วันพุธ, มกราคม 22, 2568

How to Deal with Trump, a view from Thai, and how to deal with Trump, a Bully; a view from Europe


.....

Veerayooth Kanchoochat - วีระยุทธ กาญจน์ชูฉัตร
Yesterday
·
วิธีดีลกับทรัมป์: กระชับ มีอารมณ์ขัน ยืนหยัดทรนง
Be brisk, swap banter, never look weak
ในสัปดาห์ที่โดนัลด์ ทรัมป์ ทำพิธีสาบานตนเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ประเทศตะวันตกดูจะตื่นตระหนกมากกว่าฝั่งเอเชียเราเสียอีก
นักการเมือง นักการทูต นักวิชาการ ฯลฯ ที่เคยดีลกับประธานาธิบดีทรัมป์ในสมัยแรก (2017-2021) ต่างออกมาแชร์ประสบการณ์กันจำนวนมาก
ในบรรดาคำแนะนำทั้งหลาย ผมชอบของ Kim Darroch อดีตเอกอัครราชทูตสหราชอาณาจักรประจำสหรัฐฯ ในยุค Trump 1.0 มากที่สุด
Darroch เขียนแนะนำนายกรัฐมนตรีและนักการทูตของอังกฤษไว้ แต่ผมคิดว่าสามารถมาประยุกต์ใช้กับไทยได้เช่นกัน
เขาแนะนำว่า ประธานาธิบดีทรัมป์เกลียดบทสนทนายืดยาว ถ้าคุณเริ่มพูดอะไรยืดเยื้อเมื่อไหร่ ทรัมป์จะแทรกตัดบทหรือไม่ก็เบือนหน้าหนีทันที แล้วอำนาจต่อรองของคุณก็จะหายไปทันควัน
คำแนะนำในการเจรจากับทรัมป์คือ
Be brisk, swap banter, and never look weak
ผมชอบคำว่า Brisk เป็นพิเศษ คำนี้แปลว่า quick, energetic and practical
คือต้องพูดให้กระชับ มีพลัง แต่ตรงประเด็น เอาไปทำต่อได้เลย เช่น พูดถึงสินค้าอะไร ภาษีเท่าไร
Swap banter เป็นสไตล์ทูตอังกฤษ คือใช้อารมณ์ขันเพื่อสร้างบรรยากาศที่เป็นมิตร เช่นการปล่อยมุกตลกเรื่องสภาพอากาศ แต่ต้องเป็นอารมณ์ขันที่ทั้งสองฝ่ายมีประสบการณ์ร่วมด้วยนะครับ เพื่อจะได้สื่อสารสองทางในเรื่องเบาๆ ก่อน
Never look weak อันนี้ชัดเจน อย่าแสดงความอ่อนแออ่อนข้อออกมาเป็นอันขาด
ตามคำแนะนำของ Darroch การไปบอกว่าหากสหรัฐฯ ขึ้นภาษีจะทำร้ายเศรษฐกิจไทยอย่างไรจะไม่มีประโยชน์เลย ต้องโน้มน้าวว่าการขึ้นภาษีจะทำร้ายอเมริกาอย่างไรจึงจะได้ผล
หมายความว่าผู้นำประเทศคู่เจรจาก็ต้องรู้จักข้อมูลประเทศตัวเองและสถานการณ์สหรัฐฯ ดีพอที่จะจับประเด็นมาโต้ได้ทันควัน
อาจไม่ได้ทุกอย่างในการเจรจาหนึ่งรอบ แต่ก็ไม่ควรกลับมามือเปล่า หรือโอนอ่อนยอมให้เขาฝ่ายเดียว
อย่างน้อยที่สุด ไทยควรยืนหยัดสู้กับ Trump 2.0 ในฐานะประเทศ Middle Power
ขยับไปอีกขั้นคือ เราคุยกับเพื่อนอาเซียนไว้สัก 2-3 ประเทศเพื่อเป็นพันธมิตรยามยากที่สามารถต่อสายช่วยกันได้ทันที
Thailand should stand tall in the Trump 2.0 era.

https://www.facebook.com/permalink.php?story_fbid=122178446654124432&id=61553732966651


.....


How to Deal with a Bully

The different camps within Europe will need to come together and find ways to come to terms with Donald Trump in the White House.
Thomas Kleine-Brockhoff

Jan 08, 2025
International Politik Quarterly

Three Different Camps

While Europe's governments are proclaiming unity in the face of Trump's presidency, the first cracks are in fact already emerging. At least three different camps are forming in Europe: the adapters, the sovereigntists, and the right-wing populists.

The group of adaptors is led by Poland. They are likely to accept Trump’s wish to bilateralize relations with Europe. To that end, President Andrzej Duda has already taken the precautionary step of paying his respects to the future US president at Mar-a-Lago, Trump’s pre-Oval Office power base in Florida. Most of the adaptors live close to the Russian border, and their need to accommodate Trump is a consequence of the Russian threat. The need to maintain the common defense under the NATO treaty is so overwhelming that they want to please, charm, impress, or distract the president-in-waiting.

Incidentally, Germany also belongs to this group. Almost completely dependent on America’s nuclear umbrella for its defense, it is one of the most vulnerable nations in Europe and will therefore want to weigh how vocally it opposes Trump.

The group of sovereigntists is led by France. They don’t just want to strengthen Europe; even the adaptors want to do that. The sovereigntists want to go further. They are striving to distance Europe from America and establish the continent as an independent pole of power in what they see as a multipolar world order. They believe that an unreliable United States can no longer be seen as Europe’s anchor of security.

For now, the group is small. It is likely to grow once Trump is in office and starts taking decisions.

The group of right-wing populists is led by Hungary. Prime Minister Viktor Orbán believes that his time to lead Europe is nearing because Trump’s election will trigger a domino effect in Europe, particularly in Central and Eastern Europe. Although ideologically close, this is unlikely to be a tension-free union. Above all, Orbán is grateful to Trump for pursuing the separation of Europe from America, which the Hungarian prime minister regards as urgently necessary—in this respect at least, he is similar to the sovereigntists.
Demonstrating Unity

If Europe wants to demonstrate unity against Trump’s America, it will need an alliance between the different camps. Despite the different objectives in individual policy areas, this isn’t completely impossible but it may require isolating and buying off individual veto players (such as Orbán).

It would be much more difficult to make Trump a comprehensive offer to reconcile European and US interests. Trump wants a quick peace in Ukraine and he wants to leave Europe largely alone to handle the consequences, such as peacekeeping with troops. The Europeans (including the Ukrainians) will insist on US participation in security guarantees. Trump sees tariffs as a kind of punishment for past misbehavior. According to Trump's controversial logic, Europe is guilty of the offense of having a trade surplus with the United States. Buying American weapons, soybeans or LNG gas could help. Trump feels just as cheated when it comes to defense spending within the NATO alliance. To him, the Europeans are freeloaders; they haven’t paid and have sent Washington the bill. The Germans, at least, will find it difficult to escape this logic. Sharp increases in Germany’s defense contribution, which are necessary in any case, would be a good idea here.

Such a package, proposed jointly by the European Commission and the member states, would amount to a kind of super-accommodation—and would therefore be highly controversial. The sovereigntists and right-wing populists would reject it on principle, while the adaptors would groan under its weight. And even if an agreement were reached, it is almost certain that Trump would soon come up with new demands, for example on dealing with China.

Thomas Kleine-Brockhoff is the director of the German Council on Foreign Relations (DGAP).

Link to read full article
https://ip-quarterly.com/en/how-deal-bully


Make America กร๊วก Again

https://www.facebook.com/kasian.tejapira/posts/10235531654054869
Kasian Tejapira
13 hours ago
·
Make America กร๊วก Again
%%%%%
เอ็งฆ่าคนเพื่อนายนายยกโทษ
กบฏเป็นคนโปรดของนายท่าน
ผิดกฎหมายไปบ้างก็ช่างมัน
มาเมคอเมริกันกร๊วกอะเกน


ในวันแรกที่รับตำแหน่งประธานาธิบดีสมัยที่สอง ทรัมป์เซ็นคำสั่งสำคัญ ๆ อะไรบ้าง

https://www.facebook.com/reel/1286404942667372/?ref=embed_video
บีบีซีไทย - BBC Thai
7 hours ago
·
ในวันแรกที่รับตำแหน่งประธานาธิบดีสมัยที่สอง ทรัมป์เซ็นคำสั่งสำคัญ ๆ อะไรบ้าง บีบีซีไทยสรุปให้ 8 ข้อ #บีบีซีไทย #bbcthai #ข่าว #โดนัลด์ทรัมป์ #สหรัฐอเมริกา #ข่าวต่างประเทศ #การเมือง


ตลอดปี 2567 มีคำพิพากษาของศาลในคดีมาตรา 112 ฐานหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์รวม 82 คดี ในปี 2568 จะมีคำพิพากษาอีกจำนวนไม่น้อยและหลายคดีจะเป็นคำพิพากษาในศาลสูง มีแนวโน้มว่าจะมีคนเข้าไปในเรือนจำมากกว่าเดิม


