วันจันทร์, ธันวาคม 29, 2568

ไม่ว่าคุณจะชื่นชอบพรรคไหน เราทุกคนก็สามารถร่วมกันแก้ไขรัฐธรรมนูญได้ 😊 ทุกคนเป็นส่วนหนึ่งในการรณรงค์ #8กุมภากาเห็นชอบ ได้เลย เชิญชวนให้ช่วยกันติดป้าย ติดไวนิล ติดโปสเตอร์ หน้าบ้านของตัวเองได้











iLaw 
9 hours ago
·
ทุกคนเป็นส่วนหนึ่งในการรณรงค์ #8กุมภากาเห็นชอบ ได้เลย เชิญชวนให้ช่วยกันติดป้าย ติดไวนิล ติดโปสเตอร์ หน้าบ้านของตัวเองได้
โดยทุกคนสามารถดาวน์โหลด ภาพกราฟฟิคที่จัดทำไว้แล้ว และไปสั่งพิมพ์เองตามร้านที่อยู่ใกล้เคียง เพื่อดำเนินการติดตั้งเองในพื้นที่ที่สะดวกได้เลย ไฟล์ภาพอยู่ที่นี่ https://drive.google.com/.../1e5wHt5qBzv76gpWrRRBxjGJWhZO...
ทางเราก็จะจัดทำอุปกรณ์จำนวนมากและเดินหน้าติดตั้งในพื้นที่ที่ได้รับอนุญาตอย่างเต็มที่ แต่หากรอเพียงพวกเราลงมือทำก็คงทำได้เพียงไม่กี่พื้นที่ในประเทศนี้ก่อนถึงวันออกเสียง ถ้าใครอยากเห็นป้ายรณรงค์ติดตามที่ต่างๆ เช่นเดียวกับที่ พรรคการเมืองต่างๆ ที่กำลังหาเสียงมีแผ่นป้ายติดทั่วเมืองทั่วประเทศ ก็ต้องขอแรงทุกคนช่วยกันลงมือทำ
สำหรับใครที่มีเรี่ยวแรงแต่ไม่มีทุนทรัพย์ พอมีเวลาอยากช่วยติดตั้งแต่ไม่สามารถสั่งผลิตเองได้ หลังปีใหม่เราจะเปิดรับอาสาสมัครเพื่อช่วยกันติดตั้งป้ายรณรงค์ ทักมาหากันมาช่วยกันออกแรงได้
หรือใครที่มีไอเดียสร้างสรรค์ มีฝีมือ ก็ช่วยกันออกแบบป้ายรณรงค์ในรูปแบบของตัวเองและนำไปติดตั้งตามที่ต่างๆได้เลยเพื่อให้ประชาชนรับรู้ถึงความสำคัญของการทำประชามติรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่กำลังจะถึงในวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2569
ใครติดป้าย ติดไวนิล ติดโปสเตอร์ ไว้ที่ไหน
ติดแล้วถ่ายรูปมาโพสต์อวดกันได้ ใช้ #8กุมภากาเห็นชอบ
ตั้งเป้าว่าอยากจะมีจุดที่ติดป้ายรณรงค์อย่างน้อย 10,000 จุดทั่วประเทศก่อนถึงวันลงคะแนนเสียงจริง มาช่วยกันนะ


บารัค โอบามา เคยเตือน การเมืองแห่งความกลัว กำลังปกคลุมโลก ในเมืองไทยขณะนี้ เครือข่ายฝ่ายขวา กำลังใช้ “ความกลัว” เป็นภาษา ใส่ร้าย ป้ายสี และผลิตข่าวปลอมต่อพรรคประชาชน เป็นไปได้มั้ย สิ่งที่พวกเขากลัวที่สุด ไม่ใช่พรรคประชาชน แต่คือวันที่ประชาชนไม่กลัวพวกเขาอีกต่อไป

ภาพจาก The Matter
https://thematter.co/brief/brief-1531904401/51283
.....

พิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต 
15 hours ago
·
11 การเมืองของผู้ที่กลัวความจริง
ในห้วงเวลาที่การเมืองควรเป็นสนามของเหตุผล
กลับมีบางฝ่ายเลือกใช้ “ความกลัว” เป็นภาษา
และใช้ “การลดทอนศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์” เป็นเครื่องมือ
ปรากฏการณ์ที่เครือข่ายฝ่ายขวาจัดทุ่มพลังไปกับการใส่ร้าย ป้ายสี และผลิตข่าวปลอมต่อพรรคประชาชน
แทนที่จะเสนอวิสัยทัศน์ นโยบาย หรือคำตอบต่อชีวิตผู้คน
มิใช่เรื่องบังเอิญ
แต่มันคืออาการของ ความหวาดหวั่นเชิงโครงสร้าง
และ วิกฤตความชอบธรรม ที่กำลังกัดกินพวกเขาจากภายใน
ฝ่ายขวาจัดเคยยืนอยู่บนแท่นสูงของศีลธรรม
ในโลกทัศน์ของพวกเขา ความรักชาติ ความจงรักภักดี และความถูกต้อง
เป็นทรัพย์สินที่มีเจ้าของเพียงกลุ่มเดียว
แต่เมื่อพรรคประชาชนพูดถึงความเท่าเทียม
พูดถึงการปฏิรูปที่ทำให้รัฐโปร่งใส
พูดถึงศักดิ์ศรีของคนธรรมดาในโลกสมัยใหม่
“ความดี” ก็หลุดจากการผูกขาด
และนั่นคือจุดที่ความกลัวเริ่มทำงาน
เมื่อไม่สามารถแข่งขันด้วยความจริงเชิงนโยบาย
จึงต้องสร้าง “ความจริงอีกชุดหนึ่ง”
ความจริงที่ทำให้ฝ่ายตรงข้ามกลายเป็นคนชั่ว คนอันตราย หรือคนนอกรีต
เพื่อให้การทำลายเขาดูเหมือนภารกิจทางศีลธรรม
ไม่ใช่การใช้อำนาจอย่างสิ้นหวัง
นโยบายบางอย่างเปลี่ยนรัฐบาล
แต่นโยบายบางอย่างเปลี่ยนโครงสร้าง
การทลายทุนผูกขาด
การกระจายอำนาจ
การปฏิรูปกองทัพที่ไม่เคยถูกแตะต้อง
สำหรับฝ่ายขวาจัด นี่ไม่ใช่ “ความเห็นต่าง”
แต่มันคือภัยคุกคามต่อฐานอำนาจที่สั่งสมมาหลายทศวรรษ
พวกเขากลัวว่า
หากการเลือกตั้งเป็นไปอย่างตรงไปตรงมา
หากกฎหมายถูกแก้ไขด้วยเจตจำนงของประชาชน
โครงสร้างที่เอื้อประโยชน์แก่คนกลุ่มเดิม
อาจไม่สามารถประกอบกลับคืนได้อีก
เฟคนิวส์จึงกลายเป็นอาวุธที่ต้นทุนต่ำ
แต่สร้างแรงต้านได้สูง
ไม่ใช่เพื่อชนะด้วยเหตุผล
แต่เพื่อทำให้สังคมไม่กล้าก้าวไปข้างหน้า
การเมืองไม่ใช่แค่นโยบาย
แต่คือความหวังที่มีใบหน้า
ในขณะที่พรรคประชาชนมีคนรุ่นใหม่
สื่อสารได้
เข้าใจปัญหาเชิงเทคนิค
และดูพร้อมรับผิดชอบต่ออนาคต
ฝ่ายขวาจัดกลับขาดแคลน “ตัวแทนของความหวัง”
ไม่มีบุคคลที่ทำให้คนเชื่อว่าโลกพรุ่งนี้จะดีกว่าวันนี้
เมื่อไม่มีคนเก่งให้ยืนเคียง
ยุทธศาสตร์ที่เหลืออยู่
คือทำให้ “คนเก่งของฝ่ายตรงข้าม” ดูน่ารังเกียจ
ทำลายความน่าเชื่อถือส่วนบุคคล
เพื่อให้ความระแวงเอาชนะเหตุผล
แม้ประชาชนจะเห็นด้วยกับนโยบายก็ตาม
สิ่งที่เราเห็น
ไม่ใช่ความเข้มแข็ง
แต่คือการป้องกันตัวของผู้ที่รู้ว่าตนเองกำลังแพ้ในสนามของเหตุผล
การขุดปูมหลัง
การกล่าวหาล้มล้าง
การใช้ภาษาแห่งบาป บุญ และลำดับชั้น
ล้วนมีเป้าหมายเดียวกัน
คือทำให้สังคมกลัวความเท่าเทียม
และยอมอยู่กับโครงสร้างเดิมต่อไป
พวกเขาไม่แข่งรณรงค์อย่างตรงไปตรงมา
เพราะพวกเขารู้ดีว่า
ในสนามที่ต้องใช้เหตุผล ความจริง และนโยบาย
พวกเขาไม่มีโอกาสชนะ
การลากการเมืองลงสู่ความเกลียดชัง
การลดทอนศักดิ์ศรีของฝ่ายตรงข้าม
จึงไม่ใช่สัญญาณของพลัง
แต่คือ ทางรอดสุดท้ายของผู้ที่กลัวอนาคต
และบางที
สิ่งที่พวกเขากลัวที่สุด
ไม่ใช่พรรคประชาชน
แต่คือวันที่ประชาชนไม่กลัวพวกเขาอีกต่อไป

https://www.facebook.com/PhichainaBhuket/posts/1393042462277988



บทเรียนความขัดแย้งกับกัมพูชา ควรจะเป็นสัญญาณเตือนให้ไทยต้องหันกลับมาทบทวนยุทธศาสตร์ชายแดนอย่างจริงจัง ไม่อย่างนั้น จะไม่มีใครเคารพยำเกรงไทยอีกต่อไป ทหารพม่าจะแข็งกร้าวกับไทยขึ้นหลังเลือกตั้ง และเราจะไม่ใช่พี่ใหญ่ในรอบบ้านอย่างที่เคยเป็นมาในอดีต


จับสายลับ
13 hours ago
·
ทหารพม่าจะแข็งกร้าวกับไทยขึ้นหลังเลือกตั้ง

ขอเขียนถึงพม่าหน่อย ไม่ได้เขียนมานานแล้ว

วันนี้เป็นวันแรกของการเลือกตั้งพม่าที่จะจัดขึ้นสามช่วง ไม่พร้อมกันทั่วประเทศ

หลังเลือกตั้งแล้วก็จะได้รัฐบาลใหม่เข้าบริหารประเทศ อย่างเร็วที่สุดก็คงเป็นช่วงเมษายน 2026

แต่ถามว่าการเลือกตั้งจะทำให้การสู้รบในพม่าสงบลงไหม คำตอบ 150% คือไม่มีทาง

มีนักการทูตโลกสวยจำนวนมากที่มองว่าการเลือกตั้งจะนำไปสู่เสถียรภาพในพม่า

ในทางตรงข้าม การสู้รบจะรุนแรงขึ้นและไม่มีทางที่ฝ่ายใดจะเอาชนะได้อย่างเด็ดขาด

ไทยจะต้องอยู่กับพม่าที่ไม่มีวันสงบไปอีกอย่างน้อย 5-10 ปี ไม่ต่างจากความสัมพันธ์กับเขมร

ที่แย่ยิ่งกว่า คือ หลังเลือกตั้ง กองทัพพม่าจะเดินหน้าปราบปรามชนกลุ่มน้อยต่อไปอย่างไม่ลดละเพื่อบีบให้เจรจาโดยใช้กลยุทธ์แบ่งแยกและปกครองเหมือนที่เคยทำมา

คำถามสำคัญ คือ ทหารพม่าเอาเงินถุงเงินถังมาจากไหนมากมายเพื่อใช้ซื้ออาวุธและโดรนไปปราบกลุ่มต่อต้าน

คำตอบอยู่ที่ทำไมการปราบสแกมเมอร์ชายแดนไทย-พม่าจึงไม่มีวันสำเร็จ และยิ่งย้ายฐานลึกเข้าไปข้างในเรื่อย ๆ

ทุนเทานั้นชื่นชอบระบบอำนาจนิยมมาก เพราะเคลียร์ง่าย จ่ายเงินให้ถูกคน ก็จบปัญหา

ในช่วง 5 ปีหลังการยึดอำนาจ กระเป๋าเงินของนายพลพอกพูนขึ้นมหาศาลจากธุรกิจสงครามและสแกมเมอร์

พูดอย่างตรงไปตรงมา ผู้นำชนกลุ่มน้อยหลายกลุ่มก็อู้ฟู้ขึ้นเช่นกัน สงสารก็แต่คนหนุ่มสาวที่ต้องหนีเข้าป่าจับอาวุธ

ว่ากันว่าหลังเลือกตั้ง ทหารพม่าจะเล่นการเมืองชาตินิยมเพื่อเรียกคะแนนนิยมจากประชาชนชาวพม่า

เป็นเกมที่ทหารพม่าคุ้นเคยและใช้มาโดยตลอด เป้าหมายโจมตีก็คือชนกลุ่มน้อยกับต่างประเทศ

ต่างประเทศที่ว่าก็หนีไม่พ้นไทยกับสหรัฐฯ ที่ทหารพม่าจำฝังใจว่าสนับสนุนอาวุธให้กับชนกลุ่มน้อย

เพราะฉะนั้น ไทยจำเป็นต้องพร้อมรับมือท่าทีที่แข็งกร้าวมากขึ้นจน “เหลิง” ของผู้นำทหารพม่า

ที่สำคัญทหารพม่ารู้ดีว่าไทยไม่พร้อมรับศึกสองทาง จึงใช้โอกาสนี้ในการทำตามใจแบบไม่เกรงใจไทย เช่น การทิ้งระเบิดใกล้ชายแดนไทยจนส่งผลกระทบต่อบ้านเรือนชายแดน หรือแม้กระทั่งการกล่าวโจมตีไทยออกสื่อ

โจทย์ความมั่นคงที่ไทยต้องตอบให้ได้ คือ เราจะจัดการความสัมพันธ์กับทหารพม่ายังไงในวันที่เขาไม่ต้องพึ่งพาเรา แต่มีจีน รัสเซีย หนุนหลัง

อำนาจต่อรองของไทยต่อพม่า จริง ๆ แล้วมีไม่น้อย แต่เราปล่อยให้ทหารพม่าใช้ก๊าซกับน้ำมันมาขู่เราตลอด

ความขัดแย้งกับกัมพูชาควรจะเป็นสัญญาณเตือนให้ไทยต้องหันกลับมาทบทวนยุทธศาสตร์ชายแดนอย่างจริงจัง

ไม่อย่างนั้น จะไม่มีใครที่เคารพยำเกรงไทยอีกต่อไป และเราจะไม่ใช่พี่ใหญ่ในรอบบ้านอย่างที่เคยเป็นมาในอดีต

การทูต การข่าว และการทหาร ต้องไปพร้อมกัน

ทุกวันนี้บางครั้งทหารก็ทำงานเหมือนนักการทูต นักการทูตก็ทำงานเหมือนพ่อค้า และหน่วยข่าวก็ทำงานเหมือนสื่อมวลชน

เป็นหน่วยความมั่นคงที่วิ่งตามไม่ทันเพจ Influencers บางรายที่สถาปนาตัวเองเป็นผู้กำหนด Narrative ของสังคมไทย

สิ่งนี้ต้องเปลี่ยน ถ้าหากเราไม่อยากตกขบวน และถูกใช้เป็นหมากของมหาอำนาจที่เดินตามเกมคนอื่นต้อย ๆ

พอมหาอำนาจเรียกให้ไปคุย เราก็ไปอย่างเชื่อฟัง เหมือนประเทศที่ไม่มีจุดยืนและอำนาจต่อรองใด ๆ

The Cold War is back. Those who fail to use it will be used by others.

