วันศุกร์, ธันวาคม 12, 2568

ยุบสภาแล้วไง ก็คือเดินหน้าเลือกตั้งใหม่ ใครได้ใครเสีย ใครเพลี่ยงพล้ำ ใครได้เปรียบ ซึ่งจะเป็น “ต้มส้มหม้อใหญ่” หรือไม่สำหรับ ปชน. ไว้ดูกัน

ยุบสภาแล้วไง ก็คือไปสู่เลือกตั้งภายใน ๔๕ ถึง ๖๐ วัน แสดงว่าพรรคภูมิใจไทยพร้อม ซึ่งพรรคประชาชนก็พร้อมอยู่แล้ว ส่วนเพื่อไทยนั้นจะพร้อมหรือไม่เดี๋ยวรู้กัน ประเด็นอยู่ที่การเดินหน้าเลือกตั้งใหม่ ใครได้ใครเสีย ใครเพลี่ยงพล้ำ ใครได้เปรียบ

คงต้องย้อนไปดูที่มาก่อน ว่าเป็นอุบัติการณ์หน้างานหรือมีการเตี๊ยมเตรียมกันมา ถ้าดูจากที่ อนุทิน ชาญวีรกูล นายกฯ สั่งให้จัดเตรียมราชกฤษฎีกายุบสภาเอาไว้ตั้งแต่ตอนบ่ายวันที่ ๑๑ ธันวา ก่อนเข้าประชุมร่วม สส./สว. ละก็ เขาพร้อมมาแล้ว

พร้อมที่จะฉีกเอ็มโอเอที่ทำไว้กับพรรคประชาชน เพราะในการประชุมญัตติแก้ไขรัฐธรรมนูญ มีการตีรวนจาก สว.สายสีน้ำเงินน่าดู (รัชนีกร ทองทิพย์ กับ พิสิษฐ์ อภิวัฒนาพงศ์ ซึ่งเป็นเสียงข้างน้อยในกรรมาธิการฯ ร่วม) ประเด็นหลักอยู่ที่ จะให้คงไว้ซึ่งอำนาจพิเศษ สว.

มาตรา ๒๕๖/๒๘ เกี่ยวกับอำนาจพิเศษที่ว่า การผ่านร่างรัฐธรรมนูญนอกจากใช้เสียงข้างมากเกินครึ่งของสองสภารวมกันแล้ว จะต้องมี สว.จำนวน ๑ ใน ๓ โหวตเห็นด้วย อันเป็นจุดที่เสียงข้างมากใน กมธ. ขอตัดออกแต่เสียงข้างน้อยขอสงวนการแปรญัตติ

จุดนี้เองที่ประชุมเถียงกันจนดึก พอโหวตปรากฏว่าเสียงข้างมากไปเห็นชอบกับสอง สว. คะแนน ๒๙๐ ต่อ ๓๑๐ พรรคประชาชนจึงขอให้นับคะแนนใหม่ด้วยการขานชื่อ กลับกลายเป็นว่าคะแนนชนะมากกว่าเดิม ๓๒๙ ต่อ ๓๐๒ โดยพรรคภูมิใจไทยไปร่วมโหวตให้

จึงชัดเจนว่าพรรคประชาชนโดนรัฐบาลเสี่ยหนูหักหลัง ฉีกเอ็มโอเอเสียแล้ว พรรคส้มพยายามตีกลับด้วยการยื่นญัตติไม่ไว้วางใจ แต่สายไปแล้ว อนุทินไวกว่ากราบบังคมทูลฯ ยุบสภาตัดหน้าไปก่อน (เพราะถ้าฝ่ายค้านเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจไปแล้ว จะยุบสภาไม่ได้)

กูรูการเมืองบางราย อย่าง ผศ.เชษฐา ทรัพย์เย็น จาก ม.นวมินทราธิราช ให้ความเห็นในรายการมุมการเมืองของช่องไทยพีบีเอสว่า พรรคประชาชนโดน “ต้มส้มหม้อใหญ่” และการชิงยุบสภาเป็นแต้มต่อของ ภท.โดย พท.ได้อาณิสงค์ไปด้วย ซึ่งอาจจะแอบไปคุยกันเอาไว้

