วันศุกร์, กันยายน 05, 2568

จดหมายจากธงชัย วินิจจะกูล: ความเห็นต่อข้อกล่าวหาที่มีต่อพรรคประชาชน (‘วันโอวัน’ ได้รับการติดต่อจาก ศ.ดร.ธงชัย วินิจจะกูล ให้เผยแพร่ข้อเขียนฉบับนี้โดยเร็ว)


The101.world
2 hours ago
·
● จดหมายจากธงชัย วินิจจะกูล: ความเห็นต่อข้อกล่าวหาที่มีต่อพรรคประชาชน
.
ส่วนตัวผม อยากให้พรรคประชาชนโหวตให้พรรคเพื่อไทยในตอนต้น แต่ไม่ว่าจะโหวตไปทางไหนก็เห็นทั้งข้อดีและเสียมากๆๆๆ เมื่อเขาตัดสินใจไปทางพรรคภูมิใจไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเป็นเสียงชัดเจนจากสมาชิกและคนของเขาเอง ผมได้แต่คิดว่าก็เคารพการตัดสินใจของเขา ผมเชื่อว่าเหตุสำคัญคือไม่ไว้ใจพรรคเพื่อไทยอย่างหนัก ถ้าจะวิจารณ์มีข้อเดียว คือไม่ควรต้องรีบ น่าจะทอดเวลาออกไปได้ ผมเดาเอาว่า ข่าวเพื่อไทยพยายามดีลเอาประยุทธ์ จันทร์โอชา กลับมา น่าจะทำให้พวกเขารู้สึกถูกตบหน้าอีก (ผมไม่เชื่อว่าดีลประยุทธ์จะสำเร็จ ไม่รู้ว่าจริงจังหรือบลัฟด้วยซ้ำไป) ผลเลยออกมาชัดเจนขนาดนั้น
.
ครั้นออกมาแบบนี้ ผมยังเห็นว่าการตัดสินใจของพรรคประชาชนเข้าใจได้ และเราเคารพได้ว่ามีเหตุผล (คือความเฮงซวยสารพัดของพรรคเพื่อไทยเอง ที่กระทั่ง 5-6 วันที่ผ่านมาก็เห็นได้ชัดว่าไม่มีแผน ไม่มีแนวทางหลักการใดๆ เป็นการเมืองรายวัน เป็นเกมแค่นั้นเอง)
.
ผมจึงเห็นว่า การกล่าวประณามทั้งหลายต่อพรรคป
ระชาชนค่อนข้างเกินไป เราห้ามคนที่รู้สึกเช่นนั้นไม่ได้ แต่หากคิดสักหน่อย ทางเลือกไหนก็เลวมากน้อยต่างกันไม่มาก การตัดสินใจจึงแสนจะยาก ผมเห็นอาการตีโพยตีพายของคนที่ค้านแล้วกลับเซ็ง เราผ่านความผิดพลาดที่เกิดจากการต้องเลือกระหว่างเลวมากกับเลวน้อยกว่าแบบนี้มาหลายครั้งมากแล้ว ความเห็นที่ต่างกันของหลายคนอยู่ที่การประเมินสถานการณ์แตกต่างกัน แต่กลับถูกทำให้กลายเป็นเรื่องผิดกับถูก มีหลักกับขาดหลัก ขาวกับดำชัดเจน ทั้งๆ ที่ไม่กี่วันก่อนทุกคนก็เห็นอยู่ว่ามันไม่ชัดเลย
.
การวิเคราะห์ว่ามีดีลกรณี สส. 44 คน มาจากไหน? ข้อมูล? ถ้าไม่มีข้อมูลที่เชื่อได้ ผมเห็นว่าพฤติกรรมทุกอย่างของพรรคประชาชนสามารถอธิบายได้ (ไม่ว่าเราจะเห็นด้วยหรือไม่ก็ตาม) ไม่มีมูลเลยว่าเป็นผลของดีล 44 คน การวิเคราะห์แบบนั้นจึงอาจกลายเป็นการกล่าวหากันเกินไป พรรคประชาชนต้องรับผลการติดสินใจของเขา ก็แค่นั้น
.
ผมไม่เคยรู้สึกอยากแบกพรรคประชาชนเลย อย่างมากก็แค่เชียร์ให้เขาไปได้ดี แต่ผมเห็นว่าการกล่าวหาราวกับเรารู้ชัดว่าเราถูก พรรคประชาชนผิด นั้น น่าผิดหวัง



หมายเหตุ: ‘วันโอวัน’ ได้รับการติดต่อจาก ศ.ดร.ธงชัย วินิจจะกูล ให้เผยแพร่ข้อเขียนฉบับนี้โดยเร็ว
.
ภาพถ่าย: เมธิชัย เตียวนะ
ภาพประกอบ: เมธากุล ชาบัญ

https://www.facebook.com/photo?fbid=1321652109329592&set=a.523964959098315


วันพฤหัสบดี, กันยายน 04, 2568

เห็นท่าจะมีการสมคบคิดอย่าง ‘ปวิน’ ว่าดีลใหม่ “เอาอนุทินและภูมิใจไทยขึ้นมาเป็น proxy (ตัวเชิด) แทนทักษิณและเพื่อไทย”

เห็นท่าจะมีการสมคบคิดอย่างที่ Pavin Chachavalpongpun ว่า อนุทินนำทีมธรรมนัส ไปพบสถิตย์พงษ์วันที่ ๒๘ สิงหา” แล้วเกิด ดีล’ ใหม่ “เอาอนุทินและภูมิใจไทยขึ้นมาเป็น proxy (ตัวเชิด) แทนทักษิณและเพื่อไทย”

อนุทินจึงกระโดดคว้ามับเมื่อพรรคประชาชนเสนอว่า จะโหวตให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งระหว่างเพื่อไทยกับภูมิใจไทยได้เป็นนายกฯ ถ้ายอมรับข้อแม้ที่จะต้องยุบสภาภายใน ๔ เดือน บวกกับข้อเรียกร้องย่อยๆ อีกสองสามข้อ ขณะเพื่อไทยวางมาดเยอะกว่าจะมา

แต่พรรคประชาชนก็ยืนหยัดตามข้อตกลงที่ให้ไว้กับพรรคภูมิใจไทย พรรคเพื่อไทยจึงชิงกราบบังคมทูลฯ ขอให้กษัตริย์ทำการยุบสภา โดยลงพระปรมาภิไธยร่างกฤษฎีกา แต่ปรากฏว่าทางวังไม่รับการทูลเกล้าฯ บอกว่าเพราะทำไม่ถูกระเบียบ

ไม่แน่ว่า ไม่ถูกระเบียบ นั้นเป็นอย่างไร แต่การเมืองก็เดินหน้า เมื่อประธานสภาฯ กำหนดการโหวตนายกรัฐมนตรีพรุ่งนี้ (๕ กันยา) ซึ่งแคนดิเดทสองคนมี อนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้า ภท. กับ ชัยเกษม นิติศิริ ของพรรค พท.

ปัญหาอยู่ที่ตลอดเวลาของการตอบโต้ทางการเมืองระหว่างสองฟาก ชัยเกษม ที่พรรคเพื่อไทยอ้างชื่อ ไม่เคยได้รับการติดต่อโดยตรงจากแกนนำพรรค เพื่อให้เข้าแข่งขันเป็นนายกฯ ท่าทีมีเล่ห์กลแอบแฝงอย่างนี้ ทำให้พรรคประชาชนแน่วแน่กับ ภท.

หนึ่งวันก่อนโหวต มีแถลงจาก สรวงศ์ เทียนทอง เลขาธิการพรรคเพื่อไทย ว่า “ข้อเสนอสุดท้าย เลือกชัยเกษมเป็นนายกรัฐมนตรี จะยุบสภาทันที เมื่อแถลงนโยบายต่อรัฐสภา” ก็ยังมีคนกังขา ว่าเพื่อไทยจริงจังแค่ไหนกับข้อเสนอนี้

Tewarit Bus Maneechai สว.ข้างน้อยสายก้าวหน้า ย้อนว่า “ถ้าจริงจัง คุณสรวงศ์ควรให้อาจารย์ชัยเกษม ซึ่งจะเป็นคนได้อำนาจยุบสภาตัวจริง เดินถือ MOA ไปยื่นใส่หน้าพวกพรรคประชาชนเลยครับ” คนที่ต้องคิดมากกว่าใครเวลานี้คือพรรคประชาชน

ผลคือความไม่พอใจต่อ ปชน.รุนแรงมากขึ้นอีก มันยากที่จะทำให้คนยอมรับการตัดสินใจนี้ได้” Puangthong Pawakapan ให้ความเห็นว่าสถานการณ์อยู่ในสภาพที่กระบวนประชาธิปไตย ถูก “แทรกแซงโดยอำนาจนอกระบบ” อย่างเห็นได้ชัด

เหลือเวลาชั่วข้ามวัน ที่พรรคประชาชนต้องคิดให้หนัก หากแน่วแน่กับหลักการ ยุบสภา ก็ควรที่จะยอมตระบัดสัตย์กับ ภท.แล้วโวตให้ชัยเกษมเป็นนายกฯ แทนอนุทิน ก็อย่างที่ Te Neti แนะ “ได้รู้เร็วกว่าว่าคนมันจะหักหลังเรารึเปล่า

ภายในอาทิตย์เดียวหรือสิบวัน มันดีกว่ารอไปสี่เดือนกว่าจะรู้ แถมได้ตบหน้าพวก Deep state ที่ชักใยเบื้องหลังที่ไม่เซ็น พรฎ.ยุบสภา”

(https://www.facebook.com/Neti.Wichian/posts/xpwX2nPDoZxa, https://www.facebook.com/bus.tewarit/posts/9s8aW3YFLS และ https://www.facebook.com/pavinchachavalpongpun) 