สงครามเย็นกลับมาแล้ว ใครที่ใช้ประโยชน์จากมันไม่เป็น ก็จะกลายเป็นหมากของประเทศอื่น

https://www.facebook.com/photo/?fbid=122182941290449251&set=a.122121612692449251



"ฟรานซิส บุญเกื้อหนุน" - "ตัน สุรนาถ" เขียนจดหมายจากเรือนจำ หลังยื่นฎีกาในคดี #ม110 และยื่นขอประกันตัวระหว่างฎีกาอีกครั้ง โดยยังอยู่ระหว่างรอฟังคำสั่งของศาลฎีกา


ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน 
14 hours ago
·
เมื่อวันที่ 26 ธ.ค. 2568 ทนายความได้ยื่นฎีกาคำพิพากษาในคดีของ “ฟรานซิส” บุญเกื้อหนุน เป้าทอง บัณฑิตสาขาวิชาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศฯ จากมหาวิทยาลัยมหิดล วัย 26 ปี และ “ตัน” สุรนาถ แป้นประเสริฐ นักพัฒนาชุมชนวัย 40 ปี สองผู้ต้องขังในคดีตามมาตรา 110 กรณีถูกกล่าวหาว่าร่วมกันขัดขวางขบวนเสด็จพระราชินี ระหว่างเหตุการณ์ชุมนุมเมื่อวันที่ 14 ต.ค. 2563 หลังจากทั้งคู่ถูกศาลอุทธรณ์กลับคำพิพากษาจากศาลชั้นต้น ที่เคยยกฟ้องคดีทุกข้อกล่าวหา เป็นเห็นว่ามีความผิด ลงโทษจำคุกคนละ 16 ปี
.
นอกจากยื่นฎีกาแล้ว ยังมีการยื่นขอประกันตัวในระหว่างฎีกา หลังจากทั้งคู่ไม่ได้รับการประกันตัวมาตั้งแต่วันที่ 5 ก.ย. 2568 โดยศาลอาญาได้ส่งคำร้องให้ศาลฎีกาวินิจฉัย ทำให้ยังต้องรอฟังคำสั่งประกันตัวจากศาลฎีกาต่อไป
.
ขณะเดียวกัน ทั้งสองคนยังได้เขียนจดหมายจากเรือนจำกลางคลองเปรมเพื่อสื่อสารถึงคดีของพวกเขา โดยบุญเกื้อหนุนเขียนจดหมายถึงศาลฎีกา โดยยืนยันว่าตนเองไม่ได้กระทำการตามที่ถูกกล่าวหา และศาลอุทธรณ์กลับคำพิพากษา พร้อมเรียกร้องสิทธิประกันตัวในชั้นฎีกา ขณะที่สุรนาถบอกเล่าถึงผลกระทบที่เกิดขึ้นจากการถูกคุมขัง ทั้งต่อครอบครัว การงาน และเพื่อนร่วมงานพัฒนาชุมชนที่เกี่ยวข้องด้วย
.
.
"ศาลฎีกาและท่านสาธารณชนผู้เจริญทั้งหลาย การประกันตัวนั้นเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานและจนกว่าจะพิสูจน์จนเป็นที่ประจักษ์แล้วว่าเป็นเช่นไรนั้น กระผมยังเป็นผู้บริสุทธิ์อยู่เช่นเคย และถึงกระนั้น ผมต้องได้รับการประกันตัวตามความประสงค์นี้ เพื่อต่อสู้ให้จนถึงที่สุด"
.
"ส่วนเรื่องงานที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาจากการสั่งสมมา 15 ปี กำลังพบหนทางแห่งความหวังที่จะใช้ปฏิบัติการจริงสู่คน สู่ชุมชน สู่เมือง มีผู้คนมากมายกำลังจะทำให้ชุมชนเข้มแข็งด้วยมือของชุมชนเอง มีคนรุ่นใหม่ที่มีคนมีไฟพร้อมลงแรงและลงใจไปพร้อมกัน แต่ด้วยเราเป็นส่วนหนึ่งในการนำและริเริ่มกลับต้องถูกกักขังขาดอิสระอย่างฉับพลัน ทำให้เกิดความสั่นคลอนในหมู่พี่น้องเพื่อนร่วมงาน เพื่อนร่วมทางทั้งองค์กรภาครัฐและเอกชน คาดว่าผู้คนไม่น้อยกว่า 2,000 คน ได้รับผลกระทบไม่ทางตรงก็ทางอ้อมอย่างแน่นอน"
.
อ่านเนื้อหาทั้งหมดบนเว็บไซต์ https://tlhr2014.com/archives/80886

https://www.facebook.com/lawyercenter2014/posts/1276387857665015


https://www.facebook.com/may.poonsukcharoen/posts/10163601582862943

May Poonsukcharoen 
Yesterday
·
#จดหมายของตันสุรนาถและฟรานซิสบุญเกื้อหนุนจำเลยคดีขบวนเสด็จมาตรา110ก่อนยื่นประกันอีกครั้งต่อศาลฎีกา
.....
“เราอยู่ข้างนอกเชื่อว่าจะทำประโยชน์ได้มากมายกว่าอยู่ไปวันๆแบบนี้อย่างแน่นอน และยังคงเชื่อว่าขั้นตอนการพิจารณาต่างๆจะเป็นไปตามความถูกต้องที่สุด ไม่มีเลือกข้างไม่มีกลั่นแกล้งได้ใช้สิทธิตามกฎหมายทุกประการ”
ตันสุรนาถ
.....
เขียนเช้าวันจันทร์ที่ 15 ธ.ค. 3 เดือน 10 วันที่อยู่ในโลกคับแคบ 8 ชั่วโมง ในแดน 16 ชั่วโมง บนตึกนอนร่างกายอ่อนล้า อ่อนแรง สมองไม่ปลอดโปร่ง เต็มไปด้วยความวิตกกังวลทุกช่วงเวลา อยากให้มีแต่วันอังคารและวันพฤหัสบดี จะได้เจอหน้าเมียและแม่ที่รัก ได้เจอหน้าพี่น้อง เพื่อนร่วมงานที่ต้องมีความรับผิดชอบร่วมกัน ในหน้าที่การงานที่ก่อเกิดไว้และไม่ควรขาดใครไปในการทำหน้าที่ของตัวเอง ในฐานะสามีที่ต้องทำหน้าที่ดูแลครอบครัวที่กำลังแบกภาระสร้างอนาคตที่หวังว่าจะมั่นคงพอ ต้องอาศัยคู่คิดคู่ทำไปพร้อมๆกันกลับต้องหยุดชะงักอีกคนต้องเคว้งคว้างแทบจนมุมหมดกำลังจะใช้ชีวิตต่อ อีกคนต้องทนทุกข์กายและใจที่ไม่สามารถทำอะไรได้มากไปกว่ารอเจอหน้าและปลอบใจกันด้วยใบหน้าที่มีน้ำตามากกว่ารอบยิ้ม
ส่วนเรื่องงานที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาจากการสั่งสมมา 15 ปี กำลังพบหนทางแห่งความหวังที่จะใช้ปฏิบัติการจริงสู่คนสู่ชุมนุมสู่เมืองมีผู้คนมากมายกำลังจะทำให้ชุมชนเข้มแข็งด้วยมือของชุมชนเอง มีคนรุ่นใหม่ที่มีคนมีไฟพร้อมลงแรงและลงใจไปพร้อมกัน แต่ด้วยเราเป็นส่วนหนึ่งในการนำและริเริ่มกลับต้องถูกกักขังขาดอิสระอย่างฉับพลัน ทำให้เกิดความสันคลอนในหมู่พี่น้องเพื่อนร่วมงาน เพื่อนร่วมทางทั้งองค์กรภาครัฐและเอกชน คาดว่าผุ้คนไม่น้อยกว่า 2000 คน ได้รับผลกระทบไม่ทางตรงก็ทางอ้อมอย่างแน่นอน ในฐานะลูกที่กำลังจะได้โอกาสทดแทน สิ่งที่ลูกควรจะทำก็ได้เพียงครึ่งๆกลางๆกลับสร้างความเศร้าให้ผู้เป็นแม่อีกครั้ง การกักขังจองจำทั้งที่กระบวนการยังไม่สิ้นสุดไม่เป็นผลดีกับใครเลย
.
ไม่ใช่เรื่องการปรับตัวทำใจยอมรับทั้งคนข้างในหรือข้างนอก ไม่ใช่เรื่องเวรหรือกรรมแต่อย่างใด แต่มันคือความรับผิดชอบอย่างถูกต้องต่อบทบาทหน้าที่ตัวเองที่ควรกระทำ ระหว่างนี้อยู่ในช่วงที่ทีมทนายความ พี่น้องเพื่อนฝูงและครอบครัวกำลังจะยื่นฎีกาและประกันตัวไปพร้อมกันก็ยิ่งทำให้ความหวังความฝันที่มีอยู่บ้าง กลับมีแรงพลังอีกครั้งด้วยตามสิทธิที่ควรได้รับเหมือนกันไม่ว่าใครๆจินตนาการ กลับปลุกพลังให้ใช้ชีวิตในที่คับแคบอย่างมีความหมายอีกครั้งพร้อมพิสูจน์ความจริงในชั้นสุดท้ายที่กำลังจะเกิดขึ้นต่อไปจากนี้อย่างแน่นอน เราอยู่ข้างนอกเชื่อว่าจะทำประโยชน์ได้มากมายกว่าอยู่ไปวันๆแบบนี้อย่างแน่นอน และยังคงเชื่อว่าขั้นตอนการพิจารณาต่างๆจะเป็นไปตามความถูกต้องที่สุด ไม่มีเลือกข้างไม่มีกลั่นแกล้งได้ใช้สิทธิตามกฎหมายทุกประการ ผมขอขอบคุณทุกคนจากใจจริง หวังว่าจะได้พบกันเร็วนี้
ตัน
สุรนาถ แป้นประเสริฐ
.......
“ผมเคยได้กล่าวไว้แล้วในบันทึกเรือนจำของศูนย์ทนายสิทธิมนุษยชนว่า “เมื่อใดที่มนุษย์เราไร้ซึ่งเสรีภาพ มนุษย์นั้นก็มีอาจเป็นมนุษย์ได้อีก” และไม่ว่าจะมีผลออกมาเป็นเช่นใด ท่านขังได้แต่ตัวแต่หัวใจของผมจะเป็นเสรีสืบไป”
ฟรานซิส บุญเกื้อหนุน
.......
(13 ธ.ค. 68) เรียนศาลฎีกาที่เคารพ และประชาชนทั่วไปที่กำลังอ่านจดหมายฉบับนี้อยู่นั้น ณ วันที่ผมได้เขียนจดหมายเปิดฉบับเรื่องนี้ ผมได้ถูกจองจำมาแล้วกว่า 100 วัน ในสถาบันที่มีชื่อว่า “คลองเปรม” ณ เวลานี้ ผมไม่อาจปฏิเสธได้แล้วว่าผมเป็นผู้ต้องขัง และจะไม่มีวันลืม น้ำตาที่หลังมาจากแม่ คู่หมั้น และคนที่ผมรักและศรัทธา ศาลอุทธรณ์ส่งผมมาที่แห่งนี้ คาดหวังว่าผมจะต้องได้รับโทษตามที่ผมได้ถูกกล่าวหาไว้ แต่ถ้าหากดานเต้(Dante) ได้สอนอะไรไว้นั้น “โชคชะตาชั่งน้ำหนักวิบากกรรมของผู้ใจบุญ กับความสถุนของผู้ใจทรามด้วยตาชั่งที่ต่างกันเสมอ” และด้วยชื่อของผมคือ “บุญเกื้อหนุน” ผมชื่อว่าวิบากกรมในครั้งนี้จะถูกชั่งน้ำหนักด้วยตราชั่งที่เที่ยงธรรม และเสมอภาคโดยไม่มีเงื่อนไขและช่างเป็นคำสอนที่เหมาะเสียเหลือเกินที่ดานเต้- ผู้ท่องโลกนรกในบทประพันธ์ของเขานั้น-ที่ทำให้ผมยังคงยืนหยัดในความบริสุทธิ์ในการกระทำ และในความตั้งมั่นใจจิตศรัทธา มิใช่ในตัวบุคคลและกลุ่มบุคคล แต่กับสิ่งที่มนุษย์สร้างและประพันธ์ขึ้นมาเพื่อแยกมนุษยชาติออกจากบรรดาสัตว์เดรัจฉาน “กฎหมาย” เพราะนั่นคือตราชั่งเดียวที่ผมเชื่อมั่น และเป็นเหตุผลว่าผมจะได้รับชัยชนะในคดีประทุษร้ายต่อเสรีภาพของสมเด็จพระราชินี และเป็นการปิดประตูของผมในฐานะผู้ต่อสู้เรียกร้องความยุติธรรมที่ผมเริ่มมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2563 อย่างเป็นประจักษ์และปฏิเสธไม่ได้อีกเลย
.
ศาลฎีกาที่เคารพ ผมคงไม่จำเป็นต้องบอกท่านทั้งหลายว่าการตัดสินคดีการเมืองที่ผ่านมานั้นเป้นเรื่องที่"อปกติ"เป็นอย่างมาก แต่ ณ เบื้องหน้าของท่าน นี้คือบททดสอบของท่านที่หนักที่สุดนับตั้งแต่การจัดตั้งศาลในสมัยรัชกาลที่ห้าและตลอดมาจวบจนปัจจุบันนี้คดีที่กำลังจะยื่นให้ท่านพิจารณา จักเป็นบรรทัดฐานที่จะมีการจารึกไว้นับจากครั้งนี้ไปจนนิรันดร์ทั้งผมรวมถึงคู่คดีอื่นๆและท่านย่อมรู้เป็นอย่างดีว่าการตัดสินใจอย่างเที่ยงธรรมและชอบธรรมนั้นสำคัญไฉนทั้งผมและท่านต่างรู้ดีว่า การก้าวพลาดเพียงเล็กน้อยอาจทำให้มีผลลัพธ์ที่ส่งผลไปไกลทั่วหล้าทั้งผมและท่านต่างรู้สิ่งเหล่านี้เป็นอย่างดี
.
แต่ศาลที่เคารพเราในฐานะมนุษย์ล้วนต้องยอมรับความเสี่ยงที่จะตามมาในภายหลังผมเข้าใจถึงความเสี่ยงของผมแล้ว และผมได้แต่หวังว่าท่านทั้งหลายจะมีสติและปัญญาที่เฉียบแหลมมากพอที่จะยอมรับมันมิใช่เพียงแต่เพื่ออนาคตของกฎหมายไทยแต่เพื่ออนาคตของความยุติธรรมของมวลมนุษยชาติด้วย
.
หลักกฎหมายที่ผมและทนายกำลังเรียนต่อท่านนั้นเป็นเรื่องที่ดูซับซ้อนในระดับผิวเผิน แต่เรื่องที่ง่ายและสามารถเข้าใจได้ง่ายต่อสาธารณชนทั่วๆไปและเป็นหลักกฎหมายเดียวที่การันตีชัยชนะและหลักประกันในการคืนอิสระภาพให้ผม
.
ศาลฎีกาที่เคารพผมเชื่อและผมคิดว่าท่านเองก็เชื่อว่าหน้าที่และความรับผิดชอบของเจ้าหน้าที่ตำรวจไม่ว่าจะในเครื่องแบบไหนก็ตามต่างมีหน้าที่ในการเป็นผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ และหนึ่งในอำนาจหน้าที่สำคัญกับตำรวจก็คือการจับกุมผู้กระทำผิดกฎหมายเพื่อธำรงหน้าที่นั้นไว้ผมเชื่อว่าทุกคนต่างเห็นพ้องกันในประเด็นสำคัญนี้
.
แต่ท่านทั้งหลายถ้าหากสิ่งที่ผมถูกกล่าวหานั้นเป็นจริงกล่าวคือ มีการเข้าไปที่ขบวนเสด็จของสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินี เพื่อเป็นการประทุษร้ายหากมีการกระทำเหล่านั้นจริงเป็นเหตุใดเล่าที่เจ้าหน้าที่ตำรวจ ณ เวลานั้นเลือกที่จะนิ่งเฉยต่อการกระทำเช่นนี้และนำมาสู่การจับกุมและมอบตัวของจำเลยทั้งห้าคนในเวลาให้หลังและด้วยเหตุใดที่เจ้าพนักงานสืบสวนสอบสวนของสถานีตำรวจนครบาลดุสิตถึงเลือกใช้พยานแวดล้อมอันเป็นไปตามป.วิอาญากล่าวว่าพยานแวดล้อมคือพยาน ‘บอกเล่า’ ถึงได้นำบุคคลอย่าง ศรายุทธสังวาลย์ทอง มากล่าวอ้างในชั้นสอบสวนแทนที่จะใช้ตำรวจในท้องที่ซึ่งเป็นประจักษ์พยานที่สำคัญกว่าเพื่อนำมาสู่บรรดาหมายจับและหมายเรียกตามมาที่หลังนี้
.
ท่านผู้เจริญทั้งหลายและศาลฎีกาที่เคารพ ถ้าหากท่านยังคงมั่นในความที่ว่าผมเป็นผู้กระทำตามกล่าวอ้างจริงและเล็งเห็นว่าสิ่งที่กระผมกล่าวมานั้นเป็นการ ‘นั่งเทียน’ ขึ้นมานั้น ผมกล้าพูดได้อย่างเสรีเลยว่าทุกท่านคิดผิด
ศาลฎีกาที่เคารพ กระผมเป็นผู้เบาปัญญาทางกฎหมายและมิอาจก้าวล่วงต่อท่านในหน้าที่และการงานของทุกท่านได้ แต่ท่านต้องยอมรับว่าตามป.วิอาญามาตรา 80 นั้น ได้ระบุอย่างชัดเจนแล้วว่าความผิดซึ่งหน้าได้แก่ ‘ความผิดซึ่งเห็นกำลังกระทำหรือพบในอาการใดซึ่งแทบจะไม่มีความสงสัยเลยว่าเขาได้กระทำผิดมาแล้ว’ และไม่แปลกอันใดเลยถ้าหากตามตรรกะการละเว้นต่อหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ณ ขณะนั้นเป็นไปตามความผิดตามมาตรา 157 ของป.อาญา
.
ท่านผู้เจริญที่เคารพทั้งหลาย ถ้าหากกระผมผิดจริง เจ้าหน้าที่ทุกท่านเป็นอันต้องผิดตามไปด้วยง่ายเท่านั้นแหละ
.
เพราะประการฉะนี้แล กระผมไม่มีความประสงค์ที่จะหลบหนีไปต่างประเทศตามความกังวลของศาลฎีกาเลยแม้แต่น้อย เพราะในท้ายที่สุดแล้วนั้นผู้ชนะจะหลบหนีไปทำไมกัน ?
.
ศาลฎีกาและท่านสาธารณะชนผู้เจริญทั้งหลายการประกันตัวนั้นเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานและจนกว่าจะพิสูจน์จนเป็นที่ประจักษ์แล้วว่าเป็นเช่นไรนั้น กระผมยังเป็นผู้บริสุทธิ์อยู่เช่นเคย และถึงกระนั้นผมต้องได้รับการประกันตัวตามความประสงค์นี้เพื่อต่อสู้ให้จนถึงที่สุด
.
สุดท้ายนี้ผมเคยได้กล่าวไว้แล้วในบันทึกเรือนจำของศูนย์ทนายสิทธิมนุษยชนว่า “เมื่อใดที่มนุษย์เราไร้ซึ่งเสรีภาพ มนุษย์นั้นก็มีอาจเป็นมนุษย์ได้อีก” และไม่ว่าจะมีผลออกมาเป็นเช่นใด ท่านขังได้แต่ตัวแต่หัวใจของผมจะเป็นเสรีสืบไป
.
AUT INVENIAM VIAM AUT FACIVM
“I shall find a way…
…or make one.”
บุญเกื้อหนุน ฟรานซิส เป้าทอง
13 ธ.ค.68
...................
คดีขบวนเสด็จมาตรา 110 สุรนาถและฟรานซิสยื่นฎีกาและขอประกันอีกครังเมื่อวันที่ 2ุ6 ธ.ค. อยู่ระหว่ารอฟังคำสังประกันจากศาลฎีกา