แต่พรรคประชาชนจะ “พลาดแล้วพลาดอีก” อย่างที่ ชูวิทย์ กมลวิศิษฏ์ ได้ทีกระทืบซ้ำหรือเปล่า ต้องดูว่าจริงๆ แล้ว ปชน.บอบช้ำหรือไม่ แค่ไหน ทีมกรรมการบริหาร ปชน.ยืนเรียงหน้ากระดานแถลงก่อนจะมีราชกิจจาออกมาในวันนี้

คงไม่มีอะไรที่ ปชน.จะตอบได้มากกว่า “เดินหน้าต่อไป” เช่นที่เป็นมาแล้วหลายครั้งโดยตลอด และเพิ่งทำสำเร็จอีกชิ้นหนึ่งตอนดึกเมื่อคืนวันที่ ๑๑ ธันวา ที่ประชุมร่วมรัฐสภาผ่านญัตติการจัดทำคำถามประชามติครั้งที่ ๑ พร้อมกับการเลือกตั้งทั่วไปที่จะมา

ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้า ปชน.ท้าวความย้อนไปถึงการลงนามเอ็มโอเอกับภูมิใจไทยว่า “เราไม่ได้เซ็น MOA เรื่องเชื่อใจทางการเมืองอยู่แล้ว...ข้อผูกมัดจริง ๆ คือสัญญาที่ให้ไว้กับประชาชน ในการเข้าคูหาเลือกตั้งต่อไป”

(https://www.facebook.com/TheReportersTH/posts/2hEdH8A, https://www.facebook.com/ThaiPBS/videos/837438275936999 และ https://www.matichon.co.th/politics/news_5500328)

อ.พวงทอง เชื่อว่า กัมพูชาจะเดินหน้าฟ้อง ICC ตามที่ นางมาลี โซเชียตา โฆษกกระทรวงกลาโหมของกัมพูชา เคยกล่าวไว้ ฝ่ายไทยควรดำเนินการอย่างไร - Google AI คิดยังไง


Phil Saengkrai
20 hours ago
·
ศาลอาญาระหว่างประเทศหรือ ICC มีอำนาจหรือไม่
- กัมพูชาเป็นภาคีธรรมนูญศาล ICC ดังนั้น "การกระทำทุุกอย่าง" ในดินแดนกัมพูชาที่เข้าข่ายเป็นความผิด จึงอยู่ภายใต้อำนาจศาล ICC
ไม่ว่าการกระทำนั้น จะทำโดยคนชาติไหน หรือไม่ว่าการกระทำนั้น จะเริ่มต้นลงมือจากที่ไหน หากไปเกิดผลในดินแดนกัมพูชา ก็อยู่ภายใต้อำนาจศาล
ทำนองเดียวกับกฎหมายอาญาไทยนั่นแหละครับ หากทำผิดนอกราชอาณาจักร แต่ความผิดสำเร็จในราชอาณาจักร ก็อาจรับผิดตามกฎหมายไทยได้

กระบวนการในเบื้องต้นเป็นอย่างไร
- ก่อนไปถึงศาลได้ อัยการ ICC ต้องสั่งฟ้อง
ในชั้นแรก การดำเนินการมีอยู่สองแนวทาง คือ
(1) รัฐบาลกัมพูชาในฐานะรัฐภาคีอาจร้องขอให้อัยการเริ่มกระบวนการสอบสวน (ข้อ 14 ธรรมนูญศาล) หรือ
(2) ประชาชนชาวกัมพูชาอาจส่งข้อมูล/พยานหลักฐานให้อัยการ เพื่อให้อัยการเริ่มกระบวนการสอบสวนเอง (ข้อ 15 ธรรมนูญศาล) ในแง่การเมือง แนวทางนี้มีน้ำหนักน้อยกว่าแนวทางแรก

ลำดับถัดมา สำนักงานอัยการศาลจะกรองข้อมูล รวบรวมพยานหลักฐานจนเพียงพอ และตัดสินใจว่าดำเนินการต่อหรือไม่ เป็นไปตาม ข้อ 15 ธรรมนูญศาล และนโยบายของสำนักงานใน Policy Paper on Case Selction and Prioritisation
ดังนั้น กว่าเรื่องจะไปถึงศาลได้ กินเวลาหลายปี

