วันศุกร์, พฤศจิกายน 21, 2568

บวรศักดิ์ นี่เขา ‘บริกร’ เต็มตัว ประเด็น ‘ยุบสภา’ ถ้าฝ่ายค้านยื่นญัตติไม่ไว้วางใจ ไม่ใช่ห้ามยุบสภาได้ปั๊บเลย โดน ’วันนอร์’ ถองกลับ รธน.อำนาจเหนือกว่าข้อบังคับ

บวรศักดิ์ นี่เขา บริกรเต็มตัว นั่นคือรับใช้นายหัวทิ่มหัวตำ ไม่แยแสหลักวิชาเนติกรรมที่ใช้เป็นเครื่องมือประกอบอาชีพ ตีความกฎหมายตะแบงมาร แม้แต่กลืนเสลดที่ขยอกออกมา กลับเข้าคอหน้าตาเฉย

ก็ประเด็นการยุบสภานั่นละ ที่ อนุทินฮึ่มๆ ว่าจะยุบสภาก่อนกำหนด ๓๑ มกรา ตามข้อตกลงที่ทำไว้กับพรรคประชาชน ขณะกระบวนการแก้ไขรัฐธรรมนูญยังค้างเติ่ง ร่ำๆ ว่าจะยุบมันเสียเลย ๑๒ ธันวานี้ หลังจากที่โดนกระหน่ำตรวจสอบคอรัปชั่นหนัก

อนุทินบอกว่าจะมาซักฟอกอะไรกัน รัฐบาลเสียงข้างน้อยยังไงก็แพ้โหวตอยู่แล้ว ถ้ารอถึง ๓๑ มกราไม่ไหว ๑๒ ธันวานี้เปิดสภามาก็ยุบไปเลย “แต่อะไรที่มันไม่เสร็จอย่ามาเบลมผมนะ” อย่างนี้ พริษฐ์ วัชรสินธุ โฆษกฝ่ายค้านว่า “ก็เหมือนผู้รับเหมาทิ้งงาน

หรือปิดกิจการเพื่อหนีการตรวจสอบ แต่ช่วงใกล้เลือกตั้งแบบนี้ก็คงไม่ส่งผลดีแน่นอนต่อตัวนายกฯ เพราะนายอนุทินได้ประกาศไปแล้วว่าจะเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคภูมิใจไทย” แต่ข้อสำคัญถ้าฝ่ายค้านยื่นซักฟอกแล้ว จะยุบสภาไม่ได้

มาตรา ๑๕๑ รัฐธรรมนูญ ๒๕๖๐ เขียนไว้จะแจ้งปานนั้น ไอลอว์ให้อรรถาธิบายว่า “ปรกติแล้ว การอภิปรายไม่ไว้วางใจ สามารถทำได้ปีละหนึ่งครั้งเท่านั้น (มาตรา ๑๕๔) เพื่อเปิดโอกาสให้รัฐบาลมีเวลาทำงานและไม่เป็นภาระมากเกินไป”

แต่บวรศักดิ์ อุวรรณโน หัวกฎหมายของรัฐบาลอนุทินยังอุตส่าห์ตะแบงออกไปจนได้ ว่าไม่ใช่พอยื่นญัตติไม่ไว้วางใจปุ๊บก็ยื่นยุบปั๊บได้เลย เขาอ้างว่าอย่างน้อยๆ ต้องรอให้ครบถ้วนกระบวนการเสียก่อน “ตามข้อบังคับ” ของการประชุมสภา

นั่นคือ “จะเริ่มห้ามยุบได้ต่อเมื่อญัตตินั้นถูกต้อง ครบถ้วนสมบูรณ์ บรรจุระเบียบวาระและแจ้งให้นายกฯ ทราบตามข้อบังคับการประชุม” อย่างน้อยๆ ใช้เวลาราว ๗ วัน แต่กระนั้นก็โดนประธานสภาฯ วันมูหะมัดนอร์ มะทา ถองกลับให้ว่า

“ต้องยึดตามรัฐธรรมนูญ...ข้อบังคับมีอำนาจน้อยกว่ารัฐธรรมนูญ” คือมาตรา ๑๕๑ วรรค ๒ แจงว่า “เมื่อมีการยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจ มาที่ประธานสภาแล้ว ก็ไม่สามารถยุบสภาได้” สนุกละสิ ทีนี้

(https://www.facebook.com/iLawClub/posts/BPJnouiQNH และ https://www.matichon.co.th/politics/news_5467456)

Hot Issue ! Democratic lawmakers posted a video urging military troops to refuse any illegal orders they may receive..This made Trump mad, he posted "SEDITIOUS BEHAVIOR PUNISHABLE BY DEATH"


Democrats to Troops: Don’t Follow Unlawful Orders

New York Post

Nov 18, 2025 

Democratic lawmakers posted a video to social media urging military troops to refuse any illegal orders they may receive. Senator Elissa Slotkin recently introduced legislation, the No Troops in Our Streets Act, to put limits on the Trump Administration’s ability to deploy the National Guard into American communities.

https://www.youtube.com/watch?v=5Iux161DZAA






 

ผลกระทบจาก การทำเหมือง #แร่หายาก ในมาเลเซีย มาเลเซียสั่งพักเหมืองแร่ 2 แห่ง หลังแม่น้ำเปรักเปลี่ยนเป็นสีฟ้า



มาเลเซียสั่งพักเหมืองแร่ 2 แห่ง หลังแม่น้ำเปรักเปลี่ยนเป็นสีฟ้า

20 พ.ย. 2568
ไทยรัฐออนไลน์

คณะรัฐมนตรีมาเลเซียได้มีมติอนุมัติให้สั่งพักการดำเนินการของบริษัทเหมืองแร่ 2 แห่งที่ตั้งอยู่ในพื้นที่แม่น้ำเปรักตอนบน เป็นเวลา 3 สัปดาห์ สืบเนื่องจากเหตุการณ์ที่น้ำในแม่น้ำเปรัก มีการเปลี่ยนสีเป็นสีฟ้าในช่วงที่ผ่านมา

บริษัททั้งสองแห่งที่ถูกสั่งพักการดำเนินการได้แก่ บริษัท MCRE Resources ซึ่งเป็นบริษัทที่เกี่ยวข้องกับการทำเหมืองแร่หายาก และบริษัท Rahman Hydraulic Tin บริษัทที่ดำเนินการเหมืองดีบุกแบบเปิดที่ใหญ่ที่สุดในมาเลเซีย ซึ่งตั้งอยู่ในเมืองเกลียนอินตัน รัฐเปรัก

ดาโต๊ะซรี โจฮารี บิน อับดุล กาห์นิ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสินค้าโภคภัณฑ์ ซึ่งควบตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อม ได้เปิดเผยเรื่องนี้ในระหว่างการประชุมสภาผู้แทนราษฎรเมื่อวานนี้ (19 พ.ย.) และได้ชี้แจงผลการตรวจสอบเบื้องต้นว่า จากการตรวจสอบตัวอย่างน้ำทิ้งจากพื้นที่ของบริษัท MCRE Resources พบว่าน้ำทิ้งมีโทนสีน้ำเงินใกล้เคียงกับสีที่ตรวจพบในแม่น้ำเปรัก

นอกจากนี้ เขายังระบุว่า ตัวอย่างของเสียจากกระบวนการชะล้างแร่ ณ แหล่งขุดเจาะของบริษัทดังกล่าว มีการตรวจวัดค่ากัมมันตภาพรังสีได้สูงถึง 13 เบ็กเคอเรล ซึ่งเป็นค่าที่สูงกว่าขีดจำกัดที่ได้รับอนุญาตในการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมถึง 1 เบ็กเคอเรล

รัฐมนตรีกระทรวงเกษตรกล่าวว่า "ดังนั้น การสอบสวนในขณะนี้จึงมุ่งเน้นไปที่ประเภทของสารเคมีที่ใช้ในกระบวนการชะล้าง และว่าสารเคมีนั้นสอดคล้องกับข้อมูลที่ได้รายงานต่อเจ้าหน้าที่หรือไม่"

ก่อนหน้านี้ สำนักข่าวเบอร์นามา รายงานว่า น้ำในแม่น้ำเปรักได้เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินอย่างเห็นได้ชัดเมื่อวันที่ 21 ตุลาคม ที่บริเวณสะพานกัมปุง ซูไง ปาปัน ซึ่งอยู่ห่างจาก Kampung Air Ganda ประมาณ 5 กิโลเมตร

โมฮัมหมัด เอซานนี มัต ซัลเลห์ ผู้อำนวยการสำนักงานสิ่งแวดล้อมรัฐเปรัก กล่าวว่า เหตุการณ์ดังกล่าวเชื่อว่ามีความเกี่ยวข้องกับกิจกรรมการทำเหมืองแร่ แต่กำลังดำเนินการสืบสวนอย่างละเอียดเพื่อหาสาเหตุที่แท้จริงของการเปลี่ยนสีของน้ำในแม่น้ำต่อไป

ทั้งนี้ รัฐบาลมาเลเซีย คาดว่า มาเลเซียมีแหล่งแร่หายากประมาณ 16.1 ล้านตัน แต่ยังขาดแคลนเทคโนโลยีในการขุดและแปรรูป โดยมีรายงานว่า รัฐบาลมาเลเซียอยู่ระหว่างหารือกับจีนเรื่องแปรรูปแร่หายาก ส่วนเมื่อเดือนตุลาคมผู้นำมาเลเซียได้ลงนามบันทึกความเข้าใจกับประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ของสหรัฐฯ เรื่องความร่วมมือด้านแร่หายาก.

ที่มา Malay Mail

https://www.thairath.co.th/news/foreign/2896772


สองแสนทำสงสัย นักร้องไม่ไปร้องสอบ เงินบริจาค (เป็นล้าน) พรรคอื่นๆบ้างหรือ?