วันนี้ สื่อนอกทุกสำนักตีข่าวการโหวตนายกฯ คนใหม่และการพยายามยุบสภาของไทยอย่างคึกโครม เรียก พรรคประชาชนว่าเป็น "king maker" หรือ ผู้คุมเกม


'ปราย พันแสง
7 hours ago
·
วันนี้ สื่อนอกทุกสำนักตีข่าวการโหวตนายกฯ คนใหม่และการพยายามยุบสภาของไทยอย่างคึกโครม

จากข้อมูลที่รวบรวมจากสำนักข่าวต่างประเทศหลายแห่งมีการวิเคราะห์และวิจารณ์เรื่องการที่นายภูมิธรรม เวชยชัย รักษาการนายกรัฐมนตรี ยื่นคำร้องยุบสภาผู้แทนราษฎร สื่อส่วนใหญ่มักเน้นไปที่ความวุ่นวายทางการเมือง ความไม่แน่นอนทางกฎหมาย และผลกระทบต่อเสถียรภาพของประเทศไทย

หลายสื่อมองว่านี่เป็นส่วนหนึ่งของวิกฤตการณ์ที่ยืดเยื้อจากการแทรกแซงของศาลและการเปลี่ยนแปลงพันธมิตรทางการเมือง



Reuters, Le Monde และ DW วันนี้ชี้ว่าการยื่นยุบสภาของรัฐบาลรักษาการอาจขัดต่อรัฐธรรมนูญ เพราะยังมีข้อถกเถียงจากนักกฎหมายไทยว่าการกระทำนี้ทำได้หรือไม่ โดยต้องรอพระราชทานพระบรมราชานุญาตจากพระมหากษัตริย์ ซึ่งอาจนำไปสู่การเลือกตั้งใหม่ภายใน 45-60 วัน หากได้รับอนุมัติ แต่หากไม่ได้รับ อาจยิ่งเพิ่มความขัดแย้ง

มีการวิพากษ์วิจารณ์ว่าการเคลื่อนไหวนี้อาจถูกมองว่าเป็น“การตัดสินใจที่รีบร้อน”ของพรรคเพื่อไทย เพื่อรักษาอำนาจท่ามกลางการสูญเสียเสียงข้างมากในสภา



Le Monde และ The Guardian มองว่าการยื่นยุบสภาเป็นสัญญาณของการตกต่ำของ “ตระกูลชินวัตร” (Shinawatra dynasty) ซึ่งมีนายกฯ ที่ถูกปลดหรือโค่นล้มมาแล้ว 6 คนในรอบ 20 ปี รวมถึงแพทองธาร ชินวัตร ที่เพิ่งถูกศาลรัฐธรรมนูญสั่งปลดจากกรณีข้อพิพาทชายแดนกัมพูชา

การยุบสภาอาจเป็นความพยายามสุดท้ายในการ “คืนอำนาจให้ประชาชน” แต่สะท้อนถึงการสูญเสียการสนับสนุนและการประท้วงต่อต้าน นี่อาจทำให้พรรคเพื่อไทยอ่อนแอลง และเปิดทางให้พรรคอื่นๆ เช่น ภูมิใจไทย เข้ามามีบทบาทมากขึ้น โดยเฉพาะเมื่อพรรคประชาชน เลือกสนับสนุนนายอนุทิน ชาญวีรกูล แทนที่จะช่วยเพื่อไทย



Reuters, DW, Al Jazeera และ The Guardian เห็นคล้ายกันว่า การที่พรรคประชาชน ซึ่งมีที่นั่งมากที่สุดในสภา (143 เสียง) สนับสนุนนายอนุทินจากพรรคภูมิใจไทย โดยมีเงื่อนไขว่าต้องยุบสภาภายใน 4 เดือน เพื่อจัดการประชามติแก้รัฐธรรมนูญและคืนอำนาจให้ประชาชน ถูกวิเคราะห์ว่าเป็น “การเป็นผู้กำหนดเกม” (kingmaker) หรือ ”คนคุมเกม“ของพรรคประชาชน ที่ไม่ยอมเข้าร่วมรัฐบาลแต่ต้องการผลักดันการปฏิรูปประชาธิปไตย

สื่อมองว่าการเคลื่อนไหวนี้อาจป้องกันไม่ให้พันธมิตรเก่าของเพื่อไทยกลับมามีอำนาจ ซึ่งถูกมองว่าล้มเหลวในการบริหารประเทศในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา และอาจปูทางสู่การเลือกตั้งใหม่ที่เปลี่ยนแปลงภูมิทัศน์การเมือง แต่ก็เสี่ยงต่อความไม่มั่นคง หากรัฐบาลใหม่ของนายอนุทินกลายเป็นรัฐบาลเสียงข้างน้อย (146 เสียง)



Reuters, DW และ The Guardian วิจารณ์ว่าศาลรัฐธรรมนูญมีบทบาทแทรกแซงการเมืองบ่อยครั้ง เช่น การยุบพรรคและห้ามผู้นำ เช่น พรรคก้าวไกล (ต้นกำเนิดของพรรคประชาชน) ที่ถูกยุบเพราะนโยบายปฏิรูปละเมิดกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ การยุบสภาครั้งนี้จึงถูกมองว่าเป็นส่วนหนึ่งของวงจรวิกฤตที่ศาลและสถาบันอื่นๆ มีส่วนกำหนด

รวมถึงทำให้มีความกังวลว่าอาจนำไปสู่การกลับมาของอิทธิพลทหาร เช่น พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่เคยยึดอำนาจในปี 2557 ซึ่งอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อรัฐประหารหรือความไม่มั่นคงทางการเมือง



Le Monde, Al Jazeera และ Bloomberg กล่าวถึงผลกระทบโดยรวมต่อเสถียรภาพและเศรษฐกิจ การพยายามยุบสภาถูกวิเคราะห์ว่าอาจยืดเยื้อวิกฤตการเมือง ทำให้เกิดสุญญากาศทางการปกครอง และกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุน โดยเฉพาะเมื่อประเทศไทยเพิ่งมีการเลือกตั้งในปี 2566

หากยุบสภาไม่สำเร็จ การโหวตนายกฯ คนใหม่ (อาจมีขึ้นในวันศุกร์ที่ 6 กันยายน 2568) อาจนำไปสู่รัฐบาลที่อ่อนแอ แต่หากสำเร็จ อาจเป็นโอกาสใหม่ในการ “รีเซ็ต” การเมืองไทย

สำนักข่าวต่างประเทศส่วนใหญ่มองว่าการพยายามยุบสภาเป็นสัญญาณของความไม่มั่นคงที่ฝังรากลึกในระบบการเมืองไทย ซึ่งได้รับอิทธิพลจากศาล ทหาร และการเปลี่ยนพันธมิตรบ่อยครั้ง การรายงานส่วนใหญ่เป็นกลางแต่แฝงการวิจารณ์ต่อความไม่แน่นอนที่อาจกระทบประชาธิปไตยและเศรษฐกิจ



สื่อนอกมองกันว่า หากการยุบสภาไม่สำเร็จ โดยเฉพาะในการที่พรรคประชาชน สนับสนุนนายอนุทิน ชาญวีรกูล จากพรรคภูมิใจไทยเป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 32 ด้วยเงื่อนไขให้ยุบสภาภายใน 4 เดือน การที่เป้าหมายนี้ล้มเหลวอาจส่งผลกระทบต่อพรรคประชาชนอย่างมาก

อาจทำให้ผู้สนับสนุนรู้สึกว่าพรรคประเมินสถานการณ์ผิดหรือขาดอำนาจต่อรองที่เพียงพอ ซึ่งอาจลดความเชื่อมั่นจากฐานเสียง โดยเฉพาะกลุ่มที่คาดหวังการปฏิรูปและการเลือกตั้งใหม่

ข้อครหาเรื่อง “ทรยศอุดมการณ์” จะถูกขุดขึ้นมา เพราะพรรคประชาชน ซึ่งสืบทอดจากพรรคก้าวไกล มีภาพลักษณ์เป็นพรรคปฏิรูปที่ต่อต้านการเมืองแบบเก่า การสนับสนุนนายอนุทิน ซึ่งเป็นนักการเมืองสายอนุรักษ์นิยมและเคยเป็นพันธมิตรกับพรรคเพื่อไทย อาจถูกวิจารณ์จากผู้สนับสนุนว่า “ประนีประนอม” หรือ “ทรยศ” อุดมการณ์ โดยเฉพาะเมื่อพรรคยืนยันว่าจะเป็นฝ่ายค้านแต่ยังสนับสนุนนายอนุทิน ซึ่งอาจถูกมองว่าเป็นการตกลงกับ “การเมืองเก่า”

นอกจากนี้ ความขัดแย้งภายในพรรคอาจรุนแรงขึ้น สื่อนอกมองว่า การตัดสินใจสนับสนุนนายอนุทินอาจก่อให้เกิดความเห็นไม่ตรงกันในหมู่สมาชิกพรรคและผู้สนับสนุน ตัวอย่างเช่น มีรายงานจากเครือข่ายคนไทยรักชาติที่วิจารณ์การตัดสินใจนี้ ซึ่งอาจนำไปสู่ความแตกแยกภายในพรรคหรือการสูญเสียฐานเสียงบางส่วน.



