึงชีวิต ความคิด ผลกระทบในรอบ 200 กว่าวัน ที่ไม่มีสามีที่ร่วมทุกข์ร่วมสุขอยู่เคียงข้าง

“แพร” และ “บูม” รู้จักและคบหาเป็นแฟนตั้งแต่ช่วงเรียนมหาวิทยาลัย ก่อนแต่งงาน 5 ปีให้หลัง รวมระยะเวลาราว 10 ปี ที่พวกเขาดูแลกันและกัน

แพรบอกว่า บูมกับเธอ สร้างเนื้อสร้างตัวด้วยการทำธุรกิจมาด้วยกัน เพราะเป็นพวกชอบทำงาน และทำงานหนัก หาอะไรมาขายได้ก็มักจะสรรหามาอยู่เรื่อย ๆ ไม่เคยหยุดทำงาน พวกเขามีลูกสาว 1 คน ซึ่งปัจจุบันอายุ 5 ขวบใกล้ 6 ขวบแล้ว โดยในวันฟังคำพิพากษานั้น บังเอิญกลายเป็นวันเกิดของลูกสาวพอดี และกลายเป็นวันที่บูมไม่ได้เดินทางกลับบ้านไปด้วยกัน

เราชวนแพรเล่าย้อนกลับไปยังช่วงเวลา 3 ปีก่อน นาทีแรกที่ได้ทราบว่า บูมมีคดีความ และ ตกใจยิ่งกว่าเมื่อทราบว่าคนแจ้งความเป็นญาติแท้ ๆ ของตัวเอง

.
ญาติที่โตมาในบ้านรั้วเดียวกัน แจ้งความสามีตัวเอง

“ช่วงที่มีจดหมาย (หมายเรียกให้ไปรับทราบข้อกล่าวหา) มาที่บ้านพ่อแม่ของบูม ช่วงนั้นเป็นช่วงโควิดระบาดหนัก เมื่อ 3 ปีก่อน หนูกับบูม ติดโควิด รักษาตัวกันอยู่ที่โรงพยาบาล ตอนนั้นลูกอายุประมาณ 2 ขวบ ก็เลยฝากลูกไว้กับญาติก่อน แล้วก็ไปรักษาตัวประมาณอาทิตย์ สองอาทิตย์”

แพรบอกกับเราว่า ความรู้สึกแรกที่ได้รับหลังจากเห็นภาพหมายเรียกที่แม่ของบูมส่งมาให้ดูทางโทรศัพท์ คือรู้สึกงุนงง หลังจากนั้นแม่ได้ถ่ายชื่อคนแจ้งความมา ทำให้แพรทราบว่าคนแจ้งความคือญาติของเธอที่เติบโตมาในรั้วบ้านเดียวกัน

“เราตกใจว่าคนที่ฟ้องเป็นญาติเรา ตกใจว่าเกิดอะไรขึ้น บูมเขาแชร์อะไรไป ประจวบเหมาะกับตอนนั้นเราค้าขายออนไลน์แล้ว ใส่รหัสเฟซบุ๊กผิด โดนล๊อกเฟซบุ๊กส่วนตัวทำให้เข้าไปดูอะไรไม่ได้เลย ก็เลยไม่รู้ว่ามันเกิดจากอะไร ได้มาเห็นตอนมารับทราบข้อกล่าวหาแล้ว คนที่ฟ้องแคปมาหมดเลย”

สู้กับกระบวนการยุติธรรม และสู้กับมะเร็งไปพร้อมกัน

แพรเล่าต่อไปว่าเมื่อทั้งคู่ หายจากโควิด ซึ่งขณะนั้นใช้เวลารักษาเกือบหนึ่งเดือน เธอและบูมก็เดินหน้าเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมด้วยการไปรับทราบข้อกล่าวหาที่ สน.ยานนาวา

“พอออกมา ก็ไปสถานีตำรวจ หลังจากรักษาโควิดหายเกือบเดือน ตำรวจก็สอบสวน มีคนแนะนำมาว่าให้ติดต่อมาที่ศูนย์ทนายฯ ตั้งแต่นั้นก็เลยคุยกับศูนย์ทนายฯ มาโดยตลอด”

แม้บูมจะมีความสนใจในการเมืองอยู่เดิม แต่แพรยอมรับว่าตัวเองไม่ได้เป็นคอการเมือง โดยแทบไม่ได้ติดตามข่าวสาร เพราะทำงานตั้งแต่เช้าจนค่ำ

“วัน ๆ หนูทำแต่งาน ตี 5 ครึ่ง ตื่นไปส่งลูก หลังจากนั้นทำงาน 7 โมงครึ่ง – 8 โมง กลับไปอยู่บ้านพ่อ 1-2 ชั่วโมง ออกมาทำงาน แล้วก็ไปรับลูก 2-3 ทุ่มเข้าบ้าน หลับ ตื่นมาทำงานเที่ยงคืน ตี 1 หนูกับบูม กลับบ้านดึก ๆ ชอบหาอะไรมาขาย ทำไปเรื่อย ๆ ขายได้ก็เอามาขายอีก แต่เงินลงทุนไม่ได้เยอะนะ

“ระหว่างที่สัมภาษณ์อยู่นี้ก็ขายไปได้หลายตัวอยู่นะ เมื่อก่อนเราแพ็คของกันหน้าตั้ง ทำเองทุกขั้นตอน นอน 4 ชั่วโมงทุกวัน ทำงานหนักมาก แต่ตอนนี้เราทำทุกอย่างคนเดียว และต้องทำทุกอย่างน้อยลง เพราะเราไม่ไหว”

ภายหลังบูมถูกสั่งฟ้องเมื่อวันที่ 8 ก.พ. 2565 ศาลอาญากรุงเทพใต้มีคำสั่งอนุญาตให้ประกันตัว ก่อนจะนัดสืบพยานระหว่างวันที่ 25 เม.ย. 2566 และวันที่ 27 – 29 ก.ย. 2566 อย่างไรก็ตามในช่วงเวลาที่บูมกำลังต่อสู้คดีในปี 2566 แพรก็พบสัญญาณของความเจ็บป่วย

“หนูเริ่มรู้ว่าหนูป่วยตอนกุมภาพันธ์ วันที่ 13 ปีที่แล้ว เราเคยใช้ชีวิตมาปกติ เหมือนวัยรุ่นทั่วไปแล้วก็ทำงาน ๆ จนมีอยู่วันนึงที่รู้สึกว่ามีก้อนที่หน้าอก แต่ก็ไม่กล้าไปตรวจ ตอนแรกคิดว่าตัวเองท่อน้ำนมตัน เพราะว่าเราก็ให้นมลูกเอง เลยคิดว่าไม่น่าจะเป็นอะไร

“จนเวลาผ่านไปคืนหนึ่ง ปวดจนนอนไม่ได้ ปวดจี๊ด ๆ เหมือนมดกัดข้างในร่างกาย ต้องไปหาหมอ ไปเมมโมแกรมดู ไปหาหมอหลายที่ พบว่ามีก้อนถึง 3 ก้อนที่เต้านม หมอบอกว่าเสี่ยงมากที่จะเป็นมะเร็ง ก้อนใหญ่ที่สุดใหญ่ 4.75 เซนติเมตร และมันลามไปที่ต่อมน้ำเหลือง”

แพรชี้ให้ดูแขนด้านซ้ายของเธอ ตั้งแต่ไหปลาร้าลงไป ซึ่งผิวแห้งเล็กน้อยเป็นผลมาจากการฉายแสงรักษามะเร็ง

“หนูตัดหมดเลยต่อมน้ำเหลือง ที่แขนด้านซ้ายตอนนี้ไม่รู้สึกอะไรเลยยุงกัดก็ไม่รู้สึก เพราะว่าน้ำเหลืองไม่มีแล้ว ตอนนี้ยกมือก็ยกสุดไม่ได้ ตอนนี้ตัดหน้าอกไปหนึ่งข้าง แขนด้านซ้ายผิวแห้งมาก ถ้าลองสังเกตดู หมอก็ให้ทาครีมของโรงพยาบาล แต่ใคร ๆ ก็พูดว่าหนูไม่เหมือนเป็นคนที่เป็นมะเร็ง แต่หนูก็บอกว่า “มึง…กูเป็น” วิ่งยังวิ่งไม่ค่อยได้เลย เหนื่อย”

แพรพูดถึงกระบวนการรักษาของเธอที่ดำเนินไป ในช่วงเวลาเดียวกับที่บูมก็ต้องต่อสู้คดีไปด้วย

“เราให้คีโมทุกสามอาทิตย์ รวม ๆ แล้วก็ประมาณแปดครั้งในครึ่งปี พอเราคีโมจบก็ผ่าตัดเต้านมเลย แต่ระหว่างที่เรากำลังฉายแสงอยู่ เราก็ดันไปตรวจเจอก้อนที่รังไข่ด้วย ไม่ได้เป็นก้อนมะเร็ง แต่ก็เป็นก้อนเนื้องอกขนาด 6 เซนติเมตร ซึ่งใหญ่มาก ตอนนี้ตัดรังไข่ไปแล้วหนึ่งด้าน จริง ๆ แล้วต้องตัดรังไข่ทั้งหมด ตอนนี้เราเหมือนคนเป็นหมัน

แพรบอกว่าเธอดูแลตัวเองได้มาเสมอ ตราบใดที่ยังมีบูมช่วยกันดูแลลูก บูมไปโรงพยาบาลกับเธอแค่หนึ่งครั้งตลอดการรักษา จากนั้นเธอสามารถขับรถไปคีโมเอง และกลับบ้านมาได้

“หลังรู้ว่ามีคดี บูมพยายามสร้างระบบการทำงานขึ้นมา เพราะเขาคิดไว้อยู่แล้วว่าต้องโดนแน่ ๆ (ติดคุก) เค้าคิดของเค้าเอง ตอนที่ได้ประกันตัวออกมาช่วงระหว่างสืบพยาน เค้าเลยวางแผนชีวิต บอกว่าเราต้องทำนั่นทำนี่

“รู้มั้ยว่าวันที่ฟังคำพิพากษา 6 ธันวาคมปีก่อน เป็นวันเกิดลูกหนูพอดี วันนั้นหนูร้องไห้เลย ช่วงนั้นพอเรารู้วันตัดสิน ปีที่แล้วเป็นปีที่หนูให้คีโม 8 ครั้ง ผ่าตัดไป 2 รอบ รักษามะเร็ง หนูฉายแสงวันสุดท้ายวันที่ 2 ธันวาคม วันที่ 3 ก็ชวนบูมไปเที่ยวกัน หัวล้าน ๆ แบบนั้นแหละ คีโม ผ่าตัด ฉายแสงจบ พอวันที่ 6 เขาก็ติดคุกเลย”

แพรบอกว่าถึงแม้จะตัดรังไข่ไปแล้วหนึ่งด้าน และคงอีกด้านไว้เพื่อผลิตฮอร์โมน แต่รังไข่ที่เหลืออยู่ก็ดูจะมีปัญหา จากการที่เธอได้ไปตรวจสุขภาพตามรอบ ก่อนให้สัมภาษณ์ไม่นาน

“เราก็โตมาผ่านร้อนผ่านหนาว พูดจริง ๆ ตอนนี้เหมือนคนอายุ 50 แล้ว มะเร็งก็เป็นมาแล้ว แฟนเข้าคุกก็เจอมาแล้ว เหมือนประสบการณ์ชีวิตมันสอนเรา ว่าเราต้องดูแลตัวเอง อันไหนไม่ไหวเราก็แค่พูด เมื่อวานหนูไปซีทีสแกนมา ผลออกมาไม่ดี หมอบอกว่าน่าจะต้องผ่าตัดอีกครั้ง ทำให้เราเครียดมาก หนูบอกเขาว่าหนูขอเวลาหน่อย อยากให้บูมได้ประกันและออกมาดูลูกก่อน เราถึงจะไปผ่าตัดได้

“ก้อนที่อยู่ข้างใน เราไม่เจ็บเลย มีแค่บางครั้งที่ประจำเดือนมาแล้วจะปวดท้อง นอกจากนี้ค่ามะเร็งของหนูก็ขึ้นด้วยเกือบสองเท่า น่าจะเป็นผลจากความเครียด เราไปตรวจเลือดวันที่ 9 ก.ค. แต่ตั้งแต่วันที่ 1 ก.ค. มา รู้เลยว่าตัวเองนอนไม่พอ เพราะนอนดึก เหมือนมีเรื่องในหัวเยอะ ทั้งงาน ทั้งอะไร มันกดดันมาก มะเร็งก็เป็นสิ่งที่อาการทรง ๆ พูดไม่ได้ว่าเราจะหาย

“ซึ่งส่วนนี้ที่เราเป็นกังวล เพราะผัดหมอเรื่องการผ่าตัดมดลูกเพิ่มเติมมาสองเดือนแล้ว เราเป็นห่วงลูก กลัวว่าถ้าผ่าตัดจะไม่มีใครดูแลลูก และไม่มีใครทำงานหาเงินมาดูแลครอบครัว เพราะเราต้องพักฟื้น แต่หยุดทำงานไม่ได้”

.
แม่เลี้ยงเดี่ยวจำเป็น ผู้ป่วยมะเร็ง และภรรยานักโทษการเมือง

การกลายเป็นผู้ป่วยมะเร็ง ขณะที่สามีต้องมาติดคุกอาจดูเหมือนเป็นสิ่งที่หนักอึ้งสำหรับแพรแล้ว แต่ในฐานะแม่และผู้ประกอบธุรกิจขนาดเล็กคนหนึ่ง แพรยังมีอีกหลายบทบาทที่ต้องบริหารจัดการ การที่บูมต้องเข้าไปอยู่ในเรือนจำโดยไม่ได้รับการประกันตัว ทำให้แพรต้องแบกรับธุรกิจที่เคยทำด้วยกันสองแรก กลับเป็นต้องดูแลอยู่เพียงลำพัง ทั้งงานหน้าบ้านและหลังบ้าน ตลอดการสนทนากว่าสองชั่วโมง แพรต้องรับโทรศัพท์มากกว่า 6-7 สาย และทำงานไปด้วยอย่างเลี่ยงไม่ได้ เพราะทุกนาทีหมายถึง รายได้ที่จะเข้ามาในครอบครัวเพิ่มขึ้น

“การทำธุรกิจต่อ มีธุรกิจที่ทำร่วมกันมาอยู่แล้ว แต่ไม่ได้แปลว่าจะทำได้ดีเหมือนเดิม เนื่องจากเมื่อก่อนเราเป็นคนที่ทำงานหลังบ้าน ส่วนบูมเป็นคนที่ทำงานหน้าบ้าน ยังมีลูกค้าถามหาเค้าตลอด หนูก็บอกว่าเค้าไปธุระ ก็ต้องพูดแบบนี้ตลอด”