·
นักร้องไม่ไปร้องสอบ เงินบริจาค พรรคอื่นๆบ้างหรือ?
อันดับ 1 ได้แก่ พรรคพลังประชารัฐยอดบริจาค 20 ล้านบาทจากผู้บริจาค 4 คน
อันดับ 2 พรรคภูมิใจไทย 18,260,000 บาท จากผู้บริจาค 693 คน
อันดับ 3 พรรคกล้าธรรม 13,612,335 บาท จากผู้บริจาค 13 คน
อันดับ 4 พรรคเพื่อไทย 13,410,000 บาท จากผู้บริจาค 8 คน
อันดับ 5 พรรคประชาชน 6,064,970.16 บาท จากผู้บริจาค 386 คน

https://www.facebook.com/permalink.php?story_fbid=1177743704460979&id=100066760812874
.....


https://www.thairath.co.th/news/politic/2892432

ท่านผู้นำฮาเฮ
Yesterday
·
สองแสนทำสงสัย





Amazing Thailand ! สวรรค์นักโทษจีนเทา - ประเด็นสุดพีค หลังหน่วยจู่โจมบุกค้นเรือนจำ ก่อนเจอสิ่งอำนวยความสะดวกให้กับจีนเทา และสาวปรนนิบัติ ในเรือนจำ


เจ๊ม้อย v+
5 hours ago
·
- ประเด็นสุดพีค หลังหน่วยจู่โจมบุกค้นเรือนจำ ก่อนเจอสิ่งอำนวยความสะดวกให้กับจีนเทา และสาวปรน
นิบัติ ในเรือนจำ

- พบว่า กลุ่มผู้ต้องขังชาวจีนเทา มีการจ้างนางแบบสาวเดินทางมาจากเมืองจีน ระดับตัวท็อป ค่าจ้างบินมาต้องใช้เงินระดับ 7 หลัก

- นางแบบรายนี้ จะพาเข้าไปให้ผู้ต้องขังชาวจีน กลุ่มนี้มีความสัมพันธ์ทางเพ-- ซึ่งจะมีการเบิกตัวผู้ต้องขังออกมาจากแดน 3 ผ่านประตู 2 และออกมาที่ห้องใต้บันไดที่นางแบบที่จ้างมารออยู่

- เจ้าหน้าที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพ จะพาหญิงสาวนางแบบรายนี้ เข้าไปในเรือนจำ ผ่านช่องทางจากห้องทำงาน ผบ.เรือนจำพิเศษกรุงเทพ ซึ่งอยู่ที่ชั้น 2 ของอาคาร ลงไปยังด้านล่างเรือนจำ

- โดยไม่ต้องผ่านประตู 1 ของเรือนจำ ซึ่งจะมีห้องใต้บันไดระหว่างประตู 1 และประตู 2 ซึ่งทาง ผบ.เรือนจำได้ทำไว้เพื่อรับรองแขก ค่อนข้างจะเป็นจุดลับตา

- ในวันจู่โจมเจ้าหน้าที่ได้หลักฐานสำคัญ ทั้งนางแบบและผู้ต้องขังชาวจีนเทา กระดาษทิชชู่ พร้อมคราบมีคราบ อาซูจี จึงเก็บไว้เป็นหลักฐานทั้งหมด

- ซึ่งต่อมา นำไปสู่การโยกย้าย ผบ.เรือนจำ และผู้คุม จำนวน 19 ราย พร้อมตั้งกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงต่อไปค่ะ #จีนเทา #เรือนจำพิเศษ #สวรรค์นช

https://www.facebook.com/photo/?fbid=766893176373246&set=a.107167449012492











 

แชทหลุด “ส่วย–ของขวัญ–วิ่งเต้นตำแหน่ง” เครือข่ายลับของคุณหญิงกำมะลอที่ทำงานกันเป็นระบบ

https://www.facebook.com/CSILA90210/posts/pfbid02kWRQFpMhtFunw8f4qfhtac2mxqmhEmnb7jZ2QuLrQvif3HqPj45XE6vYfrV2iDQBl

CSI LA 
November 18
·
แชทหลุด “ส่วย–ของขวัญ–วิ่งเต้นตำแหน่ง” เครือข่ายลับของคุณหญิงกำมะลอที่ทำงานกันเป็นระบบ
มีแชทหลุดหลายชุดที่ถูกส่งต่อกันในวงราชการ
ลักษณะคล้ายกันหมด เงินสดเป็นก้อน, กล่องของขวัญราคาแพง,และบทสนทนาเรื่อง “ตำแหน่ง–อาวุโส–ความเหมาะสม” ของข้าราชการระดับสูง
จากภาพแชทชุดนี้ มีจุดที่ต้องตั้งคำถามดังนี้
1) เงินสดเป็นปึก ๆ
มีการระบุยอดชัดเจน
“ของพี่ 10 ล้าน ของกุ้ง 2 ล้าน”
พร้อมภาพเงินสดตั้งเป็นกองบนโต๊ะ
เหมือนเป็น “ค่าดำเนินการ” บางอย่าง
2) กล่องของขวัญ–นาฬิกา–กระเป๋าแบรนด์เนม
ในแชทมีภาพส่งของหรูหลายชิ้น
ทั้งนาฬิกา–กระเป๋าแบรนด์เนม
มาพร้อมข้อความว่า
“ส่งของไปแล้วนะคะ”
3) พูดคุยเรื่องตำแหน่งราชการอย่างเปิดเผย
มีข้อความเรื่อง“อาวุโสน้อยสุดแค่ 5 ปี” “รองผู้กำกับในภาค…อยู่มา 10 กว่าปียังไม่ได้ 33%”
4) ประโยคที่โผล่มาแล้วทำให้ทุกอย่างชัดขึ้น
ในแชทมีประโยคสำคัญว่า:
“พี่เลยขอเช็คกับนายเวรของท่านผู้หญิงก่อนดีกว่า”
นี่คือคำที่บอกชัดว่า
มี “ผู้ใหญ่หญิงระดับสูง” เข้ามาเกี่ยวข้อง
และมี “นายเวร” คอยประสาน
ถ้าไม่ใหญ่จริง ไม่มีนายเวรให้เช็ค
ทั้งหมดนี้คือภาพสะท้อนว่า
ระบบส่วย–วิ่งเต้นตำแหน่ง–ตอบแทนผลประโยชน์
ยังคงทำงานแบบเต็มที่

โอ๋ จุฑาทิพย์ จากไฮโซสายเนียน สู่ “อดีตคุณหญิง” ใน 45 วัน เปิดหมด!“โอ๋ – จุฑาทิพย์”...คุณหญิงนักวิ่ง มีพฤติการณ์ไม่เหมาะสม


เปิดหมด!“โอ๋ – จุฑาทิพย์”...คุณหญิงนักวิ่ง | เจาะลึกทั่วไทย | 20 พ.ย. 68

เจาะลึกทั่วไทย Inside Thailand

Nov 19, 2025

เจาะลึกทั่วไทย Inside Thailand เล่าข่าวเจาะประเด็นโดย ดนัย เอกมหาสวัสดิ์ / อมรรัตน์ มหิทธิรุกข์

https://www.youtube.com/watch?v=6_n5UHK1G_o


https://www.facebook.com/somsakjeam/posts/pfbid026EqQ8o8BhoHWpj2oBxzPzqWS3esHcTXyspGvg4jbdQnAMGM5M8aCZmVpeTNR5yPWl








 

Tom Wright ชี้เป้า รัฐมนตรีคนไหนเซ็น MoU อัปยศ ?







.....





Sarinee Achavanuntakul - สฤณี อาชวานันทกุล
21 hours ago
·
MoU อัปยศ กับคำถามที่ควรจะดังกึกก้องถึงกระทรวงดีอี และประธานกรรมการ ก.ล.ต.

ระหว่างที่รัฐบาลไทย รวมถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่าง ก.ล.ต. และ ปปง. ยังแทบไม่ขยับอะไรเลยเกี่ยวกับ #มหากาพย์นายหน้า ทั้งที่มหกรรมการแฉผ่านมาแล้วกว่าสามเดือน ทอม ไรท์ และ แบรดลีย์ โฮป สองนักข่าวเจาะระดับโลก ก็ยังคงเกาะติดและ “กัดไม่ปล่อย” อย่างน่าชื่นชม

ตามวิสัยนักข่าวที่ดีที่ต้องแกะรอยไปเรื่อยๆ ตามแต่แหล่งข่าวและข้อมูลจะพาพวกเขาไป โดยไม่สนใจหน้าอินทร์หน้าพรหมหรือข้อครหาใดๆ

ผู้เขียนคิดว่า ในความเป็นจริงยิ่งหน่วยงานรัฐไม่แยแสที่จะทำงาน นักข่าวเจาะทีมนี้จะยิ่งได้รับเบาะแสและข้อมูลเชิงลึกมากขึ้น จาก “นักเป่านกหวีด” หรือ whistleblowers ทั้งหลายที่ไม่อยากทนเห็นความผิดปกติและไม่ชอบมาพากลทั้งหลายในองค์กรของตัวเอง

ใน #มหากาพย์นายหน้า ภาคอินเตอร์ตอนล่าสุด วันที่ 18 พฤศจิกายน 2025 สองนักข่าวหัวเห็ดเปิดโปงบันทึกความเข้าใจ (Memorandum of Understanding: MoU) ระหว่างกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (กระทรวงดีอี) กับ Prime Opportunity Fund VCC ซึ่งลงนามเมื่อปีกลาย (2024)

นี่เป็นเรื่องใหญ่มาก เพราะยังไม่ต้องดูเนื้อหาของ MoU ก็ได้ เอาแค่ข้อเท็จจริงที่ว่า กระทรวงดีอี (หรือกระทรวงไหนก็ตาม) ของไทย ยอมลงนามในบันทึกความเข้าใจกับกองทุนนิรนามซึ่งจงใจใช้โครงสร้าง VCC (Variable Capital Company) ของสิงคโปร์ เพื่อปิดบัง “เจ้าของ” ที่แท้จริง (อ่านวิธีใช้โครงสร้างสมัยใหม่นี้ในการ “ซุกหุ้น” ได้ในบทความก่อนหน้านี้ของผู้เขียน) ก็มากพอแล้วที่จะทำให้ MoU ฉบับนี้เป็น “MoU อัปยศ”

เพราะผิดปกติและผิดวิสัยของหน่วยงานรัฐอย่างยิ่ง ที่จะลงนามในเอกสารใดๆ ก็ตาม (แม้จะไม่มีข้อผูกมัดทางกฎหมาย) ซึ่งไม่ปรากฎแม้กระทั่งว่า “ตัวตน” ที่แท้จริงของผู้มาลงนามร่วมมือกับหน่วยงานนั้นๆ คือใคร!