พรรคประชาชนอาจมีความเสี่ยงทางการเมือง หากนายอนุทินได้เป็นนายกฯ และจัดตั้งรัฐบาลเสียงข้างน้อยโดยไม่ยุบสภา พรรคประชาชน ซึ่งยืนยันว่าจะเป็นฝ่ายค้าน จะต้องเผชิญศึกหนักในการตรวจสอบรัฐบาลที่ตัวเองเคยสนับสนุน และการอยู่ในตำแหน่งฝ่ายค้านอาจทำให้พรรคสูญเสียโอกาสในการกำหนดนโยบายหรือผลักดันวาระปฏิรูป เช่น การแก้ไขรัฐธรรมนูญหรือกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ

หากเป็นเช่นนั้น พรรคประชาชนจะการถูกมองว่าเป็น “ผู้กำหนดเกม” ที่ล้มเหลว จากการวางตัวเป็น “kingmaker” โดยใช้จำนวน ส.ส. 143 เสียงเพื่อกำหนดทิศทางการเมือง แต่หากเงื่อนไขยุบสภาไม่สำเร็จ อาจถูกมองว่าขาดอิทธิพลที่แท้จริงในการควบคุมสถานการณ์ ทำให้พรรคเสียความน่าเกรงขามในสายตาพรรคอื่นและประชาชน

นอกจากนี้ หากรัฐบาลของนายอนุทินสามารถบริหารต่อไปได้โดยไม่ยุบสภา พรรคประชาชนอาจเผชิญกับการตอบโต้จากทั้งพรรคภูมิใจไทยและพรรคเพื่อไทย เช่น การถูกกีดกันจากกระบวนการเจรจาทางการเมืองหรือการถูกโจมตีจากสื่อที่สนับสนุนฝ่ายตรงข้าม



หนึ่งในเงื่อนไขหลักที่พรรคประชาชนตั้งไว้คือการผลักดันประชามติเพื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญและจัดตั้งสภาร่างรัฐธรรมนูญ (สสร.) หากการยุบสภาไม่เกิดขึ้น รัฐบาลใหม่ของนายอนุทินอาจไม่ให้ความสำคัญกับวาระนี้ โดยเฉพาะเมื่อภูมิใจไทยมีจุดยืนฝั่งอนุรักษ์นิยมและอาจไม่สนับสนุนการปฏิรูปโครงสร้างอำนาจ ซึ่งจะทำให้พรรคประชาชนสูญเสียโอกาสในการผลักดันนโยบายหลัก

พรรคประชาชนตั้งเป้าคว้าชัยชนะในการเลือกตั้งปี 2570 ด้วยคะแนนเสียง 20 ล้านคะแนน แต่หากภาพลักษณ์เสียหายจากการตัดสินใจครั้งนี้ อาจทำให้สูญเสียฐานเสียง โดยเฉพาะกลุ่มเยาวชนและผู้สนับสนุนที่คาดหวังการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่

นอกจากนี้ หากรัฐบาลนายอนุทินบริหารงานได้ดี อาจทำให้ภูมิใจไทยมีโอกาสเพิ่มฐานเสียง ก็จะเป็นอุปสรรคต่อพรรคประชาชนโดยตรง



สื่อต่างประเทศมองว่า การตัดสินใจโหวตให้นายอนุทิน ชาญวีรกูล เป็นนายกรัฐมนตรี และจัดตั้งรัฐบาลจะผลกระทบต่อฐานเสียงและการเคลื่อนไหวของมวลชนของพรรคประชาชนอย่างมาก เนื่องจากพรรคประชาชนได้รับความนิยมจากกลุ่มเยาวชนและผู้ที่ต่อต้านการเมืองแบบเก่า การตัดสินใจสนับสนุนนายอนุทินอาจทำให้กลุ่มนี้รู้สึกผิดหวัง โดยเฉพาะหากไม่มีการเลือกตั้งใหม่ใน 4 เดือนตามที่คาดหวัง อาจนำไปสู่การประท้วงหรือการเคลื่อนไหวบนท้องถนน ซึ่งพรรคอาจถูกมองว่าเป็นต้นเหตุของความวุ่นวาย

พรรคเพื่อไทยหรือพรรคอื่นอาจใช้โอกาสนี้โจมตีพรรคประชาชนว่า “สร้างความวุ่นวาย” หรือ “ขาดความรับผิดชอบ” ซึ่งอาจทำให้เสียคะแนนนิยมในกลุ่มผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่ต้องการความมั่นคง

อย่างไรก็ตาม แม้จะมีความเสี่ยง แต่สื่อนอกยังมองกันว่าพรรคประชาชนอาจยังคงรักษาอิทธิพลได้หากสามารถใช้บทบาทฝ่ายค้านในการตรวจสอบรัฐบาลอย่างเข้มข้น

ดร.สติธร ธนานิธิโชติ จากพรรคประชาชนระบุว่าพรรคสามารถ “คุมชะตา” รัฐบาลด้วยจำนวน ส.ส. ที่มากกว่า และพร้อมใช้กลไกสภา เช่น การยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจ หากนายอนุทินไม่ทำตามเงื่อนไข การแสดงจุดยืนที่ชัดเจนในฐานะฝ่ายค้านอาจช่วยรักษาภาพลักษณ์ในระยะยาว

สื่อต่างประเทศยังมองว่า หากสถานการณ์นำไปสู่การเลือกตั้งในอนาคตอันใกล้ พรรคประชาชนซึ่งมีฐานเสียงที่แข็งแกร่งจากกลุ่มเยาวชนและผู้สนับสนุนการปฏิรูป อาจยังคงได้เปรียบในการเลือกตั้งครั้งหน้า



references ในช่องคอมเมนต์ 

https://www.facebook.com/photo/?fbid=1350448996440159&set=a.1046212803530448



ยุบหรือไม่ยุบ โหวตหรือไม่โหวตนายก 112 ยังคงทำงานต่อไป

https://www.facebook.com/reel/1290755552716628/




รุ่น 1 สร้าง รุ่น 2 ทำให้เติบโต รุ่น 3 ทำลาย ?


นรเศรษฐ์ นาหนองตูม
7 hours ago
·
ผมขอตั้งคำถามและแสดงความผิดหวังอย่างตรงไปตรงมาต่อการตัดสินใจของพรรคประชาชน ตามประสาคนไม่เชี่ยวชาญทางการเมือง

การที่พรรคประชาชนตัดสินใจโหวตให้อนุทินฯ เป็นนายกรัฐมนตรีนั้น ขัดแย้งกับหลักการและอุดมการณ์ที่พรรคเคยยึดมั่นมาโดยตลอด พรรคภูมิใจไทยกับพรรคประชาชนไม่เคยมีจุดยืนหรือแนวคิดทางการเมืองที่สอดคล้องกัน แล้วเหตุผลใดพรรคจึงยอมโหวตให้ผู้ที่มีจุดยืนตรงข้ามอย่างสิ้นเชิง?

พรรคในฐานะผู้ที่มีอุดมการณ์สามารถแสดงความกล้าหาญทางการเมืองได้ด้วยการยืนยันว่าจะไม่ร่วมกับพรรคใดและเสนอให้มีการยุบสภา เพื่อคืนอำนาจสูงสุดให้ประชาชนได้ตัดสินใจอีกครั้ง แต่พรรคกลับเลือกที่จะสละโอกาสนั้น และยอมเป็นส่วนหนึ่งของขั้วอำนาจเก่า
หรืออำนาจรัฐพันลึก!!

ในสถานการณ์ที่ข้อเสนอให้ยุบสภาถูกตีกลับ พรรคประชาชนมีจุดยืนอย่างไรต่อไป? การที่รัฐธรรมนูญไม่ถูกเคารพ และอำนาจรัฐพันลึกถูกปล่อยให้มีอิทธิพลเหนือหลักการประชาธิปไตย พรรคควรแสดงจุดยืนที่แน่วแน่และไม่ยอมจำนน ถ้าพรรคเป็นพรรคอุดมการณ์จริงจะต้องยืนยันในเจตจำนงของประชาชนอย่างถึงที่สุด และสนับสนุนการยุบสภาอย่างเต็มที่ด้วยการไม่โหวตให้นายอนุทินเป็นนายกรัฐมนตรี
.

การให้เหตุผลว่ามีการตั้งเงื่อนไขกับพรรคภูมิใจไทยให้ยุบสภาภายใน 4 เดือน มันเป็นเพียงลมปากที่ไร้หลักประกันใด ๆ เมื่อการโหวตครั้งสำคัญที่พรรคต้องยืนยันในอุดมการณ์ยังทำไม่ได้ แล้วประชาชนจะเชื่อมั่นได้อย่างไรว่าพรรคจะกล้าออกมาคัดค้านหรือเรียกร้องให้ยุบสภาหากเกิดเหตุการณ์พลิกผันขึ้นจริง เช่น “ข่าวใหญ่” บทเรียนจากการโหวตกฎหมายพระคลังข้างที่ก็เป็นเครื่องยืนยันแล้วว่าพรรคไม่สามารถยืนหยัดในอุดมการณ์ได้แม้ในเรื่องสำคัญ
.

การที่พรรคประชาชนตัดสินใจร่วมงานกับพรรคภูมิใจไทย ซึ่งมีสมาชิกที่ใช้ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 เป็นเครื่องมือทางการเมืองเพื่อดำเนินคดีกับคุณภูมิธรรมฯ ถือเป็นการยอมรับการกระทำที่ขัดต่อหลักการประชาธิปไตยอย่างรุนแรง พรรคสามารถแสดงจุดยืนชัดเจนได้ว่าไม่เห็นด้วยกับการกระทำดังกล่าวและปฏิเสธที่จะร่วมโหวตให้กับพรรคที่มีแนวคิดเช่นนี้

แต่พรรคกลับเลือกที่จะเป็น "นั่งร้าน" ให้กับผู้ที่มีอำนาจและกลไกทางกฎหมายเพื่อทำลายคู่แข่งทางการเมือง หากวันนี้พรรคยังยอมให้พวกเขาขึ้นสู่อำนาจ เราจะเชื่อมั่นได้อย่างไรว่าในอนาคตจะไม่ถูกทำลายเสียเอง?

ความผิดหวังในครั้งนี้ทำให้ความเชื่อมั่นในพรรคประชาชนในฐานะ "พรรคอุดมการณ์" ได้หมดสิ้นลงแล้วโดยสิ้นเชิงไปแล้ว

เชิญคณะทัวร์มาลงได้เลยครับ
https://www.facebook.com/photo/?fbid=24397146079952057&set=a.267110153382320.....



.....

