
จาตุรนต์ ฉายแสง อดีตรักษาการหัวหน้าพรรคไทยรักไทย บอกว่า เขา "เป็นคนชูธงประชาธิปไตยในช่วงที่เป็นแกนนำ" แต่ปัจจุบันเขาไม่ได้อยู่ในโครงสร้างผู้บริหารพรรคเพื่อไทยแต่อย่างใด
สู้ในสนามประชามติ ภารกิจจาตุรนต์ ฉายแสง นักการเมือง "แผนกประชาธิปไตย" ของเพื่อไทยหทัยกาญจน์ ตรีสุวรรณ
ผู้สื่อข่าวบีบีซีไทย
เมื่อ 9 ชั่วโมงที่แล้ว
จาตุรนต์ ฉายแสง ทิ้งเก้าอี้ประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์พรรคเพื่อไทย (พท.) ทั้งที่ประจำการในตำแหน่งหัวโต๊ะได้ไม่ถึงเดือน1 วันก่อนพรรค พท. เปิดตัว 3 แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรค จาตุรนต์ยื่นใบลาออกจากตำแหน่งเดิม ก่อนออกมายืนยันในภายหลังว่าไม่ได้ถูกหลอก-ไม่ได้ถูกหัก แต่สมัครใจลุกจากเก้าอี้เอง เพื่อไปทำภารกิจรณรงค์ออกเสียงประชามติแก้ไขรัฐธรรมนูญ ซึ่งเป็น "วาระประจำตัว" ของเขา
"เรื่องรัฐธรรมนูญ เรื่องประชาธิปไตย มันเป็นเรื่องประจำตัวของผมอยู่ มันไม่ใช่ข้ออ้างแน่ คือถ้าไม่มีเรื่องนี้ ผมไม่สามารถทำอะไรได้เลย ก็พูดตรง ๆ ใน 2 ปีที่ผ่านมา ไม่รู้ว่าจะเป็น สส. ไปทำไม... แต่บังเอิญว่ามีเรื่องรัฐธรรมนูญต่อเนื่องมา มันก็ทำให้อย่างน้อยผมรู้สึกว่าเป็น สส. ยังทำประโยชน์ได้ ถึงแม้ผลลัพธ์ไม่ใช่เกิดขึ้นได้ง่าย ๆ แต่อย่างน้อยก็ได้พยายาม" จาตุรนต์กล่าวกับบีบีซีไทย
นักการเมืองอาวุโสรายนี้ผ่านมาหลากหลายตำแหน่งทางการเมืองกับ "พรรคสีแดง" ไม่ว่าจะเป็น สส. รองนายกฯ รมต. รักษาการหัวหน้าพรรค ผู้ชูธง "ต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย-ขับไล่เผด็จการ" จนได้สถานะ "
นักโทษคดีการเมือง" หลังรัฐประหารปี 2557
ภารกิจสุดท้ายที่เขาทำในสภาผู้แทนราษฎรชุดที่ 26 คือ กรรมาธิการ (กมธ.) พิจารณา
ร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ... รัฐสภา ก่อนที่ร่างกฎหมายดังกล่าวจะตกไปเมื่อมีการยุบสภา 12 ธ.ค. 2568
ทว่าสถานะที่เขายังไม่เคยสัมผัสคือ หัวหน้าพรรค และแคนดิเดตนายกฯ ในบัญชีของเพื่อไทย

เจ้าหน้าที่ทหารเข้าควบคุมตัวจาตุรนต์ในระหว่างเปิดแถลงข่าวเกี่ยวกับผลกระทบจากการรัฐประหาร ที่สมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศประจำประเทศไทย (FCCT) เมื่อ 27 พ.ค. 2557 ทั้งนี้เขาถูกดำเนินคดีในข้อหาฝ่าฝืนคำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เรียกรายงานตัว และยุยงปลุกปั่นตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 116 และผิด พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์