Pipob Udomittipong
18 hours ago
·
ในปี 2568 จะมีคำพิพากษาอีกจำนวนไม่น้อยและหลายคดีจะเป็นคำพิพากษาในศาลสูง มีแนวโน้มว่าจะมีคนเข้าไปในเรือนจำมากกว่าเดิม

iLaw
19 hours ago
·
ตลอดปี 2567 มีคำพิพากษาของศาลในคดีมาตรา 112 ฐานหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์รวม 82 คดี ผลคำพิพากษาแบ่งเป็น
๐ คดีที่ศาลยกฟ้องทั้งหมด 13 คดี ซึ่งเป็นคดีที่ศาลยกฟ้องมาตรา 112 แต่ลงโทษในข้อหาอื่น 7 คดี
๐ คดีที่ยกฟ้องทุกข้อหา 6 คดี
๐ คดีที่ศาลลงโทษจำคุกไม่รอการลงโทษ 47 คดี
๐ คดีที่ศาลพิพากษาว่าจำเลยมีความผิด แต่ให้รอการลงโทษจำคุกไว้ก่อน 21 คดี
๐ คดีของเยาวชนที่เปลี่ยนโทษจำคุกเป็นการฝึกอบรม 1 คดี
หากพิจารณาตามลำดับชั้นของศาล
๐ มีคำพิพากษาจากศาลชั้นต้น 51 คดี
๐ มีคำพิพากษาจากศาลอุทธรณ์ 29 คดี
๐ มีคำพิพากษาจากศาลฎีกา 2 คดี
หากพิจารณาตามลำดับเวลา มีคำพิพากษาของศาลออกมาในทุกเดือน โดย เดือนมกราคม และเดือนตุลาคม 2567 เป็นเดือนที่ศาลมีคำพิพากษามากที่สุด คือ เดือนละ 11 คดี
ภาพรวมของคำพิพากษา บาส-มงคล ถิระโคตร ยังคงเป็นจำเลยที่มีโทษจำคุกสูงที่สุดในชุดคดีมาตรา 112 หลังการชุมนุม 2563 จากการโพสต์ข้อความที่ถูกดำเนินคดีรวม 29 ข้อความ เดิมในปี 2566 ศาลพิพากษาให้มีความผิด 14 ข้อความ ให้จำคุกข้อความละ 3 ปี รวม 42 ปี แต่ลดให้เหลือข้อความละ 2 ปี รวม 28 ปี แต่ในปี 2567 ศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษาเห็นว่ามีความผิดเพิ่มเติมอีก 11 ข้อความ ตามอุทธรณ์ของฝ่ายโจทก์ โดยเห็นว่ามีการหมิ่นประมาท ดูหมิ่นอดีตพระมหากษัตริย์ รัชกาลที่ 9 ให้ลงโทษจำคุกอีก 11 ข้อความ ข้อความละ 3 ปี จำเลยให้การเป็นประโยชน์ ลดเหลือกระทงละ 2 ปี รวมจำคุก 22 ปี รวมโทษจำคุกทั้งหมดของบาส-มงคล ถิระโคตร เป็น 50 ปี อีกทั้งยังมีคดีมาตรา 112 จากกรณีโพสต์ 2 ข้อความ เมื่อเดือนกรกฎาคม 2565 อุทธรณ์ภาค 5 พิพากษายืน ให้จำคุก 4 ปี 6 เดือน ทำให้รวมโทษในทุกคดีของเขาอยู่ที่จำคุก 54 ปี 6 เดือน
คดีส่วนใหญ่ที่มีคำพิพากษาเป็นคดีของคนทั่วไป ขณะที่คดีมาตรา 112 ของแกนนำราษฎรเริ่มทยอยมีคำพิพากษาแล้วคือ คดีมาตรา 112 ของอานนท์ นำภา ซึ่งมีคำพิพากษาทั้งปีมากถึง 5 คดี จากกรณีถูก “แน่งน้อย” พสกนิกรผู้จงรักภักดีกล่าวหาจากการ โพสต์วิจารณ์สถาบันกษัตริย์ และการใช้ มาตรา 112, กรณีโพสต์จดหมาย #ราษฎรสาส์น, กรณีปราศรัยข้อเสนอแนะปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ ในม็อบแฮรี่พอตเตอร์ 1, กรณีปราศรัยย้ำข้อเรียกร้องปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ #ม็อบแฮร์รี่พอตเตอร์2 และกรณีโพสเฟซบุ๊ก 2 ข้อความ เรื่องการที่วชิราลงกรณ์ ลงมาบริหารราชการแผ่นดินด้วยตนเอง และไม่ทำตนเป็นกษัตริย์ในระบอบประชาธิปไตย นับถึงสิ้นปี 2567 อานนท์มีโทษจำคุกรวม 18 ปี 10 เดือน 20 วัน
รวมถึงไบรท์-ชินวัตร จันทร์กระจ่าง ที่มีคำพิพากษาทั้งปีมากถึง 6 คดีจากกรณีปราศรัยตั้งคำถามต่อทรัพย์สินกษัตริย์ในม็อบ #25พฤศจิกาไปSCB, กรณีปราศรัยประเด็น “ปฏิรูปสถาบันกษัตริย์” หน้า สน.บางเขน, กรณีปราศรัย “ปลดอาวุธศักดินาไทย” หน้าราบ 11 #ม็อบ29พฤศจิกา, กรณีให้สัมภาษณ์สื่อปมบังคับใช้ ม.112 เกี่ยวกับสถาบันกษัตริย์, กรณีปราศรัยหน้าศาลอาญากรุงเทพใต้เรียกร้องสิทธิประกันตัวบุ้ง-ใบปอและร้องเพลง “โชคดีที่มีคนไทย”เมื่อวันที่ 28 ก.ค. 2565 และกรณีปราศรัยวิจารณ์การโอนทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ใน #ยืนหยุดขัง ท่าน้ำนนท์ รวมชินวัตรมีโทษจำคุกยี่สิบปี ก่อนลดโทษเหลือแปดปี 24 เดือนหรือประมาณสิบปี
ในปี 2568 จะมีคำพิพากษาอีกจำนวนไม่น้อยและหลายคดีจะเป็นคำพิพากษาในศาลสูง มีแนวโน้มว่าจะมีคนเข้าไปในเรือนจำมากกว่าเดิม จากสถิติคดีที่ถูกยกฟ้องในศาลชั้นต้นมีคำพิพากษากลับโดยศาลอุทธรณ์ให้ลงโทษจำคุก 6 คดี และมีคดีที่เพิ่มขึ้นใหม่ อย่างน้อย 47 คดี มีผู้ถูกดำเนินคดีรายใหม่เพิ่มขึ้น 22 คน
อ่านทั้งหมด : https://www.ilaw.or.th/articles/50144

Pipob Udomittipong
16 hours ago
·
"นับตั้งแต่ปี 2554 จนถึงปี 2564 ประเทศไทยถูกต่างชาติวิจารณ์เรื่อง #มาตรา112 ไม่น้อยกว่า 22 ครั้ง"


iLaw
18 hours ago
·
ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 หรือที่รู้จักกันในอีกชื่อหนึ่งว่า “กฎหมายหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ฯ” (lèse-majesté law) เป็นประเด็นหนึ่งที่ทำให้ประเทศไทยถูกวิพากษ์วิจารณ์จากทั้งองค์กรระหว่างประเทศและประเทศอื่นอยู่บ่อยครั้ง นอกจากปัญหาในตัวเนื้อหาของกฎหมายเอง เช่น อัตราโทษที่สูงเกินไปจนไม่ได้สัดส่วนกับความผิดและการไม่มีอัตราโทษขั้นต่ำ ไปจนถึงการไม่มีคำนิยามที่แน่นอนของคำว่า “ดูหมิ่น” นอกจากนี้ มาตรา 112 ยังมีปัญหาในการบังคับใช้ที่ถูกตีความอย่างไร้ขอบเขต และยังไม่สอดคล้องกับหลักสากลที่วางไว้ในกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง (International Covenant on Civil and Political Rights : ICCPR) เนื่องจากขาดความชัดเจน ขัดกับหลักการได้สัดส่วนและหลักความจำเป็นอย่างยิ่งยวด

ด้วยเหตุนี้ มาตรา 112 จึงตกเป็นเป้าของการวิพากษ์วิจารณ์จากสังคมระหว่างประเทศ ผ่านทั้งกลไกระหว่างประเทศ การส่งจดหมายซักถาม ไปจนถึงการออกมาให้ความเห็นของเอกราชทูตต่างประเทศประจำประเทศไทย นับตั้งแต่ปี 2554 จนถึงปี 2564 ประเทศไทยถูกต่างชาติวิจารณ์เรื่องมาตรา 112 ไม่น้อยกว่า 22 ครั้ง โดยส่วนใหญ่นั้นมาจากองค์กรระหว่างประเทศที่ทำงานด้านสิทธิมนุษยชน และชาติตะวันตกต่าง ๆ เนื้อหามีทั้งการวิพากษ์วิจารณ์การบังคับใช้และเสนอแนะให้ปรับปรุงหรือแก้ไขกฎหมาย

อ่านทั้งหมด : https://www.ilaw.or.th/articles/9939

https://www.facebook.com/photo/?fbid=1015959173911035&set=a.625664036273886
https://www.facebook.com/photo/?fbid=1015998983907054&set=a.625664036273886



เมื่อสังคมเป็นผักฝ่าย สูเจ้าจงอย่าแปลกใจ Elon Musk is accused of giving Nazi salute




 https://x.com/YourAnonCentral/status/1881704567303508264



เรื่องของ #น้องก้านธูป เด็กมัธยมยุคแรกๆ ที่ตกเป็นเหยื่อความคลั่งของฝูงสลิ่มล่าแม่มด


จิตราภา รัศมีดารา
December 12, 2020
·
10 ปีก่อน #น้องก้านธูป เด็กมัธยมยุคแรกๆ
ที่ตกเป็นเหยื่อความคลั่งของฝูงสลิ่ม
น้องก้านธูป “ณัฐกานต์ สกุลดาราชาติ”เมื่อตอนอยู่ ม.5
ชนะเลิศอันดับ 1 เรียงความเรื่องเกี่ยวกับประชาธิปไตย
หลังรัฐประหารปี 49 เธอเริ่มมาเคลื่อนไหวไม่รับร่างรัฐธรรมนูญเมื่ออายุเพียง 15 ปี จากนั้นโพสต์ facebookสนับสนุนการต่อสู้ของเสื้อแดง เธอจึงตกเป็นเป้าโจมตีของสื่อเสื้อเหลืองที่กล่าวหาว่าเธอไม่จงรักภักดีด้วยถ้อยคำรุนแรงจนสร้างความเกลียดชัง และการใส่ร้ายทั้งหมดนั้น 90% ไม่เป็นความจริง
เมื่อจุดกระแสติด ชีวิตเธอจึงโดนคุกคามจากทุกทิศ
ปี 53 เธอสอบติดศิลปากรในโครงการเอเชียศึกษา ซึ่งมีผู้สมัครหลายพันคน ผ่านสัมภาษณ์เรียบร้อยแล้วแต่ถูกกดดันจากสลิ่มทำให้คณบดีสมัยนั้นตัดสิทธิ์เธอ
และในปีเดียวกันเธอสอบติดเกษตรศาสตร์ แต่ก็โดนกดดันเช่นกันเธอจึงตัดสินใจไม่ไปสัมภาษณ์และสละสิทธิ์ด้วยตัวเอง
จากนั้นมีผู้แจ้งคดี112เธอต้องขึ้นโรงพัก
ในปีต่อมาเธอสอบติดธรรมศาสตร์ แต่ครั้งนี้ธรรมศาสตร์ยินดีรับเธอท่ามกลางกระแสกดดันจากสื่อเครือผู้จัดการและสลิ่มชน (ในยุคนั้นต้องยอมรับสลิ่มยึดครองโซเชียลด้วยจำนวนที่มากกว่า) และหลังจากเธอเข้าเรียนได้สักพัก ทางสื่อผู้จัดการก็ได้ขุดคุ้ยเธออีกครั้งหนึ่ง โดยขุดประจานว่าเธอได้เปลี่ยนชื่อนามสกุลพร้อมระบุหมายเลขประจำตัวนักศึกษา พร้อมเรียกร้องให้ทางธรรมศาสตร์ไล่เธอออกแต่ไม่เป็นผล
ระหว่างเรียนอยู่ปี1ก็มีทางตำรวจได้แจ้ง 112 อีกครั้งหนึ่ง
ทุ้งที่เคยแจ้งไว้แล้วเมื่อปี 53 แต่ก็ไม่ฟ้อง
เรื่องราวของเธอค่อยๆซาลงไปจนผู้คนเริ่มลืมเลือน
ผมจำได้ว่าการเคลื่อนไหวของเธอครั้งสุดท้าย
คือการรวมตัวกับเพื่อนๆธรรมศาสตร์ให้กำลังใจกลุ่มไผ่ดาวดิน
ที่ไปชู 3 นิ้วต่อหน้าลุงตู่ขณะนั้น สุดท้ายโดนทางทหารเรียกปรับทัศนคติ
นั่นคือการเคลื่อนไหวของเธอครั้งสุดท้ายที่จำได้
นำเรื่องราวของเธอมาเล่าอีกครั้งหนึ่งเผื่อน้องๆรุ่นใหม่ยังไม่เคยรู้จัก #ยกเลิก112 #เยาวชนปลดแอก

