ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน9 hours ago
oseSportdnt9lh0362ahml35t1f5c92m14gli6a7l46mai8iuc7uh0025t7u ·
ศาลอุทธรณ์ภาค 5 กลับคำพิพากษาคดี ม.112-พ.ร.บ.คอมฯ “สุปรียา” แขวนป้าย “งบสถาบันฯ” จำคุกรวม 5 ปี ก่อนได้ประกันชั้นฎีกา
.
.
วันที่ 14 ส.ค. 2568 ศาลจังหวัดเชียงรายนัดฟังคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ภาค 5 ในคดีของ “แซน” สุปรียา ใจแก้ว อดีตนักกิจกรรมในจังหวัดเชียงราย และทีมงานพรรคเพื่อไทย ในข้อหาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 และ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ มาตรา 14 (2) จากการถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้วางป้ายผ้าที่มีข้อความว่า “งบสถาบันฯ>งบเยียวยาประชาชน” บริเวณห้าแยกพ่อขุนเม็งราย อำเภอเมืองเชียงราย เมื่อวันที่ 4 ม.ค. 2564
.
ศาลอุทธรณ์ภาค 5 กลับคำพิพากษาของศาลชั้นต้น เป็นเห็นว่ามีความผิดตามฟ้อง โดยเห็นว่าข้อความบนป้ายมีลักษณะเปรียบเทียบลดทอนคุณค่า-ความน่าเชื่อถือสถาบันกษัตริย์ ลงโทษจำคุกรวม 5 ปี โดยไม่รอลงอาญา ก่อนจำเลยได้ประกันตัวระหว่างฎีกา
.
.

ศาลชั้นต้นยกฟ้อง เห็นว่าแม้หมายถึง “งบสถาบันกษัตริย์” แต่ก็เป็นการวิพากษ์วิจารณ์งบประมาณแผ่นดิน ไม่เข้าข่าย ม.112
.
คดีนี้มี ร.ต.อ.ศุภากร ภัทรสุขเกษม อดีตรองสารวัตรสืบสวน สภ.เมืองเชียงราย เป็นผู้กล่าวหา อัยการมีคำสั่งฟ้องคดีนี้ โดยแยกเป็น 2 กระทง คือ การกระทำที่เกี่ยวกับการวางป้ายผ้าดังกล่าวใกล้พระบรมฉายาลักษณ์รัชกาลที่ 10 บริเวณห้าแยกพ่อขุนเม็งราย ในข้อหาตามมาตรา 112 และการโพสต์ข้อความในเพจเฟซบุ๊ก “Free Youth CEI-เชียงรายปลดแอก” โดยนำภาพถ่ายป้ายข้อความดังกล่าวมาโพสต์ประกอบคำว่า “งบสถาบันฯ>งบเยียวยาประชาชนเชียงราย ส่งเข้าประกวดค่ะ” โดยกล่าวหาว่าเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ มาตรา 14 (2)
.
หลังการต่อสู้คดี วันที่ 28 ธ.ค. 2566 ศาลจังหวัดเชียงรายมีคำพิพากษายกฟ้องทุกข้อกล่าวหา โดยเห็นว่า ใจความของข้อความคำว่า “งบสถาบันฯ>งบเยียวยาประชาชน” เป็นการวิพากษ์วิจารณ์งบประมาณแผ่นดิน ไม่ปรากฏว่ามีลักษณะหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้าย และการจัดการงบประมาณแผ่นดินนั้นเป็นหน้าที่ของรัฐบาล ไม่ใช่พระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ ข้อความดังกล่าวจึงไม่เป็นการใส่ความหรือให้ร้ายพระมหากษัตริย์
.
ส่วนการโพสต์รูปภาพและข้อความลงในเพจเฟซบุ๊ก โดยลักษณะความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ มาตรา 14 (2) จะต้องเป็นการนำเข้าข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน ดังนั้นองค์ประกอบภายนอกที่โจทก์จะต้องนำสืบให้ได้ว่าข้อความดังกล่าวเป็นความเท็จอย่างไร แต่โจทก์ไม่มีพยานหลักฐานว่าเป็นข้อความอันเป็นเท็จ การกระทำดังกล่าวจึงไม่เป็นความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ มาตรา 14 (2)
.
ต่อมาอัยการได้ยื่นอุทธรณ์คำพิพากษา และฝ่ายจำเลยก็ยื่นโต้แย้งอุทธรณ์ของโจทก์ ก่อนหน้านี้ศาลได้นัดฟังคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ภาค 5 ในวันที่ 10 มิ.ย. 2568 แต่ได้เลื่อนนัดออกมา เนื่องจากคำพิพากษายังไม่แล้วเสร็จ โดยจำเลยได้จองตั๋วเดินทางไปจากกรุงเทพฯ ในช่วงวันนัดดังกล่าวแล้ว
.
.

