วันพุธ, ตุลาคม 22, 2568

‘ปิดตาย’ ไม่ยอมนิรโทษกรรมเยาวชน อายุต่ำกว่า ๑๘ ปี แต่ว่ายอมให้ “คดีปิดสนามบิน...การระงับค่าเสียหายต่างๆ หรือการกระทำของผู้ใหญ่ที่หนักกว่าตั้งเยอะ”

จดจารบันทึก สภาผู้แทนราษฎรสมัยสามัญ ครั้งที่ ๓๒ พิจารณาร่าง พรบ.สร้างเสริมสังคมสันติสุข ปิดตายไม่ยอมนิรโทษกรรมเยาวชน อายุต่ำกว่า ๑๘ ปี คดีข้อหา ม.๑๑๒ แม้นว่าจะยอมเพิ่มเติม ม.๙/๑ ของ ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ

ซึ่ง ศศินันท์ ธรรมนิฐินันท์ สส.กทม.พรรคประชาชน บอกว่าเป็นการ เลี่ยงบาลีเนื่องจาก ไม่นิรโทษกรรม แต่ให้ไปยื่นคำร้องต่อคณะกรรมการฯ เพื่อนำเสนอต่ออัยการ ให้ดำเนินคดีตามกฎหมายเยาวชน เพื่อส่งเข้าไปสู่ แผนบำบัดฟื้นฟู แทน

ตอนที่เราพยายามถกเถียงกันในเรื่องคดีปิดสนามบิน การคืนสิทธิ์ล้มละลายต่างๆ การระงับค่าเสียหายต่างๆ หรือการกระทำของผู้ใหญ่ที่หนักกว่าตั้งเยอะ เราไม่เห็นต้องมานั่งถกเถียงกันถึงเรื่องเงื่อนไขต่างๆ แบบนี้เลย” สส. ทนายแจมตั้งข้อสังเกตุ

แต่เสียงส่วนใหญ่ก็ปัดตกการสงวนความเห็นในมาตรา ๓ ไม่แยแสคำวิงวอนของเสียงส่วนน้อย โหวต ๑๘๔ เสียง “ไม่เห็นชอบกับการแก้ไขของกรรมาธิการเสียงข้างน้อย ที่ให้มีการนิรโทษกรรมคดี มาตรา ๑๑๒ อย่างมีเงื่อนไข” นำไปสู่การหยุดพักไปเจรจานอกรอบ

ผลที่ได้คือ ยอมรับมาตรา ๙/๑ ของ เต้น ณัฐวุฒิ เนื้อหาว่า การกระทำที่ไม่ได้รับนิรโทษกรรมตามมาตรา ๖ เปิดโอกาสให้ “ผู้กระทำความผิดซึ่งอายุต่ำกว่าสิบแปดปีบริบูรณ์ในขณะกระทำความผิด ร้องขอไม่ว่าผู้นั้นจะถูกดำเนินคดีหรือแจ้งข้อกล่าวหาแล้วหรือไม่

และคณะกรรมการสร้างเสริมสังคมสันติสุขเห็นเป็นการสมควร...ให้จัดทำแผนแก้ไขบำบัดฟื้นฟูผู้กระทำความผิด แล้วส่งแผนพร้อมความเห็นไปยังพนักงานอัยการ เพื่อใช้มาตรการพิเศษแทนการดำเนินคดีอาญา” หมายความว่า

“ยังคงต้องให้ศาลเป็นผู้มีอำนาจในการ” พิจารณาอยู่ดี ศศินันท์ว่าและคงจะลบล้างไม่ได้ว่าวันนี้สภาผู้แทนราษฎรได้นิรโทษกรรมให้กับคนแค่บางกลุ่ม จัดการเรื่องทางการเงินให้กับคนบางกลุ่ม แต่ก็ทิ้งคนอีกกลุ่มหนึ่งไว้ข้างหลัง

แม้กระนั้น จาตุรนต์ ฉายแสง สส.พรรคเพื่อไทยกล่าวว่าเขารู้สึก “มาตรานี้ยังทำได้มากกว่านี้” เนื่องจากแม้แต่ “บางข้อหาก็โทษสูงถึงจำคุกตลอดชีวิตหรือประหารชีวิตอย่างข้อหาก่อการร้ายก็ยังได้รับการนิรโทษกรรมด้วย” แล้วไฉน

“ลืมไปว่ามีช่วงเวลาหนึ่งที่มีเยาวชนเข้ามาเกี่ยว แล้วข้อหาก็ไม่ได้ร้ายแรงอย่างคดีก่อการร้าย ก็ยังไปให้ศาลเป็นคนตัดสินอยู่ดี...(อัน) จะเป็นบาปติดใจกันไปอีกนาน” มิหนำซ้ำหากฟังความจาก คุ้มเกล้า ส่งสมบูรณ์ จากศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน

ชี้ว่าข้อเสนอตามมาตรา ๙/๑ “ในความเป็นจริงเยาวชนที่ถูกดำเนินคดีมาตรา ๑๑๒ อาจไม่ได้รับประโยชน์... เนื่องจากพวกเขาได้ผ่านมาตรการและกระบวนการทางกฎหมายมาอย่างครบถ้วนแล้ว” ไม่เช่นนั้นก็ต้องรับสารภาพ เพื่อเข้าสู่มาตรการควบคุมก่อนฟ้อง

(https://www.facebook.com/iLawClub/posts/N7nfPPFzHp, https://prachatai.com/journal/2025/10/115172 และ https://www.facebook.com/thestandardth/posts/XJdBXSFVeT) 

คิดถึงบ้านจัง อานนท์ นำภา


ภัควดี วีระภาสพงษ์
5 hours ago
·
16 ตุลาคม 2568 วันนี้ยาย แม่ น้องสาว หลานๆ มาเยี่ยมที่ห้องพิจารณาคดีศาลอาญา ในรอบหลายเดือนกว่าจะได้พบหน้าเพราะต้องรอให้หลานๆปิดเทอม การเดินทางจากร้อยเอ็ดมากรุงเทพฯนั้นย่อมหลายร้อยกิโล สำหรับเด็กๆคงสนุกสนาน แต่สำหรับยายกับแม่คงเหน็ดเหนื่อย รอยยิ้มที่ดูโรยแรงจากการเดินทางและวัยที่สูงขึ้น อ้อมกอดที่คุ้นเคยตั้งแต่วัยเด็ก หอบเอากลิ่นทุ่งนากองฟางของบ้านเกิดมาด้วย “บรรดาแม่ๆ ลุงป้าน้าอาที่บ้านหวายหลึม ฝากมากอดด้วยเด้อลูก” แม่กระซิบผมระหว่างสวมกอดในห้องพิจารณาคดี
.
“บ้าน” ในความหมายของผมมิใช่แค่หมู่บ้านหรืออาคารบ้านเรือน แต่ยังหมายถึงผู้คนที่เราผูกพันธ์ ผู้คนที่อยู่ในชีวิตของเราในแต่ละช่วงวัยด้วย โดยเฉพาะวัยเด็กที่บ้านยังคงกรุ่นไอทรงจำตั้งแต่จำความได้ ผืนดินที่หัดเดิน หัดปั่นจักรยาน ต้นไม้ทุกต้นที่เคยปีนเล่น ถนนทุกสายที่เคยเดิน เมื่อประกอบกับผู้คนในครอบครัว ญาติมิตร เพื่อนฝูง นั่นคือ “บ้าน” บ้านที่ผมอยากกลับไป
.
ในทุกคืนก่อนนอน ผมมักจะคิดถึงเรื่องราวต่างๆ ที่ผ่านเข้ามาในชีวิต ในหลายๆครั้งที่คิดถึงบ้าน พอหลับตานอนก็มักจะฝันว่าได้กลับบ้าน กลับไปเจอเรื่องราวและผู้คนที่เราจากมา แอบหลั่งน้ำตาในบางทีหลังตื่นกลางดึก ไม่ใช่การร้องไห้ แต่เป็นน้ำตาที่ไหลออกมาอย่างซึมเซา เป็นน้ำตาที่เย็นและขมอย่างยิ่ง
.
คิดถึงบ้านจัง
อานนท์ นำภา

https://www.facebook.com/phakh.wdi.wira.phas.phngs.2025/posts/2943146049229629


สถานการณ์คนติดคุกเป็นเรื่องเศร้า ซึ่งยังไม่เจ็บเท่า การที่พวกเขาโหวตออกกฎหมายนิรโทษให้คนปิดเมือง ยึดสนามบิน คนสนับสนุนรัฐประหาร ข้อหากบฏ ไม่ว่าจะข้อหาเล็กหรือใหญ่ พวกนั้นได้หมดเลย สบายกันหมดเลย


รู้ผลอยู่แล้ว ตั้งแต่วันแรกที่คิดจะทำ แต่ก็เสียใจอยู่ดี เสียใจที่เพื่อนไม่ได้ออกจากเรือนจำ เสียใจที่ไม่ได้พาเพื่อนกลับบ้าน #นิรโทษกรรมประชาชน - May Poonsukcharoen

https://www.facebook.com/eggcatcheese/posts/1131464042468483

ไข่แมวชีส added photos to the album: 21 ต.ค. 68 เครือข่ายนิรโทษกรรม ยื่นหนังสือรัฐสภา
12 hours ago
·
เครือข่ายนิรโทษกรรมประชาชน ยื่นหนังสือถึงพรรคประชาชน-เพื่อไทย-ภูมิใจไทย ส่งเสียง “นิรโทษกรรมต้องรวมมาตรา 110-112” ก่อนสภาเริ่มพิจารณา พ.ร.บ.สร้างเสริมสังคมสันติสุข วาระสอง
.
21 ต.ค. 2568 เวลา 10.45 น. ที่รัฐสภา เครือข่ายนิรโทษกรรมนัดหมายรวมตัวใส่เสื้อสีดำยื่นหนังสือต่อพรรคประชาชน พรรคเพื่อไทย และพรรคภูมิใจไทย เพื่อส่งเสียงยืนยันและย้ำว่า “นิรโทษกรรมต้องรวมมาตรา 112 และมาตรา 110” ก่อนที่ช่วงบ่ายของวันนี้สภาผู้แทนราษฎรจะมีการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.สร้างเสริมสังคมสันติสุข หรือ “กฎหมายนิรโทษกรรมคดีทางการเมือง” ในวาระที่สอง หลังผ่านการพิจารณาจากคณะกรรมาธิการ ซึ่งในการประชุมครั้งนี้จะมีการโหวตใหม่ในประเด็นที่ยังมี สส. ผู้ไม่เห็นด้วยสงวนไว้ ซึ่งถือเป็นจังหวะสำคัญที่จะส่งผลโดยตรงต่อสถานการณ์ผู้ต้องขังคดีการเมือง เพราะในขั้นนี้จะเป็นโอกาสให้การนิรโทษกรรมต้องรวมถึงผู้ถูกกล่าวหาตามมาตรา 112 และ 110
.
ศศินันท์ ธรรมนิฐินันท์ สส.พรรคประชาชน กล่าวว่าวันนี้เป็นอีกวันที่ต้องติดตามการอภิปราย หลายคนอาจเข้าใจว่าการนิรโทษกรรมคดีมาตรา 112 อาจจบลงไปแล้ว แต่ยังมีหวังในการนิรโทษกรรมคดีมาตรา 112 ให้กับเยาวชนอาจเกิดขึ้น ซึ่งในการเจรจากับหลาย ๆ พรรคก็เห็นว่ามีแนวโน้มไปในทางที่ดีว่าการนิรโทษกรรมคดีมาตรา 112 ให้กับเยาวชนอาจเกิดขึ้นจากการโหวตในมาตรา 3 พรรคประชาชนและพรรคเพื่อไทยยังมีความเชื่อมั่นว่าเราสามารถปลดล็อคสถานการณ์การเมืองนี้ได้ ไม่ใช่แค่การนิรโทษกรรมอย่างเดียว แต่รวมถึงมาตรการอื่น ๆ ที่จะช่วยให้ผู้ต้องขังทางการเมืองออกมาใช้ชีวิตได้ อย่างสิทธิประกันตัว การชะลอฟ้อง หรือการยุติดำเนินคดีในช่วงที่รอนิรโทษกรรม วันนี้สภาจะมีมติในเรื่องนี้อย่างไร อยากฝากให้ประชาชนติดตาม
.
พนิดา มงคลสวัสดิ์ สส.พรรคประชาชน กล่าวว่าในมาตรา 3 เขียนไว้ชัดเจนว่าจะไม่นิรโทษกรรมคดีมาตรา 112 ซึ่งอาจเป็นข้อสังเกตได้ว่าจะไม่สามารถนำไปสู่เป้าหมายปลายทางที่ต้องการสร้างเสริมสังคมสันติสุขตามเจตนารมณ์ของกฎหมายฉบับนี้ได้หากยังมีคนบางกลุ่มได้รับนิรโทษกรรม และคนบางกลุ่มถูกทิ้งไว้ในเรือนจำ ซึ่งเป็นกลุ่มที่ได้รับผลกระทบจากความขัดแย้งทางการเมืองตลอดกว่า 20 ปีที่ปีผ่านมา จึงอยากชวนทุกท่านติดตามการพิจารณาในอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้า ซึ่งจะเป็นการตัดสินใจของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และเสียงของประชาชนมีผลต่อการโหวตของ สส. ว่าต้องการยุติความขัดแย้งนี้หรือไม่
.
รังสรรค์ มณีรัตน์ สส.พรรคเพื่อไทย กล่าวว่าตนเพิ่งได้รับทราบเมื่อครู่นี้ว่าได้มีการพูดคุยกับตัวแทนของพรรคเพื่อไทยแล้วในเรื่องมาตรา 3 ซึ่งผลจะออกมาอย่างไรต้องติดตามดู ตัวผมเคยผ่านการต่อสู้ ติดคุก จนคดียกฟ้อง รู้สึกเห็นใจว่าผู้ถูกกระทำในวันนี้สมควรจะได้รับการดูแลจากกฎหมายฉบับนี้
#นิรโทษกรรม