ปัญหาการบังคับใช้ ประมวลกฎหมายอาญา ม.112 ..ทำไม ?? ถึงถูก หยิบขึ้นมาเป็นประเด็นหลักในการสร้างวิวาทะ ในการหาเสียงเลือกตั้งในทุก ๆ ครั้ง และถูกสร้างเป็นเงื่อนไขว่าใครจะได้เป็น หรือไม่ได้เป็นรัฐบาล...??


Jom Petchpradab
Yesterday
·
ปัญหาการบังคับใช้ ประมวลกฎหมายอาญา ม.112 ..ทำไม ?? ถึงถูก หยิบขึ้นมาเป็นประเด็นหลักในการสร้างวิวาทะ ในการหาเสียงเลือกตั้งในทุก ๆ ครั้ง. และถูกสร้างเป็นเงื่อนไขว่าใครจะได้เป็น หรือไม่ได้เป็นรัฐบาล...??
ก่อนอื่นต้องทำความเข้าใจก่อนว่า ปัญหาการบังคับใช้ ม.112 ไม่ใช่ พรรคอนาคตใหม่ พรรคก้าวไกล หรือ แม้แต่พรรคประชาชน ในปัจจุบัน เป็นผู้เริ่มกำหนดประเด็นนี้ขึ้นมาว่า จะต้องแก้ไขกฎหมาย ม.112 แต่เป็นความกังวลของนักกฎหมาย นักวิชาการ และประชาชนโดยทั่วไป มาตั้งแต่ก่อนปี 2553 ด้วยซ้ำว่า การบังคับใช้กฎหมายมาตรานี้ ถูกนำมาใช้เป็นอาวุธทางการเมือง และสร้างความร้าวฉานในสังคมไทย รวมไปถึงการสร้างความเสียหายต่อสถาบันพระมหากษัตริย์.
จนใน ปี 2555 จึงเกิดการเคลื่อนไหวอย่างเป็นรูปธรรมขึ้นเพื่อแก้ไขกฎหมายมาตรานี้ โดย คณะนิติราษฎร (ครก.112) ซึ่งเป็นการรวมตัวของบรรดานักกฎหมาย นักวิชาการ และภาคประชาชนสังคมต่าง ๆ ได้รวบรวมรายชื่อประชาชน 3 หมื่นรายชื่อ และได้ยื่นร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ต่อสภาผู้แทนราษฎร ( สมัยรัฐบาลเพื่อไทย ) แต่ร่างกฎหมายถูกตีตกไป ถึงกระนั้น กระแสเรียกร้องให้มีการแก้ไข ม.112 ก็ยังคุกรุ่นอยู่ในสังคม และการเมืองไทยมาโดยตลอด จนถึงปัจจุบัน
จนเมื่อ พรรคอนาคตใหม่ ก้าวเข้าสู่การเมืองครั้งแรกในปี 2562 จึงได้ประมวลเอาความเรียกร้องต้องการของประชาชนในแต่ละด้านมาเป็นแนวนโยบายของพรรค หนึ่งในนั้นคือการปรับปรุงแก้ไข ม.112 โดยเป้าหมายหลักคือ การรักษาให้สถาบันพระมหากษัตริย์สะอาด ปลอดภัยจากความขัดแย้งทางการเมือง และอยู่ในความศรัทธาของประชาชนให้ได้มากที่สุด. ไม่ได้มีประเด็นไหน หรือหลักฐานชิ้นใด ที่ชี้ชัดว่าเป็นการล้มล้าง ทำลาย สถาบันพระมหากษัตริย์ แต่อย่างใด.
การทำการเมืองอย่างกล้าหาญ ตรงไปตรงมา และยึดมั่นในหลักการประชาธิปไตยของพรรคอนาคตใหม่ กลายเป็นพรรคที่สร้างกระแสนิยมสูงสุด เรื่อยมา ตกทอดมาถึง พรรคก้าวไกล และพรรคประชาชน และนี่จึงเป็นเหตุที่ทำให้พรรคสายพันธุ์นี้จึงกลายเป็น ศัตรูทางการเมือง ของพรรคการเมืองเก่าอนุรักษ์นิยมรวมทั้งพรรคเพื่อไทยด้วย
“แก้ ม.112 = ล้มเจ้า” จึงถูกใช้เป็นอาวุธทางการเมือง ที่เกือบทุกพรรคการเมืองฝั่งอนุรักษ์ราชนิยม นำมาใช้เพื่อทำลาย สกัดกั้น ไม่ให้ พรรคประชาชน ขึ้นมามีอำนาจ....
นี่จึงเป็นที่มาว่า ทำไม ในทุกการเลือกตั้ง และทุกเวทีดีเบต ประเด็นการแก้ไข ม.112 จึงกลายเป็นอาวุธหลักที่พุ่งเป้าไปที่ พรรคประชาชน แม้ว่าสุดท้ายท้ายสุด พรรคประชาชน จะยอมยกธงขาวศิโรราบ ไม่เอาด้วยกับการแก้ไข ม.112 อีกต่อไปแล้ว แต่พรรคฝั่งอนุรักษ์ราชนิยมก็ไม่ยอมหยุด เพราะยังหาอาวุธที่มีอานุภาพทำลายล้างพรรคประชาชนไม่ได้ เท่ากับการ “แก้ ม.112 = ล้มเจ้า”
มองในมุมของสื่อ ที่ยังคงย้ำถามคำถามนี้ กับพรรคประชาชน และพรรคการเมืองอื่น ๆ ก็เพียงหวังอยากเห็นท่าทีการตอบ คำอธิบาย หรือการแสดงออก ต่อคำถามที่อ่อนไหวในทางสังคมและทางการเมืองจากแต่ละพรรคการเมืองเท่านั้นเอง ไม่ได้คาดหวังหรือจริงจังที่จะหยุดยั้งการใช้ ม.112 เป็นอาวุธทางการเมืองแต่อย่างใด
กล่าวเฉพาะ พรรคประชาชน เมื่อยอมศิโรราบ ไม่มีนโยบายแก้ ม.112 (เพื่อปกป้องรักษาสถาบันพระมหากษัตริย์ให้พ้นไปจากความขัดแย้งทางการเมืองแล้ว) แต่จะเดินหน้านิรโทษกรรมผู้ต้องคดี112 ก็นับว่ายังมีความกล้าหาญหลงเหลืออยู่บ้าง. แต่ก็เป็นที่รับรู้กันว่า เป็นเพียงการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุเท่านั้น เพราะสุดท้ายหากไม่แก้ไขวิธีการบังคับใช้ ม. 112 กฎหมายมาตรานี้ก็ยังเป็น “อาวุธทางการเมือง” ที่ยังคงมีพลังทำลายล้างกันเองของคนไทยทั้งในปัจจุบันและในอนาคตอยู่ดี
ที่น่าเป็นกังวลไปกว่านั้นคือ “ความเงียบเฉยของสถาบันกษัตริย์” กับภาวะที่กำลังถูกทำให้ กลายเป็นศูนย์กลางแห่งความขัดแย้ง แทนที่จะเป็นศูนย์กลางแห่งความรักความสามัคคีของประชาชนทั้งประเทศ. จะบอกว่าไม่เกี่ยวกัน และควรจะอยู่เหนือความขัดแย้งทางการเมือง ไม่ควรจะแสดงท่าทีใด ไม่ควรจะลงมายุ่ง เพราะเป็นความพยายามที่จะใช้สถาบันพระมหากษัตริย์เพื่อผลประโยชน์ทางการเมือง
อย่างที่กล่าวตั้งแต่ต้นว่า ปัญหาการบังคับใช้ ม.112 ไม่ได้เริ่มต้นขึ้นเพราะ พรรคการเมือง หรือนักการเมือง นำมาใช้เป็นอาวุธต่อสู้กันทางการเมือง แต่เป็นความวิตกกังวลและข้อห่วงใยของนักวิชาการ นักกฎหมาย เครือข่ายประชาชน ที่ต้องการเห็นความมั่นคงเสถียรภาพและความสถาพรของสถาบันพระมหากษัตริย์.
มันจึงไม่ใช่ความขัดแย้งที่มีปฐมเหตุมาจากความเกลียดชังที่คิดจะล้มล้าง ทำลาย แต่มาจากความรักความห่วงใยและความปรารถนาดีที่ประชาชนมีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์โดยแท้( ทั้ง ๆ ที่เป็นความเสี่ยงแต่ก็ยังกล้าหาญที่จะออกมาเคลื่อนไหว) จึงเป็นที่น่าเสียดายที่ความเงียบงันจากสถาบันกษัตริย์และความขลาดกลัวของนักการเมือง ทำให้ “ความรักและความปรารถนาดีอย่างจริงใจของประชาชนต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ กลับถูกตีความเป็นการ ล้มล้าง ทำลายไปในที่สุด
ดังนั้นจึงมีเพียง สถาบันพระมหากษัตริย์ เพียงองค์กรเดียวเท่านั้นที่จะยุติความร้าวฉานของคนในชาติ และชำระล้างรอยมลทินที่แปดเปื้อนสถาบันพระมหากษัตริย์อยู่ในเวลานี้ได้ ว่า จะมีวิธีการอย่างไร ที่ชำระล้างมลทินนี้ให้หมดไปได้. นี่จึงเป็นที่มาของข้อเสนอที่ว่า “สถาบันพระมหากษัตริย์ ไม่ควรจะเงียบงันหรือนิ่งเฉยต่อเรื่องนี้อีกต่อไป”

https://www.facebook.com/jom.petchpradab/posts/10163439881058965


พิธีกรรมลวงโลก เลือกตั้งเมียนมาเริ่มขึ้นแล้วท่ามกลางคำวิพากษ์วิจารณ์จากนานาชาติว่าเป็นการเลือกตั้งที่ "จอมปลอม"

กองทัพเมียนมากำลังจะจัดการเลือกตั้งโดยแบ่งเป็นช่วง ๆ ภายในเดือนหน้าArticle InformationAuthor,เคลลี อึง
28 ธันวาคม 2025
บีบีซีไทย

เมียนมากำลังจัดการเลือกตั้งที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์เป็นวงกว้างว่าเป็นการเลือกตั้งที่จอมปลอม ด้วยการที่พรรคการเมืองหลักหลายพรรคถูกยุบ ผู้นำพรรคเหล่านั้นหลายคนถูกจำคุก และคนจำนวนมากถึงครึ่งหนึ่งของประเทศไม่น่าจะมาลงคะแนนเสียงได้เพราะสงครามกลางเมืองที่ยังดำเนินอยู่

การจัดการเลือกตั้งลงคะแนนเสียงโดยแบ่งเป็นช่วง ๆ ถือเป็นครั้งแรกในรอบเกือบห้าปีนับจากพวกเขายึดอำนาจจากการรัฐประหาร จุดชนวนให้เกิดการต่อต้านอย่างกว้างขวางและนำไปสู่สงครามกลางเมือง

ผู้สังเกตการณ์หลายคนระบุว่ารัฐบาลทหารกำลังหาทางสร้างความชอบธรรมและยึดกุมอำนาจต่อไปในขณะที่แสวงหาทางออกจากทางตันที่เต็มไปด้วยความสูญเสีย ด้วยการสนับสนุนจากจีน

กว่า 200 คนถูกจับกุมจากการขัดขวางหรือคัดค้านการเลือกตั้งภายใต้กฎหมายใหม่ซึ่งมีการบัญญัติโทษที่รุนแรง รวมถึงโทษประหารชีวิต

ไมค์ ที ผู้กำกับภาพยนตร์, จอ วิน ทุ นักแสดง และ โอน ไดง์ นักแสดงตลก เป็นหนึ่งในบรรดาคนดังที่ถูกตัดสินว่ามีความผิดตามกฎหมายนี้ ซึ่งมีผลบังคับใช้ไปเมื่อเดือน ก.ค. พวกเขาแต่ละคนถูกตัดสินโทษจำคุก 7 ปี หลังวิพากษ์วิจารณ์ภาพยนตร์โฆษณาการเลือกตั้ง จากการรายงานโดยสื่อของรัฐ

"ไม่มีเงื่อนไขใด ๆ สำหรับการใช้สิทธิเสรีภาพในการแสดงออก การสมาคม หรือการชุมนุมโดยสงบ" โวลเกอร์ เติร์ก เจ้าหน้าที่ด้านสิทธิมนุษยชนระดับสูงของสหประชาชาติกล่าว

พลเรือนกำลัง "ถูกบีบบังคับจากทุกด้าน" นายเติร์กระบุในแถลงการณ์เมื่อวันอังคาร โดยเขาตั้งข้อสังเกตว่ากลุ่มกบฏติดอาวุธได้ประกาศคำขู่ของพวกเขาเองเพื่อขอให้ประชาชนคว่ำบาตรการเลือกตั้ง

ที่ผ่านมากองทัพเมียนมาได้ต่อสู้ในหลายแนวรบ ทั้งกับกลุ่มปฏิปักษ์ติดอาวุธที่ต่อต้านการรัฐประหาร และกองทัพชาติพันธุ์ที่มีกองกำลังติดอาวุธของตัวเอง กองทัพเมียนมาสูญเสียการควบคุมในพื้นที่ส่วนใหญ่ของประเทศจากการพ่ายแพ้ครั้งใหญ่หลายครั้ง แต่พวกเขาก็ยึดดินแดนกลับคืนมาได้ในปีนี้จากการโจมตีทางอากาศอย่างไม่หยุดยั้ง ซึ่งทำได้ด้วยการสนับสนุนจากจีนและรัสเซีย

สงครามกลางเมืองได้คร่าชีวิตผู้คนไปหลายพันคน พลัดถิ่นอีกหลายล้านคน ทำลายเศรษฐกิจและทิ้งสุญญากาศด้านมนุษยธรรมเอาไว้ ขณะที่แผ่นดินไหวครั้งใหญ่ในเดือน มี.ค. และการถูกตัดเงินทุนระหว่างประเทศก็ยิ่งทำให้สถานการณ์แย่ลงมาก


แผนที่แสดงจุดที่มีการจัดการเลือกตั้งในประเทศเมียนมา พื้นที่สีน้ำเงินจะมีการจัดเลือกตั้งในวันที่ 28 ธ.ค. พื้นที่สีฟ้า จะมีการจัดเลือกตั้งในวันที่ 11 ม.ค. พื้นที่สีฟ้าอ่อน ยังไม่มีการเลือกวันที่จะจัดเลือกตั้ง และสีเทาคือบริเวณที่จะไม่มีการจัดเลือกตั้ง

ทั้งหมดนี้และข้อเท็จจริงที่ว่าพื้นที่ส่วนใหญ่ของประเทศยังอยู่ภายใต้การควบคุมของฝ่ายต่อต้าน ทำให้มีความท้าทายด้านโลจิสติกส์อย่างมากในการจัดการเลือกตั้ง

การลงคะแนนเสียงถูกกำหนดจัดเป็น 3 ช่วงไปจนถึงเดือนหน้า ใน 274 เมือง จาก 330 เมืองทั่วประเทศ โดยเมืองที่ไม่มีการจัดให้ลงคะแนนเพราะถือว่าไม่มีเสถียรภาพเพียงพอ ส่วนผลการเลือกตั้งคาดว่าจะทราบในช่วงปลายเดือน ม.ค.