กลับคำพิพากษา เห็นว่าจำเลยเป็นผู้แขวนป้าย-โพสต์ เห็นว่าข้อความมีลักษณะเปรียบเทียบลดทอนคุณค่า-ความน่าเชื่อถือสถาบันกษัตริย์ จำคุก 5 ปี
.
เวลา 9.00 น. สุปรียา พร้อมทนายความ เดินทางมาฟังคำพิพากษาที่ห้องพิจารณาคดีที่ 4 ศาลเปิดซองและอ่านคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ภาค 5 โดยสรุปวินิจฉัยใน 3 ประเด็นหลัก
.

1. ประเด็นว่าจำเลยเป็นผู้นำแผ่นป้ายผ้าไปแขวนไว้ที่บริเวณห้าแยกพ่อขุนเม็งราย ในวันเกิดเหตุหรือไม่ ศาลพิจารณาว่าคดีนี้แม้ไม่มีประจักษ์พยานที่เห็นเหตุการณ์ แต่จากปากคำของเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสืบสวนของ สภ.เมืองเชียงราย 2 นาย ที่ติดตามกล้องวงจรปิดจากที่เกิดเหตุไปยังสถานที่ต่าง ๆ พบรถยนต์ที่มีบุคคล 3 คน เป็นชาย 2 คนและหญิง 1 คน เป็นผู้ก่อเหตุติดป้ายดังกล่าว โดยผู้หญิงสวมเสื้อกันหนาวสีดำ กางเกงขายาว ใส่รองเท้าผ้าใบ และใส่หน้ากากอนามัยสีดำ
.
ต่อมาเจ้าหน้าตำรวจที่มีการตรวจค้นห้องพักของจำเลย มีการยึดเสื้อกันหนาวสีดำ รองเท้าผ้าใบ หน้ากากอนามัย และโทรศัพท์มือถือ เป็นของกลาง เมื่อนำมาเปรียบเทียบกับภาพจากกล้องวงจรปิด พบว่ามีลักษณะใกล้เคียงกับผู้ก่อเหตุ และรถยนต์ที่ก่อเหตุแม้ไม่สามารถระบุแผ่นป้ายทะเบียน แต่ทราบยี่ห้อรถและปรากฏลักษณะพิเศษ คือมีสติ๊กเกอร์สีเหลืองติดอยู่บริเวณกลางกระจกหลังรถ ซึ่งมีลักษณะตรงกับรถที่ตรวจพบว่าอยู่ในที่พักอาศัยของจำเลย
.
เชื่อว่าพยานโจทก์ทั้งสองปฏิบัติตามหน้าที่ ไม่มีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลย เชื่อว่าเบิกความไปตามข้อเท็จจริง เห็นว่าพยานโจทก์ทั้งพยานบุคคล พยานวัตถุ และพยานเอกสาร มีความสอดคล้องต้องกัน มีน้ำหนักรับฟังได้ ว่าหญิงที่ปรากฏในภาพกล้องวงจรปิด เป็นบุคคลเดียวกับจำเลย
.