แพรบอกอีกว่าผลกระทบใหญ่ด้านการงานที่ครอบครัวต้องเจอ คือการต้องปิดร้านขายเสื้อผ้า

“เราทำหลายอย่าง ขายเสื้อผ้าออนไลน์ไซส์ใหญ่ หาของจุกจิกมาขาย เคยเปิดร้านขายเสื้อผ้า แต่พอบูมเข้าไปข้างใน ก็ไม่มีใครที่จะช่วยดูร้านได้ เลยต้องปิดร้านไป เพราะหนูทำหลายอย่างไม่ไหว และสุขภาพของเราก็เริ่มไม่แข็งแรงด้วย

“(นิ่งเงียบ) .. จริง ๆ เราไม่ได้ห่วงเขาเลย เขายังมีพ่อ มีแม่ มีน้อง แต่ลูกเรา มีแค่เรากับเขาที่เป็นเสาหลักให้ แล้วเขาอยู่ข้างใน ส่วนเราอยู่ข้างนอกแล้วไม่สบาย เราไม่ได้ไม่ไว้ใจตายาย ทุกคนหวังดีกับลูกหมด แต่เราก็อยากเห็นลูกเราเติบโตไปตามวัยของเขา เราเลยอยากให้เขาออกมา ซักปีนึงก็ได้ อย่างน้อยมาดูลูก ให้เราได้ไปรักษาตัว เรารู้นะ ว่าเขาต้องกลับเข้าไป

“พูดจริง ๆ กลายเป็นคนกลัวตายไปเลย เพราะกลัวว่าจะไม่มีใครดูลูก กลัวว่าจะไม่มีใครหาเงินให้บูมกินข้าว”

แพรบอกว่าตอนนี้ต้องเริ่มพูดคุยกับบูมอย่างจริงจัง ถึงเรื่องวิธีการดูแลลูก หากเธอจำเป็นต้องเข้ารับการผ่าตัดซึ่งประวิงเวลามากว่า 2 เดือนแล้ว

“หนูก็ว่าหนูเข้มแข็งนะ หนูก็สู้ชีวิตของหนู แต่ผ่านไปเดือน ๆ นึงก็ไม่มีเงินเก็บหรอก แต่ก็ทำให้มันผ่าน ๆ ไป แต่ตอนนี้ก็เริ่มจะต้องวางแผนแก้ปัญหาแล้ว ถ้าเกิดว่าเค้าอยู่ในเรือนจำระยะยาว ถ้าจำเป็นจริง ๆ ที่เราจะต้องเข้ารับการผ่าตัด จะทำยังไงต่อ เพราะมันจะหาเงินไม่ได้ มีปัญหากับเรื่องธนาคารมาก เพราะทุกอย่างเป็นชื่อบูมหมด ธนาคารไม่ให้คนอื่นทำอะไรได้เลย”

เป็นโชคร้ายซ้ำซ้อนในฐานะคนทำธุรกิจ ที่ก่อนเข้าเรือนจำ บัญชีของบูมโดนอายัดทั้งหมดเนื่องจากมีคนร้ายเอาบัญชีของเขาไปหลอกให้คนโอนเงิน

“ถึงเราจะเคลียร์เรื่องได้ แต่บัญชียังคงโดนอายัดและจะแก้อายัด ธนาคารยืนยันว่าบูมต้องเป็นคนมาทำเรื่อง เอง ถ้าบูมไม่ออกมาเราทำอะไรไม่ได้เลย เงินทั้งหมดนั้นคือค่าเทอมลูก”

.
“พ่ออยู่ในโรงพยาบาลที่ใหญ่มาก ๆ คนในนั้นป่วยเป็นโรคระบาด”

แม้ตลอดการพูดคุยแพรไม่ได้ร้องไห้ หรือแสดงท่าทีโศกเศร้าให้ได้เห็นเลย แต่เมื่อพูดถึงลูก แพรเสียงสั่นเล็กน้อย

“ตอนนี้บางมุมเขาเงียบขึ้น แต่เราไม่รู้ว่ามาจากเรื่องนี้หรือเปล่า หรือเขาแค่กำลังโต ลูกจะได้ไปหาบูมบ่อย ทุก ๆ ครั้งที่เขาไม่สบายและต้องหยุดเรียน เราก็จะพาเขาไปเยี่ยมที่เรือนจำ จนลูกถามว่าทำไมหนูต้องมาหาป๊า ทุกครั้งที่หนูหยุดเรียน เราเลี้ยงตัวเองได้ก็จริง แต่ตอนนี้ที่บ้านก็ช่วย เรามีภาระหลัก ๆ ก็การผ่อนบ้านรถและค่าเทอมลูก ค่าโฆษณาสินค้าที่ต้องจ่ายทุกเดือน

“ถ้าถามว่ามีผลกระทบกับลูกมั้ย เรารู้สึกว่าลูกขาดคนดูแล บางทีลูกโหยหาพ่อ จะจองเยี่ยมไลน์ก็เต็ม เต็มไวมาก เปิดจอง 9 โมง 9 โมง 5 นาที เต็มแล้ว เราก็ต้องสรรหากิจกรรมให้ลูกเราทำ ให้เขาตื่นเต้น และลืม ๆ เรื่องพ่อไป อย่างวันนี้ก็บอกว่าเดี๋ยวเราไปอิเกีย ไปกินครัวซองที่หนูชอบ

“ถ้าบูมไม่มีคดี พวกเราวางแผนจะให้ลูกเรียนนานาชาติ ตอนนั้นเป็นช่วงที่ลูกเข้าอนุบาลพอดี จริง ๆ เราจองไปแล้วด้วย แต่หาเงินคนเดียวมันไม่ไหวจริง ๆ หาไม่ทัน สุดท้ายก็เลยเรียนโรงเรียนอื่น ค่าเทอมก็ยังแพงอยู่ แต่ก็ยังไม่แพงเท่านานาชาติ ลูกมีน้อยใจเรื่องว่าคนอื่นมีพ่อ แล้วพ่อหนูไปไหน พ่อไม่เคยมารับที่โรงเรียน มีงานโรงเรียนที่ต้องไปดูลูก แต่เราไปคนเดียว คนอื่นเขามีพ่อแม่มาดู”

แพรต้องคอยบอกลูกว่าพ่อไม่ได้ไปไหน ไม่เหมือนกับเธอที่ไม่มีแม่อยู่แล้ว หากอยากเจอแม่ ก็เจอได้แค่ในรูป

“ดูม๊าสิ ม๊าก็ไม่มีแม่ อยู่กับอากงสองคน ยังอยู่ได้เลย ไม่มีอะไรที่มันครบหรอก เราบอกว่าแม่เราอยู่ในรูปแต่พ่อหนู เรายังไปหาได้ เวลาพาลูกไปเรือนจำ เราก็บอกลูกว่า พ่อไม่สบาย เป็นโรคระบาดหนัก ลูกคงคิดว่าที่นั่นเป็นโรงพยาบาล ที่มีคนป่วยอยู่รวมกันทั้งหมด หนูคิดจะพูดกับเขาเหมือนกัน แต่คิดว่าจะรอให้โตอีกสักพัก”

.
หวังได้รับการประกันตัวระหว่างพิจารณา และลดโทษในชั้นอุทธรณ์

แพรบอกว่าตลอดเวลาที่บูมติดคุก เธอไปเยี่ยมที่เรือนจำเกือบทุกวัน รวมถึงซื้ออาหารส่งให้เขาด้วย แม้มีกองทุนช่วยส่งอาหารให้ แต่บูมมักอยากได้อาหารพิเศษเพิ่มจากที่บ้านด้วย

“เขากินเยอะ เราก็ซื้ออาหารให้เขาทุกวัน ตั้งแต่ติดมา แพรก็ไปเยี่ยมเกือบทุกวัน เพราะเขาขอให้ไปเยี่ยม นอกจากวันไหนไม่ได้จริง ๆ ก็จะบอกเขาล่วงหน้า ถ้าไม่ใช่เรา เขาก็ให้เป็นพ่อแม่เขาเยี่ยมก็ได้ เราก็ไม่ได้เดือดร้อนมากที่จะไปเยี่ยมเขา เพราะเราทำงานที่ไหนก็ได้อยู่แล้ว เราบอกพ่อแม่เขาว่าไม่ต้องคิดอะไรมาก เดี๋ยวเราจะคิดแทน พ่อแม่จะไม่ค่อยเข้าใจเรื่องขั้นตอนทางกฎหมายเท่าไร

“เรื่องการสู้คดีในชั้นอุทธรณ์ เราคุยกันว่า ยังไงสุดท้ายเขาก็ต้องโดน 6 ปี ไม่สู้ ไม่อุทธรณ์ก็คือ 6 ปี เพราะฉะนั้นรอคำพิพากษาศาลอุทธณ์ เผื่อว่าจะได้ลดโทษบ้าง เพราะเราไม่เคยมีคดีอื่นเลย ขอโอกาสเขาหน่อยแล้วกัน เผื่อเขาจะให้เรา ถ้าติดไปซักพัก อาจจะขอพักโทษได้บ้างก็ได้ อย่างมีคนที่เขาติด 6 ปี แล้วลดโทษเหลือ 4 ปี เราก็บอกว่าเขาว่า 4 ปี เราก็โอเคแล้วนะ

“เราบอกบูมว่า เวลาไม่คอยท่านะ ออกมาอาจจะไม่เจอเราแล้วก็ได้ เราไม่รู้ว่าอนาคตจะเป็นยังไง เมื่อวันจันทร์ก็เพิ่งชับรถชนไป ป้ายทะเบียนหลุดเลย หนูก็บอกว่ามันเกิดขึ้นได้ตลอด ความเป็น ความตาย แล้วหนูต้องมาใช้ชีวิตแบบนี้ หนูอยากให้เขาสู้ และออกมาดูแลลูก ไม่ต้องดูแลเราเลย แต่ดูแลลูก”

ประเด็นเรื่องการผ่าตัดของแพร เป็นเรื่องหลักที่ทั้งสองคนพูดคุยกันในตอนนี้

“บอกเขาแล้วว่าตอนที่ผ่าตัด ไม่ต้องมาดูเรา ดูลูกไปเลย เอาให้เต็มที่ เพราะหนูก็ดูแลลูกเท่าที่หนูจะทำได้ เราไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลบ่อย ถึงเราอยู่บ้านแดียวกัน แต่ช่วงก่อน บูมจะดูแลลูกเป็นหลัก และจริง ๆ ลูกสนิทกับพ่อมากกว่าแม่

แพรวาดฝันอย่างติดตลกว่า หากเขาได้ประกันตัว เธอจะขอไม่ทำงาน จะขอเป็นแม่บ้านบ้าง

“แต่มันก็ไม่ได้หรอก คนมันทำงานมาตลอด อาจจะพักวันสองวัน เคยฝันกับบูมไว้ว่า อยากจะเปิด racing สนามแข่งรถ แล้วก็มีเสื้อผ้าสไตล์เด็กแว๊นซ์ขายด้วย อยากจะทำเป็นห้างเล็ก ๆ ขายให้เด็กแว๊นซ์ เราไม่ได้โตมาแบบนั้น แต่พวกนั้นไม่ใช่คนไม่ดีเลย พวกเขาขยันมาก ต้องขวนขวายมาก ตีสี่ต้องลุกขึ้นมาเข็นผักแล้ว สิบโมงทำงาน ขายเสื้อผ้า ขายจนรวยมาแล้ว หนูก็อยากรวย อยากใช้เงินแก้ปัญหา แต่ก็ต้องใช้หนี้ก่อน”

.
ความฝันอันเรียบง่าย: อยากมีชีวิตอยู่เพื่อแนะนำการใช้ชีวิตให้ลูก และไม่เป็นภาระใคร

แพรสงบนิ่งกว่าที่เราจินตนาการเอาไว้มาก และความคาดหวังของแพรต่อสุขภาพของเธอ และสถานการณ์อื่น ๆ ในชีวิตก็ไม่ได้แตกต่างจากคนธรรมดาทั่วไปแต่อย่างใด

“หนูไม่ได้เดือดร้อนมากหรอก แต่หนูเป็นห่วงลูก” แพรย้ำประโยคนี้เสมอ เธอบอกว่าแม้ที่บ้านมีญาติผู้ใหญ่หลายคน เนื่องจากเป็นครอบครัวใหญ่ แต่หลังจากบูมติดคุกไม่มีใครซ้ำเติมหรือโจมตีเธอ มีแต่จะเป็นห่วงและทุกข์ใจเพราะสงสารหลานที่ไม่มีพ่ออยู่ด้วย เธอจึงรู้สึกโชคดีที่ไม่ต้องหนักใจเรื่องครอบครัวเพราะได้รับความช่วยเหลือสนับสนุน

“ตอนแรกหมอพูดแค่เราอยู่ได้ไม่เกิน 2 ปี อีกไม่กี่เดือนจะครบ 2 ปี ถ้าเราผ่าน 2 ปีมาแล้ว ถึงมีความหวังว่าจะอยู่ได้อีก 5 ปี และเพิ่มเป็น 7 ปี หนูไม่หวังอะไร และคิดว่าคงอยู่ไม่ถึงช่วงที่ลูกโต แต่ก็ขอแค่ให้ลูกดูแลตัวเองได้บ้างก็ดีแล้วนะ

“อยากอยู่จนเขาโตพอจะตัดสินใจเองได้ ลูกเราเป็นผู้หญิง เราอยากจะได้เป็นคนแนะนำเขาในการใช้ชีวิต ถีงจะมีพ่อหรือปู่ย่า แต่เราที่เป็นแม่และใกล้ชิด ก็อยากเป็นคนสอน เช่น การใส่ชุดชั้นใน ใส่เสื้อทับ ใส่กางเกงขาสั้นในกระโปรง

“หนูบอกตลอดว่า แม่ทำให้ได้ทุกอย่างที่บ้าน แต่สุดท้ายหนูต้องทำทุกอย่างได้เอง เราอยากให้เขาใช้ชีวิตเองได้ ความหวังเกี่ยวกับชีวิตของตัวเอง หนูไม่ได้อยากหายนะ แค่อยากใช้ชีวิตแบบคนทั่วไป หาเงินได้ พึ่งพาตัวเองได้ ไม่ต้องเป็นภาระใคร แค่เดินได้ ยังขับรถได้ รู้ว่ามันก็ยังทรง ๆ ตอนแรกยังทำใจไม่ได้หรอก แต่ถ้ายังอยู่แบบนี้ได้ ก็คิดว่าอยู่ได้นะ”

อนาคตเป็นสิ่งคาดเดาได้ยาก ทุกนาทีที่หมุนไปในชีวิตของแพรคงหนักหนาไม่ต่างจากบูมที่อยู่ในเรือนจำ สำหรับแพรแล้ว เธอยังต้องรับมือกับความกดดันทางธุรกิจ สุขภาพที่พร้อมจะพรากลมหายใจของเธอไปได้ทุกเวลา และความห่วงใยเกินจะเอ่ยต่อลูกสาวตัวน้อยที่ยังอยู่ในวัยอนุบาล

แพรทิ้งท้ายประโยคเรียบง่ายคล้ายเป็นคำถามดัง ๆ ว่า “ถ้าเราตายก่อนบูมได้ประกันตัว แล้วลูกจะอยู่กับใคร?”