น่าตกใจเข้าไปอีก เมื่อเนื้อหาใน MoU ฉบับนี้ อนุญาตให้ “กองทุนนิรนาม” ทำเรื่องที่ใหญ่มาก นั่นคือ อนุญาตให้เอกชนนิรนามเจ้านั้นมาสร้าง Digital Economy Regulatory Sandbox (“DERS”) และ Thailand International Digital Business & Finance Centre (“TIDC”) ขึ้นมาเป็น “ห้องทดลองผลิตภัณฑ์” และ “คนเฝ้าประตู” (gatekeeper)

เอกชนที่ก่อตั้งและจัดการ DERS สามารถทดลองอะไรก็ได้ใน “sandbox” โดยไม่ต้องกลัวว่าจะผิดกฎหมาย เพราะได้รับการรองรับสนับสนุนอย่างเป็นทางการจากกระทรวงดีอี

ส่วน TIDC ดูจากโครงสร้างแล้วก็สามารถ “เก็บค่าต๋ง” จากใครก็ตามที่อยากทำกิจกรรมและธุรกิจทั้งหลายทั้งปวงภายใต้คำว่า “เศรษฐกิจดิจิทัล” (digital economy)

-- เรื่องใหญ่ขนาดนี้ ถ้ากระทรวงดีอีอยากทำ โดยหลักการจำเป็นจะต้องดำเนินกระบวนการประมูลและคัดกรองอย่างเข้มข้น เฟ้นหา “บริษัทเอกชน” ที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญระดับโลก ที่จะเข้ามาช่วยวางโครงสร้างและทำสิ่งต่างๆ อย่างครอบจักรวาล ตามที่ระบุใน MoU

ไม่ใช่ไปมุบมิบทำ MoU กับกองทุนนิรนาม ใช้โครงสร้าง VCC อำพรางเจ้าของที่แท้จริงแบบนี้!

บางคนอาจคิดในแง่ดีว่า แม้จะดูแย่เพียงใด แต่เอกสารฉบับนี้ก็เป็นเพียง “บันทึกความเข้าใจ” ไม่มีผลทางกฎหมาย ในความเป็นจริงกิจกรรมต่างๆ ที่ระบุใน MoU อาจยังไม่เกิดขึ้นก็เป็นได้

แต่โชคร้ายที่วันนี้ชัดเจนว่าโครงสร้างตาม MoU ได้เกิดขึ้นแล้ว โดยมีการก่อตั้งบริษัท TIDC ขึ้นมาจริงๆ สามแห่ง ระหว่างเดือน พฤษภาคม 2024 และ มกราคม 2025 ได้แก่บริษัท TIDC Worldverse, TIDC Holdings และ TIDC จำกัด โดยใช้โครงสร้างการถือหุ้นซับซ้อน

ผู้ถือหุ้นรายใหญ่ที่สุดของกลุ่มนี้ คือ Prime Opportunity Fund VCC ซึ่งก็คือ “กองทุนนิรนาม” ที่ลงนามใน MoU อับยศ และ รีวิน เพทายบรรลือ

รีวิน คือนักธุรกิจและนักการเงินผู้ก่อตั้งกลุ่มการเงิน PrimeStreet Advisory ซึ่งบริษัทนี้เคยถือหุ้นระยะเริ่มต้น 25% ใน BIC Bank Cambodia ธนาคารกัมพูชาของ ยิม เลียก ตัวละครหลักใน #มหากาพย์นายหน้า และรีวินเองก็เคยดำรงตำแหน่งกรรมการในธนาคารแห่งนี้ ระหว่างปี 2018-2019 ช่วงที่บริษัทของเขาถือหุ้นในธนาคาร

ชื่อของ Capital Asia Investments (CAI) กองทุนสิงคโปร์และนิติบุคคลหลักที่ เบนจามิน เมาเออร์เบอร์เกอร์ ใช้ในการเข้ามาถือหุ้นกิจการต่างๆ ในไทย ไม่ปรากฏเป็นผู้ถือหุ้นของบริษัทใดๆ ในกลุ่ม TIDC แต่น่าสังเกตอย่างยิ่งว่า ทั้งสามบริษัทในกลุ่มนี้ ล้วนมีชื่อ จอร์จ ทาน (George Tan) ซีอีโอของ CAI เป็นกรรมการผู้มีอำนาจลงนามในบริษัท (ดูแผนผังด้านล่าง)

ดังนั้นข้อกล่าวหาในบทความของสองนักข่าวเจาะที่ว่า เบนจามิน เมาเออร์เบอร์เกอร์ อยู่เบื้องหลัง Prime Opportunity Fund VCC จึง “มีน้ำหนัก” อย่างยิ่ง!

เว็บไซต์ TIDC ระบุชัดเจนว่า บริษัทวางเป้าว่าจะเป็น “Accelerator of Thailand’s Digital Economy” และได้รับการสนับสนุนจากระทรวงดีอี และ NT Telecom รัฐวิสาหกิจโทรคมนาคมของรัฐ และในหน้าข่าวบนเว็บเดียวกัน ก็ปรากฏว่า TIDC ประกาศความร่วมมือกับบริษัทเอกชนอื่นๆ ไปแล้วหลายแห่ง อาทิ DTC, LIMIX และ G42 เป็นต้น

ในเมื่อ TIDC องค์ประกอบสำคัญใน MoU ถูกก่อตั้งและดำเนินกิจการแล้ว คำถามใหญ่ที่กระทรวงดีอีต้องตอบคนไทยให้ได้ก็คือ กระทรวงไปลงนามใน MoU อัปยศ กับกองทุนนิรนามเจ้านี้ทำไม? และ กิจกรรมอื่นๆ ที่เนื้อหา MoU ระบุว่ากระทรวงจะร่วมทำ เช่น การก่อตั้ง Digital Economy Regulatory Sandbox (“DERS”) และการอนุญาตให้นำเข้า “IT Specialists” หรือผู้เชี่ยวชาญไอที มากถึง 500 คน ในโครงการนี้ – ถึงวันนี้ได้เกิดขึ้นแล้ว เหมือนอย่างที่ TIDC ถือกำเนิดขึ้นแล้ว หรือไม่ ?

คนที่ต้องตอบคำถามนี้ไม่ได้มีแต่ ประเสริฐ จันทรรวงทอง รัฐมนตรีกระทรวงดีอีในปี 2024 ที่มีการลงนาม MoU เท่านั้น แต่ ศาสตราจารย์พิเศษ วิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ซึ่งดำรงตำแหน่งปลัดกระทรวงดีอีในช่วงเวลาเดียวกัน ก็ต้องตอบคำถามเช่นเดียวกัน

โดยเฉพาะในเมื่อตำแหน่งปัจจุบันของเขาคือ ประธานกรรมการ คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) หน่วยงานหลักที่ยังไม่รายงานความคืบหน้าใดๆ ให้สาธารณชนรับทราบ ถึงการสอบสวน #มหากาพย์นายหน้า ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับตลาดหุ้น และตลาดคริปโตภายใต้การกำกับดูแล
Sarinee Achavanuntakul - สฤณี อาชวานันทกุล

ฉบับโพสลงบล็อก พร้อม URL แหล่งอ้างอิง -- https://fringer.co/mou-de-tidc/

https://www.facebook.com/photo/?fbid=1408300290665654&set=a.213364210159274



สองแม่ค้าบะหมี่ โดน 112 จาก “ป้ายที่ 1 เรียกร้องให้ยกเลิก #มาตรา112 และป้ายที่ 2 ให้ปล่อยตัวผู้ต้องขังการเมือง พร้อมข้อความ “ไปไหนก็เป็นภาระ”