ในปี 2569 จาตุรนต์จะมีอายุครบ 70 ปีเต็ม และมีอายุงานทางการเมืองครบ 40 ปี เขามีมุมมองอย่างไรต่อพรรค-ตนเอง-ประชาธิปไตย
"พรรคฝ่ายประชาธิปไตย"?วันเข้ารับตำแหน่งประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์พรรค พท. จาตุรนต์ประกาศภารกิจ "ขยับจุดยืนพรรค" เพื่อทำให้เพื่อไทยกลับมาเป็นผู้เล่นสำคัญในสนามการเลือกตั้ง ผ่านการสร้างนโยบาย-สร้างประชาธิปไตย
น่าสนใจว่า "จุดที่พรรคยืนอยู่" กับ "จุดที่ควรเป็น" มันใกล้-ไกลกันแค่ไหนในสายตาของเขา
"มันก็เคลื่อนไปพอสมควร ต้องยอมรับ" จาตุรนต์บอก
เขาลำดับความเป็นไปที่เกิดขึ้นภายหลังเลือกตั้ง 2566 ซึ่งการจัดตั้งรัฐบาลยังต้องอาศัยเสียง สว. ร่วมกับ สส. โหวตเห็นชอบนายกฯ ตามบทเฉพาะกาลของรัฐธรรมนูญ 2560 ทำให้เกิดการ "ขยับขั้ว-เปลี่ยนข้าง" กระทั่งบทเฉพาะกาลสิ้นสุดลง เรื่องขั้วจึงเริ่มจางลง
เมื่อมีการตั้งรัฐบาล "อนุทิน" โดย สส.พรรคประชาชน (ปชน.) พลิกไปร่วมโหวตสนับสนุนนายกฯ คนที่ 32 เขาจึงเห็นว่า "ปัญหาเรื่องจุดยืนของพรรคเพื่อไทยที่เคลื่อนไป ก็ขยับกลับมาได้บ้าง" และ "มันทำให้ไม่มีใครเด่นมาก ๆ หรือไม่เด่นมาก ๆ ในเรื่องของการชูธงประชาธิปไตย หรือยืนอยู่ตรงข้ามกับฝ่ายอนุรักษนิยม"

ในวันเปิดตัวแคนดิเดตนายกฯ ของเพื่อไทย มีการฉายภาพ 6 อดีตนายกฯ ของพรรค ตั้งแต่ ทักษิณ ชินวัตร (2544-2549), สมัคร สุนทรเวช (2550-2551), สมชาย วงศ์สวัสดิ์ (2551), ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร (2554-2557), เศรษฐา ทวีสิน (2566-2567), แพทองธาร ชินวัตร (2567-2568)
"พรรคสีแดง" ซึ่งมีอายุกว่า 2 ทศวรรษนับจากก่อตั้งพรรคไทยรักไทย-พลังประชาชน-เพื่อไทย ต้องเผชิญกับวิบากกรรมทางการเมือง จากคำสั่งยุบพรรค 2 พรรค (ทรท. ปี 2550 และ พปช. ปี 2551) ผู้นำรัฐบาลจากตระกูลชินวัตรถูกรัฐประหาร 2 ครั้ง (รัฐบาลทักษิณ ปี 2549 และรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ปี 2557) ก่อนที่ "ผู้มีบารมีเหนือพรรค" จะพยายามทำ "ซูเปอร์ดีล" 2 ครั้ง ครั้งแรกล้มเหลว ทำให้พรรคไทยรักษาชาติ (ทษช.) ถูกยุบพรรค-ไปไม่ถึงวันเลือกตั้ง 2562 ครั้งล่าสุดคล้ายประสบความสำเร็จในช่วงต้น สะท้อนผ่านการที่อดีตนายกฯ ทักษิณได้กลับบ้านเกิดในวันโหวตเลือก เศรษฐา ทวีสิน เป็นผู้นำ "รัฐบาลผสมข้ามขั้ว" หลังเลือกตั้ง 2566 ก่อนที่สถานการณ์จะพลิกผันอีกครั้งในอีก 2 ปีต่อมา ท่ามกลางเสียงวิจารณ์เรื่อง "ดีลล่ม"
ถึงตอนนี้ ยังเรียกได้เต็มปากหรือไม่ว่าเพื่อไทยคือ "พรรคฝ่ายประชาธิปไตย"