คาดกันว่าจะไม่มีการลงคะแนนเสียงมากถึงครึ่งหนึ่งของประเทศ แม้แต่ในเมืองที่มีการจัดให้ลงคะแนนเสียง ก็ไม่ใช่ว่าทุกเขตเลือกตั้งจะไปลงคะแนน ทำให้ยากที่คาดการณ์จำนวนผู้ที่จะไปใช้สิทธิ์

6 พรรคการเมือง รวมถึงพรรคสหสามัคคีและการพัฒนา หรือ ยูเอสดีพี (Union Solidarity and Development Party - USDP) ที่ได้รับการสนับสนุนจากกองทัพ ส่งผู้สมัครเข้าแข่งขันทั่วประเทศ ในขณะที่พรรคการเมืองอื่น ๆ 51 พรรคและผู้สมัครอิสระจะลงสมัครในระดับรัฐหรือระดับภูมิภาคเท่านั้น

มีพรรคการเมืองประมาณ 40 พรรค รวมถึงพรรคสันนิบาตแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตย หรือ เอ็นแอลดี (National League of Democracy – NLD) ของนางออง ซาน ซูจี ซึ่งได้รับชัยชนะอย่างถล่มทลายในการเลือกตั้งปี 2015 และ 2020 ถูกแบนไป โดยซูจี และผู้นำคนสำคัญอื่น ๆ ของพรรคหลายคนถูกจำคุกจากข้อกล่าวหาที่ถูกประณามอย่างกว้างขวางว่ามีแรงจูงใจทางการเมือง ขณะที่คนอื่น ๆ ลี้ภัยในต่างประเทศ

"การจัดการลงคะแนนเป็นช่วงต่าง ๆ ทำให้เจ้าหน้าที่สามารถปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ได้ หากผลลัพธ์ของการลงคะแนนในช่วงแรกไม่เป็นไปตามทางที่พวกเขาต้องการ" ติน จอ เอ โฆษกของกลุ่มติดตามการเลือกตั้ง "สปริง สเปราทส์" (Spring Sprouts) บอกกับสำนักข่าวเมียนมา นาว (Myanmar Now)

รัล อุ ตัง ผู้อยู่อาศัยในรัฐฉิ่นทางตะวันตก เชื่อว่าพลเรือน "ไม่ต้องการการเลือกตั้ง"

"กองทัพไม่รู้วิธีการที่จะปกครองประเทศของเรา พวกเขาทำงานเพื่อประโยชน์ของผู้นำระดับสูงของพวกเขาเท่านั้น"

"เมื่อพรรคของดอว์ ออง ซาน ซูจี อยู่ในอำนาจ พวกเรายังได้สัมผัสกับประชาธิปไตยอยู่บ้าง แต่ตอนนี้เราได้แค่ร้องไห้และหลั่งน้ำตา" ชาววัย 80 ปีรายนี้บอกกับบีบีซี

รัฐบาลชาติตะวันตก อาทิ สหราชอาณาจักร และรัฐสภายุโรป ปฏิเสธการลงคะแนนเสียงนี้โดยมองว่าเป็นการหลอกลวง ในขณะที่กลุ่มภูมิภาคอาเซียนเรียกร้องให้มีเปิดการเเจรจาทางการเมืองระหว่างกลุ่มต่าง ๆ ก่อนที่จะมีการเลือกตั้งใด ๆ

รัฐบาลทหารพม่าปฏิเสธคำวิพากษ์วิจารณ์ที่มีต่อการเลือกตั้ง โดยยืนยันว่าพวกเขามุ่งหวังที่จะ "คืนให้[ประเทศ]กลับสู่ระบบประชาธิปไตยแบบหลายพรรคการเมือง"

"การเลือกตั้งถูกจัดขึ้นเพื่อเมียนมา มันถูกจัดขึ้นเพื่อประชาชนชาวเมียนมา มันไม่ได้จัดขึ้นเพื่อประชาคมระหว่างประเทศ" พล.ต.ซอ มิน ตุน โฆษกรัฐบาลทหารระบุในการแถลงข่าวเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว

ขณะที่พลเอกอาวุโส มิน อ่อง หล่าย ผู้นำรัฐบาลทหารย้ำเตือนในช่วงก่อนหน้าของสัปดาห์นี้ ว่าใครก็ตามที่ปฏิเสธการลงคะแนนเสียง กำลังปฏิเสธ "ความก้าวหน้าสู่ประชาธิปไตย"

https://www.bbc.com/thai/articles/cwyl8lg0q29o


บีบีซีไทยพูดคุยกับพรรคการเมืองขนาดเล็กที่ประชาชนอาจยังไม่รู้จัก พวกเขานำเสนอนโยบายอะไรบ้าง

นโยบายพรรคเล็กกับการเลือกตั้ง 2569 - BBC News ไทย

https://www.youtube.com/shorts/dbF-3hXxKJU
.....

STEM เพื่อเกษตร-เจ๊แมวกัดไม่ปล่อย-โลกที่ไม่มีหนี้: พรรคการเมืองขนาดเล็กนำเสนอวิสัยทัศน์อะไรบ้างในการเลือกตั้ง 2569



ปณิศา เอมโอชา
ผู้สื่อข่าวบีบีซีไทย
28 ธันวาคม 2025

บรรยากาศการสมัครรับเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) แบบบัญชีรายชื่อ และการแจ้งรายชื่อบุคคลที่พรรคการเมืองมีมติจะเสนอสภาผู้แทนราษฎรเพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีในวันแรก (28 ธ.ค.) เต็มไปด้วยความคึกคักตั้งแต่ช่วงเช้าตรู่

ท่ามกลางพรรคการเมืองทั้งหมด 52 พรรคที่มาลงทะเบียนในวันนี้ พรรคใหญ่ต่างนำขบวนแคนดิเดตนายกฯ สมาชิก และผู้สนับสนุนมาให้กำลังใจอย่างอุ่นหนาฝาคั่ง ขณะที่พรรคเล็ก ๆ จำนวนไม่น้อยรวมกลุ่มกันไม่กี่คนค่อย ๆ เดินมาลงทะเบียนอย่างเงียบเชียบ

บีบีซีไทยได้สัมภาษณ์ตัวแทนจากพรรคการเมืองขนาดเล็ก 5 พรรค ที่ผู้อ่านอาจยังไม่รู้จัก ว่าวิสัยทัศน์และแนวคิดด้านนโยบายของพวกเขาเป็นอย่างไรบ้าง

พรรคไทยก้าวหน้า: "เจ๊แมวไม่กลัว เจ๊แมวกัดไม่ปล่อย"

นางสาวกุสุมาลวตี ศิริโกมุท ซึ่งมักแทนตัวเองในแวดวงการเมืองว่า "เจ๊แมว" เดินทางมาพร้อมกับขบวนผู้สนับสนุนเล็ก ๆ และมาสคอตแมวจับหนูสองตัว ตอนที่เธอให้สัมภาษณ์กับบีบีซีไทย

ในฐานะที่ปรึกษาและแคนดิเดตนายกฯ จากพรรคไทยก้าวหน้า เธอบอกกับเราว่าสโลแกนของเธอคือ "เจ๊แมวไม่กลัว เจ๊แมวกัดไม่ปล่อย เจ๊แมวไม่มีนายทุน เจ๊แมวไม่มีผลประโยชน์อะไร ทำเพื่อประชาชน เพราะฉะนั้นอยากได้คนทำงาน อยากได้คนจริงใจ เลือกเจ๊แมวพรรคไทยก้าวหน้าค่ะ"


"เจ๊แมวไม่กลัว เจ๊แมวกัดไม่ปล่อย เจ๊แมวไม่มีนายทุน เจ๊แมวไม่มีผลประโยชน์อะไร ทำเพื่อประชาชน"

เมื่อเราถามต่อว่านโยบายสำคัญของเธอมีอะไรบ้าง เธอยกตัวอย่างหลักมา 2 กรณี คือ การต่อสู้กับทุนผูกขาดในประเด็นค่าไฟแพง ซึ่งเธอชี้ว่า ตัวเองได้มีการปรึกษากับผู้เชี่ยวชาญเรื่องสัมปทานการผลิตไฟฟ้าแล้ว และมองว่าหากมีโอกาสได้เป็นตัวแทนประชาชนก็สามารถเข้าไปพูดคุยกับภาคเอกชนขอให้ลดราคาลงบ้างได้

"ไม่มีใครที่สนใจเรื่องนี้เพราะกลัวมาเฟียพลังงาน แล้วมาเฟียให้เงินทุกพรรค สนับสนุนตั้งพรรคใหม่ด้วยนะ… แต่พี่คิดว่าตรงนี้ประชาชนต้องรู้"

ส่วนเรื่องที่สอง เธอชี้ว่าตัวเองจะไปตามต่อสิ่งที่เธอได้เคยเริ่มต้นไว้ อย่างการยื่นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับคดีที่ดินเขากระโดง และคดีฮั้วเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภา (สว.) ซึ่งเธอมีส่วนเกี่ยวข้องกับทั้งสองคดี ทั้งในฐานะผู้ยื่นคำร้องต่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เรื่องการให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณายุบพรรคภูมิใจไทยจากกรณี สว. และมีส่วนในการให้ปากคำในฐานะพยานจากกรณีเขากระโดง

"ความผิดสำเร็จแล้ว ชี้มูลแล้ว… พี่สู้ข้างถนนพี่ยังชนะเลย ขอโอกาส เจ๊แมวเข้าสภา เข้าไปสู้ในสภาเพื่อประชาชนอย่างแท้จริงค่ะ"

ทั้งนี้ นางสาวกุสุมาลวตี ไม่ใช่หน้าใหม่ทางการเมืองแต่อย่างใด เธอเคยร่วมงานกับทั้งพรรคไทยรักไทย พรรคเพื่อแผ่นดิน พรรคเพื่อไทย พรรคเพื่อชาติ รวมไปถึงพรรครวมไทยสร้างชาติ และเคยนั่งเป็น สส. มาแล้ว 3 สมัย

พรรคฟิวชัน: ประสาน STEM เพื่อเกษตรกรรมไทย

นายกิตติพัทธ์ เลี้ยงประเสริฐ หัวหน้าพรรคฟิวชัน เล่าให้บีบีซีไทยฟังว่า ชื่อพรรคของเขาสะท้อนถึงการหล่อหลอมระหว่างองค์ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิศวกรรมศาสตร์ และคณิตศาสตร์ ซึ่งมักถูกเรียกด้วยตัวย่อทางภาษาอังกฤษว่า "STEM" (อ่านว่า "เสตม")

"คำว่า STEM กำลังมา ไม่ว่าจะเป็นพรรค พรรคใหญ่ ๆ ที่เขาเปิดตัวออกไปเขาใช้คำว่า STEM นำ เพราะฉะนั้นคำว่า STEM ของเรา สามารถมาขายตัวของมันเองได้อยู่แล้ว" นายกิตติพัทธ์ กล่าว


"ฟิวชัน คือการรวมระหว่างยุคเก่ากับยุคใหม่เข้าร่วมด้วยกัน" นายกิตติพัทธ์ เลี้ยงประเสริฐ หัวหน้าพรรคฟิวชัน กล่าว

เขาย้ำว่านโยบายของพรรคเน้นไปที่เกษตรกร และมุ่งเป้าไปที่การพัฒนาให้เกษตรกรของไทยสามารถนำประโยชน์จากเทคโนโลยีที่ก้าวหน้าขึ้นมาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด

เขาอธิบายเพิ่มว่า เกษตรกรรมที่ทำกันอยู่ในไทยนั้นหลายอย่างยังเป็นรูปแบบเก่าที่สามารถเอาเทคโนโลยีเข้าไปจับได้ อาทิ เมื่อก่อนจะใส่ปุ๋ยด้วยมือ แต่เดี๋ยวนี้สามารถใช้โดรนแทนได้ หรือการใช่รถไถเข้ามาทุ่นแรง

"ฟิวชัน คือการรวมระหว่างยุคเก่ากับยุคใหม่เข้าร่วมด้วยกัน"

เขาบอกกับบีบีซีไทยต่อไปว่า แม้พรรคเองจะส่งแคนดิเดตนายกฯ แต่ก็รู้ตัวว่าเป็นพรรคเล็ก จึงไม่ได้คาดหวังถึงเก้าอี้บริหารระดับสูงอะไร เพียงแค่อยากได้โอกาสเข้าไปในสภาเพื่อให้ได้ส่งเสียงและผลักดันประเด็นเพื่อสังคมเท่านั้น

พรรคเครือข่ายชาวนาแห่งประเทศไทย: เสียงชาวนาถึงทุนผูกขาดและชนชั้นกลาง

นายวชิร ศุภรมย์ แคนดิเดตนายกฯ จากพรรคเครือข่ายชาวนาแห่งประเทศไทย บอกวิสัยทัศน์ของเขากับบีบีซีไทยว่า ปัญหาที่ใหญ่ที่สุดของประเทศตอนนี้ไม่ใช่ทั้งประเด็นเศรษฐกิจ ปากท้อง หรือแม้แต่ความมั่นคงชายแดน แต่คือปัญหา "การเมือง"

ในฐานะผู้ประกอบอาชีพเกษตรกรรม เขาบอกว่าคนรากหญ้าอย่างพวกเขารู้ซึ้งถึงปัญหา แต่ขาดโอกาสในการเข้าไปส่งเสียงของตัวเอง อย่างไรก็ดี เขาย้ำกับเราว่านโยบายของพรรคฯ ไม่ได้มีแค่เพื่อช่วยเหลือชาวนาหรือเกษตรกรเท่านั้น แต่ยังส่งผลกระทบชัดเจนต่อ "ชนชั้นกลางในเมือง"

"เราเรียนไปถึงชนชั้นกลางนะ ชนชั้นกลางในเมือง ที่เขาเป็นคนรับผล[กระทบ]... สินค้าอุปโภคบริโภค ต้นทุนต่างๆ มันแพงไปหมด ไม่ใช่เฉพาะเราลำบากนะครับ คนชั้นกลาง คนรับเงินเดือน คนอะไรลำบากหมดทั้งประเทศ… ดังนั้นเมื่อเราเห็นว่า กลุ่มคนต่าง ๆ เหล่านั้นเริ่มพ่ายแพ้ต่ออำนาจทุน เราไม่ได้หมายถึงทุนเทาทุนดำนะ [แต่หมายถึง]ทุนทางเศรษฐกิจทุนผูกขาดของกลุ่มพ่อค้าใหญ่"

"ถ้าพูดกันตรง ๆ ยุทธศาสตร์เราก็คือ 'เกษตรกรปฏิวัติไทย'"