.

สถานการณ์ล่าสุดของครอบครัวนี้ ในเดือนพฤศจิกายน 2567 แพรเปิดเผยว่าตัวเธอตรวจพบก้อนเนื้อที่ตับ และต้องเข้าผ่าตัดในเดือนมกราคม 2568 ซึ่งสิ่งที่เธอกังวลที่สุดคือต้องทิ้งลูกไว้ให้ตากับยายช่วยเลี้ยงในระหว่างที่เธอต้องเข้ารับการผ่าตัดและพักฟื้น

ย้อนอ่านบทสัมภาษณ์ของจิรวัฒน์ ขายของออนไลน์อยู่ดี ๆ ก็โดน ม.112 : สำรวจความรู้สึกหลังห้องพิจารณาคดีที่ 402 ของ “จิรวัฒน์” จำเลยคดีมาตรา 112

https://tlhr2014.com/archives/71144


ศาลอาญา พิพากษาประหารชีวิต นางสรารัตน์ รังสิตวุฒาภรณ์ หรือ "แอม ไซยาไนด์" ในฐานความผิดวางยาสังหาร น.ส.ศิริพร ขันวงษ์ หรือ ก้อย โดยนำสารโพแทสเซียมไซยาไนด์ ซึ่งเป็นสารพิษปลอมปนใส่ลงในอาหาร อ่านที่มาของคดีสะเทือนขวัญนี้ในรายงานนี้


สรารัตน์ รังสิวุฒาภรณ์ "แอม ไซยาไนด์" (ซ้าย) และ อดีตสามี พ.ต.ท. วิฑูรย์ รังสิวุฒาภรณ์ (ขวา)

ทำความรู้จักลักษณะของ "ฆาตกรต่อเนื่อง" หลังสังคมผงะคดี "แอม ไซยาไนด์" ฆ่าเพื่อน 14 คดี

26 เมษายน 2023
ปรับปรุงแล้ว 4 พฤษภาคม 2023
ที่มา บีบีซีไทย

คดีสะเทือนขวัญที่กลายเป็นพาดหัวข่าวในขณะนี้ คือ คดีที่ นางสรารัตน์ รังสิวุฒาภรณ์ หรือ แอม ผู้ต้องหาคดีฆาตกรรม 14 คดี ซึ่งมีความคืบหน้าและหลักฐานใหม่อย่างต่อเนื่อง ล่าสุด ตำรวจได้จับกุมอดีตสามีที่เป็นรองผู้กำกับ สภ.สวนผึ้ง แล้ว หลังพบว่า มีส่วนเกี่ยวข้องกับการก่อเหตุของ แอม

การฆาตกรรมต่อเนื่องอย่างน้อย 14 คดี ที่เชื่อมโยงกับผู้ต้องหา คือ แอม-สรารัตน์ เริ่มต้นจากการเสียชีวิตอย่างปริศนาของ น.ส. ศิริพร ขันวงษ์ หรือ "ก้อย" ชาว จ. กาญจนบุรี ขณะไปปล่อยปลากับเธอเมื่อวันที่ 14 เม.ย.

ตำรวจพบได้พบหลักฐานเป็น “สารไซยาไนด์” อยู่ภายในบ้านของ นางสรารัตน์ สอดคล้องกับผลการผ่าพิสูจน์ของผู้เสียชีวิตที่พบสารชนิดนี้อยู่ในร่างกาย

จนถึงวันนี้ (4 พ.ค.) ตำรวจได้ออกหมายจับ แอม ฐานเชื่อมโยงกับการเสียชีวิตของผู้เสียหาย 14 ราย รอดชีวิต 1 ราย รวมเป็นการออกหมายจับ 14 คดี และยังมีคดีต้องสงสัยอีก 2-3 คดี
สำหรับผู้เสียชีวิตเพิ่มเติม เดิมญาติของผู้เสียชีวิตเข้าใจว่า เสียชีวิตเอง จนกระทั่งทราบข่าวการเสียชีวิตของ น.ส. ศิริพร จึงเกิดความสงสัยและเข้าร้องเรียน ในจำนวนนั้นมีอดีตสามีของนางสรารัตน์รวมอยู่ด้วย

เมื่อวันที่ 3 พ.ค. พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) เรียกประชุมคณะทำงานคลี่คลายคดีไซยาไนด์ของ แอม ก่อนแถลงข่าวว่า ตำรวจได้ย้อนกลับไปเก็บพยานหลักฐานเพิ่มเติม ทำให้มีหลักฐานประกอบในสำนวนคดีต่าง ๆ มากขึ้น รวมถึงการค้นหาไซยาไนด์ โดยประสานกรมโรงงาน และ อย. จนพบแหล่งที่มา ตอนนี้ อยู่ระหว่างคัดแยกว่าส่วนไหนที่ส่งถึงผู้ต้องหา

จับกุมอดีตสามี

เมื่อวันที่ 3 พ.ค. ชุดคลี่คลายคดี นำโดย พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. รวบรวมพยานหลักฐานขออนุมัติหมายจับจากศาลจังหวัดนครปฐม จับอดีตสามีนางแอม คือ พ.ต.ท. วิฑูรย์ รังสิวุฒาภรณ์ รอง ผกก. (สอบสวน) สภ.สวนผึ้ง 3 ข้อหา คือ "ร่วมกันยักยอกทรัพย์, ร่วมกันฉัอโกงและใช้เอกสารราชการปลอม, และปลอมแปลงเอกสาร"

การจับกุม พ.ต.ท. วิฑูรย์ สืบเนื่องมาจากการสอบสวนการเสียชีวิตของ สุทธิศักดิ์ พูนขวัญ หรือแด้ อายุ 36 ปี ชาวราชบุรี นายทุนเงินกู้ และสามีใหม่ของ แอม

แด้ เสียชีวิตที่หอพักแห่งหนึ่งใน จ.อุดรธานี เมื่อวันที่ 12 มี.ค. โดยแพทย์ระบุสาเหตุว่า เกิดจากหัวใจเต้นผิดจังหวะ ซึ่งภรรยา คือ แอม ไม่ได้ติดใจต่อสาเหตุการเสียชีวิต ก่อนส่งศพไปประกอบพิธีทางศาสนา

พฤติกรรมที่ส่อพิรุจของ แอม คือ แม้ว่าสามีจะเพิ่งเสียชีวิต แต่เธอกลับไปจัดงานวันเกิดของตนเองที่บ้านเพื่อนในพื้นที่ อ.หนองหาน จ.อุดรธานี ในช่วงค่ำวันที่ 13 มี.ค.ที่ผ่านมา ตามการรายงานของไทยรัฐออนไลน์

ไม่เพียงเท่านั้น ตำรวจพบว่า พ.ต.ท. วิฑูรย์ เป็นผู้ไปนำรถของ แด้ ที่ จ.อุดรธานี ก่อนขับรถไปกับ แอม เพื่อตระเวนทวงเงินจากลูกหนี้ของ แด้

พล.ต.อ. สุรเชษฐ์ เปิดเผยว่า แม้จะหย่าร้าง แต่ พ.ต.ท. วิฑูรย์ ยังใช้ชีวิตร่วมกันกับแอม ส่วนจุดประสงค์ที่ แอม ไปแต่งงานกับสามีใหม่ ก็เพื่อต้องการทรัพย์สิน เนื่องจากพบว่า แด้ มีทรัพย์สินจำนวนมาก


สอบปากคำอดีตสามีของแดม

จากการสอบปากคำด้วยตนเอง พล.ต.อ. สุรเชษฐ์ ระบุว่า พ.ต.ท. วิฑูรย์ ยอมรับสารภาพแล้ว ตอนนี้ ได้คุมตัวไปส่งที่ สภ.เมืองนครปฐม และพนักงานสอบสวนจะคุมตัวขออำนาจศาลจังหวัดนครปฐมฝากขัง และคัดค้านการประกันตัว เนื่องจากเกรงว่าผู้ต้องหาจะหลบหนี

กระบวนการต่อไป ตำรวจจะเชิญตัว น.ส. น้อยหน่า ซึ่งเป็น "ภรรยาน้อย" ของ พ.ต.ท. วิฑูรย์ มาสอบปากคำ เนื่องจากเป็นบุคคลใกล้ชิด และเชื่อว่ารู้เห็นการกระทำของ พ.ต.ท. วิฑูรย์

ตอนนี้ พ.ต.ท. วิฑูรย์ ได้ถูกให้ออกจากราชการแล้ว

พบคนซื้อไซยาไนด์กว่า 100 คน

ยาพิษที่ใช้ก่อเหตุสังหาร และกลายเป็นฉายา "แอม ไซยาไนด์" กลายเป็นที่รู้จักมากขึ้นในไทย ซึ่งจากการตรวจสอบของทางการพบว่า มีคนซื้อไซยาไนด์ออนไลน์มากกว่า 100 คน

ไทยพีบีเอส รายงานการสัมภาษณ์ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ว่า จากการขยายผลร้านจำหน่ายไซยาไนด์ และการสืบสวนของตำรวจพบว่า มีนักแสดงหญิงคนหนึ่งสั่งซื้อไซยาไนด์ไปด้วย และเตรียมเชิญมาให้ปากคำถึงการสั่งซื้อไซยาไนด์ไปเพื่อเหตุใด

นอกจากนั้น ได้ประสานกับอธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม ในการออกข้อบังคับฉุกเฉินให้บังคับใช้การซื้อขายสารไซยาไนด์ให้เข้มงวดมากขึ้น โดยให้ชี้แจงว่าซื้อไซยาไนด์ไปเพื่อวัตถุประสงค์ใด เพราะสารเคมีชนิดนี้ส่วนใหญ่จะใช้ในร้านทองคำ และโรงงานอุตสาหกรรม

ปัจจุบันพบว่ามีการจำหน่ายผ่านช่องทางออนไลน์จำนวนมาก ขณะนี้ยังพบบุคคลต้องสงสัยที่จะต้องเรียกมาสอบปากคำอีกมากกว่า 100 คน และหากพบความผิดก็จะต้องดำเนินการตามกฎหมาย

*ขอบคุณข้อมูลจาก ไทยพีบีเอส

"วงแชร์มรณะ"

ก่อนหน้าที่ แอม จะเข้ามอบตัว พีพีทีวี ได้ติดต่อ แอม เพื่อสอบถามข้อมูล ก่อนจะถูกควบคุมตัว โดย แอม ตอบว่า ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการกระทำความผิด พร้อมบอกว่า จะเรียกร้องความเป็นธรรม ด้วยการไปศาล และ จะไม่ให้ข้อมูลกับสื่อ

เมื่อ แอม ถูกควบคุมตัวที่สโมสรตำรวจ และผ่านการสอบปากคำหลายชั่วโมง สื่อมวลชนพยายามสอบถามผู้ก่อเหตุว่ากระทำผิดจริงหรือไม่ เธอร้องไห้แต่ไม่ตอบคำถาม มีเพียงทนายความที่ตอบแทนว่าผู้ต้องหาขอใช้สิทธิไม่ตอบคำถามและต่อสู้ทางกฎหมายเท่านั้น

พล.ต.อ. สุรเชษฐ์ สันนิษฐานว่า ผู้ก่อเหตุน่าจะต้องการทรัพย์สินของผู้ตาย รวมถึง มีพฤติกรรมเลือกเหยื่อจากคนใกล้ชิด โดยเฉพาะในแวดวงตำรวจ โดยเหยื่อจะต้องเป็นคนมีเงิน

ภายหลัง แอม ถูกจับกุม มีการเปิดเผยรายชื่อการเล่นแชร์ ที่ถูกสื่อตั้งชื่อว่า "วงแชร์มรณะ" จำนวน 6 คน รวมถึง แอม ด้วย โดยผู้เล่นแชร์เสียชีวิตเกือบทุกคน ตอนนี้ ตำรวจได้ติดต่อสมาชิกวงแชร์ที่ยังมีชีวิตอยู่ คือ "แต้ว" เป็นพยานแล้ว

แต้ว ให้สัมภาษณ์กับช่อง 3 ว่า เคยขอเงินคืน แอม แต่กลับถูกยืมเงินเพิ่ม 5 หมื่นบาท อ้างว่า ถูกคนในวงแชร์อีกคนที่เสียชีวิตไปเมื่อไม่นานนี้ ยืมเงินไป

"หนูไม่เห็นมีคนส่งในวงเลย... แล้วเขาก็ส่งรูปว่ามีผู้หญิงเป็นลม บอกว่า พี่น้อยผัก เสียชีวิตแล้ว พี่ (แอม) ต้องยุบวงแชร์นี้นะ" แต้ว ระบุ ถึงบทสนทนากับแอมเมื่อปีที่แล้ว


นายรพี ชำนาญเรือ ผู้ประสานงานเหยื่อคดี "แอม ไซยาไนด์" เข้าพบ พงส.กองปราบปราม เพื่อมาให้ข้อมูลผู้เสียชีวิตถึงความเชื่อมโยงกับแอม ที่ กองปราบปราม เมื่อวันที่ 29 เม.ย.