Yingcheep Atchanont
8 hours ago
·
ข้อเสนอ #นิรโทษกรรมประชาชน ถูกโหวตคว่ำไปในเดือนก.ค.
ในทางกฎหมาย วันนั้นยังไม่นับว่าประตูปิดตาย แต่วันนี้จบแล้วจริง
วาระสามโหวตไปเมื่อกี้นี้ ไม่มีอะไรผ่านที่จะปล่อยเพื่อนได้เลย
พี่อานนท์ เก็ท ไผ่ ใหญ่ พรชัย บาส ฯลฯ ยังไม่รู้ได้ออกวันไหน
เศร้า ที่ต้องนั่งดูพวกเขาปิดประตูใส่ ครั้งแล้วครั้งเล่า ขณะที่ปากบอกว่า "เข้าใจ" แต่ไม่ให้
สถานการณ์คนติดคุกเป็นเรื่องเศร้า ซึ่งยังไม่เจ็บเท่า การที่พวกเขาโหวตออกกฎหมายนิรโทษให้คนปิดเมือง ยึดสนามบิน คนสนับสนุนรัฐประหาร ข้อหากบฏ ไม่ว่าจะข้อหาเล็กหรือใหญ่ พวกนั้นได้หมดเลย สบายกันหมดเลย

สภาฯ ปิดช่องนิรโทษกรรมคดี ม. 112 แบบมีเงื่อนไข-คดีเยาวชน ศศินันท์ผิดหวังคดีปิดสนามบินของผู้ใหญ่ยังไม่ถกรายละเอียดเท่านี้


THE STANDARD 
6 hours ago
·
UPDATE: สภาฯ ปิดช่องนิรโทษกรรมคดี ม. 112 แบบมีเงื่อนไข-คดีเยาวชน ศศินันท์ผิดหวังคดีปิดสนามบินของผู้ใหญ่ยังไม่ถกรายละเอียดเท่านี้
.
วันนี้ (21 ตุลาคม) ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ครั้งที่ 32 สมัยสามัญประจำปีครั้งที่ 1 วาระพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) สร้างเสริมสังคมสันติสุข พ.ศ. … หรือร่างกฎหมายว่าด้วยการนิรโทษกรรมคดีการเมือง ที่คณะกรรมาธิการพิจารณาเสร็จแล้ว
.
ระหว่างการพิจารณามาตรา 3 ซึ่งกรรมาธิการเสียงข้างน้อยได้สงวนความเห็นเรื่องการนิรโทษกรรมคดีมาตรา 112 อย่างมีเงื่อนไข และการนิรโทษกรรมคดีของเยาวชนที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปี แต่ สส. พรรคภูมิใจไทย ได้ลุกขึ้นคัดค้าน เนื่องจากเกรงว่าการแก้ไขของกรรมาธิการเสียงข้างน้อยอาจขัดต่อหลักการของร่างกฎหมายของพรรคภูมิใจไทย จึงได้มีการพักประชุมชั่วคราวเพื่อให้แต่ละฝ่ายได้หารือกัน
.
หลังพักการประชุมไปประมาณ 1 ชั่วโมง ที่ประชุมได้กลับมาพิจารณาอีกครั้ง ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ประธานกรรมาธิการฯ ได้เปิดเผยผลการหารือนอกรอบระหว่างกรรมาธิการเสียงข้างมาก วิปรัฐบาล และวิปฝ่ายค้าน เบื้องต้นได้ข้อยุติตรงกันเรื่องมาตรา 3 ที่เกี่ยวเนื่องกับมาตรา 9/1 ว่า จะปรับถ้อยคำในมาตรา 9/1
.
ณัฐวุฒิสรุปว่า ดังนั้น บทบัญญัติตามมาตรา 3 ก็จะเป็นไปตามมติของกรรมาธิการเสียงข้างมากแต่เดิม ส่วนมาตรา 9/1 ก็จะเป็นไปตามความเห็นชอบของที่ประชุมสภาฯ ที่ได้มีการหารือและได้ข้อยุติเมื่อสักครู่นี้
.
จากนั้น ศศินันท์ ธรรมนิฐินันท์ สส. กทม. พรรคประชาชน ในฐานะกรรมาธิการเสียงข้างน้อย ยังคงติดใจในประเด็นที่ได้สงวนความเห็นไว้อยู่ โดยอภิปรายว่า ความแตกต่างระหว่างมาตรา 3 และมาตรา 9/1 คือในมาตรา 3 เราต้องการจากนิรโทษกรรมให้เยาวชนที่อายุต่ำกว่า 18 ปี โดยไม่ได้ระบุว่าจะอยู่ในขั้นตอนใดก็ตาม ทั้งชั้นศาล อัยการ ตำรวจ หรือนำคดีเก่ามาฟ้องในภายหลัง เพราะเราเห็นว่าไม่จำเป็นจะต้องมาลงรายละเอียดกับคดีของเยาวชนขนาดนั้น
.
"ตอนที่เราพยายามถกเถียงกันในเรื่องคดีปิดสนามบิน การคืนสิทธิ์ล้มละลายต่างๆ การระงับค่าเสียหายต่างๆ หรือการกระทำของผู้ใหญ่ที่หนักกว่าตั้งเยอะ เราไม่เห็นต้องมานั่งถกเถียงกันถึงเรื่องเงื่อนไขต่างๆ แบบนี้เลย ดิฉันรู้สึกผิดหวังที่ท้ายสุดเราก็ต้องมาหาทางออกกันแบบอ้อมๆ เลียบๆ เคียงๆ กันอยู่ดี และเราแทบจะไม่ได้ถามด้วยซ้ำว่าสุดท้ายแล้วผู้ที่ได้ผลประโยชน์จาก พ.ร.บ. นี้ เขาต้องการอย่างไรกันแน่" ศศินันท์กล่าว
.
ศศินันท์กล่าวอีกว่า เราจะเสริมสร้างสังคมสันติสุขไม่ได้เลย ถ้าเรายังมองคนอีกกลุ่มหนึ่งเป็นคนตรงข้ามกับเราอยู่อย่างทุกวันนี้ เรายังคงพยายามหาทางเลี่ยงบาลี แม้กระทั่งคำว่านิรโทษกรรมให้กับเยาวชนด้วยซ้ำ และยังยืนยันว่ามาตรา 3 ที่ได้สงวนความเห็นไว้ ไม่ได้ขัดต่อหลักการใดๆ ความสำเร็จในการนิรโทษกรรมหรือสร้างเสริมสังคมสันติสุข ต้องอาศัยความกล้าหาญของพวกท่าน ไม่จำเป็นต้องมีเงื่อนไขใดๆ ตนเองอาจถูกมองเป็นเด็กดื้อในสายตาของพวกท่าน แต่ขอยืนยันความเห็นที่ได้แก้ไขในมาตรา 3 ไว้เช่นเดิม
.
จากนั้น ที่ประชุมสภาฯ ได้ลงมติเห็นชอบกับการแก้ไขของกรรมาธิการเสียงข้างมาก ด้วยคะแนนเสียง 184 เสียง และไม่เห็นชอบกับการแก้ไขของกรรมาธิการเสียงข้างน้อย ที่ให้มีการนิรโทษกรรมคดี มาตรา 112 อย่างมีเงื่อนไข และการนิรโทษกรรมให้เยาวชนอายุต่ำกว่า 18 ปี ด้วยคะแนนเสียง 133 เสียง งดอออกเสียง 1 เสียง
.
แฟ้มภาพ: ศวิตา พูลเสถียร
.
#TheStandardNews

https://www.facebook.com/photo/?fbid=1168989145360427&set=a.586524703606877
.....

https://www.facebook.com/commonmuze/posts/1252295876942329




"ลึกๆ แล้วคนจำนวนมากผิดหวังกับระบบยุติธรรมที่เป็นอยู่ เราเลยชอบฮีโร่แบบโรบินฮูดหรือแบทแมน ฉะนั้นความยุติธรรมแบบศาลเตี้ยก็เป็นความยุติธรรมแบบหนึ่งของคนที่อาจจะรู้สึกสิ้นหวัง" วันโอวันชวนมองเรื่อง ‘ความยุติธรรม’ ในมุมมองนิติปรัชญาผ่านบทสนทนากับ ศ.จรัญ โฆษณานันท์ อดีตอาจารย์คณะนิติศาสตร์ ม.รามคำแหง


The101.world 
17 hours ago
·
ภาวะที่ ‘ความยุติธรรมในกฎหมาย’ และ ‘ความยุติธรรมในสังคม’ ตั้งอยู่ห่างไกลกันจะยิ่งบั่นทอนศรัทธาต่อกระบวนการยุติธรรม
.
คำถามคือสังคมไทยพร้อมยอมรับปัญหาเพียงใดและกระบวนการยุติธรรมไทยพร้อมปรับตัวแค่ไหน
.
วันโอวันชวนมองเรื่อง ‘ความยุติธรรม’ ในมุมมองนิติปรัชญาผ่านบทสนทนากับ ศ.จรัญ โฆษณานันท์ อดีตอาจารย์คณะนิติศาสตร์ ม.รามคำแหง
.
กฎหมายและความยุติธรรมคือสิ่งเดียวกันหรือไม่ เหตุใดมนุษย์มีมุมมองต่อความยุติธรรมแตกต่างกัน การลงโทษรุนแรงคือความยุติธรรมจริงไหม และมีหนทางใดที่จะลดช่องว่างความยุติธรรมระหว่างระบบกฎหมายกับสังคม
.
อ่านได้ที่: https://www.the101.world/jaran-cosananand-interview/
.
“คนไทยมักมองเรื่องคนเป็นหลัก เช่นเรื่องการเลือกปฏิบัติหรือปิดตาข้างเดียว แต่ไม่มองเรื่องโครงสร้างและระบบที่มีอิทธิพลต่อการกระทำของคน”
.
“ผมคิดว่าลึกๆ แล้วคนจำนวนมากผิดหวังกับระบบยุติธรรมที่เป็นอยู่ เราเลยชอบฮีโร่แบบโรบินฮูดหรือแบทแมน ฉะนั้นความยุติธรรมแบบศาลเตี้ยก็เป็นความยุติธรรมแบบหนึ่งของคนที่อาจจะรู้สึกสิ้นหวัง … แต่มันไม่ใช่คำตอบที่ถูกต้องหรือยั่งยืน ”
.
“รัฐไทยในปัจจุบันเป็นนิติรัฐใช่หรือไม่ ... ถ้าเป็นเรื่องความขัดแย้งส่วนตัวอาจมีความเป็นนิติรัฐอยู่ แต่ถ้าเป็นเรื่องการเมืองการปกครองอาจจะไม่ใช่แล้ว มันเป็นรัฐซ้อน รัฐอภิสิทธิ์ หรือทวิรัฐที่คลุกเคล้ากันระหว่างอำนาจอภิสิทธิ์กับอำนาจทางกฎหมาย”
.
“การแก้ปัญหาไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะมีประเด็นเชิงความคิดและวัฒนธรรม ที่สำคัญคือมีเรื่องการเมืองและอำนาจเข้ามาเกี่ยวข้อง ทำให้เกิดการบิดเบี้ยวของกระบวนการยุติธรรมจนยากในการปรับตัว มองจากนิติปรัชญาแนววิพากษ์ กฎหมายแยกไม่ออกจากการต่อสู้เชิงอุดมการณ์ในสังคม”
.
“ถ้าปัญหามาจากโครงสร้างก็ต้องแก้เรื่องความคิด หลักนิติธรรมไม่ใช่คำตอบสำเร็จรูป ไม่ใช่สิ่งที่ดีเลิศหรือประเสริฐที่สุด แต่อาจเป็นเครื่องมือของบางคนที่เอามาใช้จนถูกมองว่าสองมาตรฐานหรือไม่เสมอภาคทางกฎหมาย”
.
เรื่อง: วจนา วรรลยางกูร
ภาพถ่าย: ธีรพัฒน์ แก้วชำนาญ
.
TIJ x 101
.
#The101world #คำพิพากษานอกศาล #TIJ

https://www.facebook.com/photo/?fbid=1360352905459512&set=a.523964959098315


อ่านต่อ
https://www.the101.world/jaran-cosananand-interview/


สภาฯไม่นิรโทษกรรม จำเลยคดีมาตรา 112 จำนวน 30 คน จำเลยคดีมาตรา 110 จำนวน 5 คน และ จำเลยคดีที่มี “ข้อกล่าวหา” เกี่ยวกับความผิดต่อชีวิตจำนวน 9 คน ยังคงต้องถูกจองจำต่อไป


iLaw
6 hours ago
·
21 ตุลาคม 2568 สภาผู้แทนราษฎรมีมติเห็นชอบร่างพ.ร.บ.สร้างเสริมสังคมสันติสุขในวาระ 2-3 ในมาตรา 3 ระบุชัดเจนว่า มิให้มีผลนิรโทษกรรมแก่การการกระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 และในบัญชีท้ายของร่างพ.ร.บ.ไม่ได้รวมความผิดตามมาตรา 112 ไว้ ซึ่งทำให้ผู้ถูกกล่าวหาตามมาตรา 112 จำนวน 284 คนจะไม่ได้รับผลนิรโทษกรรมจากร่างกฎหมายฉบับนี้ นอกจากนี้ในบัญชีท้ายยังไม่รวมความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 110 และความผิดต่อชีวิต
:
เมื่อพิจารณาฐานความผิดในบัญชีท้าย จำเลยคดีการเมืองที่ถูกคุมขังในเรือนจำทั้ง 57 จะมีผู้ได้รับการนิรโทษกรรม 13 คนเท่านั้น ได้แก่ ประวิตร คเชนทร์ ขจรศักดิ์ ธีรภัทร วิจิตร ป๋าเจมส์ พิชัย ฐาปนา เมธี วีรวัฒน์ พีรพงศ์ วชิระ และจักรี โดยจักรีจะได้รับอภัยโทษและออกจากเรือนจำในวันพรุ่งนี้ (22 ตุลาคม 2568) อยู่แล้ว
:
ขณะที่จำเลยคดีมาตรา 112 จำนวน 30 คน จำเลยคดีมาตรา 110 จำนวน 5 คนและจำเลยคดีที่มี “ข้อกล่าวหา” เกี่ยวกับความผิดต่อชีวิตจำนวน 9 คนยังคงต้องถูกจองจำต่อไป

https://www.facebook.com/photo?fbid=1233800442126906&set=a.625664036273886



รัฐบาลไทยประกาศให้การปราบปรามการหลอกลวงทางออนไลน์ หรือสแกมเมอร์ เป็น “วาระแห่งชาติ” นอกจากการตั้งคณะกรรมการไปแล้ว 2 ชุด ยังไม่มีการชี้แจงมาตรการที่เป็นรูปธรรมออกมา



รัฐบาล "อนุทิน" ทำอะไรบ้าง ก่อนประกาศ "วาระแห่งชาติ" ปราบปรามสแกมเมอร์

เมื่อ 9 ชั่วโมงที่แล้ว
บีบีซีไทย

รัฐบาลไทยประกาศให้การปราบปรามการหลอกลวงทางออนไลน์ หรือสแกมเมอร์ (Scammer) เป็น "วาระแห่งชาติ" แต่ยังไม่มีการชี้แจงมาตรการที่เป็นรูปธรรมออกมา นอกจากการตั้งคณะกรรมการไปแล้ว 2 ชุด