รัฐบาลกัมพูชาจะดำเนินการจริงหรือไม่
- น่าจะเป็นไปได้ยาก
เพราะกองทัพกัมพูชาและผู้นำกัมพูชาเองก็เข้าข่ายกระทำความผิดเช่นกัน หากรัฐบาลกัมพูชาตัดสินใจเดินหน้าดำเนินการก็เท่ากับขุดหลุมตัวเอง ยังไม่นับปัญหาเรื่องสแกมเมอร์ที่เข้าข่ายเป็นอาชญากรรมต่อมวลมนุษยชาติ

ยกตัวอย่างกรณีกาซ่า ศาลออกหมายจับทั้งกลุ่มฮามาสและผู้นำอิสราเอล

แต่อย่างไรก็ตาม ไทยก็ไม่ควรประมาท หากความสัมพันธ์ไทยกัมพูชาเสียหายลงแบบกอบกู้คืนไม่ได้ ประชาชนหรือแม้แต่ผู้นำกัมพูชาอาจจะเดินหน้าดำเนินการใน ICC ก็ได้

ทั้งนี้ ก่อนหน้ามีการปะทะกันในครั้งนี้ มีรายงานข่าวในเดือนพฤศจิกายนว่า ประชาชนชาวกัมพูชาได้ยื่นเรื่องให้อัยการเพื่อดำเนินการกับทหารและผู้นำทางการเมืองไทยแล้ว

"รัฐบาล" นายสม รังสิทำอะไรได้หรือไม่
- เคยวิเคราะห์ไว้แล้ว

ฝ่ายไทยควรดำเนินการอย่างไร?
- กองทัพและรัฐบาลต้องปฏิบัติตามกฎหมายระหว่างประเทศอย่างเคร่งครัด โดยเฉพาะกฎหมายสงคราม รวมทั้ง รวบรวมพยานหลักฐานของทั้งสองฝ่าย และในทางการทูต ต้องอธิบายให้ได้ว่า ไทยเคารพกฎหมายระหว่างประเทศอย่างไรบ้าง
 
https://www.facebook.com/photo/?fbid=10166175000849989&set=a.143967509988
...

Puangthong Pawakapan 
19 hours ago
·
เราเชื่อว่ากัมพูชาจะเดินหน้าฟ้อง ICC นะ แม้ว่าฮุนเซนจะมีปัญหาเรื่องสแกมเมอร์ แต่ใครจะยื่นฟ้องฮุนเซนเรื่องนี้ล่ะ ประเทศไทยก็ไม่ได้เป็นภาคีของ ICC จึงไม่สามารถใช้ ICC เล่นงานฮุนเซนได้ และเราเชื่อว่ารัฐบาลอนุทินและกองทัพจะไม่กล้าสมัครเป็นภาคีของ ICC ด้วย เพราะกลัวว่าคนในประเทศจะใช้ ICC เพื่อฟ้องร้องคดีปราบเสื้อแดงปี 53 ต่อไป
.....

AI Overview

Will Cambodia file a case with ICC against Thailand in the border conflict ?


Yes, as of December 2025, Cambodia is actively collecting evidence to file a case with the International Criminal Court (ICC) against Thailand for alleged "war crimes" and "ongoing armed aggression" in their border conflict, with officials citing heavy civilian casualties from Thai attacks and seeking international condemnation and accountability for crimes on Cambodian territory. This follows earlier attempts by Cambodia to involve the International Court of Justice (ICJ) for border dispute resolution.
 
Key Details:
  • Cambodia's Stance: Cambodia claims Thailand's forces have used heavy weapons, including fighter jets, causing significant destruction and civilian deaths in Cambodian territory, prompting their move to the ICC.
  • Evidence Collection: Cambodian government officials confirmed they are gathering evidence of Thai attacks for the ICC complaint, focusing on "war crimes" and violations of sovereignty.
  • International Attention: Cambodia requested urgent UN Security Council meetings and condemnation from the international community, accusing Thailand of unlawful acts.
  • Jurisdiction: Experts note Cambodia, as a State Party to the Rome Statute, has grounds for an ICC case, though proving systematicity and intent is challenging.
  • Thailand's Response: Thailand has also sought to involve international bodies, but has previously expressed preference for bilateral resolution and questioned the ICC's jurisdiction over its leaders, according to news reports.