https://www.facebook.com/photo/?fbid=3537554292993904&set=a.479903648758999


ราชทัณฑ์รู้ยัง รีบรับไปกวาดล้างสะสาง - เอกชัย แฉผู้ต้องขังจีน กลัวโดนส่งกลับประเทศไปรับโทษ อาจโดนประหาร ชี้ติดคุกไทย จ่ายใต้โต๊ะหนัก ได้อยู่อย่างสุขสบาย


ภาพจาก มติชนออนไลน์

เอกชัย หงส์กังวาน
Yesterday
·
ช่วงที่ผมอยู่ในเรือนจำพิเศษกรุงเทพ (พ.ศ. 2565/2566) มีผู้ต้องขังจีนในคดีแกงค์ Call center หลายคนอยู่แดนเดียวกับผม
ผู้ต้องขังจีนเหล่านี้เกาะกลุ่มกันอย่างเหนียวแน่น มีอิทธิพลมาก จ่ายใต้โต๊ะเยอะ พวกเขาจึงอยู่อย่างสุขสบายในเรือนจำ
พวกเขาไม่ต้องทำงาน ไม่ต้องเข้าแถวเพลงชาติ/กิจกรรม มีอาหารพิเศษ เช่น ปลาแซลมอนตัวใหญ่แช่แข็งทอดกินสดๆ มีซิการ์มวนละ ฿15,000 สูบ แถมยังมีเครื่องเสียงส่วนตัวเปิดเพลงจีนลั่นแดน
พวกเขานอนรวมกันในห้อง 11 เป็นส่วนตัว โดยจ้างผู้ต้องขังไทยคอยรับใช้อำนวยความสะดวกให้ตลอด
ตอนที่พวกเขามีเรื่องกับผู้ต้องขังไทย พวกเขาเป็นฝ่ายถูกตลอด ผู้ต้องขังไทยจะถูกลงโทษ เช่น สวมตรวนเท้า แออัดกว่า 30 คนในห้องขังขนาด 30 ตร.ม. ตลอด 24 ชม. ไม่มีพัดลมในฤดูร้อน ไม่มีน้ำใช้ในตอนกลางวัน
สิ่งที่พวกเขากลัวที่สุดไม่ใช่เรือนจำไทย แต่เป็นการถูกส่งตัวกลับจีน
ผู้ต้องขังจีนบางคนฉลองดีใจที่ศาลไทยพิพากษาให้จำคุก 20 ปี เพราะพวกเขาติดคุกจริงเพียงไม่กี่ปีก็ได้รับการอภัยโทษจนออกจากเรือนจำ
หากพวกเขาต้องถูกส่งตัวไปตัดเสินคดีในจีน โทษของพวกเขาคือ ประหารชีวิต โชคดีหน่อยก็จำคุกตลอดชีวิต

https://www.facebook.com/permalink.php?story_fbid=2464165957331524&id=100012144304366


มาตรา 112 ไม่ใช่ปัญหา? แต่เมื่อถึงเวลาปฏิบัติจริง กฎหมายอาญา มาตรา 112 กลับมีปัญหา - ย้อนอ่าน 10 คดี 112 ที่อยู่นอกเหนือการคาดเดาของประชาชน



มาตรา 112 ไม่ใช่ปัญหา? ย้อน 10 คดี 112 ที่อยู่นอกเหนือการคาดหมายของประชาชน

Nov 3, 2021
The Momentum

ย้อนรอย 10 คดี 112 ที่อยู่นอกเหนือการคาดเดาของประชาชน

หลายสิบปีที่ผ่านมา การใช้กฎหมายอาญามาตรา 112 “ผู้ใดหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 3 ปีถึง 15 ปี” ถูกใช้อย่างต่อเนื่อง เพื่อปกป้อง ‘สถาบันพระมหากษัตริย์’ เอาไว้ ให้อยู่ในสถานะ ‘เคารพสักการะ’ และ ‘ล่วงละเมิดมิได้’ ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 6

อย่างไรก็ตาม เมื่อถึงเวลาปฏิบัติจริง กฎหมายอาญามาตรา 112 กลับมีปัญหาตั้งแต่การกำหนดโทษ ซึ่งถูกแก้ไขหลังเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 ให้ ‘รุนแรง’ เกินไป รุนแรงกว่าคดีฆ่าคนตาย ทำให้ผู้ต้องหาส่วนใหญ่ไม่สามารถขอประกันตัวได้ รวมถึงตีวงเงินประกันตัวสูงถึง 1 แสน – 5 แสนบาท จนถึงการที่ใครก็สามารถแจ้งความผู้อื่นด้วยกฎหมายมาตรานี้ก็ได้ ไม่จำเป็นต้องให้ตำรวจ หรืออัยการ หรือสำนักพระราชวังเป็นผู้แจ้ง ส่งผลทำให้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ว่า กฎหมายนี้ถูกใช้เพื่อการ ‘กลั่นแกล้งทางการเมือง’

ยิ่งช่วงใดก็ตามที่การเมืองร้อนแรง มาตรา 112 จะถูกนำมาใช้อย่างเข้มข้น สัมพันธ์กับเหตุการณ์ และบริบททางการเมืองในช่วงเวลานั้นๆ

ยกตัวอย่างเช่นปี 2552 ในชั้นตำรวจ คดีหมิ่นสถาบันฯ เพียงปีเดียวมีมากถึง 104 คดี ส่วนปี 2557 ซึ่งเป็นปีที่มีการรัฐประหารนั้น มี 99 คดี ปี 2558 มี 116 คดี ปี 2559 มี 101 คดี ก่อนจะค่อยๆ หายไปในปี 2560 – 2561

หากอ้างอิงปากคำจาก สุลักษณ์ ศิวรักษ์ นักวิชาการอาวุโส ที่ระบุว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 10 ทรงมีพระราชประสงค์ให้ ‘งดใช้’ มาตรา 112 และให้คดีดังกล่าวต้องผ่าน ‘ดุลพินิจ’ ของอัยการสูงสุดเท่านั้น ก่อนจะสั่งฟ้อง นอกจากนี้ยังได้รับการยืนยันอีกครั้งจากพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ‘ทรงพระเมตตา’ ไม่ให้ใช้มาตรานี้อีกต่อไป

แต่หลังจากการชุมนุมของคณะราษฎรที่ ‘พุ่งเป้า’ ไปที่สถาบันพระมหากษัตริย์อย่างต่อเนื่อง ตลอดหลายเดือนที่ผ่านมา มีข่าวลืออยู่หลายครั้งว่า จะมีการนำมาตรา 112 กลับมาใช้ใหม่ กระทั่งสุดท้าย นายกฯ ยืนยันเป็นครั้งแรกเมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายนที่ผ่านมาว่าเป็นเรื่องจริง โดยเหตุที่ต้องนำกลับมาใช้ใหม่นั้น เป็นเพราะเสียงเรียกร้องของประชาชนที่มิอาจทนได้

แม้ว่าตัวบทกฎหมายความผิดมาตรา 112 จะถูกจำกัดความอยู่เฉพาะการดูหมิ่นหรือการแสดงความอาฆาตมาดร้าย และให้การคุ้มครองเฉพาะผู้ดำรงตำแหน่งพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาทผู้สำเร็จราชการเท่านั้น แต่การดำเนินคดีนอกตัวบท ทำให้ขอบเขตของกฎหมายมาตรา 112 อยู่ในสถานะที่ประชาชนคาดเดาไม่ได้

The Momentum ได้รวบรวมความผิดมาตรา 112 ที่อยู่นอกเหนือการคาดเดาของประชาชนจำนวน 10 คดีดังนี้
1. เสียดสีคุณทองแดง

ฐนกร ศิริไพบูลย์ พนักงานโรงงานอายุ 27 ปี ได้คัดลอกและแชร์ภาพแผนผังทุจริตการก่อสร้างอุทยานราชภักดิ์บนเฟซบุ๊ก จึงถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุมเมื่อวันที่ 10 ธันวาคม 2558 และควบคุมตัวไว้ในสถานที่ปิดลับ 7 วัน ภายหลังถูกควบคุมตัว เขาถูกแจ้งข้อหาตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 เพิ่ม สาเหตุมาจากการโพสต์ข้อความเสียดสีสุนัขทรงเลี้ยงคุณทองแดง และกดไลก์ภาพที่เข้าข่ายการหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ ส่งผลให้ถูกตัดสินจำคุก 15 ปี และได้รับการปล่อยตัวหลังถูกควบคุมตัวในเรือนจำ 86 วัน