ในระหว่างประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ช่วงเช้าวันนี้ (21 ต.ค.) นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี และ รมว.มหาดไทย แจ้งให้ที่ประชุมรับทราบถึงผลการประชุมคณะกรรมการอำนวยการป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดอาชญากรรมทางเทคโนโลยี และขอให้บรรจุเรื่องการปราบปรามสแกมเมอร์เป็น "วาระแห่งชาติ"

นายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี คือผู้ออกมาแถลงเรื่องนี้ ทว่ายังไม่มีการให้รายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับมาตรการดำเนินการ

เขายังกล่าวด้วยว่า ในระหว่างที่ โรเบิร์ต เอฟ. โกเดค เอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทย เข้าพบนายอนุทินในเช้าวันเดียวกันนี้ นายกฯ ได้ขอรับความร่วมมือจากสหรัฐฯ โดยเฉพาะการแลกข้อมูลเครือข่ายสแกมเมอร์ ซึ่งก็ได้รับการตอบรับ และนัดหมายกันว่าต้นเดือน พ.ย. จะมีทีมดูแลเรื่องสแกมเมอร์มาหารือกับนายกฯ เพื่อกำหนดแนวทางความร่วมมือด้านการปรามปรามอย่างเป็นรูปธรรมต่อไป

ส่วนกรณีที่สหรัฐฯ จะเข้ามาเป็นผู้สังเกตการณ์การเจรจาคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (General Border Committee - GBC) ไทย-กัมพูชา และคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม (Joint Boundary Commission – JBC) ไทย-กัมพูชา นายอนุทินมีท่าทีชัดเจนว่าประเทศไทยยึดตามเงื่อนไข 4 ข้อ

"หากไม่มีการดำเนินการอย่างจริงใจจากกัมพูชา ข้อตกลงสันติภาพที่คาดหวังว่าจะเกิด ก็จะไม่เกิดขึ้นในมาเลเซีย" โฆษกรัฐบาลกล่าวอ้างคำพูดที่นายกฯ อนุทินบอกกับทูตสหรัฐฯ

1 ใน 4 เงื่อนไขในการพูดคุยสันติภาพระหว่างไทย-กัมพูชาคือ การปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (Cyber Scam) อย่างเป็นรูปธรรม

ที่ผ่านมา รัฐบาล "อนุทิน" ถูกวิจารณ์ว่าไม่มีมาตรการเชิงรุกในการปราบปรามแก๊งสแกมเมอร์ ขบวนการฟอกเงิน และอาชญากรรมข้ามชาติ โดยพรรคเพื่อไทย (พท.) ออกแถลงการณ์เมื่อ 16 ต.ค. เรียกร้องให้รัฐบาลยกระดับ "ปราบปรามสแกมเมอร์อย่างจริงจัง ไม่ใช่เพียงแค่การทำงานตามกระแส หรือหวังผลทางการเมืองและคะแนนนิยมเท่านั้น"

1 ใน 7 ข้อเสนอจากพรรค พท. คือให้ดำเนินมาตรการ "3 ตัด" คือ ตัดไฟ ตัดอินเทอร์เน็ต และตัดการขนส่งน้ำมัน เพื่อสกัดสแกมเซ็นเตอร์ตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา โดยอาจพิจารณายกระดับจากโมเดลความร่วมมือระหว่างประเทศไทย-จีน-เมียนมา ที่ประสบความสำเร็จมาแล้วในสมัยรัฐบาล น.ส.แพทองธาร ชินวัตร

อนุทินแจงทำงานเต็มที่ แต่ "ขาดการประชาสัมพันธ์"

วานนี้ (20 ต.ค.) นายอนุทินเรียกประชุมคณะกรรมการอำนวยการป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดอาชญากรรมทางเทคโนโลยีครั้งแรก โดยมีรัฐมนตรีและผู้บริหารหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วม อาทิ กระทรวงการคลัง การกระทรวงยุติธรรม กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) กระทรวงกลาโหม สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) สำนักข่าวกรองแห่งชาติ สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.)

นายอนุทินเน้นย้ำให้ทุกหน่วยรับทราบว่าขณะนี้ปัญหาสแกมเมอร์เป็นปัญหาอาชญากรรมระดับโลก รัฐบาลต้องถือว่าเรื่องนี้เป็น "วาระแห่งชาติ" โดยทุกหน่วยงานจะบูรณาการความร่วมมือเพื่อแก้ไขปัญหานี้


นายกฯ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการอำนวยการป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ที่ทำเนียบรัฐบาล เมื่อ 20 ต.ค.

ผู้นำรัฐบาลไทยได้รับทราบรายงานว่าหน่วยงานทำงานอย่างเต็มที่ มีบันทึกการจับกุม ยึดทรัพย์สิน ยึดเงิน ดำเนินคดีผู้กระทำผิดจำนวนมาก มูลค่าเงินระดับหมื่นล้านบาท เพียงแต่ขาดการประชาสัมพันธ์ เพราะต่างคนก็ต่างทำงาน พร้อมยืนยันว่า "รัฐบาลไม่ได้อยู่นิ่งเฉย จะดำเนินการสั่งให้เข้มข้นมากขึ้น"

นอกจากนี้นายอนุทินยังพูดถึง "ยาแรง" ที่จะใช้จัดการกับเครือข่ายสแกมเมอร์ว่าได้สั่งให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง "ตัดสัญญาณอินเทอร์เน็ตโดยไม่ต้องรอ" เพื่อหยุดการให้บริการ หรือให้การสนับสนุน หรือหยุดซัพพลายของสิ่งที่จะไปทำให้คนทำผิดกฎหมายได้ทันที ทั้งนี้เลขาธิการ สมช. ยืนยันว่าสามารถตัดระบบหรือปิดสัญญาณที่เป็นการสนับสนุนการกระทำผิดกฎหมายได้โดยไม่ต้องขอมติจาก สมช. อีก เนื่องจากมีมติเดิมครอบคลุมอยู่แล้ว

อย่างไรก็ตาม นายกฯ ไม่ได้ระบุชัดเจนว่าจะตัดสัญญาณอินเตอร์เน็ตที่พื้นที่ใด โดยบอกเพียงว่า "ตอนนี้หลัก ๆ ฝั่งขวาก่อน"

ทว่าโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีได้ขยายความเรื่องนี้ โดยกล่าวว่า มีการตัดสัญญาณที่ส่งไปยังเมืองปอยเปต ประเทศกัมพูชา ตั้งแต่ที่มีการเกิดสถานการณ์ชายแดน รวมถึงฝั่งประเทศเมียนมา ซึ่งมีการร้องเรียนเรื่องสแกมเมอร์

นายกฯ พูดถึง "เบน สมิธ" อย่างไร

ผู้สื่อข่าวถามว่า มีข้อมูลอะไรที่นายกฯ ยังไม่เคยทราบและตกใจบ้าง นายอนุทินกล่าวว่า มีผู้กระทำผิดที่ถือสัญชาติไทย แต่ก็ยังถือสัญชาติอื่นอยู่ด้วย "จำได้หรือไม่ที่ผม ไม่ยอมเซ็นสัญชาติให้ใคร เพราะเขาขณะนั้นยังถืออยู่หลายสัญชาติ ซึ่งได้สั่งการให้ปลัดกระทรวงมหาดไทยและอธิบดีกรมการปกครองไปดำเนินการเรื่องถือ 2 สัญชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่มาขอสัญชาติไทยแล้วยังถือสัญชาติอื่นอยู่ มันไม่ต้องไปดูพฤติกรรมอื่น ตรงนี้ถือว่าผิดอยู่แล้ว ฉะนั้นเราจะดำเนินการถอนสัญชาติเขา อันนี้แรงหรือยัง"

นายกฯ ยอมรับด้วยว่า บุคคลดังกล่าว "เชื่อมโยง" กับสแกมเมอร์และเครือข่าย

ส่วนกรณีที่ น.ส.สฤณี อาชวานันทกุล ผู้เชี่ยวชาญทางการเงิน ออกมาเปิดเผยข้อมูลแผนผังว่ามีการเชื่อมโยงกับนายเบนจามิน เมาเออร์เบอร์เกอร์ เพื่อให้มีการตรวจสอบว่าเกี่ยวข้องกับการฟอกเงินและแก๊งคอลเซ็นเตอร์หรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า ไม่ได้อ่าน และในที่ประชุมไม่ได้มีการพูดคุยถึงเรื่องนี้ แต่ย้ำว่า "ถ้าโยงถึงใคร คนนั้นก็โดน"

ก่อนหน้านี้เมื่อ 26 ส.ค. นายอนุทินเคยให้สัมภาษณ์ถึงการไม่ลงนามอนุมัติให้สัญชาติไทยแก่นายเบนจามิน เมาเออร์เบอร์เกอร์ หรือที่รู้จักในชื่อ "เบน สมิธ" นักธุรกิจชาวแอฟริกาใต้ ผู้เป็นนายหน้าขายเครื่องบินให้กับนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี โดยระบุว่า ขณะนั้นเอกสารหลักฐานยังไม่ครบ ขั้นตอนยังไม่ถึงมือ รมว.มหาดไทย เพราะเอกสารยังไม่สมบูรณ์ และต้องผ่านกรมการปกครอง สำนักงานปลัดกระทรวงมหาดไทย ก่อนที่จะถึงมือ มท.1 แต่พอสำนักงานปลัดเห็นว่าหลักฐานไม่ครบ ก็ไม่สามารถเสนอรัฐมนตรีได้ ซึ่งเป็นขั้นตอนและวิธีการปกติ

นายกฯ คนที่ 32 ยังตอบคำถามผู้สื่อข่าวที่ว่าเคยโดนสแกมเมอร์หรือไม่ โดยบอกว่า "ผมเคยโดนพวกที่เขาโทรศัพท์มาคุย ผมก็พูดคุยกับเขา เสียงหวานดี"

นายอนุทินไม่ใช่ผู้นำคนแรกที่ออกมาเปิดเผยว่าตนเองได้รับการติดต่อจากเครือข่ายหลอกลวงออนไลน์ เพราะเมื่อ 15 ม.ค. น.ส.แพทองธาร ชินวัตร อดีตนายกฯ คนที่ 31 เคยเล่าเหตุการณ์ถูกแก๊งคอลเซ็นเตอร์ใช้เอไอปลอมเสียงเป็นผู้นำประเทศหนึ่งหลอกให้โอนเงินบริจาคให้

"หากมีโอกาสจะมีการแถลงข่าว" วรภัคระบุ หลังมีชื่อโยงสแกมเมอร์


วรภัค ธันยาวงษ์​ เคยชี้แจงกลางรัฐสภาเมื่อ 30 ก.ย. หลังถูกฝ่ายค้านอภิปรายพาดพิง โดยบอกว่า ทำงานมา 30 ปี ไม่เคยมีประวัติด่างพร้อย "เราไม่สนับสนุนการทำธุรกรรมที่ผิดกฎหมายใดๆ ทั้งสิ้น รวมทั้งธุรกรรมฟอกเงิน"

กับกระแสข่าวการแต่งตั้งนายวรภัค ธันยาวงษ์ รมช.คลัง เป็นประธานคณะกรรมการเพื่อตรวจสอบเส้นทางการเงิน แกะรอยหาความเชื่อมโยงถึงแก๊งคอลเซ็นเตอร์ กลุ่มวิชาชีพ หรือเครือข่ายเงินทุนสีเทานั้น นายกฯ ปฏิเสธว่า "ยังไม่มีชื่อใครเลย" มอบหมายให้อธิบดีกรมการปกครอง ในฐานะเลขานุการคณะกรรมการอำนวยการฯ ไปรวบรวมรายชื่อและยกร่างคำสั่งเพื่อให้นายกฯ ลงนามแต่งตั้งต่อไป

นายวรภัคถูกเชื่อมโยงว่าเป็น 1 ใน 7 นักการเมืองที่เกี่ยวข้องกับสแกมเมอร์ในกัมพูชา ซึ่งเจ้าตัวตอบคำถามผู้สื่อข่าวเมื่อ 20 ต.ค. ว่า ไม่เคยทำงานหรือรับค่าตอบค่าตอบแทนใด ๆ กับบริษัท บีไอซีกรุ๊ป (BIC Group) กลุ่มทุนการเงินขนาดใหญ่ของกัมพูชา แต่ยอมรับว่าเคยพบกับนายยิม เลียก ประธานกรรมการบริษัท บีไอซีกรุ๊ป จริง เนื่องจากนายยิม เลียก ขอรับคำปรึกษาในการตั้งธนาคารในกัมพูชา ซึ่งเขาได้ให้คำปรึกษาเช่นเดียวกับสถาบันทางการเงินในต่างประเทศอื่น ๆ

"มีคนเคยพามาแนะนำว่า เขาจะตั้งแบงก์ ขอคำปรึกษา ผมก็ให้คำปรึกษาด้วยวาจาแค่นั้นเอง และผมเองตั้งแต่ออกจากธนาคารกรุงไทย แมคเคนซีก็ให้ผมเป็นที่ปรึกษา แบงก์ต่าง ๆ หลายแบงก์ ทั้งในอินโดนีเซีย ทั้งในเวียดนามก็มีเยอะแยะ" นายวรภัคกล่าว

ทั้งนี้ นายยิม เลียก ชายชาวกัมพูชา เป็นผู้ที่อยู่ในบัญชีผู้จะถูกดำเนินการมาตรการคว่ำบาตรในร่างกฎหมายปราบปรามกลุ่มอาชญากรข้ามชาติของสหรัฐฯ

นายรังสิมันต์ โรม สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) ความมั่นคงแห่งรัฐ กิจการชายแดนไทย ยุทธศาสตร์ชาติและการปฏิรูปประเทศ ได้แชร์ข่าวการแต่งตั้ง รมช.คลัง เป็นประธานคณะทำงานปราบปรามแก๊งสแกมเมอร์ พร้อมระบุว่า "ถ้าข่าวนี้เป็นจริง บ้ามาก บ้าไปแล้ว นี่คือการตบหน้าประชาชนอย่างชัดเจน การกระทำแบบนี้ของรัฐบาลนายอนุทินไม่ต่างอะไรกับการให้ความช่วยแก๊งสแกมเมอร์ให้รอดพ้นจากการถูกกำจัด น่าผิดหวัง น่าผิดหวังจริง ๆ"