Parit Chiwarak 
16 hours ago
·
สิ่งสุดท้ายที่จะเตือนพรรคส้มคืออย่าคิดว่าทุนทางการเมืองของตัวเองหนา พรรคเพื่อไทยสู้มาตั้งกี่ปี ข้ามขั้วทีเดียวก็ล้มละลายทางความน่าเชื่อถือทันที ตัวเองเพิ่งสู้มา ไม่กลัวจะล้มละลายบ้างหรืออย่างไร ถึงไปจับมือกับพรรคร่างทรงเจ้า
อีกประการ ให้เขาเป็นนายก ฯ สี่เดือน เขาใช้เวลาสี่เดือนนั้นเจาะงบรัฐมาดูดงูเห่าไปแล้วจะรู้สึก
ไม่อยากเชื่อว่าภายในเวลาแค่สองปี จะเห็นพรรคการเมืองใหญ่ของขั้วประชาธิปไตยล้มละลายไปถึงสองพรรค น่าสลด
·
ฉันเยาว์ ฉันเขลา ฉันทึ่ง
ฉันจึงมาหาความหมาย
ฉันหวังจะสร้างสรรค์อะไรมากมาย
สุดท้ายได้สร้าง TOR แค่แผ่นเดียว


สีส้ม: จากสีแห่งความหวัง สู่สีสันแห่งโลกอันล่มสลาย (เขียนดีนะ)