นักการเมืองรุ่นใหญ่ ผู้อยู่ใต้ชายคาพรรคสีแดงตั้งแต่ยุคไทยรักไทย ย้ำคำเดิมว่า "มันเคลื่อนไปเคลื่อนมา" แต่พอจบลงที่พรรค พท. แสดงบทบาทเต็มที่ในการผลักดันร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อนำไปสู่การจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ "ผมก็ว่ายังไม่ตกขบวนของฝ่ายประชาธิปไตย แต่มันต้องการอะไรที่มากขึ้นจริงจังขึ้นตั้งแต่การเลือกตั้งนี้ สิ่งที่จะนำเสนอเรื่องที่เกี่ยวกับการทำให้บ้านเมืองเป็นประชาธิปไตยต้องทำจริงจัง ต้นทุนเดิมมันถึงจะถูกกลับมาใช้ได้"
ในทัศนะของจาตุรนต์ การตัดสินใจประนีประนอมกับชนชั้นนำฝ่ายอนุรักษนิยม ทำให้พรรค พท. มีราคาต้องจ่ายหลายเรื่อง ไม่ว่าจะเป็น ความเป็นพรรคแกนนำ/กองหน้าในฝ่ายประชาธิปไตย, มวลชนที่สนับสนุน, และความอ่อนแอลงของขบวนฝ่ายประชาธิปไตย
อย่างไรก็ตามเขาชี้ว่า พรรคการเมืองมีขึ้น มีลง มีเปลี่ยนไป แต่สิ่งสำคัญคือจะกลับมาหาที่มั่นเดิมของตัวเองได้หรือไม่
ประชาธิปไตย = นโยบายส่วนควบวันเปิดตัว
3 แคนดิเดตนายกฯ ของพรรรค พท. เมื่อ 16 ธ.ค. ดูเหมือนจะไม่มีข้อความทางการเมือง-ไม่มีการสื่อสารจุดยืนเรื่องรัฐธรรมนูญอย่างจริงจัง ทั้งที่ 2 นายกฯ ของพรรค - เศรษฐา ทวีสิน และ แพทองธาร ชินวัตร – ต้องพ้นจากตำแหน่งด้วยเงื่อนไขของรัฐธรรมนูญฉบับที่ 20
นี่ถือเป็นเรื่อง "ผิดปกติ" หรือเป็น "ความปกติใหม่" ของเพื่อไทยในยุคปัจจุบัน
นักการเมืองอาวุโสอธิบายว่า ในการเลือกตั้ง 2-3 ครั้งหลัง บางช่วงพรรค พท. เน้นนโยบายเรื่องเศรษฐกิจปากท้อง ส่วนเรื่องประชาธิปไตยหรือแก้รัฐธรรมนูญทั้งฉบับ "มักไปไว้เป็นส่วนควบ ไม่ชูเป็นประเด็นหลัก"
ส่วนการเลือกตั้งครั้งนี้ แกนนำบางคนก็เรียกหาถามหาอยู่ คิดว่าจะต้องมีการพูดต่อไป และมีอยู่ในนโยบายเรื่องประชาธิปไตยที่พรรคจะส่งให้คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ด้วย
พรรค พท. เดินเข้าสู่สนามเลือกตั้งภายใต้คำขวัญ "ยกเครื่องประเทศไทย เพื่อไทยทำได้" ซึ่งจาตุรนต์เห็นว่าเป็นความท้าทายของพรรค พท. ว่าจะนำเสนอนโยบายหลัก-นโยบายใหม่ที่สอดคล้องกับสารพันปัญหาที่ประเทศเผชิญอยู่และมีความสลับซับซ้อนได้อย่างไร

หากเพื่อไทยชนะเลือกตั้ง จะได้ ยศชนัน วงศ์สวัสดิ์ บุตรชายของอดีตนายกฯ สมชาย-เยาวภา วงศ์สวัสดิ์ เป็นนายกฯ แม้พรรคส่งชื่อแคนดิเดตนายกฯ ครบ 3 คนก็ตาม
อดีตนักการเมืองมากประสบการณ์พบ "ลักษณะพิเศษ" ในการเลือกตั้งครั้งนี้ นั่นคือ การหวนกลับมาของการรวมตัวกันของนักการเมืองที่พรรคใดพรรคหนึ่ง คล้ายกับเมื่อปี 2548 ทว่าด้วยเหตุผลและสภาพทางการเมืองที่แตกต่างกันลิบลับ
ในปี 2548 นักการเมืองแห่ไปรวมตัวกันที่ "พรรคคิดใหม่ทำใหม่" เพราะเห็นว่าบริหารประเทศมา 4 ปี เป็นที่นิยม ประสบความสำเร็จ ทำให้พรรค ทรท. ชนะการเลือกตั้งมากเป็นประวัติศาสตร์ 377 เสียง