3 สัปดาห์ที่ผ่านมา รัฐบาลทำอะไรไปบ้าง
  • 29 ก.ย. รัฐบาลแถลงนโยบายต่อรัฐสภา
  • 30 ก.ย. 2 สส. พรรคประชาชน (ปชน.) นายรังสิมันต์ โรม และนายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร อภิปรายชี้ให้เห็นความเชื่อมโยงระหว่างนักการเมืองในรัฐบาลทั้งในอดีตและปัจจุบัน กับที่ปรึกษาสมเด็จฮุน เซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา ซึ่ง สส. ฝ่ายค้านกล่าวหาว่าชาวต่างชาติรายนี้มีส่วนพัวพันกับการฟอกเงินและเครือข่ายสแกมเมอร์ในกัมพูชา
  • 15 ต.ค. นายกฯ ลงนามในคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการอำนวยการป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดอาชญากรรมทางเทคโนโลยี โดยนั่งเป็นประธานเอง (คณะกรรมการชุดที่ 1)
  • 17 ต.ค. กระทรวงการคลังตั้งทีม Connect the Dots ประสานหน่วยงานเกี่ยวข้องเร่งตรวจสอบที่มาแหล่งเงิน อุดช่องสกัดเงินเทา และสแกมเมอร์ข้ามชาติ (คณะกรรมการชุดที่ 2)
  • 19 ต.ค. นายกฯ เปิดเผยว่า มอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศและสถานเอกอัครราชทูตไทยประจำกรุงโซล ประเทศเกาหลีใต้ ตรวจสอบกรณีสื่อสังคมออนไลน์เปิดข้อมูลว่า 7 นักการเมืองไทยเกี่ยวข้องกับแก๊งสแกมเมอร์ในกัมพูชา
  • 20 ต.ค. นายกฯ เรียกประชุมคณะกรรมการอำนวยการป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดอาชญากรรมทางเทคโนโลยีนัดแรก ก่อนประกาศให้การปราบปรามสแกมเมอร์เป็น "วาระแห่งชาติ"
  • 21 ต.ค. นายกฯ แจ้ง ครม. ขอให้บรรจุเรื่องการปราบปรามสแกมเมอร์เป็น "วาระแห่งชาติ"

https://www.bbc.com/thai/articles/c5yp98pp9keo


มาตรา 112 เส้นแดงทางอำนาจในเกมนิรโทษกรรมไทย : การเมืองของความกลัวและการปรองดองที่ไม่สมบูรณ์



มาตรา 112: เส้นแดงทางอำนาจในเกมนิรโทษกรรมไทย

มาตรา 112 ยังคงเป็นเส้นแดงทางอำนาจที่ฝ่ายการเมืองไทยไม่อาจข้ามได้ แม้ในนามของการปรองดองและสังคมสันติสุข การกันคดีนี้ออกจากร่างกฎหมายนิรโทษกรรมสะท้อนให้เห็นถึงโครงสร้างอำนาจที่ยังผูกพันกับแนวคิด “ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์” อย่างลึกซึ้ง ในท้ายที่สุด ความพยายามสร้างสันติสุขจึงอาจไม่อาจเกิดขึ้นได้ หากสังคมยังไม่กล้าเผชิญกับคำถามเกี่ยวกับเสรีภาพและความเท่าเทียมทางการเมือง

112Watch: October 21, 2025

การพิจารณาร่าง พ.ร.บ.สร้างเสริมสังคมสันติสุข หรือที่สื่อเรียกว่า “ร่างกฎหมายนิรโทษกรรม” ในชั้นกรรมาธิการวิสามัญ กลายเป็นเวทีที่สะท้อนความซับซ้อนของการเมืองไทยในยุคหลังความขัดแย้งการเมืองยืดเยื้อกว่าสิบปี ร่างกฎหมายฉบับนี้มีเป้าหมายเพื่อคลี่คลายปัญหาทางการเมือง และสร้างบรรยากาศแห่ง “การปรองดอง” แต่แทนที่จะเป็นเครื่องมือเยียวยาความขัดแย้ง กลับกลายเป็นกระจกสะท้อน “เส้นแดงทางอำนาจ” ที่ฝ่ายการเมืองไทยยังไม่อาจข้ามได้ โดยเฉพาะเมื่อพูดถึงมาตรา 112 แห่งประมวลกฎหมายอาญา

จุดเริ่มต้นของความอ่อนไหว

มาตรา 112 หรือ “กฎหมายหมิ่นพระมหากษัตริย์” เป็นประเด็นที่ผูกพันกับอำนาจรัฐไทยอย่างลึกซึ้ง การดำรงอยู่ของกฎหมายนี้มิได้เป็นเพียงเครื่องมือปกป้องสถาบัน แต่ยังทำหน้าที่เป็น “กลไกควบคุมทางการเมือง” ที่มีพลังสูงสุด เพราะสามารถถูกใช้ตีกรอบขอบเขตของเสรีภาพในการแสดงออก และเป็นเครื่องมือสร้างความชอบธรรมให้กับระบอบการปกครองที่ตั้งอยู่บนฐานของความจงรักภักดี ในร่างกฎหมายนิรโทษกรรมปัจจุบัน ทุกพรรคการเมืองที่เสนอร่างล้วน “กัน” คดีมาตรา 112 ออกไว้แต่ต้น ทั้งพรรคภูมิใจไทย พรรคกล้าธรรม พรรคสร้างอนาคตไทย รวมถึงพรรคเพื่อไทยที่ปัจจุบันเป็นพรรคฝ่ายค้าน เหตุผลที่อ้างกันคือ “เพื่อไม่ให้เกิดความเข้าใจผิดว่าเป็นการลบล้างกฎหมายที่เกี่ยวกับสถาบัน” แต่ในทางการเมือง นี่คือการตัดไฟแต่ต้นลมเพื่อหลีกเลี่ยงแรงปะทะจากฝ่ายอนุรักษ์นิยมที่มองว่าการแตะต้องมาตรานี้คือการสั่นคลอนรากฐานของรัฐ การอภิปรายในกรรมาธิการจึงเต็มไปด้วยความระมัดระวัง มีเสียงเรียกร้องจากบางฝ่ายให้พิจารณาอย่างมีมนุษยธรรม โดยเฉพาะในกรณีของเยาวชนที่ถูกดำเนินคดีจากการชุมนุมช่วงปี 2563–2565 แต่เสียงส่วนใหญ่กลับเห็นว่า “ไม่ควรเสี่ยง” ต่อการเปิดประตูทางการเมืองที่อาจทำให้ร่างกฎหมายทั้งฉบับล่มในสภา



จาก “ไม่ใช้บังคับ” ถึง “ไม่เป็นการนิรโทษกรรม”

เดิมทีถ้อยคำในร่างระบุว่า “ให้ร่างกฎหมายนี้ไม่ใช้บังคับแก่ความผิดตามมาตรา 112” แต่ในชั้นกรรมาธิการมีการปรับถ้อยคำใหม่เป็น “ให้ร่างกฎหมายนี้ไม่มีผลเป็นการนิรโทษกรรมแก่ความผิดตามมาตรา 112” ซึ่งในทางกฎหมายแทบไม่ต่างกัน แต่ในทางการเมืองถือเป็นการ “ลดน้ำหนักเชิงสัญลักษณ์” เพื่อสร้างภาพว่ากฎหมายนี้ไม่ปิดประตูทั้งหมด

แม้จะมีเสียงชื่นชมจากบางฝ่ายว่าการเปลี่ยนถ้อยคำเป็นการประนีประนอมที่ช่วยให้ร่างกฎหมายเดินต่อได้ แต่ในเชิงเนื้อหา ผลลัพธ์ยังเหมือนเดิม — คดี 112 ยังไม่อยู่ในขอบเขตนิรโทษกรรม สิ่งที่เพิ่มเข้ามาและได้รับความสนใจคือ มาตรา 9/1 ซึ่งเปิดช่องให้คณะกรรมการนิรโทษกรรมสามารถเสนอให้พนักงานอัยการหรือศาลเยาวชนใช้ “มาตรการพิเศษแทนการลงโทษ” สำหรับผู้ที่อายุต่ำกว่า 18 ปีในวันกระทำความผิด บางคนมองว่านี่คือความพยายาม “หาทางออกเชิงเทคนิค” เพื่อช่วยเยาวชนคดีการเมืองโดยไม่แตะ 112 โดยตรง แต่ในทางปฏิบัติ มาตรานี้ไม่ได้มีผลเท่ากับการนิรโทษกรรม เพราะการตัดสินใจยังอยู่ในดุลพินิจของอัยการและศาล ซึ่งมีแนวทางวินิจฉัยคดีหมิ่นสถาบันอย่างเข้มงวด แม้ในคดีเยาวชน การตีความ “เจตนา” และ “ความผิด” ยังคงกว้าง และโทษสูงเกินสัดส่วนกับพฤติกรรมจริง

มาตรา 112 กับสถาปัตยกรรมอำนาจรัฐไทย

การกันคดี 112 ออกจากร่างนิรโทษกรรมจึงมิใช่เพียงการตัดสินใจเชิงกฎหมาย แต่สะท้อนโครงสร้างอำนาจที่ยังคงยึดโยงกับแนวคิด “ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์” ในฐานะรากฐานของความชอบธรรมของรัฐไทย การแตะต้องมาตรานี้จึงเท่ากับการตั้งคำถามต่อโครงสร้างอำนาจทั้งระบบ ไม่ใช่แค่ตัวบทกฎหมาย รัฐบาลผสมที่นำโดยพรรคภูมิใจไทยในปัจจุบัน ก็เผชิญแรงกดดันคล้ายเดิม หากปล่อยให้ร่างกฎหมายเปิดช่องนิรโทษคดี 112 ย่อมกระทบเสถียรภาพโดยตรง เพราะฝ่ายอนุรักษ์นิยม — ทั้งในกองทัพ ศาล และสื่อกระแสหลัก — จะใช้ประเด็นนี้เป็นเครื่องมือโจมตีอย่างรุนแรง การคงไว้ซึ่งมาตรา 112 จึงกลายเป็น “กลไกประกันความมั่นคงของรัฐบาลภูมิใจไทย” ที่ไม่อาจละเมิดได้ ขณะเดียวกัน ฝ่ายเสรีประชาธิปไตยและภาคประชาชนจำนวนไม่น้อยกลับมองว่าการไม่แตะต้องมาตรา 112 เท่ากับการปิดกั้นกระบวนการปรองดองตั้งแต่ต้น เพราะผู้ต้องคดีการเมืองจำนวนมาก โดยเฉพาะเยาวชนและนักกิจกรรม ถูกดำเนินคดีจากการแสดงออกโดยสงบ ไม่ใช่การล้มล้างรัฐ การกันคดีเหล่านี้ออกจากการเยียวยา จึงเป็นการส่งสัญญาณว่าการปรองดองแบบไทยๆ ยังอยู่ภายใต้เงื่อนไข “ยกเว้นสถาบัน” ซึ่งเป็นเงื่อนไขที่แทบไม่มีประเทศประชาธิปไตยใดใช้



การเมืองของความกลัวและการปรองดองที่ไม่สมบูรณ์

สิ่งที่เห็นชัดในกระบวนการพิจารณาคือ การเมืองของความกลัว — กลัวเสียงโจมตีจากฝ่ายขวา กลัวแรงกดดันจากสถาบันอำนาจ และกลัวว่าร่างกฎหมายจะไม่ผ่านในสภา ความกลัวเหล่านี้ทำให้ฝ่ายการเมืองทุกขั้วเลือกทาง “ปลอดภัย” มากกว่าทาง “ยุติธรรม” แต่ความกลัวนั้นเองที่ทำให้แนวคิดเรื่อง “สังคมสันติสุข” ตามชื่อร่างกฎหมายกลายเป็นเพียงวาทกรรม เพราะสังคมจะไม่อาจมีสันติสุขได้ หากยังมีคนจำนวนมากถูกจำกัดสิทธิ เสียอนาคต หรือถูกคุมขังจากการแสดงความเห็นทางการเมือง การนิรโทษกรรมที่แท้จริงควรตั้งอยู่บนหลักของ “ความเท่าเทียมทางศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์” มิใช่การแบ่งแยกผู้ต้องคดีออกเป็น “ผู้ที่รัฐยอมรับได้” กับ “ผู้ที่รัฐไม่อภัย” เพราะตราบใดที่ยังมีการเลือกปฏิบัติทางการเมือง สังคมก็ไม่อาจเดินไปสู่ความปรองดองอย่างแท้จริง มาตรา 112 จึงไม่ใช่เพียงตัวบทกฎหมาย แต่คือ “เส้นแดงทางการเมือง” ที่กำหนดขอบเขตของอำนาจและเสรีภาพในสังคมไทย ทุกครั้งที่มีความพยายามพูดถึงการนิรโทษกรรม หรือการปฏิรูปกฎหมาย มาตรานี้จะถูกกันไว้เสมอ ราวกับเป็นสัญญาณเตือนว่า ระบอบการเมืองไทยยังไม่พร้อมเผชิญกับคำถามพื้นฐานที่สุด — ว่าความจงรักภักดีสามารถอยู่ร่วมกับเสรีภาพได้หรือไม่ ดังนั้น แม้ร่าง พ.ร.บ.สร้างเสริมสังคมสันติสุขจะเดินหน้าต่อในกระบวนการสภา แต่หากไม่สามารถเปิดพื้นที่ให้พูดถึงมาตรา 112 อย่างตรงไปตรงมา การปรองดองที่วาดฝันไว้ก็จะเป็นเพียงภาพลวงตาในกระดาษ เพราะสันติสุขที่แท้จริงไม่อาจเกิดขึ้นได้จากการนิรโทษบางคน แล้วปล่อยให้บางคนยังติดคุกเพราะ “ความคิด” ของตนเอง

https://112watch.org/th/the-red-line-of-power-in-thailands-amnesty-game/


ไทยเฮ! รัฐสภาโลก โหวตรับร่างข้อเสนอไทย ปราบสแกมเมอร์ บรรจุเป็นวาระเร่งด่วน



ไทยเฮ! ชนะโหวตดัน IPU ถกปมสแกมเมอร์-อาชญากรรมองค์กร ขณะที่กัมพูชาหมอบ ไม่ร่วมสังฆกรรม พร้อมเปิดเบื้องหลังการโหวตสุดซับซ้อน-ลุ้นระทึก!