"ผมมาสมัครอยู่ที่นี่นะ ผมต้องขายต้นไม้ เพื่อที่จะเอามาเสียค่าสมัคร" นายวชิร ศุภรมย์ (กลาง) แคนดิเดตนายกฯ จากพรรคเครือข่ายชาวนาแห่งประเทศไทย

นายวชิรเสริมว่า ที่ผ่านมาไม่มีพรรคใดเอาปัญหาเหล่านี้ไปแก้ไข เพราะพรรคการเมืองเหล่านี้ต่างก็มีนายทุนใหญ่หนุนหลังอยู่ ต่างกับพรรคของเขาที่เป็นพรรคประชาธิปไตยแท้ ๆ ไม่มีนายทุน

"ผมมาสมัครอยู่ที่นี่นะ ผมต้องขายต้นไม้ เพื่อที่จะเอามาเสียค่าสมัคร ทุกคนต้องทำ ช่วยกัน เราทำกันอย่างนี้มาตั้งแต่วันตั้งพรรค ออกเงินกันเดือนละ 20 บาทเพื่อมาเช่าสำนักงานและทำเอกสารตั้งแต่ปี 2549"

เมื่อบีบีซีไทยถามเขาว่าพรรคมีกลยุทธ์อะไรเพื่อจะทำให้ผู้คนหันมาสนใจและลงคะแนนให้เขา เกษตรกรผู้ขอเข้าไปเป็นตัวแทนประชาชนผู้นี้กล่าวตอบกลับมาว่า "เราไม่มีกลยุทธ์อะไรเลย นอกจากบอกว่าถ้าต้องการการเมืองที่ใฝ่ฝันหาอยู่ในประเทศนี้เหมือนกับท่านทานข้าว ข้าวไม่มีโทษต่อท่านเลย"

"พรรคเครือข่ายชาวนาแห่งประเทศไทย ไม่มีโทษต่อประเทศนี้ มีแต่ประโยชน์"

พรรควิชชั่นใหม่: เศรษฐกิจมนุษย์ "ประชาชนทุกคนทั้งโลกไม่เป็นหนี้"

ธงรบ ด่านอำไพ แคนดิเดตนายกฯ จากพรรควิชชั่นใหม่ กล่าวอย่างชัดเจนว่าปัญหาแรกที่เขาจะเข้าไปแก้คือประเด็นเศรษฐกิจ ซึ่งแท้จริงแล้วค่อนข้างสอดคล้องและเป็นไปในทิศทางเดียวกับพรรคอื่น ๆ อีกหลายพรรคที่บีบีซีไทยได้ลงพื้นที่สัมภาษณ์ อย่างไรก็ดี ทางเลือกวิธีแก้ปัญหาของเขาแตกต่างออกไป

เขาอธิบายว่าปัญหาของเศรษฐกิจไทยเป็นเพราะ "พึ่งเงินเป็นปัจจัยสำคัญของความสำเร็จ" ซึ่งเขามองว่าเป็นทางเลือกที่ผิด และชี้ว่าทางเลือกที่ถูกต้องคือต้องพึ่งคนแทน หรือที่เรียกว่า "เศรษฐกิจมนุษย์"

"ให้ประชาชนทุกคนทั้งโลกไม่เป็นหนี้เลยเพราะจับมือร่วมกันเรียกว่าหุ้นส่วน ร่วมกันลงทุน ร่วมกันพัฒนา ร่วมกันสร้างเรียกว่าเศรษฐกิจร่วมสร้าง"

ธงรบแจกแจงต่อไปว่า รูปแบบเศรษฐกิจมนุษย์ของเขาคือการพึ่งมนุษย์ และสร้างระบบการเงินที่ไม่กดทับประชาชนขึ้นมา อาทิ นโยบายการไม่มีดอกเบี้ยสำหรับการทำหากิน และเน้นให้ทุกฝ่ายทั้งประชาชนและรัฐบาลแบ่งปันกัน "ให้ประชาชนทุกคนทั้งโลกไม่เป็นหนี้เลยเพราะจับมือร่วมกันเรียกว่าหุ้นส่วน ร่วมกันลงทุน ร่วมกันพัฒนา ร่วมกันสร้าง เรียกว่าเศรษฐกิจร่วมสร้าง"

"มนุษย์ทุกคนควรที่จะได้รับสิ่งที่เป็นโอกาส เกิดมาต้องได้รับโอกาส ไม่ใช่ว่าเรียนหนังสือ จบไป เป็นหนี้ติดไปด้วย เพราะไม่มีเงินเรียน แล้วพอไปทำงานได้ ก็ต้องไปเสียภาษี พรรควิชชั่นใหม่ จะแก้ปัญหานี้ให้กับประชาชนทุกคน"

เราถามเขาต่อว่า เช่นนั้นแปลว่า พรรควิชชั่นใหม่จะนำเสนอประเด็นเรียนฟรีและลดภาษีใช่หรือไม่

ธงรบตอบว่า การเรียนหนังสือเป็นหน้าที่ของประชาชนทุกคน และเขาขอไม่เรียกคำว่ารัฐบาล แต่เปลี่ยนเป็น "ระบบ" แทน

เขาชี้ว่าเมื่อมีมนุษย์เกิดขึ้นมาใหม่ในแผ่นดินไทย และกลายเป็น "สมาชิกใหม่ของประเทศ เราจะต้องให้เขาเรียนจนจบ เพื่อเขาจะเป็นกำลังสำคัญของประเทศ…​ แต่ต้องให้เขาเรียนจนจบโดยที่ไม่ต้องกู้เงิน แต่เป็นหุ้นส่วน แล้วมนุษย์ทุกคนเกิดมาเป็นหุ้นส่วนของสังคม สังคมช่วยเหลือกัน เมื่อเขาเรียนจบแล้ว เขาก็ไปหาเงินมาเพื่อเลี้ยงสังคม เรียกว่าแบ่งปันกัน"

"...ย้อนกลับไปสู่ความเป็นศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์" ธงรบ กล่าวทิ้งท้าย

ครูไทยเพื่อประชาชน: ปฏิวัติครูเพื่ออนาคตของชาติ


"ถ้าห่วงลูกห่วงหลาน เลือกพรรคครูไทยเพื่อประชาชน แต่ถ้าไม่ห่วง ก็ไม่รู้จะว่ายังไงนะ" นายปรีดา บุญเพลิง หัวหน้าพรรคครูไทยเพื่อประชาชน กล่าว

นายปรีดา บุญเพลิง หัวหน้าพรรคครูไทยเพื่อประชาชน ระบุว่า อุดมการณ์หลักของพรรคคือการเอาการศึกษานำการเมือง และให้ "ครูพัฒนาคน ประชาชนพัฒนาชาติ"

เขาระบุว่า ปัญหาสำคัญที่สุดของประเทศไทยตอนนี้คือไม่มีพรรคการเมืองใดมีนโยบายด้านการศึกษาที่ชัดเจน ซึ่งจะส่งผลต่ออนาคตของชาติในอีก 20-30 ปีต่อจากนี้

เขาเสนอว่าต้องมีการ "ปฏิวัติ" 3 ข้อ คือ 1. การปฏิวัติหลักสูตร เพื่อให้ตอบโจทย์กับโลกปัจจุบันมากขึ้น 2. การปฏิวัติกระบวนการผลิต-ใช้-ตอบแทนครู 3. การปฏิวัติระบบบริหารของกระทรวงให้มีการกระจายอำนาจมากขึ้น

"วันนี้ยาเสพติดระบาด สมอง[เด็ก]ถูกทำลาย ถามว่าสมองของประเทศจะไปได้ไหม เพราะฉะนั้นสิ่งที่น่าห่วงตอนนี้ก็คือการศึกษา"

เขาวิจารณ์ต่อว่าที่ผ่านมา นโยบายหลายอย่าง อาทิ เรียนฟรี ก็ไม่เกิดขึ้นจริง และพรรคครูไทยเพื่อประชาชนของเขาต้องการทำให้เรื่องเหล่านี้ชัดเจนขึ้น

"ถ้าห่วงลูกห่วงหลาน เลือกพรรคครูไทยเพื่อประชาชน แต่ถ้าไม่ห่วง ก็ไม่รู้จะว่ายังไงนะ" นายปรีดา ทิ้งท้าย

ทั้งนี้ นายปรีดา เคยได้รับเลือกตั้งเป็น สส.บัญชีรายชื่อเพียงคนเดียวของพรรคครูไทยเพื่อประชาชนจากการเลือกตั้งปี 2566 ก่อนที่ในช่วงปลายปี 2567 จะย้ายไปร่วมพรรคกล้าธรรม และล่าสุดได้ลาออกจากพรรคกล้าธรรมกลับมายังพรรคครูไทยเพื่อประชาชนในช่วง 2 สัปดาห์ก่อน

https://www.facebook.com/reel/1586584109030147
https://www.bbc.com/thai/articles/cq5qv9d3yz9o



8 กุมภา เข้าคูหา กา “เห็นชอบ” ให้มีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ - ช่วยกันหยุดนิติสงคราม : เหตุผลที่ ‘การแก้รัฐธรรมนูญ’ จะเปลี่ยนประเทศได้


ตุ๊ดส์review
Yesterday
·
นิติสงคราม : เหตุผลที่ ‘การแก้รัฐธรรมนูญ’ จะเปลี่ยนประเทศได้

อนาคต #พรรคประชาชน และ #เท้งณัฐพงษ์ ที่เรา "อ่านออก"

1) สืบเนื่องจาก ประเด็น #เลือกตั้ง2569 เมื่อเช้ามี comment หนึ่งบนเพจมาโต้ตอบกับผม เขาเป็นเจ้าของธุรกิจ CEO ที่จบโทบริหารจากจุฬาฯ ซึ่งผมก็ไม่รู้จักเขาหรอกครับ มาพิมพ์บอกผมว่า "เขาไม่เห็นความสำคัญของการแก้รัฐธรรมนูญ ชีวิตเขาไม่จำเป็นต้องพึ่งรัฐบาล และเขามองว่าชีวิตเขาควรอยู่ได้ด้วยการพึ่งตัวเอง ไม่เห็นว่ารัฐธรรมนูญมันเกี่ยวกับชีวิตเขา หรือจะทำให้ประเทศพังตรงไหนเลย ถ้าไม่แก้" ทำให้ผมตกใจนิดหน่อย ที่ระดับการศึกษาของคน และประสบการณ์ชีวิตในการทำงาน ไม่ได้ช่วยให้คนมี Literacy ในเรื่องที่สำคัญกับชีวิต

2) ภาษีของเราถูกถลุงเป็นเงินงบประมาณหลายพันล้านเพื่อใช้กับเลือกตั้งไม่รู้กี่รอบ แต่เรากลับไม่ได้ผู้นำที่ควรจะได้จากผลการเลือกตั้ง เพราะ "องค์กรอิสระ" และ "การใช้นิติสงคราม" สอยเล่นงานคนแล้วคนเล่า ให้เราเสียเวลา และชะงักงันการพัฒนาประเทศ รัฐบาลขาดเสถียรภาพ ดำเนินนโยบายไม่ต่อเนื่อง ต้องผลัดเปลี่ยนรัฐบาลไปเรื่อยๆ ประเทศไม่ไปไหน พัฒนาไม่ได้ วน loop วงจรอุบาทว์ไปเรื่อยๆ ถามว่า เรื่องเหล่านี้ ไม่เกี่ยวกับชีวิตเราจริงๆเหรอครับ?

3) คำถามผมคือ ทำไมนักวิชาการหลายคนมากไปออกรายการด้วยการ Normalize การลงดาบขององค์กรอิสระ มากกว่าสิ่งที่ถูกต้อง? จริงๆเราควรยืนยันไม่ใช่เหรอครับว่า "การที่สส.ทำหน้าที่โดยการยื่นกฏหมายเข้าสภา 'ไม่ใช่ความผิด' และ ถ้า สส. ไม่มีหน้าที่ยื่นกฎหมายเข้าสภา แล้วหมาที่ไหนมีหน้าที่นี้ ??"

4) ดังนั้น คำถามต่อมาที่ฉลาดที่สุด คือ เมื่อมันเป็นกฎหมาย ก็แปลว่ามันไม่ได้ลอยมาจากฟ้า แต่มาจากฝีมือมนุษย์ นั่นหมายความว่า มันต้องถูกร่างขึ้น ยกร่าง เห็นชอบ และบังคับใช้โดยคน แล้วทำไมมันจะแก้ส่วนใดส่วนหนึ่ง หรือทั้งฉบับไม่ได้ ??" สังคมควร Normalize เรื่องการมีเจตจำนงยื่นแก้กฎหมายว่าเป็นความชอบธรรมตามหน้าที่โดยสุจริตของ ส.ส. เพราะมันเป็นหน้าที่เขาครับ

5) น่าแปลกมากที่ฟังมาหลายๆรายการ อาจารย์หลายท่าน และบรรดานักวิชาการพูดเหมือนการเกิดขึ้นแบบนี้เป็นเรื่องปกติ เหมือนที่เคยเป็นมา และเป็นไป และจะเป็นแบบนี้ต่อไป แทนที่จะยืนยันหลักการให้ประชาชนเข้าใจว่าสิ่งที่ควรเป็น และถูกต้องของประเทศคืออะไร? เพราะอาจารย์ทุกท่านเป็นผู้ทรงคุณวุฒิ มีคนเชื่อถือ มีความรู้ความสามารถ น่าจะพูด message ที่มีมุมมองอันยืนหยัดถึงความถูกต้องชอบธรรมสู่สังคมไทย (อันนี้ไม่ได้ตำหนิตัวอาจารย์วีระ แต่หมายถึงหลายๆท่านที่พูดในประเด็นนี้ผ่านสื่อนะครับ)

6) ผมแค่จะชี้ให้เห็นว่า ทำไมการเลือกตั้งครั้งนี้มันจึงสำคัญ? เพราะมันเป็นเครื่องยืนยันอีกครั้งว่า รัฐธรรมนูญไทย กำลังมีปัญหา และการแก้ไขสำคัญมาก ถ้าองค์กรอิสระเหล่านี้ยังดำรงอยู่ โดยการคัดสรรจาก ส.ว. (ซึ่งปัจจุบันคือ based เป็นขั้วสีน้ำเงิน) คุณต้องถามตัวเองว่าประเทศจะได้ผลลัพธ์ในการทำงานขององค์กรอิสระแบบใด? แล้วคุณโอเคที่จะอยู่ในวงจรอุบาทว์นี้ต่อไปไหม? ต้องถามตัวเองเยอะๆครับ ว่าคุณเข้าใจความสำคัญของรัฐธรรมนูญในแบบไหน แล้วยังมีมาตราอีกมากมายที่มีปัญหา นั่นหมายความว่า มันควรแก้ครับ

7) ยุคนี้ เขาไม่ต้องทำรัฐประหารแล้วครับ เพราะมันใช้การรัฐประหารโดยระบบอยู่ตลอดเวลา ที่ถูกขัง system ไว้ให้ auto-repeat ด้วยตัวมันเองอยู่แล้ว ประชาชนเลือกใครขึ้นมาก็จะมีปัญหาตลอด และไม่ถูกทำให้ได้คนที่ตัวเองต้องการ จนกว่ารัฐธรรมนูญนี้จะถูกแก้ไขได้สำเร็จครับ นั่นเป็นเหตุผลที่ผู้มีอำนาจที่ได้รับประโยชน์จากรัฐธรรมนูญฉบับนี้ ไม่ต้องการแก้ไขมันครับ

8 ) จริงๆ ป.ป.ช. ให้ข้อมูลผู้สื่อข่าวมาแล้วนะครับว่า "คดี 44 ส.ส. ที่ยื่นแก้ไข 112 จะพิจารณาแล้วเสร็จ ในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ 2569" ซึ่งก็คือประมาณช่วงหลังเลือกตั้ง ดูก็รู้ว่ามันคืออะไร ผมเชื่อว่าคนไทย ไม่โง่อยู่แล้วครับ ว่าเกมนี้จะออกไปทางไหน? และส่งผลให้เสียงของคุณในการเลือกตั้งครั้งนี้ อาจจะหมดคุณค่าอีกครั้งหนึ่งก็เป็นได้

9) ในวันที่ 8 กุมภาพันธ์นี้ สิ่งที่สำคัญมากๆสำหรับการเลือกตั้งคือ จะมีการขอประชามติจากประชาชนเป็นบัตรใบที่ 3 สีเหลือง ถามว่า "คุณเห็นชอบที่จะแก้ไข หรือร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่หรือไม่?" ผมหวังว่าคุณจะกากบาทว่า 'เห็นชอบ' ไปด้วยกันนะครับ เพราะมันเป็นวิธีเดียวที่เสียงของคุณจะร่วมเปลี่ยนประเทศนี้ได้ครับ เสียงของคุณมีค่า และสำคัญมากจริงๆครับ

10) ผมหวังว่าคุณจะเข้าใจเรื่องพวกนี้ ไปพร้อมกับทุกๆปัญหาในประเทศที่ต้องแก้ไขไปด้วยกัน "ชีวิตคุณจะดีขึ้น ถ้ามีกฎหมายที่เอื้อให้เสียงของคุณมีคุณค่า ไม่ใช่ถูกละเมิดด้วยคนไม่กี่คนย่ำยีเสียงของคุณไปตลอดชีวิตครับ"

หวังว่า คนที่คิดไม่ได้ จะตกผลึกเรื่องง่ายๆเหล่านี้ครับ เพราะสมองของคุณมีค่า ถ้าคุณได้ใช้มันคิด วิเคราะห์ และแยกแยะ ว่าตอนนี้เกิดอะไรขึ้นกับประเทศไทย และมันไม่ปกติมาสักพักใหญ่ๆมาหลายปีแล้วครับผม ขอบคุณที่แวะเข้ามาแลกเปลี่ยนกันเสมอนะครับ

เดี๋ยวกุมภา...เธอรอดูผลงาน ป.ป.ช. ที่รักไปด้วยกันนะครับ

#ตุ๊ดส์review
https://www.facebook.com/photo/?fbid=1445724477118512&set=a.808136554210644






'หรรษาอาลัย' หนังสารคดี บันทึกช่วงเวลาปลายเดือนธันวาคมปี 2567 ที่มิตรสหายและครอบครัวของกลุ่มผู้ลี้ภัยการเมืองมารวมตัวกันที่บ้านเกิดของสหายภูชนะที่มุกดาหาร เพื่อรำลึกถึงคนที่จากไป และให้กำลังใจคนที่ยังอยู่


หรรษาอาลัย [สารคดี]

Prachatai

Premiered Apr 13, 2025
.....