GROUNDCONTROL
17 hours ago
·
สีส้ม: จากสีแห่งความหวัง สู่สีสันแห่งโลกอันล่มสลาย
.
สีส้มเป็นสีที่มีความหลากหลายทั้งในเชิงประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม การปรากฏของสีนี้ไม่ได้เป็นเพียงเรื่องของความงามทางศิลปะเท่านั้น แต่ยังสะท้อนถึงความเชื่อ ศาสนา การเมือง และเศรษฐกิจของผู้คนในแต่ละยุคสมัย การเดินทางของสีส้มตั้งแต่โบราณกาลมาจนถึงปัจจุบัน แสดงให้เห็นถึงพลังของสีในการสื่อสารอารมณ์ ความคิด และภาพสะท้อนของสังคมได้อย่างชัดเจน
.
รากฐานของสีส้มในยุคโบราณ
.
ก่อนศตวรรษที่ 16 ในยุโรป สีส้มมีอยู่แล้ว แต่ยังไม่มีคำเฉพาะเรียกสีนี้ ผู้คนจึงมักอธิบายว่าเป็น “เหลือง-แดง” (yellow-red) ชื่อ “ส้ม” หรือ “orange” เพิ่งปรากฏขึ้นภายหลัง เมื่อพ่อค้าโปรตุเกสนำต้นส้มและผลส้มจากเอเชียเข้าสู่ยุโรป คำว่า nāraṅga จากภาษาสันสกฤตได้แพร่กระจายไปในหลายภาษา เช่น naranja ในภาษาสเปน, laranja ในภาษาโปรตุเกส และกลายเป็น orange ในภาษาอังกฤษและฝรั่งเศสในที่สุด
.
ในวัฒนธรรมโบราณ สีส้มถูกสกัดจากแร่ธาตุและวัสดุต่าง ๆ เช่น อียิปต์โบราณใช้แร่ realgar สีแดงอมส้มสำหรับทาฝาผนังหลุมฝังศพ อารยธรรมลุ่มแม่น้ำสินธุใช้หินและอัญมณีสีส้มอย่าง carnelian ทำเป็นเครื่องประดับและวัตถุพิธีกรรม
.
ในจีนและอินเดียโบราณมีการใช้แร่ orpiment เพื่อสร้างสีส้มในงานศิลปะและต้นฉบับโบราณ (manuscript) โดยสีส้มไม่ได้เป็นเพียงความงาม แต่ยังสื่อถึงพลัง ความศักดิ์สิทธิ์ และความรู้แจ้ง ศาสนาพุทธเชื่อมโยงสีส้มกับการตรัสรู้ ขณะที่ศาสนาฮินดูใช้สีส้มเป็นสัญลักษณ์ของเทพเจ้าบางองค์ เช่น พระกฤษณะ
.
นอกจากนี้ สีส้มที่ได้จากพืช เช่น รากไม้ ดอกไม้ หรือหญ้าสีเหลืองแดง ก็ถูกนำมาใช้ในเอเชียเพื่อย้อมผ้า ทำจีวรพระสงฆ์ และประกอบพิธีกรรมทางศาสนา สีเหล่านี้จึงกลายเป็นรากฐานสำคัญของการใช้สีส้มในงานศิลปะและการตกแต่ง ก่อนที่จะมีการพัฒนาสีสังเคราะห์ในยุคหลัง
.
สีส้มในยุโรปยุคกลางและการเมือง
.
ในศตวรรษที่ 16 ราชวงศ์ Orange-Nassau แห่งดัตช์เริ่มมีบทบาทสำคัญในยุโรป แม้ชื่อ Orange จะมาจากแคว้นเล็ก ๆ ในฝรั่งเศสตอนใต้ที่ตกเป็นมรดกแก่ตระกูล Nassau โดยไม่มีความเกี่ยวข้องกับผลไม้ส้ม แต่ตระกูลนี้กลับเลือกใช้ “สีส้ม” เป็นสัญลักษณ์ประจำตน ซึ่งต่อมาได้กลายเป็นเครื่องหมายทางการเมืองและศาสนาที่ทรงพลัง
.
วิลเลียมที่ 1 แห่งออเรนจ์ หรือที่รู้จักกันว่า วิลเลียมผู้เงียบงัน (William the Silent) เป็นผู้นำการลุกฮือของชาวดัตช์ในการทำสงครามแปดสิบปี (1568–1648) ต่อต้านจักรวรรดิสเปนที่ปกครองดินแดนต่ำ (Low Countries) สงครามครั้งนี้ไม่เพียงเป็นการแสวงหาเอกราช แต่ยังเชื่อมโยงกับศาสนาโดยตรง เพราะสเปนเป็นคาทอลิก ขณะที่ดัตช์จำนวนมากหันไปนับถือโปรเตสแตนต์ สีส้มจึงกลายเป็นธงนำทางของการต่อสู้เพื่อเสรีภาพและความเชื่อใหม่
.
ในเวลาต่อมา อิทธิพลของราชวงศ์ออเรนจ์แผ่ไปยังอังกฤษและไอร์แลนด์ โดยเฉพาะในช่วงวิลเลียมที่ 3 แห่งออเรนจ์ (ผู้ขึ้นครองบัลลังก์อังกฤษพร้อมพระนางแมรีที่ 2 หลังการปฏิวัติอันรุ่งโรจน์ปี 1688) ทำให้สีส้มถูกผูกเข้ากับอัตลักษณ์โปรเตสแตนต์ในเกาะอังกฤษ กลุ่ม Orangemen ในไอร์แลนด์เหนือจึงนำสีนี้มาใช้แสดงความจงรักภักดีต่อราชวงศ์ออเรนจ์และศาสนาโปรเตสแตนต์ ซึ่งต่อมาก็กลายเป็นรากฐานของความขัดแย้งทางศาสนาและการเมืองในภูมิภาคนี้
.
ผลจากการเชื่อมโยงเหล่านี้ สีส้มจึงไม่ใช่แค่สีสัญลักษณ์ของราชวงศ์ แต่ยังถูกสถาปนาเป็นส่วนหนึ่งของอัตลักษณ์ชาติเนเธอร์แลนด์ ปรากฏอยู่ในธงชาติยุคแรก ๆ และกลายเป็นสีประจำชาติที่ชาวดัตช์ใช้มาจนปัจจุบัน ตั้งแต่เครื่องแต่งกาย เสื้อทีมกีฬา ไปจนถึงการเฉลิมฉลองวันกษัตริย์ (King’s Day)
.
การแพร่ขยายของจักรวรรดิดัตช์ยังทำให้สีส้มเดินทางออกไปสู่โลกกว้าง เช่น รัฐอิสระ Orange Free State ในแอฟริกาใต้ ที่ตั้งชื่อตามราชวงศ์ออเรนจ์ และธงเมืองนิวยอร์กที่ยังคงแถบสีส้มไว้เพื่อระลึกถึงรากฐานการเป็นอาณานิคมดัตช์ในอดีต
.
สีส้มในศิลปะยุคใหม่: จากความหวังสู่แสงสว่าง
.
ในคริสต์ศตวรรษที่ 18 และ 19 สีส้มเริ่มมีบทบาทสำคัญในศิลปะและวัฒนธรรมยุโรป ไม่เพียงแต่ถูกใช้ในการพรรณนาตัวละครเทพีปอมโมนา เทพีแห่งความอุดมสมบูรณ์ แต่ยังสะท้อนการแพร่หลายของผลส้มในยุโรปเหนือ อันเกิดจากการคิดค้น orangerie หรือโรงปลูกต้นไม้เขตร้อน ที่ทำให้การเพาะปลูกส้มเป็นไปได้ในสภาพอากาศหนาวเย็น ความนิยมนี้ส่งผลโดยตรงต่อการใช้สีส้มในงานศิลปะซึ่งเริ่มผูกพันกับภาพของความอุดมสมบูรณ์และชีวิตอันหรูหรา
.
ในเวลาเดียวกัน ความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ก็ช่วยขยายโลกของสีอย่างมหาศาล เมื่อชาวฝรั่งเศสค้นพบแร่ crocoite และนำไปสู่การสร้างเม็ดสี “โครม ออเรนจ์” ในปี 1809 ตามมาด้วยเม็ดสีสังเคราะห์อื่น ๆ เช่น “โคบอลต์ ออเรนจ์” และ “แคดเมียม ออเรนจ์” เมื่อรวมกับการประดิษฐ์หลอดบรรจุสีน้ำมัน ศิลปินจึงสามารถพกสีออกไปวาดกลางแจ้ง ถ่ายทอดบรรยากาศแสงธรรมชาติได้อย่างสดใสและเป็นธรรมชาติยิ่งขึ้น
.
ในฝรั่งเศส ศิลปินอิมเพรสชันนิสต์และหลังอิมเพรสชันนิสต์ต่างหยิบสีส้มมาใช้เพื่อสร้างมิติใหม่ของการมองโลก โคลด โมเนต์ เปิดศักราชด้วย Impression, Sunrise (1872) ที่ดวงอาทิตย์สีส้มเล็ก ๆ สะท้อนบนท้องน้ำ กลายเป็นสัญลักษณ์ของความหวังและการเริ่มต้นใหม่ รวมถึงเป็นที่มาของชื่อขบวนการอิมเพรสชันนิสต์เอง นอกจากนี้ ศิลปินร่วมขบวนการอย่าง เรอนัวร์ เซซานน์ ตูลูซ-โลแทร็ก และโกแกง ต่างก็ใช้สีส้มเพื่อเน้นความสว่างสดใส ความหรูหราแปลกตา หรือสร้างความเข้มข้นของอารมณ์
.
โดยเฉพาะวินเซนต์ แวนโก๊ะ ที่แทบจะกลายเป็นตัวแทนของสีส้มในโลกศิลปะ เขาใช้สีส้มและเหลืองเพื่อสื่อถึงดวงอาทิตย์แห่งโพรวองซ์ โดยผสมสีขึ้นเองจากเหลือง โอเชอร์ และแดง วางคู่กับฟ้าไวโอเลต เขียวเข้ม หรือแดงเซียนนา เพื่อสร้างพลังทางอารมณ์ เขาเคยเขียนถึงธีโอ น้องชายของเขาว่า การวางคู่ตรงข้ามระหว่างน้ำเงิน–ส้ม แดง–เขียว และเหลือง–ม่วง คือหนทางที่จะทำให้สี “มีชีวิต” ขึ้นมา
.
สีส้มในศิลปะยุคใหม่ไม่ใช่เพียงสีของผลไม้หรือแร่ธาตุอีกต่อไป แต่เป็นสัญลักษณ์ของแสงสว่าง ความหวัง พลังสร้างสรรค์ และความมีชีวิตชีวา ซึ่งสะท้อนทั้งมิติทางอารมณ์ ความคิดสร้างสรรค์ และความเปลี่ยนแปลงของโลกศิลปะอย่างต่อเนื่อง
.
สีส้มในศิลปะศตวรรษที่ 20 และร่วมสมัย
.
เมื่อศิลปะก้าวเข้าสู่ศตวรรษที่ 20 สีส้มก็ยังคงถูกใช้เพื่อนำเสนอพลังและความหวัง ตัวอย่างเช่น มาร์ค รอธโก ที่ใช้สีส้มใน Orange and Yellow (1956) เพื่อสร้างพื้นที่แห่งความสงบและการเยียวยาทางจิตวิญญาณ
.
ในศิลปะร่วมสมัย ศิลปินอย่าง อานิช กาปูร์ และ โอลาเฟอร์ เอลิอัสสัน ก็ยังคงขยายบทบาทของสีส้มต่อไป ผลงาน Sky Mirror, Orange (2010) ของกาปูร์สะท้อนสิ่งแวดล้อมเมืองด้วยแสงส้มสด ขณะที่ The Weather Project (2003) ของเอลิอัสสัน ณ เทตโมเดิร์น ใช้ดวงอาทิตย์สีส้มจำลองขนาดมหึมาเพื่อสร้างประสบการณ์ร่วมที่อบอุ่น เต็มไปด้วยความหวังและการเชื่อมโยง
.
สีส้มในยุคโลกาภิวัตน์และโลกเสื่อมสลาย
.
สีส้มในงานศิลปะไม่ได้สะท้อนเพียงความอบอุ่นและความหวัง แต่ยังถูกใช้เพื่อถ่ายทอดความหมายในเชิงลบอย่างลึกซึ้ง ทั้งความตึงเครียด ความรู้สึกอึดอัด ความกลัว ความแปลกแยก หรือแม้กระทั่งความเสื่อมโทรมของโลกสมัยใหม่ จากสีของแสงอาทิตย์ที่ควรจะให้ความอบอุ่น มันกลับกลายเป็นเปลวไฟและความร้อนที่กดทับ จนกลายเป็นพลังซึ่งทำให้ผู้ชมรู้สึกไม่สบายใจมากกว่าจะรู้สึกผ่อนคลาย
.
ตัวอย่างที่ชัดเจนคือ The Scream (1893) ของเอ็ดวาร์ด มุงค์ ซึ่งท้องฟ้าสีส้มแดงสดที่ปกคลุมฉากหลังไม่ได้บ่งบอกถึงความงามของยามเย็น แต่กลับสร้างบรรยากาศที่กดดันและหลอนราวกับสะท้อนความวิตกกังวลและความทุกข์ทรมานภายในจิตใจมนุษย์
.
ในยุคเอ็กซ์เพรสชันนิสม์ ฟรานซิส เบคอน ใน Study after Velázquez’s Portrait of Pope Innocent X (1953) ใช้โทนส้มเข้มผสมแดงสร้างบรรยากาศน่าหวาดหวั่น เต็มไปด้วยความรุนแรงและความสับสนที่กดทับตัวละครและผู้ชม
.
ศิลปะร่วมสมัยก็ยังสะท้อนพลังด้านลบของสีส้ม เช่น โอลาเฟอร์ เอลิอัสสัน ในงาน Room for One Colour (1997) ซึ่งใช้แสงสีเหลืองส้มเพียงสีเดียวในพื้นที่ปิด ผลที่เกิดขึ้นไม่ใช่ความอบอุ่น แต่กลับทำให้ผู้ชมรู้สึกเวียนหัว เหนื่อยล้า และไม่มั่นคง แสดงให้เห็นถึงด้านกดดันของการรับรู้ด้วยสี หรือในผลงานของ อีซา เกนซ์เคน ที่ใช้สีส้มสดจัดจ้านเพื่อให้รู้สึกถึงความเป็น “พลาสติก” และไม่เป็นธรรมชาติ เป็นการวิพากษ์สังคมบริโภคนิยมและความหลงใหลในวัตถุอย่างแยบคาย
.
ในภาพยนตร์ไซไฟดิสโทเปีย สีส้มกลายเป็นสัญลักษณ์ที่เชื่อมโยงกับความวุ่นวาย การล่มสลาย และความรุนแรง โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือการถูกนำมาใช้เพื่อสร้างอารมณ์ตึงเครียดและบรรยากาศคุกคาม ตัวอย่างเช่น ใน Blade Runner 2049 (2017) และ Dune (2021) ซึ่งใช้โทนสีนี้เพื่อถ่ายทอดภูมิประเทศที่โหดร้าย เต็มไปด้วยรังสีและทะเลทราย ทำให้ผู้ชมรับรู้ถึงภัยคุกคาม ความเสื่อมโทรม และความโดดเดี่ยว นอกจากนี้สีส้มยังถูกใช้เป็นสัญลักษณ์ของไฟ การระเบิด และความหายนะ เช่นใน Apocalypse Now และ Mad Max: Fury Road ที่เปลวไฟและระเบิดนาปาล์มเต็มจอแสดงถึงความโกลาหลและความบ้าคลั่งของสงคราม
.
การจับคู่สีส้มเข้มกับโทนสีเย็นอย่างฟ้า–เขียวก็ช่วยสร้างความตึงเครียดทางสายตาได้ เช่นใน The Batman (2022) ที่ไฟถนนสีส้มทำให้เมืองดูเน่าเปื่อยเป็นพิษ สร้างความรู้สึกถึงความชั่วร้ายและความหวาดกลัว อีกทั้งสีส้มในเฉดที่ใกล้กับสนิมหรือดินไหม้ยังมักถูกใช้เพื่อแทนภูมิประเทศแห้งแล้งและสิ้นหวังในโลกดิสโทเปีย ซึ่งเราจะเห็นชัดใน Mad Max: Fury Road ที่ทะเลทรายสีส้มกว้างใหญ่เป็นสัญลักษณ์ของความตายและการล่มสลายของโลก
.
ในแง่ทางจิตวิทยา สีส้มโดยธรรมชาติอาจเชื่อมโยงกับพลังงาน ความสดใส และความกระตือรือร้น แต่เมื่อมันถูกบิดเบือนให้ดูเข้มจัด เป็นพิษ หรือไม่เป็นธรรมชาติ ความหมายกลับเปลี่ยนไปเป็นสัญลักษณ์ของความเจ็บป่วย ความเสื่อมโทรม และอันตราย ความย้อนแย้งระหว่างด้านที่อบอุ่นกับด้านที่เป็นภัยนี้เอง ทำให้สีส้มกลายเป็นเครื่องมือสำคัญในการสื่อสารอารมณ์เชิงลบ โดยเฉพาะในศิลปะและภาพยนตร์ไซไฟดิสโทเปีย ซึ่งใช้มันเพื่อสร้างความอึดอัดให้แก่ผู้ชม และเพื่อเน้นธีมของความเสียหายต่อสิ่งแวดล้อม ความเครียดทางจิตใจ และการล่มสลายที่กำลังคืบคลานเข้ามา

https://www.facebook.com/photo/?fbid=833076979060146&set=a.204432178591299



ครั้งหน้าถ้าจะมีการเขียนรัฐธรรมนูญใหม่ ต้องจำบทเรียนจาก พ.ร.ฏ.ยุบสภา ตีกลับ!


.....