ปัจจุบันคดีถูกโอนจากศาลทหารมาสู่ศาลพลเรือน และยังไม่สิ้นสุด
2. อากง SMS

อำพล ตั้งนพกุล (อากง) อายุ 61 ปี (ในวันที่ถูกจับ) ถูกกล่าวหาว่าส่ง SMS จำนวน 4 ข้อความไปที่เบอร์นายสมเกียรติ ครองวัฒนสุข เลขานุการส่วนตัวของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี ระหว่างวันที่ 9 -20 พฤษภาคม 2553 โดยเนื้อหาดูหมิ่นแสดงความอาฆาตมาดร้ายต่อพระมหากษัตริย์ฯ แต่อำพลได้ให้การปฏิเสธข้อกล่าวหาดังกล่าว โดยให้เหตุเหตุผลส่งข้อความ SMS ไม่เป็น

สำหรับหลักฐานที่ใช้ยืนยันความผิดคือ รหัสประจำเครื่องโทรศัพท์ หรือหมายเลข imei ที่ทางกองบังคับการปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ปอท.) ได้กล่าวพิสูจน์นั้นตรงกับเลขโทรศัพท์ที่จำเลยใช้ ศาลจึงตัดสินให้อำพลมีความผิดลงโทษจำคุก 20 ปี ก่อนที่อำพลจะเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งตับระหว่างจำคุกในวันที่ 8 พฤษภาคม 2555
3. แชร์บทความพระราชประวัติรัชกาลที่ 10

เมื่อเดือนธันวาคม ปี 2559 จตุภัทร์ บุญภัทรรักษา หรือ ‘ไผ่ ดาวดิน’ ได้แชร์บทความพระราชประวัติพระมหากษัตริย์พระองค์ใหม่ ของบีบีซีไทย และได้คัดลอกข้อความบางส่วนของบทความมาโพสต์ประกอบบนสเตตัสเฟซบุ๊ก

พันโทพิทักษ์พล ชูศรี รักษาการหัวหน้ากองกิจการพลเรือนมณฑลทหารบกที่ 23 (ตำแหน่งและยศในขณะนั้น) เป็นผู้ร้องทุกข์กล่าวโทษไผ่ต่อพนักงานสอบสวน สถานีตำรวจภูธรเมืองขอนแก่น ในความผิดฐานหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ และ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ

ไผ่ถูกศาลตัดสินให้จำคุก 5 ปี แต่ให้การสารภาพจึงลดโทษกึ่งหนึ่งเหลือ 2 ปี 6 เดือน ก่อนได้รับพระราชทานอภัยโทษ ในโอกาสมหามงคลพระราชพิธีบรมราชาภิเษก เมื่อปี 2562 ทำให้นักโทษที่เหลือระยะเวลารับโทษไม่ถึงหนึ่งปีได้รับการปล่อยตัว ไผ่จึงได้ออกจากคุกก่อนกำหนด 23 วัน
4. ไม่ยืนทำความเคารพเพลงสรรเสริญพระบารมีก่อนฉายภาพยนตร์

โชติศักดิ์ อ่อนสูง นักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และเพื่อนนักศึกษามหาวิทยาลัยรามคำแหง ได้เข้าไปชมภาพยนตร์ที่ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ เมื่อวันที่ 20 กันยายน 2550 และไม่ได้ยืนทำความเคารพระหว่างที่บรรเลงเพลงสรรเสริญพระบารมีก่อนฉายภาพยนตร์

การกระทำครั้งนี้ได้สร้างความไม่พอใจต่อผู้ชมคนหนึ่ง จึงได้เกิดการด่าทอ ขว้างปาสิ่งของ และขับไล่นักศึกษาทั้งสองออกจากโรงภาพยนตร์ ซึ่งในขณะเกิดเหตุ ผู้ชมภายในโรงภาพยนตร์ได้ช่วยกันปรบมือโห่ขับไล่นักศึกษาทั้งสองคนด้วย

ภายหลังโชติศักดิ์ได้เข้าแจ้งความที่สถานีปทุมวัน ให้ดำเนินคดีกับผู้ชมคนดังกล่าวในข้อหาร่วมกันทำร้ายร่างกายหมิ่นประมาท และทำให้เสียทรัพย์ ร่วมกันตั้งแต่ห้าคนขึ้นไปข่มขืนใจผู้อื่นให้กระทำการใดฯ และทะเลาะกันอื้ออึงในที่สาธารณสถาน

ขณะที่ผู้ชมภาพยนตร์ที่ถูกแจ้งความข้อหาทำร้ายร่างกาย ได้เข้าแจ้งความต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.ปทุมวัน ให้ดำเนินคดีกับโชติศักดิ์และเพื่อน ในความผิดฐานหมิ่นประมาทสถาบันกษัตริย์ฯ ตามมาตรา 112 ของประมวลกฎหมายอาญาจากกรณีที่คนทั้งสองไม่ยืนเคารพเพลงสรรเสริญพระบารมีในโรงภาพยนตร์

ภายหลังอัยการสั่งไม่ฟ้อง เพราะพยานหลักฐานมีไม่เพียงพอ จนสามารถชี้ชัดได้ว่าทั้งคู่มีเจตนาดูหมิ่นพระมหากษัตริย์ อีกทั้งผู้ต้องหาทั้งสองให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา
5. ออกข้อสอบที่มีเนื้อหาหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์

ปี 2550 ผศ. บุญส่ง ชัยสิงห์กานานนท์ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ประจำภาควิชาปรัชญา คณะอักษรศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร ออกข้อสอบอัตนัย วิชาอารยธรรมไทย ตัวอย่างคำถามเช่น “ท่านคิดว่าสถาบันกษัตริย์มีความจำเป็นสำหรับสังคมไทยหรือไม่ อย่างไร และต้องปรับตัวอย่างไรให้เหมาะสมกับระบอบประชาธิปไตย”

หลังจากนั้น อาจารย์คณะอักษรศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากรรายหนึ่ง กล่าวหาว่า ผศ.บุญส่งหมิ่นประมาทสถาบันพระมหากษัตริย์ และขอให้ ผศ.บุญส่ง ส่งกระดาษคำตอบของนักศึกษามาด้วยแต่ ผศ.บุญส่งปฏิเสธ เพราะเป็นการละเมิดสิทธินักศึกษา ภายหลังตำรวจมีคำสั่งไม่ฟ้อง
6. ทำท่าทางประกอบปราศรัยที่มีลักษณะหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์

ยศวริศ ชูกล่อม (เจ๋ง ดอกจิก) เป็นนักแสดงตลกและเป็นแกนนำคนสำคัญของแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ที่เชิงสะพานผ่านฟ้าลีลาศ ถนนราชดำเนิน

ตอนหนึ่งของการปราศรัย เมื่อวันที่ 29 มีนาคม 2553 ยศวริศได้พูดประกอบท่าทางในลักษณะชี้นิ้วขึ้นฟ้าที่อาจเข้าข่ายเป็นการหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ ศาลตัดสินจำคุก 2 ปี โดยไม่รอลงอาญา

ทั้งนี้ คำตัดสินของศาลระบุว่าแม้ยศวริศ จะไม่ได้ระบุว่าคำพูดดังกล่าวหมายถึงใคร แต่เมื่อพิจารณาจากท่าทางที่ยศวริศทำประกอบ โดยยศวริศแสดงท่าทางด้วยการเอามือหนึ่งชี้ขึ้นฟ้า ขณะที่อีกมือหนึ่งปิดปากตนเอง เป็นการสื่อให้เห็นว่ากำลังพูดถึง ‘บุคคลที่สูงส่งยิ่ง’ แต่ขณะที่จำเลยกล่าวปราศรัยโจมตีนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี และพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบกขณะนั้น กลับไม่มีการแสดงท่าทางดังกล่าว
7. ขายซีดีสารคดีเกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์

เอกชัย หงส์กังวาน จำหน่ายซีดีสารคดีจากช่องเอบีซี ออสเตรเลีย เกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์ พร้อมแจกจ่ายเอกสารจากเว็บไซต์วิกิลิกส์ ในที่ชุมนุมของกลุ่ม ‘แดงสยาม’ เมื่อวันที่ 10 มีนาคม 2554 ทำให้เอกชัยถูกกล่าวหาโดย พันตำรวจโทณฐกร คุ้มทร้พย์ พนักงานสอบสวน สถานีตำรวจนครบาลชนะสงคราม ว่ากระทำผิดตามมาตรา 112 และขายซีดีโดยไม่ได้รับอนุญาต

เอกชัยต่อสู้ถึงเจตนาของการเผยแพร่เนื้อหาเหล่านี้เพื่อให้ประชาชนทราบว่า ต่างชาติมองประเทศไทยอย่างไร และเนื้อหาไม่ได้ทำให้เสื่อมเสียพระเกียรติ ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษจำคุก 5 ปี เพราะเชื่อว่าเนื้อหาเป็นการหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ฯ และปรับ 1 แสนบาทฐานขายซีดีโดยไม่ได้รับอนุญาต ก่อนลดโทษเหลือจำคุก 2 ปี 8 เดือน เพราะให้การเป็นประโยชน์
8. หาเสียงเข้าข่ายหมิ่นประมาท

13 กรกฎาคม 2529 วีระ มุสิกพงศ์ (ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็นวีระกานต์) รมช.มหาดไทยในขณะนั้น ได้ปราศรัยช่วยผู้สมัคร ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ ที่จังหวัดบุรีรัมย์ โดยทำการโฆษณาหาเสียงผ่านทางเครื่องขยายเสียงเพื่อสนับสนุนผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกผู้แทนราษฎรจังหวัดบุรีรัมย์ พรรคประชาธิปัตย์

สรุปข้อความตอนหนึ่งของการหาเสียงว่า “หากตนเลือกเกิดเองได้ จะไปเกิดในพระบรมมหาราชวังนั่น ออกมาเป็นพระองค์เจ้าวีระ”

ต่อมา เชิดชัย เพชรพันธ์ ผู้อำนวยการการเลือกตั้งของพรรคสหประชาธิปไตย เขตกรุงเทพมหานคร ได้ทำการกล่าวหาว่า วีระกานต์ ทำการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ มาตรา 112 ศาลฎีกาได้พิพากษาว่ามีความผิดมาตรา 112 จำนวน 2 กระทงรวมจำคุก 4 ปี อย่างไรก็ตาม หลังจำคุกได้หนึ่งเดือน วีระก็ได้รับพระราชทานอภัยโทษ
9. หมิ่นพระนเรศวรมหาราช

