วันศุกร์, ธันวาคม 19, 2568

คำเตือนจากมิตร ถ้าคุณกำลังก้าวจาก activism สู่การเมือง อย่าลืม ขบวนการใหญ่กว่าปัจเจก(เหมือนกับที่บอกว่าพรรคใหญ่กว่าคน) การเมืองอาจเป็นอีกสนามหนึ่งของการต่อสู้ แต่ขอให้เป็นการต่อสู้ที่ยกระดับมาตรฐานจริยธรรม มี integrity ไม่ใช่ลดมาตรฐานเพื่อชัยชนะเพื่อไปนั่งอยู่ในรัฐสภาแบบเท่ๆ อย่างเดียว


Tara Buakamsri
14 hours ago
·
◉ ฤดูเลือกตั้งมาแล้ว และมี “ปรากฏการณ์ใหม่” ชัดขึ้น คนทำงานเคลื่อนไหวทางสังคม/สิ่งแวดล้อมหลายคนกำลังก้าวเข้าสู่พรรคการเมือง ลงสมัคร สส.เขตหรือบัญชีรายชื่อ

◉ ในขณะที่อาจเป็นสะพานสำคัญจาก “การเมืองบนท้องถนน” ไปสู่ “กฎหมาย งบประมาณ และอำนาจต่อรอง” แต่มีเงื่อนไขเดียวคือ integrity ต้องเดินตีคู่เข้าไปด้วย

◉ เพราะความน่าเชื่อถือจากงานเคลื่อนไหวทางสังคม/สิ่งแวดล้อมไม่ใช่ทุนส่วนตัวที่หยิบใช้ได้ตามใจ หากใช้ชื่อกลุ่มองค์กร หรือชุมชน เรื่องเล่าผู้ได้รับผลกระทบ เครือข่าย หรือภาพถ่าย “โดยไม่ขอความยินยอม” คุณไม่ได้ทำร้ายแค่ใครคนหนึ่ง แต่คุณกำลังทำให้ความน่าเชื่อถือของทั้งขบวนการทางสังคม/สิ่งแวดล้อมสั่นคลอน

◉ เท่าที่มีประสบการณ์ตรง เมื่อ 20 ปีก่อนอดีตผู้อำนวยการบริหารขององค์กรไม่แสวงหากำไรแห่งหนึ่งฟ้องศาลแรงงานว่าองค์กรเลิกจ้างไม่เป็นธรรม (ทั้งที่จริงองค์กรก็ทำตามกฎหมายแล้ว เป็น contract 3 ปี) หลังจากนั้น เขาก็ยังใช้ brand ขององค์กรไปใช้ในการหาเสียงเลือกตั้งวุฒิสมาชิกโดยที่ไม่บอกกล่าวกัน สำหรับผมนี่คือเรื่องการขาด integrity (เห็นแก่ตัวฉิบหาย)

◉ เมื่อเร็วๆ นี้ มีเหตุการณ์ที่คล้ายกัน มีการปรับโครงสร้างองค์กรไม่แสวงหากำไรองค์กรหนึ่ง มีการเลิกจ้างเจ้าหน้าที่เกือบ 30 คน องค์กรได้พยายามสุดความสามารถเพื่อชดเชยการเลิกจ้างให้เป็นธรรมตามกฎหมาย แต่มีเจ้าหน้าที่ท่านหนึ่งฟ้องศาลแรงงานว่าเลิกจ้างไม่เป็นธรรม ล่าสุด เจ้าหน้าที่ท่านนี้เข้าไปอยู่ในรายชื่อ party list ของพรรคการเมืองหนึ่ง โดยก็ยังใช้ brand ขององค์กร(แม้จะเขียนว่าอดีต) โดยไม่มี consent ใดๆ ทั้งที่จริงสามารถใช้ชื่อองค์กรที่ตนเองทำอยู่ในปัจจุบันได้(อาจไม่ high profile พอ) สำหรับผม นี่คือเรื่องของ การขาด integrity (นี่ก็เห็นแก่ตัว ไม่ fair play)

◉ ถ้าคุณกำลังก้าวจาก activism สู่การเมือง ข้อเสนอแบบสร้างสรรค์มีแค่นี้คือตั้ง “integrity guardrails” ให้ชัดก่อนหาเสียง

1. ขอความยินยอมก่อนเสมอ - ไม่ใช้ชื่อ โลโก้ ภาพ เรื่องเล่า หรือเคสชุมชนในสื่อหาเสียง ถ้าไม่ได้รับอนุญาตชัดเจน

2. ซื่อสัตย์ต่อบทบาทของตัวเอง - อย่าอ้างว่า “เป็นตัวแทน” ขบวนการ/เครือข่าย/ชุมชน หากไม่เคยได้รับมอบหมาย

3. ให้เครดิตงานส่วนรวม - พูดให้ชัดว่าแนวคิดและข้อเรียกร้องนี้ใครสร้าง ใครสู้ ใครแบกต้นทุน และอย่าหยิบไปเป็นเครดิตของคนเดียว

4. เปิดเผยผลประโยชน์ทับซ้อน - แหล่งทุน ทีมที่ปรึกษา บทบาท/ความสัมพันธ์ที่อาจมีอิทธิพลต่อการตัดสินใจ ต้องโปร่งใสตรวจสอบได้

5. ไม่สกัดความเจ็บปวดไปเป็นคอนเทนต์ - เล่าเรื่องผู้คนต้องรักษาศักดิ์ศรี มีบริบท และคืนประโยชน์กลับไปอย่างเป็นรูปธรรม

6. มีกลไกรับผิดรับชอบจริง - รายงานต่อสาธารณะ ช่องทางทักท้วง/ร้องเรียน วิธีตอบสนอง และเมื่อทำพลาดต้อง “แก้-ขอโทษ-เยียวยา” ไม่ตั้งกำแพง

◉ ขบวนการใหญ่กว่าปัจเจก(เหมือนกับที่บอกว่าพรรคใหญ่กว่าคน) การเมืองอาจเป็นอีกสนามหนึ่งของการต่อสู้ แต่ขอให้เป็นการต่อสู้ที่ยกระดับมาตรฐานจริยธรรม มี integrity ไม่ใช่ลดมาตรฐานเพื่อชัยชนะเพื่อไปนั่งอยู่ในรัฐสภาแบบเท่ๆ อย่างเดียว

https://www.facebook.com/photo/?fbid=25893727990231807&set=a.100199933344633


   

เตรียมกลับบ้าน 8 กุมภา 69 เข้าคูหาเลือกตั้ง-ทำประชามติ คำถามประชามติคือ "ท่านเห็นชอบว่าสมควรมีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่หรือไม่"


iLaw
4 hours ago
·
เตรียมกลับบ้าน 8 กุมภา 69 เข้าคูหาเลือกตั้ง-ทำประชามติ https://www.ilaw.or.th/articles/55957

การเลือกตั้งในวันอาทิตย์ที่ 8 กุมภาพันธ์ 2569 จะมีบัตรทั้งหมด 3 ใบ ประกอบไปด้วยบัตรเลือก สส. เขต, สส.บัญชีรายชื่อ, และบัตรทำประชามติรัฐธรรมนูญ

สำหรับผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่ไม่สะดวกเข้าคูหาเลือกตั้งในวันจริงทาง กกต. ได้เตรียมความพร้อมให้สามารถลงทะเบียนเลือกตั้ง "ล่วงหน้า+นอกเขต" ระหว่างวันที่ 20 ธันวาคม 2568 - 5 มกราคม 2569 แต่ในส่วนของการทำประชามติ ตามพ.ร.บ. ประชามติฯ กำหนดให้ผู้มีสิทธิออกเสียงที่ไม่ได้อาศัยอยู่ในพื้นที่ตามทะเบียนบ้าน สามารถลงทะเบียนเพื่อไปออกเสียง "นอกเขต" ได้ในวันทำประชามติ

หมายความว่า ประชาชนที่ไม่สามารถเดินทางกลับภูมิลำเนาในวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2569 อาจต้องเดินทางเข้าคูหาถึง 2 ครั้ง

เช่น หากกำหนดวันเลือกตั้ง-ทำประชามติเป็นวันที่ 8 กุมภาพันธ์ และวันเลือกตั้งล่วงหน้าคือวันที่ 1 กุมภาพันธ์ ประชาชนสามารถไปลงคะแนนเลือกตั้ง สส. ล่วงหน้า+นอกเขตได้ ในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ และจะต้องกลับเข้าคูหาไปออกเสียงประชามติอีกครั้งในวันที่ 8 กุมภาพันธ์

หากใครเตรียมจะลงทะเบียนเพื่อเลือกตั้ง "ล่วงหน้า+นอกเขต" แล้วก็ต้องเตรียมตัวที่จะลงทะเบียนเพื่อใช้สิทธิออกเสียงประชามติในวันจริงนอกเขตด้วย ไม่เช่นนั้นจะเสียสิทธิออกเสียงประชามติ รายละเอียดวิธีการลงทะเบียน กกต. จะออกประกาศให้ทราบตามมาหลังมีประกาศกำหนดวันทำประชามติอย่างเป็นทางการแล้ว

จากกติกาการใช้สิทธิที่สับสน และยังไม่มีความแน่นอนเช่นนี้ การเตรียมตัวเดินทางกลับบ้านให้ได้ในวันจริง เป็นทางเลือกที่ดีที่สุดให้ทุกคะแนนเสียงถูกนับรวมอย่างมีความหมาย

Jillian Lustsul
สรุปคือต้องเข้าคูหาสองครั้ง วันที่ 1 สำหรับเลือกตั้งล่วงหน้า วันที่ 8 สำหรับลงประชามติ แบบนี้คนที่วันที่ 8 ติดธุระจนเข้าคูหาไม่ได้ก็หมดสิทธิลงประชามติ

iLaw
Jillian Lustsul แนวโน้มจะเป็นเช่นนั้น และยังไม่มีความชัดเจน 100%

https://www.facebook.com/photo/?fbid=1282407883932828&set=a.625664036273886






ความเป็นจริงที่พวกโลกสวยต้องรับให้ได้คือ ในความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ การเจรจาเป็น30-40ปีเป็นเรื่องปกติ ในโลกใบนี้มีอยู่ 195 ประเทศ ข้อพิพาททางเขตแดนคือเรื่องที่เกิดขึ้นเสมอ และส่วนใหญ่ไม่ได้เกิดเป็นสงครามเบ็ดเสร็จ


ภาพจากไทยรัฐ

Chayata Sripanich 
17 hours ago
·
ความเป็นจริงที่พวกโลกสวยต้องรับให้ได้คือ ในความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ การเจรจาเป็น30-40ปีเป็นเรื่องปกติ
ในโลกใบนี้มีอยู่ 195 ประเทศ ข้อพิพาททางเขตแดนคือเรื่องที่เกิดขึ้นเสมอ และส่วนใหญ่ไม่ได้เกิดเป็นสงครามเบ็ดเสร็จ
เวลาคุณอ้างสงครามโลก จบปี1945 ระหว่างนั้นคนทั้งโลกรักกันดี คุมบายา ไม่ เขาทะเลาะ เขาพิพาทกันตลอด เขาแค่ไม่อยากกลับไปแก้แบบนั้นแล้ว
กาตาร์ – บาห์เรน (2001) จบICJ
จีน – คาซัคสถาน (1994) จบเจรจา ปักเขตแดนชัด
อียิปต์ – อิสราเอล (1978–1988) Mediator ผู้นำคุยนอกประเทศ คืนพื้นทีให้อียิปต์
อินเดีย – บังกลาเทศ (2015) ทะเลาะกันมา40ปี จบแบบไม่ใช้กำลัง
อาร์เจนตินา – ชิลี (1984) วาติกันเป็นผู้ใกล่เกลี่ย
มาเลเซีย – สิงคโปร์ (2008) จบ ICJ
รัสเซีย – นอร์เวย์ (2010) มหาอำนาจ ทำไมไม่ยิงตู้มต้ามๆๆๆ เพราะมันไม่คุ้มไงพี่ อันนี้จบเจรจา
ติมอร์-เลสเต – ออสเตรเลีย (2018) จบที่อนุญาโตตุลาการ
ฟิลิปปินส์-อินโด (2015) คุยมา20กว่าปี เจรจาลากเส้นEEZตามหลัก UNCLOS
คุณไม่รู้จักข้อพิพาทหลายบนนี้ใช่ไหม
ดีแล้ว
เพราะความสูญเสียไม่ได้เกิด หรือเกิดมาก
เป็นเรื่องธรรมดาที่ประเทศจะขัดแย้งกัน 'แต่คุณไม่แก้ความระแวงและเกลียดชัง' ได้ด้วยการทำให้เขากลัว เพราะความกลัวของอีกประเทศคือบ่อเกิดของสงครามอีกครั้งเมื่อเขาฟื้นจากความ 'สิ้นสภาพ' แล้ว
คุณไม่มีอะไรการันตี ว่าสงครามจะไม่ยืด
แล้วแม้ว่าคุณจะไม่ชอบมัน มีหลายประเทศมากที่ไม่ได้รักกัน แต่ทำไงได้ แผ่นดินมันอยู่ตรงนั้น หน้าที่ของรัฐในระเบียบโลกใหม่ คือทำให้คนอยู่อย่างปลอดภัยผ่านผลประโยชน์ร่วมทางเศรษฐกิจ ความสัมพันธ์ทางการทูค ฯลฯ ไม่ใช่ความกลัว เพราะมันไม่เคยยั่งยืน
คุณเสียเอสี่เต็มคันรถดีกว่าศพทหารแค่ศพเดียว

https://www.facebook.com/chayata.sripanich/posts/3901762696796080









 