Khemthong Tonsakulrungruang 
13 hours ago
·
ครั้งหน้าถ้าจะมีการเขียนรัฐธรรมนูญใหม่ ในส่วนที่เป็นอำนาจรัฐบาลอาจต้องคิดใหม่ ไม่ใช่แค่เนื้อหา แต่รูปแบบการเขียนด้วย เพราะการเขียนโดยคำนึงถึงพิธีหรือประเพณีปฏิบัติว่าเป็นพระราชอำนาจทั้งที่จริงๆเป็นการกระทำของรัฐบาลนั้นกลายเป็นว่าสร้างโอกาสให้คนฉกฉวยเอาไปอ้างว่าเป็นพระราชอำนาจจริงๆ แย่งอำนาจจากคณะรัฐมนตรีไปเป็นพระราชอำนาจ สร้างความสัสนโดยไม่จำเป็น ต่อไป อะไรเป็นการริเริ่มของรัฐบาลต้องเขียนว่าเป็นอำนาจรัฐบาลให้เด็ดขาดลงไป

https://www.facebook.com/khemthong.tonsakulrungruang/posts/10213525123759030


ความมั่วของการเมืองไทย ค.การเมือง วันนี้ (3 กันยายน)


[🔴LIVE] ความมั่วของการเมืองไทย ‘นายกฯ อนุทิน’ หรือ ‘ยุบสภาเลือกตั้งใหม่’? | ค.การเมือง EP.79

The 101 World

Streamed live 9 hours ago #พรรคเพื่อไทย #พรรคภูมิใจไทย #พรรคประชาชน

💛 101 SUPPORT — ร่วมซัพพอร์ต ร่วมส่งพลัง ร่วมสร้างสรรค์สื่อ 👉 ร่วมสนับสนุน ‘วันโอวัน’ ได้ที่: https://www.the101.world/101support

⎯⎯⎯⎯⎯⎯⎯⎯⎯⎯⎯⎯⎯⎯⎯⎯⎯⎯⎯⎯

การแถลงมติหนุนอนุทิน ชาญวีรกุล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทยเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีคนที่ 32 และการประกาศเดินหน้ายุบสภาฯ โดยรัฐบาลรักษาการพรรคเพื่อไทย ก็ยิ่งทำให้ภาพการเมืองเบลอและมั่วมากกว่าเดิม

รัฐบาลรักษาการจะยุบสภาฯ ได้หรือไม่ อนุทินจะเป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 32 ได้หรือเปล่า และภูมิทัศน์การเมืองไทยจะเป็นอย่างไร

วิเคราะห์ความมั่วรอบล่าสุดของการเมืองไทยกันแบบสดๆ กับ ‘ค.การเมือง’ รายการวิเคราะห์การเมืองไทยพร้อม ใบตองแห้ง-อธึกกิต แสวงสุข และ สุภลักษณ์ กาญจนะขุนดี สองคอการเมือง สื่อมวลชนรุ่นเก๋าที่คร่ำหวอดในสนามข่าวมาหลายทศวรรษ ชวนคุยโดย สมคิด พุทธศรี บรรณาธิการบริหาร The101.world

https://www.youtube.com/watch?v=zDSHXlVJB7c


สังคม cosplay


Nai Khem Chaiyo
8 hours ago
·
สังคม cosplay

ในวงสนทนาเชิงวิชาการของ HEY Club ….. มีน้องคนหนึ่งพูดขำๆหลังจากได้เห็นข่าวพระฉาวๆออกมาติดต่อกันช่วงนี้ว่า สังคมไทยนี่คือยืนหนึ่งด้าน cosplay จริงๆ ตอนแรกในวงสนทนาก็งงกันว่าน้องเขาหมายถึงอะไร

เพราะ cosplay ในความหมายปกติก็มาจากคำว่า costume กับ play คือ แต่งกายสมมติตามตัวละครต่างๆ ที่ฮิตๆก็มาจากน้องๆแต่งตามอนิมะหรือมังงะของญี่ปุ่นเป็นหลัก มีงานรวมตัวประชันกันก็หลายงาน

…เวลานึกถึง cosplay ก็จะนึกถึงแบบนั้น

น้องเขาอธิบายต่อว่า พี่ลองคิดดู เรามีคนแต่งตัวเลียนแบบพระเพื่อไปทำมาหากินแบบเป็นล่ำเป็นสัน มันก็คือการแต่ง cosplay ใช่ปะ เพราะเขาไม่ใช่พระจริงๆ แค่แฝงตัวเป็นพระแล้วแต่งเหมือนพูดเหมือนก็เท่านั้นเอง

แล้วน้องก็บอกว่า พี่ลองมองไปดูรอบๆ สังคมเรานี่เจ้าแห่ง cosplay จริงๆนะ ที่เห็นเป็นตำรวจจริงๆก็โคปเอา จริงๆเป็นโจรรีดไถร้าน ตั้งด่านเก็บส่วยก็ไม่น้อย ที่ดูเหมือนใส่ชุดสีฟ้าขับแท็กซี่นี่หลายคันก็มิจฉาชีพจนติดอันดับโลกว่าเราสแกมนักท่องเที่ยวก็คน cosplay เป็นแท็กซี่ทั้งนั้นๆ

ในวงก็เริ่มเสริมว่า เออจริงแฮะ ที่ดูเป็น สส เป็นนักการเมืองในสภานี่ก็มาเฟียแต่งเหมือนก็เยอะ บางคนโคปเป็นข้าราชการแต่ตัวจริงคือมือเก็บใต้โต๊ะทุกขั้นตอน รับเงินเดือนราชการเป็นรายได้เสริมเท่านั้นเอง คิดไปคิดมา เออสังคมไทยนี่ยืนหนึ่งด้าน cosplay จริงๆ

คิดเล่นขำไป แล้วดันมีคนซีเรียสถามว่าจะแก้กันยังไงดี

นั่งนิ่งๆกันซักพัก ก็นึกได้ว่าแค่โคปเป็นนักวิชาการเสวนาเล่นๆเฉยๆ ไม่ได้จะมีทางออกใดๆ ..แล้วก็แยกย้ายสลายหายตัวไปตามเดิม

https://www.facebook.com/photo/?fbid=4092879307641764&set=a.2335058136757232



เคยคิดบ้างมั้ย ปัญหาเหนือไปกว่า รักษาการนายกฯมีอำนาจยุบ หรือ พระมหากษัตริย์มีพระราชอำนาจ คือ เราท่านทั้งหลายต้องการให้พระราชอำนาจนั้นมีอยู่เพื่อปกป้องอะไร? อยากได้ความสถิตสถาพรระยะยาว หรือ ความถูกใจระยะสั้นแต่สร้างบาดแผลแก่สังคมระยะยาว ทุกท่านต้องตรองดูในโมงยามนี้