ประชาไท Prachatai.com 
Yesterday
·
วันนี้เมื่อ 7 ปีที่แล้ว (27 ธ.ค. 2561) พบศพชายนิรนามลอยมาติดริมฝั่งโขงในลักษณะถูกมัดมือมัดเท้า ผ่าท้องยัดแท่งปูน คลุมด้วยกระสอบป่าน ต่อมาพิสูจน์ได้ว่าเป็นร่างของชัชชาญ บุปผาวัลย์ หรือ 'สหายภูชนะ' ผู้ลี้ภัยการเมืองหลังการรัฐประหาร 2557 ซึ่งขาดการติดต่อไปพร้อมกับ 'สุรชัย แซ่ด่าน' และ 'สหายกาสะลอง' ในช่วงกลางเดือนธันวาคมปีนั้น ซึ่งตรงกับที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีในขณะนั้นเดินทางไปร่วมประชุมไทย-ลาว ก่อนจะพบศพสองสหายลอยมาติดริมฝั่งโขงในเวลาไล่เลี่ยกัน ปัจจุบันยังไม่ทราบชะตากรรมของสุรชัย
ประชาไทชวนรับชมสารคดี 'หรรษาอาลัย' บันทึกช่วงเวลาปลายเดือนธันวาคมปี 2567 ที่มิตรสหายและครอบครัวของกลุ่มผู้ลี้ภัยการเมืองมารวมตัวกันที่บ้านเกิดของสหายภูชนะที่มุกดาหาร เพื่อรำลึกถึงคนที่จากไป และให้กำลังใจคนที่ยังอยู่ แม้ความยุติธรรมยังมาไม่ถึง แต่ชีวิตยังคงดำเนินต่อไป ท่ามกลางคำถามมากมายที่ยังคงไร้คำตอบ
***หมายเหตุ: มีฉากระหว่างเครดิตตอนท้าย***
(สารคดีเรื่องนี้เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ 14 เม.ย. 2568 หรือวันครอบครัวที่ผ่านมา)

https://www.facebook.com/reel/1656806282362615
https://www.youtube.com/watch?v=x45tj23FkGM



🎥จาก โฮเทล รวันดา ถึง “อังคณา แม่พระเขมร” : ความเกลียดกลัวที่ถูกสร้าง และบทบาทสื่อในสังคมแตกแยก


ขบวนการสร้างเสริมสุขภาพประชาชน
December 26
·
โฮเทล รวันดา กับคำถามต่อสื่อไทย : เมื่อความเกลียดชังถูกทำให้กลายเป็นเรื่องปกติ
.
หลังการฉายภาพยนตร์ โฮเทล รวันดา ภาพความรุนแรงจากการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์เมื่อปี 2537 ไม่ได้จบลงเพียงในโรงภาพยนตร์ หากแต่กลายเป็นคำถามที่ย้อนกลับมาหาสังคมร่วมสมัย โดยเฉพาะบทบาทของสื่อมวลชนในการผลิตซ้ำความเกลียดชัง
.
คุณวรา จันทร์มณี นักวิชาการอิสระ ชวนผู้ชมเริ่มต้นจากคำถามง่าย ๆ แต่หนักหน่วง

“ใครดูหนังแล้วรู้สึกเศร้า และรู้สึกว่าการเข่นฆ่า การเกลียดชังกันทางเชื้อชาติไม่ควรเกิดขึ้นบ้าง”
.
คำถามนี้ไม่ใช่เพียงการชวนสะท้อนความรู้สึก แต่เป็นการชวนคิดต่อว่า หากทุกคนเห็นตรงกันว่าความรุนแรงเช่นนี้ไม่ควรเกิดขึ้น เหตุใดสังคมจึงยังยอมให้ความเกลียดชังในลักษณะเดียวกันดำรงอยู่ในโลกความจริง
.
คุณวรามองว่า สิ่งที่หนังสะท้อนกลับมา ไม่ใช่แค่ประวัติศาสตร์ของรวันดา แต่คือสภาพของสังคมมนุษย์เอง

“มันสะท้อนความต่ำทรามของสังคม”
.
โดยเฉพาะเมื่อพิจารณาบทบาทของสื่อมวลชน ซึ่งควรเป็นพื้นที่ของเหตุผลและจรรยาบรรณ แต่กลับกลายเป็นพื้นที่ที่ความเกลียดชังถูกทำให้ดูชอบธรรมและขายได้
.
เขาอธิบายว่าสื่อไทยในปัจจุบันอาจแบ่งออกได้เป็นสองกลุ่ม คือสื่อหลักที่เป็นสถาบัน และสื่อที่ควบคุมไม่ได้อย่างอินฟลูเอ็นเซอร์ แม้เหตุการณ์ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ในรวันดาจะผ่านมากว่า 30 ปี แต่บทเรียนด้านจริยธรรมกลับไม่ถูกนำมาใช้กับการทำงานสื่อในปัจจุบัน
.
ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นกับกรณีคุณอังคณา นีละไพจิตร รวมถึงความขัดแย้งระหว่างไทยกับประเทศเพื่อนบ้าน สะท้อนรูปแบบเดียวกัน คือการทำให้ “คนอื่น” กลายเป็นศัตรู

“มึงไม่ใช่พวกกู กูก็ไม่จำเป็นต้องดีกับมึง”
.
ความคิดเช่นนี้ทำให้การผลักใครบางคนออกจากความเป็นมนุษย์ กลายเป็นเรื่องง่าย และถูกทำให้เป็นเรื่องปกติในพื้นที่สื่อ
.
คุณวรามองว่า ปัญหานี้ไม่ได้เกิดขึ้นอย่างโดดเดี่ยว แต่เชื่อมโยงกับโครงสร้างอำนาจทางการเมืองและทุนที่อยู่เบื้องหลังสื่อหลักจำนวนไม่น้อย สื่อบางแห่งอาจไม่ได้ทำงานอย่างอิสระ แต่ได้รับ “โจทย์” ในการปลุกอุดมการณ์ชาตินิยม เพื่อสร้างความขัดแย้งที่เอื้อต่อผลประโยชน์ทางการเมืองหรือการเลือกตั้ง
.
ขณะเดียวกัน สื่อใหม่และอินฟลูเอ็นเซอร์จำนวนมากก็ทำงานในทิศทางเดียวกัน คือการเร้าอารมณ์และปลุกกระแส โดยขาดความรับผิดชอบต่อผลกระทบที่เกิดขึ้นกับสังคม
.
อย่างไรก็ตาม คุณวรามองว่าสังคมไทยยังมีความหวังอยู่บ้าง เขาชี้ให้เห็นว่ากรณีคุณอังคณาที่สังคมตีกลับอย่างรวดเร็วภายในไม่กี่วัน เป็นสัญญาณว่าสังคมยังไม่ยอมรับความอยุติธรรมทั้งหมด

“มันแสดงให้เห็นว่าสังคมไทยไม่ได้เป็นแบบนั้นไปทั้งหมด”
.
เขายังตั้งคำถามต่อวาทกรรม “แม่พระเขมร” ที่ถูกใช้โจมตีคุณอังคณาอย่าง
ตรงไปตรงมา

“นิยามความเป็นแม่พระต้องสังกัดชาติหรือเปล่า”
.
สำหรับคุณวรา ความเมตตาไม่ควรถูกผูกขาดด้วยสัญชาติ และการอ้างความรักชาติด้วยการสนับสนุนความรุนแรง ไม่อาจเรียกว่าเป็นคุณธรรมได้
.
ในช่วงท้าย คุณวราเน้นย้ำบทบาทของสื่อที่ควรเป็นมากกว่าผู้ถ่ายทอดข้อมูล เขาอ้างถึงแนวคิดที่ว่า สื่อไม่ควรเป็นเพียง “กระจก” สะท้อนข้อเท็จจริงแบบไร้การวิเคราะห์ แต่ต้องทำหน้าที่นำทางให้สังคม

“สื่อต้องเป็นกระจกสะท้อนข้อเท็จจริงอย่างไม่มีอคติ และต้องเป็นไฟฉาย ที่ทำหน้าที่จำแนกแยกแยะและชี้ทางออกให้สังคมด้วย”
.
ไฟฉายที่ช่วยให้สังคมมองเห็นไกลขึ้น เห็นความซับซ้อนของปัญหา และไม่ปล่อยให้ความเกลียดชังครอบงำการรับรู้
.
ท้ายที่สุด คุณวราเรียกร้องให้ทุกภาคส่วนในสังคม ไม่ว่าจะเป็นสื่อ ทุน หรือผู้มีอำนาจทางการเมือง ร่วมกันทบทวนบทบาทและความรับผิดชอบของตนเอง

“วันนี้สิ่งที่สังคมไทยต้องทำ คือทวงจิตสำนึกของสื่อมวลชนกลับคืนมา”
.
เพื่อไม่ให้บทเรียนจาก โฮเทล รวันดา เป็นเพียงเรื่องเล่าในจอภาพยนตร์ แต่กลายเป็นบทเรียนที่ช่วยหยุดยั้งความรุนแรงในโลกความจริงได้อย่างแท้จริง
.
เรียบเรียงจากงานเสวนา "จาก โฮเทล รวันดา สู่บทเรียนสังคมไทย"
__________
ขอบคุณที่ร่วมเป็นส่วนหนึ่งของการเคลื่อนไหวเพื่อสร้างนิเวศสุขภาวะที่ดีของทุกคน

โดย ทีมงาน ขบวนการสร้างเสริมสุขภาพประชาชน (ขสช.)

https://www.facebook.com/photo?fbid=1277017157801402&set=a.545111547658637

.....


ขบวนการสร้างเสริมสุขภาพประชาชน
6 hours ago
·
จาก โฮเทล รวันดา ถึง “อังคณา แม่พระเขมร” : ความเกลียดกลัวที่ถูกสร้าง และบทบาทสื่อในสังคมแตกแยก
.
เวทีเสวนา “จากโฮเทล รวันดา สู่บทเรียนสังคมไทย” ไม่ได้ชวนผู้ฟังย้อนมองเพียงโศกนาฏกรรมในต่างแดน หากแต่พากลับมาตั้งคำถามกับสังคมไทยในปัจจุบันอย่างตรงไปตรงมา
.
ศาสตราจารย์สมชาย ปรีชาศิลปกุล อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ชวนผู้ฟังเริ่มต้นจากคำถามพื้นฐานที่สุดข้อหนึ่ง คือ ความเกลียดและความกลัวถูกสร้างขึ้นมาได้อย่างไร และมันทำงานอย่างไรในสังคม
.
อาจารย์สมชายยกกรณีการโจมตีคุณอังคณา นีละไพจิตร นักสิทธิมนุษยชน ที่ถูกตีตราด้วยวาทกรรมอย่าง “อังคณา แม่พระเขมร” มาเป็นตัวอย่างร่วมสมัย พร้อมชี้ให้เห็นว่า นี่ไม่ใช่เหตุการณ์แรก และไม่ใช่บุคคลแรกที่ถูกทำให้กลายเป็น “คนอื่น”
.
ในสังคมไทย เราคุ้นชินกับป้ายกำกับลักษณะนี้มานาน ตั้งแต่วาทกรรม “นักวิชาการไทยหัวใจเขมร” ไปจนถึงการกล่าวหาทางการเมืองในช่วงความขัดแย้งชายแดน
.
อาจารย์สมชายอธิบายว่า กลไกสำคัญที่ทำให้ความเกลียดและความกลัวทำงานได้อย่างรวดเร็ว มีฐานคิดหลักอยู่ไม่กี่เรื่อง เมื่อใครก็ตามถูกมองว่าเป็นปฏิปักษ์ต่อสิ่งเหล่านี้ บุคคลนั้นจะถูกผลักออกจากความเป็น “พวกเรา” ทันที และเมื่อกลายเป็น “คนอื่น” ก็ย่อมถูกขับไล่ กดทับ หรือทำให้เงียบเสียงได้อย่างชอบธรรมในสายตาของสังคมบางส่วน
.
“สังคมไทยมีสิ่งที่ทำให้เกิดความเกลียด กลัว หลายเรื่อง และผลักให้คนที่คิดต่างกลายเป็นคนอื่น พอเป็นคนอื่น ก็แปลว่าพร้อมจะถูกขับไล่ นี่คือฐานคิดที่เป็นปัญหาใหญ่ของสังคม”
.
อาจารย์สมชายตั้งข้อสังเกตว่า ความน่ากังวลไม่ใช่เพียงความเกลียดชัง แต่คือ ความกลัว ที่ถูกปลูกฝังให้เชื่อว่า คนที่คิดต่างจะมาสั่นคลอนสถาบันหลักของประเทศ และความกลัวนี้เองที่ทำให้สังคมยอมรับการทำร้ายทางวาทกรรม หรือแม้แต่การละเมิดสิทธิของผู้อื่นได้ง่ายขึ้น
.
อีกประเด็นสำคัญที่ถูกหยิบยกขึ้นมาคือ บทบาทของสื่อในยุคปัจจุบัน
.
อาจารย์สมชายชี้ว่า ในอดีต สื่อกระแสหลักยังมีกรอบจริยธรรมและกระบวนการกลั่นกรองบางอย่าง แต่ในยุคของสื่อใหม่และอินฟลูเอนเซอร์ ข้อมูลสามารถแพร่กระจายได้อย่างรวดเร็ว โดยมักเล่นกับอารมณ์ ความโกรธ ความกลัว และความดราม่า มากกว่าความจริงที่ผ่านการตรวจสอบ
.
ไม่ว่าจะเป็นข่าวความรุนแรง ข่าวศาสนา หรือประเด็นความขัดแย้งระหว่างประเทศ ข้อมูลจำนวนมากถูกเผยแพร่และ “เลือกข้าง” ทันที โดยที่ข้อเท็จจริงยังไม่ชัดเจน ผลที่ตามมาคือ ความเกลียดชังถูกขยายตัวอย่างรวดเร็ว ขณะที่กระบวนการตรวจสอบและถ่วงดุลกลับตามไม่ทัน
.
อาจารย์สมชายเตือนว่า ในสถานการณ์เช่นนี้ สังคมจำเป็นต้อง ชะลออารมณ์และใช้ความระมัดระวังอย่างยิ่ง ต่อการกล่าวหาใครก็ตามว่าเป็นศัตรูของชาติ หรือเป็นภัยต่อสังคม
คำถามสำคัญไม่ใช่เพียงว่า “ใครพูดอะไร” แต่คือ สิ่งที่ถูกกล่าวหานั้นจริงหรือไม่ และเรากำลังถูกชักนำให้เกลียดกลัวใครโดยไม่รู้ตัวหรือเปล่า
.
บทเรียนจาก โฮเทล รวันดา จึงไม่ได้เป็นเพียงเรื่องของการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ในอดีต แต่สะท้อนให้เห็นว่า เมื่อสังคมยอมให้ความเกลียดกลัวทำงานโดยไร้การตั้งคำถาม ความกระหายยอดเอนเกจเมนต์ จนลดทอนคุณค่าความเป็นมนุษย์อย่างง่ายดาย และเมื่อถึงจุดนั้น ความรุนแรงก็อาจไม่ใช่เรื่องไกลตัวอีกต่อไป
.
เรียบเรียงจากงานเสวนา "จาก โฮเทล รวันดา สู่บทเรียนสังคมไทย"
__________
ขอบคุณที่ร่วมเป็นส่วนหนึ่งของการเคลื่อนไหวเพื่อสร้างนิเวศสุขภาวะที่ดีของทุกคน