แต่ในปี 2568 นักการเมืองหลั่งไหลไปรวมกันที่พรรคหนึ่ง เพราะเห็นเรื่องอำนาจและโอกาสในการชนะเลือกตั้ง การเมืองจึงไม่ได้เดินไปในทิศทางมุ่งแข่งขันกันด้วยนโยบาย พอประกอบกับยุทธศาสตร์ชาติ รัฐธรรมนูญ และบรรยากาศการเมืองที่อาจ "เปิดโปงผสมกับสาดโคลน ทำไปทำมา มันจะเตี้ยลงไปด้วยกัน เสียหายลงไปด้วยกัน"
เหล่านี้นำมาสู่บทสรุปจากจาตุรนต์ที่ว่า นอกจากเจอสภาพที่โจทย์ของประเทศก็ไม่ตอบ อาจมีปัญหาซ้อนเข้ามาคือความน่าเชื่อถือของนักการเมืองซึ่งโดยทั่วไปต่ำอยู่แล้ว
"ผ่านการเลือกตั้งไปจนถึงตั้งรัฐบาลคราวหน้า เราอาจจะเจอกับสภาพที่พรรคการเมืองที่มาเป็นรัฐบาลมีต้นทุนเริ่มต้นต่ำเป็นพิเศษก็ได้ เพราะคนจะรู้สึกว่าคุณไม่ใช่ แล้วรัฐบาลจะเขียนนโยบายกันอย่างไร เพราะเป็นรัฐบาลผสมอีก" เขาวิเคราะห์
จุดสมประโยชน์ระหว่างเพื่อไทย-จาตุรนต์
เมื่อชวนย้อนกลับมาพินิจพรรคต้นสังกัดของตัวเอง ท่ามกลางสถานการณ์ตกต่ำ-นักเลือกตั้งไหลออก ถึงขั้นมีข้อวิเคราะห์ว่าพรรค พท. อาจตกที่นั่ง "พรรคต่ำร้อย" แต่ทำไม "นักต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย" ที่ชื่อจาตุรนต์ ก็ยังไม่มีที่อยู่-ที่ยืนนัก
เจ้าตัวหัวเราะเล็ก ๆ ก่อนเรียบเรียงคำตอบแบบไม่ค่อยลื่นไหลนัก "ก็... เป็นเรื่อง คือ... การเมืองมันมีการเคลื่อนไป ต้องเลี้ยวไปเลี้ยวมา บางทีมันก็เป็นช่วงที่.. อย่างผมเคยเป็น รมต. สมัยไทยรักไทย ตลอดเวลาที่ไทยรักไทยเป็นรัฐบาล หลังจากนั้นก็ถูกเพิกถอนสิทธิอะไรไป เป็นไปแป๊บเดียวก็ยึดอำนาจอีก ครั้งที่แล้วไม่ได้เป็นก็มีเหตุเฉพาะที่อาจจะเป็นที่รู้ ๆ กัน ก็ไม่ใช่เรื่องถึงขั้นว่า อืม... จะเรียกว่าอะไร เลือกปฏิบัติ หรือปิดทาง หรือตัดอนาคตพวกที่ต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย"
อีกความคิดที่อยู่ในหัวของ "อดีตคนเดือนตุลา" ที่กลายเป็น "นักการเมืองอาชีพ" คือ "พรรคการเมืองก็เป็นเครื่องมือของนักการเมืองเหมือนกัน" ที่ผ่านมา เขาได้ใช้ประโยชน์จากพรรค พท. ในการต่อสู้เพื่อให้บ้านเมืองเป็นประชาธิปไตย ซึ่งย่อมดีกว่าไปรณรงค์โดด ๆ ในนามนายจาตุรนต์ ส่วนพื้นที่และตำแหน่ง ไม่ใช่เรื่องที่เขาถือเป็นเงื่อนไขในการลงสมัครรับเลือกตั้งทุกครั้งที่ผ่านมาในชีวิตการเมือง
"ผมไม่เคยต่อรองกับพรรคการเมืองก่อนการเลือกตั้ง ว่าเลือกตั้งแล้วจะต้องให้ผมเป็นอะไร ไม่เคย ดังนั้นข้างหน้าก็ว่ากันไป" อดีต สส.บัญชีรายชื่อ ลำดับที่ 13 ของพรรค พท. กล่าว