ยูดีดีนิวส์ - UDD news
8 hours ago
·
อัยการสั่งฟ้อง ม.112 “เจ๊จวง – เจ๊เทียม” สองแม่ค้าบะหมี่ กรณีติดป้ายหน้าร้านเรียกร้องยกเลิก 112 – ปล่อยเพื่อนเรา ก่อนศาลอาญาพระโขนงให้ประกันตัว วางหลักประกันคนละ 200,000 บาท จากกองทุนราษฎรประสงค์
.
วันที่ 20 พ.ย. 2568 ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน รายงานว่า เวลา 11.00 น. ที่ศาลอาญาพระโขนง พนักงานอัยการได้สั่งฟ้องคดีของ “เจ๊จวง” (สงวนชื่อสกุล) อายุ 54 ปี และ “เจ๊เทียม” (สงวนชื่อสกุล) อายุ 59 ปี สองแม่ค้าขายบะหมี่-ก๋วยเตี๋ยว ในข้อหา “หมิ่นประมาทกษัตริย์ฯ” ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 เหตุจากการติดป้ายไว้บริเวณหน้าร้าน ซึ่งมีเนื้อหาเกี่ยวกับการยกเลิกมาตรา 112, งบประมาณแผ่นดิน และเรียกร้องให้ “ปล่อยเพื่อนเรา” จำนวน 2 ป้าย เมื่อวันที่ 18 ม.ค. 2566
.
คดีนี้มี ทรงชัย เนียมหอม สมาชิกกลุ่มประชาภักดิ์พิทักษ์สถาบัน (ปภส.) เป็นผู้กล่าวหา โดยทรงชัยอ้างว่า ถ้อยคำภายในแผ่นป้ายดังกล่าวนั้น เป็นถ้อยคำหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ อันเป็นการฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญและมาตรา 112
.
เกี่ยวกับคดีนี้ เมื่อวันที่ 18 มี.ค. 2567 เจ๊จวงและเจ๊เทียม ได้เดินทางไปรับทราบข้อกล่าวหาที่ สน.บางนา พนักงานสอบสวนระบุพฤติการณ์โดยสรุปว่า เมื่อวันที่ 19 ม.ค. 2566 ทรงชัยได้มากล่าวโทษให้ดำเนินคดีกับผู้ต้องหาทั้งสอง ในความผิดตามมาตรา 112 โดยผู้กล่าวโทษพบโพสต์ภาพและข้อความผ่านทางเฟซบุ๊กซึ่งเป็นสาธารณะ ในวันที่ 18 ม.ค. 2566 เวลาประมาณ 18.30 น. เป็นแผ่นป้ายที่ติดแสดงอยู่บริเวณหน้าร้านขายก๋วยเตี๋ยว จำนวน 2 แผ่นป้าย ที่ประชาชนทั่วไปสามารถพบเห็นได้ ซึ่งเห็นว่าถ้อยคำเป็นการหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ อันเป็นการฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญไทยและประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112
.
ทั้งนี้ เฟซบุ๊กที่ผู้กล่าวหาอ้างว่าพบภาพและข้อความนั้น ไม่ได้เป็นของ “เจ๊จวง” และ “เจ๊เทียม” แต่อย่างใด ซึ่งผู้ต้องหาทั้งสองได้ให้การปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา
.
ต่อมาพนักงานสอบสวน ได้ส่งสำนวนคดีให้กับพนักงานอัยการพระโขนงเมื่อวันที่ 21 ส.ค. 2568 และอัยการนัดผู้ต้องหามารายงานตัวและฟังคำสั่งเดือนละหนึ่งครั้ง จนกระทั่งมีคำสั่งฟ้องในเดือนนี้
.
อัยการสั่งฟ้องคดี ม.112 เห็นว่าป้ายที่หน้าร้านก๋วยเตี๋ยว มีประชาชนเดินผ่านไปมาเห็น ข้อความทำให้เสื่อมเสียพระเกียรติ-ถูกดูหมิ่นเกลียดชัง
.
.
ในวันนี้ (20 พ.ย.) ภาสวิชญ์ บัณฑิตทัศนานนท์ พนักงานอัยการ สำนักงานอัยการสูงสุด สำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีอาญาพระโขนง 3 เป็นผู้เรียงฟ้อง ตามข้อกล่าวหาในมาตรา 112 โดยมีใจความสำคัญในคำฟ้องระบุว่า เมื่อวันที่ 18 ม.ค. 2566 จำเลยทั้งสองได้ร่วมกันนำแผ่นป้ายจำนวน 2 ป้าย โดยป้ายที่ 1 ระบุข้อความที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับการยกเลิกมาตรา 112 และป้ายที่ 2 ระบุข้อความเรียกร้องให้ปล่อยตัวผู้ต้องขังการเมือง พร้อมกับมีข้อความว่า “ไปไหนก็เป็นภาระ” มาติดไว้บนตู้กระจกร้านขายก๋วยเตี๋ยวของจำเลยทั้งสอง
.
ข้อความดังกล่าว อัยการกล่าวหาว่า เป็นข้อความที่ทำให้ประชาชนทั่วไปสามารถพบเห็นได้ และทำให้เข้าใจว่าพระมหากษัตริย์ พระราชินี ทรงใช้พระราชอำนาจโดยมิชอบ แสวงหาผลประโยชน์ที่ไม่ควรได้แก่พระองค์เอง และทรงใช้เงินงบประมาณแผ่นดิน อันเป็นภาษีของประชาชนจำนวนมาก ไม่เป็นประโยชน์ต่อประชาชนทั่วไป และทรงเสด็จไปพระราชดำเนินที่ใด ก็เป็นภาระให้ประชาชนได้รับความเดือดร้อน
.
อัยการระบุว่า ที่ตั้งร้านก๋วยเตี๋ยวเป็นสถานที่ซึ่งมีประชาชนเดินผ่านไปมา และพบเห็นข้อความดังกล่าวได้ แล้วนำไปโพสต์ลงในโซเชียลมีเดีย เกิดการกดไลค์ กดแชร์เผยแพร่ต่อสาธารณชน อันเป็นการจงใจ เสียดสี จาบจ้วง ล่วงเกินพระมหากษัตริย์และราชินี ให้เกิดการเสื่อมเสียพระเกียรติยศ เสื่อมเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่นเกลียดชังอย่างร้ายแรง

อัยการยังคัดค้านการประกันตัวจำเลย โดยระบุว่าคดีมีอัตราโทษสูง และเป็นภัยต่อสังคม เกรงจำเลยทั้งสองจะหลบหนี
.
.

ต่อมา เวลา 14.33 น. ศาลอาญาพระโขนงอนุญาตให้ประกันตัวจำเลยในระหว่างพิจารณาคดี โดยให้วางหลักประกันคนละ 200,000 บาท ซึ่งได้รับความช่วยเหลือจากกองทุนราษฎรประสงค์
.
คำสั่งระบุว่า “พิเคราะห์แล้วเห็นว่าคดีมีอัตราโทษสูง พฤติการณ์แห่งคดีเป็นเรื่องร้ายแรง เห็นสมควรให้กำหนดเงินประกันคนละ 200,000 บาท จึงจะอนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราว” ลงนามคำสั่งโดย สาโรจน์ จิตต์ศิริ พร้อมกับศาลกำหนดวันนัดพร้อมและตรวจพยานหลักฐาน ในวันที่ 22 ม.ค. 2569 เวลา 08.30 น.
.
ทั้งนี้ คดีนี้นับว่าเป็นคดีมาตรา 112 คดีที่สองของเจ๊จวงที่ถูกกล่าวหา โดยก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 18 มี.ค. 2568 ศาลอาญากรุงเทพใต้ได้พิพากษาในคดีที่เธอถูกกล่าวหาจากเหตุการปราศรัยในประเด็น ‘ขบวนเสด็จ’ หน้าศาลอาญากรุงเทพใต้ เมื่อวันที่ 20 ก.ค. 2565 โดยพิพากษาลงโทษจำคุก 2 ปี และให้รอลงอาญาไว้ 2 ปี
.
.
ขอบคุณข้อมูล : ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษย์ชน

https://www.facebook.com/photo/?fbid=1467897548037238&set=a.523881972438805




เช็คบิลนักกิจกรรม หลังการชุมนุมจบไปแล้วกว่า 2 ปี “ไม่เสียใจที่เคยออกมาชุมนุม” พรีม–ฉัตรรพี เมื่อ ม.112 ไม่อาจปิดปากหรือทำให้หมดหวัง



“ไม่เสียใจที่เคยออกมาชุมนุม” พรีม–ฉัตรรพี เมื่อ ม.112 ไม่อาจปิดปากหรือทำให้หมดหวัง

20/11/2025
iLaw

“กระด้างกระเดื่อง” คำวิเศษณ์ที่พจนานุกรมบัณฑิตยสถานแปลว่า ไม่อ่อนน้อม เอาใจออกหากไม่ยอมอ่อนน้อมอย่างเคยกลายเป็นคำที่อัยการสั่งฟ้องคดีตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 และมาตรา 116 ของพรีม-ฉัตรรพี อาจสมบูรณ์ จากการชุมนุมหน้าสถานทูตเยอรมนีเมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน 2564 โดยกล่าวหาว่าเธอและนักกิจกรรมอีกสองคนอ่านแถลงการณ์ที่ชักชวนให้ประชาชนออกมาต่อต้าน ชี้นำให้ประชาชนเข้าใจผิดว่าถูกลิดรอนอำนาจโดยพระมหากษัตริย์ เป็นการยั่วยุให้เกิดความปั่นป่วนหรือกระด้างกระเดื่อง

พรีมยืนยันว่า ในวันดังกล่าวเธอเป็นแค่ผู้เข้าร่วมชุมนุมทางการเมืองที่ใช้สิทธิของตนตามระบอบประชาธิปไตย และการกระทำของเธอและนักกิจกรรมคนอื่นๆ ในวันนั้น ไม่ได้หมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์และไม่อาจสร้างความปั่นป่วนหรือถึงขั้นสร้างความกระด้างกระเดื่องได้
 
เช็คบิลนักกิจกรรม หลังการชุมนุมจบไปแล้วกว่า 2 ปี

ปัจจุบันพรีมทำงานเป็นพนักงานในบริษัทเอกชน ในช่วงเกิดเหตุในคดีเธอเป็นนักศึกษาอยู่ประมาณชั้นปีที่ 3-4 ของมหาวิทยาลัยมหิดลและเข้าร่วมกิจกรรมทางการเมืองกับกลุ่มภาคีนักศึกษาศาลายา ในวันชุมนุมไม่ได้เป็นผู้จัดการชุมนุมหรือเป็นแกนนำแต่อย่างใด เป็นเพียงผู้เข้าร่วมชุมนุมคนหนึ่งเท่านั้น