สุลักษณ์ ศิวรักษ์ หรือ ส.ศิวรักษ์ นักวิชาการอาวุโสได้ร่วมอภิปรายในเวทีวิชาการหัวข้อ ‘ประวัติศาสตร์ว่าด้วยการชำระและการสร้าง’ จัดโดยกลุ่มสภาหน้าโดม ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เมื่อ 11 ธันวาคม 2550 ระหว่างการอภิปราย สุลักษณ์พูดถึงประวัติศาสตร์ในสมัยสมเด็จพระนเรศวรฯ โดยระบุทำนองว่า ‘การทำยุทธหัตถีอาจไม่มีจริง’

ภายหลังการอภิปราย สุลักษณ์ถูกกล่าวหาว่าหมิ่นพระบรมเดชานุภาพพระนเรศวร ดูหมิ่นสถาบัน แต่ไม่สามารถระบุตัวผู้ฟ้องร้องได้ สุดท้ายอัยการไม่สั่งฟ้อง
10. หมิ่นพระเกียรติรัชกาลที่ 4

ณัชกฤช จึงรุ่งฤทธิ์ ได้จัดรายการวิทยุชุมชน ‘ช่วยกันคิดช่วยกันแก้’ ออกอากาศในวันที่ 5 เมษายน 2548 กระจายเสียงในพื้นที่ อำเภอบ้านบึง จังหวัดชลบุรี

เนื้อหาสรุปได้ว่า ณัชกฤชทำการดูหมิ่นรัชกาลที่ 4 ว่ามีการปกครองที่ไม่ดี ไม่มีอิสระ ต้องเป็นทาส ซึ่งคำพูดเหล่านี้ศาลตัดสินว่าทำให้รัชกาลที่ 4 เสียพระเกียรติ ส่งผลให้ประชาชนไม่เคารพสักการะ ถูกดูหมิ่น ถูกเกลียดชัง

ภายหลังศาลได้ตัดสินให้ จำคุก 4 ปี แต่จำเลยให้การสารภาพจึงลดโทษให้กึ่งหนึ่งเหลือจำคุก 2 ปี โทษจำคุกให้รอการลงโทษ 2 ปี ให้จำเลยไปรายงานตัวต่อพนักงานคุมประพฤติทุก 4 เดือนต่อครั้ง 1 ปี รวมทั้งให้ทำกิจกรรมบริการสังคมหรือสาธารณประโยชน์ 12 ชั่วโมง

https://themomentum.co/report-unexpected-112/


ไอ้นี่สับสน​ มันคิดว่า ทักษิณ​กลับไทยได้เพราะประชาธิปไตย ?!?


ภาพจาก วิวาทะ V2
...
Atitheb Chaiyasitdhi
ไอ้นี่สับสน​ มันคิดว่าอยู่ดีทักษิณ​กลับไทยได้เพราะประชาธิปไตย​หรือยังไง

Atukkit Sawangsuk
5 hours ago
·
คนส่วนใหญ่แย้งผิดประเด็น
ต้องย้อนถามเจษฎ์ว่า ที่เป็นอยู่นี้ ใช่ประชาธิปไตยแน่หรือ
ที่เป็นอยู่นี้ มันประชาธิปไตย 2 ใบอนุญาตไม่ใช่หรือ
เจษฎ์ไปโวยเรื่องทักษิณชั้น 14

ที่ทักษิณกลับมาอยู่ชั้น 14 ได้ไม่ใช่ด้วยประชาธิปไตย


ม.112 กรณีนักร้อง "แสตมป์ อภิวัชร์" ทำให้เห็นว่ามาตรานี้ "ขยายดินแดนความหวาดกลัวไปยังพื้นที่อื่น ๆ" เป็นโอกาสดีที่สังคมจะถกเถียงปัญหาของมาตรานี้อีกครั้ง


แสตมป์-อภิวัชร์ เอื้อถาวรสุข กล่าวอ้างว่าเขาถูกข่มขู่ว่าจะถูกฟ้อง ม.112 จนต้องถอนคดีต่าง ๆ ที่มีกับคู่กรณี

"การที่มันสร้างความหวาดกลัวให้คุณแสตมป์ได้ จนเขายอมไม่ใช้สิทธิบางอย่างเพราะกังวลถึงเรื่องนี้ เราคิดว่ามันสะท้อนให้เห็นว่าสุดท้ายแล้วคดี 112 มันไม่ได้ส่งผลเฉพาะนักกิจกรรมทางการเมืองเท่านั้น แต่มันสร้างความหวาดกลัวในการใช้สิทธิและเสรีภาพ ขยายดินแดนความหวาดกลัวไปยังพื้นที่อื่น ๆ ทั้งที่ต้นเหตุมาจากความขัดแย้งส่วนบุคคล" พูนสุข พูนสุขเจริญ ทนายความจากศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน

ม.112 กรณีนักร้อง "แสตมป์ อภิวัชร์" ทำให้เห็นว่ามาตรานี้ "ขยายดินแดนความหวาดกลัวไปยังพื้นที่อื่น" อย่างไร

เมื่อ 8 ชั่วโมงที่แล้ว
บีบีซีไทย

ในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา กรณีข่าวอื้อฉาวเกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์ของ อภิวัชร์ เอื้อถาวรสุข หรือ แสตมป์ นักร้องชื่อดัง กลายเป็นที่สนใจของผู้คนใน 2 ประเด็นหลัก นั่นคือคดีความฟ้องร้องระหว่างแสตมป์-ภรรยา กับ คู่กรณีซึ่งฝ่ายหญิงเป็นคนที่แสตมป์อ้างว่าเคยมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งมาก่อน ร่วมด้วยแฟนหนุ่มของเธอในปัจจุบัน

อีกประเด็นหนึ่งคือสิ่งที่นักร้องออกมาเปิดเผยว่าถูกพ่อของคู่กรณีฝ่ายหญิงซึ่งเป็นทหารยศนายพล ขู่ว่าจะใช้หลักฐานแชทในมือถือระหว่างเขากับอดีตคนรักมาดำเนินการฟ้องร้องคดีอาญามาตรา 112 ส่งผลให้แสตมป์ถอนฟ้องคดีแพ่งและอาญารวมกัน 3 คดี เนื่องจาก "ถูกข่มขู่ด้วย ม.112 ซึ่งมีพยานวัตถุเป็นแชท"

ล่าสุดวานนี้ (21 ม.ค.) นายเดชา กิตติวิทยานันท์ ทนายความ แถลงข่าวว่าฝั่งคู่กรณีของแสตมป์มาปรึกษาเรื่องคดีความ ยินดียุติคดีเรื่องราวทั้งหมด ยกเว้นคดี ม.112 เนื่องจากหลังจากปรากฏเป็นข่าว ทำให้ครอบครัวของคู่กรณีที่บิดาเป็นนายทหารระดับสูงถูกเชิญไปให้การกับกระทรวงกลาโหมรวมถึงกองทัพบก ซึ่งเป็นกระบวนการที่ไปไกลกว่าประเด็นขัดแย้งแล้วในตอนนี้

"จึงเป็นเรื่องของกองทัพว่าจะดำเนินการอย่างไรต่อมาตรา 112" ทนายเดชา กล่าว พร้อมกับยืนยันว่าพ่อของคู่กรณีไม่ได้คุกคามข่มขู่ว่าจะยัดคดี ม.112 ซึ่งแสตมป์ออกมากล่าวในรายการโหนกระแสทางช่อง 3 เมื่อวันที่ 21 ม.ค. ว่าทำให้ตนเองกังวลว่า "จะติดคุก" จึงยอมถอนฟ้อง

"แต่อาจจะมีการแจ้งให้เห็นว่าการแสดงความคิดเห็น หรือการพูด การสนทนาบางสิ่งบางอย่าง อาจหมิ่นเหม่ต่อการละเมิดสถาบัน อันนี้ไม่ได้เรียกว่าการข่มขู่ มันเป็นการแจ้งว่าการกระทำของคุณแสตมป์มันหมิ่นเหม่และเกี่ยวกับเรื่องมาตรา 112 ซึ่งเป็นสิทธิของประชาชนในการปกป้องสถาบันฯ เพราะฉะนั้นคดีนี้ก็ต้องว่ากันไปตามกฎหมาย เป็นคดียอมความไม่ได้" ทนายเดชากล่าวกับสื่อมวลชน

ม.112 "ขยายดินแดนความหวาดกลัวไปยังพื้นที่อื่น ๆ"

ด้าน พูนสุข พูนสุขเจริญ ทนายความจากศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน บอกว่า ในทางกฎหมายแล้วการบอกว่าจะใช้สิทธิในทางศาลเพื่อดำเนินคดีอะไรก็ตาม ไม่ถือว่าเป็นการข่มขู่

"แต่ถ้าเราลองพิจารณาในความเป็นจริง แต่คนฟังจะรู้สึก หรือเชื่อ หรือรู้สึกหวาดกลัวอย่างไรก็ได้ อันนี้ก็คงต้องให้สังคมพิจารณาดู" เธอกล่าว

"การที่มันสร้างความหวาดกลัวให้คุณแสตมป์ได้ จนเขายอมไม่ใช้สิทธิบางอย่างเพราะกังวลถึงเรื่องนี้ เราคิดว่ามันสะท้อนให้เห็นว่าสุดท้ายแล้วคดี 112 มันไม่ได้ส่งผลเฉพาะนักกิจกรรมทางการเมืองเท่านั้น แต่มันสร้างความหวาดกลัวในการใช้สิทธิและเสรีภาพ ขยายดินแดนความหวาดกลัวไปยังพื้นที่อื่น ๆ ทั้งที่ต้นเหตุมาจากความขัดแย้งส่วนบุคคล"

พูนสุขบอกว่าจากการเก็บสถิติโดยศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน พบว่านับตั้งแต่เกิดการชุมนุมของคนรุ่นใหม่ในช่วงปี 2563 เป็นต้นมาจนถึงปัจจุบัน มีผู้ถูกดำเนินคดี ม.112 ทั้งหมด 309 คดี