สงครามไทย-กัมพูชามีคำถามหลายอย่างที่ยังไม่มีคำตอบแน่ชัด คนที่พอจะตอบได้ก็เลี่ยงจะไม่ตอบ ไม่ก็พูดส่งเดช ลองทดคำถามไว้คร่าว ๆ น่าจะได้ประมาณนี้



Ruchapong Chamjirachaikul 
Yesterday
·
สงครามไทย-กัมพูชามีคำถามหลายอย่างที่ยังไม่มีคำตอบแน่ชัด คนที่พอจะตอบได้ก็เลี่ยงจะไม่ตอบ ไม่ก็พูดส่งเดช ลองทดคำถามไว้คร่าว ๆ น่าจะได้ประมาณนี้
คำถามต่อเหตุของสงคราม
- รบกันเพราะอะไร เพราะข้อพิพาททางดินแดน ความขัดแย้งระหว่างผู้นำ ปัญหาสแกมเมอร์ หรือทั้งสามอย่างรวมกัน
- ถ้าเป็นเพราะข้อพิพาททางดินแดน ดินแดนส่วนไหนกันแน่ ขนาดเท่าไหร่ status quo ก่อนหน้านี้เป็นอย่างไร
- ทำไมต้องรบกันตอนนี้ ก่อนหน้านี้ทำไมถึงไม่มีปัญหา
- ป่าเขาหรือเนิน XXX ที่ต้องการจะยึดกันนี้มีผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจเท่าไหร่ เคยมีคนไทยอาศัยอยู่ไหม ผลประโยชน์แห่งชาติอยู่ตรงไหน คุ้มค่าหรือไม่กับการเอากองกำลังเข้าห้ำหั่นกัน
- ทำไมทุกครั้งที่มีการปะทะกันต้องนำมาสู่ความเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในไทย เป็นเรื่องบังเอิญจริง ๆ หรือที่การปะทะครั้งแรกทำให้อนุทินได้เป็นนายก ส่วนครั้งที่สองทำให้อนุทินได้ความนิยมเพิ่มขึ้นก่อนการเลือกตั้ง
คำถามต่อนโยบาย
- เป้าหมายทางการทหารในตอนนี้คืออะไร ต้องการทำลายขีดความสามารถทางการทหารของกัมพูชา ยึดพื้นที่ดินแดน หรือสร้างแรงกดดันต่อรัฐบาลฮุนเซน
- เป้าหมายทางการทหารสอดคล้องกับเป้าหมายทางการเมืองหรือไม่ เป้าหมายทางการเมืองและการทูตคืออะไร เราต้องการสร้างความได้เปรียบในการเจรจาหรือต้องการสร้างแรงกดดันภายในกัมพูชาเพื่อล้มระบอบฮุนเซน ถ้าเช่นนั้นแล้วปฏิบัติการทางทหารที่ชายแดนจะทำให้เราเข้าใกล้เป้าหมายนี้ได้อย่างไร
- เวลาผ่านมามากกว่าอาทิตย์แล้ว อะไรคือผลลัพธ์ที่จับต้องได้จากการสู้รบ
- รัฐบาลที่กรุงเทพ โดยเฉพาะรัฐบาลเพื่อไทยในช่วงต้นของความขัดแย้ง รับรู้เกี่ยวกับปฏิบัติการทางการทหารมากน้อยเท่าไหร่ ตัวแทนรัฐบาลและกระทรวงการต่างประเทศที่ออกมาให้ข่าวนั้นรู้จริงหรือไม่ว่าสถานการณ์ที่ชายแดนในตอนนี้เป็นอย่างไร
- รัฐบาลที่กรุงเทพสั่งการกองทัพที่ชายแดนได้หรือไม่ หรือตอนนี้ปล่อยให้กองทัพเป็นผู้กำหนดนโยบายทั้งหมด
- ถ้ากองทัพเป็นผู้กำหนดนโยบายทั้งหมด เป้าหมายทางการทหารก็จะกลายเป็นเป้าหมายของสงคราม แล้วเราจะหยุดการล้างผลาญนี้อย่างไร
- ถ้ารัฐบาลหรือกระทรวงการต่างประเทศยังพอมีบทบาท มองฉากทัศน์ในการจบสงครามอย่างไร ใครจะเป็นผู้รับผิดชอบหลักภายในรัฐบาลหรือระบบราชการ
- นโยบายการคว่ำบาตรทั้งการปิดด่านหรือตัดการส่งพลังงานมีต้นทุนทางเศรษฐกิจเท่าไหร่ ส่งผลต่อการเปลี่ยนพฤติกรรมของกัมพูชาหรือไม่ คุ้มหรือไม่
- การใช้การทูตที่ชี้แจงต่อนานาชาตินั้นได้ผลมากเพียงใด ดูเหมือนจะเป็นคนในประเทศมากกว่าที่เสพคำชี้แจงเหล่านี้
- เราดูเหมือนจะสนใจโลกมากว่าเขามองเราอย่างไร แต่โลกเขาสนใจเราขนาดไหน มองผ่านเลนส์อะไร
- อะไรคือเป้าหมายของการยกเลือก MOU ผลประโยชน์ในการเจรจาใหม่คืออะไร แล้วเราสามารถทำได้จริงหรือ
คำถามต่อการ "ทำลายขีดความสามารถด้านการทหารของกัมพูชา"
- "ทำลายขีดความสามารถด้านการทหารของกัมพูชา" คืออะไร ต้องใช้อะไรวัด
- เราต้องการทำลายอาวุธประเภทไหน กองกำลังอะไร ต้องทำลายมากน้อยเท่าใด
- เรามีข่าวกรองดีพอที่จะระบุตำแหน่งของสิ่งที่เราต้องการทำลายหรือไม่ หรือไทยไม่ได้มีข่าวกรองตั้งแต่แรก เวลาผ่านมาเป็นอาทิตย์แล้วแต่เรายังทำลายไม่ได้ กัมพูชาก็น่าจะเคลื่อนย้ายกำลังและอาวุธไปหมดแล้ว
- เรามีศักยภาพในการทำลายขีดความสามารถของกัมพูชาจริงหรือไม่ การสู้รบในป่าน่าจะทำให้ศักยภาพของปืนใหญ่และการทิ้งระเบิดโดยเครื่องบินน้อยลงมาก
- ถ้าทำลายได้จริง แล้วจะทำอะไรต่อ กลับไปว่าเป้าหมายทางการเมืองและการทูตคืออะไร
- ถ้าทำลายได้จริง second order effect คืออะไร การสั่งสมอาวุธของกัมพูชาหลังจากนี้จะทำให้ไทยต้องเสียเงินซื้ออาวุธเพิ่มอีกเท่าไหร่
- ถ้าหลังจากนี้กัมพูชาอยากซื้อเครื่องบินจากจีนหรือรัสเซีย เราจะสามารถป้องกันไม่ให้เกิดการซื้อขายได้อย่างไร การทูตเราจะกดดันสองประเทศนี้ได้หรือ ถ้ากัมพูชามีเครื่องบินรบ air superiority ที่เราเคยมีก็จะหายไป จะรับมืออย่างไร
คำถามต่อมาตรการรับมือในอนาคต
- ทำไมการป้องปรามของไทยต่อกัมพูชาถึงล้มเหลว ประเทศที่มีแสนยานุภาพมากกว่าอย่างไทยไม่ควรจะต้องมารบกับกัมพูชา
- การป้องปรามที่ล้มเหลวมีต้นเหตุมาจากไหน การส่ง signal ที่ไม่ดีหรือการขาด credible threats ความไร้เอกภาพระหว่างรัฐบาลที่กรุงเทพและกองทัพส่งผลเสียอย่างไรต่อนโยบายป้องปราม
- ไทยเคยมีแผนการยุทธศาสตร์รับมือความขัดแย้งกับกัมพูชาแบบ comprehensive ที่รวมผู้กำหนดนโนบายหลายภาคส่วนหรือไม่ เพราะครั้งนี้ไม่ใช่ครั้งแรกที่มีการปะทะกัน
- เคยถอดบทเรียนจากครั้งก่อนหรือไม่ และครั้งนี้จะมีการถอดบทเรียนหรือไม่
- หลังจากนี้นโยบายไทยต่อกัมพูชาจะต้องเป็นอย่างไร เรามองประเทศกัมพูชาหรือระบอบฮุนเซนเป็นภัยคุกคาม สมรังสีจะเปลี่ยนนโยบายของกัมพูชาต่อไทยหรือไม่ และเราจะอยู่ร่วมกับประเทศเพื่อนบ้านอย่างไรในเมื่อเราเปลี่ยนภูมิศาสตร์ไม่ได้
คำถามมีมากมาย แต่ระหว่างที่ตอบไม่ได้ก็จะมีแต่ทหารชั้นผู้น้อยที่ต้องเสียชีวิต ลูกตาสีตาสาที่ต้องได้รับผลกระทบ เสียการงาน เสียบ้าน โดยไม่มีผู้กำหนดนโยบายคนไหนเหลียวแล

https://www.facebook.com/ruchapong.chamjirachaikul/posts/26147964971472571



เฟคนิวส์ "ยศนันท์ฟีเวอร์" ปั่นโพลปลอม มติชนทีวีดำเนินคดีแก๊งปลอมโพล ตัดต่อโพลให้ "ยศชนัน" ชนะ "ณัฐพงษ์" และ "พรรคเพื่อไทย" ชนะ "พรรคประชาชน มติชนทีวีและรายการ The Politics แถลง





 

ประเทศกูมี - “ต้นไผ่” โพสต์เฟซบุ๊ก-ทวิตเตอร์รวม 10 โพสต์ เมื่อปี 2565 จำคุก20 ปี คดี ม.112


ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน
12 hours ago
·
ศาลอาญาพิพากษาจำคุก “ต้นไผ่” 20 ปี คดี ม.112 กรณีถูกกล่าวหาโพสต์เฟซบุ๊ก-ทวิตเตอร์รวม 10 โพสต์ เมื่อปี 2565
.
วันที่ 18 ธ.ค. 2568 ศาลอาญานัดฟังคำพิพากษาคดีของ พฤทธิกร สาระกุล หรือ “ต้นไผ่” อดีตพนักงานบริษัท วัย 43 ปี ซึ่งถูกฟ้องในข้อหา “หมิ่นประมาทกษัตริย์ฯ” ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 และข้อหาตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ มาตรา 14 (3) กรณีถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้ใช้บัญชีเฟซบุ๊ก “ศักดินาปรสิต” และบัญชีทวิตเตอร์ “Guillotine Activists for Democracy” โพสต์เนื้อหาพาดพิงพระมหากษัตริย์ บัญชีละ 5 ข้อความ รวมจำนวน 10 ข้อความ ในช่วงเดือนมกราคม ปี 2565
.
ศาลอาญาพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดทั้งหมด โดยลงโทษจำคุกรวม 30 ปี ก่อนลดโทษให้ 1 ใน 3 คงเหลือโทษจำคุกรวม 20 ปี แม้ยังไม่ได้ตัวจำเลยมาศาลในวันนี้ โดยศาลให้เหตุผลว่าได้อ่านคำพิพากษาให้ผู้รับมอบอำนาจจำเลยฟังแล้ว จึงถือว่าจำเลยได้ฟังคำพิพากษาตามกฎหมายแล้ว