2. ประเด็นว่าการกระทำเป็นความผิดตามมาตรา 112 หรือไม่ เห็นว่าโจทก์มีพยานมาเบิกความ ได้แก่ ทนายความ, อาจารย์คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง และมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย, อาจารย์คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย, อดีตเจ้าหน้าที่ทหารกองการข่าว มทบ.37, ข้าราชการบำนาญ กระทรวงศึกษาธิการ โดยมีความเห็นแบ่งเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มแรก พยานสามคน มีความเห็นทำนองว่าป้ายดังกล่าวเข้าข่ายความผิดตามมาตรา 112 กลุ่มที่สอง พยานอีกสามคน เห็นทำนองว่าไม่เป็นความผิด
.
แต่เมื่อพิจารณาว่าป้ายของกลางที่จำเลยนำไปแขวน จงใจเลือกสถานที่บริเวณใต้ป้ายพระบรมฉายาลักษณ์ของรัชกาลที่ 10 ที่มีข้อความ “ทรงพระเจริญ” เมื่อพิจารณาบริบทดังกล่าว คำว่า “สถาบันฯ” ย่อมแสดงเจตนาของผู้กระทำว่าสื่อถึงสถาบันพระมหากษัตริย์ ซึ่งเป็นหนึ่งในสถาบันหลักของชาติ อันมีองค์พระมหากษัตริย์เป็นประมุข และเป็นศูนย์รวมความจงรักภักดี เป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจ และเป็นที่เคารพรักเทิดทูนอย่างสูงของประชาชนชาวไทย
.
ส่วนคำว่า “งบเยียวยาประชาชน” นั้น ขณะเกิดเหตุ ประเทศไทยกำลังเผชิญวิกฤติการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อโควิด-2019 ถ้อยคำดังกล่าวจึงย่อมสื่อความหมายถึงงบประมาณที่รัฐบาลจัดสรร เพื่อใช้ในการแก้ไขปัญหา บรรเทาผลกระทบ และเยียวยาประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนจากวิกฤติดังกล่าว
.
ข้อความเปรียบเทียบดังกล่าว จึงเป็นการสื่อสารที่สร้างความเข้าใจว่างบประมาณที่รัฐบาลจัดสรรให้แก่สถาบันพระมหากษัตริย์ มากกว่างบที่จัดสรรเพื่อเยียวยาความเดือดร้อนของประชาชน แม้จะมิได้ระบุชื่อสถาบันอย่างชัดเจน แต่เมื่อพิจารณาสถานที่ ตลอดจนบริบทสถานการณ์ ย่อมมีนัยสื่อความหมายโดยตรงถึง “สถาบันพระมหากษัตริย์” ในทางเปรียบเทียบกับการใช้งบเยียวยาประชาชน อันมีผลกระทบต่อความรู้สึกของประชาชนทั่วไปที่มีความเคารพเทิดทูนในสถาบันพระมหากษัตริย์
.
ย่อมแสดงให้เห็นถึงเจตนาแอบแฝงในการสื่อสารข้อความเปรียบเทียบ โดยมีจุดประสงค์ให้ประชาชนทั่วไปที่พบเห็น เข้าใจว่างบประมาณสถาบันพระมหากษัตริย์มีจำนวนมากเกินสมควร และมากกว่างบเยียวยาประชาชน การกระทำเช่นนี้ย่อมมีลักษณะของการเปรียบเทียบในการลดทอนคุณค่าของสถาบัน โดยอาศัยบริบทของสถานการณ์สังคมและอารมณ์ของประชาชน เพื่อสื่อสารชี้นำหรือยั่วยุให้เกิดความไม่พอใจต่อสถาบันพระมหากษัตริย์โดยทางอ้อม อันมีลักษณะบั่นทอนความน่าเชื่อถือของสถาบัน การกระทำของจำเลยจึงเป็นการหมิ่นประมาทใส่ความพระมหากษัตริย์ อีกทั้งด้อยค่าองค์พระมหากษัตริย์ด้วย จึงเห็นว่ามีความผิดตามมาตรา 112
.