“จริงๆ วันนั้นเราไม่ได้ขึ้นปราศรัย เราเป็นผู้ร่วมชุมนุมคนหนึ่ง ซึ่งการชุมนุมนี้ เป็นผลมาจากคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ที่วินิจฉัยว่าการปราศรัยในการชุมนุม #ม็อบ10สิงหา ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต ว่า เป็นการล้มล้างการปกครองตอนแรกเราไปร่วมม็อบที่หน้าหอศิลป์ (แยกปทุมวัน) ก่อนเขาจะประกาศให้เดินเท้าไป แล้วตอนนั้นมีเหตุวุ่นวายมาก เราเข้าใจว่ามีคนถูกยิงด้วยกระสุนยาง หรืออะไรเราก็ไม่แน่ใจเลย เพราะตอนอยู่ในม็อบมันก็เช็คเหตุการณ์อะไรไม่ได้ และก็เดินไปถึงสถานทูตเยอรมนี ซึ่งตอนนั้นเขาต้องการคนเข้าไปยื่นหนังสือต่อเจ้าหน้าที่สถานทูตถึงเหตุการณ์ที่มีผู้ชุมนุม 3 คนถูกยิงหน้าโรงพยาบาลตำรวจ เราก็เข้าไปพูดให้ถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แล้วพอออกมาเราก็ไม่ได้ปราศรัย แต่เป็นการเล่าว่าเข้าไปพูดอะไร และมีคนบอกให้พูดเป็นภาษาอังกฤษด้วย เพราะมีสื่อต่างชาติที่อยู่ตรงนั้นด้วย”





พรีมยังคงยืนยันว่า สิ่งที่เธอทำในวันนั้นไม่ได้สร้างความกระด้างกระเดื่องให้กับประชาชน หรือเป็นการชักชวนประชาชนให้ออกมาต่อต้าน หรือเข้าใจพระมหากษัตริย์ในทางที่ผิด ทั้งมองว่าเธอเพียงแค่ใช้สิทธิในการเป็นผู้เข้าร่วมชุมนุมเท่านั้น เธอระบุว่า คดีนี้มีความผิดปกติในระยะเวลาการดำเนินคดีและสั่งฟ้อง เพราะการชุมนุมนี้เกิดขึ้นในปี 2564 แต่เธอ และนักกิจกรรมอีก 2 คนคือ บอย-ธัชพงศ์ แกดำและแอมป์-ณวรรษ เลี้ยงวัฒนา ได้รับหมายเรียกให้มาพบกับพนักงานสอบสวนในเดือนกุมภาพันธ์ 2567 หรือ 2 ปี 3 เดือนหลังการชุมนุม

“จริงๆ ในวันนั้น เราก็ไม่คิดว่าเราจะโดนคดี เพราะเราคิดว่าเราไปชุมนุม แต่ก็คิดว่าอาจจะมีความเสี่ยง ถึงอย่างนั้นเราไปชี้แจงต่อสถานทูตเยอรมนี ซึ่งเป็นสถานที่ปิด และเราไม่ได้เข้าไปบุกรุก หรือทำร้าย ก็เลยคิดว่าไม่ได้ทำอะไรที่ผิดกฎหมาย แต่พอผ่านไป 3 ปี กลับโดนคดีขึ้นมา ซึ่งตอนที่ทิ้งช่วงไป เราก็คิดว่าเราจะไม่โดนอะไรแล้ว”



เมื่อถามความรู้สึกของเธอ ในวันที่รับรู้ว่าตัวเองถูกฟ้อง เธอบอกว่า มากกว่าความตกใจนั่นคือความหงุดหงิด

“เราหงุดหงิดที่เหตุการณ์มันผ่านมาเกือบ 3 ปีแล้ว เรียกได้ว่าผ่านมาจนเราไม่สามารถจำเหตุการณ์ในวันนั้นได้แน่ชัดว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง เราต้องไปเปิดแมปดูชื่อถนน เส้นทางเดินผ่าน เพราะเราจำไม่ได้แล้วจริงๆ ทั้งตอนที่เราโดนสั่งฟ้อง คือช่วงรัฐบาลเพื่อไทย ก็ทำให้เรารู้สึกว่าเปลี่ยนรัฐบาลแล้ว ก็ยังโดนได้ แปลว่าไม่ว่ารัฐบาลไหน หากยังมีกฎหมายนี้ก็คงไม่ปลอดภัย”

วันที่ 21 พฤศจิกายน 2568 ศาลอาญากรุงเทพใต้นัดฟังคำพิพากษา ซึ่งพรีมเองก็ได้เตรียมตัวในกรณีที่คำตัดสินอาจจะออกมาในทางที่เลวร้ายที่สุดไว้แล้ว

“มันก็เป็นไปได้ใน 3 ทางคือ ยกฟ้อง รอลงอาญา หรือเราโดนตัดสินว่าผิด เข้าเรือนจำเลย เราก็เตรียมตัวไว้หมดแล้ว ว่าถ้ากรณีเลวร้ายที่ต้องถูกขัง จะมีใครจัดการทรัพย์สินเรายังไง ถ้าเราไม่ได้กลับหอ ใครจะดูแลแมวเรา ทั้งจะสิ้นเดือนแล้ว ถ้าเงินเดือนออก จะต้องจ่ายหนี้ใครจะจัดการ หรือเราก็คุยกับที่ทำงานด้วยว่ากรณีที่หากเราไม่สามารถมาทำงานในวันจันทร์ได้จะทำอย่างไร ก็เรียกว่าเตรียมไว้หมดแล้ว

จริงๆ เราอาจจะโชคดีที่ครอบครัวเราเข้าใจเราในเรื่องนี้ ที่บ้านเราก็สนใจการเมือง เลยเข้าใจว่าทำไมเราถึงถูกคดีนี้ รวมไปถึงที่ทำงานเราเองก็เข้าใจเราเช่นกัน เราโชคดีในส่วนนี้ แต่ถามว่ากลัวไหม เราไม่ได้กลัวคำตัดสิน แต่มันก็มีความกลัวในแง่ที่ว่าเรารู้ว่าสภาพในเรือนจำ แตกต่างจากความเป็นอยู่ของเรา ถ้าป่วย หรือมีเหตุสุขลักษณะอะไรขึ้นมา เราจะไม่ได้รับการดูแลข้างนอก และอาจจะป่วยยาว”

ปัญหาของมาตรา 112 การให้ใครร้องทุกข์ก็ได้ เครื่องมือทำลายผู้เห็นต่าง



มาตรา 112 เป็นกฎหมายที่โทษร้ายแรง พรีมเองก็ถูกคดีทางการเมืองในวัยหลังเรียนจบไม่นาน และอยู่ในช่วงสร้างเนื้อสร้างตัว แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ไม่เคยมอง หรือตั้งคำถามว่า ทำไมสิ่งนี้ต้องเกิดขึ้นกับตัวเอง “เราก็ไม่เคยเสียใจที่ออกไปชุมนุม เพราะคิดว่าสิ่งนี้มันเกิดขึ้นกับใครก็ได้ ในประเทศนี้ ถ้ายังมีกฎหมายแบบนี้อยู่”

“คือเราคิดว่ามันมีโอกาสที่เป็นไปได้ ที่กฎหมายนี้จะยังอยู่ เพราะในหลายประเทศที่มีสถาบันกษัตริย์ก็มีกฎหมายคล้ายๆ กันแต่ส่วนที่มันเป็นปัญหาของไทย ของ ม.112 คือมันเปิดโอกาสให้คนที่ไม่ประสงค์ดี หรืออาจจะประสงค์ดีในทางที่มันก่อปัญหา ไประรานคนอื่นใช้มาเป็นอาวุธในการที่จะโจมตีฝั่งตรงข้ามของเขา หรือว่าคนที่เขาคิดว่าเป็นฝั่งตรงข้าม

คือคดีของเรามันถูกแจ้งความโดยคุณอานนท์ กลิ่นแก้ว (แกนนำศปปส.) ซึ่งในการพิจารณาคดี เราจำไม่ได้ว่าฝั่งทนาย หรืออัยการ ได้สอบถามคุณอานนท์ว่า เขาได้แจ้งความนักกิจกรรมมาเกิน 100 กว่าคดีแล้วใช่ไหม แล้วเขาตอบว่า เขาจำตัวเลขไม่ได้ว่าแจ้งความไปปกี่คดีแล้ว พอเราได้ยินเราก็ยิ่งรู้สึกว่าอันนี้มันเกินไปไหมนะ ถ้ามันเป็นตัวเลขที่เยอะขนาดที่เขายังจำไม่ได้ แปลว่าเขาก็แจ้งความไปเรื่อย ๆ ระรานไปจนกระทั่งเขาเองยังไม่รู้ว่ามันมากหรือน้อยแค่ไหนแล้ว” ซึ่งเธอมองว่า หากถูกนำมาใช้ในลักษณะดังกล่าวมาตรา 112 ก็ถือเป็นเครื่องมือในการทำลายผู้อื่นได้เช่นกัน

สำหรับสิ่งที่กระทบชีวิตของเธอจากการต้องสู้คดีนี้ พรีมเล่าว่า “ใน 1 ปี เรามีวันลา 12วัน แต่เราต้องใช้ไปกับการขึ้นศาลหมดเลย สิทธิที่จะพักผ่อนของเราหายไปเลย ทั้งคดีนี้เป็นคดีอาญา เราโดนยึดพาสปอร์ต เราไม่สามารถไปต่างประเทศได้เลย ซึ่งเราอาจจะต้นทุนดีกว่าหลายๆ คน ไม่ได้มีอะไรต้องสูญเสียมาก ทั้งเราไม่ได้เป็นคนที่วางแผนชีวิตยาว หรือมีเป้าหมายแต่มันก็กระทบกับชีวิต…สิทธิขั้นพื้นฐานที่เราควรจะได้รับเหมือนกัน”



นอกจากปัญหานี้แล้ว อีกประเด็นหนึ่งของคดีทางการเมืองคือการที่จำเลยไม่ได้รับสิทธิการประกันตัวแม้คดียังไม่ถึงที่สุด หรือต้องเผชิญกับโทษหนักเช่น จำเลยร่วมในคดีนี้อย่างแอมป์ที่อยู่ระหว่างการรับโทษในคดีมาตรา 112 จากการปราศรัยเมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2564