และนี่คือรายละเอียดการเสียชีวิตของเหยื่อ 15 ราย เป็นผู้เสียชีวิต 14 ราย และรอดชีวิต 1 ราย ตามที่ตำรวจได้เปิดเผยข้อมูล
  • ข้อหาตัวการฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน : พื้นที่ สภ.สามพราน จ.นครปฐม ซึ่งเป็นกรณี น.ส. ดาริณี เทพทวี หรือฟ้า อายุ 34 ปี เสียชีวิตเมื่อ 13 ธ.ค. 2563 จากสาเหตุกล้ามเนื้อหัวใจผิดปกติ ทรัพย์สินสูญหาย 60,000 บาท
  • ข้อหาฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา และลักทรัพย์ : พื้นที่ สภ.บ้านโป่ง จ.ราชบุรี ซึ่งเป็นกรณี น.ส. ศิริพร ขันวงษ์ หรือก้อย อายุ 33 ปี เสียชีวิตเมื่อ 14 เม.ย. 2566 ด้วยสาเหตุหัวใจล้มเหลว ทรัพย์สินสูญหายเป็นกระเป๋าแบรนด์เนม 1 ใบ โทรศัพท์มือถือ 1 เครื่อง และเงินสด 50,000 บาท
  • ข้อหาฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน : พื้นที่ สภ.ลูกแก จ.กาญจนบุรี ซึ่งเป็นกรณีนายสุรัตน์ ทรพับ หรือบี อายุ 35 ปี เสียชีวิตเมื่อ 6 ม.ค. 2564 ด้วยสาเหตุหลอดเลือดหัวใจตีบ และพบเงินจากบัญชีธนาคารของผู้ตายโอนเข้าบัญชีของแอม 60,000 บาท
  • ข้อหาฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน : พื้นที่ สภ.โพธาราม จ.ราชบุรี ซึ่งเป็นกรณี น.ส. กะณิกา ตุลาเดชารักษ์ หรือเอ๊ะ อายุ 44 ปี เสียชีวิตเมื่อ 12 ก.ย. 2565 ด้วยสาเหตุเลือดออกในสมอง ช่วงเสียชีวิต พบเงินในบัญชีธนาคารถูกถอนออกไป 300,000 บาท พร้อมโทรศัพท์มือถือ 1 เครื่อง สร้อยคอและสร้อยข้อมือทองคำ สูญหายอีกอย่างละเส้น
  • ข้อหาตัวการฆ่าผู้อื่น : พื้นที่ สภ.เมืองสมุทรสาคร จ.สมุทรสาคร ซึ่งเป็นกรณี น.ส. รสจรินทร์ นิลห้อย หรือพี่น้อยผัก เสียชีวิตเมื่อ 10 ส.ค. 2565 เสียชีวิตด้วยสาเหตุเลือดเป็นกรด เธออยู่ในวงแชร์เดียวกับ แอม
  • ข้อหาฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน : พื้นที่ สภ.เมืองนครปฐม จ.นครปฐม ซึ่งเป็นกรณี พ.ต.ต. หญิงนิภา แสนจันทร์ หรือปู อายุ 38 ปี เสียชีวิตเมื่อ 1 เม.ย. 2566 ด้วยสาเหตุระบบไหลเวียนโลหิตและการหายใจล้มเหลว ทรัพย์สินที่สูญหายประกอบด้วย เงินสด 10,000 บาท และเงินในบัญชีถูกถอน 140,000 บาท
  • ข้อหาพยายามฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน : พื้นที่ สภ.เมืองกาญจนบุรี จ.กาญจนบุรี ซึ่งเป็นกรณี นางกานติมา แพสอาด หรือปลา ผู้รอดชีวิต โดยเธอมีอาการแน่นหน้าอก หายใจไม่ออก มือชา หลังรับประทานยาที่ได้จาก แอม ขณะเดินเล่นอยู่ที่ห้างสรรพสินค้าโรบินสัน กาญจนบุรี แต่เคราะห์ดีมีผู้ให้การช่วยเหลือทัน จากการตรวจสอบพบว่า แอม ติดหนี้ กานติมา 250,000 บาท
  • ข้อหาฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน : พื้นที่ สภ.เมืองนครปฐม จ.นครปฐม ซึ่งเป็นกรณีนางมณีรัตน์ พจนารถ หรือครูต่าย เสียชีวิตเมื่อ 10 ก.ย. 2565 ด้วยสาเหตุไม่แน่ชัด
  • ข้อหาฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน : พื้นที่ สภ.เมืองนครปฐม จ.นครปฐม ซึ่งเป็นกรณี ร.ต.อ.หญิง กานดา โตไร่ หรือนุ้ย อายุ 36 ปี เสียชีวิตเมื่อ 10 ส.ค. 65 ด้วยสาเหตุระบบไหลเวียนโลหิตและหายใจล้มเหลว
  • ข้อหาตัวการฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน : พื้นที่ สภ.ดอนตูม จ. นครปฐม ซึ่งเป็นกรณี น.ส.ผุสดี สามบุญมี หรือครูอ๊อด อายุ 39 ปี เสียชีวิตเมื่อ 20 พ.ย. 2565 ด้วยอาการไม่แน่ชัด เธออยู่ในวงแชร์เดียวกับ แอม
  • นางจันทร์รัตน์ วงศ์ไกรสิณ - เสียชีวิต 15 ส.ค. 2565 ใน จ.เพชรบุรี
  • นายสุทธิศักดิ์ พูนขวัญ หรือแต้ อายุ 35 ปี - เสียชีวิตด้วยสาเหตุหัวใจเต้นผิดจังหวะ เมื่อ 12 มี.ค. 2566 ที่บ้านพักใน จ. อุดรธานี ทรัพย์สินที่สูญหายมีทั้งสร้อยคอทองคำ และสร้อยข้อมือทองคำ น้ำหนักรวม 8 บาท พระเครื่องมูลค่า 100,000 บาท พร้อมเงินสดอีกจำนวนหนึ่ง
  • น.ส. นิตยา แก้วบุปผา หรือนิด โฟร์แมนคุมงาน – เสียชีวิตจากหัวใจวาย เมื่อ 23 ส.ค. 2563 ใน จ.นครปฐม สนิทกับแอม รู้จักมาตั้งแต่ปี 2563 มีเรื่องการกู้ยืมเงิน
  • น.ส. สาวิตรี บุตรศรีรักษ์ หรือหนิม อายุ 40 ปี ภรรยานายดาบตำรวจ ตม.บึงกาฬ - เสียชีวิตเมื่อ 25 พ.ย. 2563 ใน จ.มุกดาหาร หลังได้รับยาลดน้ำหนักมาจากแอม มีการร่วมวงแชร์ และแอมติดหนี้ผู้ตายหลักแสนบาท
ส่วนผู้ที่มีอาการป่วย แต่รอดชีวิต คือ น.ส. กานติมา แพสอาด หรือ ปลา อายุ 36 ปี – มีอาการแน่นหน้าอก หายใจไม่ออก มือชา หลังรับประทานยาที่ได้จาก แอม ขณะเดินเล่นอยู่ที่ห้างสรรพสินค้าโรบินสัน กาญจนบุรี แต่เคราะห์ดีมีผู้ให้การช่วยเหลือทัน จากการตรวจสอบพบว่า แอม ติดหนี้ กานติมา 250,000 บาท

ที่มา : ไทยรัฐ, คมชัดลึก

ลักษณะของ "ฆาตกรต่อเนื่อง" เป็นอย่างไร

เนื่องจากคดีฆาตกรรมต่อเนื่องเกิดขึ้นในสังคมไทยได้ไม่บ่อยครั้ง บีบีซีไทยจึงรวบรวมข้อมูลที่น่าสนใจเพื่ออธิบายและทำความเข้าใจเกี่ยวกับลักษณะของฆาตกรต่อเนื่อง (serial killer) ดังนี้

ข้อมูลจากเว็บไซต์ห้องสมุดสุขภาพจิต ของกระทรวงสาธารณสุข อธิบายลักษณะของ "ฆาตกรต่อเนื่อง" โดยอ้างคำนิยามโดยสำนักงานสอบสวนกลางของสหรัฐอเมริกา หรือ FBI หมายถึง ฆาตกรที่ฆ่าคนอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป เพื่อสนองความต้องการหรือความพึงพอใจทางจิตใจ โดยจะมีช่วงว่างเว้นระหว่างเหยื่อแต่ละราย ซึ่งต่างจากฆาตกรรมหมู่ที่จะสังหารบุคคลหลาย ๆ คนในคราวเดียวกัน



ฆาตกรต่อเนื่องส่วนใหญ่เป็นการกระทำของบุคคลเดียว แรงจูงใจในการกระทำความผิด อาจมีได้ตั้งแต่ความโกรธ แสวงหาความตื่นเต้น ผลประโยชน์ทางการเงิน และการเรียกร้องความสนใจ วิธีการในการกระทำมักจะเป็นรูปแบบเดิม ๆ ซ้ำ ๆ และเหยื่อมักจะมีลักษณะบางอย่างร่วมกันเช่น ลักษณะทางประชากร รูปร่างลักษณะ เพศ และเชื้อชาติ

ลักษณะที่พบได้บ่อย ๆ มีอะไรบ้าง
  • ความผิดปกติทางจิต หรือความผิดปกติทางบุคคลิกภาพ
  • มักมีประวัติถูกทำทารุณกรรมทางร่างกาย ทางจิตใจ หรือทางเพศจากสมาชิกในครอบครัว
  • อาจมีลักษณะของพฤติกรรมทางเพศที่เบี่ยงเบนร่วมด้วย
  • ระดับสติปัญญาอยู่ในระดับปกติหรือต่ำกว่าปกติ
  • บ่อยครั้งที่ฆาตกรมักถูกกลั่นแกล้งหรือแยกตัวจากสังคมในวัยเด็ก
  • มีประวัติกระทำความผิดเล็ก ๆ น้อย ๆ เช่น หลอกลวง ลักขโมย ก้าวร้าวรุนแรง

สารไซยาไนด์มีฤทธิ์ต่อเหยื่ออย่างไรบ้าง

ในกรณีล่าสุด เจ้าหน้าที่ตำรวจคาดว่า ผู้ต้องหารายนี้ใช้สารไซยาไนด์ในการสังหารเหยื่อ เนื่องจากออกฤทธิ์เร็ว


โพแทสเซียมไซยาไนด์มีลักษณะเป็นเกล็ดของแข็งผลึกสีขาว มีกลิ่นจาง ๆ คล้ายอัลมอนด์ สามารถละลายน้ำได้ดีและไม่มีสี

ในบทความเรื่อง "ย้อนรอยประวัติศาสตร์ การฆ่าด้วยยาพิษ" ที่เผยแพร่ทางเว็บไซต์บีบีซีไทยเมื่อวันที่ 16 ก.พ. 2560 ระบุถึงบทสัมภาษณ์ของ พญ. คุณหญิงพรทิพย์ โรจนสุนันท์ ที่ปรึกษากระทรวงยุติธรรมของไทยในขณะนั้นกับสำนักข่าวเอเอฟพี ระบุ "สารไซยาไนด์ ทำให้เหยื่อเสียชีวิตเร็วที่สุด และตรวจพบง่ายที่สุด โดยจะแสดงอาการไปทั่วร่างกาย" หากการชันสูตรศพของเหยื่อพบว่ามี "เลือดสีแดงสด" ก็อาจเป็นสัญญาณของการโดนพิษจากสารไซยาไนด์ได้

นอกจากนี้ สารเคมีอย่างโพแทสเซียม ไซยาไนด์ ยังทำให้เกิด "ภาวะหัวใจเต้นผิดปกติรุนแรง ที่นำไปสู่การเกิดหัวใจวายได้ในเวลาอันรวดเร็ว"

สำหรับสารพิษที่ออกฤทธิ์ช้า อาจเปิดโอกาสให้ผู้ร้ายหลบหนีออกจากสถานที่ก่อเหตุได้โดยไม่ถูกตรวจพบ แต่ พญ. พรทิพย์ กล่าวเสริมว่า สารประกอบเหล่านี้เก็บรักษาหรือจับต้องได้ไม่ง่ายนัก และหลายอย่างอาจทิ้งร่องรอยตกค้าง กลิ่น หรือสี ที่ทำให้ซ่อนได้ยาก

https://www.bbc.com/thai/articles/cxelv3lm0p3o


อย่าแก้แค่ปลายเหตุ เสียงหวีดร้องของ “เหยื่อ”ริมน้ำเมย กับการเพิกเฉยของรัฐบาลไทย คำถามที่น่าคิดกว่านั้นคือ “รัฐบาลไทยไม่รู้สึกอะไรเลยหรือ?”


Paskorn Jumlongrach
18h ·

อย่าแก้แค่ปลายเหตุ
-----
ภาพนี้คือบรรยากาศ
ในห้องทำงานแห่งหนึ่ง
ภายในแหล่งอาชญากรรมริมแม่น้ำเมย
ซึ่งมีเหยื่อจากหลายชาติ
ถูกบังคับให้ทำงานคอลเซ็นเตอร์
เห็นข่าวคณะรัฐมนตรีไทย
พยายยามตีปี๊บว่าได้ทำอะไรไปบ้างแล้ว
ในการจับกุม-ปราบปรามขบวนการ
ตุ้มตุ๋นทางออนไลน์และอาชญากรรมข้ามชาติ
มีการรายงานตัวเลขผลงานต่างๆมากมาย
แต่ทั้งหมดเป็นเพียงปลายเหตุ
เพราะต้นตอทั้งหลาย
อยู่ที่แหล่งอาชญกรรมรอบประเทศไทย
ขณะนี้มีเหยื่อชาวต่างๆชาติมากมาย
ทั้งถูกหลอกและสมัครใจไปทำงาน
บางแหล่งมีคนไทยเข้าไปอย่างสมัครใจเช่นกัน
แต่รัฐบาลไทยไม่เคยจริงจังที่ีจะปราบปราม
ส่วนหนึ่งเพราะอมนุษย์จีนเทาเหล่านี้
เชื่อมโยงผลประโยชน์มาถึง
นักการเมืองและข้าราชการระดับสูงของไทย
จึงไม่มีใครอยากลูบหน้าปะจมูก
รัฐมนตรีบางคนบอกว่าแหล่งอาชญากรรมเหล่านี้
อยู่นอกแผ่นดินไทยจึงทำอะไรไม่ได้
เป็นข้ออ้างที่ฟังไม่ขึ้น
เพราะทราบดีกันว่าทั้งลูกพี่ใหญ่ของจีนเทา
และลูกพี่ใหญ่ของกองกำลังติดอาวุธที่ดูแลพื้นที่
ต่างก็พึ่งพาแผ่นดินไทยเป็นระเบียงอาชญากรรม
ผู้นำบางส่วนนั่งกินเหล้าอยู่กับ
หัวหน้าหน่วยงานด้านความมั่นคงในพื้นที่เป็นประจำ
แค่ผู้นำรัฐบาลหรือผู้บริหาประเทศจริงจัง
ส่งสัญญาณลงไปยังระดับปฎิบัติการ
ทำให้เกิดความชัดเจนในนโยบาย
ขบวนการต้มตุ๋นทางออนไลน์พวกนี้ก็อยู่ยากแล้ว
ที่น่าสงสารคือเหยื่อการค้ามนุษย์
ที่ถูกหลอกลวงมาจากทั่วโลก
ยังคงถูกกักขังอยู่ในแหล่งอาชญากรรมเหล่านี้จำนวนมาก
พวกเขาวิงวอนให้รัฐบาลไทยช่วย
เหมือนกับที่รัฐบาลจีนส่งเครื่องบินมา อ.แม่สอด
รับคนของเขานับพันคนกลับไปได้ฉลุย
แต่กลับไม่มีเสียงตอบรัฐใดๆจากรัฐบาลไทย
หรือคำว่า "มนุษยธรรม"ข้ามแดน
ที่รัฐบาลไทยพูดถึงเป็นเพียงน้ำยาบ้วนปาก
-----
อนึ่ง ผมเขียนรายงานเรื่องเหยื่อค้ามนุษย์ริมน้ำเมย
ไปเมื่อวันก่อน ภาษาไทย https://transbordernews.in.th/home/?p=40580
ภาษาอังกฤษ (https://transbordernews.in.th/home/?p=40589)
.....