3. ประเด็นว่าจำเลยเป็นผู้โพสต์ภาพดังกล่าวและข้อความประกอบ ในเพจเฟซบุ๊ก “Free Youth CEI-เชียงรายปลดแอก” หรือไม่ เห็นว่าจากปากคำของตำรวจฝ่ายสืบสวนทั้งสองนาย เบิกความทำนองว่าเพจดังกล่าวมีเนื้อหาเคลื่อนไหวทางการเมือง ตำรวจได้เฝ้าระวังและติดตามเนื้อหาอย่างต่อเนื่อง และตามรายงานการสืบสวนมีข้อมูลบัญชีผู้ใช้งานที่เชื่อมโยงกับจำเลย ในฐานะผู้ก่อตั้งกลุ่มดังกล่าวเมื่อปี 2563 แม้จำเลยนำสืบว่าเป็นผู้ติดตามเพจดังกล่าว
.
ทั้งเนื้อหาของเพจเฟซบุ๊กดังกล่าวภายหลังเกิดเหตุ ยังบ่งชี้ความเชื่อมโยงกับจำเลย โดยมีโพสต์ข้อความที่บอกเล่าการถูกจับกุม ภาพหมายจับ และเหตุการณ์ในวันจับกุม และหลังจากนั้นยังมีการเผยแพร่ภาพสด ที่มีจำเลยเป็นผู้ดำเนินรายการ รายละเอียดดังกล่าวมีลักษณะเฉพาะเจาะจงและเกี่ยวข้องกับตัวจำเลย อันเป็นลักษณะที่ยากแก่การรับรู้ของบุคคลอื่น แสดงให้เห็นว่าจำเลยมีบทบาทเป็นผู้ควบคุมดูแลจัดการเนื้อหาเพจเฟซบุ๊กดังกล่าวโดยตรง
.
พยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบรับฟังได้ว่าจำเลยเป็นผู้โพสต์ภาพและข้อความดังกล่าว อันเป็นการนำเข้าข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จโดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายต่อการรักษาความมั่นคงปลอดภัยของประเทศ ตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 มาตรา 14 (2)
.
พิพากษากลับเป็นว่าจำเลยมีความผิดตามฟ้อง ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไป ลงโทษตามมาตรา 112 จำคุก 3 ปี ลงโทษตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ จำคุก 2 ปี รวมจำคุก 5 ปี และให้ริบป้ายผ้าของกลาง
.
องค์คณะผู้พิพากษาในศาลอุทธรณ์ภาค 5 ได้แก่ สมศักดิ์ แก้วร่วมวงศ์, สมเจตน์ วิทยาผาสุข และ มาโนช รัตนะนาคะ
.
.

หลังอ่านคำพิพากษา สุปรียาได้ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจศาลควบคุมตัวไปยังห้องขังใต้ถุนศาล ส่วนทนายความได้ยื่นขอประกันตัวจำเลยในชั้นฎีกา
.
ต่อมาเวลาประมาณ 13.20 น. ศาลจังหวัดเชียงรายมีคำสั่งอนุญาตให้ประกันระหว่างฎีกา โดยใช้หลักทรัพย์จำนวน 200,000 บาท ซึ่งได้รับความช่วยเหลือจากกองทุนราษฎรประสงค์ และต้องต่อสู้คดีในชั้นฎีกาต่อไป
.
ทั้งนี้ก่อนหน้านี้มีคดีลักษณะเดียวกันนี้ คือกรณีแขวนป้ายที่มีข้อความ “งบสถาบันกษัตริย์>วัคซีนCOVID19” ซึ่งมีนักศึกษาและนักกิจกรรมรวม 5 คน ถูกสั่งฟ้องคดีมาตรา 112 ที่ศาลจังหวัดลำปาง ทั้งศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 5 มีคำพิพากษายกฟ้องไปแล้ว โดยเห็นว่าข้อความไม่เข้าข่ายมาตรา 112 เป็นการวิพากษ์วิจารณ์งบประมาณแผ่นดิน ไม่ได้ระบุตัวบุคคลใดโดยเฉพาะ และคดีสิ้นสุดลงแล้ว
.
.

อ่านข่าวบนเว็บไซต์จากลิงค์
https://tlhr2014.com/archives/77525.....