นอกจากใช้พรรคเป็นเครื่องมือในการให้ได้มาซึ่งประชาธิปไตย คิดหรือไม่ว่าพรรคก็ใช้ "ต้นทุนเก่า" ของจาตุรนต์ในการทำให้ยังยืนอยู่ในระนาบ "พรรคฝ่ายประชาธิปไตย" เหมือนกัน บีบีซีไทยถาม
"บางคนเขาก็แซวว่าผมเป็นนักการเมืองแผนกประชาธิปไตยใช่ไหม" เขาชิงเล่นตัวเองเพื่อไม่ให้เจ็บหนัก ก่อนกล่าวต่อไปว่า ตอนนี้ถ้าจะเรียกว่า "แผนกประชาธิปไตย" ก็อาจจะเข้ากับสถานการณ์นะ เพราะมันจำเป็นต้องมีคนอย่างน้อยกลุ่มหนึ่งที่คิดจริงจัง ทำงานจริงจังเพื่อให้ประชามติผ่าน เพราะเป็นเรื่องความเป็นความตายของประเทศ
"พรรคเพื่อไทยใช้ผมเป็นประโยชน์ไหม บางช่วงก็อาจจะจำเป็นต้องไม่ใช้ เนื่องจากไปเดินเส้นทางอีกแบบหนึ่ง แต่ว่าตอนนี้ถ้าจะใช้ ผมก็ยินดี และผมก็ต้องการที่จะใช้พรรคด้วยเหมือนกัน มันก็อาจจะสมประโยชน์กัน เอาละมาช่วยกัน เพราะว่าพรรคเพื่อไทยก็ต้องการเพิ่มบทบาทในเรื่องประชาธิปไตยให้กลับมาใกล้เคียงกับเมื่อก่อน"

จาตุรนต์ขึ้นเวทีปราศรัยในช่วงโค้งสุดท้ายก่อนเลือกตั้ง 2566
การต่อสู้ในสนามประชามติยกที่ 3ย้อนไปที่การทำประชามติ 2 ครั้งของประเทศ เพื่อสอบถามประชาชนว่าจะรับ-ไม่รับร่างรัฐธรรมนูญที่จัดทำขึ้นในบรรยากาศหลังรัฐประหาร 2549 และหลังรัฐประหาร 2557 พรรคสีแดงเป็นหัวหอกในการรณรงค์ "คว่ำร่างรัฐธรรมนูญ" ทั้ง 2 ฉบับ (รัฐธรรมนูญฉบับ 2550 และรัฐธรรมนูญฉบับ 2560) โดยจาตุรนต์และพวกร่วมทำแคมเปญ "We vote No"
ในปี 2569 จะมีการทำประชามติพ่วงกับการเลือกตั้ง สส. ครั้งแรกในประวัติศาสตร์ชาติไทย เพื่อไทยอยู่ตรงไหนในประวัติศาสตร์หน้านี้
"อยู่ตรงรณรงค์ให้ประชาชนเห็นชอบแบบเต็มตัว ผลักดันเต็มที่" เขาตอบทันควัน
แม้ แสวง บุญมี เลขาธิการ กกต. เตือนพรรคการเมืองให้พูดเพียงว่า "มีนโยบายเรื่องแก้ไขรัฐธรรมนูญอย่างไร แต่ไม่ใช่ไปบอกว่าจะเห็นชอบหรือไม่เห็นชอบ" แต่จาตุรนต์ขอสวนกลับว่า "กกต. เข้าใจผิด ไม่เข้าใจกฎหมาย"
พระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ว่าด้วยการออกเสียงประชามติ มาตรา 17 ระบุว่า ประชาชน พรรคการเมือง องค์กรเอกชน และกลุ่มต่าง ๆ มีสิทธิและเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญในการจัดกิจกรรมรณรงค์เพื่อการออกเสียงได้อย่างเสรี เสมอภาค และเท่าเทียมกัน
เขาชี้ว่า ข้อความนี้ไม่ได้หมายถึงรณรงค์ให้คนไปออกเสียง หรือเชิญชวนไปลงประชามติ แต่หมายถึงรณรงค์ในทางเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยได้ ส่วนบทบัญญัติที่บอกว่า "ห้ามชี้นำ" ตามมาตรา 14 ของกฎหมายฉบับเดียวกันนี้ มีไว้สำหรับคณะกรรมการที่จะเผยแพร่เนื้อหาของประชามติก็คือ กกต. นั่นเอง ที่เวลาจัดส่งเอกสารเผยแพร่เรื่องประชามติไปยังเจ้าบ้าน ห้ามบอกว่าควรรับ-ไม่ควรรับ ควรเห็นชอบ-ไม่เห็นชอบ