Nation TV
21 ตุลาคม 2568

21 ตุลาคม 2568 ที่ประชุมสมัชชาสหภาพรัฐสภา หรือ IPU สมัยที่ 151 ได้พิจารณาคำขอให้บรรจุ “วาระเร่งด่วน” หรือ Emergency item ในระเบียบวาระการประชุมใหญ่ของ IPU เนื่องจากชาติสมาชิกเห็นว่าเป็นปัญหาเร่งด่วนที่เพิ่งเกิดขึ้น หรือกำลังเกิดขึ้น และส่งผลกระทบด้านต่างๆ ในวงกว้าง จึงต้องการให้รัฐสภาทั่วโลกรับทราบ และแสดงบทบาทร่วมกัน ในการจัดการปัญหาภายใต้กรอบนิติบัญญัติ

ผลการลงคะแนนของชาติสมาชิกสหภาพรัฐสภา จำนวนกว่า 100 ประเทศ ปรากฏว่า ร่างข้อมติว่าด้วยอาชญากรรมองค์กรข้ามชาติและอาชญากรรมไซเบอร์ และภัยคุกคามแบบผสมผสานต่อประชาธิปไตยและความมั่นคงของมนุษย์ ซึ่งเสนอโดยผู้แทนรัฐสภาไทยและชาติพันธมิตร ได้รับเสียงสนับสนุนท่วมท้นเกิน 2 ใน 3 ของที่ประชุม IPU จึงได้รับการบรรจุเป็น "ระเบียบวาระเร่งด่วน" หนึ่งเดียวในปีนี้

ผลโหวตถือเป็นการสร้างประวัติศาสตร์ของรัฐสภาไทย ในการผลักดันวาระที่ไทยให้ความสำคัญ ได้รับการบรรจุเข้าสู่เวทีการแก้ไขปัญหาระดับโลกได้
 

เบื้องหลังความสำเร็จ นอกจากเป็นความพยายามของคณะผู้แทนรัฐสภาไทย ซึ่งประกอบด้วย สส. และ สว. นำทีมโดย “ประธานวันนอร์” นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานรัฐสภาแล้ว ยังมี "ทีมไทยแลนด์" ซึ่งทำงานกันอย่างหนัก โดยเฉพาะการขอเสียงสนับสนุนจากชาติสมาชิก ทุกกลุ่มภูมิภาค และมีการเจรจาเพื่อปรับเนื้อหา ตลอดจนถ้อยคำต่างๆ ทำให้หัวข้อเปลี่ยนไปเล็กน้อย โดยขยายขอบเขตเนื้อหาจากเดิม ที่มุ่งเน้นเฉพาะการต่อต้านอาชญากรรมไซเบอร์ข้ามพรมแดน หรือ “สแกมเมอร์” เท่านั้น ให้ขยายครอบคลุมเรื่องของอาชญากรรมองค์กร ที่บ่อนทำลายประชาธิปไตยและความมั่นคงด้วย

โหวตเดือด 2 หัวข้อ “มาดากัสการ์ - สแกมเมอร์“ แอฟริกาแข่งไทย

การประชุม IPU ปีนี้ มีชาติสมาชิกเสนอ “ร่างข้อมติ” หรือ item proposed จำนวน 2 หัวข้อด้วยกัน คือ

1.เรียกร้องระดับโลกให้รัฐสภา แสดงความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน และประสานงานการดำเนินการเกี่ยวกับมาดากัสการ์ เสนอโดยประเทศแอฟริกาใต้ ในนามของกลุ่มแอฟริกา

2.การดำเนินการของรัฐสภา เพื่อต่อต้านอาชญากรรมองค์กรข้ามชาติ, อาชญากรรมไซเบอร์ และภัยคุกคามแบบผสมผสานต่อประชาธิปไตย และความมั่นคงของมนุษย์ เสนอโดยรัฐสภาไทย, อาร์เจนตินา, ชิลี, โปแลนด์ และสวีเดน ด้วยการสนับสนุนจากกลุ่มละตินอเมริกา และแคริบเบียน และกลุ่มทเวลฟ์พลัส

ผลการลงคะแนนของชาติสมาชิก สรุปว่า ร่างข้อมติเกี่ยวกับมาดากัสการ์ ได้คะแนนเห็นด้วย 743 เสียง ไม่เห็นด้วย 158 เสียง

ขณะที่ร่างข้อมติของไทย เกี่ยวกับอาชญากรรมองค์กรและอาชญากรรมไซเบอร์ ได้คะแนนเห็นด้วย 850 เสียง ไม่เห็นด้วย 200

โดยจำนวนเสียงสองในสาม คือ 601 เสียง ทำให้ร่างข้อมติที่เสนอโดยประเทศไทยและพันธมิตร ได้รับการบรรจุเป็น “ระเบียบวาระเร่งด่วน” ของ IPU ในปีนี้

เป็นที่น่าสังเกตว่า ผู้แทนจากรัฐสภากัมพูชาไม่ได้เข้าร่วมประชุม และไม่ยอมร่วมโหวตในครั้งนี้

“โรม” อภิปรายเน้นๆ ปลุกเร้าขอคะแนนชาติสมาชิก

สส.รังสิมันต์ โรม เป็นผู้ลุกขึ้นเสนอร่างข้อมติของไทยและชาติพันธมิตร พร้อมอธิบายเหตุผลต่อที่ประชุมใหญ่ IPU โดยระบุตอนหนึ่งว่า ร่างข้อมตินี้ครอบคลุมถึงอาชญากรรมองค์กร อย่างเช่นที่เกิดขึ้นกับการสังหารวุฒิสมาชิกโคลอมเบีย และยังรวมถึงอาชญากรรมดิจิทัล การฉ้อโกงทางการเงิน อาชญากรรมไซเบอร์ ซึ่งบ่อนทำลายความเชื่อมั่นของประชาชน

การเพิ่มขึ้นของศูนย์หลอกลวง ทั่วเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ทำให้มีผู้คนถูกหลอกลวงนับแสน มีคนถูกกักขัง ถูกละเมิดศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ก่อความเสียหายในรูปของตัวเงินมากกว่า 15 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ

“ถ้าเรานิ่งเฉย องค์กรอาชญากรรมนี้จะขยายตัวต่อไป ขอให้เราสร้างความร่วมมือที่ราบรื่นร่วมกัน” สส.รังสิมันต์ กล่าว

รัสเซียทำเซอร์ไพรส์ ลุกขึ้นคัดค้านข้อเสนอไทย อ้างผิดขั้นตอน

หลังการนำเสนอของ สส.จากประเทศไทย ปรากฏว่าได้รับเสียงปรบมือจากที่ประชุมไม่น้อยกว่าข้อเสนอแรก

อย่างไรก็ดี มีผู้คัดค้านการเสนอร่างข้อมติของไทย เป็นผู้แทนจากรัสเซีย โดยให้เหตุผลว่า ตนไม่เชื่อว่ามาตรการ หรือข้อเสนอฉบับนี้ สอดคล้องกับข้อบังคับการประชุม ที่เขียนไว้ชัดว่า ต้องเป็นสถานการณ์สำคัญที่เกิดขึ้นในระดับนานาชาติเมื่อเร็วๆ นี้เท่านั้น

นอกจากนั้น สมาชิกเพิ่งได้รับข้อเสนอในวันนี้ เพียงแค่ 3-4 ชั่วโมงก่อนการประชุม ทั้งๆ ที่ควรเสนอก่อน 48 ชั่วโมงตามที่เคยมีข้อตกลงร่วมกันไว้ ขอย้ำว่าเป็นการคัดค้านเรื่องขั้นตอนมากกว่าเนื้อหา

กรรมการ IPU แจงไม่ผิดเงื่อนไข เดินหน้าโหวตเลือกวาระเร่งด่วน

จากนั้นประธานในที่ประชุมได้ชี้แจงว่า เรื่องที่รัสเซียทักท้วง ตามข้อบังคับกำหนดให้คณะกรรมการบริหาร IPU เป็นผู้ตัดสินใจ ซึ่งคณะกรรมการได้ประชุมกันในช่วงเช้า และให้ความเห็นในทางบวก สำหรับรัสเซียเมื่อไม่เห็นด้วย ก็สามารถลงคะแนนคัดค้านได้

จากนั้น เลขาธิการ IPU ได้อธิบายว่า ได้พิจารณาแล้วเห็นว่า ร่างข้อมติที่ไทยและชาติพันธมิตรเสนอ เป็นวาระเร่งด่วนที่เกิดขึ้นใหม่

เปิดเบื้องหลังการโหวตสุดซับซ้อน - ลุ้นระทึก!

ช่วงเวลาของการโหวต ถือว่าคึกคักและต้องติดตามลุ้นกันทุกนาที เนื่องจากคาดเดาผลยาก สาเหตุเพราะ

- ร่างข้อมติที่จะได้รับการบรรจุเป็น “ระเบียบวาระเร่งด่วน” จะมีเพียงข้อมติเดียวเท่านั้น

- ร่างข้อมติที่ได้รับเลือก ต้องมีเสียงสนับสนุนเกิน 2 ใน 3 ของคะแนนจากชาติสมาชิกทั้งหมด

- หากไม่มีร่างข้อมติใดได้รับเสียงสนับสนุนเกิน 2 ใน 3 ให้ถือว่าการประชุม IPU ครั้งนั้น ไม่มีระเบียบวาระเร่งด่วน

- แต่ความซับซ้อนก็คือ แต่ละประเทศไม่ได้มีประเทศละ 1 เสียง แต่มีจำนวนเสียงไม่เท่ากัน โดยคำนวณจากจำนวนประชากร เช่น ไทยมี 18 เสียง, จีน อินเดีย มีประเทศละ 23 เสียง, กัมพูชามี 13 เสียง, รัสเซียที่แสดงความเห็นคัดค้านร่างข้อมติของไทย มี 20 เสียง เป็นต้น
 

ความซับซ้อนก็คือ แต่ละประเทศไม่ได้มีประเทศละ 1 เสียง แต่มีจำนวนเสียงไม่เท่ากัน โดยคำนวณจากจำนวนประชากร

- การลงคะแนนยิ่งซับซ้อน เมื่อแต่ละประเทศสามารถแบ่งคะแนนของตัวเองได้ เช่น มี 10 เสียง อาจแบ่งลงคะแนนให้ร่างข้อมติร่างละ 5 คะแนนก็ได้ หรือจะให้คะแนนแบบไม่เท่ากันก็ยังได้

เปิดสาระ 2 ร่างข้อมติ ”มาดากัสการ์ - อาชญากรรมไซเบอร์“


อนึ่ง สำหรับร่างข้อมติเกี่ยวกับมาดากัสการ์ มีสาระสำคัญ คือการเรียกร้องให้รัฐสภาทั่วโลกร่วมมือกัน เพื่อจัดการกับสถานการณ์เร่งด่วนในประเทศมาดากัสการ์ ซึ่งเพิ่งเกิดการรัฐประหาร หลังจากเกิดการประท้วงของคนหนุ่มสาว หรือ Gen Z จึงเกี่ยวข้องกับวิกฤตการณ์ทางมนุษยธรรม ความไม่มั่นคงทางการเมือง หรือความจำเป็นในการสนับสนุนประชาธิปไตย

ส่วนร่างข้อมติเรื่องการต่อต้านภัยคุกคามข้ามชาติ และอาชญากรรมไซเบอร์ มีสาระสำคัญมุ่งเน้นไปที่การตอบสนองของรัฐสภาต่อภัยคุกคามสมัยใหม่ ที่ส่งผลกระทบต่อประชาธิปไตย และความมั่นคงของมนุษย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งอาชญากรรมที่ซับซ้อนและข้ามพรมแดน ได้แก่

- อาชญากรรมองค์กรข้ามชาติ (Transnational organized crime)

- อาชญากรรมไซเบอร์ (Cybercrime)

- ภัยคุกคามแบบผสมผสาน (Hybrid threats)



ชั่วโมงนี้ ใครไม่อ่านโพสต์ของ #Sarinee และ #JoeyKanis ถือว่าพลาด !

 

https://www.facebook.com/SarineeA/posts/1383979003097783

Sarinee Achavanuntakul - สฤณี อาชวานันทกุล 
9 hours ago
·

อื้อหือ #มหากาพย์นายหน้า ภาคอินเตอร์ (แต่ดูจะใกล้ตัวเราขึ้นเรื่อยๆ 555) ตอนใหม่ล่าสุดโดยคุณ Tom Wright เจ้าเก่า นี่ข่าวใหญ่ระดับสะเทือนเสถียรภาพรัฐบาลเลยนะคะ
ในบทความก่อนหน้านี้ในซีรีส์ คุณ Tom เคยกล่าวหาว่า รมช. วรภัค มีส่วนเกี่ยวข้องกับ "การเทคโอเวอร์ Finansia X (FSX) อย่างลับๆ" โดย Mauerberger + KuCoin มาแล้ว แต่รอบนี้กล่าวหาตรงๆ เลยว่า
"ภรรยาของนายวรภัค คือ นางกนกพร ศีตวรรัตน์ ถือหุ้นในกองทุน CAI ร่วมกับ นางแคททาลียา บีเวอร์ ภรรยาชาวอังกฤษ-ไทยของเมาเออร์เบอร์เกอร์ ชื่อของทั้งสองปรากฏร่วมกันในทะเบียนผู้ถือหุ้นชุดเดียวกัน ..กองทุนนี้ [credit fund ภายใต้ CAI Optimum Fund VCC] มีการค้ำประกันด้วยหุ้น 24% ใน Finansia นั่นหมายความว่า หากเกิดการผิดนัดชำระ หุ้นเหล่านั้นจะถูกโอนไปยังผู้ถือหน่วยลงทุนในกองทุน สิ่งนี้สร้างภาพลักษณ์ของการจัดหาเงินทุนที่ถูกต้องตามกฎหมาย แต่แท้จริงแล้วกลับทำหน้าที่เป็นกลไกในการควบคุมที่ซ่อนเร้น ... ในเดือนพฤศจิกายน 2024 นายวรภัคได้ขายหุ้นของเขาใน SPV ออกไป แต่การดำเนินการที่แท้จริงเกิดขึ้นในเดือนมกราคม 2025 เอกสารโอนหุ้นที่ลงนามแล้วแสดงให้เห็นว่า นางกนกพร ได้ขายหน่วยลงทุนของตนในกองทุนสินเชื่อ—และสิทธิ์ในการอ้างสิทธิ์ในหุ้น Finansia—เป็นมูลค่า 2,940,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ ในรูปแบบคริปโตเคอร์เรนซี Tether (USDT) อย่างชัดเจน ในเอกสารชุดเดียวกัน ลายเซ็นของนางแคททาลียา บีเวอร์ ก็อนุญาตให้เธอได้รับเงิน 21.15 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ"
พูดง่ายๆ คือ คุณ Tom กำลังกล่าวหาว่า รมช. วรภัค ไม่เพียงแต่ทำตัวเป็น "ฉากหน้า" (front) ให้กับ Mauerberger + KuCoin ในการเทคโอเวอร์ FSX อย่างลับๆ เท่านั้น แต่ภรรยาของเขายังได้รับค่าตอบแทนเป็นเงินคริปโตสูงถึง 2.9 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
(ในบทความมีรายละเอียดคริปโตก้อนนี้ สกุล Tether + ข้อมูล wallet ด้วย ใครถนัดทางนี้ไปขุดดูได้ค่ะ)
ที่นายกฯ อนุทิน เพิ่งบอกให้ รมช. ชี้แจง คงต้องชี้แจงละเอียดกว่าเดิมแล้วล่ะนะคะ
ป.ล. ส่วนตัวเคยจี้ถาม ก.ล.ต. ไปแล้ว เรื่องการสอบสวน "secret takeover" นี้ว่าจริงหรือไม่ ซึ่ง ณ วันที่ 25 กันยายน ก.ล.ต. แถลงว่ากำลังสอบสวน (https://www.facebook.com/photo/?fbid=1236724945166814&set=a.305366421636009 -- หมายถึงเรื่องนี้แหละ ไม่มีเรื่องอื่น) ดังนั้นเมื่อเวลาผ่านไปจะครบ 1 เดือนแล้ว เห็นว่า ก.ล.ต. ควรเร่งขอเอกสารต่างๆ จาก MAS (ธนาคารกลางสิงคโปร์) ที่เกี่ยวกับ CAI, CAI Optimum Fund VCC และ credit fund ที่เกี่ยวข้องนะคะ เพราะเอกสารทั้งหมดอยู่ที่สิงคโปร์ — ประเด็นคือ ข้อกล่าวหาร้ายแรงขนาดนี้ ก.ล.ต. ต้องแสดงบทบาทพิสูจน์ว่า “จริง” หรือ “ไม่จริง” ค่ะ โดยขอความร่วมมือกับ MAS
ป.ป.ล. ข้อกล่าวหาขนาดนี้ นายกฯ ควรปลด รมช. ออกจากคณะกรรมการสอบสแกมเมอร์ จนกว่าเขาจะเคลียร์ตัวเองได้นะ ไม่งั้นความน่าเชื่อถือไม่มีวันเกิดค่ะ
#รอติดตามตอนต่อไป