เสียงหวีดร้องของ “เหยื่อ”ริมน้ำเมย กับการเพิกเฉยของรัฐบาลไทย


ภาสกร จำลองราช
สำนักข่าวชายขอบ

“พี่ว่าหนูจะได้ออกจากที่นี่มั้ย?” คำถามที่เกิดขึ้น ทำให้เกิดความเงียบงันทันที เพราะไม่มีใครตอบได้

กว่า 3 สัปดาห์แล้วที่หญิงสาวชาวลาวพร้อมเพื่อนร่วมชาติอีก 18 คนได้ร้องขอให้นายกรัฐมนตรีแห่งประเทศไทย รวมทั้งหน่วยงานต่างๆ ของไทย อาทิ กระทรวงกลาโหม กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงมหาดไทย ประสานความช่วยเหลือเพื่อเอาตัวพวกเธอที่ตกเป็นเหยื่อขบวนการค้ามนุษย์อยู่ริมแม่น้ำเมย เมืองเมียวดี ประเทศพม่า ตรงข้าม อ.พบพระ จ.ตาก ออกมาจากแหล่งอาชญากรรมของมาเฟียจีน



นอกจากคนลาว 19 คนแล้ว ยังมีเหยื่อจากชาติต่างๆไม่น้อยกว่า 10 ชาติ ที่ประสานขอความช่วยมายังเครือข่ายภาคประชาสังคมเพื่อช่วยเหลือเหยื่อค้ามนุษย์ (Civil Society Network for Victim Assistance in Human Trafficking) และร้องขอไปยังรัฐบาลไทยจากเดิมที่มีตัวเลขผู้ถูกกักขัง 110 คนได้เพิ่มเป็นกว่า 300 คน โดยตัวเลขที่พุ่งพรวดเพราะสถานทูตหลายแห่งซึ่งได้รับเรื่องร้องเรียนขอความช่วยเหลือจากพลเมืองของตัวเองที่กำลังถูกกักขังอยู่แหล่งอาชญากรรมริมแม่น้ำเมย แต่สถานทูตไม่มีศักยภาพเพียงพอที่จะช่วยเหลือได้ จึงส่งรายชื่อให้กับเครือข่ายฯ เพื่อช่วยเหลือคนเหล่านี้

แหล่งอาญชากรรมริมแม่น้ำเมย ในเมืองเมียวดีอยู่ภายใต้อิทธิพลของกองกำลังพิทักษ์ชายแดนกะเหรี่ยง (Karen Border Guard Force- BGF) และกองกำลังกะเหรี่ยงพุทธประชาธิปไตย (Democratic Karen Buddhist Army – DKBA) ฝั่งตลบข้าม อ.แม่สอด และอ.พบพระ จ.ตาก โดยตลอดลำน้ำมีแหล่งอาชญากรรมมากมาย บางแห่งเป็นจุดพักสำหรับค้ามนุษย์ชาวโรฮิงญา บางแห่งเป็นแหล่งยาเสพติด แต่ที่เฟื่องฟูสุดคือแหล่งต้มตุ๋นหลอกลวงทางออนไลน์



กล่าวได้ว่า แหล่งอาชญากรรมเหล่านี้อยู่ได้เพราะมีประเทศไทยเป็นระเบียงสนับสนุนกิจกรรมของพวกเขา นับตั้งแต่การหลอกลวงคนทั่วโลกไปทำงานเป็นคอลเซ็นเตอร์ หรือสแกมเมอร์ รวมถึงการเรียกค่าไถ่ ซึ่งเกือบ 100% ใช้เส้นทางผ่านแผ่นดินไทย โดยมากนั่งเครื่องบินมาลงที่สนามบินสุวรรณภูมิ ยกเว้นประเทศลาว จากนั้นมีรถตู้ไปรับไปส่งที่ อ.แม่สอด หรือบางส่วนนั่งเครื่องบินจากดอนเมืองหรือสุวรรณภูมิ มาลงที่สนามบินแม่สอด

ข้อมูลเหล่านี้เป็นข้อเท็จจริงในบันทึกการให้ปากคำของเหยื่อไว้ซึ่งกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์(พม.)ทำไว้ระหว่างการคัดแยกเหยื่อค้ามนุษย์ตามกลไกการส่งต่อระดับชาติ ( National Referral Mechanism – NRM) ซึ่งน่าแปลกใจว่า ข้อมูลเหล่านี้ไม่เคยมีการนำไปขยายผลเลย ทั้งๆที่ระบุไว้ชัดเจนว่า มีการใช้เส้นทางไหน และมีจุดพักต่างๆ ที่ใดบ้าง

พื้นที่แหล่งอาชญากรรมริมแม่น้ำเมย ฝั่งเมียวดี อยู่ภายใต้การดูแลของกองกำลังกะเหรี่ยงทั้ง 2 กลุ่ม ซึ่งเหมือนไข่แดงที่ล้อมด้วยพื้นที่สนามรบระหว่างกองทัพกองทัพปลดปล่อยชาติกะเหรี่ยง หรือเคเอ็นแอลเอ (Karen National Liberation Army–KNLA) แห่งสหภาพแห่งชาติกะเหรี่ยงหรือเคเอ็นยู (Karen National Union-KNU) กับกองทัพพม่า โดยมีแม่น้ำเมยและชายแดนไทยเป็นผนังพิง โดย KNU ก็ไม่สามารถจัดการอะไรได้ เพราะผู้บริหารส่วนหนึ่งของ KNU ก็เข้าไปพัวพันผลประโยชน์สีดำนี้ ที่สำคัญคือกลายเป็นเรื่องเชิงยุทธศาสตร์ในพื้นที่ เพราะไม่อยากเปิดศึกหลายด้าน


มาเฟียจีนนั่งเรือข้ามแม่น้ำเมยพรมแดนไทย-พม่า ช่องทางธรรมชาติ ได้อย่างสะดวก

เหล่ามาเฟียจีนและผู้นำกองกำลัง DKBA และ BGF ต่างใช้แผ่นดินไทยเป็นประตู gateway สู่แหล่งอาชญากรรม ดังเห็นได้จากทุกๆ เที่ยวบินที่มาลงแม่สอด มีวันรุ่นชาวจีนครึ่งค่อนลำและคนกลุ่มนี้มีรถตู้หรูหรามารับ และหายไปจากแม่สอด ซึ่งเจ้าหน้าที่หน่วยงานราชการที่รับผิดชอบต่างก็ทราบข้อมูลกันดี แต่เสมือนหลับตาข้างหนึ่ง เช่นเดียวกับการนำตัวเหยื่อมาลงที่สนามบินแม่สอดและปล่อยให้เหล่ามาเฟียจีนพาตัวข้ามแม่น้ำเมยออกไปตามช่องทางธรรมชาติ เป็นช่องทางผิดกฎหมายที่มี “สินบน” เป็นตัวนำ

เพียงแค่การตั้งด่านตรวจชาวต่างชาติทุกคนที่เข้าพื้นที่แม่สอด ก็จะสามารถแก้ปัญหาได้ระดับหนึ่ง แต่ทุกวันนี้แม้มีการชี้แนะไปหลายครั้ง แต่ไม่เคยได้รับการสนองตอบจากฝ่ายที่เกี่ยวข้อง เนื่องจากอิทธิพลเงินของเหล่ามาเฟียจีนสามารถบดบังได้หลายระดับ

“ถ้าเขาจับได้ว่าพวกหนูติดต่อให้คนมาช่วย เขาจะเอาเราไปทรมาน เอาไปขังในคุกมืด เอาเชือกผูกแขน และตี หรือช็อตด้วยไฟฟ้า เคยมีคนพยายามหนี แต่ถูกจับได้ คนอินเดียส่งโลเคชั่นไปให้สถานทูต สุดท้ายถูกขังห้องมืดและช็อตไฟฟ้า ถูกตีอยู่ 4-5 วัน จนกว่าจะสะใจ หนูเองก็เคยถูกถูกทำร้ายทุบตีเพราะทำงานไม่ได้เป้า เขาเอาเครื่องใช้ไฟฟ้าช็อตที่แขน บางคนก็ถูกช็อตที่ก้น” หญิงสาวชาวลาวอธิบายความโหดร้ายของแก๊งค้ามนุษย์ชาวจีนที่กระทำกับเหยื่อ



หญิงชาวลาวรายนี้เธอเข้ามาขายแรงงานในประเทศไทยก่อน หลังจากนั้นมีเพื่อนชวนไปทำงานอีกที่หนึ่งที่อ้างว่ามีรายได้ดีกว่า สุดท้ายเธอถูกหลอกไปยังแหล่งอาชญากรรมริมแม่น้ำเมย และที่นั่นมีคนลาวอีก 18 คนซึ่งถูกหลอกมาจากพื้นที่ต่างๆในประเทศลาวมาอยู่ที่นี่ แม้พวกเธอพยายามร้องเรียนไปยังสถานทูตลาวในพม่า แต่คำตอบที่ได้คือ “พื้นที่นั่น รัฐบาลพม่าก็เข้าไปไม่ได้” ทำให้พวกเธอแทบสิ้นหวัง

เช่นเดียวกับเหยื่อชาวบังคลาเทศ อินเดีย เคนยา อินโดนีเซีย มาเลเซีย ที่รัฐบาลของตัวเองไม่สามารถช่วยเหลืออะไรได้ซึ่งเป็นความอ่อนแอทางการทูต เมื่อรัฐบาลเจ้าของพื้นที่คือรัฐบาลพม่า และรัฐบาลไทย ไม่ยื่นมือเข้าช่วยก็ทำอะไรไม่ได้ ยกเว้นกรณีของรัฐบาลจีน

เมื่อวันที่ 29 กุมภาพันธุ์ 2567 รัฐบาลจีนได้ส่งเครื่องบินมารับเหยื่อชาวจีน รวมทั้งจับกุมมาเฟียจีน รวมแล้วนับพันคน จากสนามบินแม่สอดกลับสู่ประเทศจีนโดยใช้เวลาขนย้ายชาวจีนอยู่ 3 วัน ซึ่งปฎิบัติการนี้เป็นความลับ แต่มีข่าวหลุดออกมาถึงนักข่าว แต่ปฎิบัติการครั้งนี้ลุล่วงไปได้ด้วยดี แต่กลายเป็นคำถามว่า เหตุใดทางการจีนจึงสามารถเข้าไปจับกุมมาเฟียจีนในเขตอิทธิพลของกองกำลังติดอาวุธกะเหรี่ยง DKBA และ BGF ได้ แถมยังใช้สนามบินแม่สอดเป็นฐานในปฎิบัติการขนย้ายคนจีนกลับในครั้งนี้

คำถามที่น่าคิดกว่านั้นคือ “รัฐบาลไทยไม่รู้สึกอะไรเลยหรือ?”

วันนี้เหยื่อของแก๊งมาเฟียจีนจากนานาชาติยังถูกกักขังและทรมานอยู่ในแหล่งอาชญากรรมริมแม่น้ำเมยนับร้อยนับพันคน วันดีคืนดีก็มีศพชาวต่างชาติลอยตามลำน้ำเมยมาติดอยู่ฝั่งไทยและถูกเขี่ยออกไปที่อื่น แม้จะมีการส่งข้อมูลและพิกัดให้กับผู้นำรัฐบาลไทยไปแล้วกว่า 3 สัปดาห์ แต่กลับไม่มีการสนองตอบใดๆสะท้อนให้เห็นทั้งด้านมโนธรรมและมนุษยธรรม

ปัจจุบันแผ่นดินไทยด้าน อ.แม่สอด และอ.พบพระ ยังคงทำหน้าที่เป็นประตูสู่นรกได้อย่างดีและยังมีเหยื่อหลากหลายชาติถูกหลอกข้ามฟากไปอย่างต่อเนื่อง เพราะฉะนั้นการที่นายกรัฐมนตรีแห่งประเทศไทย พยายามป่าวประกาศความร่วมมือกับชาตินั้นชาตินี้ ในการปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์และอาชญากรรมข้ามชาติจึงเป็นเพียงน้ำยาป้วนปากเท่านั้น ตราบใดที่เสียงหวีดร้องขอความช่วยเหลือยังดังต่อเนื่องมาจากริมแม่น้ำเมย

https://transbordernews.in.th/home/?p=40580


นับ 1 ถึง 44 เขตทางทะเล ไทย-กัมพูชา ท่านเคยฉุกคิดไหมว่า ทำไมเขตทางทะเลมันถึงมีหลายเส้น ทำไมไม่ขีดเส้นเดียวให้มันจบๆ ไป เหมือนเส้นเขตแดนทางบก ???