เดิมทีคดีนี้ศาลให้มีการสืบพยานลับหลังจำเลยได้ และไม่อนุญาตให้เลื่อนสืบพยานจำเลยออกไป เพราะเห็นว่าการที่จำเลยไม่มาศาลนั้นถือว่าไม่ประสงค์จะอ้างตนเองเป็นพยาน ทั้งยังตัดพยานบุคคลของจำเลยด้วย โดยให้เหตุผลว่าจำเลยไม่ได้ระบุในบัญชีพยานว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญ ทำให้โจทก์และศาลขาดโอกาสในการตรวจสอบความถูกต้องและความน่าเชื่อถือ
.
ทบทวนเหตุการณ์การสืบพยานลับหลังจำเลย อันเป็นที่มาของการยื่นคำร้องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย
.
สำหรับ ‘ต้นไผ่’ ถูกแจ้งข้อกล่าวหาคดี ม.112 รวมทั้งหมด 2 คดี จากการโพสต์ข้อความในเฟซบุ๊กและทวิตข้อความในทวิตเตอร์รวมทั้งหมด 20 ข้อความ แยกเป็นคดีละ 10 ข้อความ ซึ่งทั้งสองคดีมีเจ้าหน้าที่สันติบาลที่ติดตามประเด็นเรื่องสถาบันกษัตริย์เป็นผู้กล่าวหา โดยคดีแรกมี พ.ต.ท.ครรชิต สีหะรอด และคดีที่สองมี พ.ต.ท.แทน ไชยแสง เป็นผู้กล่าวหาไว้ที่ บก.ปอท.
.
สำหรับคดีที่ศาลมีคำพิพากษาออกมานี้ เป็นคดีที่มี พ.ต.ท.ครรชิต เป็นผู้กล่าวหา โดยกล่าวหาจากข้อความที่โพสต์ในเฟซบุ๊ก 5 โพสต์ และในบัญชีทวิตเตอร์ 5 โพสต์ เป็นเนื้อหาเดียวกันและในเวลาใกล้เคียงกัน ซึ่งต้นไผ่ได้เดินทางเข้ารับทราบข้อกล่าวหาไป เมื่อวันที่ 16 มิ.ย. 2565 ก่อนอัยการจะสั่งฟ้องคดีในเวลาเกือบหนึ่งปีให้หลัง เมื่อวันที่ 30 พ.ค. 2566
.
ต่อมา เมื่อวันที่ 30 พ.ค. 2567 ในนัดสืบพยานนัดแรก จำเลยไม่มาปรากฏตัวต่อศาล ศาลเห็นว่าจำเลยมีพฤติการณ์หลบหนี จึงให้ออกหมายจับและเลื่อนนัดสืบพยานเป็นวันที่ 15 และ 22 ต.ค. 2567
.
ทั้งนี้ ก่อนถึงวันนัดสืบพยานในวันที่ 15 ต.ค. 2567 ทนายจำเลยได้ยื่นคำร้องคัดค้านการสืบพยานลับหลังจำเลยรวม 2 ฉบับ อย่างไรก็ดีเมื่อถึงวันนัดสืบพยานศาลยังคงยืนยันให้สืบพยานลับหลังจำเลยต่อไป โดยให้เหตุผลว่า จำเลยมาศาลในวันตรวจพยานหลักฐาน ทั้งยังแถลงแนวทางต่อสู้ต่อศาลแล้ว แต่เมื่อถึงนัดสืบพยานจำเลยไม่มาศาล ศาลได้ออกหมายจับและยังจับตัวจำเลยมาศาลไม่ได้ ถือว่าจำเลยสละสิทธิ์ที่จะเผชิญหน้ากับพยานโจทก์ และจำเลยมีทนายความซึ่งสามารถปกป้องสิทธิของจำเลยได้
.
ในวันที่ 22 ต.ค. 2567 ซึ่งเป็นวันสืบพยานโจทก์และพยานจำเลยนัดสุดท้าย ทนายจำเลยได้แถลงต่อศาล ระบุว่ายังคงติดใจที่จะสืบพยาน 2 ปาก ได้แก่ จำเลยอ้างตนเองเป็นพยาน 1 ปาก และพยานบุคคลอีก 1 ปาก แต่เนื่องจากยังไม่สามารถจับตัวจำเลยได้ จึงขอให้เลื่อนนัดสืบพยานจำเลยออกไปก่อน อย่างไรก็ดีศาลได้พิจารณาตัดพยานทั้งสองของจำเลย ทำให้คดีเป็นอันเสร็จสิ้นการพิจารณาลงทันที
.
คดีนี้ ฝ่ายจำเลยยังได้ยื่นคำร้องขอให้ศาลอาญาส่งคําร้องไปให้ศาลรัฐธรรมนูญให้วินิจฉัยว่า ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 172 ทวิ/1 ที่อนุญาตให้ศาลพิจารณาและสืบพยานลับหลังจำเลยได้ กรณีไม่มาฟังการพิจารณาและสืบพยานโดยไม่มีเหตุอันสมควร ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560 มาตรา 29 หรือไม่ ศาลเห็นว่า คําร้องถูกต้องครบถ้วนตามหลักเกณฑ์ จึงให้ส่งคําร้องไปให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย โดยให้รอการพิพากษาคดีไว้ชั่วคราวจนกว่าจะมีคําวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ
.
จนกระทั่ง เมื่อวันที่ 30 ก.ย. 2568 ในนัดพร้อมคดี ศาลได้อ่านคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งระบุว่า “ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 172 ทวิ/1 เป็นบทบัญญัติที่เป็นไปตามหลักความได้สัดส่วน ไม่ขัดต่อหลักนิติธรรม ไม่เพิ่มภาระหรือจำกัดสิทธิหรือเสรีภาพของบุคคลเกินสมควรแก่เหตุ ไม่ขัดต่อหลักการให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าผู้ต้องหาหรือจำเลยไม่มีความผิด ไม่ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 26 และมาตรา 29 วรรคสอง” ศาลอาญาจึงได้กำหนดวันนัดฟังคำพิพากษาคดีนี้ต่อมา
.
ศาลสั่งจำคุก ‘ต้นไผ่’ เห็นว่า พยานโจทก์มีความน่าเชื่อถือ การกระทำของจำเลยเป็นการมุ่งใส่ร้ายพระมหากษัตริย์ มิใช่การแสดงความคิดเห็นตามรัฐธรรมนูญ
.
ณ ห้องพิจารณาคดี 708 เวลา 09.30 น. ศาลออกนั่งบัลลังก์อ่านคำพิพากษาคดีนี้ลับหลังจำเลย สามารถสรุปใจความสำคัญได้ว่า ฝั่งโจทก์มีพนักงานสอบสวนชุดจับกุมเบิกความเป็นพยานสอดคล้องต้องกันว่า ได้รับแจ้งว่ามีผู้ใช้บัญชีเฟซบุ๊กของจำเลย โพสต์ดูหมิ่นพระมหากษัตริย์ จึงขอหมายค้นตรวจห้องชุด พบจำเลย จากการตรวจสอบคอมพิวเตอร์ของจำเลยพบการเข้าใช้งานบัญชีเฟซบุ๊กและทวิตเตอร์มีการโพสต์ข้อความดูหมิ่นรวม 10 ครั้ง พร้อมถ่ายภาพที่จำเลยชี้ยืนยันว่าเป็นเจ้าของบัญชีเฟซบุ๊กและทวิตเตอร์ดังกล่าว
.
ศาลเห็นว่า พยานหลักฐานของพนักงานสอบสวนมีน้ำหนักน่าเชื่อถือ อีกทั้งพยานก็ไม่มีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลยมาก่อน การตรวจพบการเข้าถึงบัญชีและโพสต์ข้อความตามฟ้องเป็นไปโดยไม่มีส่วนได้เสียในคดี จึงเชื่อว่าพยานโจทก์เบิกความไปตามจริง การที่มีภาพถ่ายยืนยันและลงลายมือชื่อไว้ในคำสอบสวน เกิดจากความสมัครใจของจำเลย การกระทำของจำเลยหาใช่การแสดงความคิดเห็นตามรัฐธรรมนูญ แต่เป็นการมุ่งใส่ร้ายถึงพระมหากษัตริย์ ทำให้พระมหากษัตริย์ถูกดูหมิ่น เกลียดชัง อันเป็นการใส่ความอย่างร้ายแรง
.
พิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 และ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ มาตรา 14 (3) เป็นการกระทำความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตามมาตรา 112 ซึ่งเป็นบทลงโทษหนักที่สุด จำคุกกระทงละ 3 ปี 10 กระทง รวมจำคุก 30 ปี ในชั้นสอบสวนจำเลยให้การเป็นประโยชน์อยู่บ้าง มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้ 1 ใน 3 คงเหลือโทษจำคุกกระทงละ 2 ปี 10 กระทง รวมจำคุกจำเลย 20 ปี
.
ทั้งนี้ เนื่องจากศาลพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลย จึงให้เพิกถอนหมายจับเดิมและออกหมายจับจำเลยมาปฏิบัติตามคำพิพากษาต่อไป

https://www.facebook.com/photo/?fbid=1269278725042595&set=a.656922399611567
https://tlhr2014.com/archives/80681




ปากว่า ตาขยิบ ? อนุทินเรียกร้องนานาชาติ ปราบอาชญากรรมออนไลน์จริงจัง ส่งสารถึงฝั่งตรงข้าม ยืนยันไม่ได้มาเที่ยวเล่น แต่มาปราบ


THE STANDARD
19 hours ago
·
UPDATE: อนุทินเรียกร้องนานาชาติ ปราบอาชญากรรมออนไลน์จริงจัง ส่งสารถึงฝั่งตรงข้าม ยืนยันไม่ได้มาเที่ยวเล่น แต่มาปราบ
.
วันนี้ (17 สิงหาคม) ที่โรงแรมอินเตอร์คอนติเนนตัล กรุงเทพฯ อนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ร่วมงานเลี้ยงอาหารค่ำในการประชุมระหว่างประเทศว่าด้วยหุ้นส่วนระดับโลก เพื่อต่อต้านอาชญากรรมหลอกลวงทางอินเทอร์เน็ต ระหว่างวันที่ 17-18 ธันวาคม ซึ่งเป็นการประชุมที่ประเทศไทยเป็นผู้ริเริ่ม และเป็นเจ้าภาพจัดขึ้นร่วมกับสำนักงานว่าด้วยยาเสพติดและอาชญากรรมแห่งสหประชาชาติ (UNODC)
.
โดยมีผู้เข้าร่วม 338 คน จาก 58 ประเทศ , สหภาพยุโรป , 5 องค์การระหว่างประเทศ, ภาคประชาสังคมและภาควิชาการ ขณะที่กัมพูชาไม่ได้ส่งตัวแทนเข้าร่วมประชุม นอกจากนี้ยังมี ผู้แทนระดับรัฐมนตรี เข้าร่วม 7 ประเทศ ประกอบด้วย รวันดา , ไทย, เมียนมา, อินโดนีเซีย, เวียดนาม, อิน เดีย และจีน
.
นายกรัฐมนตรี กล่าวปาฐกถาพิเศษว่า การเข้าร่วมของผู้แทนจากหลายภูมิภาคทั่วโลกในครั้งนี้ ถือเป็นสัญญาณที่ชัดเจนว่า อาชญากรรมหลอกลวงออนไลน์ไม่ใช่เพียงปัญหาในระดับภูมิภาคอีกต่อไป หากแต่เป็นปัญหาระดับโลกที่ทุกประเทศต้องเผชิญร่วมกัน และการรวมตัวกันของนานาประเทศในครั้งนี้ สะท้อนถึงเจตนารมณ์ร่วมกันในการทำงานอย่างเป็นเอกภาพเพื่อรับมือกับภัยคุกคามดังกล่าว
.
นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงประสบการณ์จากการเข้าร่วมการประชุมสุดยอดอาเซียนและเอเปคที่ผ่านมา ซึ่งผู้นำหลายประเทศได้หยิบยกประเด็นปัญหาอาชญากรรมหลอกลวงทางอินเทอร์เน็ตขึ้นมาหารืออย่างต่อเนื่อง โดยเห็นพ้องกันว่า ไม่ว่าประเทศจะอยู่ในภูมิภาคใด หรือมีระดับการพัฒนาอย่างไร ประชาชนล้วนตกเป็นเป้าหมายของเครือข่ายอาชญากรรมที่อาศัยช่องว่างของระบบกฎหมายในการแสวงหาประโยชน์ ส่งผลให้เกิดความเสียหายอย่างร้ายแรงทั้งต่อมนุษย์และระบบเศรษฐกิจโลก
.
“ปัญหาดังกล่าวสะท้อนให้เห็นถึงความเปราะบางร่วมกันของประชาคมโลก ซึ่งไม่มีประเทศใดสามารถแก้ไขได้เพียงลำพัง จึงจำเป็นต้องอาศัยเจตจำนงทางการเมืองที่เข้มแข็งและความร่วมมืออย่างจริงจังระหว่างประเทศ” นายกรัฐมนตรีกล่าว
.
นายกรัฐมนตรี ยังเน้นย้ำถึงการให้ความสำคัญกับการต่อต้านอาชญากรรมหลอกลวงทางอินเทอร์เน็ตอย่างจริงจังของรัฐบาล โดยกำหนดให้เป็นวาระสำคัญสูงสุดของรัฐบาลและเป็นวาระแห่งชาติ พร้อมทั้งได้ดำเนินมาตรการเชิงรุก อาทิ การเสริมสร้างความเข้มแข็งด้านการบังคับใช้กฎหมาย การจัดตั้งหน่วยงานเฉพาะทางและศูนย์ต่อต้านการหลอกลวงโดยเฉพาะ รวมถึงการยกระดับการประสานงานระหว่างหน่วยงานภายในประเทศ เพื่อขจัดเครือข่ายอาชญากรรมข้ามชาติที่ดำเนินการอยู่ในอาณาเขตของประเทศไทย
.
บทเรียนสำคัญจากการหารือในที่ประชุมครั้งนี้ คือ การดำเนินการในระดับชาติที่เข้มแข็งจำเป็นต้องควบคู่ไปกับความร่วมมือในระดับนานาชาติ เนื่องจากเครือข่ายอาชญากรสามารถแลกเปลี่ยนข้อมูลข้ามพรมแดน เคลื่อนย้ายเงินได้อย่างรวดเร็วภายในเวลาไม่กี่วินาที และปรับตัวได้เร็วกว่าระบบในประเทศ ดังนั้น การตอบสนองของประชาคมโลกจึงจำเป็นต้องมีการประสานงานอย่างใกล้ชิด มีความชาญฉลาด และมีความมุ่งมั่นในระดับเดียวกัน
.
นายกรัฐมนตรี เน้นย้ำว่า ถึงเวลาแล้วที่ประชาคมโลกจะต้องยกระดับการหารือไปสู่การลงมือปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรม ทั้งการเสริมสร้างการแลกเปลี่ยนข่าวกรองและข้อมูล การยกระดับการบังคับใช้กฎหมายข้ามพรมแดน และการสร้างความตระหนักรู้แก่ประชาชน เพื่อป้องกันไม่ให้ตกเป็นเหยื่อของอาชญากรรมหลอกลวงทางอินเทอร์เน็ต พร้อมระบุว่า การประชุมระหว่างประเทศว่าด้วยหุ้นส่วนระดับโลกเพื่อต่อต้านอาชญากรรมหลอกลวงทางอินเทอร์เน็ต และแถลงการณ์ร่วมกรุงเทพฯ (Bangkok Joint Statement) ที่จะมีการพิจารณาในวันพรุ่งนี้ ถือเป็นก้าวสำคัญในการขับเคลื่อนความร่วมมือดังกล่าว
.
“อาชญากรรมหลอกลวงทางอินเทอร์เน็ตเติบโตขึ้นได้จากการขาดความร่วมมือที่เป็นเอกภาพ แต่จะอ่อนแรงลงเมื่อทุกประเทศรวมพลังกันเป็นหนึ่งเดียว โดยประเทศไทยพร้อมที่จะทำงานร่วมกับทุกประเทศและทุกภาคส่วน เพื่อเปลี่ยนการหารือในครั้งนี้ให้กลายเป็นความร่วมมือที่ยั่งยืน และนำไปสู่ผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรมในการต่อต้านอาชญากรรมหลอกลวงทางอินเทอร์เน็ตในระดับโลก”
.
ช่วงท้ายนายกรัฐมนตรี กล่าวขอบคุณผู้ที่มาร่วมประชุม แม้จะเป็นช่วงเวลาแห่งเทศกาลที่หลายท่านควรได้อยู่กับครอบครัว หรือเฉลิมฉลองวันหยุดในสถานที่อื่น แต่การมารวมตัวกันในวันนี้ แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่น ความห่วงใย และความรับผิดชอบร่วมกันของพวกเรา และขอส่งสารที่ถึงผู้ที่อยู่ฝั่งตรงข้ามเรา ให้รับรู้ว่า พวกเราไม่ได้มาที่กรุงเทพฯ เพื่อท่องเที่ยว แต่เรามาเพื่อปราบปรามพวกท่าน เราจะร่วมมือ ผนึกกำลัง และทำให้เครือข่ายของท่านต้องยุติลงในที่สุด