ส่วนในพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ (พ.ร.ป.) ว่าด้วยการเลือกตั้ง สส. ก็ไม่ได้ห้ามผู้สมัครทำเรื่องนี้
"ทีนี้ กกต. จะมาสับสน จะมาบอกว่าถ้าคุณเป็นผู้สมัครห้ามพูดเรื่องรณรงค์ มันกลายเป็นจำกัดสิทธิเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น... แล้วพอมี (ประชามติ) ในวันเดียวกับการเลือกตั้ง เพื่อประหยัดงบประมาณ เลยกลายเป็นว่าแสดงความเห็นไม่ได้ อันนี้มันเพี้ยนแล้วละ"

3 เกลอ - จาตุรนต์, ชูศักดิ์ ศิรินิล, ชลน่าน ศรีแก้ว (จากขวาไปซ้าย) - กมธ.พิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญในโควต้าพรรคเพื่อไทย ขึ้นทำหน้าที่เป็นวาระสุดท้ายในระหว่างการประชุมร่วมรัฐสภา 10-11 ธ.ค. ก่อนที่นายกฯ จะประกาศยุบสภา
ว่าที่ประธานคณะกรรมการรณรงค์ในการออกเสียงประชามติแก้ไขรัฐธรรมนูญ พรรค พท. กางโรดแมปผลักดันวาระรัฐธรรมนูญ ท่ามกลางกระแสความสนใจที่แผ่วเบาของคนในสังคม เอาไว้ ดังนี้
ขั้นแรก ลุ้นให้ กกต. ออกระเบียบที่ไม่ขัดขวางการรณรงค์
ขั้นต่อมา หารือภายในพรรค พท. ก่อนหารือกับพรรคการเมืองอื่นและองค์กรภาคประชาชนที่รณรงค์เรื่องประชาธิปไตยและรัฐธรรมนูญ นำข้อกฎหมายมากางและร่วมกันคิดกลยุทธ์
เขาเห็นว่า ต้อง "เปิดประเด็นที่ช็อกสังคม" ว่าถ้าประชามติไม่ผ่านเป็นเรื่องใหญ่มาก เป็นเรื่องความเป็นความตายของประเทศ เราจะแก้รัฐธรรมนูญนี้ไม่ได้ไปอีกนาน ซึ่งจะทำให้ประเทศเสียโอกาสมาก
กับคนที่ถามว่าจะแก้รัฐธรรมนูญทำไม หรือคนที่ขอทำมาหากินก่อน ขอแก้ปัญหาเศรษฐกิจก่อน เขาเตรียมคำอธิบายเอาไว้ว่า ทุกวันนี้ที่ทำอะไรไม่ได้ มีนโยบายไม่ได้ รัฐบาลไม่มีเสถียรภาพ หลักนิติธรรมถูกบิดเบือนไปมาก เกิดการเลือกปฏิบัติ พรรคการเมืองถูกทำให้อ่อนแอลงอย่างหนัก สภาพที่เป็นอยู่นี้เกิดจากทั้งการรัฐประหาร การกระทำของ คสช./รัฐบาล คสช. และผลจากรัฐธรรมนูญปัจจุบัน ดังนั้นถ้าไม่ทำรัฐธรรมนูญกันใหม่ ประเทศไทยจะอยู่ในสภาพที่ปรับตัวยากมาก พลิกสถานการณ์ไม่ได้ และจะเสื่อมลง ๆ ทุกด้านทั้งเศรษฐกิจ สังคม การเมือง
แกนนำทีมแคมเปญประชามติของพรรค พท. ระบุว่า ถ้า "ช็อกสังคม" ได้แล้ว ถึงมาเชิญชวนให้มาร่วมกัน อย่าให้ประชามติตกไป อย่าให้ประชาชนไปอยู่คูหาเดียว ไม่ไปออกเสียงประชามติ
เมื่อมองจากมุมนักต่อสู้เรียกร้องรัฐธรรมนูญที่เป็นประชาธิปไตย เห็นว่า ประชามติ 2569 คือหัวเลี้ยวหัวต่อสำคัญที่อาจไปสู่ "ด้านมืด" หรือ "ด้านสว่าง" ก็ได้