โดย ทีมงาน ขบวนการสร้างเสริมสุขภาพประชาชน (ขสช.)
 
https://www.facebook.com/photo/?fbid=1278540694315715&set=a.545111547658637





หากต้องเลือกสักหนึ่งเรื่องที่น่าผิดหวังและน่าเสียใจอย่างที่สุดในปี 2568 เรื่องนั้นคือ ‘สงคราม’ ระหว่างไทยและกัมพูชา


The101.world
8 hours ago
·
หากต้องเลือกสักหนึ่งเรื่องที่น่าผิดหวังและน่าเสียใจอย่างที่สุดในปี 2568 เรื่องนั้นคือ ‘สงคราม’ ระหว่างไทยและกัมพูชา
.
ผิดหวังตั้งแต่เหตุของสงคราม – เราทะเลาะกับกัมพูชาเรื่องเส้นเขตแดนและอธิปไตยของชาติ ซึ่งมีปัญหากันมาเป็นร้อยปี และพัฒนาเครื่องมือในการแก้ปัญหาอย่าง ‘อารยะ’ มาเป็นลำดับ เทคโนโลยีแผนที่และดาวเทียมก็ล้ำสมัยเสียจนทำให้ข้อถกเถียงที่เคยเบลอชัดขึ้นกว่าเดิมมาก แต่สุดท้ายทั้งสองประเทศกลับเลือกใช้วิธีการที่ ‘อนารยะ’ ที่สุดในการแก้ปัญหา (ซึ่งไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้จริง)
.
ตลกร้ายคือ 10 ปีที่แล้ว เรายังบ้าเห่อ ‘ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน’ กันทั้งภูมิภาคอยู่เลย วันนี้หันปืน ยิงจรวด ทิ้งระเบิดใส่กันเสียอย่างนั้น
.
ผิดหวังต่อมาคือชนวนเหตุของการปะทะ ทุกวันนี้ยังไม่มีคำอธิบายที่ชัดเจนด้วยซ้ำว่า การปะทะกันรอบนี้เกิดขึ้นด้วยเหตุผลอะไรกันแน่ บ้างก็ว่าเป็นชนชั้นนำของทั้งสองประเทศขัดผลประโยชน์กัน บ้างก็ว่ากัมพูชา ‘เหลี่ยม’ อยากเอาข้อพิพาทชายแดนเข้าสู่ประชาคมระหว่างประเทศ บ้างก็ว่ากัมพูชาโกรธเพราะไทยปราบสแกมเมอร์หนัก บ้างก็ว่ากัมพูชาหวังกระแสชาตินิยมเพื่อแก้ปัญหาการเมืองภายในประเทศ พอมาการรบระลอกสอง ฝั่งไทยก็โดนตั้งคำถามว่าหวังผลทางการเมืองเช่นกัน
.
ผิดหวังอีกอย่างคือ เมื่อสงครามเกิดขึ้นแล้ว กระแสชาตินิยมโหมกระหน่ำ จนกลายเป็นเรื่องเล่าหลักของสังคมไทย (narrative) ย้ำว่า ความโกรธแค้นต่อความสูญเสียเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ความสูญเสียที่เกิดขึ้นกับพลเรือน แต่ถึงตรงนี้ก็ต้องกล้ายืนยันว่า การคลั่งชาติ-กระหายสงคราม หรือความคิดประเภทที่ว่าจะกำจัดขีดความสามารถของกองทัพกัมพูชา ไปจนถึงระบอบฮุนเซน เป็นเรื่องที่ควรต้องกระตุกเตือนกันแบบตรงไปตรงมา
.
ผิดหวังสุดท้ายคือ แม้จนถึงวันที่เราเดินเข้าสู่สนามเลือกตั้ง กระแสชาตินิยมที่นำโดยกองทัพก็เป็นตัวกำหนดวิธีคิดและนโยบายในการเลือกตั้งไปแล้ว จะเห็นว่า แม้จะเริ่มมีการแสดงวิสัยทัศน์และดีเบตไปพอสมควร กลับไม่มีพรรคการเมืองไหนเลยที่กล้ายืนยันอย่างเต็มปากเต็มคำว่า ‘สันติภาพ’ และ ‘ความเท่าเทียม’ ระหว่างรัฐคือ คำตอบของความขัดแย้งครั้งนี้
.
ทุกพรรคการเมืองล้วนอยู่บนเรื่องเล่าที่มองว่า ประเทศไทยใหญ่กว่าและเป็นคนคุมเกมทั้งสิ้น ในขณะเดียวกันก็พร้อมใจพูดถึงแนวทาง ‘โลกล้อมกัมพูชา’ แต่กลับไม่มีใครพูดว่า การรบแบบที่กองทัพไทยทำอยู่เป็นความผิดพลาดทางยุทธศาสตร์ และไม่อาจนำพาประเทศไทยไปไหนได้ไกลในเวทีโลก
.
ไม่มีใครวิพากษ์แนวคิดการสร้างรั้วระหว่างไทยและกัมพูชา แต่กลับแข่งกันว่าใครจะสร้างรั้วได้ดีกว่า ที่น่าผิดหวัง เพราะหลายคนในที่นี้น่าจะ (เคย) เชื่อและเห็นดีด้วยกับแนวคิดโลกเสรีนิยมที่มีรูปธรรมคือ โลกไร้พรมแดน เขตแดนเป็นเรื่องสมมติ การเชื่อมต่อ (connectivity) และพหุวัฒนธรรม คือที่มาของพลังขับเคลื่อนสังคม ฯลฯ ถ้าให้เดาบางคนอาจจะเคยวิจารณ์แนวคิดการสร้างแพงระหว่างสหรัฐฯ กับเม็กซิโกของทรัมป์ว่าเป็นความคิดที่ ‘ไร้เหตุผล’ ด้วยซ้ำ
.
ในดีเบต หลายคนยกย่อง สดุดี และเห็นใจชาวบ้านที่ได้รับผลกระทบในฐานะ ‘ผู้เสียสละ’ แต่ไม่มีใครพูดเรื่องการเยียวยาและฟื้นฟูจากภาวะสงครามอย่างเป็นรูปธรรมและเพียงพอ ไม่ต้องพูดถึง ทิศทางชีวิตและความเป็นอยู่หลังสงครามจบลง อย่าลืมว่า พวกเขาคือคนที่ต้องอยู่บนพื้นที่ชายแดนต่อไป ถ้ามีรั้ว หรือกำแพง พวกเขาคือคนที่ต้องอยู่กับสิ่งเหล่านี้
.
ตอนนี้ก็ได้แต่หวังว่า เมื่อสถานการณ์การสู้รบเริ่มคลี่คลายลงตามข้อตกลงหยุดยิงที่ทั้งสองประเทศตกลงกันได้ในการประชุม GBC เราจะได้เห็นพรรคการเมืองเริ่มนำเสนอแนวคิดและนโยบายที่ถอยห่างจากแนวทางชาตินิยม-ทหารนิยมมากขึ้น
.
ถ้าไม่มีเลยคงต้องยอมรับว่า ในการต่อสู้เชิงความคิดและวาทกรรม เราอาจไม่มีพรรคการเมืองที่ (กล้า) พูดเรื่องสันติภาพแบบจริงจัง
.
ซึ่งเป็นเรื่องน่าผิดหวังอย่างที่สุด

สมคิด พุทธศรี
บรรณาธิการอำนวยการ The101.world



อ่านผลงานใหม่ทั้งหมดในสัปดาห์ที่ผ่านมาของวันโอวันและ Subscribe รับ Newsletter ได้ที่: https://mailchi.mp/75f94d081da6/101-this-week-12873002



101 SUPPORT — ร่วมซัพพอร์ต ร่วมส่งพลัง ร่วมสร้างสรรค์สื่อ
ร่วมสนับสนุน ‘วันโอวัน’ ได้ที่: https://www.the101.world/101support

https://www.facebook.com/photo?fbid=1412248450269957&set=a.523964959098315



ชาตินิยม สมน้ำหน้า!!! มองเรื่องสงครามชิงหมู่เกาะฟอคแลนด์ อะไรพาอาร์เจนตินาไปชนกำแพงอังกฤษอย่างจังในปี 1982 ประชาชนไม่ควรมอบอำนาจแบบไร้เงื่อนไขให้ใครก็ตามที่อ้างคำว่าชาติ แบบพุงกาง


KruBen WarHistory
5 hours ago
·
ชาตินิยม สมน้ำหน้า!!!