https://www.facebook.com/photo/?fbid=1215514734041201&set=a.586524703606877



แรงงานข้ามชาติจากประเทศเพื่อนบ้าน โดยเฉพาะจากเมียนมา ถือเป็นกลไกสำคัญที่ขาดไม่ได้ แต่ ในสายตาของสังคมไทย แรงงานกลุ่มนี้มักถูกมองด้วยความเข้าใจผิดและอคติ


Lanner
8 hours ago
·
แรงงานข้ามชาติจากประเทศเพื่อนบ้าน โดยเฉพาะจากเมียนมา ถือเป็นกลไกสำคัญที่ขาดไม่ได้ พวกเขาเป็นกำลังหลักในกลุ่มแรงงานทักษะต่ำ ซึ่งคิดเป็นจำนวนกว่า 80% ของแรงงานต่างชาติทั้งหมดในประเทศ จากการรายงานของคณะทำงานเครือข่ายสหประชาชาติว่าด้วยการโยกย้ายถิ่นฐานประเทศไทย (UNNM) ระบุว่า แรงงานข้ามชาติมีส่วนช่วยในการขับเคลื่อนผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ของไทยถึงประมาณ 6.2%

อย่างไรก็ตาม ในสายตาของสังคมไทย แรงงานกลุ่มนี้มักถูกมองด้วยความเข้าใจผิดและอคติ พวกเขามักถูกเหมารวมว่าเป็น ‘ภาระ’ ในยามเจ็บป่วย หรือ ‘ผู้แย่งงาน’ ของผู้คนในสังคมไทย

แต่เบื้องหลังตัวเลขและภาพลักษณ์ที่ถูกตีตรา คือเรื่องราวของมนุษย์คนหนึ่งที่มีความฝัน มีความทุ่มเท และต้องต่อสู้ดิ้นรนเพื่อสร้างชีวิตที่ดีกว่าให้กับตนเองและครอบครัว และยังเป็นกำลังหลักสำคัญของโครงสร้างทางสังคมไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาคส่วนที่ต้องใช้แรงงานเข้มข้น เช่น การก่อสร้าง เกษตรกรรม ประมง และอุตสาหกรรมการผลิต ซึ่งเป็นฐานรากสำคัญที่ช่วยขับเคลื่อนและค้ำจุนการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศ

ชีวิตที่ฝากไว้กับค่าแรงขั้นต่ำ

สำหรับแรงงานข้ามชาติหลายคน การตัดสินใจเดินทางมายังประเทศไทยไม่ใช่ทางเลือกที่ง่ายดาย หากแต่เป็นความจำเป็นที่ถูกผลักจากสองปัจจัยหลัก คือ ‘ความไม่สงบในบ้านเกิด’ และ ‘โอกาสทางเศรษฐกิจที่มากกว่า’

‘ไตรักไต’ คือข้อความที่อยู่บนเสื้อของ จิ่งต้ะ ชายชาวไทใหญ่อายุ 37 ปี ผู้เป็นแรงงานในประเทศไทยยาวนานถึง 12 ปี ซึ่งผูกพันอยู่กับการเป็นแรงงานภาคการเกษตรในภาคเหนือของไทย เขาเริ่มต้นจากการทำงานในสวนหอม สวนส้ม โรงงานขวด โรงผึ้ง และปัจจุบันเป็นคนดูแลไร่โกโก้ที่มากกว่าสี่พันต้น ในจังหวัดเชียงใหม่

“อยู่ที่รัฐฉาน เวลาทำไร่ทำสวน มันไม่พอกิน เวลาเราทำเองเพราะไม่มีเงินไปจ้างคนอื่น ผลผลิตก็จะไม่ได้ตามเป้า แต่พอมาอยู่ที่ไทย เรามาเป็นลูกจ้าง เงินก็ได้เยอะกว่าและพอกินพอใช้ สามารถเลี้ยงครอบครัวได้ ในขณะที่รัฐฉาน ไม่พอเลย”

จิ่งต้ะเล่าถึงความแตกต่างของค่าแรงระหว่างรัฐฉาน ประเทศเมียนมา กับภาคเหนือ ประเทศไทย ในปี พ.ศ. 2555 ซึ่งเป็นปีที่เขาตัดสินใจข้ามมาทำงานในประเทศไทย ในเวลานั้น ค่าแรงต่อวันในรัฐฉานอยู่ที่ประมาณ 2,000 จ๊าด หรือคิดเป็นเงินไทยราว 30 บาทต่อวัน ขณะที่งานสวนหอมในประเทศไทยให้ค่าแรง 150 บาทต่อวัน ซึ่งได้มากกว่าค่าแรงขั้นต่ำในรัฐฉานถึง 5 เท่า

และความเหลื่อมล้ำดังกล่าวยังคงอยู่ในปัจจุบัน (พ.ศ. 2568) ค่าแรงขั้นต่ำในเมียนมาอยู่ที่ประมาณ 10,000 จ๊าดต่อวัน หรือราว 150 บาท ขณะที่ค่าแรงขั้นต่ำของไทยอยู่ที่ 350 บาทต่อวัน นั่นหมายความว่าแรงงานในเมียนมายังคงได้ค่าแรงต่ำกว่าแรงงานในไทยกว่า 2 เท่า

แม้ค่าแรงจะเพิ่มขึ้นจนเทียบเท่ากับประเทศไทยเมื่อ 13 ปีที่แล้ว แต่ปัจจัยสำคัญอย่างสงครามยังไม่สงบลง

“ต้องมาฆ่ากันเอง มันไม่มีประโยชน์เลย”

หม่อง ยอดดี แรงงานช่างก่อสร้างวัย 42 ปี ชาวไทใหญ่ที่ใช้ชีวิตในไทยมาเกือบ 20 ปี เล่าให้ฟังถึงสถานการณ์การสู้รบและความไม่มั่นคงทางการเมืองในรัฐฉาน ซึ่งทำให้การดำรงชีวิตเต็มไปด้วยความเสี่ยง การหนีภัยความไม่สงบและการหลีกเลี่ยงการเกณฑ์ทหารจึงกลายเป็นแรงผลักดันสำคัญที่ทำให้เขาต้องก้าวข้ามพรมแดนเข้ามาทำงานในประเทศไทย

การต่อสู้ที่ยาวนานกว่า 70 ปี ระหว่างกองทัพเมียนมากับกองกำลังรัฐฉาน กลุ่มชาติพันธุ์ไทใหญ่ ส่งผลให้พื้นที่จำนวนมากตกอยู่ในภาวะความไม่มั่นคงอย่างต่อเนื่อง โครงสร้างเศรษฐกิจในท้องถิ่นถูกบั่นทอน การทำกินไม่แน่นอน โอกาสในการทำงานมีจำกัด และความเสี่ยงจากการสู้รบยังซ้ำเติมต้นทุนชีวิตของผู้คนในพื้นที่ชายขอบ

เช่นเดียวกับ รุ่ง อาชีพแม่บ้านในมหาวิทยาลัย วัย 36 ปี เธอเล่าว่าในรัฐฉานมีงานน้อย ค่าแรงต่ำ และเมื่อเกิดสงคราม ราคาสินค้าอุปโภคบริโภคกลับปรับตัวสูงขึ้นสวนทางกับรายได้ของผู้คนในสังคม จนการดำรงชีวิตประจำวันกลายเป็นภาระที่หนักขึ้นสำหรับหลายครอบครัว

สำหรับครอบครัวที่ต้องพึ่งพาแรงงานเพียงคนเดียวเพื่อดำรงชีพ ตัวเลขค่าจ้างขั้นต่ำของไทยจึงกลายเป็นความหวังที่จับต้องได้มากกว่าการอยู่ท่ามกลางความไม่แน่นอนในบ้านเกิด

ข้อมูลแรงงานสะท้อนความเชื่อมโยงดังกล่าวอย่างชัดเจน แรงงานข้ามชาติในประเทศไทยส่วนใหญ่มาจากประเทศเพื่อนบ้าน โดยเฉพาะกลุ่ม CLMV (กัมพูชา ลาว เมียนมา และเวียดนาม) ณ เดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2567 ประเทศไทยมีแรงงานข้ามชาติในระบบประมาณ 3.29 ล้านคน คิดเป็นราว 7.3% ของประชากรวัยทำงานทั้งหมดของประเทศ แรงงานกลุ่มนี้ส่วนใหญ่เป็นแรงงานทักษะต่ำ และกระจายตัวอยู่ในภาคเศรษฐกิจสำคัญ เช่น ก่อสร้าง เกษตรกรรม อุตสาหกรรม และบริการ

เมื่อพิจารณาแหล่งที่มา จะเห็นการพึ่งพาประเทศเพื่อนบ้านอย่างเด่นชัด โดยแรงงานจากเมียนมามีจำนวนมากที่สุดกว่า 1.19 ล้านคน สูงกว่าประเทศอื่นอย่างมีนัยสำคัญ

สถานการณ์ความมั่นคงในเมียนมาจึงเชื่อมโยงโดยตรงกับความมั่นคงทางเศรษฐกิจของไทยอย่างไม่อาจแยกขาด