https://www.facebook.com/joey.kanis/posts/25825070253748488

Joey Kanis 
13 hours ago
·
ท่านอยู่ข้างไหน .ครับ... !
.
“วรภัค ธันยาวงษ์” รมช.คลัง บอกว่า เค้ากำลังพิจารณาเพื่อดำเนินคดี เพจหรือสื่อ ที่นำเสนอข่าวเชื่อมโยงขบวนการฟอกเงินสแกมเมอร์ในกัมพูชา เพราะไม่เคยทำงาน หรือ รับค่าตอบแทนใด ๆ จากกลุ่มบริษัท B.I.C.Group
.
แต่ “วรภัค ธันยาวงษ์” ยอมรับ ว่า เคยพบกับ “ยิม เลียก Yim Leak” ประธานกลุ่มบริษัทบีไอซีกรุ๊ป เพราะว่า “ยิม เลียก (Yim Leak)” ขอรับคำปรึกษาเกี่ยวกับการตั้งธนาคารในกัมพูชา ซึ่งก็ได้ให้คำปรึกษาลักษณะเดียวกันกับผู้บริหารสถาบันการเงินต่างประเทศอื่น ๆ
.
แต่คราวนี้ มาดูข้อมูลที่ไม่ตรงกันนะครับ ..
.
ในเว็บไซต์ B.I.C Group (มี Yim Leak เป็น CEO) เคยปรากฏภาพของ “วรภัค ธันยาวงษ์” ซึ่งได้ระบุ ว่า มีตำแหน่ง Board Avisory (ที่ปรึกษา กรรมการ) แต่ปัจจุบันเว็บไซต์ของ B.I.C Group ได้เอาภาพของคุณวรภัคออกไปแล้ว เมื่อเดือนกันยายน
.
ไม่ใช่ “วรภัค ธันยาวงษ์” ซึ่งเป็นคนไทย เพียงคนเดียว ที่มีชื่อในเว็บไซต์ของ B.I.C Group
.
คนที่ 2 “ พลตำรวจเอก วิษณุ ปราสาททองโอสถ” (อดีต จเรตำรวจแห่งชาติ) พลตำรวจเอก วิษณุ มีตำแหน่งสำคัญอีกหลายตำแหน่ง เช่น ประธานกรรมการ บริษัทท่าอากาศยานไทย และกรรมการบริษัทอื่น ๆ อีกหลายแห่ง เช่น กรรมการอิสระ บริษัท บีซีพีจี จำกัด ,บริษัท ชีวาทัย จำกัด ,กรรมการอิสระ บริษัทหลักทรัพย์ ฟินันเซีย เอกซ์จำกัด , และเป็นกรรมบริษัท อื่น ๆ อีก เช่น เอ็น.ซี.ซี. แมนเนจเม้นท์ แอนด์ ดิเวลลอปเม้นท์ จำกัด , คาร์ด เอ็กซ์ จำกัด , บริษัท ไทยโคโพลีอุตสาหกรรมพลาสติก จำกัด , พีระพร็อพเพอร์ตี้ จำกัด ,แม่อรุณ จำกัด ,ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด และ ฟินันเซีย ดิจิทัล แอสเซท จำกัด
.
คนที่ 3 ปลัดตุ้ม อารีพงศ์ ภู่ชอุ่ม นาย อารีพงศ์ เป็นข้าราชการที่รับตำแหน่งผู้บริหารในหลายกระทรวง เช่น กรมบัญชีกลาง , สำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) , อธิบดีกรมสรรพสามิต , ปลัดกระทรวงการคลัง , เลขาธิการ กพร. , ปลัดกระทรวงพลังงาน และ ปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวฯ
.
และน่าจะเป็นไปได้ ..ใช่มั๊ยครับว่า ทั้ง 3 คน อาจถูก ยิม เลียก Yim Leak แอบอ้าง ชื่อ ความรู้ความสามารถ ไปใส่ไว้ในเว็บไซต์ B.I.C Group .. แต่ปัจจุบันได้ลบข้อมูลดังกล่าวออกจากไปเว็บต์ไซต์แล้ว เมื่อเดือนกันยายน .
.
ปล. หากเป็นผู้เสียหายที่ถูกแอบอ้างชื่อ ท่านควรจะดำเนินการฟ้อง B.I.C Group เพื่อพิสูจน์ว่าถูกแอบอ้างจริงหรือไม่นะครับ .. ด้วยความหวังดีจริง ๆ
..
#ThaiPBS
#TheEXIT
#กัมพูชา
#อาชญากรรมข้ามชาติ
#สแกมเมอร์
.
**** ประชุม ครม. 21 ต.ค.68 นายวรภัค กล่าวสั้นๆ ว่า "คงมีโอกาสได้แถลงข่าวเร็วๆ นี้" ก่อนจะเดินเข้าห้องประชุมไปทันที 📌


ตารมอ่านต่อที่


🛑เปิดคำแถลง "ธงชัย วินิจจะกูล" ยื่นอุทธรณ์คำสั่งศาล กรณีให้ทำการไต่สวนเพื่อปลดพันธนาการที่กระทำต่อนายอานนท์ นำภา (มีคลิป)


"ธงชัย วินิจจะกูล" ยื่นอุทธรณ์ศาลอาญา ขอปลดเครื่องพันธนาการ "อานนท์ นำภา"

Thairath News

Oct 21, 2025 
#ThairathOnline #Thairath #ThairathNews

วันนี้ (21 ตุลาคม 2568) ศาสตราจารย์กิตติคุณ ดร. ธงชัย วินิจจะกูล ได้เดินทางไปยังศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก เพื่อยื่นคำร้องขออุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นที่ยกคำร้องก่อนหน้านี้ คำร้องอุทธรณ์ดังกล่าวมีจุดประสงค์เพื่อให้ศาลมีคำสั่งยุติการใช้เครื่องพันธนาการกับ นายอานนท์ นำภา ซึ่งเป็นการใส่กุญแจข้อเท้าและโซ่ตรึงขาทั้งสองข้าง ระหว่างที่นำตัวมาพิจารณาคดีหรือว่าความในศาล โดยชี้ว่าการกระทำเช่นนี้เป็นการกระทำที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรม และละเมิดศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ จึงขอให้ศาลทำการไต่สวนเพื่อปลดพันธนาการดังกล่าวอีกครั้ง 
#ไทยรัฐออนไลน์

https://www.youtube.com/watch?v=7OnsrvEUcCY



สาระสำคัญของคำอุทธรณ์ต่อคำสั่งของศาลชั้นต้น กรณีให้ทำการไต่สวนเพื่อปลดพันธนาการที่กระทำต่อนายอานนท์ นำภา

โดย CrCF มูลนิธิผสานวัฒนธรรม
21 ตุลาคม, 2025

ผู้ร้อง (ศาสตราจารย์กิตติคุณ ดร. ธงชัย วินิจจะกูล) ได้ยื่นคำร้องต่อศาล ตามมาตรา ๒๖ (๖) แห่งพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ. ๒๕๖๕ เพื่อให้มีคำสั่งยุติการพันธนาการนายอานนท์ ด้วยการใส่กุญแจข้อเท้าและโซ่ตรึงขาทั้งสองข้างระหว่างนำตัวมาพิจารณาคดีหรือว่าความในศาล เพราะเป็นการกระทำที่โหดร้าย ละเมิดศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ และลดทอนคุณค่าความเป็นมนุษย์ของนายอานนท์ ละเมิดกฎหมายในประเทศ กฎหมายระหว่างประเทศ เป็นการกระทำที่เกินสมควรและไม่ได้สัดส่วนกับความจำเป็น

ต่อมาวันที่ ๒๑ กรกฎาคม ๒๕๖๘ ศาลไต่สวนพยานจำนวน ๔ ปาก และในวันเดียวกันศาลมีคำสั่งให้ยกคำร้อง

ประเด็นที่ต้องวินิจฉัยมีว่า การกระทำของเจ้าพนักงานราชทัณฑ์ดังกล่าวมีมูลเพียงพอที่จะเชื่อได้ว่าเป็นการกระทำที่โหดร้ายหรือย่ำยีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ. ๒๕๖๕ มาตรา ๖ หรือไม่ และต้องพิจารณาว่าการกระทำนั้นมีลักษณะเป็นการล่วงละเมิดสิทธิจนเกินขอบเขตแห่งความจำเป็นหรือไม่

ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้ว เห็นว่ายังไม่ปรากฏข้อเท็จจริงดังกล่าว ศาลเห็นว่าพระราชบัญญัติราชทัณฑ์ พ.ศ. ๒๕๖๐ มาตรา ๒๑ (๔) ให้อำนาจเจ้าหน้าที่ในการใช้เครื่องพันธนาการเมื่อควบคุมตัวผู้ต้องขังไปนอกเรือนจำเพื่อความปลอดภัยและเพื่อป้องกันการหลบหนี ดังนั้นการกระทำของเจ้าหน้าที่จึงเป็นการใช้อำนาจตามที่กฎหมายบัญญัติไว้

ด้วยความเคารพต่อคำสั่งของศาลชั้นต้น ผู้ร้องไม่เห็นด้วยอย่างยิ่ง จึงมีความประสงค์ขออุทธรณ์คัดค้านคำสั่งศาลชั้นต้นต่อศาลอุทธรณ์ ทั้งในปัญหาข้อเท็จจริงและในปัญหาข้อกฎหมาย ดังเหตุผลดังต่อไปนี้

ประการแรก ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า แม้การใช้เครื่องพันธนาการจะเป็นการจำกัดเสรีภาพและอาจส่งผลกระทบต่อความรู้สึกของผู้เสียหายและบุคคลอื่นอยู่บ้าง แต่ก็ต้องพิจารณาว่าการกระทำนั้นมีลักษณะเป็นการล่วงละเมิดสิทธิจนเกินขอบเขตแห่งความจำเป็นหรือไม่ นั้น

นายอานนท์ นำภา ยืนยันต่อศาลว่า ได้รับผลกระทบจากการใส่เครื่องพันธนาการดังกล่าวเนื่องจากเครื่องพันธนาการมีการเสียดสีก่อให้เกิดบาดแผลแก่ขา และทำให้ไม่สามารถก้าวขาเดินได้ตามปกติ ศาลให้พยานยกขาที่ถูกเครื่องพันธนาการ สามารถเห็นได้ชัดเจนถึงรอยแผลเก่า และจะมีแผลใหม่ขึ้นทุกครั้งในช่วงเย็นของแต่ละวัน การใส่เครื่องพันธนาการยังทำให้พยานได้รับการปฏิบัติเยี่ยงสัตว์ การที่ผู้ต้องขังที่ถูกพันธนาการปรากฏในห้องพิจารณาของศาล ย่อมเป็นการตีตราให้มีความผิดไปเสียแล้ว ส่งผลกระทบกระเทือนต่อจิตใจของอารยชนอย่างแน่นอน แล้วทำไมจึงจะต้องสืบทอดการปฏิบัติอันป่าเถื่อนเช่นนั้นต่อไป

ประการที่สอง ตามพระราชบัญญัติราชทัณฑ์ พ.ศ. ๒๕๖๐ มาตรา ๒๑ บัญญัติอย่างชัดเจนว่า ห้ามใช้หรือใส่เครื่องพันธนาการแก้ผู้ต้องขัง เว้นแต่มีเหตุจำเป็น ซึ่งผู้สั่งใช้เครื่องพันธนาการต้องบันทึกเหตุผลหรือความจําเป็นที่ต้องใช้เครื่องพันธนาการกับผู้ต้องขังนั้นไว้ด้วย การใส่เครื่องพันธนาการจึงเป็นข้อยกเว้นไม่ใช้ใส่เป็นการทั่วไป