แต่หากดูจากสถิติคดี ม.112 ซึ่งเกิดขึ้นนับตั้งแต่ปี 2557 ถึงปัจจุบัน พบว่าในจำนวนนี้มีอย่างน้อย 10 คดีด้วยกันที่อาศัยคดี ม.112 ฟ้องร้องอีกฝ่ายหนึ่ง แทนที่จะอาศัยเรื่องราวที่ไม่ถูกกันในทางส่วนตัว

ภาระทางคดี

ด้าน พริษฐ์ วัชรสินธุ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) แบบบัญชีรายชื่อและโฆษกพรรคประชาชน ให้ความเห็นกับผู้สื่อข่าววันนี้ (21 ม.ค.) ว่า ไม่ขอให้ความเห็นในเรื่องส่วนตัวของนักร้องรายนี้ แต่ไม่ต้องการเห็นกฎหมายที่เปิดช่องให้มีการใช้ ม.112 มาแก้ไขความขัดแย้งส่วนตัว

"เป็นเพราะใครก็ได้มีสิทธิร้องทุกข์กล่าวโทษใน ม.112 ดังนั้นจึงเป็นการเพิ่มความเสี่ยงในการใช้เป็นเครื่องมือเพื่อแก้ปัญหาส่วนตน ซึ่งจะนำไปสู่ 2 ปัญหาที่ตามมาได้แก่ หนึ่ง คนที่ถูกกล่าวหาแม้ว่าท้ายที่สุดพิสูจน์ได้ว่าการกระทำไม่ได้เป็นในลักษณะที่เข้าข่ายฝ่าฝืน ม.112 แต่ก็ต้องรับภาระตามกระบวนการทางคดี ซึ่งอาจจะรบกวนทั้งเวลาและการพิสูจน์ในแต่ละขั้นตอน"

ทนายความจากศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนยังบอกด้วยว่า นอกเหนือจากอัตราโทษทางกฎหมายที่สูงมากแล้ว อีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้กฎหมายนี้รุนแรงมากขึ้นกว่าเดิม คือ "การไม่กล้าตัดสินใจอย่างตรงไปตรงมา" ของแต่ละฝ่ายที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการทางกฎหมายของคดีนี้ ซึ่งเธอมองว่าเป็นการทำคดี "แบบให้พ้นจากตัวไป"

"เมื่อไปถึงตำรวจ ตำรวจก็สั่งฟ้องไปก่อน อัยการสั่งฟ้องไปก่อน ให้ไปพิสูจน์ที่ศาล แม้แต่ศาลชั้นต้นก็ตัดสินไปก่อนเพื่อให้ไปสู้ในชั้นอุทธรณ์และชั้นฎีกา ทั้งที่ในบางกรณีเราเห็นว่ามันไม่เข้าข่าย ทั้งหมดทั้งมวลจึงทำให้เห็นปัญหาของตัวบท ปัญหาการบังคับใช้ และปัญหาของคนที่บังคับใช้" พูนสุขกล่าว และเสริมด้วยว่าโอกาสได้รับการประกันตัวจากคดี ม.112 ที่เรียกได้ว่า "แทบไม่มีโอกาส" หรือไม่ก็ "มีความผันผวนอย่างยิ่ง" จึงทำให้คดีนี้กลายเป็นเรื่องน่ากลัวสำหรับผู้ถูกกล่าวหาตามไปด้วย

แชทไม่ใช่พื้นที่ปลอดภัย

จนถึงตอนนี้ยังไม่มีข้อมูลปรากฏสู่สาธารณะว่าข้อความที่ทนายเดชาอ้างว่า แชทระหว่างแสตมป์กับคู่กรณีมีความเกี่ยวข้องกับ ม.112 นั้น รายละเอียดของข้อความดังกล่าวเป็นเช่นไรและเข้าข่ายละเมิด ม.112 หรือไม่

แต่พูนสุขเน้นย้ำว่ากรณีนี้สะท้อนให้เห็นอีกหนึ่งปัญหา นั่นคือแชทไม่ใช่พื้นที่ปลอดภัย โดยชี้ว่าท้ายที่สุดแล้วผู้สนทนาควรระมัดระวังข้อความต่าง ๆ ที่ส่งไปจากตนเอง เนื่องจากที่ผ่านมาเคยมีผู้ถูกดำเนินคดี ม.112 เพราะถูกแคปหน้าจอที่ระบุข้อความแชทในบทสนทนาที่ละเมิด ม.112 มาแล้ว นั่นคือคดีการตอบแชทว่า "จ้า" ของ พัฒน์นรี ชาญกิจ แม่ของสิรวิชญ์ เสรีธิวัฒน์ หรือที่รู้จักกันในชื่อว่า จ่านิว นักกิจกรรมทางการเมืองซึ่งต่อต้านการยึดอำนาจของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.)

ฐานข้อมูลศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนระบุว่าคดีดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อปี 2559 โดยพันเอกพงศธร อินทรตั้ง อัยการศาลทหารกรุงเทพ ยื่นฟ้องพัฒน์นรีต่อศาลทหารกรุงเทพว่าละเมิด ม.112 จากการตอบกลับการสนทนาทางช่องแชทของเฟซบุ๊กกับนายบุรินทร์ อินติน เพื่อนของลูกชาย ด้วยคำว่า "จ้า" ซึ่งถือว่าเป็นการยอมรับและเห็นด้วยกับการโพสต์ข้อความที่พาดพิงพระมหากษัตริย์ฯ ของนายบุรินทร์

ต่อมาในปี 2563 ศาลอาญาพิพากษายกฟ้องแม่ของจ่านิวในข้อหาตามมาตรา 112 รวมถึง พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ เนื่องจากเห็นว่าจำเลยพิมพ์ "จ้า" เพื่อตัดบท และคำว่า "จ้า" ไม่ได้สื่อความหมายเป็นการเห็นด้วยกับข้อความ

"ก็น่าสนใจว่าเมื่อกองทัพได้รับข้อมูล [เกี่ยวกับกรณีของแสตมป์] จริง แล้วทางกองทัพจะ take action (ดำเนินการ) อย่างไรต่อกรณีนี้ เพราะว่าในเชิงผลกระทบกับตัวสถาบันฯ การใช้คดี 112 ในลักษณะนี้มันจะเป็นประโยชน์หรือไม่เป็นประโยชน์ ?" พูนสุขกล่าว



เป็นโอกาสดีที่สังคมจะถกเถียงปัญหาของมาตรานี้อีกครั้ง

ขณะเดียวกัน พริษฐ์ สส.จากพรรคประชาชน กล่าวด้วยว่า ทางพรรคเคยสื่อสารมาก่อนหน้านี้แล้วว่าไม่ควรเปิดช่องให้ใครก็ได้ร้องทุกข์กล่าวโทษ แต่ควรมีขั้นตอนคัดกรองที่รัดกุม

"การที่หยิบยกกฎหมายมาตรานี้มาใช้แก้ปัญหาส่วนตน ท้ายที่สุดแล้วมาส่งผลดีต่อการรักษาระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขจริงหรือ และส่งผลดีต่อมุมมองของประชาชนถึงสถาบันพระมหากษัตริย์จริงหรือ ?" เขากล่าวและบอกด้วยว่าศาลรัฐธรรมนูญไม่ได้ห้ามแก้ไข ม.112 และที่ผ่านมาไม่ได้มีเพียงพรรคประชาชนเท่านั้นที่เสนอให้แก้ไขมาตรานี้

"ความจริงนายกรัฐมนตรีเราก็เคยพูดว่าจะนำเรื่องนี้เข้ามาคุยในสภาฯ ผมก็รอดูเหมือนกันว่าวันนี้เป็นนายกฯ แล้ว จะดำเนินการหาทางออกเรื่องนี้อย่างไร " นายพริษฐ์ กล่าว

ด้านทนายความจากศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนบอกว่า กรณีของแสตมป์ทำให้ผู้คนตระหนักรู้มากขึ้นเกี่ยวกับปัญหาของตัวบทกฎหมายนี้ รวมถึงกระบวนการต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการบังคับใช้ นี่จึงเป็นโอกาสอันดีที่สังคมจะกลับมาถกเถียงปัญหาของมาตรานี้อีกครั้ง

ทว่า ในทางส่วนตัวแล้วเธอคิดว่ากฎหมายดังกล่าวควรถูกแก้ไขหรือยกเลิกมานานแล้วด้วยซ้ำ เนื่องจากการยกเลิกมาตรานี้ไม่ได้หมายความว่าสถาบันพระมหากษัตริย์จะถูกลดสถานะลงแต่อย่างใด และยังได้รับความบุคคลในฐานะบุคคลอยู่

"เรายังเห็นกระแสการต่อต้านการแก้ไข ม.112 ความพยายามไม่รวม ม.112 ไปไว้ในการนิรโทษกรรม ทั้งที่มันทำได้ง่ายกว่าการแก้ไขมาตรานี้เสียอีก" พูนสุขกล่าว "ส่วนตัวจึงคิดว่ามันเป็นไปได้ลำบากในสถานการณ์การเมืองลักษณะนี้ ถ้าถามว่ามันจะแก้ไขหรือยกเลิกได้ไหม เราคิดว่ามันสามารถทำได้ก็ต่อเมื่อสังคมส่วนใหญ่ยอมรับ แต่มันจะถึงจุดนั้นเมื่อไร ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง"

https://www.bbc.com/thai/articles/c0e4l73r5q7o

ว่าที่รมว.ตปท.สหรัฐฯ ‘มาร์โค รูบิโอ’ ประกาศคัดค้านแผนส่งตัวชาวอุยกูร์ของไทย


ว่าที่รมว.ตปท.สหรัฐฯ ‘มาร์โค รูบิโอ’ ประกาศคัดค้านแผนส่งตัวชาวอุยกูร์ของไทย

VOA Thai

Jan 20, 2025

วุฒิสมาชิกมาร์โค รูบิโอ ผู้ที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เสนอชื่อให้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ประกาศว่า จะกดดันรัฐบาลไทยไม่ให้ส่งตัวชาวอุยกูร์ 48 คนที่ถูกควบคุมตัวไว้ตั้งแต่เมื่อปี 2014 กลับประเทศ