การไหลเข้ามาของแรงงานในภาคก่อสร้าง – งานบ้าน – การเกษตร จึงไม่ใช่แค่เรื่องของการย้ายถิ่นฐาน แต่คือการเข้ามาทำหน้าที่ในจุดที่แรงงานไทยขาดหายไป ท่ามกลางสถานการณ์ที่ประเทศไทยกำลังเผชิญกับความท้าทายใหม่ที่ยากจะหลีกเลี่ยง นั่นคือการก้าวเข้าสู่สังคมสูงวัยอย่างเต็มตัว

ก่อสร้าง งานบ้าน เกษตร จุดที่แรงงานข้ามชาติทำให้ประเทศเดินต่อ

ในบริบทปัจจุบัน แรงงานข้ามพรมแดนเป็นกลไกสำคัญที่ค้ำจุนระบบเศรษฐกิจไทยอย่างเงียบงัน โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่ประเทศไทยกำลังเผชิญกับวิกฤตแรงงานเชิงโครงสร้างจากการเข้าสู่สังคมสูงวัยอย่างรวดเร็ว จำนวนประชากรวัยทำงานลดลงต่อเนื่อง ขณะที่ความต้องการแรงงานในหลายภาคส่วนยังคงสูงและไม่สามารถหยุดชะงักได้

จากการรายงานของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เรื่องการคาดประมาณประชากรของประเทศไทย พ.ศ. 2553–2583 และบทวิเคราะห์โครงสร้างประชากรโดยธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) พบว่า ประเทศไทยกำลังเผชิญวิกฤตการขาดแคลนแรงงานอย่างจริงจัง ตัวเลขประชากรสะท้อนปัญหานี้ได้ชัดเจน โดยประชากรวัยทำงาน (อายุ 15–59 ปี) ของไทยได้ผ่านจุดสูงสุดไปแล้วตั้งแต่ปี 2560 และนับจากนั้นจำนวนแรงงานก็ลดลงต่อเนื่อง เฉลี่ยปีละประมาณ 3–4 แสนคน

ผลกระทบคือ สัดส่วนประชากรวัยแรงงานที่เคยมีมากถึงร้อยละ 70 ในปี 2553 กำลังลดลงอย่างรวดเร็ว และคาดว่าในอีกไม่ถึง 20 ปีข้างหน้า จะเหลือเพียงร้อยละ 50 เท่านั้น หมายความว่า คนทำงานจะต้องแบกรับภาระทางเศรษฐกิจและสังคมมากขึ้น ขณะที่จำนวนผู้สูงอายุเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง

สถานการณ์นี้ยิ่งน่ากังวลมากขึ้น เมื่อจำนวนเด็กเกิดใหม่ในแต่ละปีลดลงต่ำกว่า 5 แสนคน ซึ่งเป็นระดับต่ำที่สุดในรอบกว่า 70 ปี โดยอัตราการมีบุตรเฉลี่ยของผู้หญิงไทยอยู่ที่ประมาณ 1.08 คนต่อคน ต่ำกว่าระดับที่จำเป็นต่อการทดแทนประชากร

เมื่อเด็กเกิดใหม่น้อยลง แรงงานรุ่นใหม่ที่จะเข้ามาขับเคลื่อนเศรษฐกิจในอนาคตก็ลดลงตามไปด้วย ส่งผลให้โครงสร้างเศรษฐกิจไทยกำลังเผชิญความเสี่ยงจากการขาดแคลนแรงงานในระยะยาวอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ช่องว่างนี้เองที่แรงงานข้ามพรมแดน โดยเฉพาะจากประเทศเพื่อนบ้านอย่างเมียนมา ได้เข้ามามีบทบาทสำคัญ

พวกเขาไม่ได้เข้ามาแทนที่แรงงานไทย หากแต่เข้ามาเติมเต็มในตำแหน่งงานที่ระบบเศรษฐกิจไทยยังต้องพึ่งพา นักเศรษฐศาสตร์แรงงานมักเรียกงานเหล่านี้ว่า ‘งาน 3D’ ได้แก่ Dirty (สกปรก), Dangerous (อันตราย) และ Difficult (ยากลำบาก) ซึ่งเป็นงานที่ต้องใช้แรงกายสูง อยู่ในสภาพแวดล้อมเสี่ยง และมีความไม่แน่นอนในชีวิตการทำงาน

บทบาทของแรงงานข้ามชาติในงาน 3D จึงไม่ใช่การแข่งขันในตลาดแรงงาน แต่คือการเข้ามาเป็นฟันเฟืองที่ทำให้ระบบเศรษฐกิจสามารถเดินหน้าต่อไปได้ โดยเฉพาะในภาคส่วนที่ถือเป็นฐานรากของประเทศ

“เห็นคนเมือง (คนไทย) ไม่กี่คน ที่เหลือก็เป็นคนไทใหญ่ คนพม่า อย่างขุดส้วม น้ำเหม็นๆ ถ้าคนไทยยอมทำเอง อยากทำเองก็ได้ แต่ถ้าทำไม่ได้ พวกผมทำ”

หม่องเล่าให้ฟังถึงบริบทสถานที่ทำงานไซต์ก่อสร้าง และงานต่อเติมซ่อมแซมอาคารบ้าน เขาอธิบายถึงวิธีการทำห้องสุขา ที่ต้องลงไปยืนในน้ำ คลำกลิ่นคละคลุ้ง รวมไปถึงวิธีการยืนบนหลังคาโรงจอดรถกลางแดดจ้า ซึ่งนับเป็นกิจวัตรประจำวันของตัวเขา ที่เมื่อเสร็จงานแล้ว สิ่งนี้จะเป็นหลังคากันแสงแดดออกจากผู้คน

ภาคการก่อสร้างคือหนึ่งในตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุด งานก่อสร้างเป็นงานที่ต้องทำกลางแจ้ง ใช้แรงงานหนัก และมีความเสี่ยงสูง ตั้งแต่การก่อสร้างอาคาร ถนน ไปจนถึงโครงการโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่

หากแรงงานข้ามชาติในภาคการก่อสร้างหายไป ภายใน 3 เดือน โครงการอสังหาริมทรัพย์และโครงสร้างพื้นฐานทั่วประเทศจะหยุดชะงัก ผลที่ตามมาคือ ดอกเบี้ยเงินกู้ที่ผู้ประกอบการต้องแบกรับจะถูกบวกเพิ่มเข้าไปใน “ราคาบ้านและคอนโด” ของคนไทยในอนาคต รวมถึงงานซ่อมแซมเล็กน้อยในบ้านที่คนไทยไม่ทำเอง จะกลายเป็นปัญหาใหญ่ทางสุขอนามัยที่หาคนมาจัดการไม่ได้

ในภาคการเกษตร ซึ่งเป็นอีกเสาหลักของเศรษฐกิจไทย ก็พึ่งพาแรงงานข้ามชาติอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ทั้งในงานเพาะปลูก ปศุสัตว์ และประมง งานเหล่านี้ต้องอาศัยแรงงานเข้มข้น ทำงานตามฤดูกาล และต้องเก็บเกี่ยวให้ทันเวลา

“งานบางอย่างเป็นงานที่คนไทยไม่ค่อยเลือกทำ โดยเฉพาะงานที่ต้องตากแดดตลอดทั้งวัน อย่างงานในสวนส้ม แทบไม่มีแรงงานไทยทำเลย งานอันตราย โดนยา (สารเคมี) เข้าไปเนี่ย ผื่นขึ้นคันทั้งตัวเลย บางคนโดนเข้าตา ก็เป็นต้อตา”

“หลายที่เป็นแรงงานต่างด้าวทั้งหมดเลย มีแค่นายจ้างที่เป็นคนไทย” จิ่งต้ะเล่าติดตลกว่า หากไม่มีแรงงานข้ามชาติคอยทำงานเหล่านี้แล้ว คงต้องเป็นนายจ้างหรือเจ้าของสวนเองที่ต้องเข้าไปฉีดยา ใช้สารเคมีด้วยตัวพวกเขาเอง

แรงงานข้ามชาติคือกำลังหลักที่ทำให้ระบบอาหารของประเทศยังเดินต่อไปได้ ข้อมูลจากกระทรวงแรงงานระบุว่า ปัจจุบันมีแรงงานข้ามชาติที่ขึ้นทะเบียนในภาคเกษตรและปศุสัตว์ประมาณ 400,000–500,000 คน แต่ในความเป็นจริง ตัวเลขอาจสูงเกือบเท่าตัว หากนับรวมแรงงานตามฤดูกาลและแรงงานนอกระบบ ซึ่งเป็นกลุ่มที่ไม่ปรากฏในสถิติอย่างเป็นทางการ

แรงงานเหล่านี้ทำงานกับพืชเศรษฐกิจที่ต้องอาศัย ‘มือคน’ อย่างเข้มข้น ตั้งแต่การเก็บเกี่ยว คัดแยก ไปจนถึงการรักษาคุณภาพก่อนส่งถึงตลาด

หากแรงงานข้ามชาติหายไป ภายในเวลาไม่ถึงหนึ่งเดือน ผลผลิตจำนวนมากจะเน่าเสียคาต้น เพราะไม่มีคนเก็บเกี่ยว แรงงานไทยที่มีอยู่อย่างจำกัดไม่สามารถทดแทนได้ทัน

มูลค่าการส่งออกพืชผักและผลไม้ในปี 2566–2567 โดยมูลค่าการส่งออกผลไม้สด แช่เย็น แช่แข็ง และแห้ง ของไทยอยู่ที่ประมาณ 200,000–250,000 ล้านบาทต่อปี และนี่คือตัวเลขที่ทั้งประเทศจะสูญเสียจากการไม่สามารถส่งออกสินค้าได้

ผลกระทบจะส่งตรงถึงผู้บริโภค ภายใน 2 เดือน ราคาผัก ผลไม้ และเนื้อสัตว์จะพุ่งสูงขึ้นจากต้นทุนที่เพิ่มขึ้นและผลผลิตที่ลดลง ความมั่นคงทางอาหารของครัวเรือนไทยจะสั่นคลอนทันที

บทเรียนนี้เคยเกิดขึ้นมาแล้วในช่วงวิกฤต COVID-19 เมื่อการชะงักของการเคลื่อนย้ายแรงงานเพียงระยะสั้น ทำให้ผลผลิตจำนวนมากไม่สามารถเก็บเกี่ยวได้ทัน เกษตรกรเสียหาย และราคาสินค้าเกษตรผันผวนอย่างรุนแรง สถานการณ์ดังกล่าวชี้ชัดว่า แรงงานข้ามชาติไม่ใช่เรื่องของ ‘คนอื่น’ แต่เชื่อมโยงโดยตรงกับความมั่นคงทางอาหารของไทย

ขณะเดียวกัน งานบ้านและงานดูแล ซึ่งรวมถึงการดูแลผู้สูงอายุ เด็กเล็ก และงานภายในครัวเรือน ก็เป็นอีกภาคส่วนที่แรงงานข้ามชาติเข้ามามีบทบาทสำคัญ งานเหล่านี้เป็นงานที่หนัก ใช้ทั้งแรงกายและแรงใจ ชั่วโมงการทำงานที่มากและไม่แน่นอน ในหลายกรณียังขาดการคุ้มครองทางกฎหมายที่เพียงพอ

รุ่ง คือตัวแทนของแรงงานในภาคบริการและงานบ้าน ที่เป็น ‘มือขวา’ ให้กับครอบครัวคนเมืองในสังคมสูงวัย งานของเธอไม่ใช่แค่การทำความสะอาด แต่คือการดูแลผู้สูงอายุและเด็ก ช่วยให้คนไทยวัยทำงานสามารถออกไปขับเคลื่อนเศรษฐกิจได้อย่างไร้กังวล

หากขาดแรงงานกลุ่มนี้ ภายใน 1 เดือน วิกฤตการดูแล (Care Crisis) จะเกิดขึ้นทันที วัยทำงานจำนวนมากต้องเลือกระหว่าง ‘งานประจำ’ กับ ‘การกลับไปดูแลคนป่วยที่บ้าน’

ผลผลิตของแรงงานไทยจะลดลงอย่างมหาศาล และความเครียดในครอบครัวจะเพิ่มสูงขึ้น งานดูแลที่รุ่งทำจึงไม่ใช่แค่การจ้างงานส่วนตัว แต่คือการแบกรับภาระทางสังคมที่รัฐไทยยังไม่มีสวัสดิการรองรับเพียงพอ

แรงงานข้ามชาติจึงเป็น ‘เสาค้ำ’ ที่มองไม่เห็น แต่มีบทบาทสำคัญต่อการดำรงอยู่ของเศรษฐกิจไทยในชีวิตประจำวัน ตั้งแต่ไซต์ก่อสร้าง ไร่นา โรงงาน ไปจนถึงภายในบ้านของผู้คนในเมืองใหญ่ และเป็นคำถามสำคัญที่สังคมไทยต้องหันกลับมาทบทวนว่า เราจะมองคนกลุ่มนี้อย่างไร ในฐานะแรงงาน หรือในฐานะมนุษย์ที่มีส่วนร่วมในการสร้างประเทศไปด้วยกัน