แต่ทว่าทุกวันนี้แนวปฏิบัติปกติกลับตรงข้ามกับกฎหมาย คือใส่พันธนาการแทบทุกกรณีเมื่อออกจากเรือนจำ การปลดพันธนาการเป็นกรณียกเว้น ประจักษ์พยานที่ชัดเจนของการกลับหัวกลับหางเช่นนี้คือ แบบฟอร์มบันทึกการนำตัวออกไปศาลและนำกลับเข้าเรือนจำของทางราชทัณฑ์เอง เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์จะลงบันทึกในแบบฟอร์มดังกล่าวว่า ผู้ต้องขังในแต่ละวันมีความจำเป็นต้องใช้เครื่องพันธนาการเพื่อป้องกันการหลบหนีทุกคน ไม่มีการระบุเหตุผลและความจำเป็นรายกรณี ทั้ง ๆที่สิ่งนี้ควรเป็นข้อยกเว้น ไม่ใช่ทำเป็นกิจวัตร แต่ในแบบฟอร์มเดียวกันกลับมีช่องให้บันทึกว่าผู้ต้องขังลำดับใดไม่ใส่เครื่องพันธนาการหรือให้ใส่กุญแจมือแทนโดยระบุเหตุผลเป็นรายกรณี ทั้ง ๆที่สิ่งนี้ควรเป็นแนวปฏิบัติทั่วไปที่เป็นกิจวัตร แบบฟอร์มดังกล่าวจึงเป็นหลักฐานของการกระทำที่ขัดกับพรบ. ราชทัณฑ์มาตรา ๒๑ เสียเอง

การเหมารวมว่าผู้ต้องหาหรือผู้ต้องขังทุกคนจะมีพฤติกรรมในการหลบหนีย่อมไม่ถูกต้อง เพราะการหลบหนีของผู้ต้องขังเป็นไปได้น้อยมาก มีเพียงไม่กี่คดี การบันทึกเหตุผลความจำเป็นในการใช้เครื่องพันธนาการเป็นรายกรณีจึงเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อป้องกันการใช้อำนาจที่กระทบต่อสิทธิเสรีภาพของผู้ต้องขังอย่างมาก ในเมื่อเจ้าหน้าที่ปฏิบัติในทางตรงกันข้าม แต่ศาลชั้นต้นกลับเห็นไปว่าไม่กระทบกระเทือนต่อสิทธิเสรีภาพของผู้ต้องขังแต่อย่างใด

เมื่อมีพรบ.ป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย ผู้ร้องจึงเชื่อมั่นว่าระบบตุลาการหรือการไต่สวนของศาลจะนำพามาซึ่งการตรวจสอบการใช้อำนาจของกรมราชทัณฑ์ แต่กลับกลายเป็นว่าศาลชั้นต้นได้วินิจฉัยข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายประเด็นนี้ว่าเป็นเพียงการบกพร่องในการปฏิบัติ ทั้งที่จริงแล้วการเหมารวมใส่เครื่องพันธนาการกับผู้ต้องขังออกศาลทุกคนเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรง ควรถึงเวลาแล้วที่การใส่เครื่องพันธนาการควรจะเป็นเพียงข้อยกเว้นตามเจตจำนงค์ของพ.ร.บ.ราชทัณฑ์ มาตรา ๒๑

ประการที่สาม นายอานนท์ไม่เคยมีพฤติการณ์ที่พึงสงสัยหรือมีประวัติพยายามหลบหนีแต่อย่างใด แต่เดิมที่เคยได้รับประกันตัวออกมา ก็ไปรายงานตัวตามกำหนดนัดของศาลมาโดยตลอดอีกด้วย เพราะมีความตั้งใจที่จะต่อสู้คดีทุกคดี มาศาลตามนัดทุกครั้งและไม่มีพฤติการณ์ขัดขืนการถูกควบคุมตัว

ประการที่สี่ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ดร.ปริญญา เทวานฤมิตรกุล ได้เบิกความยืนยันว่า รัฐธรรมนูญมาตรา ๒๙ วรรคสอง บัญญัติว่าในคดีอาญาให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่า ผู้ต้องหาหรือจำเลยไม่มีความผิด และก่อนมีคำพิพากษาอันถึงที่สุดแสดงว่าบุคคลใดกระทำความผิด จะกระทำต่อบุคคลนั้นเสมือนเป็นผู้กระทำความผิดมิได้

ประการที่ห้า ประเทศไทยมีพันธกรณีที่ต้องปฏิบัติตามกติกาว่าด้วยสิทธิมนุษยชนพลเมืองหรือ ICCPR และข้อกำหนดมาตรฐานขั้นต่ำของสหประชาชาติว่าด้วยการปฏิบัติต่อผู้ต้องขังหรือ MANDELA RULES ซึ่งระบุว่าการใส่เครื่องพันธนาการเป็นข้อยกเว้น ใช้ต่อเมื่อไม่มีวิธีการอื่นใดแล้ว นอกจากนี้ ประเทศฝรั่งเศส แคนาดา เยอรมัน อังกฤษ และสหรัฐอเมริกา ก็มีหลักการใส่เครื่องพันธนาการในที่เป็นกรณีจำเป็นเท่านั้น ฝรั่งเศสและแคนาดาห้ามไม่ให้ใส่เครื่องพันธนาการในขณะที่อยู่ในห้องพิจารณาเด็ดขาด

ประการที่หก ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.รณกรณ์ บุญมี ได้เบิกความเป็นพยานว่า มาตรา ๒๖ ของพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการทรมานฯ นั้นไม่ได้ตรวจสอบว่าการควบคุมนั้นชอบหรือไม่ชอบด้วยกฎหมาย แต่ตรวจสอบว่าเป็นการกระทำโดยทรมานหรือทารุณโหดร้ายหรือไม่ ซึ่งวัตถุการตรวจสอบเป็นคนละแบบกัน

ตามมาตรา ๖ ของพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการทรมานฯ เจ้าหน้าที่ของรัฐปฏิบัติต่อผู้ต้องขังในลักษณะร้ายแรงจะมีเจตนาหรือไม่ ไม่ใช่สาระสำคัญที่จะต้องพิจารณา โดยในท้ายของพรบ.มีการกำหนดมาตรฐานขั้นต่ำในการปฏิบัติต่อผู้ต้องขังตามการปฏิบัติของนานาชาติในข้อ ๔๗ ซึ่งกำหนดไว้ชัดเจนว่า การใส่กุญแจเท้าเป็นการโหดร้ายหรือไร้มนุษยธรรม ห้ามมิให้กระทำโดยเด็ดขาด

ประการที่เจ็ด ศาลปกครองชั้นต้นได้มีคำวินิจฉัยและสั่งการให้กรมราชทัณฑ์ปลดเครื่องพันธนาการออกจากจำเลยมาแล้ว ได้แก่ คดีหมายเลข อ.๓๕๘/๒๕๕๖ และคดีหมายเลขดำที่ ๗๔๗/๒๕๕๐ หรือคดีหมายเลขแดงที่ ๑๔๓๘/๒๕๕๒ ด้วยเห็นว่าการใส่ตรวนนักโทษเป็นการละเมิดต่อเสรีภาพในร่างกายและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ มีลักษณะเป็นการทรมาน ขัดต่อรัฐธรรมนูญมาตรา ๒๖ และมาตรา ๓๒ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. ๒๕๕๐ ที่บังคับใช้ในขณะนั้น และทำให้เสียหายต่อร่างกายขัดต่อมาตรา ๔๒๐ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ขัดต่อปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชนของสหประชาชนของสหประชาชาติ ข้อ ๑, ๕ กติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง ข้อ ๗, ๑๐ (๑) ซึ่งมีผลใช้บังคับในประเทศไทย และขัดต่อกฎมาตรฐานขั้นต่ำของการปฏิบัติต่อนักโทษขององค์การสหประชาชาติ ข้อ ๓๓ ซึ่งเป็นการตีความอย่างเคร่งครัดตามเจตนารมณ์ของพระราชบัญญัติราชทัณฑ์ (ฉบับก่อน ซึ่งบัญญัติตรงกับฉบับปัจจุบันในเรื่องนี้)

ด้วยเหตุผลที่กล่าวมาข้างต้น การวินิจฉัยของศาลชั้นต้นที่ยกคำร้องของผู้ร้องจึงเป็นการวินิจฉัยที่คลาดเคลื่อนจากข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายอันเป็นสาระสำคัญอย่างยิ่ง ทั้งการใส่เครื่องพันธนาการโดยไม่มีเหตุผลจำเป็นและได้สัดส่วนรายกรณี ก่อให้เกิดบาดแผลต่อร่างกายและจิตใจอย่างต่อเนื่อง เข้าข่ายเป็นการทรมานตามมาตรา ๕ และ การปฏิบัติที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรมตามมาตรา ๖ ของของพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการทรมานฯ และเป็นการปฏิบัติที่ขัดต่อหลักการสูงสุดของรัฐธรรมนูญและหลักการสากล

ขอศาลอุทธรณ์โปรดพิจารณาพิพากษากลับคำสั่งของศาลชั้นต้น เพื่อให้เป็นไปตามเจตนารมณ์ของกฎหมายต่อไป

https://crcfthailand.org/2025/10/21/61219/



'สฤณี' เปิดที่มา 'มหากาพย์นายหน้า' เชื่อมโยงเครือข่ายสแกมเมอร์-นักธุรกิจ-การเมืองไทย ขอรัฐบาลตรวจสอบเพื่อความโปร่งใส


The Reporters
14 hours ago
·
SPECIAL:'สฤณี' เปิดที่มา 'มหากาพย์นายหน้า' เชื่อมโยงเครือข่ายสแกมเมอร์-นักธุรกิจ-การเมืองไทย ขอรัฐบาลตรวจสอบเพื่อความโปร่งใส

วันที่ 21 ต.ค.68 น.ส.สฤนี อาชวานันทกุล ผู้เชี่ยวชาญด้านการเงิน เปิดเผยว่า ตนยังคงติดตามการตรวจสอบกรณีที่ได้เปิดแผนผัง 'มหากาพย์นายหน้า' ที่ตั้งข้อสงสัยถึงการถือหุ้นและการทำธุรกรรมของกลุ่มธุรกิจไทยที่อาจจะเกี่ยวข้องกับเครือข่ายสแกมเมอร์

-จากการสืบสวนของ Tom Wright สู่แผนผัง 'มหากาพย์นายหน้า

น.ส.สฤณี เปิดเผยกับ The Reporters จุดเริ่มต้นของการเริ่มสืบสวนหาข้อมูลจนพบ 'มหากาพย์นายหน้า' มาจากที่ส่วนตัวเธอสนใจเรื่องการเงิน จึงนำรายชื่อนิติบุคคลที่ ซึ่งเป็นอดีตนักข่าวของ Wall Street Journal ได้ทำการสืบสวนสอบสวนเครือข่ายสแกมเมอร์กว่า 2 ปี และได้เปิดเว็บไซต์ข่าว Whale Hunting เปิดโปง เครือข่ายการเงินจีน-กัมพูชาได้รับการคุ้มครองจากนักการเมืองไทย และการเปิดข้อมูลที่เชื่อมโยงบทบาทของ ชายชาวแอฟริกาใต้ที่ชื่อ Benjamin Mauerberger หรือ 'เบน สมิธ' ที่อ้างว่าจัดซื้อเครื่องบินเจ็ตส่วนตัวให้นายทักษิณ ชินวัตร กับ Yim Leak 'ยิม เลียก' นักธุรกิจชาวกัมพูชา ซึ่งต่อมานายรังสิมันต์ โรม สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน ได้อภิปรายตั้งข้อสงสัยถึงความเชื่อมโยงของเครือข่ายนี้กับนักการเมืองไทยระดับรัฐมนตรีในรัฐบาลชุดใหม่ ซึ่งต่อมา ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รองนายกรัฐมนตรีและรมว.กระทรวงเกษตรฯ ออกมาปฏิเสธไม่เกี่ยวข้องกับ เบน สมิธ

นอกจากนี้ทั้ง เบน สมิธ และ ยิมเลียก มีชื่ออยู่ในบัญชีเครือข่ายสแกมเมอร์ ในร่างกฏหมายใหม่ 'Dismantle Foreign Scam Syndicates Act' ของสภาคองเกรสสหรัฐอเมริกา ที่ต้องการคว่ำบาตรกลุ่มธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการหลอกลวงสร้างความเสียหายกับชาวอเมริกัน

"ส่วนตัวสนใจเรื่องการเงิน จึงเอาชื่อนิติบุคคลที่ทอมไรต์ได้เปิดมา จึงเอาชื่อนิตบุคคลมาค้น ในกรมพัฒนาธุรกิจการค้า พบการธุรกรรมในตลาดทุน เจอความเชื่อมโยง หุ้นบางตัว อยู่ใน Bic Bank Cambodia โดยพบว่า 'ยิม เลียก'มีชื่อในร่างกฏหมายที่สภาคองเกรสสหรัฐฯ อยากผ่าน เป็นแซงชั่นลิสต์ ที่ระบุว่าเชื่อมโยงกับเครือข่ายสแกมเมอร์ ซึ่ง ยิมเลียก แต่งงานกับคนไทย มีตัวตนประมาณหนึ่ง และเมื่อนำข้อมูลธนาคาร BIC มาเทียบเคียงข้อมูลธุรกรรม ของกรมพัฒนาธุรกิจการค้า ก็เจอตัวละครต่างๆ อย่างที่ปรากฏในแผนผัง มหากาพย์นายหน้า"

น.ส.สฤณี เปิดเผยว่า เมื่อตนไปสืบค้นข้อมูลกับพบความเชื่อมโยงใน 5 กลุ่มธุรกิจ สำคัญ คือ 1.กลุ่มพลังงาน 2.เอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์และคาสิโน 3.สถาบันการเงิน 4.อสังหาริมทรัพย์ 5.ตลาดเงินคริปโต ซึ่งพบว่ามีนักธุรกิจคนไทยเข้าไปเกี่ยวข้องเชื่อมโยงถือหุ้นในกลุ่มบริษัทเหล่านี้ด้วย

"ถ้าเราเป็นนักธุรกิจสแกมเมอร์ในกัมพูชา ได้เงินจำนวนมากมาแล้ว ต้องหาทางฟอกเงิน ซึ่งเงินที่แก๊งค์คอลเซ็นเตอร์พวกนี้หามาได้ก็มาจากการทรมานคน เป็นการค้าทาสสมัยใหม่ มีการละเมิดสิทธิเยอะมาก ถ้าเราเป็นนักธุรกิจที่ฟอกเงินเหล่านี้ อยากได้อะไรมาฟอกเงิน"