“ได้เจอพี่บอยกับแอมป์ทุกครั้ง เราก็มีพูดกับแอมป์ เวลาเจอกันที่ศาลก็ได้ทักทาย ถามไถ่กันตลอด และเราก็เจอแม่ของแอมป์ทุกครั้ง เราอยากทักทาย อยากให้กำลังใจเขา เรารู้สึกใจหายมากนะที่มีนักกิจกรรมอีกมากที่โดนคดีในตอนนี้และไม่ได้รับการประกันตัว และมันดูเหมือนมากขึ้นเรื่อย ๆ”

พรีมเติบโตในต่างประเทศและมีศักยภาพในการประกอบอาชีพที่ต่างประเทศ แต่เธอยืนยันว่า ไม่ลี้ภัยทางการเมือง เธอรักประเทศไทย และย้ำว่าตัดสินใจอยู่สู้คดีเพราะที่นี่มีคนที่เธอรักอยู่ ทั้งยังมีภาพความหวังว่าจะเห็นประเทศไทยที่คนไม่โดนละเมิดสิทธิ และสามารถมีปากเสียงเรียกร้องถึงเรื่องต่างๆ ได้

“เรายืนยันว่ามันจะเป็นภาพที่เราอยู่โดยมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข แล้วเรา [ประชาชน] ก็ยังสามารถแสดงออกถึงสิทธิของเราได้ว่าเรามีปัญหากับกฎหมาย หรือมีปัญหากับระบบแบบไหน เพราะว่ามันก็เป็นสิทธิ เพราะว่าเป็นหน้าที่พลเมืองด้วยซ้ำที่จะต้องคอยเช็คว่าสิทธิของตัวเองโดนละเมิดรึเปล่า ไม่ว่าจะเป็นการกระทำจากฝ่ายไหนของรัฐบาล หรือเป็นการกระทำของกลไกไหนก็ตามในประเทศ ซึ่งเราคิดว่ามันค่อนข้างสำคัญที่ประชาชนมีสิทธิที่จะเรียกร้องว่าเราไม่พอใจกับระบบตรงไหน”

เดินหน้าสู่วันพิพากษา ขออย่าหยุดพูดถึงเพื่อนเรือนจำ

จากช่วงที่การชุมนุมเฟื่องฟูมาสู่การกระแสการเรียกร้อง พูดคุยทางการเมืองที่อาจจะลดน้อยลง ความหวังของการนิรโทษกรรมที่จะรวมมาตรา 112 ที่ดูจะเป็นเส้นทางที่ยากลำบาก และถูกกระแสต่อต้านไม่น้อย พรีม ในฐานะผู้ที่ถูกฟ้องด้วยกฎหมายมาตรานี้มองว่า เธอไม่ได้อยากได้แสงหรือต้องการให้ใครมาช่วย แต่ก็คิดว่าอยากให้สังคมยังพูดถึงนักกิจกรรมที่อยู่ในเรือนจำและติดตามประเด็นนี้ต่อไป

“เราก็ไม่ได้อยากให้ใครมาช่วยเรา หรือมาสนใจที่ตัวเราขนาดนั้น เราเข้าใจว่าในสภาอาจจะมีหลายเรื่องที่ถูกมองว่าเร่งด่วนกว่า จำเป็นกว่า ไม่ว่าจะเรื่องชายแดนหรือปากท้อง ที่หลายคนอาจจะมองว่าไม่ได้เร่งเท่าเรื่องนี้ แต่เราอยากให้คนสนใจเรื่องของกลไกและผลลัพธ์ที่จะออกมาจากกลไกเช่นนั้นที่ยังมีคนถูกคุมขังไว้อยู่….ส่วนการผลักดัน ร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ถ้าสมมติว่ามีการประชาสัมพันธ์ว่ากำลังมีการผลักดันเรื่องนี้ มันก็พอจะปลุกกระแสขึ้นมาได้ ซึ่งพรีมคิดว่ามันก็เป็นโอกาสของแต่ละประเด็นไปว่าช่วงไหนใครจะสนใจเรื่องไหน แต่เราก็ไม่อยากให้คนหยุดพูดเรื่องคนในเรือนจำ”

เธอทิ้งท้ายว่า “[คดีม.112]มันไม่ได้ทำให้เราหมดกำลังใจ คือในอนาคตอันนี้ก็พูดไม่ได้เหมือนกันว่า คดีของเราจะไปสิ้นสุดตรงไหน แล้วเราจะไม่มีสิทธิในการเข้าถึงแบบคนทั่วไปขนาดไหน แต่ถ้าเราโดนเข้าเรือนจำขึ้นมา ถ้าได้ออกมาเราก็คงออกมาพูดเรื่องสุขลักษณะคุณภาพชีวิตในเรือนจำ เราก็คงเป็นกระบอกเสียงเรื่องนี้ และมันก็ไม่สามารถทำให้เราหยุดพูดเรื่องการเมืองในเรื่อง 112 คดีที่เราโดนด้วย เราไม่คิดว่ามันเป็นการปิดปากเราได้แน่นอน”

https://www.ilaw.or.th/articles/55963


การปิดปากนักข่าว เรื่องดำมืดของรัฐราชการ ที่ทำร้ายสื่อน้ำดีที่กล้าหาญ


Hathairat Phaholtap
4 hours ago
·
“การปิดปากนักข่าวเริ่มจากออฟไลน์เป็นออนไลน์และคนที่ปิดปากนักข่าวก็คือรัฐ”

English below

เมื่อ 7 ปีที่แล้ว ตอนที่ฉันยังทำงานเป็นนักข่าวสืบสวนสอบสวนอยู่ไทยพีบีเอส ประเด็นที่ฉันสนใจมาก คือ เรื่องสิทธิมนุษยชน ปกติแล้วการอยู่กับความเสี่ยงถือว่า ปกติเพราะเราฝึกอบรมว่า จะทำงานเสี่ยง แต่ฉันไม่คิดว่า การเดินเข้าสถานที่ราชการจะทำฉันเจอความเสี่ยงถึงขั้นทำให้ตัดสินใจออกจากเพื่อรักษาอาการเครียดและนอนไม่หลับ

เรื่องมีอยู่ว่า เมื่อปี 2562 ฉันไปทำข่าว 3 จังหวัดชายภาคใต้ไปติดตามเรื่องการอุ้มหาย ซึ่งฉันมีข้อมูลว่า ตั้งแต่เกิดเหตุความรุนแรงตั้งแต่ปี 2547 มีคนถูกอุ้มหายไปเกือบ 60 คน

ส่วนใหญ่เกิดจากการกระทำของรัฐ ฉันจึงติดตามคดีที่ จ.นราธิวาสและไปสัมภาษณ์นายอำเภอ ตอนแรกเขาจะให้สัมภาษณ์ แต่พอไปถึงเขาก็บอกให้ทีมงานของฉันออกไปก่อน

แล้วฉันก็ถูกนั่งล้อมโดยเจ้าหน้าที่ของเขาที่เป็นผู้ชาย 6 คนจากนั้นก็ตำหนิการทำงานของ Thaipbs ว่าฝักใฝ่โจรใต้และกล่าวหาว่า ฉันเองก็เช่นกัน

แล้วเขาก็พูดว่า “ถ้าฉันยังตามเรื่องนี้อยู่ฉันจะเป็นต่อไปที่หายไป” ตอนนั้นฉันมีอาการจะอ้วกและอยากหายไปจากโลก

ฉันเลยขอตัวกลับและบอกทีมงานให้ออกจากพื้นที่ พอถึงโรงแรมฉันก็นอนไม่หลับ และต่อมาก็รู้ว่า เป็นอาการกึ่ง PTSD จึงได้พบจิตแพทย์และเข้ารับการบำบัด

ฉันรักษาอาการเหล่านั้นอยู่นานแต่ก็ไม่หายจนตัดสินใจลาออกจากงานที่รักเพื่อพักร่างกายและจิตใจด้วยการว่ายน้ำมันละ 3 ครั้ง ทำอย่างนี้ประมาณ 2 เดือน กระทั่งดีขึ้นจึงหางานใหม่

ต่อมาฉันย้ายมาเป็น บก.ที่ The Isaan Record ปี 2564 ฉันก็เจอสถานที่เข้มข้นมากกว่า เริ่มจากถูกกล่าวหาเป็นสำนักข่าวล้มเจ้า นั่นทำให้ฉันถูกโจมตีทางออนไลน์โดยปฏิบัติการณ์ของทางทหาร ทั้งโจมตีทางช่องส่วนตัวและช่องทางขององค์กร แถมยังถูกพิธีกรฝ่ายขวาชื่อดังกล่าวหาและโจมตี กระทั่งเปิดเผยบ้านเลขที่ที่เป็นบ้านพ่อแม่ด้วย

ตอนนั้นฉันปิดมือถือและลบโซเชียลมีเดียทุกอันทิ้งหมด เพราะฉันไม่อยากเห็น มันเครียดเกินไป แล้วฉันก็ตัดสินใจไปหาจิตแพทย์

แต่ในปีเดียวกันฉันก็ถูกข่มขู่จากผู้ช่วย ผบ.ตร.ที่ตอนนี้เขาเกษียณแล้ว แต่ตอนนั้นเขามีอำนาจมากและดูแลตำรวจสันติบาลและกำลังพลจำนวนมาก

เขาข่มขู่ฉันว่า “ถ้าคุณไม่หยุดรายงานข่าวเกี่ยวกับมาตรา 112 ก็เป็นศัตรูกันและเขาจะทำลายฉันทุกวิถีทางไม่ให้ฉันมีที่ยืนในสังคม และสามีคุณจะถูกเตะออกประเทศภายใน 2 สัปดาห์“