https://www.youtube.com/watch?v=HHbhQIjF6zw


"พม่าโยนขี้มาแล้วค่ะ" กระบอกเสียงรัฐบาลพม่า ตีแสกหน้ารัฐบาลไทย


ภัควดี วีระภาสพงษ์
4 hours ago
·
พม่าโยนขี้มาแล้วค่ะ

สำนักข่าวชายขอบ
6 hours ago
·
กระบอกเสียง SAC แฉแหล่งอาชญากรรมเมืองเมียวดีใช้ไฟฟ้า-อินเตอร์เน็ตจากประเทศเพื่อนบ้าน-ติดต่อกับองค์กรติดอาวุธชาติพันธุ์ เผยรัฐบาลทหารพม่าปราบจริงจังส่งกลับชาวต่างชาติแล้วกว่า 5 หมื่นคน
-----------
เมื่อวันที่ 21 มกราคม 2568 หนังสือพิมพ์ The Global New Light of Myanmar กระบอกเสียงของรัฐบาลทหารพม่า ได้เผยแพร่บทความในหัวข้ออาชญากรรมรวมทั้งการพนันออนไลน์ที่ผิดกฎหมายกำลังเพิ่มขึ้นในพื้นที่เมียวดี-ชเวก๊กโกและเคเคพาร์ค รัฐกะเหรี่ยง
ทั้งนี้เนื้อหาสำคัญระบุว่า พื้นที่ชเวก๊กโกก่อตั้งขึ้นในปี 2559 ต่อมาเนื่องจากมีรายงานข่าวเกี่ยวกับธุรกิจผิดกฎหมาย โครงการนี้จึงถูกระงับ หน่วยงานรัฐที่บังคับใช้กฎหมายต้องเผชิญกับความยากลำบากในการควบคุมพื้นที่เหล่านี้ เนื่องจากมีกองกำลังติดอาวุธต่างๆอยู่ที่นั่น พื้นที่นี้จึงขาดเสถียรภาพ แต่ผู้ที่แสวงหาผลประโยชน์จากการก่ออาชญากรรมรวมถึงการพนันออนไลน์กลับใช้ประโยชน์จากสถานการณ์นี้
ยิ่งไปกว่านั้น ไฟฟ้าและการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต ซึ่งเป็นสิ่งพื้นฐานและจำเป็นสำหรับการหลอกลวงทางออนไลน์ในพื้นที่เหล่านี้ ไม่ได้มาจากเมียนมาร์แต่มาจากประเทศอื่น กลุ่มต่างประเทศลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานเหล่านี้
อาชญากรผู้ที่ฉ้อโกงได้ดำเนินธุรกิจลักษณะนี้ในฟิลิปปินส์และกัมพูชาในปี 2558 และต่อมาก็ย้ายมาในเมียนมาร์ในปี 2562
สื่อได้รายงานข่าวว่านายหวางซิง นักแสดงชาวจีนที่หายตัวไปในบริเวณชายแดนไทย-เมียนมา (แม่สอด-เมียวดี) และถูกส่งตัวกลับมายังประเทศไทย ซึ่งจากการสืบสวนพบว่านายหวางซิงได้รับการติดต่อจากชายชาวจีนผ่านบัญชี WeChat (ที่อ้างอิง) บริษัทไทย GMM Grammy และถูกชักชวนให้ไปถ่ายทำในประเทศไทย เมื่อวันที่ 3 มกราคม เขาเดินทางออกจากเซี่ยงไฮ้ ประเทศจีน โดยเที่ยวบินไปยังประเทศไทยและเดินทางมาถึงสนามบินนานาชาติสุวรรณภูมิ จากนั้นเขาเดินทางถึงแม่น้ำตองยิน หรือแม่น้ำเมย (ฝั่งไทย) ใกล้หมู่บ้านแม่โกนเกน อ.แม่สอด จ.ตาก และถูกนำตัวไปที่เมียวดี-ชเวก๊กโกในเมียนมา โดยข้ามเรือ หลังจากนั้น
เขาถูกส่งไปที่อาคารแห่งหนึ่งและได้รับการฝึกฝนการพิมพ์คอมพิวเตอร์ เขาพบชาวจีนประมาณ 10 คนอยู่ที่นั่น เขาถูกส่งไปที่อาคารอีกแห่งและโกนหัว เขาถูกบังคับให้ฉ้อโกงออนไลน์ ที่นั่นเป็นสถานที่เล่นพนันออนไลน์ และมีชาวจีนประมาณ 50 คน ต่อมาครอบครัวได้ขอความช่วยเหลือ และองค์กรในพื้นที่นั้นได้ส่งตัวเขามายังประเทศไทยผ่านด่านตรวจคนเข้าเมืองหมายเลข 34 ในเขตวังตะเคียน อ.แม่สอด จ.ตาก เมื่อวันที่ 7 มกราคม และถูกส่งตัวไปยังประเทศจีนเมื่อวันที่ 10 มกราคม
เช่นเดียวกัน พบชายชาวจีน 3 คน จากการสอบสวนพบว่าพวกเขาเข้าเมียนมาร์โดยผิดกฎหมายผ่านประเทศไทยในปี 2565-2566 และฉ้อโกงทางการเงินทางออนไลน์ พวกเขาหลบหนีออกเนื่องจากไม่ได้รับเงินเดือน นอกจากนี้ยังพบว่าชาวจีนอีก 2 คน ในเมืองเมียวดีเข้าเมียนมาผ่านแม่สอดอย่างผิดกฎหมายในปี 2566
การหลอกลวงทางออนไลน์และการพนันออนไลน์อาจต้องใช้ไฟฟ้า การเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต อาวุธ กระสุน และอาคาร เจ้าของธุรกิจหลอกลวงอาจเข้าถึงสิ่งเหล่านี้ได้โดยอาศัยประเทศอื่น พวกเขาไม่ใช่พลเมืองเมียนมา แต่เป็นชาวต่างชาติที่เข้าเมียนมาอย่างผิดกฎหมาย ผ่านเส้นทางที่ผิดกฎหมายจากประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่ง ประเทศเพื่อนบ้านควรมีส่วนร่วมในการปราบปรามการหลอกลวงทางออนไลน์และการพนันออนไลน์
รัฐบาลเมียนมายังให้ความสำคัญกับเสถียรภาพของรัฐและหลักนิติธรรม นอกจากนี้ยังเปิดโปงการหลอกลวงทางออนไลน์และการพนันออนไลน์ที่ดำเนินการโดยชาวต่างชาติบางคน ซึ่งติดต่อกับองค์กรติดอาวุธชาติพันธุ์ (EAO) และผู้มีอิทธิพล ซึ่งใช้ประโยชน์จากสถานการณ์ในพื้นที่ชายแดน ในการดำเนินการดังกล่าว
ชาวต่างชาติส่วนใหญ่เข้าประเทศอย่างผิดกฎหมายผ่านประเทศเพื่อนบ้านบางประเทศรวมถึงประเทศไทยเพื่อดำเนินธุรกิจเพื่อผลประโยชน์ของตน อย่างไรก็ตาม รัฐบาลได้สอบสวนพวกเขาภายใต้กฎหมายและส่งตัวพวกเขาไปยังประเทศของตนด้วยเหตุผลด้านมนุษยธรรมและความสัมพันธ์ทวิภาคี
ชาวบ้านผิดกฎหมายที่ก่ออาชญากรรมออนไลน์และการพนันออนไลน์ ถูกพบในพื้นที่ชายแดน เช่น เลาร์ก่าย มูเจ้ ท่าขี้เหล็ก และเมียวดี และถูกส่งตัวกลับประเทศของตน
ตั้งแต่วันที่ 5 ตุลาคม 2023 ถึง 13 มกราคม 2025 ชาวจีน 53,388 รายถูกส่งตัวไปจีน , 648 รายถูกส่งตัวไปไทย , 20 รายถูกส่งตัวไปเกาหลีใต้ , 22 รายถูกส่งตัวไปลาว ,1,149 รายถูกส่งตัวไปเวียดนาม ,19 รายถูกส่งตัวไปฟิลิปปินส์ ,142 รายถูกส่งตัวไปมาเลเซีย ,21 ราย ถกส่งตัวไปไทเป ,2 รายถูกส่งตัวไปสิงคโปร์ ,1 รายถูกส่งตัวไปโปแลนด์ ,1 รายถูกส่งตัวไปสเปน ,13 รายถูกส่งตัวไปอินโดนีเซีย ,38 รายถูกส่งตัวไปยูกันดา, 3 รายถูกส่งตัวไปอียิปต์ ,2 รายถูกส่งตัวไปกัมพูชา ,96 รายถูกส่งตัวไปอินเดีย
13 รายถูกส่งตัวไปโมร็อกโก ,29 รายถูกส่งตัวไปเนปาล ,3 รายถูกส่งตัวไปปากีสถาน ,3 รายถูกส่งตัวไปไอร์แลนด์เหนือ ,1 รายถูกส่งตัวไปคาซัคสถาน ,2รายถูกส่งตัวไปเคนยา ,60 รายถูกส่งตัวไปศรีลังกา ,1 รายถูกส่งตัวไปแอฟริกาใต้ ,1 รายถูกส่งตัวไปฮ่องกง ,2 รายถูกส่งตัวไปเซียราลีโอน ,1รายส่งไปกานา ,1 รายถูกส่งตัวไปบุรุนดี ,1 รายถูกส่งตัวไปเติร์กเมนิสถาน รวมทั้งสิ้น 55,711 ราย
รัฐบาลได้ดำเนินมาตรการอย่างมีประสิทธิภาพในการสืบสวนชาวต่างชาติที่ถูกจับกุมซึ่งเข้ามาอย่างผิดกฎหมาย ดำเนินคดีโดยเร็วที่สุด และเนรเทศพวกเขากลับประเทศที่เกี่ยวข้องโดยจัดตั้งคณะกรรมการ และร่วมมือกับประเทศที่เกี่ยวข้องอย่างแข็งขันในการส่งตัวชาวต่างชาติที่เผชิญความยากลำบากด้วยเหตุผลต่างๆ และเหยื่อการค้ามนุษย์ชาวต่างชาติ
ตั้งแต่วันที่ 22 ถึง 19 มกราคม 2568 รัฐบาลได้รับจดหมายผ่านความสัมพันธ์ทางการทูต การสื่อสารของอินเตอร์โพล และช่องทางการสื่อสารของตำรวจ เพื่อสืบสวนและค้นหาผู้คน 4,176 คน (ชาย 3,415 คนและหญิง 761 คน) จากเอเชีย ยุโรป จีน และแอฟริกาใต้ รวมถึงประเทศสมาชิกอาเซียน โดยพบผู้คนทั้งหมด 1,292 คน (ชาย 958 คนและหญิง 334 คน) จนถึงวันที่ 19 มกราคม 2568 เหยื่อ 1,284 คนถูกส่งตัวไปยังประเทศที่เกี่ยวข้องตามขั้นตอน เหลือ 5 คนยังคงรอการส่งตัวต่อไป โดยยังคงดำเนินการสืบสวนอย่างต่อเนื่องสำหรับผู้คนที่เหลืออีก 2,884 คน และรายงานข้อมูลดังกล่าวไปยังสถานทูตและประเทศที่เกี่ยวข้องในเวลาที่เหมาะสม
เมียนมาและจีนได้ร่วมกันดำเนินการปิดศูนย์ปราบปรามการหลอกลวงทางออนไลน์ในเมืองมูเจ้ รัฐฉาน (ทางเหนือ) ปฏิบัติการครั้งแรกจัดขึ้นเมื่อวันที่ 28-30 มีนาคม 2024 และปฏิบัติการครั้งที่สองจัดขึ้นเมื่อวันที่ 23-26 กันยายน 2024 เจ้าของธุรกิจการพนันออนไลน์ไม่ใช่พลเรือนทั่วไป พวกเขาเป็นนักพนันที่ก่ออาชญากรรมในประเทศของตนและเป็นผู้กระทำความผิดที่หลบหนี ตามข่าวเผยแพร่ของทีมข้อมูลของสภาบริหารแห่งรัฐ (The State Administration Council -SAC)
“ชาวจีนไม่หลอกลวงชาวเมียนมา และชาวเมียนมาไม่หลอกลวงชาวจีน กลุ่มผู้ลี้ภัยที่ก่ออาชญากรรมหลอกลวงทั้งสองประเทศ ผู้กระทำความผิดต้องถูกเปิดโปง และผู้ที่ปกป้องพวกเขาต้องถูกดำเนินคดีเช่นกัน”
นักต้มตุ๋นและนักพนันออนไลน์ดำเนินธุรกิจโดยร่วมมือกับองค์กรติดอาวุธชาติพันธุ์บางแห่งที่ลงนามในสัญญาสันติภาพ NCA แต่กลับใช้ประโยชน์จากการที่หน่วยงานรัฐที่กฎหมายและผู้บริหารที่ควบคุมพื้นที่ขาดเสถียรภาพ ดังนั้นรัฐบาลจึงดำเนินการสืบสวนและดำเนินการอย่างมีประสิทธิผลโดยร่วมมือกับองค์กรระหว่างประเทศ องค์กรในท้องถิ่นและประชาชนควรรายงานต่อเจ้าหน้าที่เกี่ยวกับข้อมูลการหลอกลวงทางออนไลน์และมีส่วนร่วมในการปราบปรามการพนันออนไลน์ในฐานะภารกิจระดับชาติ
อนึ่ง หนังสือพิมพ์ The Global New Light of Myanmar เป็นสื่อของทางการพม่าภายใต้กระทรวงข้อมูลของรัฐบาลพม่า และเป็นหนังสือพิมพ์ภาษาอังกฤษฉบับเดียวที่ยังตีพิมพ์อยู่ในพม่า