Akkharaphong Khamkhun
1d ·

นับ 1 ถึง 44 เขตทางทะเล ไทย-กัมพูชา
ท่านเคยฉุกคิดไหมครับว่า ทำไมเขตทางทะเลมันถึงมีหลายเส้น ทำไมไม่ขีดเส้นเดียวให้มันจบๆ ไป เหมือนเส้นเขตแดนทางบก ???
ที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะกฎหมายระหว่างประเทศว่าด้วยทะเล กำหนดเอาไว้ว่า เขตทางทะเล Maritime Zone มีทังหมด 6 เส้น/ลักษณะ มันไม่ได้มีแต่เฉพาะเส้น ทะเลอาณาเขต (Territorial Sea)
เนื่องจากพื้นที่ในทะเล นั้น “อำนาจอธิปไตยของรัฐจะลดลงไปเรื่อยๆ ตามระยะทางที่ไกลออกไปจากชายฝั่ง” หรือ พูดอีกแบบหนึ่งก็คือ รัฐไม่ได้มีอำนาจเต็มร้อยในแต่ละเส้นของเขตทางทะเล
ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว คนที่แล่นเรือในทะเลเขารู้กันทั่วทั้งนั้นแหละครับว่า เส้นไหนเป็นเส้นไหน เขาจะไปไหนมาไหน เขาระแวดระวังกันอยู่แล้ว ไม่ต้องห่วงครับ
คำว่า เขตทางทะเล Maritime Zone ไม่ใช่ เส้นเขตแดนทางทะเล Sea Boundary Line เพราะเราจะไม่เดินลงไปปักปันเส้นเขตแดน หรือ เราจะไม่ขีดเส้นอาณาเขตในท้องทะเล ไม่เหมือนกับเขตแดนทางบก Land Boundary แต่ในทางกฎหมายทะเลทั้ง ฉบับปี 1958 และ UNCLOS 1982 กำหนดให้ รัฐต้องกำหนดเส้น/ขีดเส้น “ฐาน Baseline” ซึ่งคนเดินเรือเขาก็รู้ด้วยว่าอยู่ตรงๆ ไหน เกือบทุกประเทศในโลกมีการประกาศเส้นฐาน จะเป็นเส้นฐานปรกติ เส้นฐานตรง หรือ เส้นฐานตรงหมู่เกาะ ก็ขึ้นอยู่กับสภาพภูมิศาสตร์ของชายฝั่งและหมู่เกาะที่จะเอื้ออำนวยให้ขีดได้ และส่วนมากก็ขีดให้ตนเองได้มากที่สุดเท่าที่จะขีดได้
ดังนั้น ถ้านับ 1 ด้วยความเข้าใจแบบนี้ก่อน เส้นอื่นค่อยว่ากันต่อไป
เมื่อเรารู้จักกันไปแล้ว 1 เส้น คือ เส้นฐาน ดังนั้น ขอให้ทุกท่านนับ 1 จากเส้นนี้ วัดเข้ามาจาก เส้นฐาน ถึงฝั่งแผ่นดินเรียกว่า 1.น่านน้ำภายใน (Internal Water) แต่ถ้าวัดห่างออกไปจากเส้นฐานเป็นระยะ 12 ไมล์ทะเล เรียกว่า 2.ทะเลอาณาเขต (Territorial Sea) เขตทางทะเลใน 2 ส่วนนี้ เรามีอำนาจอธิปไตย (Sovereignty) สมบูรณ์เต็มที่ ใครบุกรุกล้ำก้ำเกินเข้ามาโดยไม่สุจริต ไม่ว่าจะลอยมาบนผิวน้ำ จะถลามาบนอากาศ หรือ จะดำน้ำมุดเข้ามา ฝ่ายเราก็สามารถยิงได้เลย เราไม่ได้ทำผิดกฎหมายระหว่างประเทศ โลกไม่ติเตียน ไม่ต้องกลัวหากต้องไปขึ้นศาล จบนะ
เส้นต่อมา คือ วัดต่อไปจากจุดสุดท้ายของทะเลอาณาเขตออกไปอีก 12 ไมล์ทะเล เรียกว่า 3.เขตต่อเนื่อง (Contiguous Zone) ซึ่งตามกฎหมายทะเลกำหนดเอาไว้ชัดเจนว่า รัฐชายฝั่งมีเฉพาะสิทธิอธิปไตย (Sovereign Rights) หมายถึง ทำได้แค่ป้องกันและลงโทษ ผู้ที่ฝ่าฝืนข้อบังคับเกี่ยวกับศุลกากร การคลัง การเข้าเมือง หรือ การสุขาภิบาล เท่านั้น ย้ำว่า ทำได้เพียงเท่านั้น ตัวอย่างเช่น ถ้าเราสงสัยว่ามีเรือลำหนึ่งขนแรงงานเถื่อนหรือขนของหนีภาษีเข้ามาในน่านน้ำไทย เราจะไปจับเรือลำนั้นสุ่มสี่สุ่มห้าไม่ได้ เราต้องเช็ค GPS ให้แน่ใจก่อนว่า เรือลำนี้อยู่ภายในระยะ 24 ไมล์ทะเลจากเส้นฐานของประเทศไทยหรือไม่ เพราะถ้าเกิดไปจับเขาแล้วส่งเรื่องขึ้นฟ้องศาล สุดท้ายปรากฏว่า มีหลักฐานแน่ชัดพิสูจน์ได้ว่าเรือลำนี้ไม่ได้อยู่ภายในระยะ 24 ไมล์ทะเลตามที่กฎหมายทะเลกำหนดเอาไว้ ฝ่ายเราจะต้องปล่อยเขาไปและยังอาจจะถูกฟ้องเรียกร้องค่าเสียหายได้ด้วย
เส้นต่อมาคือ 4. เขตเศรษฐกิจจำเพาะ (Exclusive Economic Zone) ให้วัดจากเส้นฐานออกไปได้ไม่เกิน 200 ไมล์ทะเล (เส้นนี้ไม่มีในกฎหมายทะเลปี 1958) แต่ในกฎหมายทะเลปี 1982 ยิ่งลดความสำคัญของอำนาจรัฐลงอีก เพราะทำได้แค่ สำรวจ Exploration แสวงประโยชน์ Exploitation อนุรักษ์ Conservation จัดการ Management ทรัพยากรในพื้นดินท้องทะเล sea-bed ดินใต้ผิวดิน subsoil ห้วงน้ำ water และแสวงประโยชน์ทางเศรษฐกิจ พัฒนาพลังงานน้ำ/ลม ทั้งที่มีชีวิตและไม่มีชีวิต สามารถสร้าง/อนุญาตให้สร้างสิ่งก่อสร้าง/เกาะ(เทียม) ทำการวิจัยค้นคว้าคุ้มครอง สงวนรักษาสิ่งแวดล้อม และออกกฎหมายควบคุมได้ ลองอ่านรายละเอียดดูในกฎหมาย ผมแปะลิงค์ไว้ให้แล้ว เราทำได้เท่านั้นจริงๆ จะไปยิงหรือจะไปจมเรือเขานี่ โดนฟ้องแน่ๆ อันนี้โลกติเตียน
เส้นต่อมา คือ 5. เส้นไหล่ทวีป (Continental Shelf) ซึ่งเป็นเรื่องของพื้นดินท้องทะเล (seabed) และดินใต้ผิวดิน (subsoil) ของบริเวณใต้ทะเล กฎหมายกำหนดไว้ว่า เราทำได้แต่เพียงแสวงประโยชน์ทรัพยากรธรรมชาติในพื้นดิน/ดินใต้ผิวดิน และเราต้องยินยอมให้มีการวาง/บำรุงรักษาสายหรือท่อใต้น้ำของรัฐชายฝั่งอื่นด้วย แค่นั้นเลย ไม่ได้ให้ทำอย่างอื่นเลย เราไม่มีอำนาจเหมือน 4 เส้นแรก ครับ และยิ่งเส้นสุดท้ายคือ 6.ทะเลหลวง (High Sea) อันนี้ไม่ต้องพูดถึง ตัวใครตัวมัน
อ่านมาถึงตอนนี้ คงจะพอเข้าใจแล้วว่าทำไม ทะเล ถึงมีเส้นเยอะจัง มีตั้ง 6 เส้น/ลักษณะ และอาณาเขตของแต่ละเส้นก็มีอำนาจหน้าที่ต่างกันตามที่กำหนดเอาไว้ในกฎหมายทะเล ซึ่งในปัจจุบัน ถ้าเกิดข้อพิพาทถึงขนาดต้องขึ้นโรงขึ้นศาลกันเราก็จะใช้ UNCLOS 1982 เป็นหลัก
ทีนี้มานับต่อไปให้ถึง 44 กัน ครับ!!!
MOU 44 หรือชื่อเต็มๆ ในภาษาอังกฤษ คือ Memorandum of Understanding between the Royal Thai Government and the Royal Government of Cambodia regarding the Area of their Overlapping Maritime Claims to the Continental Shelf หรือแปลเป็นภาษาไทยว่า บันทึกความเข้าใจระหว่างราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรกัมพูชาว่าด้วยพื้นที่ที่ไทยและกัมพูชาอ้างสิทธิ์ในไหล่ทวีปทับซ้อนกัน โปรดอ่านใหม่อีก 3 รอบ เขาคุยกันเรื่องอะไรครับ??? ใช่แล้ว ไหล่ทวีป ไหล่ทวีป ไหล่ทวีป ครับ แล้วทีนี้กลับไปอ่านตั้งแต่เริ่มบทความนี้ คำว่า ไหล่ทวีป ตามหลักกฎหมายระหว่างประเทศ เขาอนุญาตให้รัฐชายฝั่งทำอะไรได้บ้างครับ อ่านอีกทีนะครับ!!!
บันทึกความเข้าใจนี้ ลงนามกันไปเมื่อวันที่ 18 มิถุนายน 2544 โดยมีเนื้อหาว่า ให้ทั้งสองฝ่ายตกลงบนพื้นฐานที่ยอมรับได้ร่วมกันในการแสวงประโยชน์ทรัพยากรปิโตรเลียมในพื้นที่อ้างสิทธิทับซ้อน โดยให้ จัดทำความตกลงสำหรับการพัฒนาร่วมทรัพยากรปิโตรเลียมตามเอกสารแนบท้าย และ ยังกำหนดให้ทั้งสองฝ่ายตกลงแบ่งเขตร่วมกันในทะเลอาณาเขต ไหล่ทวีป และเขตเศรษฐกิจจำเพาะ ตามหลักกฎหมายระหว่างประเทศ ทั้งนี้ ในข้อ 5 ก็ได้กำหนดไว้ชัดว่า “ภายใต้เงื่อนไขการมีผลใช้บังคับของการแบ่งเขตสำหรับการอ้างสิทธิทางทะเลของภาคีผู้ทำสัญญาในพื้นที่ที่ต้องมีการแบ่งเขต บันทึกความเข้าใจนี้และการดำเนินการทั้งหลายตามบันทึกนี้จะไม่มีผลกระทบต่อการอ้างสิทธิทางทะเลของแต่ละภาคีผู้สำสัญญา” หมายความว่า ถ้ายังไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงระหว่างนี้ ก็ให้ถือว่า MOU 44 นี้จะไม่กระทบต่อการอ้างสิทธิ์ของทั้งสองฝ่าย
คำถาม คือ แล้วตัวเอกสารแนบท้ายที่หลายคนกังวลว่า มีการขีดเส้นไปคร่อม/อ้อมเกาะกูด จะทำให้เราเสียดินแดนหรือไม่
ขอตอบว่า ไม่เกี่ยวกัน ไม่เกี่ยวกัน ไม่เกี่ยวกัน
เพราะเส้นนั้น คือ เส้นไหล่ทวีป ของกัมพูชาที่ขีดขึ้นในปี พ.ศ.2515/ค.ศ.1972 (No.439-72/PRK) ซึ่งมีสิทธิ์ทำได้แค่ไม่กี่อย่าง ส่วนฝ่ายไทยเอง เราก็มีการประกาศเส้นฐานที่ชัดเจนตั้งแต่ปี พ.ศ.2513/ค.ศ.1970 (ราชกิจจานุเบกษา เล่มที่ 87 ตอนที่ 52/12 มิถุนายน 2513) ซึ่งการประกาศ เส้นฐาน มีความหมายว่า วัดจากจุดนี้ออกไปเป็นระยะ 12 ไมล์ทะเล นั่นคือ อำนาจอธิปไตยสมบูรณ์ในพื้นที่ทะเลอาณาเขต (Territorial Sea) ทั้งบนผิวน้ำ ใต้น้ำ และในอากาศ ล้วนเป็นอำนาจเต็มของเรา ในทำนองเดียวกัน เส้นไหล่ทวีปที่เราประกาศในปี พ.ศ.2516/ค.ศ.1973 (ราชกิจจานุเบกษา เล่ม 90 ตอนที่ 60/1 มิถุนายน 2516) ก็ทำได้แค่ไม่กี่อย่าง จะไปยิงกันก็ไม่ได้ครับ
สรุปว่า รัฐมีอำนาจอธิปไตยในพื้นที่ ทะเลอาณาเขต มากกว่าในพื้นที่ ไหล่ทวีป จบนะครับ จะไปกังวลอะไรครับ ถ้าอ้างสิทธิ์ไหล่ทวีปทับซ้อน แต่มาทับซ้อนกับทะเลอาณาเขตของเรา เราก็ทำหน้าที่ไปตามกฎหมายระหว่างประเทศครับ ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว คนเดินเรือ คนทะเลเขารู้ว่าอะไรเป็นอะไรครับ ที่สำคัญ ใน MOU 44 เขาไม่ได้ให้ทั้งสองฝ่ายมาตกลงกันว่าจะขุดเจาะหาปิโตรเลียมในพื้นที่บริเวณนี้เลย เขาแยกพื้นที่บริเวณนี้เอาไว้สำหรับตกลงกันเรื่อง เขตทางทะเล ครับ อ่านดีๆ อ่านใหม่ อ่านช้าๆ จะได้ไม่ทะเลาะกันครับผม
เอวังก็ขอจบลงเพียงเท่านี้!!! มีอะไรก็ส่งข้อความมาถามกันได้ akhamkhun@gmail.com

(https://www.facebook.com/photo/?fbid=10229084450276091&set=a.1485379174635)


หึ่ง นึกว่ามีแต่ทหารเกณฑ์ โรงเรียนนายร้อยตำรวจ รับมีจริง อาจารย์บังคับ นักเรียนนายร้อย โชว์ขัดจรวด

ที่มา ผู้จัดการออนไลน์

วันนี้ (19 พ.ย.) เฟซบุ๊ก "บิ๊กเกรียน" โพสต์ข้อความเรื่องการล่วงละเมิดทางเพศในโรงเรียนนายร้อยตำรวจ อ.สามพราน จ.นครปฐม ระบุว่า "บิ๊กเกรียน ขอฟ้อง บิ๊ก​ต่าย พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์​เพ็ชร์​ ผบ.ตร.กับ พล.ต.ท.อัคราเดช พิม​ลศรี​ ผช.ผบ.ตร. นำเรียนท่านเพื่อทราบ เนื่องด้วยผู้ปกครอง ญาติๆ มีความกังวลใจ เรื่องล่วงละเมิด​นักเรียนนายร้อยตำรวจ (นรต.) ในรั้วสามพราน​นครปฐม เรื่องใหญ่มาก และไม่ใช่รายเดียวที่ถูกกระทำ แต่เรื่องกลับเงียบสนิท เพราะมีนายตำรวจปกครองบางนายใน ร.ร.นรต.สั่งหาต้นตอและให้ช่วยกันปกปิดเรื่อง ​แทนที่จะรีบดำเนินการ แยกอาชญากรทางเพศออกจากสังคมรั้วสามพราน"