Kongsatja Suwanapech 
14 hours ago
·
พระราชอำนาจในการยุบสภาผู้แทนราษฎรมีอยู่เพื่ออะไร?
พระราชอำนาจในการยุบสภาเป็นพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ในฐานะทรงเป็นตัวแทนประชาชาติ ไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด (impartial party) และทรงใช้พระราชอำนาจยุบสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งเป็นสภาผู้แทนราษฎรของพระองค์ในฐานะตัวแทนมหาชน (King in Parliament) ดังนั้น การยุบสภาฯจึงเป็นพระราชอำนาจเชิงสัญลักษณ์เพื่อให้การยุบสภาฯมีความหมายว่า ไม่ได้ทำเพื่อประโยชน์ของฝ่ายใด แต่เป็นการ คืนอำนาจให้ประชาชนตัดสิน ความขัดแย้งระหว่างฝ่ายบริหารและรัฐสภา โดยหลัก ถ้าฝ่ายบริหารแนะนำให้ยุบ ก็ต้องทรงอนุโลมตามคำแนะนำของฝ่ายบริหาร
ธรรมเนียม (convention) เช่นนี้ เกิดจากความขัดแย้งทางการการเมืองศตวรรษที่ 17 ที่ในอดีต พระมหากษัตริย์มีอำนาจเปิด–ปิดสภาตามพระราชอัธยาศัย พระเจ้า Charles I ทรงไม่เรียกประชุมสภาเลยหลายปี เพื่อปิดกั้นการตรวจสอบ ทำให้เกิดวิกฤตความขัดแย้งระหว่างสภาผู้แทนฯ​กับองค์กษัตริย์จนเป็นชนวนให้เกิด English Civil War และตามมาด้วย Glorious Revolution 1688 ในรัชกาลต่อๆมาที่รัฐสภาลิดรอนพระราชอำนาจทางการเมืองลง เหตุการณ์เหล่านี้เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญ ให้กษัตริย์ไม่สามารถทรงใช้พระราชอำนาจยุบสภาเพื่อประโยชน์ส่วนพระองค์ได้อีก
หลังศตวรรษที่ 17 เป็นต้นมา สภาผู้แทนฯ มีอำนาจเพิ่มขึ้น และ King ทรงถอยลงจากการบริหารราชการ พูดง่ายๆ ไม่ทรงนั่งเป็นนายกฯ เพราะเกิดตำแหน่งนายกฯขึ้นมานำการบริหารราชการแผ่นดินแทน แต่ยังทรงมีสิทธิธรรมและสถานะของประมุขแห่งรัฐแทนมหาชนหรือประชาชาติอยู่ เพราะฉะนั้น การยุบสภายังคงมีอยู่และกลายเป็นกลไกของฝ่ายบริหารในการจัดการความขัดแย้งกับสภา ทว่ายังต้อง อาศัยพระบารมีและสถานะเหนือการเมืองของกษัตริย์เพื่อให้การยุบสภาดูเป็นการกระทำที่เป็นกลางและชอบธรรม
เมื่อไม่ใช่ “เรื่องส่วนพระองค์” แต่เป็นเรื่องของการบริหาราชการแผ่นดินเพื่อมหาชน หากรัฐบาลแนะนำให้ยุบ ก็ต้องยุบตามคำแนะนำของฝ่ายบริหาร แต่ยังทรงสงวนไว้ซึ่งพระราชอำนาจดั้งเดิม เป็นประกาศิตสุดท้าย (last resort) สำหรับกรณีที่ การยุบสภาจะทำลายหลักการตรวจสอบถ่วงดุลของรัฐสภา และ บ่อนทำลายความเป็นสูงสุดของรัฐสภา (Parliamentary Sovereignty) เอง เช่น รัฐบาลพยายามยุบเพื่อหลีกเลี่ยงการตรวจสอบหรือสร้างความได้เปรียบทางการเมืองอย่างไม่ชอบธรรม
ทั้งนี้เพราะ The Crown มีอยู่เพื่อมหาชน และเป็นบ่อเกิดความชอบธรรมและอำนาจของทุกสถาบันการเมืองแห่งรัฐ กษัตริย์จึงต้องทรงอำนวยการให้สถาบันเหล่านี้ดำรงอยู่ต่อไปได้ และจะทรงใช้พระราชอำนาจเพียงเพื่อ ปกป้องระบบรัฐสภา ไม่ใช่เพื่อกำหนดผลการเมืองเองในยามวิกฤติเท่านั้น
ในไทยเรา มักมีนักนิติศาสตร์หัวใสมักหยิบโมเดล Westminster มาอธิบายแบบผิดฝาผิดตัว โดยเข้าใจว่า เพราะพระมหากษัตริย์เป็นผู้ถือพระราชอำนาจยุบสภา และไม่มีบทบัญญัติกำหนดไว้ชัดแจ้ง จึงมีพระราชอำนาจปฏิเสธหรือยุบตามพระราชอัธยาศัย
แต่ในความเป็นจริงของอังกฤษ ดังกล่าวไปแล้วว่า แม้พระราชอำนาจยุบสภาจะคงอยู่ในทางทฤษฎี เพื่อให้การยุบสภาเป็นการกระทำที่ เป็นกลาง และให้ทุกฝ่ายยอมรับผล ทว่าฝ่ายบริหารเป็นผู้ใช้อำนาจจริงเพราะเป็นผู้จัดการความขัดแย้งกับสภา กษัตริย์จะทรงปฏิเสธได้เฉพาะในกรณีที่จะทำลายรากฐานระบอบรัฐสภาที่รัฐบาลกำลังใช้อำนาจยุบสภาเพื่อ ทำลาย ระบอบรัฐสภาจากการเลือกตั้งเอง
เมื่อเราตีความกลับด้านให้พระราชอำนาจเป็นไปตามพระราชอัธยาศัย พระมหากษัตริย์จึงเท่ากับผลักให้พระมหากษัตริย์ทรงเข้ามาชี้ขาดทางการเมือง ระคายเคืองเบื้องพระบาทยุคลเป็นอย่างยิ่ง และอันตราย กลไกยุบสภาควรเป็นเครื่องมือรักษาระบบรัฐสภาและประสิทธิภาพในการบริหารแผ่นดิน และยืนยันว่าราชอาณาจักร สถาบันพระมหากษัตริย์ และองคาพยพมีอยู่เพื่อมหาชน กลับกลายเป็น อาวุธทางการเมือง ที่สร้างวิกฤติและดึงสถาบันกษัตริย์เข้าสู่ความขัดแย้ง การอ้างแบบนี้คือเบือนหลักการมาเป็นหลักกู (หลักที่กูอยากได้)
ปัญหาเหนือไปกว่า รักษาการนายกฯมีอำนาจยุบ หรือ พระมหากษัตริย์มีพระราชอำนาจ คือ เราท่านทั้งหลายต้องการให้พระราชอำนาจนั้นมีอยู่เพื่อปกป้องอะไร?
ระบอบที่อำนาจไม่เป็นของกลุ่มใด กลุ่มหนึ่ง แต่คุยกัน ต่อรองกันโดยสันติ ที่เราเรียกว่า ระบอบรัฐธรรมนูญ โดยมีพระมหากษัตริย์ทรงปกปักรักษาไว้ให้มหาชนทั้งหลาย (Constitutional guardian) หรือ ระบอบที่อาศัยอำนาจสูงต่ำไม่ยั้งมือเป็นอาวุธจู่โจม สั่งสมความขัดแย้งยิ่งขึ้นไปทุกที
อยากได้ความสถิตสถาพรระยะยาว หรือ ความถูกใจระยะสั้นแต่สร้างบาดแผลแก่สังคมระยะยาว ทุกท่านต้องตรองดูในโมงยามนี้
ปล. ผมพยายามแปลความคิดที่มีรากฐานจาก Two bodies of King ให้เข้าใจได้ในกรอบความคิดของภาษาไทย พูดง่ายๆ คือ แปรนมเป็นกะทิ อาจแปลเอ้อเร่อเอ้อเต่อไปบ้าง ขออภัยอย่างยิ่งครับ หากสำนวนอ่านไม่เข้าใจนัก

https://www.facebook.com/kongsat/posts/10234746485836339
.....




แม้คุณจะเกลียดเพื่อไทยเป็นขี้ แต่ถ้ายังมีหลักการในหัวใจ ควรส่งเสียงยืนยันอำนาจการยุบสภาของคุณภูมิธรรม ว่าทำได้และไม่ผิดกฏหมาย...


วิวาทะ V2 
7 hours ago
.....
Winyat Chatmontree 
15 hours ago
·
“การถวายคำแนะนำให้พระมหากษัตริย์ยุบสภาผู้แทนราษฎร”
ผมได้พูดคุยกับท่าน ศ.ดร.วรเจตน์ ภาคีรัตน์ นักกฎหมายและผู้เชี่ยวชาญกฎหมายมหาชน ท่านให้ข้อคิดเป็นความเห็นทางกฎหมายที่สำคัญ ที่นักกฎหมายทั้งหลายและคนในสังคมให้ความสนใจ ซึ่งเป็นอีกมุมมองทางกฎหมายที่น่าสนใจและมีเหตุมีผลตามหลักกฎหมาย ที่ท่านอาจารย์อธิบายให้เข้าใจง่าย เชื่อว่าคนไม่ใช่นักกฎหมายก็เข้าใจได้ ดังนี้ครับ

1. ประเด็นเกี่ยวกับสถานะและอำนาจของรัฐบาลนายภูมิธรรม
เมื่อนางสาวแพรทองธารพ้นจากตำแหน่งคณะรัฐมนตรี ต้องพ้นจากตำแหน่งทั้งคณะ แต่รัฐมนตรีทุกคนเว้นนางสาวแพรทองธาร ต้องอยู่ปฏิบัติหน้าที่ต่อไปตามรัฐธรรมนูญมาตรา 168 โดยมีผู้ปฏิบัติหน้าที่นายกรัฐมนตรี คือ นายภูมิธรรม ซึ่งทำหน้าที่ "ตามตำแหน่งนายกรัฐมนตรี" โดยที่มาตรา 168 ไม่ได้กำหนดข้อจำกัดการใช้อำนาจของคณะรัฐมนตรี ในขณะนี้ไว้
คณะรัฐมนตรี นายภูมิธรรมในขณะนี้ แม้จะเป็นคณะรัฐมนตรี ที่ปฏิบัติหน้าที่ต่อไปภายหลังนายกรัฐมนตรีต้องพ้นตำแหน่ง เพราะนายกรัฐมนตรีแพรทองธาร ขาดคุณสมบัติหรือลักษณะต้องห้ามตามคำวินิจฉัยศาลธรรมนูญ แต่คณะรัฐมนตรีนายภูมิธรรม ก็มีอำนาจตามปกติ อำนาจของคณะรัฐมนตรี ที่ปฏิบัติหน้าที่ขณะนี้จะลดลงก็ต่อเมื่อมีการยุบสภาผู้แทนราษฎรหรือสภาผู้แทนราษฎรครบวาระ ซึ่งหากเป็นเช่นนั้น คณะรัฐมนตรีนายภูมิธรรมจะถูกจำกัดอำนาจ ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 169 นอกจากนั้นในขณะนี้รัฐมนตรี ก็สามารถลาออกได้ตามที่ มาตรา 168 ได้บัญญัติไว้

2. ประเด็นการถวายคำแนะนำให้พระมหากษัตริย์ยุบสภาผู้แทนราษฎรนั้น
ขณะนี้มีความเห็นว่า นายภูมิธรรมไม่อาจทำได้ เพราะเป็นเพียงรักษาการนายก ไม่ใช่คนที่สภาเลือกมา และมีประเพณีการปกครองห้ามนั้น ผมเห็นว่า นายภูมิธรรมซึ่งปฏิบัติหน้าที่นายกรัฐมนตรีในขณะนี้ ย่อมมีอำนาจตามตำแหน่งนายกรัฐมนตรีทุกประการ ด้วยเหตุที่ไม่มีบทบัญญัติใดตามรัฐธรรมนูญกำหนดข้อห้ามหรือจำกัดอำนาจของ "ผู้ที่ปฏิบัติหน้าที่นายกรัฐมนตรี" ไว้
ผู้ซึ่งปฏิบัติหน้าที่นายกรัฐมนตรี จึงมีอำนาจตามตำแหน่งในอันที่จะถวายคำแนะนำให้พระมหากษัตริย์ยุบสภาผู้แทนราษฎรได้ ไม่เกี่ยวกับการได้รับเลือกจากสภาผู้แทนราษฎรหรือไม่ เพราะการยุบสภาผู้แทนราษฎรเป็นการใช้อำนาจของประมุขของรัฐ คือ พระมหากษัตริย์ตามการถวายคำแนะนำ และมีฐานะเป็นคำสั่งในทางรัฐธรรมนูญให้สมาชิกภาพของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสิ้นสุดพร้อมกับการสิ้นสุดลงของคณะรัฐมนตรี โดยคณะรัฐมนตรี จะอยู่ปฏิบัติหน้าที่ต่อไปโดยมีอำนาจจำกัดลงตามมาตรา 169 แห่งรัฐธรรมนูญ โดยเหตุที่ไม่มีข้อจำกัดตามกฎหมายที่เป็นลายลักษณ์อักษรในการถวายคำแนะนำให้พระมหากษัตริย์ยุบสภาเช่นนี้ จึงมีผู้กล่าวอ้างประเพณีการปกครองมาเป็นข้อจำกัด ซึ่งเมื่อพิจารณาโดยละเอียดแล้วเห็นว่าไม่มีประเพณีเช่นว่านั้น เนิ่องจากไม่เคยเกิดข้อถกเถียงเช่นนี้และไม่มีทางปฏิบัติในเรื่องนี้มาก่อน ประเพณีที่กล่าวอ้างจึงเป็นประเพณีในจินตนาการเท่านั้น
อันที่จริงแล้วการตีความกฎหมายรัฐธรรมนูญไปตามปกติธรรมดาในเรื่องนี้ เป็นหนทางในการแก้ปัญหาประการหนึ่ง เพราะอาจเกิดเหตุไม่คาดหมายขึ้นได้ เช่น แคนดิเดทนายกที่เหลืออยู่เกิดขาดคุณสมบัติทุกคน ถ้าจะอ้างว่า "ผู้ที่ปฏิบัติหน้าที่นายกรัฐมนตรี" จะต้องอยู่ปฏิบัติหน้าที่ต่อไปจนสภาครบวาระโดยไม่อาจถวายคำแนะนำให้ยุบสภาได้ ดูจะเป็นการใช้และการตีความกฎหมายรัฐธรรมนูญที่ประหลาด
การยุบสภาผู้แทนราษฎรเป็นการคืนอำนาจการตัดสินใจให้ปวงชนชาวไทย ไม่ควรถูกจำกัดโดยวิธีการใข้และการตีความกฎหมายรัฐธรรมนูญที่ก่อให้เกิดผลประหลาดหรือเกิดทางตันเช่นนี้