🟡 สงครามไทย-กัมพูชา ชัยชนะที่ไม่มีอยู่จริง? ด้วยขนาดกองทัพและขีดความสามารถทางการทหาร หลายคนเชื่อว่าไทยจะชนะได้ไม่ยาก และเชียร์ให้กองทัพไทยเอาชนะทางการทหารแบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาด แต่ในความเป็นจริง ชัยชนะที่ว่าอาจไม่มีอยู่ เพราะในระยะยาวประเทศไทยยังมีอะไรที่ต้องเสียอีกมาก

https://www.facebook.com/reel/883411270912905

The101.world 
8 hours ago
·
สงครามไทย-กัมพูชา ชัยชนะที่ไม่มีอยู่จริง? | ค.การเมือง EP.93
.
แม้จะยังไม่มีข้อพิสูจน์ได้ชัดเจนว่า ใครเป็นเริ่มเปิดฉากยิงก่อนในสงครามระหว่างไทยและกัมพูชาครั้งล่าสุด แต่ประเด็นที่ยากปฏิเสธคือ การขยายตัวของการสู้รบเป็นผลมาจากความตั้งใจของทั้งสองฝ่าย
.
ด้วยขนาดกองทัพและขีดความสามารถทางการทหาร หลายคนเชื่อว่าไทยจะชนะได้ไม่ยาก และเชียร์ให้กองทัพไทยเอาชนะทางการทหารแบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาด แต่ในความเป็นจริง ชัยชนะที่ว่าอาจไม่มีอยู่ เพราะในระยะยาวประเทศไทยยังมีอะไรที่ต้องเสียอีกมาก
.
#ไทยกัมพูชา #การเมืองไทย #คอการเมือง #The101world #วันโอวัน
.....









Pravit Rojanaphruk 
18 hours ago
·
ข่าวล่าสุดคือปราสาทตาควายเสียหายหนักจากการปะทะไทย-กัมพูชา
ตกลงคุณสู้ไปเพื่ออะไร? เพื่อปราสาทตาควาย? เพราะให้ค่าให้ความสำคัญกับปราสาทตาควาย? แต่ไม่สนใจว่าจะยิงถล่มกันจนปราสาทพังหรือไม่? <<ถ้าอยากได้ปราสาทตาควายมาก แล้วทั้งสองฝ่ายยิงกันแบบนี้ได้อย่างไร? ไม่หรอก พวกคุณทั้งสองชาติมิได้สู้เพื่อปราสาทตาควาย แต่เพื่ออีโก้ชาตินิยมสุดโต่ง ที่เถียงกันไม่จบ เพราะต่างฝ่ายต่างยืนยันว่าปราสาทเป็นของประเทศกูแต่เพียงประเทศเดียวเท่านั้น พวกเขาไม่ได้รักปราสาทหรอก เพราะฝ่ายหนึ่งก็เอาทหารพร้อมอาวุธไปอยู่ในนั้น อีกฝ่ายก็พร้อมยิงใส่ทหารฝ่ายตรงข้าในนั้น... เพื่ออะไร? (คุณๆกับคำพูดประเภท "ถ้ากูไม่ได้ครอบครอง มึงก็จะต้องไท่ได้เช่นกัน" ไหมครับ?)
ปล. คนกรมศิลปฯที่ให้ข่าวว่า "อย่ากังวลไปเลย" กล้าพูดแบบนี้หากเป็นวัดพระแก้ว วัดโพธิ์ หรือปราสาทพนมรุ้งไหม?
#RIP #ปราสาทตาควาย #ไทยกัมพูชา
The latest news is that Ta Kwai Temple (Cambodian called it Ta Krabey Temple) has been severely damaged from the Thai–Cambodian clashes.



บทวิเคราะห์เรียกสติคนไทย​ : กระแสชาตินิยมสุดขั้ว​ #เอาให้มันจบๆไปสักที​ หายนะรออยู่ คำตอบจาก​ ChatGPT​ เมื่อถามว่าถ้ารัฐบาลอนุทินทำตามกระแสชาตินิยมให้บุกกัมพูชายึดพื้นที่ให้จบ จะเกิดอะไรขึ้น


Adisak Limparungpatanakij
Yesterday
·
[#บทวิเคราะห์เรียกสติคนไทย​ : กระแสชาตินิยมสุดขั้ว​ #เอาให้มันจบๆไปสักที​ หายนะรออยู่

คำตอบจาก​ ChatGPT​ เมื่อถามว่าถ้ารัฐบาลอนุทินทำตามกระแสชาตินิยมให้บุกกัมพูชายึดพื้นที่ให้จบจะเกอดอะไรขึ้น