โดยได้แนบหลักฐานแชตไลน์รายงานเหตุจากกองร้อยที่ 1 ระบุว่า เมื่อวันที่ 16 พ.ย. เวลาประมาณ 22.30 น. ต่อเนื่องถึงวันที่ 17 พ.ย. เวลาประมาณ 01.00 น. ได้รับแจ้งจากนักเรียนนายร้อยตำรวจ (สงวนชื่อและนามสกุล) สังกัดหมวด 6 กองร้อยที่ 1 ฝ่ายปกครอง 1 (มว.6 ร้อย 1 ปค.1) ว่า ในขณะที่ตนกำลังปฏิบัติหน้าที่เวรยามประจำจุดกองแพทย์ ผลัดที่ 2 จนถึงเวลาประมาณ 22.20 น. ได้มีชายโดยไม่ทราบชื่อว่าเป็นผู้ใดมาพูดคุยกับตนโดยได้อ้างว่าเป็น นรต.รุ่นที่ 66 พร้อมเพื่อนของบุคคลนั้น และเข้ามาสอบถามกับตนว่า “นักเรียนอยากทานอะไรมั้ยจะซื้อมาให้” จากนั้นได้นัดกับ นรต. (สงวนชื่อและนามสกุล) ว่าเมื่อปฏิบัติหน้าที่เวรยามเสร็จเรียบร้อยแล้ว ในเวลาต่อมาให้ไปพบกับชายคนดังกล่าวที่บริเวณล็อกเกอร์รูม สนามรักบี้ โดยให้เวลา มาช้า 1 นาที อยู่ต่อ 1 ชั่วโมง นักเรียนจึงไปถึงที่นัดหมายเวลา 22.30 น. บุคคลดังกล่าวและเพื่อนได้นั่งรอนักเรียนอยู่ที่อัฒจันทร์สนามรักบี้ และได้บังคับให้นักเรียนดื่มโซจู 3 ขวด และเบียร์ 2 กระป๋อง เมื่อนักเรียนดื่มเสร็จ ให้นักเรียนลงไปยังห้องเก็บของล่างอัฒจันทร์และได้ให้นักเรียนทำการช่วยตัวเองต่อหน้าบุคคลดังกล่าวและเพื่อนแต่นักเรียนไม่สำเร็จความใคร่ และบุคคลทั้งสองได้เข้ามาช่วยนักเรียนแต่นักเรียนก็ไม่สำเร็จความใคร่ บุคคลดังกล่าวและเพื่อนจึงได้นำนักเรียนขึ้นรถเพื่อจะมาส่งที่กองร้อย โดยให้นักเรียนลงจากรถที่บริเวณข้างตึก 50 และ นรต. (สงวนชื่อและนามสกุล) ได้เดินกลับมาที่กองร้อย แจ้งให้ผู้ช่วยผู้บังคับหมวดทราบ ทั้งนี้ ได้เก็บรวบรวมพยานหลักฐานในสถานที่เกิดเหตุเป็นที่เรียบร้อยแล้ว จึงเรียนมาเพื่อโปรดพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป

อย่างไรก็ตาม รายงานจากเพจบิ๊กเกรียนระบุว่า ญาติผู้เสียหายทราบเรื่องแล้ว จริงๆ ก่อนหน้านี้ทราบว่ามีผู้เสียหายที่เป็นนักเรียนนายร้อยอีกจำนวนมาก แต่เรื่องเงียบไป ไม่มีใครกล้ารายงาน และโพสต์ภาพแชตที่มีคำสั่งว่า “มีใครส่งต่อไหม รายงานเหตุ ที่รายงานให้ยกเลิกให้หมด ข้างบนรู้เพราะว่ามีคนส่งต่อ หลุดข้อความ ให้ไปทำการยกเลิกให้หมด” นอกจากนี้ยังเปิดเผยพฤติกรรม อาจารย์ ต.เต่า โรงเรียนนายร้อยสามพรานคนดังกล่าว ยังเคยพิมพ์ข้อความส่งให้นักเรียนด้วยว่า “น้องชอบให้อาจารย์สอดสด หรือสอนออนไลน์ครับ” ซึ่งคนที่แจ้งเข้ามาระบุว่า บุคคลดังกล่าวเป็นอาจารย์สอนในโรงเรียนนายร้อยตำรวจ (นรต.รุ่น 66) มีแค่ไม่กี่คนที่อาจารย์ในโรงเรียนนายร้อยตำรวจที่รุ่นนี้แล้วมีพฤติกรรมแบบนี้บ่อยครั้ง เป็นที่ทราบกันดี แต่ผู้บังคับบัญชาคอยช่วยเหลือบุคคลนี้มาตลอด แต่เหตุนี้มีผู้ก่อเหตุ 2 นาย เป็นนักเรียนนายร้อยตำรวจรุ่น 66 ทั้งคู่ โดย ต. เป็นอาจารย์ในโรงเรียน และอีกคนเป็นสารวัตร (สอบสวน) สน.ทุ่ง... (สงวนชื่อสถานีตำรวจ)

รายงานข่าวเพิ่มเติมระบุว่า ศูนย์ปฏิบัติการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ศปก.ตร.) ได้รับรายงานเมื่อเวลา 18.17 น.วันที่ 19 พ.ย. ขณะนี้ทางผู้บัญชาการโรงเรียนนายร้อยตำรวจ (ผบช.รร.นรต.) ได้รับทราบถึงเหตุข้างต้นแล้ว และได้ดำเนินการสั่งการให้ทางคณะนิติศาสตร์ตรวจสอบข้อเท็จจริง แล้วรายงานผลให้ทาง ผบช.รร.นรต.ทราบภายใน 3 วันทำการ อยู่ระหว่างตรวจสอบ รายละเอียดเพิ่มเติมจะรายงานให้ทราบต่อไป

(https://mgronline.com/onlinesection/detail/9670000111425)

ทำไมความเหลวไหลของระบบอำนาจทางการเมืองในบ้านเมือง ดำเนินไปควบคู่กับความเหลวไหลทางศาสนาอย่างเป็นเนื้อเดียวกัน



นักปรัชญาชายขอบ: ธรรมะมีไว้ทำไม

4 พฤศจิกายน 2567
ประชาไท

สภาวะที่เรียกว่า “ความเหลวไหล” ของระบบอำนาจทางการเมืองของบ้านเราคือ การที่รัฐบาลจากรัฐประหารอ้างภารกิจหลักว่าจะ “ปฏิรูปการเมืองให้เป็นประชาธิปไตย” และปราบโกงให้หายไป แต่กลับสร้างรัฐธรรมนูญและกฎหมายอื่นทำลายความเป็นประชาธิปไตย และทำให้อำนาจที่ตรวจสอบไม่ได้เข้มแข็งมากขึ้นโดยลำดับ ขณะเดียวกันก็ไร้ประสิทธิภาพในการแก้ปัญหาเศรษฐกิจ แต่กลับเป็นรัฐบาลที่อยู่ในอำนาจได้อย่างยาวนาน และสืบทอดอำนาจผ่านกลไกที่พวกเขาสร้างไว้ ส่วนรัฐบาลจากการเลือกตั้งของประชาชนชูภารกิจหลัก “แก้ปัญหาเศรษฐกิจ” แต่กลับถูกทำให้เป็นง่อยในการเปลี่ยนแปลงระบบการเมืองให้ประชาธิปไตย และการคืนความยุติธรรมแก่ประชาชนที่ถูกกดปราบให้กลายเป็น “นักโทษทางความคิด” หรือนักโทษ 112

ใช่แต่รัฐบาลจากการเลือกตั้งยุคนี้เท่านั้นที่ไม่ได้รับ “ความเชื่อถือ” ว่าจะแก้รัฐธรรมนูญให้เป็นประชาธิปไตยได้จริง หากจำกันได้ ช่วงร่างรัฐธรรมนูญ 2540 (เป็นต้น) มีการปลุกกระแสสังคมให้เชื่อกันว่าหากปล่อยให้รัฐบาลหรือพรรคการเมืองแก้รัฐธรรมนูญกันเอง ก็จะ “แก้เพื่อผลประโยชน์ของพรรคการเมืองเองเป็นหลัก” ซึ่งน่าสังเกตว่าความไม่เชื่อถือต่อพรรคการเมืองว่าจะสร้างการเปลี่ยนแปลงเป็นประชาธิปไตยได้เช่นนี้ ขัดกับการถือว่าพรรคการเมืองคือสถาบันตัวแทนของประชาชนอย่างมีนัยสำคัญ

รัฐธรรมนูญ 2540 ที่เชื่อกันว่าเป็นประชาธิปไตยมากฉบับหนึ่งนั้นมาจาก “ภาคประชาชน” แต่แล้วเมื่อพรรคการเมืองมาเป็นรัฐบาลและบริหารประเทศตามรัฐธรรมนูญฉบับนั้น ภาคประชาชนก็ออกมาชุมนุมขับไล่รัฐบาลด้วยข้อกล่าวหาทุจริตคอร์รัปชั่นและ “ล้มเจ้า” แล้วก็ตามมาด้วยรัฐประหารฉีกรัฐธรรมนูญประชาธิปไตยทิ้ง จากนั้นรัฐบาลที่มาจากรัฐประหารก็จัดให้ภาคประชาชนร่างรัฐธรรมนูญใหม่เพื่อปฏิรูปประชาธิปไตย แต่รัฐธรรมนูญ 2 ฉบับที่ได้มาจากการปฏิรูปประชาธิปไตยภายใต้รัฐบาลจากรัฐประหาร 2 ครั้งต่อเนื่องกัน ก็คือรัฐธรรมนูญที่เพิ่ม “อำนาจผูกขาดทางการเมือง” ให้กลุ่มชนชั้นนำมากขึ้นโดยลำดับ

ถึงตอนนี้รัฐบาลจากการเลือกตั้งและรัฐสภาจะแก้รัฐธรรมนูญให้เป็นประชาธิปไตยก็ยากเย็นแสนเข็ญ ถูกสกัดทุกช่องทาง เช่นถูกห้ามแตะหมวดสถาบันกษัตริย์ ถูกเตะถ่วงโดย สว.สายสีน้ำเงิน ซี่งเป็น สว.ฝ่ายข้างมาก การนิรโทษกรรมคดีการเมืองก็ถูกกำหนด “ไม่ให้รวมคดี 112” ทั้งๆ ที่คดีนี้เกิดจากแรงจูงใจทางการเมือง หรือมี “ความเป็นคดีการเมือง” อันเนื่องมาจากการต่อสู้เพื่อเสรีภาพทางความคิดเห็น การพูด การแสดงออก และการเปลี่ยนแปลงเป็นประชาธิปไตยมากกว่าคดีอื่นๆ เสียอีก

สรุปให้เห็นภาพชัดๆ คือ สภาวะที่เรียกว่า “ความเหลวไหล” ของระบบอำนาจทางการเมืองของบ้านเราคือ สภาวะที่ทำให้ทุกคนที่ต่างก็มองเห็น “ความเป็นจริง” ของปัญหาความไม่เป็นประชาธิปไตยและความอยุติธรรมต่อประชาชนที่สู้เพื่อเสรีภาพและประชาธิปไตย แต่ต้องทำเป็นเสมือนว่ามองไม่เห็น ด้วยการไม่พูดถึง หรือพูดอ้อมๆ เฉียดๆ แล้วก็ยกเรื่องอื่นๆ ที่ไม่ใช่ปัญหาความไม่เป็นประชาธิปไตยและการละเมิดสิทธิเสรีภาพของประชาชนขึ้นมาเป็น “ปัญหาเร่งด่วน” แทนปัญหาที่แท้จริง และอ้างการไม่สร้างความแตกแยก ความปรองดองสมานฉันท์ลวงๆ ขึ้นมากลบเกลื่อนปัญหาที่แท้จริงและสำคัญมากกว่า

น่าสังเกตว่าความเหลวไหลของระบบอำนาจทางการเมืองดังกล่าว ดำเนินไปควบคู่กับความเหลวไหลทางศาสนาอย่างเป็นเนื้อเดียวกัน กล่าวคือ ศาสนาสนิทเสน่หากับโครงสร้างอำนาจทางการเมืองที่ครอบงำกดขี่ และระบบชนชั้นวรรณะมายาวนาน ยากจะตัดขาดจากกัน ส่วนที่ว่าช่วยให้พ้นทุกข์นั้น หมายถึงให้แต่ละคนลงมือทำเอง ได้แค่ไหนก็แค่นั้น แต่ทุกคนยังอยู่ใต้ระบบอำนาจกดขี่ที่ศาสนาปลูกฝังให้ศรัทธา

ตัวอย่างเช่นปรากฏการณ์ที่เราเห็นๆ พระที่มีชื่อเสียงทุกวันนี้แสดงความภูมิใจที่ดารา คนดัง คนรวย และผู้มีอำนาจทางการเมืองเข้าหา เพราะเชื่อว่าถ้าคนเหล่านั้นเข้าหาพระ เข้าวัด เข้าหาธรรมะ พวกเขาจะชักจูงประชาชนให้หันมาสนใจธรรมะ สนใจศาสนาได้มากขึ้น แต่นักคิดตะวันตกและตะวันออก เช่น มาคิอาเวลลี, รพินทรนาถ ฐากูรเป็นต้น เตือนไว้นานแล้วว่าถ้าเราต้องการมีศีลธรรม หรือซื่อตรงต่อความถูกต้อง ให้อยู่ห่างๆ จากอำนาจศาสนจักร และผู้มีอำนาจรัฐ พระเจ้าและธรรมะไม่ได้อยู่บนแท่นบูชาในศาสนสถานอันศักดิ์สิทธิ์ แต่อยู่กับคนธรรมดาทั่วไปที่ทำงานหนัก อยู่กับประชาชนที่ต่อสู้เพื่อความเป็นธรรม และความเป็นคนเท่ากัน เยซูก็เตือนว่า "จะช่วยคนรวยให้ขึ้นสวรรค์นั้นยากยิ่งกว่าจูงอูฐลอดรูเข็ม" เป็นต้น

แต่น่าเศร้าที่พุทธศาสนาไทยมุ่งอวยชนชั้นปกครอง ผู้มีอำนาจรัฐ และคนรวย ดาราคนดัง มากกว่าที่จะร่วมสุขร่วมทุกข์กับประชาชนที่ต่อสู้เพื่อความเป็นธรรมและถูกกดปราบ ขณะที่การเมืองในสภาก็เลือกที่จะคล้อยตามอำนาจของชนชั้นปกครองมากกว่าที่จะต่อสู้เพื่อคืนความยุติธรรมและอิสรภาพแก่ประชาชนที่ถูกดปราบ ถูกขังคุก และลี้ภัยทางการเมืองในต่างประเทศ

กระแสดราม่าในสื่อบ้านเราทุกวันนี้ มักเป็นเรื่องการประณาม “ความงมงาย” ของความเชื่อแบบบ้านๆ โดยทั่วไป ผู้รู้พุทธที่อ้างไตรปิฎกตัดสินความงมงายของ “ลัทธิเชื่อมจิต” เป็นต้น ก็ไม่เคยอ้างไตรปิฎกตัดสิน “ผ้ายันต์เลสเตอร์” ของพระผู้ใหญ่ที่เป็นกรรมการมหาเถรสมาคมใน “มาตรฐานเดียวกัน” แต่อย่างใด
 