ตอนนั้นฉันมีอาการเหมือนจะเป็นลมและจะอ้วก และที่เสียใจ คือ ฉันไม่ได้บันทึกเสียง จึงทำไม่ให้ฉันมีหลักฐานร้องเรียนเขาและที่แน่ ๆ มันทำให้ฉันผวาว่า ”ฉันจะถูกอุ้มเมื่อไหร่“

นั่นทำให้ฉันติดกล้องวงจรปิด ทั้งที่บ้านและที่ออฟฟิส แล้วสั่งน้อง ๆ ไม่ให้ออกไปไหนคนเดียว เพราะประเมินสถานการณ์ไม่ถูก

ประสบการณ์ของฉันการถูกข่มขู่ออฟไลน์จึงน่ากลัวกว่าออนไลน์หลายเท่านัก โดยเฉพาะจากเจ้าหน้าที่ของรัฐ ดังนั้นฉันจึงเขียนหนังสือประจานพวกเขาชื่อว่า “กว่าจะเป็นนักข่าวในลิสต์ไอโอ” ที่ตอนนี้เผยแพร่เป็นภาษาไทยแล้วคาดว่า ภาษาอังกฤษน่าจะวางขายได้ปีหน้า

เมื่อฉันต้องเผชิญกับผลกระทบจากการขู่คุกคามและการข่มขู่เหล่านั้น เมื่อฉันมองเห็นภาพรวมของความพยายามที่จะปิดปากนักข่าวหญิงคนหนึ่งอย่างฉัน ฉันก็สามารถสร้างเครือข่ายการสนับสนุนขึ้นมาได้ และได้รับกำลังใจจากผู้คนให้เดินหน้าทำงานต่อไป

ฉันเป็นนักข่าว และฉันจะยังคงเป็นนักข่าวต่อไป เพราะนี่คือหนึ่งในงานที่สำคัญที่สุดที่สังคมใด ๆ ก็ต้องการ ฉันหวาดกลัว แต่ฉันจะไม่ยอมจำนน ฉันจะไม่ยอมให้ถูกทำให้เงียบเสียง

"Silencing a journalist begins offline before it goes online"

Seven years ago, when I was working as an investigative journalist at Thai PBS, I focused on human rights.

Living with risk at the time was considered normal; we were trained to work under dangerous conditions. But I never imagined that simply walking into a government office could expose me to a level of danger that would lead me to resign in order to recover from stress and insomnia.

In 2018, I went to the Deep South of Thailand to investigate enforced disappearances. I had information that since the violence that erupted in 2004, nearly 60 people had disappeared — most of them at the hands of the state.

I followed several cases in Narathiwat province and went to interview the district chief. When my team arrived, we were brought into a room. And then, to my shock, the district chief ordered my team to leave. I was suddenly alone. Six of his male officers sat closely surrounding me. The chief started criticizing Thai PBS, accusing the outlet of siding with the insurgents. He went so far as to even accuse me personally. Then he said that if I continued to report on these cases, I would be “the next person to disappear.”

At that moment, I felt nauseous. I wanted to leave. I excused myself and told my team that we had to leave the area immediately. Once I reached the hotel, I couldn’t sleep. Later, I was to learn that I was experiencing symptoms of PTSD. I sought a psychiatrist and entered therapy.

I spent a long time trying to recover, but my symptoms persisted. Eventually, I decided to resign from the job I loved so I could heal both physically and mentally. I swam three times a day for two months until I began to feel better — only then did I look for a new job.

By 2021, I had become an editor at The Isaan Record, a regional news outlet of Northeast Thailand. At first, I felt freed, ready to cover what I thought to be important news for Northeastern readers.

But as the young generation were brought under pressure and its leaders arrested, the pressure I felt intensified even more than before. The police were monitoring our office. But we still did our job.

In 2022, I was accused of running an anti-monarchy news outlet, which triggered online attacks organized by the military — targeting both my personal accounts and the outlet’s pages. A well-known right-wing TV host also attacked me, even revealing the address of my parents’ house.

I turned off my phone and deleted all my social media accounts because the stress was becoming overwhelming. And once again, I went to see a psychiatrist.

That same year, I reached out to my Special Branch “handler” to see if my husband and I could travel out of the country and be guaranteed we could return. It led to a meeting with the deputy chief of national police over dinner in Bangkok.

He was a highly powerful figure who oversaw the Special Branch Police and other security-related units. After a few hours of exchanging pleasantries, the deputy chief got to the point.

He warned me that if I did not stop reporting on Article 112, I would be considered an enemy from that moment forward, and he vowed to destroy me by every means possible, leaving me no place in society. He also said my husband would be kicked out of the country within two weeks.

I felt faint and nauseous. What upset me most was that I had not recorded the conversation, leaving me without strong evidence to file a complaint.

And the fear has stayed with me — fear that I could be abducted at any time. I installed CCTV cameras both at home and at the office, and instructed my team never to go anywhere alone because I could no longer assess the risks.

In my experience, offline threats are far more terrifying than online ones — especially when they come from state officials. That is why I wrote a book exposing these abuses, titled, Becoming a Journalist in the Information Operations Watchlist. The Thai edition is now published, and the English version is expected to be released next year.

Sometimes I feel weak and vulnerable. Threats and intimidation DO work. Whether you want to or not, you start to question yourself as a journalist and you lose your confidence as a woman, as a person. My PTSD still crackles through my system. I’m still in therapy.

At the same time, when I face the effects of those threats and intimidation, when I can put into perspective these attempts to silence this woman journalist, I have been able to set up a support network, and I have been encouraged by others to continue my work.

I have been a journalist. I will continue to be a journalist, for I am doing some of the most important work that any society needs. I am afraid but I will not submit. I will not be subdued.

#StopHarassment #Journalists

https://www.facebook.com/photo/?fbid=10164268872769122&set=a.10150316198589122




Deep State ในสายตา ‘ทักษิณ ชินวัตร’



'ทักษิณ' ชี้ไทยเป็น "รัฐซ้อนรัฐ" มองคนรุ่นใหม่ไม่อยากให้สถาบันฯ รับรองรัฐประหาร

Jan 7, 2021
Voice TV

ทักษิณ ชินวัตร ให้สัมภาษณ์กับสื่อ 'ไทยเอ็นไควเออร์' ยอมรับก่อนรัฐประหาร 49 ยังเดียงสาทางการเมือง ไม่รู้ว่าไทยเป็น 'รัฐซ้อนรัฐ' ชี้การลุกขึ้นประท้วงของนักศึกษา คือภาพสะท้อนความต้องการประชาธิปไตย ไม่เอาทหาร และไม่เอาการรับรองรัฐประหารจากสถาบันฯ

ในการให้สัมภาษณ์พิเศษ ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ของเว็บไซต์ไทยเอ็นไควเออร์ เผยแพร่เมื่อวันที่ 6 ม.ค. 2564 ในภาพรวมเป็นการสัมภาษณ์ถึงเส้นทางการเมืองของตัวเอง ในช่วงที่ได้รับเลือกตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี จนกระทั่งถูกรัฐประหารยึดอำนาจทางการเมืองในเดือน ก.ย. 2549 รวมถึงแสดงความเห็นเกี่ยวกับสถานการณ์การเมืองไทยในปัจจุบัน

ทักษิณ กล่าวถึงการเริ่มต้นทำงานของ 'รัฐพันลึก' ในช่วงที่ตนเองเป็นนายกรัฐมนตรี หลังผู้สัมภาษณ์ถามถึงเรื่องการกำหนดทิศทางการบริหารประเทศ ซึ่งโดยปกติแล้วในการเข้ามามีอำนาจมักจะถูกล้อมรอบด้วยพันธมิตรทางการเมือง อย่างเช่น กลุ่มชนชั้นนำ ไปจนถึงนักการเมืองท้องถิ่น แต่ที่ผ่านมาดูเหมือนว่าพันธมิตรทางการเมืองของเขาไม่ได้เป็นไปตามที่คาดหวัง

เขาตอบว่า สำหรับประเทศไทย พันธมิตรที่รายล้อมมักจะเลือกอยู่ข้างคนชนะเสมอ เหมือนสุภาษิตที่ว่า ก่อนหมาจะตายเห็บก็กระโดดหนีก่อน นี่คือสไตล์ของไทย

และประเด็นหนึ่งที่เขาเผยออกมาคือ รัฐไทยเป็นรัฐพันลึก

“เราคือรัฐซ้อนรัฐที่มีบางอย่างอยู่ด้านหลัง เวลาที่คุณแข็งแกร่ง คุณจะไม่มีปัญหากับพันธมิตร พวกเขาจะซื่อสัตย์ตั้งใจทำงาน แต่พอรัฐซ้อนรัฐเริ่มทำงาน นั่นคือเวลาที่คุณต้องระมัดระวัง” ทักษิณ กล่าว

เขาเล่าต่อว่า ก่อนนี้เขาไม่รู้ว่าไทยคือรัฐซ้อนรัฐ เพราะเติบโตที่เชียงใหม่ เข้ามาเรียนในกรุงเทพ จากนั้นก็ไปต่างประเทศ และกลับมาทำธุจกิจ จึงเดียงสาและไม่เข้าใจสภาวะรัฐซ้อนรัฐของไทยมากนัก จนกระทั่งโดนขับไล่ ก็แทบจะไม่เชื่อว่าเรื่องแบบนี้จะเกิดขึ้นได้

อดีตนายกฯ คนที่ 23 ของไทย ระบุว่า กว่าที่เขาจะรู้ว่ารัฐซ้อนรัฐเริ่มทำงานและเริ่มไม่ชอบเขา ก็เป็นช่วงปีสุดท้ายของการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีวาระแรก เนื่องจากเวลานั้นเริ่มมีการประท้วงที่ผิดปกติเกิดขึ้น แต่หลังจากนั้นเขาได้รับการเลือกตั้งกลับมาใหม่โดยมีที่นั่ง ส.ส. ในสภา 377 ที่นั่ง แต่ด้วยเหตุนี้จึงทำให้เขากลายเป็นเหยื่อของความสำเร็จของตัวเอง