- ถ้าไม่ผ่าน: จบเลย แก้รัฐธรรมนูญไม่ได้อีกแล้ว ไม่มีใครรู้ว่าจะทำประชามติอีกเมื่อไร หรือถ้ามีการเสนอร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญในรัฐสภา ก็จะมีคนบอกว่าประชามติไม่ให้แก้แล้วนี่
- ถ้าผ่าน: ประชามติมันมีแรงกดดัน มีพลังของประชาชนที่บอกว่าต้องจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ทำให้ฝ่ายต่าง ๆ ต้องไปคิด สว. ก็ต้องคิด สว. ชุดนี้ยังคิดไม่ได้ สว. ชุดหน้าก็ต้องคิด

เครือข่ายภาคประชาชนเดินขบวนเรียกร้องให้มีการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่เมื่อ 10 ธ.ค. ซึ่งเป็นวันรัฐธรรมนูญ
การออกเสียงประชามติยกที่ 3 นี้ จะจัดขึ้นในวันเดียวกับการเลือกตั้งทั่วไป 8 ก.พ. 2569 เพื่อสอบถามประชาชนผู้มีอำนาจในการสถาปนารัฐธรรมนูญว่า "ท่านเห็นชอบว่าสมควรมีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่หรือไม่" ซึ่งเป็นคำถามจากคณะรัฐมนตรี (ครม.) ของรัฐบาล "อนุทิน" ไม่ใช่คำถามตามมติของที่ประชุมร่วมรัฐสภาเมื่อ 11 ธ.ค. แต่อย่างใด
การผ่านความเห็นชอบ อาศัยเสียงข้างมากของผู้มาออกเสียง ทว่าคะแนนที่ได้ต้องมากกว่าผู้กาช่อง "ไม่แสดงความคิดเห็น" หรือ No Vote
ภารกิจสุดท้ายกับเพื่อไทย?เมื่อถามว่า นี่คือภารกิจสุดท้ายกับพรรค พท. หรือยัง จาตุรนต์ "ตอบไม่ถูก" โดยบอกว่า ภารกิจเรื่องทำให้บ้านเมืองเป็นประชาธิปไตย ถ้ายังมีช่องทางทำได้อีก ครั้งนี้ก็ไม่ใช่ภารกิจสุดท้าย ส่วนการเลือกตั้ง ก่อนหน้านี้คิดจะไม่ลงสมัครเลยด้วยซ้ำ แล้วก็ไม่น่าจะมีอะไรทำได้เท่าไหร่แล้ว แต่บังเอิญมาเกิดเรื่องประชามติขึ้น
สำหรับชายผู้นี้ รัฐธรรมนูญเป็น "เหตุผล" หนึ่งที่ทำให้ยังอยู่กับการเมืองมา ไม่ใช่ "ข้ออ้าง" แน่นอน
ส่วนกับพรรคสีแดง เขายอมรับว่าถูกคนนอกถามหลายครั้งว่าถ้าเห็นไม่ตรงกับพรรคอยู่บ่อย ๆ ทำไมไม่ออกไป ทำไมยังอยู่
"บางอารมณ์ ผมก็บอกว่าอ้าว ผมก็มีความเป็นเจ้าของพรรคเหมือนกัน ถึงแม้คุณจะคำนวณความเป็นเจ้าของพรรคจากอะไร ไม่รู้ใช่ไหม แต่เราก็มีความเป็นเจ้าของพรรค"
"การเป็นนักการเมืองก็คือพรรคใช้คน คนก็ใช้พรรค ผมก็ใช้พรรคการเมืองเป็นเครื่องมือในการต่อสู้กับเผด็จการ ต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย ก็พรรคก็มีขึ้นมีลง… เป็นครั้งสุดท้ายกับพรรคเพื่อไทยไหม พรรคเพื่อไทยอาจจะปรับตัวได้มากในคราวนี้อีกก็ได้ หรือถ้าทรุดลงไปอีกด้วยเหตุอะไรก็ตาม ผมกับอีกหลาย ๆ คนจะช่วยทำให้ฟื้นขึ้นมาอีกได้ไหม หรือยังไง อันนี้ก็ต้องคิดกันต่อไป"
นี่อาจพอเป็นคำตอบได้ว่าจาตุรนต์ยังมีอนาคตกับพรรคสีแดงหรือไม่
https://www.bbc.com/thai/articles/crl97wyn0zno
.....
https://www.facebook.com/reel/1217255120268889