https://www.facebook.com/photo/?fbid=1191239719673501&set=a.504230305041116


วันอังคาร, มกราคม 21, 2568

เพื่อปกป้องสถาบัน ? 2 เคส จากเรื่องส่วนตัวมา 112 เรื่องทั้งหมดนี้อาจดูเหมือนนิยาย แต่ทั้งหมดเป็นเรื่องจริง


The101.world
9 hours ago
·
เป็นไปได้หรือไม่ หากเรามีปัญหาส่วนตัวกับคนรู้จักแล้วไปแจ้งตำรวจด้วยมาตรา 112 ?
.
คำตอบคือเป็นไปได้ เนื่องจากมาตรา 112 ถูกกำหนดให้เป็นความผิดต่อแผ่นดิน รัฐหรือบุคคลอื่นที่ไม่ใช่ผู้เสียหายสามารถเริ่มดำเนินคดีได้โดยปราศจากความสมัครใจของผู้เสียหาย แต่หลังจากมีผู้มากล่าวโทษแล้วตำรวจต้องรวบรวมพยานหลักฐาน ก่อนส่งฟ้องต่ออัยการ โดยที่อัยการต้องพิจารณาว่าคดีมีมูลเหตุสมควรฟ้องต่อศาลหรือไม่
.
อย่างไรก็ตาม ในหลายกรณีพบว่าคดีถูกส่งต่อผ่านชั้นตำรวจและอัยการไปสู่ศาลโดยไม่มีพยานหลักฐานเพียงพอ
.
จากกรณีนักร้องมีปัญหาส่วนตัวกับบุคคลอื่น โดยอ้างว่ามีการขู่ด้วยมาตรา 112 เพื่อให้ถอนฟ้องโดยมีหลักฐานเป็นแชตส่วนตัวในอดีตนั้น เป็นภาพสะท้อนการใช้มาตรา 112 เป็นเครื่องมือด้วยปัญหาส่วนตัว ซึ่งเป็นประเด็นที่หลายภาคส่วนมีความกังวลถึงการทำให้กฎหมายนี้กลายเป็นเครื่องมือของความเกลียดชังที่ใช้โจมตีทางการเมืองหรือเรื่องส่วนตัว
.
จนถึงปัจจุบันกฎหมายนี้ก็ยังไม่มีการแก้ไข รวมถึงความพยายามเสนอแก้ไขกฎหมายนี้ก็ถูกสกัดกั้นจากฝ่ายตุลาการที่วินิจฉัยไปไกลถึงเป็น ‘การล้มล้างการปกครอง’
.
วันโอวันชวนย้อนอ่านเรื่องราวของ ‘ยุทธภูมิ’ ซึ่งต้องเข้าเรือนจำด้วยมาตรา 112 โดยมีต้นเหตุคือการทะเลาะกับพี่ชายด้วยเรื่องส่วนตัวและเรื่องธุรกิจ จนพี่ชายที่เคยอาศัยอยู่บ้านเดียวกันไปแจ้งความ 112 และถูกจองจำราวหนึ่งปี
.
แม้ภายหลังคดีของเขาจะถูกยกฟ้องและถูกปล่อยตัวจากเรือนจำเนื่องจากพยานหลักฐานไม่มีน้ำหนักพอ แต่ความเสียหายที่กฎหมายนี้กระทำต่อเขาก็มิอาจชดเชยได้
.
อ่านได้ที่: https://www.the101.world/yuttapoom-martnork-interview/
.
เรื่อง: วจนา วรรลยางกูร
ภาพประกอบ: จิราภรณ์ บุญเย็น

https://www.facebook.com/photo/?fbid=1153510649477073&set=a.523964959098315
.....


วุฒิชัย พากดวงใจ
9 hours ago
·
ที่เชียงใหม่มีน้องผู้หญิงคนนึง จบ ม.6 เรียนต่อมหาลัยได้ปีสองต้องออกมาทำงานหาเงินช่วยที่บ้าน สุดท้ายก็ไม่ได้กลับไปเรียนต่อ
.
เวลาผ่านไปหลายปี น้องคนนี้พอจะตั้งตัวได้ด้วยอาชีพขายของออนไลน์ วันดีคืนดีระหว่างที่น้องอยู่ในหอพักคนเดียว มีชายฉกรรจ์ 20-30 คน มาล้อมห้องพักแล้วเอาตัวน้องไป สุดท้ายรู้ทีหลังว่าคนพวกนี้คือตำรวจ มาจับน้องในข้อหา 112
.
หลังจากน้องถูกจับ ศาลก็ไม่ให้ประกันตัวระหว่างสู้คดี ตอนที่น้องถูกขังที่เรือนจำหญิงเชียงใหม่ น้องถูกขังในห้องขังเดี่ยว ซึ่งปกติถูกใช้ในการลงโทษผู้ต้องขังที่มีปัญหา
น้องบอกว่าระหว่างที่อยู่ในนั้น ห้องขังข้าง ๆ เป็นผู้หญิงที่กรีดร้องตลอดเวลา น้องกลัวมาก
.
ผ่านไปเกือบเดือนน้องถึงได้รับการประกันตัวออกมา จากนั้นน่าจะอีกหลายเดือนหรือน่าจะปีมั้ง มารู้อีกทีว่าน้องลี้ภัยไปแล้ว
.
ยินดีที่น้องได้ไปอยู่ในที่ปลอดภัย แต่ก็อดห่วงไม่ได้เพราะการไปด้วยวุฒิ ม.6 และสถานะทางเศรษฐกิจที่ไม่ได้มั่นคงยังไงก็ลำบากแน่
.
ถ้าใครอ่านมาถึงตรงนี้ ก็จะเฉลยให้ว่าทำไมน้องโดน 112
.
ช่วงที่น้องขายของออนไลน์ มีผู้ชายมาขอเล่นชู้ด้วย แต่น้องปฏิเสธ เพราะน้องมีแฟนอยู่แล้ว
ผู้ชายคนนั้นเลยไปแจ้ง 112 ทำให้น้องถูกจับ
.
ผู้ชายคนนั้นในเวลานั้นทำงานเป็นนิติกรอยู่ที่ศูนย์ราชการจังหวัดเชียงใหม่ ชื่อจำไม่ได้ละ แต่ในเว็บศูนย์ทนายน่าจะยังมีชื่ออยู่
.
เรื่องทั้งหมดนี้อาจดูเหมือนนิยาย แต่ทั้งหมดเป็นเรื่องจริง และมีคนอีกมากกว่า 200 คน กำลังเผชิญกับเรื่องทำนองนี้อยู่ แต่ก็ไม่ใช่ทุกคนจะหนีไปอยู่ในที่ปลอดภัยได้
.
ผมไม่อยากให้เรื่องส้นตีนแบบนี้เกิดขึ้นกับใครอีก ดังนั้น solution ง่าย ๆ #ยกเลิก112 ครับ
ถ้าใครกลัวยกเลิกแล้วจะไม่มี กม.คุ้มครองกษัตริย์ ก็ให้กษัตริย์ฟ้องหมิ่นประมาท ฟ้องละเมิด เหมือนประชาชนคนอื่น ๆ
มันง่ายแค่นั้น
 
https://www.facebook.com/photo/?fbid=574597168734177&set=a.113780321482533