ทักษิณมองว่า ข้อครหาที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินนโยบายต่อต้านยาเสพติด ซึ่งถูกวิจารณ์อย่างหนักจากนักการเมือง และกลุ่มนักสิทธิมนุษยชนนั้น ซึ่งเป็นอีกหนึ่งประเด็นที่ถูกหยิบขึ้นมาต่อต้านรัฐบาลของเขา เป็นการพูดเกินจริงของนักการเมืองและผู้สื่อข่าวฝั่งตรงข้าม ที่รวมเอาการสังหารที่กระทำโดยตำรวจภายใต้เขตอำนาจศาล และกรณีการฆาตกรรมที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติดเข้าไว้ด้วยกัน หลังจากการรัฐประหารปีแรกก็ได้มีการตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงเรื่องนี้ แต่คณะกรรมการที่ตั้งขึ้นก็ไม่มีหลักฐานที่ใช้เอาผิดเขาได้

อย่างไรก็ตาม ทักษิณยอมรับว่า เขาควรจะคิดถึงความบกพร่องในการจัดการนโยบายให้ละเอียดกว่านี้ และควรเป็นนโยบายที่เขาควรจะเข้าไปดูแลใกล้ชิดกว่านี้ เพื่อควบคุมพฤติกรรมของตำรวจที่ทุจริต

ส่วนปัญหาความรุนแรงในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ที่ทวีความรุนแรงขึ้นภายใต้การบริหารของรัฐบาลของเขานั้น ทักษิณ ยอมรับว่า เขาควรดำเนินการทางการเมืองมากกว่านโยบายที่ได้ทำไป

อย่างไรก็ตามในช่วงที่ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมตรี เขาเองก็ได้เดินทางไปมาเลเซียเพื่อพบกับกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบ เพื่อหาทางประนีประนอม แต่ก็ไม่เป็นผล

“ภายใต้รัฐบาลของน้องสาวผม คนของเราได้ดำรงตำแหน่งเป็นเลขาธิการของศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนใต้ คือ คุณทวี สอดส่อง ซึ่งนำไปสู่การทำข้อตกลงในหลายด้านซึ่งกำลังเป็นไปด้วยดี แต่บางครั้งทหารบก โดยเฉพาะ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ก็ไม่เห็นด้วยกับการทำข้อตกลงและการพูดคุย”

ทักษิณ มองว่า ถ้าโครงสร้างของกองทัพอยู่ภายใต้รัฐบาลพลเรือนอย่างแท้จริง ทุกสิ่งทุกอย่างจะเป็นไปด้วยดี เขาย้ำว่า ตอนเป็นนายกรัฐมนตรี เขาสามารถทำให้กองทัพอยู่ภายใต้รัฐบาลพลเรือนได้ แต่สุดท้ายรัฐซ้อนรัฐเริ่มทำงานทุกอย่างก็เปลี่ยนแปลงไป

เมื่อผู้สัมภาษณ์ถามว่า เพราะอะไรเขายังเลือกที่จะกลับมาในทางการเมืองอีกครั้งหลังการรัฐประหารปี 2549 ทักษิณตอบว่า จริงๆ แล้วเขาอยากไปให้ไกลจากการเมือง แต่ยังผู้มีอำนาจยังคงรังแกเขาอยู่ ผู้มีอำนาจหวาดกลัวเขา เหมือนเป็นผีดิบทางการเมือง

ทักษิณย้ำด้วยว่า หลังจากที่เขาต้องออกมาใช้ชีวิตอยู่ต่างประเทศหลายปี ก็ทำให้เข้าใจว่า ชีวิตต้องดำเนินต่อไปไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็ตาม เขายึดหลักการที่ว่า ชีวิตต้องมีคุณค่าสำหรับตัวเองและคนอื่น จึงต้องหาอะไรทำในทางสร้างสรรค์ให้มากที่สุด เลยเลือกที่จะลงทุนในเทคโนโลยี และเรียนรู้หลายเรื่องเกี่ยวกับเทคโนโลยี

“เพื่อว่าวันหนึ่งหากประเทศไทยต้องการสมอง และประสบการณ์ของผมอีกครั้งผมก็พร้อมจะแบ่งปัน ถ้าพวกเขาไม่ต้องการ ผมก็ใช้กับตัวเอง แต่ถ้าพวกเขาต้องการเมื่อไหร่ ผมก็พร้อมสนับสนุน ”

ทักษิณ มองถึงการลุกขึ้นต่อสู้ของกลุ่มนักศึกษาในประเทศไทยเวลานี้ ซึ่่งสะท้อนให้เห็นถึง ความพยายามต่อสู้เพื่ออนาคต คนในประเทศไทยตอนนี้พยายามจะคิดถึงอนาคตว่าในประเทศไทยกำลังจะไปทางไหน แต่ก็ยังมองไม่เห็น ทุกอย่างยังเป็นเหมือนเดิม ไม่มียุทธศาสตร์ ไม่มีวิสัยทัศน์สำหรับอนาคต จึงเป็นสาเหตุที่นักศึกษา คนรุ่นใหม่ลุกขึ้นมาประท้วง

“คนรุ่นใหม่ตอนที่เขายังเป็นเด็ก เขาได้ยินพ่อแม่และคนอื่นๆ พูดว่า ฉันจะได้งานใหม่ รถใหม่ บ้านใหม่ เมื่อ 20 ปีที่แล้ว แต่พอมาตอนนี้เขานั่งฟังพ่อแม่พูดอีกครั้งว่า ฉันกำลังจะตกงาน กำลังจะสูญเสียรถ กำลังจะสูญเสียบ้าน คนรุ่นใหม่คิดว่า ก่อนหน้านี้เรามีอนาคตที่สดใส แต่ทำไมตอนนี้อนาคตมันกลับดูมัวหมอง

คนรุ่นใหม่ไม่รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นหลังจากได้รับการศึกษาจากระบบการศึกษาที่มันแย่ พอเรียนจบแล้วจะไปทำอะไร กระบวนทัศน์ในการคิดได้เปลี่ยนไปจากการระบาดครั้งใหญ่นี้ทุกเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก แต่ยุทธศาสตร์ของประเทศไทยคืออะไร ยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปีของรัฐบาลนี้หรือ ยุทธศาสตร์ที่เขามองว่าศักดิ์สิทธิ์นี้หรือ” ทักษิณ กล่าว

ทักษิณ เชื่อว่า การลุกขึ้นมาของนักศึกษา และกลุ่มคนรุ่นใหม่นั้น ไม่เกี่ยวกับการจะได้กลับมาประเทศไทยของเขาหรือไม่ เพราะการลุกขึ้นมาของคนรุ่นใหม่เป็นความพยายามที่จะมองหาอนาคตของตัวเองผ่านระบอบประชาธิปไตย

"พวกเขาอยากเห็นประชาธิปไตยในประเทศไทย แต่ประเทศไม่มีประชาธิปไตยมานานหลายปี เขาไม่อยากให้ทหารเข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องกับการเมืองไทย พวกเขาไม่ต้องการการรับรองการรัฐประหารจากสถาบันกษัตริย์ นั่นคือสิ่งที่ผมมองเห็นได้

"พวกเขายังอายุน้อย แต่มันความตั้งใจที่ดี ผมว่าถ้าเราพูดคุยกันได้ ทุกอย่างมันจะจบลง อย่าไปพยายามคิดว่าคนที่พูดอะไรตรงข้ามกับเราเป็นคนไม่ดี เราต้องนั่งลง ฟังความเห็น แล้วเราจะเห็นมุมมองใหม่ๆ ที่ดี แล้วประเทศก็จะกลับไปเป็นปกติได้อีกครั้ง" ทักษิณ ทิ้งท้าย


Exclusive: Interview with Former Prime Minister Thaksin Shinawatra

Thai Enquirer

Jan 5, 2021

20 years ago today, Thaksin Shinawatra's Thai Rak Thai Party swept into power changing the face of Thai politics forever. We caught up with the former Thai Prime Minister to gather his thoughts and his reflections two decades later.

https://www.youtube.com/watch?v=ynwx699SNgA
https://www.voicetv.co.th/read/ax9zd8oOX




อ.สุรพศ ทวีศักดิ์ ถาม #ผู้เชี่ยวชาญการเมืองไทย คำถามที่ยากมาก "ทำไมรัฐพันลึกถึงมองว่าทักษิณคือ "ศัตรู" ที่ต้องทุบทำลายให้ได้ ตามอ่าน คำตอบได้ ในคอมเมนต์ของโพสต์


สุรพศ ทวีศักดิ์ 
6 hours ago
·
ใครพอจะอธิบายชัดๆ ได้ไหมครับว่าทำไมรัฐพันลึกถึงพยายามจัดการทักษิณและเพื่อไทยซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทั้งๆ ที่ทักษิณและเพื่อไทยไม่แตะ 112 แต่ไหนแต่ไรมา ไม่มีแนวคิดหรือนโยบายใดๆ ไปแตะโครงสร้างอำนาจสถาบันกษัตริย์เลย แค่ #ขายนโยบายเศรษฐกิจ มาตลอดเท่านั้น แนวคิด นโยบาย หรือการกระทำอะไรกันแน่ที่แสดงว่าทักษิณและเพื่อไทยเป็น #ศัตรูตัวสำคัญ ของรัฐพันลึกที่จำเป็นต้องขจัดให้พ้นจากเวทีการเมืองให้ได้
เรียนเชิญ #ผู้เชี่ยวชาญการเมืองไทย กรุณาให้ "ความกระจ่าง" ทีครับว่าทำไมรัฐพันลึกถึงมองว่าทักษิณคือ "ศัตรู" ที่ต้องทุบทำลายให้ได้

อ่านคำตอบได้ที่ลิงก์ข้างล่าง
https://www.facebook.com/suraphotthaweesak/posts/25084619597871376