น.ส.สฤณี ชี้ให้เห็นว่า วิธีการฟอกเงินของเครือข่ายสแกมเมอร์ อย่างที่เห็นจากเครือข่าย Prince Group ที่ทางการสหรัฐฯยื่นฟ้องฐานหลอกลวงออนไลน์และยึดทรัพย์เกือบ 5 แสนล้านบาทนั้น ก็ทำให้เห็นวิธีการของเครือข่ายเหล่านี้ ถ้าต้องการฟอกเงิน แน่นอนว่าอยากได้ธุรกิจพลังงาน ซึ่งจะช่วยฟอกได้อย่างไร เช่น การเข้าไปถือหุ้นในบริษัทค้าขายที่จดทะเบียนต่างประเทศ และทำไมต้องการเอนเตอร์เทนเมนต์ และคาสิโน เพราะเป็นกไกยอดฮิตของการฟอกเงิน รวมถึงธนาคาร ถามว่าทำไมอยากได้ เพราะเป็นจุดที่สามารถเอาเงินสกปรก เข้าระบบธนาคาร เข้ามาทำให้ใสสะอาด

"ถ้าเจ้าของคอลเซ็นเตอร์ยิ่งใหญ่เป็นเจ้าของธนาคาร แบบ ปรินซ์กรุ๊ป เงินคริปโต ก็เป็นแหล่งยอดนิยมเกี่ยวกับการฟอกเงิน ดังนั้นถ้ายิมเลียก และเบนจามิน ทำธุรกิจทุกอย่างถูกต้องไม่เกี่ยวอะไรกับคอลเซ็นเตอร์ในกัมพูชา จากเอกสารที่ค้นไม่มีอะไรผิด เพราะไม่เกี่ยวกับธุรกิจสแกมเมอร์ คนไทยที่เกี่ยวข้องในแผนผังก็ไม่ผิด ก็ต้องชี้แจงได้"

น.ส.สฤณี ย้ำว่าเหตุผลที่เธอเปิดเผยเรื่องนี้เพราะอยากเห็นการตรวจสอบ เมื่อพบธุรกิจไทย นักธุรกิจ นักการเมือง กลุ่มบุคคล เข้าไปเกี่ยวข้อง ถ้าไม่ผิดก็สามารถชี้แจงได้ และถ้ามีการเข้าไปในตลาดทุน คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ก.ล.ต.ต้องตรวจสอบว่ามีการเทคโอเวอร์ การถือหุ้นมีความผิดปกติหรือไม่ เป็นหน้าที่ของ ก.ล.ต.ในการแสวงหาความร่วมมือในการตรวจสอบเพื่อสร้างความโปร่งใสในตลาดทุนด้วย

ซึ่งจากแผนผัง 'มหากาพย์นายหน้า' ของ น.ส.สฤณี พบว่า ในความเชื่อมโยงทางธุรกิจของ เบนจามิน เมาเออร์เบอร์เกอร์ และ ยิม เลียก มีคนไทยเกี่ยวข้องด้วย 11 คน ซึ่งมีทั้งนักธุรกิจ และนักการเมือง หนึ่งในนั้น มีนายวรภัค ธันยาวงศ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ในรัฐบาล นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี และ รมว.กระทรวงมหาดไทย รวมอยู่ด้วย

โดยล่าสุดนายวรภัค ยอมรับว่าเคยให้คำปรึกษากับ 'ยิม เลียก' แต่ไม่ได้เกี่ยวข้องในการทำธุรกิจร่วมกัน และเตรียมแถลงข่าวในเร็วๆนี้ ส่วนคืนอื่นๆยังไม่มีการออกมาชี้แจง

น.ส.สฤณี ได้ตั้งคำถามด้วยว่า ถ้าแก๊งค์คอลเซ็นเตอร์อยากใช้ไทยเป็นฐานการฟอกเงินและมีสายสัมพันธ์แนบแน่นกับนักการเมืองที่มีอำนาจในไทย จะอยากได้อะไรมาก เพื่อฟอกเงินสกปรกของพวกเขา หากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะทำการสืบสวนสอบสวน ตั้งต้นจากแผนผังมหากาพย์นายหน้าของเธอ ก็ยินดีให้ข้อมูล ซึ่งน่าจะเป็นโอกาสสำคัญของรัฐบาลไทยในการจัดการเครือข่ายสแกมเมอร์ คอลเซ็นเตอร์เหล่านี้ให้ได้ด้วยซ้ำ

The Reporters กำลังทำการสืบสวนสอบสวนความเชื่อมโยงเครือข่ายสแกมเมอร์ ซึ่งพบความเกี่ยวข้องกับกลุ่มจีนเทาที่สร้างเครือข่ายสแกมเมอร์ทั้งในกัมพูชา ลาว และ เมียนมา รวมถึง 43 รายชื่อใน Sanction List ของสหรัฐอเมริกา พบความเชื่อมโยงกับหลายกลุ่มในประเทศไทยด้วย

ติดตามจากรายงานพิเศษ : เปิดอาณาจักรสแกมเมอร์-อาชญากรรมกรรมข้ามชาติ-ค้ามนุษย์ยุคใหม่

รายงาน : ฐปณีย์ เอียดศรีไชย

#TheReporters #เดอะรีพอร์ตเตอร์ #สแกมเมอร์ #อาชญากรรมข้ามชาติ

https://www.facebook.com/photo/?fbid=1191503443171689&set=a.534942252161148



รัฐบาลที่ไม่มีเอี่ยวกับแก๊งคอลเซ็นเตอร์เขาทำกันอย่างนี้

https://www.facebook.com/poetryofb/posts/1339826420851165

Poetry of Bitch
6 hours ago
·
รัฐบาลที่ไม่มีเอี่ยวกับแก๊งคอลเซ็นเตอร์เขาทำกันอย่างนี้
—————
ที่มาที่ไป
นักศึกษาเกาหลีวัย 22 ปี ถูกหลอกให้บินไปกัมพูชา แล้วโดนแก๊งจีนเทาจับตัวไปเรียกค่าไถ่และทรมานจนเสียชีวิต ผ่านไป 2 เดือนกว่าศพยังไม่ถึงบ้าน เพราะกัมพูชาอ้างว่ายังชันสูตรไม่เสร็จ
เรื่องนี้จุดประกายให้ข้อมูลพรั่งพรูออกมาว่า เฉพาะปีนี้มีคนเกาหลีถูกลักพาตัวในกัมพูชาแล้ว 330 ราย ทั้งเรียกค่าไถ่และบังคับให้ทำงานในแก๊งคอลเซ็นเตอร์
ชาวเกาหลีเดือดดาลสุด ๆ รุมสวดรัฐบาลว่าทำงานชักช้า ขาดความช่วยเหลือเชิงรุก สถานทูตก็อ่อนปวกเปียก ไร้ประสิทธิภาพ
รัฐบาลก้นร้อน ส่งคำร้องขอความร่วมมือไปยังกัมพูชาก็ไม่มีการตอบสนอง จึงประกาศปฏิบัติการฉุกเฉินทันที
และนี่คือสิ่งที่รัฐบาลเกาหลีทำ!
—————
แถลงข่าวแฉ
เริ่มจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติเกาหลีเปิดฉากแถลงข่าวกดดันกึ่งประจานกัมพูชา ด้วยการบอกว่า การขอความร่วมมือจากกัมพูชานั้น “ไม่ราบรื่น” เหมือนที่ขอจากประเทศอื่น คือ 70% ไม่มีการตอบสนอง
—————
เรียกทูตเข้าพบ
เรียกทูตกัมพูชาเข้าพบ ขอความร่วมมือให้จัดการปัญหาแก๊งคอลเซ็นเตอร์ และไม่ใช่เรียกแค่ครั้งเดียว แต่เรียกถึง 2 รอบ
—————
ยกระดับคำเตือนการเดินทาง
เกาหลียกระดับคำเตือนการเดินทางไปกัมพูชาในพื้นที่ต่าง ๆ เช่น
ระดับ 4 (ห้ามเดินทางทุกประเภท) ได้แก่ เขาโบโก, ปอยเปต และบาเวต
ระดับ 3 (แนะนำให้ออกจากพื้นที่) ได้แก่ สีหนุวิลล์
ซึ่งเป็นที่รู้กันว่าทั้ง 4 แห่งนี้คือเมืองสแกมเมอร์
ประเทศที่ไปเที่ยวกัมพูชามากเป็นอันดับ 6 คือเกาหลี ทำให้การยกระดับคำเตือนส่งผลกระทบต่อกัมพูชาทันที (ส่วนประเทศที่ไปเยือนกัมพูชาเป็นอันดับ 1 คือไทย)
—————
ขู่ระงับความช่วยเหลือ
:
เกาหลีใต้คือประเทศที่ให้เงินช่วยเหลือกัมพูชามากที่สุดในปี 2025 มีทั้งให้ฟรีและให้ยืม รวมแล้วนับร้อยโครงการ
แถมตอนนี้อยู่ระหว่างก่อสร้าง “สะพานมิตรภาพเกาหลี-กัมพูชา” โดยเงินของเกาหลี ซึ่งจะเป็นสะพานแขวนแห่งแรกในกรุงพนมเปญด้วย
พอเกิดเหตุการณ์นี้ ทั้งคนเกาหลี สื่อเกาหลี และนักการเมือง ก็จับมือกันขู่กัมพูชาว่าจะกดดันรัฐบาลให้ระงับโครงการทั้งหมด รวมทั้งโครงการของปีหน้าด้วย
—————
จัดการโฆษณางานปลอม
ไล่ลบและบล็อกโฆษณาออนไลน์รับสมัครงาน(ปลอม) ที่หลอกคนเกาหลีไปทำงานในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ทั้งหมด และจะสร้างระบบถาวรเพื่อปิดกั้นโฆษณาเหล่านี้ต่อไป
—————
ส่งระดับบิ๊กไปลุยเอง
:
ส่งทีมเฉพาะกิจที่มีทั้งหัวหน้าสำนักงานสอบสวนแห่งชาติ หน่วยข่าวกรองแห่งชาติ และ รมช.ต่างประเทศ บินไปกัมพูชาด้วยตัวเอง แสดงให้เห็นถึงความร้ายแรงของมาตรการรับมือ แล้วขอพบระดับลาสบอสเลย คือ “ฮุนมาเนต” นายกกัมพูชา
งานนี้ทำเอาฮุนมาเนตต้องมาพบด้วยตัวเอง และยอมเอ่ยปากแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้ง พร้อมให้คำมั่นว่าจะเพิ่มความพยายามเป็น 2 เท่าเพื่อปกป้องชาวเกาหลีในกัมพูชา
—————
พาผู้สมรู้ร่วมคิดกลับไปรับโทษ
:
มีคนเกาหลีไปเป็นแก๊งคอลเซนเตอร์ที่กัมพูชาถูกจับได้ 64 คน บางคนเคลมว่าตัวเองเป็นเหยื่อ
เกาหลีเหมาลำเครื่องบิน Korean Air พา 64 คนนี้กลับบ้านทันที ขึ้นเครื่องปุ๊บ สวมกุญแจมือปั๊บ พอถึงเกาหลีก็กระจายตัวพาไปสอบสวนที่สถานีตำรวจ 6 แห่งและคุมขังทันที
—————
ขึ้น Blacklist ห้ามเข้ากัมพูชา
:
จัดทำ Blacklist ห้ามคนเกาหลีที่เคยเอี่ยวกับแก๊งคอลเซ็นเตอร์เดินทางเข้ากัมพูชาอีก (เช่น 64 คนที่ถูกจับ)
ในขณะเดียวกันก็ขอให้กัมพูชาแบนคนเหล่านี้ด้วย เพื่อไม่ให้มาก่อคดีซ้ำ งานนี้ฮุนมาเนตรับปากจัดการให้ด้วยตัวเอง
—————
ตั้ง Korean Desk
เจรจาขอตั้ง Korean Desk ที่กัมพูชา คือส่งตำรวจเกาหลีไปประจำการ ทำงานร่วมกับตำรวจท้องถิ่น เพื่อจะได้ช่วยเหลือพลเมืองเกาหลีที่ตกเป็นเหยื่อได้เร็วขึ้น
—————
ตั้งหน่วยเฉพาะกิจร่วม
:
มัดมือชกกัมพูชาให้ร่วมกันจัดตั้ง “หน่วยเฉพาะกิจร่วม” (Korea-Cambodia Joint Task Force) เพื่อปราบแก๊งคอลเซ็นเตอร์ระหว่าง 2 ประเทศ
ในอนาคตหากกัมพูชาจับชาวเกาหลีที่มีเอี่ยวกับแก๊งนี้ได้ ข้อมูลจะถูกแชร์ให้เกาหลีผ่านหน่วยเฉพาะกิจนี้ทันที
—————
ตรวจสอบศูนย์สแกมเมอร์
:
ผู้แทนรัฐบาลเกาหลีและสื่อเกาหลี ลงพื้นที่ตรวจสอบศูนย์สแกมเมอร์ 2 แห่งในกรุงพนมเปญและจังหวัดตาแก้ว เพื่อเพิ่มแรงกดดันให้กัมพูชาปราบปรามแก๊งเหล่านี้
โดยศูนย์สแกมเมอร์ที่ไปตรวจสอบนั้นถูกทิ้งร้างเพราะแก๊งนี้เพิ่งหนีไปประเทศไทย แต่ยังพบร่องรอยการกักขังและอุปกรณ์สแกมที่ทิ้งไว้
—————
พาน้องกลับบ้าน
:
น้องนักศึกษาที่ถูกฆ่าตายในกัมพูชาตั้งแต่สิงหาคม 2025 ผ่านไป 2 เดือนกว่าศพยังไม่ถึงบ้านเพราะกัมพูชาอ้างว่ายังชันสูตรไม่เสร็จ
เกาหลีส่งตำรวจและแพทย์นิติเวชไปกัมพูชาทันที แล้วกดดันให้กัมพูชากำหนดวันชันสูตร โดยมีเงื่อนไขว่าเกาหลีต้องร่วมชันสูตรด้วย เสร็จแล้วฌาปนกิจและส่งอัฐิของน้องถึงมือพ่อแม่ได้สำเร็จในวันนี้ (21 ตุลาคม 2025)
—————
อายัดเงินเฉินจื้อ
:
เกาหลีตรวจพบว่า “เฉินจื้อ” และ Prince Group ผู้อยู่เบื้องหลังแก๊งคอลเซ็นเตอร์ในกัมพูชา ได้ฝากเงินและทำธุรกรรมทางการเงินกับธนาคารเกาหลี 4 แห่ง รวมเป็นเงินมากกว่า 91,200 ล้านวอน (ราว 2.5 พันล้านบาท) จึงสั่งอายัดทันที และเตรียมคว่ำบาตรตามสหรัฐฯ และอังกฤษต่อไป
—————
สรุปและเรียบเรียงจาก: Chosun, Jayu Ilbo, The Korean Herald, The AngJoong, Digital Times, Kyunghyang Shinmun, Hankyoreh