ถ้าจะให้ผมเขียนอธิบายเรื่องสงครามชิงหมู่เกาะฟอคแลนด์ให้เข้าใจจริงๆ ผมว่ามันไม่ใช่แค่เรื่องของเกาะเล็กๆ กลางมหาสมุทรแอตแลนติกใต้ ไม่ใช่แค่เรื่องการยกพลขึ้นบกหรือการยิงกันกลางทะเลครับ แต่มันคือเรื่องของรัฐบาลเผด็จการที่กำลังจะหมดความชอบธรรม เรื่องของเศรษฐกิจที่พัง เรื่องของความกลัวการลุกขึ้นต่อต้านของประชาชน และเรื่องของการหยิบเอาคำว่า “ชาตินิยม” มาใช้แบบผิดที่ผิดทาง ผมจะเล่าให้ฟังแบบคนค่อยๆ นั่งคิด ค่อยๆ มองย้อนกลับไป ว่าสุดท้ายแล้วอะไรพาอาร์เจนตินาไปชนกำแพงอังกฤษอย่างจังในปี 1982 ครับ
.
.
ก่อนจะไปถึงฟอคแลนด์ ผมว่าต้องมองอาร์เจนตินาในช่วงปลายทศวรรษ 1970 ก่อนครับ ตอนนั้นประเทศนี้อยู่ภายใต้การปกครองของรัฐบาลทหารเต็มรูปแบบ เป็นเผด็จการที่อ้างความมั่นคงของชาติเป็นหลัก แต่ในความเป็นจริง เศรษฐกิจกำลังทรุดหนัก เงินเฟ้อสูง หนี้ต่างประเทศพอกพูน คนตกงานมากขึ้นเรื่อยๆ และที่สำคัญคือประชาชนเริ่มไม่กลัวรัฐบาลทหารเหมือนเดิมแล้ว การอุ้มหาย การปราบปราม ที่เคยใช้ได้ผล กลับกลายเป็นดาบสองคม เพราะยิ่งทำ ยิ่งมีแรงต่อต้านมากขึ้น
.
.
จุดนี้เองที่ผู้นำทหารอาร์เจนตินาเริ่มคิดหาทางหนีทีไล่ครับ พวกเขารู้ดีว่าถ้ายังปล่อยให้สภาพบ้านเมืองเป็นแบบนี้ต่อไป การล่มสลายของรัฐบาลเป็นเรื่องของเวลา ทางออกแบบเผด็จการคลาสสิกก็คือ “การสร้างศัตรูภายนอก และปลุกกระแสชาตินิยมขึ้นมา” ให้คนลืมปัญหาปากท้องไปก่อน ซึ่งเกาะฟอคแลนด์ หรือที่อาร์เจนตินาเรียกว่า “มัลวินัส” ก็ถูกหยิบขึ้นมาเป็นสัญลักษณ์ทันทีครับ
.
.
เกาะฟอคแลนด์เป็นเรื่องค้างคามานานในสังคมอาร์เจนตินาอยู่แล้วครับ โรงเรียนในอาร์เจนตินาสอนว่าเกาะนี้ถูกอังกฤษยึดไปอย่างไม่เป็นธรรม แผนที่ในตำราก็วาดเกาะนี้รวมเป็นส่วนหนึ่งของประเทศเสมอ และนั่นเองที่ทำให้ รัฐบาลทหารอ่านเกมตรงนี้ขาด พวกเขาเชื่อจริงๆ ว่าถ้ายกทัพไปยึดเกาะ คนทั้งประเทศจะออกมาปรบมือ ลืมเรื่องเศรษฐกิจ ลืมเรื่องการปราบปราม และหันมารักรัฐบาลอีกครั้ง แต่ปัญหาคือการตัดสินใจนี้ไม่ได้ตั้งอยู่บนการประเมินกำลังอย่างรอบคอบเลย ผู้นำกองทัพอาร์เจนตินาดูแคลนปฏิกิริยาของอังกฤษอย่างร้ายแรง พวกเขาคิดว่าอังกฤษอยู่ไกล และตัวเกาะเองก็อยู่แสนไกลจากอังกฤษ คนอังกฤษคงไม่อยากเสียเลือดเนื้อเพื่อเกาะเล็กๆ แห่งนี้ มันเป็นการอ่านสถานการณ์แบบเอาความหวังมานำเหตุผลเต็มๆ ครับ
.
.
ในขณะที่ฝั่งอังกฤษเอง ผมต้องบอกว่ามันกลับตรงกันข้ามเลยครับ รัฐบาลมาร์กาเรต แธตเชอร์เองก็เผชิญแรงกดดันทางการเมืองในประเทศเหมือนกัน การเสียเกาะฟอคแลนด์ไปโดยไม่ตอบโต้ จะเท่ากับการยอมรับความอ่อนแอในสายตาชาวอังกฤษและชาวโลก และจุดนี้เองที่ทำให้การปะทะกันกลายเป็นสงครามเต็มรูปแบบ ไม่ใช่แค่ข้อพิพาททางการทูตอีกต่อไป
.
.
เมื่อกองทัพอาร์เจนตินายกพลขึ้นบกที่เกาะฟอคแลนด์ในเดือนเมษายน 1982 บอกได้เลยว่าบรรยากาศในประเทศอาร์เจนตินาตอนนั้นเหมือนรัฐบาลทหารได้ของขวัญชิ้นใหญ่แก่ประชาชนครับ ผู้คนออกมาโบกธง ร้องเพลงชาติ หนังสือพิมพ์พาดหัวคำว่าชัยชนะ รัฐบาลประกาศว่าประเทศได้ทวงคืนดินแดนศักดิ์สิทธิ์กลับได้มาแล้ว ช่วงเวลานั้นเองที่ผู้นำทหารหลงเชื่อภาพลวงตาที่ตัวเองสร้างขึ้น พวกเขาคิดว่าความนิยมที่พุ่งสูงแบบฉับพลันคือความชอบธรรมที่แท้จริง ทั้งที่มันเป็นเพียงอารมณ์ชั่วคราวจากกระแสชาตินิยมครับ
.
.
แต่ในเวลาเดียวกัน ความพร้อมทางทหารของอาร์เจนตินาไม่ได้สอดคล้องกับความมั่นใจเลยครับ ทหารจำนวนมากเป็นทหารเกณฑ์ การฝึกจำกัด อุปกรณ์ขาดแคลน และการส่งกำลังบำรุงไปยังเกาะที่ห่างไกลนั้นเต็มไปด้วยปัญหา ผู้นำระดับสูงในบัวโนสไอเรสอาจพูดถึงเกียรติภูมิของชาติได้สวยหรู แต่คนที่ต้องไปยืนกลางลมหนาว ฝน และโคลนคือทหารหนุ่มที่แทบไม่เข้าใจว่าตัวเองกำลังจะเผชิญอะไรครับ
.
.
ฝั่งอังกฤษตอบโต้เร็วและเด็ดขาดกว่าที่อาร์เจนตินาคาดไว้มากครับ การจัดกองเรือเฉพาะกิจข้ามมหาสมุทรหลายพันกิโลเมตรไม่ใช่เรื่องเล็ก แต่รัฐบาลอังกฤษเลือกทำทันที ผมคิดว่าตรงนี้สะท้อนความแตกต่างของการใช้ชาตินิยมอย่างชัดเจน อังกฤษใช้มันเพื่อรวมพลังประเทศในยามวิกฤต แต่ไม่ได้หลอกตัวเองว่าศึกนี้มันจะง่ายนะ แต่ในส่วนของอาร์เจนตินากลับใช้ความเป็นชาตินิยมเพื่อกลบปัญหาภายใน และเชื่อคำโฆษณาชวนเชื่อของตัวเองมากเกินไป
.
.
เมื่อการสู้รบเริ่มขึ้น ความเป็นจริงก็เริ่มตบหน้ารัฐบาลทหารอาร์เจนตินาอย่างแรง เครื่องบินถูกยิงตก เรือรบถูกจม การสูญเสียเกิดขึ้นต่อเนื่อง แต่ข่าวจากแนวหน้าที่ส่งกลับมาถูกกรอง ถูกปรุงแต่ง เพื่อไม่ให้กระทบขวัญประชาชน ผู้นำยังคงพูดถึงชัยชนะ ทั้งที่สถานการณ์จริงกำลังเลวร้ายลงทุกวัน การตัดขาดตัวเองจากความจริงนี่แหละครับ คือหัวใจของความผิดพลาด เมื่อรัฐบาลเริ่มเชื่อในเรื่องเล่าที่ตัวเองสร้าง มันก็ไม่มีใครกล้าพูดความจริง ไม่มีใครกล้าบอกว่ากองทัพกำลังเสียเปรียบ ไม่มีใครกล้าท้วงว่าการทำสงครามกับอังกฤษไม่ใช่เกมการเมืองภายในประเทศ แต่เป็นการเดิมพันชีวิตคนจริงๆ
.
.
ในสนามรบที่ฟอคแลนด์ ความแตกต่างด้านการจัดการและประสบการณ์ยิ่งชัดขึ้นเรื่อยๆ ทหารอังกฤษมีระบบบัญชาการที่ชัดเจน การสนับสนุนจากกองทัพเรือและอากาศที่เป็นระบบ ขณะที่ทหารอาร์เจนตินาหลายหน่วยขาดทั้งอาหาร เสื้อกันหนาว และกระสุน มันเป็นภาพสะท้อนตรงไปตรงมาของรัฐที่ใช้ทรัพยากรไปกับการรักษาอำนาจ มากกว่าการเตรียมพร้อมปกป้องประเทศจริงๆ
.
.
เมื่อความพ่ายแพ้เริ่มหลีกเลี่ยงไม่ได้ บรรยากาศในอาร์เจนตินาเปลี่ยนเร็วมาก จากเสียงเชียร์ กลายเป็นความเงียบ จากความภูมิใจ กลายเป็นความสงสัย ผู้คนเริ่มตั้งคำถามว่าทำไมลูกหลานของพวกเขาต้องไปตายเพื่อการตัดสินใจที่ประมาทของคนไม่กี่คนบนยอดสูงสุดของอำนาจ วันที่อาร์เจนตินายอมจำนนในเดือนมิถุนายน 1982 มันไม่ใช่แค่การแพ้สงครามกับอังกฤษ แต่มันคือการพังทลายของเรื่องเล่าชาตินิยมที่รัฐบาลทหารสร้างขึ้นทั้งหมดครับ คำพูดเรื่องเกียรติยศชาติไม่สามารถอธิบายศพทหารที่กลับบ้าน และความอับอายบนเวทีโลกได้อีกต่อไป
.
.
หลังสงคราม ความโกรธของสังคมอาร์เจนตินาระเบิดออกมาอย่างที่รัฐบาลทหารควบคุมไม่อยู่ ผู้คนออกมาประท้วงอย่างเปิดเผย ความกลัวที่เคยมีต่อรัฐค่อยๆ หายไป สงครามฟอคแลนด์กลายเป็นจุดที่ประชาชนเห็นชัดว่ารัฐบาลไม่ได้ปกป้องชาติ แต่ใช้ชาติเป็นข้ออ้างในการปกป้องอำนาจของตัวเอง ในเวลาไม่นาน รัฐบาลเผด็จการอาร์เจนตินาก็ล่มสลายลง ผู้นำทหารถูกบังคับให้ถอยออกจากอำนาจ เปิดทางสู่การเลือกตั้งและการกลับคืนของระบอบประชาธิปไตย ความพ่ายแพ้ทางทหารครั้งนี้ กลับกลายเป็นชัยชนะทางการเมืองของประชาชนในระยะยาวอย่างที่ไม่มีใครตั้งใจไว้
.
.
หลังการล่มสลายของรัฐบาลทหาร สังคมอาร์เจนตินาเริ่มมองสงครามฟอคแลนด์ด้วยสายตาที่ต่างออกไปอย่างสิ้นเชิงครับ จากที่เคยถูกสอนให้เชื่อว่าเป็นสงครามแห่งศักดิ์ศรี กลับกลายเป็นคำถามว่าทำไมรัฐถึงกล้าพาประเทศไปเสี่ยงเพียงเพื่อยืดอายุอำนาจของตัวเอง ครอบครัวทหารที่เสียชีวิตเริ่มออกมาเล่าเรื่องจริงจากแนวหน้า เรื่องความหนาว ความหิว และความสับสนของคำสั่ง ความจริงเหล่านี้มันทำลายภาพลักษณ์ชาตินิยมแบบปลอมๆ ได้รุนแรงกว่าคำวิจารณ์ทางวิชาการใดๆ
.
.
หลังสงคราม การพูดถึงฟอคแลนด์ในอาร์เจนตินาเต็มไปด้วยความขมขื่นครับ ไม่ใช่ความภูมิใจแบบที่รัฐบาลทหารเคยพยายามขาย ผู้คนเริ่มแยกให้ออกระหว่างความรักชาติ กับการถูกหลอกให้ตายเพื่อเกมการเมือง ความแตกต่างนี้สำคัญมาก เพราะมันทำให้สังคมเรียนรู้ว่าชาตินิยมไม่ใช่ของศักดิ์สิทธิ์ หากอยู่ในมือของคนที่ไม่รับผิดชอบ มันอาจกลายเป็นอาวุธทำร้ายประชาชนของตัวเอง
.
.
ในระดับสถาบันทหาร กองทัพอาร์เจนตินาเองก็ได้รับบาดแผลลึกจากสงครามครั้งนี้ ไม่ใช่แค่การสูญเสียกำลังพลหรือยุทโธปกรณ์ แต่เป็นความเชื่อถือจากสังคมที่หายไป ผู้คนไม่มองกองทัพว่าเป็นผู้พิทักษ์ชาติอีกต่อไป แต่เป็นกลุ่มที่เคยพาประเทศไปสู่หายนะ ความรู้สึกนี้ฝังอยู่ในความทรงจำร่วมของชาติไปอีกนาน ถ้ามองย้อนกลับไป เห็นชัดว่าสงครามฟอคแลนด์คือกรณีศึกษาคลาสสิกของการใช้นโยบายชาตินิยมผิดพลาดครับ ผู้นำทหารเอาความรู้สึกของประชาชนมาเดิมพัน โดยไม่ประเมินต้นทุนที่แท้จริง ทั้งทางทหาร การเมือง และชีวิตมนุษย์ เมื่อผลออกมาเลวร้าย ก็ไม่มีทางรับผิดชอบได้อย่างแท้จริง เพราะสิ่งที่สูญเสียไปมันย้อนกลับมาไม่ได้แล้ว
.
.
สงครามครั้งนี้สะท้อนความแตกต่างระหว่างรัฐที่มีระบบตรวจสอบ กับรัฐที่อำนาจรวมศูนย์อย่างชัดเจนครับ อังกฤษเองก็มีแรงกดดันทางการเมือง แต่การตัดสินใจทำสงครามผ่านกระบวนการถกเถียงและรับผิดชอบต่อสาธารณะ ขณะที่อาร์เจนตินา การตัดสินใจอยู่ในมือคนไม่กี่คน และประชาชนถูกขอให้เชื่อโดยไม่มีสิทธิถาม หลังจากกลับสู่ประชาธิปไตย อาร์เจนตินาพยายามอย่างหนักที่จะจัดการกับมรดกของสงครามและเผด็จการ ทั้งการสอบสวนอาชญากรรมของรัฐ การฟื้นฟูศักดิ์ศรีของผู้สูญหาย และการยอมรับความจริงที่เจ็บปวด ฟอคแลนด์จึงไม่ใช่แค่เรื่องดินแดนอีกต่อไป แต่กลายเป็นบทเรียนทางศีลธรรมของประเทศครับ
.
.
สงครามนี้ยังสอนอีกอย่าง คือประชาชนไม่ควรมอบอำนาจแบบไร้เงื่อนไขให้ใครก็ตามที่อ้างคำว่าชาติครับ เพราะเมื่อไม่มีการตรวจสอบ คำว่าชาตินิยมอาจกลายเป็นเพียงฉากบังหน้าของความทะเยอทะยานส่วนตัว และคนที่ต้องจ่ายราคาสูงสุดก็มักไม่ใช่ผู้นำเหล่านั้นเลย สำหรับทหารผ่านศึกฟอคแลนด์ พวกเขาเป็นเหยื่อซ้อนเหยื่อครับ นั่นคือ “เหยื่อของสงคราม และเหยื่อของการตัดสินใจทางการเมืองที่ผิดพลาด” หลายคนกลับบ้านมาพร้อมบาดแผลทั้งกายและใจ โดยไม่มีคำอธิบายที่สมเหตุสมผลว่าทำไมสิ่งนี้ต้องเกิดขึ้น ความเงียบของรัฐในช่วงหลังสงครามยิ่งทำให้บาดแผลนั้นลึกขึ้นไปอีก เมื่อเวลาผ่านไป ฟอคแลนด์จึงไม่ใช่แค่บทเรียนของอาร์เจนตินา แต่เป็นบทเรียนสากล ว่าการใช้สงครามเพื่อแก้ปัญหาความชอบธรรมทางการเมืองภายใน มักลงเอยด้วยความพินาศมากกว่าความมั่นคง และประวัติศาสตร์ก็มักจะตัดสินผู้นำเหล่านั้นอย่างโหดร้ายเสมอ
.
.
ถ้าจะสรุปเรื่องนี้ในมุมของผม สงครามฟอคแลนด์ไม่ใช่แค่เรื่องของอาร์เจนตินากับอังกฤษ แต่เป็นเรื่องเตือนใจว่าการใช้นโยบายชาตินิยมอย่างขาดสติ สามารถพาประเทศทั้งประเทศไปสู่ความพินาศได้อย่างไร รัฐบาลทหารอาร์เจนตินาล่มสลายเพราะสงครามที่ตัวเองก่อ แต่สิ่งที่หลงเหลืออยู่คือบทเรียนราคาแพงที่โลกไม่ควรลืม ว่าความรักชาติที่แท้จริง ต้องเริ่มจากการไม่หลอกประชาชนของตัวเองก่อนเสมอครับ

ภาพประกอบ นายพลเลโอปอลโด กัลติเยรี ผู้นำเผด็จการของอาร์เจนตินา

https://www.facebook.com/photo/?fbid=955346633666114&set=a.162282586305860




วันอาทิตย์, ธันวาคม 28, 2568

พักนี้ ‘ไอ๊ซ์’ ดังโด่งจากการที่โดนสลิ่มโหนเจ้า-ห้อยทหาร รุมกัด หนึ่งในมารร้าย ดีกรีด็อก ศักดิ์ศรี รศ.ขุดประวัติชีวิตอาภัพของ ‘รักชนก’ มาโจมตี

แม้เธอจะไม่น่ารักเลยก็ตาม...ควรตั้งจิตอธิษฐานภาวนา...เพื่อให้เธอได้มีโอกาสในชีวิต ในการยกระดับจิตใจและนิสัยใจคอครับ” เป็นข้อความส่วนสำคัญ ในโพสต์ที่บ่งบอกความเป็น สลิ่ม โหนเจ้า ห้อยทหารของ อานนท์ ศักดิ์วรวิชญ์

เขาพลางตัวเป็นมนุษย์ที่สูงส่ง แผ่เมตตาจิตให้กับ รักชนก ศรีนอก แต่ไปขุดคุ้ยประวัติชีวิตของเธอ เด็กกำพร้า มีคนเก็บไปเลี้ยง “โตมาในสลัม ปากกัดตีนถีบ” มุ่งหมายประจาน แต่ที่ไหนได้ ใครอ่านแล้วกลับเห็นใจเธอ ที่ถูกมารร้ายการเมืองรุมกัด

น่าสมเพชที่คนมีดีกรีด็อกเต้อ ศักดิ์ศรี รศ. ซึ่ง ณรรธราวุธ เมืองสุข เอ่ยถึง จะ “ไร้ปัญญาถึงขั้นหยิบเรื่องชาติกำเนิดครอบครัวเขามาโจมตี” เชื่อได้เลยว่าเลือกตั้งครั้งนี้ พรรคประชาชนจะได้คะแนนเสียงเพิ่มจาก sex workers ไทย และญาติมิตรของพวกเขาอีกเป็นแสนเป็นล้าน

แต่กระนั้นคนอย่าง  Arnond Sakworawich ไม่เคยได้เรียนรู้เลยหรือว่า ประเทศไทยเติบโตทางเศรษฐกิจ ตั้งแต่สงครามเวียตนาม ต่อเนื่องสงครามเย็น ก็ได้ sex workers เหล่านั้นแหละ ที่เป็น backbones ของอุตสาหกรรมท่อเที่ยวมาเก่าก่อน

ว่าตามจริงระยะนี้ อดีต สส.บางบอนที่ย้ายสำเนาไปอยู่บัญชีรายชื่อ กำลังโด่งดังมากๆ จากการที่โดนสลิ่มคอยหาเรื่องอย่างสถุลๆ ดังกรณีการรังควาญของ “E แก่ เจน ญานปรี้ดส์ หรือ วริษนันท์ ศรีบวรธนกิตติ์” ตามที่ เอกภพ เหลือรา ชี้ตัว

ว่าหล่อน “โหนเจ้า เพราะสนิทกับคนที่เคยทำงานกับควีนนุ้ย (ไอรอยตุ๊สมัยทำการบินไทย)...เอามาเป็นแบ็กให้ตัวเองกับพวก...(ในเครือ) ธุรกิจสีเทา” และมีนิสัย “ไล่แจ้งยัด ๑๑๒ คนไปทั่ว หนึ่งในนั้นคือน้องนิวที่แต่งชุดไทย (ปัจจุบันได้สถานะผู้ลี้ภัยอยู่ประเทศแคนาดา)”

แต่ก็เช่นที่ ปวิน ชัชวาลพงศ์พันธ์ ว่าการที่ “ถูกกลุ่มสลิ่มแก่ถึงขนาดจะเข้าไปทำร้ายร่างกาย แต่ยิ่งทำแบบนี้ ...ยิ่งเพิ่มคะแนนนิยมให้กับไอซ์ ยิ่งใช้ความรุนแรง คนยิ่งเห็นใจไอซ์” ดูแต่กับ สุชาติ ชมกลิ่น ที่ฟัดเหวี่ยงเรื่องการเมืองกันทางออนไลน์

พอมาเจอกันซึ่งหน้าตอนไปช่วยหาเสียงที่ชลบุรี ไอ๊ซ์เข้าไปทักทายแซวเล่นเป็นที่ครื้นเครงกันทั้งวง เรียกได้ว่าไอ๊ซ์ใช้ทั้งความ “สุขุม มีเหตุผล ไม่ยั่วยุ” (คำของปวิน) และบุคลิกภาพสู้หน้า/ผูกมิตร สยบความเกลียดชังอย่างอคติได้

เปรียบเทียบกันแล้ว นิด้าน่าจะจ้างไอ๊ซ์เป็นศาสตราจารย์สอนจริยธรรมการเมืองแทน อานนท์ ศักดิ์วรวิชญ์ ดูจากประวัติชีวิตของทั้งสอง อานนท์โหนฟ้ากำลังดิ่งลงนรก ส่วนไอ๊ซ์ดิ้นรนขึ้นมาจากปลัก กำลังลอยฟ่องอยู่ในมโนธรรมของประชาชน

(https://www.facebook.com/pavinchachavalpongpun/posts/36AGWuas, https://www.facebook.com/nattharavutm/posts/PGLQgJKZS และ https://www.facebook.com/eakapop.luara/posts/0ECve1GHq)