อุปสรรคของ ‘ความถูกต้อง’ ค่าใช้จ่ายที่มองไม่เห็นและภาระทางกฎหมาย

“เวลามาอยู่ไทย เราพออยู่พอกิน แต่เราต้องมีนายจ้าง ถ้าไม่มีนายจ้างเราจะลำบาก” จิ่งต้ะยกตัวอย่างให้เห็นภาพว่า คนไทยอยู่ในประเทศไม่จำเป็นต้องมีนายจ้าง พลเมืองเจ้าของประเทศสามารถประกอบอาชีพได้อย่างอิสระ แต่สำหรับแรงงานข้ามชาติ ‘นายจ้าง’ คือเงื่อนไขเดียวที่ชี้เป็นชี้ตายสถานะการมีตัวตนในสังคมไทย

ภายใต้ พ.ร.ก. การบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าว พ.ศ. 2560 รัฐไทยได้วางระบบการขึ้นทะเบียนแบบระบุชื่อนายจ้างอย่างเข้มงวด โดยอ้างเหตุผลด้านความมั่นคงและการควบคุมปริมาณแรงงาน แต่ระบบนี้เปรียบเสมือนการผูกขาดสถานะที่เปลี่ยนแรงงานให้กลายเป็น “ทรัพย์สิน” ของนายจ้างมากกว่าจะเป็นหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจ

หากนายจ้างเอารัดเอาเปรียบ แรงงานส่วนใหญ่จำต้องเลือกที่จะนิ่งเฉย เพราะการเปลี่ยนนายจ้างมีเงื่อนไขที่ซับซ้อนและมีเวลาจำกัดเพียง 30–60 วัน มิฉะนั้นสถานะถูกกฎหมายจะสิ้นสุดลงทันที

ยิ่งไปกว่านั้น ความสลับซับซ้อนของนโยบายที่เกี่ยวข้องกับแรงงานข้ามชาติ มักออกผ่านมติคณะรัฐมนตรี ซึ่งเปลี่ยนแปลงบ่อยและมีเส้นตายที่กระชั้นชิด ทำให้เกิดช่องว่างให้ธุรกิจ ‘นายหน้า’ เข้ามาแสวงหาผลประโยชน์

สำหรับแรงงานภาคครัวเรือนอย่าง รุ่ง การจัดการเอกสารที่ยากเกินจะทำได้ด้วยตนเองบีบให้เธอต้องพึ่งพาจ้างวานคนกลาง ทำให้มีค่าใช้จ่ายส่วนเกินพุ่งสูงกว่า 10,000 บาทต่อปี ค่าใช้จ่ายเหล่านี้จึงไม่ใช่แค่ค่าธรรมเนียมรัฐ แต่คือ ‘ค่าความไม่รู้’ และ ‘ค่าอำนวยความสะดวก’ ที่เกิดจากนโยบายรัฐที่ขาดความชัดเจน

ต้นทุนของการมี ‘สถานะถูกกฎหมาย’ จึงกลายเป็นภาระหนักหนาที่แรงงานต้องแบกรับเองทั้งหมด ตั้งแต่ค่าต่ออายุหนังสือเดินทางที่สูงถึง 5,000 บาทต่อครั้ง ไปจนถึงค่าธรรมเนียมวีซ่า ใบอนุญาตทำงาน และประกันสังคม ซึ่งเมื่อรวมกันแล้วอาจพุ่งสูงถึง 16,000 บาทต่อคน เงินจำนวนนี้ไม่ได้เป็นเพียงตัวเลขในหน้ากระดาษ แต่มันคือรายได้ทั้งหมดตลอด 2–3 เดือนของแรงงาน ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อเงินที่ต้องส่งกลับไปจุนเจือครอบครัว

ความพยายามดิ้นรนเพื่อหาเงินมาจ่ายค่าธรรมเนียมเหล่านี้ นำไปสู่ความเสี่ยงใหม่ เมื่อแรงงานต้องแอบรับจ้างทำงานนอกเหนือจากที่ระบุในใบอนุญาต

จิ่งต้ะเล่าว่า ด้วยค่าใช้จ่ายที่สูงเท่านี้ ทำให้บางครั้งแรงงานต้องรับจ้างหางานนอกเหนือจากที่บริษัทกำหนด เช่น การรับจ้างตัดหญ้า ทำความสะอาด หากถูกตรวจสอบจะถือเป็นความผิดฐานปฏิบัติงานไม่ตรงตามสถานที่และประเภทงาน สิ่งนี้คือ ‘กับดักความยืดหยุ่น’ ที่กฎหมายไทยมองข้าม

แม้รัฐจะอ้างว่าการจำกัดพื้นที่ทำงานและประเภทงานคือการป้องกันการแย่งอาชีพคนไทย แต่ในความจริงมันคืออุปสรรคต่อการใช้ศักยภาพมนุษย์ ดังเช่นกรณีของ หม่อง ช่างก่อสร้างที่มีฝีมือ ที่ต้องเผชิญข้อจำกัดทางกฎหมายเรื่อง ‘การทำงานผิดพื้นที่’ การรับงานสั้นๆ นอกเขตที่ระบุไว้มีโทษปรับถึง 1,000 บาท

นโยบายรัฐที่มองแรงงานเป็นเพียงตัวเลขที่นับได้และคงที่ (Static Unit) จึงสวนทางกับโลกความเป็นจริงของเศรษฐกิจที่ต้องการความคล่องตัว และเป็นการตัดโอกาสในการสร้างรายได้ที่มั่นคงของแรงงานที่มีทักษะ

หากแรงงานรายใดไม่สามารถแบกรับค่าใช้จ่ายหรือทำตามเงื่อนไขที่แข็งตัวเหล่านี้ได้ พวกเขาจะกลายเป็น ‘แรงงานผิดกฎหมาย’ ทันที ซึ่งหมายถึงการสูญเสียการคุ้มครองทั้งหมด และเสี่ยงต่อการถูกจับกุม การเข้าสู่วงจรการค้ามนุษย์ หรือถูกเบี้ยวค่าจ้างได้ง่ายขึ้น

ซ้ำร้ายกว่านั้น การขาดความเข้าใจจากสังคมยังสร้างแรงกดดันทางจิตใจมหาศาล รุ่งเล่าด้วยความอัดอั้นว่า เธอเคยถูกกล่าวหาว่าเป็นคนนำขยะมาทิ้ง ทั้งที่ความจริงเธอเพียงเก็บขวดและของเก่าเพื่อเป็นรายได้เสริมเลี้ยงครอบครัว

“ถ้าเราสะอาด เราก็อยากให้คนอื่นสะอาดเหมือนกัน เรามาทำงานหาเงิน ไม่ได้ต้องการจะสร้างปัญหา” คำพูดของรุ่งสะท้อนให้เห็นว่า นอกจากกำแพงทางกฎหมายและต้นทุนทางการเงินที่สูงลิ่วแล้ว แรงงานข้ามชาติยังต้องต่อสู้กับอคติที่มองว่าพวกเขาเป็นภาระ ทั้งที่ในความเป็นจริง พวกเขาคือฟันเฟืองที่ยอมจ่ายราคาแพงที่สุดเพื่อให้ได้สิทธิในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยอย่างถูกต้อง

ความเป็นมนุษย์ ความฝัน และความผูกพันบน ‘บ้านหลังที่สอง’

อคติทางสังคมมักมองว่าแรงงานข้ามชาติเป็นแรงงานไร้ทักษะ แต่ความจริงคือ แรงงานเหล่านี้จำนวนมากได้พัฒนาตนเองจนกลายเป็นผู้เชี่ยวชาญในสายอาชีพของตนเอง และเรียนรู้ด้วยตนเอง

หม่องคือตัวอย่างที่ชัดเจน เขาเริ่มต้นจากการเป็นเพียงกรรมกรแบกหามในงานก่อสร้าง ด้วยค่าแรงเริ่มต้นเพียง 150 บาทต่อวัน แต่ด้วยความขยันและความอยากรู้อยากเห็น เขาได้เรียนรู้ทักษะช่างไม้ ช่างปูน และงานติดตั้งต่างๆ จากประสบการณ์จริง จนสามารถพัฒนาตนเองเป็น ‘ช่างก่อสร้างอิสระ’ ที่มีความเชี่ยวชาญรอบด้าน ลูกค้าสามารถเชื่อมั่นในฝีมือของเขาได้

“ผมเริ่มจากกรรมกร ไม่รู้เรื่องอะไรเลย แต่ผมเรียนรู้จนทำได้ทุกอย่าง ทั้งงานไม้ งานปูน งานหลังคา งานอิเล็กทริก ผมทำคนเดียวก็เสร็จหมด ผมภูมิใจในฝีมือตัวเอง” หม่องกล่าวด้วยความภาคภูมิใจ

หรือ จิ่งต้ะ ผู้ดูแลไร่โกโก้ เขาเริ่มงานจากศูนย์ แต่ด้วยความสนใจในเรื่องการเกษตร เขาได้จดบันทึกทุกคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญด้านโกโก้ที่มาให้ความรู้ ปัจจุบันเขาไม่ใช่แค่คนงานทั่วไป แต่เป็นผู้ดูแลหลักของไร่ ที่สามารถจัดการดูแลต้นโกโก้กว่า 4,000 ต้น รวมถึงงานตัดแต่งกิ่ง การใส่ปุ๋ย และการเก็บเกี่ยวทั้งหมด ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความสามารถในการเรียนรู้และความรับผิดชอบที่สูง

แรงงานเหล่านี้ตระหนักดีว่าความขยันหมั่นเพียรเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในการเอาตัวรอดและสร้างอนาคตในต่างแดน ความอดทนและความทุ่มเทที่พวกเขาแสดงออกมาจึงไม่ใช่แค่การทำงาน แต่เป็นการลงทุนเพื่อชีวิตที่ดีกว่าของครอบครัวที่รออยู่

สิ่งที่ทำให้แรงงานข้ามชาติแตกต่างจากหุ่นยนต์คือ ‘ความเป็นมนุษย์’ ที่มีความฝัน มีความผูกพันทางครอบครัว และมีความหวังสำหรับอนาคต

การสร้างครอบครัวในไทย แรงงานหลายคนได้สร้างรากฐานชีวิตในประเทศไทย หม่องแต่งงานกับภรรยาชาวไทใหญ่ที่เชียงใหม่ และมีบุตรที่เกิดในไทย ลูกของเขาเรียนในโรงเรียนไทย พูดภาษาไทยได้ และมองประเทศไทยเป็นบ้าน

ภาระและหน้าที่ต่อบ้านเกิด แม้จะสร้างชีวิตใหม่ในไทย แต่แรงงานเหล่านี้ไม่เคยลืมครอบครัวที่อยู่บ้านเกิด รุ่งต้องส่งเงินกลับไปดูแลพ่อแม่และญาติพี่น้องที่รัฐฉานอย่างสม่ำเสมอในจำนวนที่มากเมื่อเทียบกับรายได้

“เดือนหนึ่งต้องส่งกลับไปประมาณ 1,600 ถึง 1,700 บาท” รุ่งกล่าว แม้เงินจำนวนนี้อาจดูน้อยนิดในสายตาคนเมือง แต่สำหรับรุ่ง มันคือ 1 ใน 4 ของรายได้ทั้งเดือน และสำหรับพ่อแม่ที่พม่า มันคือเงินต่อลมหายใจที่ช่วยให้มีชีวิตรอดท่ามกลางวิกฤตการณ์ทางการเมืองและเศรษฐกิจ

ความฝันของพวกเขาเรียบง่ายแต่ทรงพลัง หม่องฝันอยากเป็น ‘หัวหน้าช่าง’ ที่ได้รับผิดชอบโครงการใหญ่ ส่วนรุ่งฝันถึงวันที่จะมีเงินก้อนเพื่อกลับไปเปิดร้านขายของชำเล็ก ๆ ที่บ้านเกิด ความฝันเหล่านี้ไม่ใช่ภัยคุกคาม แต่มันคือ ‘แรงขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจ’ (Economic Driver) ที่ส่งผลบวกต่อทั้งสองประเทศ แรงงานเหล่านี้ทำงานหนักเพื่อจ่ายภาษีทางอ้อมและกระตุ้นการบริโภคในไทย ขณะเดียวกันก็ส่งเงินไปกระตุ้นเศรษฐกิจในเมียนมา

ความจริงใต้พรม ระบบที่ฝากความหวังไว้บน ‘ความไม่มั่นคง’

เรื่องเล่าของแรงงานในสามภาคส่วนนี้สะท้อนภาพใหญ่ของการเคลื่อนย้ายแรงงานในภูมิภาค การสู้รบที่ยืดเยื้อในเมียนมาไม่ได้จำกัดผลกระทบอยู่ภายในประเทศ หากแต่ส่งแรงสะเทือนข้ามพรมแดน ทั้งการอพยพของประชาชน การไหลเข้ามาของแรงงาน และแรงกดดันต่อระบบเศรษฐกิจและตลาดแรงงานของประเทศเพื่อนบ้านอย่างไทย สถานการณ์ความมั่นคงในเมียนมาจึงเชื่อมโยงโดยตรงกับความมั่นคงทางสังคมและเศรษฐกิจของไทยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

การไหลเข้ามาของแรงงานข้ามพรมแดนจากเมียนมาเหล่านี้ จึงมิใช่เพียงปรากฏการณ์ทางสังคมหรือความมั่นคงเท่านั้น แต่เป็นกลไกสำคัญที่ช่วยเติมเต็มช่องว่างในตลาดแรงงานไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาคส่วนที่ต้องพึ่งพาแรงงานเข้มข้นอย่าง ภาคก่อสร้าง – งานบ้าน – การเกษตร

หากเรามองให้ลึกลงไปกว่าเรื่องราวความสำเร็จส่วนบุคคล เราจะพบคำถามที่น่าอึดอัดใจว่า

“เรากำลังสร้างระบบเศรษฐกิจที่ฝากความหวังไว้กับความไม่มั่นคงของเพื่อนมนุษย์อยู่หรือไม่?”