“ผ้ายันเลสเตอร์” ที่มา https://www.thairath.co.th/news/local/bangkok/616590

ขณะที่พากันตื่นตูม “คนตื่นธรรม” ว่าสอนธรรมะถูกต้องตามหลักคำสอนในไตรปิฎก แต่เราไม่เคยตั้งคำถามเลยว่าสอนถูกต้องตามไตรปิฎกแล้วไงต่อ เช่น พระชื่อดังที่สอนถูกต้องตามหลักคำสอนในไตรปิฎก ก็สอนธรรมะอวยอำนาจทางการเมืองจากรัฐประหาร อวยชนชั้นปกครอง กระทั่งอวยความรวยได้อย่างไม่รู้สึก “เขินอาย” เช่นนั้นหรือ

หากพูดถึงผู้น้อมนำธรรมะของพระชื่อดังมาปฏิบัติ เราจะพบว่าผู้น้อมนำธรรมะตามคำสอน ว. วชิรเมธีมาปฏิบัติ คือพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา (เจ้าตัวพูดเองดู https://www.matichon.co.th/politics/news_3185961) และดิไอคอน กรุ๊ป ผู้น้อมนำธรรมะตามคำสอนพุทธทาสภิกขุมาปฏิบัติ คือ พธม.-กปปส. กำนันสุเทพพาพรรคพวกไปบวชที่สวนโมกข์เลย และผู้น้อมนำธรรมะตามคำสอนสมเด็จ ป.อ. ปยุตฺโตมาปฏิบัติ คือกลุ่มชาวพุทธทั้งพระและฆราวาสที่ออกมาเคลื่อนไหวให้บัญญัติพุทธเป็น “ศาสนาประจำชาติ” ในรัฐธรรมนูญที่อ้างความคิดเรื่องความสำคัญของพุทธศาสนาในฐานะศาสนาประจำชาติไทยของสมเด็จปยุตฺโต


ที่มาภาพ http://www.anakame.com/page/5_Misc/N158.html

แน่นอนว่าตามความเป็นจริงย่อมมีคนหลากหลายที่ชอบธรรมะของพระดังทั้งสามรูปดังกล่าว แต่ผมยกมาเฉพาะที่เด่นๆ ที่แสดงตัว หรือเคลื่อนไหวอ้างคำสอนหรือความคิดของพระดังทั้งสามรูปนั้นอย่างเป็นที่ปรากฏในทางสาธารณะ

ถึงตรงนี้ คำตอบของคำถามที่ว่า “ธรรมะมีไว้ทำไม” อยู่ที่เราต้องทำความเข้าใจ “ความคิดพื้นฐาน” ของผู้รู้พุทธทั้งพระและฆราวาสที่มีอิทธิพลชี้นำทางความคิดในบ้านเรา เท่าที่อ่านงานของผู้รู้เหล่านั้นและได้เสวนาแลกเปลี่ยนโดยตรง ผมพบว่าพวกเขาจะคิดตรงกันว่า “ถ้าคนมีธรรมะสิทธิมนุษยชนก็ไม่จำเป็นต้องยกขึ้นมาพูดกันเลย” และพวกเขายังวิจารณ์ว่าต่อให้มีเสรีภาพมีหลักสิทธิมนุษยชน หรือเขียนรัฐธรรมนูญและบัญญัติกฎหมายอื่นๆ ให้ดียังไง หรือให้เป็นประชาธิปไตยยังไง ถ้าคนไม่มีธรรมะก็ไม่สามารถจะแก้ปัญหาอะไรได้จริง เพราะยังไงก็ยังมีความทุกข์อยู่ ยังพ้นทุกข์ไม่ได้จริง

ครั้นถูกถามว่าแล้วทำไมไม่ใช้ธรรมะแก้ปัญหาระบบการปกครองคณะสงฆ์ให้เป็นประชาธิปไตย และแก้ปัญหาข่าวฉาวพระให้ได้ก่อนล่ะ ก่อนที่จะเสนอให้ใช้ธรรมะแก้ปัญหาการเมืองทางโลก ผู้รู้พุทธก็จะอ้ำอึ้ง และพูดเปรยๆ ว่า ปัญหาการปกครองคณะสงฆ์มันซับซ้อน “มีหลายเรื่องที่พูดไม่ได้” ก็แปลว่าผู้รู้พุทธต่างรู้ดีว่าปัญหาการปกครองสงฆ์มีหลายเรื่องที่พูดไม่ได้ แต่ดูเหมือนพวกเขาจะไม่ได้ตระหนักจริงจังเลยว่า “การไม่มีเสรีภาพในการพูดเป็นปัญหาใหญ่” เพราะการไม่มีเสรีภาพที่จะพูดความจริงทุกด้านนั่นแหละที่ทำให้ไม่สามารถใช้ธรรมะแก้ปัญหาการปกครองคณะสงฆ์ได้

นอกจากจะไม่ตระหนักถึงปัญหาการไม่มีเสรีภาพ บรรดาผู้รู้พุทธบ้านเรายังนิยมให้ข้อเสนอแบบ “กลับตาลปัตร” คือเสนอให้ “ใช้ธรรมะแก้ปัญหาการเมืองทางโลก” เช่น เสนอว่าเพราะธรรมาธิปไตยไม่มาจึงหาประชาธิปไตยไม่เจอ หรือควรใช้วิธีปกครองแบบเผด็จการโดยธรรมเพื่อประโยชน์ของประชาชนส่วนใหญ่เป็นต้น แต่กลับเสนอให้รัฐ “บัญญัติกฎหมายแก้ปัญหาทางสงฆ์” โดยไม่รู้ว่านั่นเป็นข้อเสนอที่ขัดหลักการประชาธิปไตยโลกวิสัย เพราะเป็นการเสนอแบบ “ผิดฝาผิดตัว” คือให้เอาธรรมะตามความเชื่อทางศาสนามาแก้ปัญหาการเมืองทางโลก และเอาอำนาจรัฐซึ่งเป็นอำนาจทางโลกไปแก้ปัญหาทางศาสนา

เวลาพูดถึง “เสรีภาพ” และ “ประชาธิปไตย” บรรดาผู้รู้พุทธก็ดูจะจริงจังกับการวิจารณ์จุดอ่อน ข้อบกพร่อง หรือปัญหาของการใช้เสรีภาพและประชาธิปไตย เช่น เตือนสติประชาชนที่ต่อสู้เพื่อเสรีภาพและประชาธิปไตยว่าอย่าใช้เสรีภาพในทางที่สร้างความเดือดร้อนแก่ผู้อื่น อย่าใช้เสรีภาพแสดงความคิดเห็นที่สร้างความแตกแยกและความรุนแรง หรือวิจารณ์ผิดๆ ว่า “ประชาธิปไตยตัดสินความเห็นได้ แต่ตัดสินความจริงไม่ได้” ทั้งๆ ที่ถ้าเป็นประชาธิปไตย ประชาชนย่อมมีเสรีภาพพูดความจริงได้ทุกด้าน ย่อมนำไปสู่การตัดสินความจริงได้มากกว่า ระบบที่ไม่เป็นประชาธิปไตย เช่น ระบบการปกครองสงฆ์ต่างหากที่ไม่มีเสรีภาพพูดความจริง จึงไม่สามารถใช้ธรรมะแก้ปัญหาของระบบเช่นนั้นได้
 

ที่มาภาพ https://www.youtube.com/watch?v=LKY-HfLZs18

อันที่จริงปัญหา จุดอ่อน หรือข้อบกพร่องของประชาธิปไตยและการใช้เสรีภาพเป็นเรื่องที่วิจารณ์กันได้เป็นปกติอยู่แล้ว มีงานวิชาการของนักคิดตะวันตกจำนวนมากที่วิจารณ์ไว้ แต่เขาไม่วิจารณ์ผิดๆ เช่นนั้น และไม่ได้วิจารณ์บนจุดยืนที่ว่าประชาธิปไตยต้องมีธรรมะกำกับเท่านั้นจึงจะเป็นระบบที่ดีได้ หรือการใช้เสรีภาพต้องมีธรรมะกำกับจึงจะเป็นการใช้เสรีภาพที่เกิดผลดีได้จริง

กลับกัน เวลาพูดถึง “การปกครองโดยธรรม” บรรดาผู้รู้พุทธไม่เคยพูดถึงปัญหา จุดอ่อน หรือข้อบกพร่องใดๆ เลย เช่นเดียวกับเวลาพูดถึง “ชนชั้นปกครอง” ก็อวยอย่างเดียว กล้าที่จะสอน “ประชาชน” ว่าอย่าใช้เสรีภาพแสดงความคิดเห็นที่สร้างความขัดแย้งแตกแยก ความรุนแรง หรือสร้างความเดือดร้อนแก่ผู้อื่น แต่ไม่เคยกล้าเตือนสติชนชั้นปกครองว่าอย่าทำรัฐประหารและใช้ความรุนแรงปราบปรามประชาชน เพราะขัดหลักศีลธรรมพุทธศาสนาและเป็นการสร้างความขัดแย้งแตกแยกในสังคมยิ่งกว่าการใช้เสรีภาพแสดงความคิดเห็นอย่างเทียบกันไม่ได้เลย

ดังนั้น ตราบที่ธรรมะหรือศาสนายังสนิทเสน่หากับระบบอำนาจที่ครอบงำกดขี่และตรวจสอบไม่ได้ ซึ่งเป็นที่มาของระบบการเมืองที่เหลวไหล ธรรมะหรือศาสนาย่อมเป็นเพียงสิ่งที่ถูกนำมาอ้างอิงใช้อย่างเหลวไหลของบรรดาผู้รู้พุทธและเครือข่ายชนชั้นนำที่ใช้ธรรมะหรือศาสนาเป็นจุดยืนในการวิจารณ์ข้อด้อยของประชาธิปไตย และการใช้เสรีภาพของประชาชน แต่กลับใช้เป็นเครื่องมืออวยการปกครองที่ไม่เป็นประชาธิปไตย และอวยชนชั้นปกครองเป็นด้านหลัก

คำเตือนที่ว่าถ้าเราต้องการมีศีลธรรม หรือซื่อตรงต่อความถูกต้อง ให้อยู่ห่างๆ จากอำนาจศาสนจักร และผู้มีอำนาจรัฐ เพราะพระเจ้าและธรรมะไม่ได้อยู่บนแท่นบูชาในศาสนสถานอันโอ่อ่าศักดิ์สิทธิ์ ไม่ได้อยู่กับชนชั้นปกครองที่ผูกขาดอำนาจ แต่อยู่กับคนธรรมดาทั่วไปที่ทำงานหนัก อยู่กับประชาชนที่ต่อสู้เพื่อความเป็นธรรม และความเป็นคนเท่ากัน ก็จะไม่ถูกได้ยิน!

https://prachatai.com/journal/2024/11/111293


ชวนย้อนไปทำความเข้าใจทวิลักษณะของสังคมไทยที่ "นับถือพุทธในที่แจ้ง นับถือผีในที่ลับ"


Atukkit Sawangsuk
10h ·

ชวนอ่าน
สมัยผมเป็นเด็ก เห็นนีล อาร์มสตรอง เหยียบดวงจันทร์
ก็คิดว่ามันน่าจะหมดยุคงมงาย
ที่ไหนได้ จากสมัยที่เราเป็นเด็ก ถวายบังคมพระปิยมหาราช ทรงเลิกทาส ทรงสร้างทางรถไฟ ฯลฯ
กลายเป็นคนนับถือเสด็จพ่อ ร.5 ค้าขายร่ำรวย
พระพิฆเนศ สมัยก่อนก็เป็นแค่รูปปั้น หน้าวิทยาลัยช่าง
กลับมาสร้างใหญ่โต เป็นเทพแห่งความสำเร็จ
นี่มาในช่วงปลายทศวรรษ 2520 ที่ทุนนิยมก้าวกระโดด หลวงพ่อคูนเหยียบโฉนด


Matichon Weekly - มติชนสุดสัปดาห์
16h ·

"...เราย้อนไปทำความเข้าใจทวิลักษณะของสังคมไทยที่ "นับถือพุทธในที่แจ้ง นับถือผีในที่ลับ" ซึ่งเป็นผลพวงจากการเปลี่ยนผ่านสู่ความเป็นสมัยใหม่แบบไทยๆ ในราวต้นพุทธศตวรรษที่ 25 ที่ทำให้ด้านหนึ่งต้องปกปิดและอธิบายมิติทางไสยศาสตร์ ปาฏิหาริย์ ความขลังเหนือธรรมชาติว่าเป็นสิ่งงมงาย แต่ในอีกด้านซึ่งเป็นส่วนลึกของจิตวิญญาณกลับโหยหาสิ่งเหล่านี้ แม้จะต้องแอบซ่อนไว้
.
อย่างไรก็ตาม ภายใต้ความเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ การเมือง และวัฒนธรรมในปลายทศวรรษที่ 2520 เป็นต้นมา สังคมไทยก้าวเข้าสู่ระบบทุนนิยมเต็มตัวนำมาซึ่งความรุ่งเรืองทางเศรษฐกิจ ที่มาพร้อมกับการขยายตัวของ "พุทธศาสนาประชานิยม"
.
และที่สำคัญที่สุดคือ การถือกำเนิดขึ้นของสิ่งที่ผู้เขียนนิยามว่า "ลัทธิบูชาความมั่งคั่ง" ซึ่งส่งผลอย่างมีนัยสำคัญทำให้ด้านที่เคยต้องแอบซ่อนไว้ปรับตัวครั้งใหญ่ ผนวกรวมเข้ากับระบบตลาดทุนนิยมกลายเป็นปรากฏการณ์ความเชื่อไสยศาสตร์ปาฏิหาริย์รูปแบบใหม่ที่เชื่อมร้อยทุกอย่างเข้าด้วยกัน.."
.
วัดปาฏิหาริย์พาณิชย์ : เขตธรณีสงฆ์สมัยใหม่ ภายใต้ลัทธิบูชาความมั่งคั่ง โดยศ.ดร.ชาตรี ประกิตนนทการ
(อ่านต่อในคอมเมนต์)

Matichon Weekly - มติชนสุดสัปดาห์
วัดปาฏิหาริย์พาณิชย์ : เขตธรณีสงฆ์สมัยใหม่ ภายใต้ลัทธิบูชาความมั่งคั่ง
https://www.matichonweekly.com/column/article_765100


อ่านบทสัมภาษณ์ของ อ. Kath Khangpiboon เป็นภาษาไทย ผู้ขับเคลื่อนประเด็นสิทธิ LGBTQ ที่มีส่วนในการท้าทายต่อปัญหากฎหมายหมิ่นสถาบันกษัตริย์



This is Beautiful People looks like !


African American - Black Heritage ·
4d ·

Nicky Crawford, a retired African American man from Atlanta, Georgia, is using his personal resources to make a profound impact on his city’s local homeless population, ensuring they have access to basic necessities. With the help of a student-led engineering team from Georgia Tech, he has turned a school bus into a fully operational mobile laundry service for those living on the streets.
Crawford’s mission extends beyond laundry and showers. He has built a community centered around meeting people’s immediate needs, offering services like haircuts, health checks, and hot meals.