3. ประเด็นที่มีการข่มขู่ว่า ถ้าถวายคำแนะนำฯ จะแจ้งความดำเนินคดีหรือจะเอาเรื่องไปร้องศาลรัฐธรรมนูญนั้น
ก่อนจะดำเนินการดังกล่าวผู้ที่จะดำเนินการพึงเข้าใจว่า ในกรณีที่พระมหากษัตริย์ทรงลงพระปรมาภิไธยในพระราชกฤษฎีกายุบสภาผู้แทนและมีรัฐมนตรีลงนามรับสนองพระบรมราชโองการและประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้ว การยุบสภา ก็เป็นอันเกิดขึ้นสมบูรณ์ ทำให้สมาชิกภาพของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรย่อมสิ้นสุดลง และคณะกรรมการเลือกตั้งต้องประกาศวันเลือกตั้งภายในห้าวัน
ในทางกฎหมายรัฐธรรมนูญ การยุบสภาผู้แทนราษฎรเป็นการกระทำทางการเมือง ที่เรียกกันว่า "การกระทำทางรัฐบาล" หรือ"การกระทำของรัฐบาล" ในระบบกฎหมายไทยการยุบสภาผู้แทนราษฎร แม้จะกระทำโดยพระราชกฤษฎีกาก็ตาม ก็ถือว่าเป็น "การกระทำทางรัฐบาล" อันมีลักษณะเป็นการกระทำทางการเมือง ซึ่งปลอดจากการตรวจสอบทางตุลาการ ร่องรอยของการยอมรับหลักเรื่องนี้ปรากฏในพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ มาตรา 47(1) ที่กล่าวถึง การกระทำของรัฐบาล ซึ่งก็คือการกระทำทางรัฐบาลในความหมายที่ฝ่ายวิชาการใช้
ด้วยเหตุนี้ความกังวลที่ว่า ศาลรัฐธรรมนูญจะเข้ามาสั่งคุ้มครองชั่วคราวหรือถึงกระทั่งจะสั่งให้การยุบสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งจะเป็นผลให้คำสั่งของประมุขของรัฐในทางรัฐธรรมนูญเป็นโมฆะ จึงไม่อาจเป็นไปได้ตามสภาวการณ์ของระบบกฎหมายไทยในขณะนี้
ส่วนที่มีผู้เห็นว่า ในอดีตศาลรัฐธรรมนูญเคยวินิจฉัยให้การเลือกตั้งภายหลังการยุบสภาเป็นโมฆะมาแล้วนั้น เป็นคนละเรื่องกับประเด็นการสั่งให้การยุบสภาเป็นโมฆะ กรณีที่หากมีการถวายคำแนะนำ พระมหากษัตริย์ลงพระปรมาภิไธยุบสภา และมีการลงนามรับสนองพระบรมราชโองการ การยุบสภาย่อมเกิดขึ้น กรณีนี้เป็นการกระทำที่ไม่อาจหวนคืนได้ จะต้องเดินหน้าไปสู่การเลือกตั้งทั่วไป .-
#ขอขอบคุณท่านอาจารย์วรเจตน์ ภาคีรัตน์ เป็นอย่างสูงที่ให้ความรู้ทางความคิดเห็นในกฎหมายรัฐธรรมนูญอันเป็นกฎหมายมหาชนที่ประเทศไทยยังแกว่งอย่างมีนัยยะสำคัญ.
วิญญัติ ชาติมนตรี
3 กันยายน 2568


ในเมื่อทุกพรรคบอกว่าตน มีเจตจำนงจะพาประเทศไปสู่การยุบสภา คุณไม่ควรเล่นเกมแบบนี้





https://www.facebook.com/tootsyreview




https://x.com/tanawatofficial/status/1963156309303599224

 

ถ้าเกมนี้หนูได้ไฟเขียวจากวัง การยุบสภา 4 เดือนคงเป็นไปได้ยาก


Pavin Chachavalpongpun
6 hours ago
·
ตอนแรกลังเลว่าจะเขียนดีไหม แต่คิดว่าเขียนดีกว่า เพราะการปัดตกการยุบสภามันคอนเฟิร์มความคิดอะไรของดิชั้นหลายอย่าง

1. ดิชั้นคิดว่าดิชั้นรู้จักคุณอนุทินดีพอ เรื่องมี "คอนเน็คชั่น" กับวังนี่แน่นอนอยู่แล้ว การที่คุณอนุทินยอมเทหน้าตักมากขนาดนี้สำหรับตำแหน่ง "นายก" นั้น หนูต้องมั่นใจว่ามันต้องไปตลอดรอดฝั่ง ถ้าคิดว่าเสนอตัวเป็นนายก แต่ถูกวีโต้ด้วยการยุบสภา หนูจะไม่เดินเกมนี้ หนูจะไม่ยอมเดินเกมที่เสียเปล่า เสียทั้งหน้า เสียทั้งอารมณ์​ เสียโอกาส และเสียอำนาจ สรุปคือ หนูต้องได้ไฟเขียวจากวังเรื่องเป็นนายก ซึ่งรวมถึงเรื่องปัดตกการยุบสภา เพื่อการันตีให้หนูได้เป็นนายกจริงๆ

2. ที่น่าสนใจกว่านั้น พรรคส้มรู้เรื่องนี้หรือเปล่า? การแถลงการณ์รับอนุทินเร็วมาก และอย่างเร่งด่วน ทั้งๆ ที่รู้ว่าเพื่อไทยกำลังยื่นเรื่องยุบสภา การยอมไปต่อถึงขนาดจะให้มีการประชุมเพื่อหาเสียงรับรองนายกหนูคนใหม่ แม้ว่าจุดมุ่งหมายที่อ้างจริงๆ คือ​ "การยุบสภา" แบบนี้แล้วพรรคส้มทำไปทำไม จึงมีหลายคนตั้งคำถามว่า ถ้ามีการยื่นยุบสภาไปแล้ว (ก่อนที่จะมีข่าวปัดตก) ทำไมส้มถึงไม่ถอนการสนับสนุนหนู เพราะมันจะยุบสภาอยู่ดี เอาล่ะ ที่เขียนมายืดยาว มันสร้างความสงสัยว่า สุดท้ายแล้วพรรคส้มรู้กลเกมนี้ใช่ไหม? รู้เรื่องหนูต่อรองกับวังใช่ไหม? และพร้อมที่จะเล่นเกมนี้ด้วยใช่ไหม? ส่วนรางวัลตอบแทนต่อพรรคส้มในการให้การสนับสนุนอนุทินคือการได้รับการปลดล็อคการฟ้องร้อง สส คดี 112/คดีอาญาต่อผู้นำพรรค เพื่อให้พรรคไปต่อได้

3. ถ้าเกมนี้หนูได้ไฟเขียวจากวัง การยุบสภา 4 เดือนคงเป็นไปได้ยาก หนูจะยอมหรอที่เทหน้าตักขนาดนี้แล้วจะอยู่ในอำนาจแค่ 4 เดือน จึงนำไปสู่สิ่งที่เราคาดกัน หนูจะได้อยู่ต่อทำงานสำคัญให้วังเพื่อแลกกับการให้หนูอยู่ในอำนาจต่อไปได้ แพทเทิ้นนี้เกิดมาแล้วซ้ำซาก อาทิ เรื่องการใช้ประยุทธ์ในการ "กำกับ" การเปลี่ยนผ่านรัชสมัยที่ผ่านมา ถ้าเป็นแบบนี้ อนุทินจะอยู่ตรงนี้ไปอีกสักพัก

4. ถ้าเป็นแบบนี้ นี่คือเกมการเมืองแบบเก่า นั่นคือ ความอยู่รอดของนักการเมือง/พรรคการเมืองคือการดีลกับเจ้า ซึ่งดีลล่าสุดเป็นดีลของทักษิณซึ่งก็​ "หมดอายุ" ไปแล้ว ที่น่าตกใจก็คือคำถามที่ว่า พรรคส้มวันนี้ยอมเป็นส่วนหนึ่งของการเมืองเก่าแบบนี้หรอ? ถ้าใช่ พรรคนี้ก็จะไม่ต่างอะไรจากพรรคอื่นๆ? การเมืองไทยในยุคส้มก็จะไม่ต่างจากยุคที่แล้ว? และคนที่ไม่เกี่ยวข้องในสมการนี้ก็ยังเป็นประชาชนตาดำๆ เหมือนเดิม ใช่ไหม?

...ฝากไว้ให้คิดค่ะ

https://www.facebook.com/photo?fbid=10018821071552899&set=a.104469196321519
...