และเราพอใจจริงหรือกับการเห็นคนที่ทำงานหนักที่สุดในห่วงโซ่การผลิตต้องแบกรับต้นทุนความเสี่ยงไว้เพียงลำพัง เพียงเพื่อให้สินค้าและบริการที่เราใช้ในชีวิตประจำวันมีราคาถูกลง

ในวันที่การรักษาสถานะ ‘ถูกกฎหมาย’ มีต้นทุนสูงเกินกว่าที่ค่าแรงขั้นต่ำจะรองรับได้ คำถามสำคัญจึงไม่ใช่ว่าแรงงานควรพยายามมากขึ้นแค่ไหน แต่คือใครกันแน่ที่ควรเป็นผู้รับผิดชอบต้นทุนนี้

แรงงานที่ต้องจ่ายด้วยหนี้สิน เสรีภาพ และชีวิตที่ถูกผูกมัดกับนายจ้าง เพียงเพื่อแลกกับสิทธิขั้นพื้นฐานอย่างการไม่ถูกจับกุมและไม่ถูกผลักออกจากระบบ

หรือรัฐที่มองแรงงานข้ามชาติเป็นเพียงปัญหาความมั่นคง แต่กลับตั้งค่าธรรมเนียมสูงลิ่วในกระบวนการที่ซับซ้อนและเข้าถึงยาก ขณะเดียวกัน ภาคธุรกิจที่ได้รับประโยชน์จากแรงงานราคาถูกและกำไรที่เพิ่มขึ้น กลับสามารถปัดภาระความรับผิดชอบด้านสวัสดิการและต้นทุนทางกฎหมายออกไปจากห่วงโซ่การผลิตได้อย่างไร้แรงเสียดทาน

เพราะระบบที่ยั่งยืนอย่างแท้จริง ไม่ควรตั้งอยู่บนการสร้างกำไรจากความเปราะบางของใครคนหนึ่ง และเมืองที่ศิวิไลซ์ไม่ใช่เมืองที่มีตึกสูงหรือการเติบโตทางเศรษฐกิจเพียงอย่างเดียว หากแต่เป็นเมืองที่เห็นคุณค่าในหยาดเหงื่อของทุกชีวิตอย่างเท่าเทียม และไม่ปล่อยให้ใครต้องจ่ายราคาของความเจริญแทนผู้อื่นเพียงลำพัง

อ่านในรูปแบบเว็บไซต์ที่ https://www.lannernews.com/18122568-02/

เรื่อง: กุลธิดา กระจ่างกุล
ภาพ: จิราเจต จันทร์คำ

รายงานนี้ได้รับการสนับสนุนโดย กองบรรณาธิการ “โครงการห้องทดลองพัฒนาระบบนิเวศเครือข่ายการสื่อสารสาธารณะเพื่อสันติภาพ”

Lanner, Louder, The Isaan Record, The Motive, Sound Isan, Wartani, ประชาไท, สำนักข่าวชายขอบ,ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน), สถาบันสันติศึกษา มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์, องค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย

#แรงงานข้ามชาติ #ชายแดน #ไทย #เมียนมา #สื่อสาธารณะเพื่อสันติภาพ #ชายแดนไม่เงียบ #ไทยพีบีเอส #Lanner #สื่อออนไลน์ภาคเหนือเพื่อคุณภาพชีวิตของทุกคน

https://www.facebook.com/photo/?fbid=885998327518245&set=a.133395686111850




อ่านจดหมายจากนักศึกษาชาวกัมพูชาที่เขียนถึงคุณประวิตร โรจนพฤกษ์ คุณประวิตร เค้าอ่านแล้วน้ำตาซึม

https://www.facebook.com/pravit.rojanaphruk.5/posts/pfbid0yGzVd2nLf3Zf9gnzKNpBmbpLqeJyUQW3Sseh87uLM6xvv2RxyrG1RgnpwVhDd8xGl

Pravit Rojanaphruk 
10 hours ago
·
(English below)
อ่านจดหมายจากนักศึกษาชาวกัมพูชาที่เขียนถึงผมแล้วผมน้ำตาซึม ว่าเราทำอะไนกันได้เพียงแค่นี้หรือ ในขณะที่สงครามอันไม่จำเป็นกฝดำเนินต่อไปใกล้เข้าสู่อาทิตย์ที่สอง ขอให้ทั้งคนไทยและกัมพูชาที่รักสันติ พยายามยิ่งขึ้นต่อไป
สวัสดีค่ะ คุณโรจนพฤกษ์
ดิฉันหวังว่าคุณจะสบายดีนะคะ! ดิฉันชื่อ ….. เป็นนักศึกษากัมพูชาที่หลงใหลในสาขาสื่อสารมวลชน ฉันอยากเขียนจดหมายฉบับนี้เพื่อแสดงความชื่นชมอย่างลึกซึ้งต่อการรายงานข่าวของคุณเกี่ยวกับความขัดแย้งชายแดนไทย-กัมพูชาที่กำลังเกิดขึ้น
ฉันติดตามความขัดแย้งนี้อย่างใกล้ชิดตั้งแต่เกิดการปะทะครั้งแรกในเดือนกรกฎาคม อ่านข่าวอย่างต่อเนื่องซึ่งทำให้ฉันกังวลถึงประชาชนทั้งสองฝั่งชายแดนอย่างมาก การเสพข่าวเกี่ยวกับการทิ้งระเบิด การโจมตีทางอากาศ และการพลัดถิ่นนั้นไม่ดีต่อจิตใจนัก ความขัดแย้งนี้เปิดโลกทัศน์ของฉันอย่างมาก โดยเฉพาะในฐานะคนกัมพูชาอายุน้อย เพราะมันทำให้ฉันตระหนักได้จริง ๆ ว่าข้อมูลสามารถมีความเอนเอียงได้ ขึ้นอยู่กับวิธีการนำเสนอ
ท่ามกลางคำพูดชาตินิยมและการรายงานข่าวที่มีอคติจากทั้งสองฝ่าย ดิฉันพบว่าบทความของคุณให้ข้อมูลเชิงลึกและสะท้อนความคิดได้อย่างลึกซึ้ง บทความข่าวหลายชิ้นจากกัมพูชาหรือไทยมักผลักดันวาระชาตินิยมของตนเอง ส่วนการรายงานข่าวระหว่างประเทศ เช่น จาก Reuters หรือ Associated Press แม้ว่าจะค่อนข้างเป็นกลาง แต่ก็ไม่ได้ลงรายละเอียดเชิงลึกและขาดความซับซ้อนในระดับภูมิภาค (ซึ่งไม่ได้หมายความว่าฉันลดความสำคัญของการรายงานที่เป็นกลางจากสำนักข่าวเหล่านี้ โดยเฉพาะเกี่ยวกับความขัดแย้งที่กำลังดำเนินอยู่)
แต่บทความความคิดเห็นของคุณครอบคลุมหัวข้อเหล่านี้ด้วยความละเอียดอ่อนและใส่ใจ ทำให้ทั้งสองมุมมองได้รับการนำเสนออย่างเหมาะสม ดิฉันชื่นชอบบทความของคุณเรื่อง “Time to Face the Ugly Truth about the Deep Underlying Conflict Between Thailand and Cambodia” โดยคุณได้อธิบายถึงอคติทางประวัติศาสตร์ที่ทำให้ความตึงเครียดและความรู้สึกไม่พอใจระหว่างประชาชนกัมพูชาและไทยเพิ่มขึ้น
ดิฉันหวังเป็นอย่างยิ่งๆ ว่าความขัดแย้งนี้จะสิ้นสุดลง มันทำให้หัวใจเจ็บปวดที่เห็นประชาชนทั้งสองฝั่งต้องทนทุกข์เพราะรัฐบาลของตนเอง สงครามไม่ใช่คำตอบที่ถูกต้อง และเราควรยืนหยัดเพื่อสันติภาพเสมอ ดังนั้นขอขอบคุณคุณโรจนพฤกษ์ ที่ยืนหยัดเพื่อสันติภาพด้วยถ้อยคำของคุณ มันมีความหมายกับดิฉันอย่างมาก
ด้วยความเคารพอย่างสูง

และนี่คือที่ผมเขียนตอบเธอ:
เรียนคุณ …
ขอบคุณมากสำหรับจดหมายอันซาบซึ้งกินใจของคุณ ผมจะทำเต็มที่เท่าที่ทำได้เพื่อมีส่วนเล็ก ๆ ในการสร้างความเข้าใจที่ดีขึ้นระหว่างสองประเทศของเราและเพื่อสันติภาพ การเป็นเพื่อนบ้านที่ดีระหว่างไทยและกัมพูชา ย่อมดีกว่าการเป็นศัตรูกัน
ขอให้เราทำทุกวิถีทางเท่าที่ทำได้ เพื่อมุ่งสู่เป้าหมายนั้น
ด้วยความนับถือ
ประวิตร โรจนพฤกษ์

My eyes are brimming with tears upon reading this letter written by a young Cambodian student to me, partly wondering what more we can do amidst the continuation of this needless war nearing its second week now. All is not lost, perhaps. Let us, Thais and Cambodians who stand for peace, double our efforts.
Here’s the letter, with her name removed for her safety.
Hello Mr. Rojanaphruk,
I hope you're doing well! My name is ….., a Cambodian student who is passionate about Journalism. I just wanted to write to you expressing my deep appreciation for your coverage of the ongoing Thailand-Cambodia border conflict.
I've been following the conflict closely ever since the first flare-up in July, constantly reading news that has left me constantly worried for the sake of the citizens on both sides. Reading about bombings, air strikes, and displacement isn't particularly good for your soul. This conflict has been especially eye-opening to me, especially as a young Cambodian, in the sense that I've truly realised that information CAN be subjective at times depending on how you frame it.
Amidst all the nationalistic rhetoric and biased news coverage from both sides, I found your articles extremely informative and deeply introspective. Many news articles from either Cambodia or Thailand usually push their own nationalistic agenda and international news coverage such as articles from Reuters or the Associated Press, although mostly unbiased, don't go in depth enough and lack regional complexity (this by no means indicates that I am downplaying the usefulness of impartial coverage from these publications especially of an ongoing conflict).
But your opinion pieces cover these topics with such nuance and care, making sure that both perspectives are addressed properly. I especially enjoyed your article titled "Time to Face the Ugly Truth about the Deep Underlying Conflict Between Thailand and Cambodia" where you detailed the historical biases that led to growing tensions and ill-tempered sentiments between the citizens of Cambodia and Thailand.
I truly wish and hope that this conflict will end. It is heart wrenching seeing displaced citizens on both sides suffering because of their respective governments. War is never the right answer and we should always uphold peace. So thank you Mr. Rojanaphruk, for upholding peace with your words. It truly means a lot to me.
Warmest Regards,
...
---
And here is my reply:
Dear Miss …
Thank you so much for your very kind letter which touched me deeply. I will continue to do what I can to play a tiny part in forging a better understanding between our two nations and for peace. It's best for both Thailand and Cambodia to be neighbours rather than enemies.
Let us do whatever we can to work toward that goal.
Best regards,
Pravit Rojanaphruk
---
Read it on Khaosod English here: https://www.facebook.com/share/p/1CZBfrQA4a/
#ThailandCambodia #Thailand #Cambodia #NoWarThaiCambodia #ไทยยกัมพูชา #ป





"มันไม่มีประโยชน์อะไรเลยในการก่อสงตราม" ฟังเสียงของชาวกัมพูชาที่ต้องหนีภัยการสู้รบในระลอกนี้


บีบีซีไทย - BBC Thai
18 hours ago
·
"สงครามครั้งนี้คือหายนะของทั้งสองประเทศและไม่ได้ช่วยให้พวกเขา (ไทยและกัมพูชา) ก้าวหน้าขึ้นเลย" ผู้อพยพชาวกัมพูชารายหนึ่งบอกกับผู้สื่อข่าวพิเศษของบีบีซีไทย ขณะที่อีกคนแสดงความคิดเห็นว่า "มันไม่มีประโยชน์อะไรเลยในการก่อสงครามนี้ มีคนต้องทนทุกข์จำนวนมาก"
.
ฟังเสียงของชาวกัมพูชาที่ต้องหนีภัยการสู้รบในระลอกนี้ อ่านที่นี่: https://bbc.in/3YvAKoT

https://www.facebook.com/photo?fbid=1424575846369242&set=a.627743042719197



#Cambodians walk for peace in #Phnompenh Dec 18 as they plead for the border conflict between #Thailand & #Cambodia to end. The clashes resumed Dec 8 & it has lasted >10 days now. At least 1/2 million people displaced on both sides





https://x.com/MayWongST/status/2001616724240867631


https://www.facebook.com/may.wong.328794/posts/1883291905604706

May Wong 
9 hours ago
·
#Cambodians in #phnompenh gather to walk for peace. The march drawing thousands will stretch for about 3km as I’m told from the Phnom Penh night market to the Independence Monument. Some roads have been closed off for this event which I'm told has no main organizer. The people just mobilized themselves to take time out from work and school to call for an end to the #Thailand-Cambodia conflict which has gone on for more than 10 days now since Dec 8. So far, peace mediation by the #US and #Malaysia hasn't worked. Both Thailand and Cambodia have suffered fatalities and mass disagreements during the course of this conflict. More than half a million have been displaced in both countries. On the Cambodia border alone, the number of displaced is inching up to hit almost half million.

https://www.facebook.com/may.wong.328794/posts/1883291905604706
https://x.com/MayWongST/status/2001616724240867631



บรรยากาศ ประชาชนและเยาวชนชาวกัมพูชาหลายหมื่นคนเข้าร่วมเดินขบวนเพื่อสันติภาพกับสหภาพสหพันธ์เยาวชนกัมพูชา

https://www.facebook.com/sngwn.khum.rungrocn/posts/785481874542689
.....



ប្រជាពលរដ្ឋខ្មែរ និងយុវជនរាប់ម៉ឺននាក់ បានចូលរួមដើរព្យុហយាត្រា ដើម្បីសន្តិភាព ជាមួយសហភាពសហព័ន្ធយុវជនកម្ពុជា

១៨-ធ្នូ-២០២៥ ០៤:២៥ ល្ងាច

แปลจาก Google Translate

ประชาชนและเยาวชนชาวกัมพูชาหลายหมื่นคนเข้าร่วมเดินขบวนเพื่อสันติภาพกับสหภาพสหพันธ์เยาวชนกัมพูชา
18 ธันวาคม 2568


พนมเปญ: สหพันธ์เยาวชนกัมพูชาได้จัดกิจกรรมเดินขบวนเพื่อสันติภาพในช่วงบ่ายของวันที่ 18 ธันวาคม 2568 โดยมีประชาชน เยาวชน และพระสงฆ์จากทุกสาขาอาชีพหลายหมื่นคนเข้าร่วม เริ่มต้นจากตลาดกลางคืนริมฝั่งแม่น้ำไปยังสวนอนุสาวรีย์อิสรภาพ

การเดินขบวนเพื่อสันติภาพนี้แสดงออกถึงความปรารถนาในสันติภาพของประชาชนชาวกัมพูชาทุกคน เพื่อให้โลกรับรู้ในขณะที่กัมพูชากำลังเผชิญกับการรุกรานจากกองทัพไทยในประเด็นชายแดน จนถึงขั้นมีการปะทะกันด้วยอาวุธ

ประชาชนชาวกัมพูชาทุกคนต้องการสันติภาพ ไม่ต้องการเห็นการทำลายล้าง ความเสียหาย และการสูญเสียชีวิตทั้งสองฝ่าย เพราะนี่คือสิ่งที่กัมพูชาเคยประสบมาแล้ว

การเดินขบวนเพื่อสันติภาพมีจุดมุ่งหมายเพื่อแสดงให้เห็นถึงจิตวิญญาณแห่งสันติภาพของกัมพูชา โดยเฉพาะอย่างยิ่งเพื่อส่งเสริมการเคารพข้อตกลงหยุดยิงและสันติภาพเพื่อบรรลุสันติภาพระหว่างกัมพูชาและไทย ขอให้เราร่วมกันส่งสารแห่งสันติภาพจากหัวใจของประชาชนชาวกัมพูชาทุกคนสู่โลก

นายสม รัตนา ผู้อำนวยการกรมประชาสัมพันธ์และสารสนเทศกองทัพบกกัมพูชา กล่าวว่า การเดินขบวนเพื่อสันติภาพในวันนี้จัดขึ้นเพื่อแสดงออกถึงความปรารถนาในสันติภาพของกัมพูชา กัมพูชาต้องการสันติภาพเพราะกัมพูชาไม่ต้องการเห็นการทำลายล้าง ความเสียหาย และการสูญเสียชีวิตทั้งสองฝ่าย เพราะนี่คือสิ่งที่กัมพูชาเคยประสบมาแล้ว

นายสม รัตนา กล่าวว่า “โครงการเดินขบวนเพื่อสันติภาพมุ่งเน้นที่เนื้อหาของการจัดงานมากกว่าจำนวนผู้เข้าร่วม” สิ่งสำคัญคือการมุ่งเน้นส่งสารที่เป็นเอกภาพไปยังโลกและประชาชนชาวไทยผู้รักสันติภาพเกี่ยวกับความปรารถนาที่แท้จริงของประชาชนชาวกัมพูชา

ควรสังเกตว่ากองกำลังทหารไทยยังคงยิง โจมตี และรุกรานดินแดนกัมพูชาในทิศทางเขตทหารที่ 4 และเขตทหารที่ 5 อย่างต่อเนื่องจนถึงวันที่ 18 ธันวาคม 2568 ซึ่งเป็นวันที่ 12 แล้ว

ฝ่ายไทยยังคงละเมิดข้อตกลงหยุดยิงและแถลงการณ์ร่วมว่าด้วยสันติภาพระหว่างกัมพูชาและไทย ซึ่งลงนามโดยทั้งสองฝ่ายเมื่อวันที่ 26 ตุลาคม 2568

ข้อความ: วง โซเฟียก

https://www.cnc.com.kh/detail/news/71099


















https://www.cnc.com.kh/detail/news/71099
.....




วันพฤหัสบดี, ธันวาคม 18, 2568

ศึกสามเส้า ‘น้ำเงิน-ส้ม-แดง’ เลือกตั้ง ๘ กุมภา ๖๙ ที่ฟัดกันมากเป็นส้มกับแดง ลองไปดูเธรดเถียงกันบนโซเชียล โห แดงด่าเช็ด ว่าเขา โง่ บ้า เพี้ยน และมั่ว

มีข้อสังเกตุเกี่ยวกับเส้นทางไปสู่การเลือกตั้ง ๘ กุมภา ๖๙ นิดหน่อย แม้จะเป็นระยะสั้นๆ ไม่ถึงเดือนครึ่ง ก็น่าใส่ใจเพราะมันเป็นศึกสามเส้า น้ำเงิน-ส้ม-แดง(เรียงลำดับตามความมาแรง) ปรากฏว่าที่ฟัดกันมากกลับเป็นส้มกับแดง

สองสีนี่ไม้เบื่อไม้เมา ทั้งที่น่าจะเป็นฟากเดียวกันแม้จะแข่งขัน แทนที่จะทิ้งน้ำเงินไว้ข้างหลัง กลับกลายเป็น ตาอยู่ กำลังจะฉวยเอาปลาไปกิน ระหว่าง ตาอินกับ ตานาทะเลาะกันด้วยเรื่องปีนเกลียวไม่เข้าท่า ตาอินว่าตานาอ่อนหัด เพราะตัวเองไม้แก่ดัดยาก

คราวนี้ไปดูที่แดงกับส้มเถียงกันบนโซเชียล อันควรเป็นวิวาทะทางสติปัญญา ฝ่ายแดงเปิดเวทีการโต้คารมนี้ว่า “เบื่อการวิเคราะห์ที่บอกว่าเพื่อไทยยังเน้นหากินแต่กับเรื่องปากท้อง ไม่สนใจปัญหาการเมือง ปัญหาโครงสร้าง

ปัญหาปากท้อง มันก็คือ socio-economic rights ที่ต้องพัฒนาไปควบคู่ไปกับ civil/political rights หรือบางสำนักบอกว่าต้องพัฒนา ก่อนเสียอีก ปากท้องดีจึงจะคิดเรื่องการเมืองได้ดี” นึกไม่ถึงว่าสามารถเรียกทัวร์ได้พอสมควร

“เพื่อไทยไม่ได้ให้สูตรสำเร็จว่า การเมืองที่ ดีเป็นอย่างไร แต่ empower ให้ประชาชนอยู่ใน position ที่จะมีเวลาคิด ไตร่ตรองจินตนาการทางการเมืองของตน นโยบายทั้งเรื่องหนี้ เรื่องขนส่ง เรื่องเทคโนโลยี มันคือการพูดเรื่องโครงสร้าง”

แล้วว่านั่น “เป็นการพูดที่ครบถ้วน ไม่ใช่ว่าทุกอย่างโยงไปรัฐธรรมนูญ ๆๆ หมด อย่า oversimplify ปัญหา!...แก้รัฐธรรมนูญ จำเป็นแน่นอน แต่ไม่ เพียงพอ’” ทัวร์แรกมาเลย “วาทกรรม ปากท้อง vs การเมืองคือกรอบคิดที่ผิดตั้งต้น

คำถามที่ควรถามไม่ใช่เพื่อไทยสนใจแต่ปากท้องหรือไม่ แต่คือนโยบายปากท้องนั้น สามารถสร้างอำนาจให้ประชาชน หรือแค่ประคองระบบเดิม” คุณ @warumsollichka เธอตอบว่า “ก่อนวิจารณ์ อ่านก่อนมั้ย...เราเขียนไว้จัดเจนแล้ว” Empowerไง

อีกรายมาบอก “มั่ว เพื่อไทยถึงได้เจ๊งกะบ๊งอยู่ตอนนี้อ่ะ จริงๆ มันโคตรง่ายเลย เพื่อไทย เมื่อไหร่เลิกเป็นเพื่อทักกี้ได้ ถึงจะเปลี่ยนผ่านจริง แต่มันทำไม่ได้” เพราะ “มันเป็นโมเดลแบบไทยโบราณ” warum ตอบอีก “ให้อ่านอีกรอบ”

พอมีคนย้อนศรว่า ปากท้องจะดีได้ต้องการเมืองก่อน เธอว์ก็ใส่เค้า “ป้าอย่าโง่ค่ะ หัดอ่านหนังสือบ้าง” เช่นกันกับที่ตอบอีกทัวร์ว่า “คนละประเด็น อ่านหนังสือไม่แตก โง่” เพราะเขาเปรียบเปรยกับกฏจราจร “ระหว่างสอนให้ขับรถให้ดี หรือควรออกกฎหมายให้ดี”

ตรรกะอันนี้เขาว่า สอนดีแล้วไม่ได้หมายความว่าจะขับได้ดีนะ แต่ถ้ากฎหมายดีคนจะกลัวและเคารพ อะ อีกทัวร์ซัดเลย “เขาว่าพรรคเพื่อไทยทำแต่ประชานิยมที่ซื้อเสียงคน เน้นทุ่มเงินไว้ก่อน อย่างอื่นที่ต้องคิดเยอะๆ มักจะไม่ทำ เพราะคนไม่ซื้อ จริงไหม”

warum ทำซ้ำ “อันนี้หลวมเกินไปอะ พูดให้เป็นรูปธรรมหน่อย” พอเจอที่เขาจี้ว่า “ปัญหาคือ ไม่ได้ทำตามสัญญา ตะหาก แถมตระบัดสัตย์ก็เยอะ” ก็เลยโพล่งว่าเค้าเพี้ยน “หัดอ่านจับใจความบ้างจะได้ถกเถียงให้ถูกประเด็น อันนี้โง่ และบ้า”

เลยได้ข้อสรุป ข้อโต้แย้งของสีแดงมีแต่ว่าเขา โง่ บ้า เพี้ยน และมั่ว โดยไม่ให้เหตุผลกำกับว่าเพราะอะไร

หมายเหตุ :ภาพประกอบ คนละเรื่องเดียวกัน ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ออกรายการ เรื่องเล่าเช้านี้ถึง การตัดสินใจหนุนอนุทินเป็นนายกฯ รู้ว่าเสี่ยง แต่ก็ต้องลอง ซึ่งถึงวันนี้ยอมรับว่า ไม่คุ้ม และเปรียบว่าพรรคประชาชน เป็น สีดาลุยไฟ’”

(https://x.com/warumsollichka/status/2000870840351502679)