บทวิเคราะห์เชิงสถานการณ์สมมุติ “#สงครามไทยกัมพูชา: ให้มันจบๆ” ที่เน้นวิจารณ์ชาตินิยมสุดโต่งและเตือนภัย ไม่ใช่สนับสนุนให้เกิดความรุนแรงจริง

#สงครามไทยกัมพูชา: เมื่อเสียง “#ให้มันจบๆ” กลายเป็นหายนะ

ในสังคมที่อารมณ์ชาตินิยมพุ่งสูง เสียงเรียกร้องให้รัฐบาล “ทำอะไรสักอย่าง” มักแข็งกร้าวขึ้นเรื่อยๆ จนวันหนึ่งแปรสภาพจากคำเตือนสั้นๆ ว่า “ให้มันจบๆ ไป” กลายเป็นแรงกดดันให้รัฐบาล ลงมือใช้กำลัง เพื่อเอาใจฝูงชน

#สมมุติว่ารัฐบาลทำตามจริง

#จุดเริ่มต้น: #ชัยชนะปลอมของการเมือง

การส่งทหารและอาวุธเข้าใกล้ชายแดน ถูกสื่อบางกลุ่มโปรโมตว่าเป็น “ความกล้า” การตอบสนองต่อเสียงประชาชนทำให้ผู้นำดูเป็น “นักสู้เพื่อชาติ” ทั้งที่ในความเป็นจริง:

คนที่ส่งเสียงดังที่สุดอยู่ในเมืองใหญ่

คนที่จะรับผลจริงคือประชาชนชายแดน

ผู้ได้ผลประโยชน์ทันทีคือรัฐบาล ไม่ใช่ประเทศ

สงครามครั้งนี้ ไม่ได้เริ่มเพราะความจำเป็น แต่เพราะความนิยม

#ระยะปะทุสงครามที่ไม่มีวันชนะ

แม้ไทยจะมีศักยภาพทางทหารเหนือกว่า แต่สงครามระหว่างประเทศไม่เหมือนเกม อาวุธทันสมัยไม่ได้ทำให้สงคราม “จบเร็ว” หากเริ่มปะทะ:

กัมพูชาจะได้รับการสนับสนุนจาก จีน

เวียดนามจะกดดันไทยทางอ้อม

อาเซียนและสหประชาชาติจะประณามไทยในฐานะ “ผู้รุกราน”

สงครามไม่จบในสนามรบ แต่เริ่มต้นบนโต๊ะการทูตและการคว่ำบาตร

#ระยะล้มละลายประเทศไทยแพ้โดยไม่ต้องรบต่อ

การรุกรานประเทศเพื่อนบ้านคือการเปิดประตูสู่วิกฤตเศรษฐกิจทันที:

ความเสียหาย ผลที่เกิดขึ้น

การท่องเที่ยว นักท่องเที่ยวหาย วงการท่องเที่ยวล่ม
การลงทุน ต่างชาติถอนทุน หุ้นตก เงินบาทร่วง
ส่งออก อาเซียนคว่ำบาตร ต้นทุนโลจิสติกส์สูงขึ้น
ชายแดน การค้าพังทั้งสองฝั่ง หมื่นครัวเรือนล้มละลาย

สงครามเริ่มด้วยปืน แต่จบด้วยเงินของประชาชน

#จุดแตกสลาย: ประชาชนหันกลับมาล่า “แพะรับบาป”

ในที่สุด เมื่อราคาน้ำมันพุ่ง ค่าแรงหาย คนตกงาน คนชายแดนบาดเจ็บ–ตาย ความรู้สึกชาตินิยมจะกลับด้านอย่างรวดเร็ว

จาก “ทำไมรัฐบาลไม่ทำให้มันจบ?”
กลายเป็น “ทำไมรัฐบาลต้องทำให้มันพัง?”

> สงครามที่เริ่มจากเสียงโกรธ จะจบลงด้วยเสียงโกรธที่มากกว่าเดิม
และไม่มีใครรับผิดชอบ

#สรุปสงครามที่ไม่มีคนชนะ

สงครามไทย–กัมพูชาในสมมุติฐานนี้ ไม่มีผู้ชนะเลย
มีเพียงกลุ่มเดียวที่ได้ประโยชน์: นักการเมืองที่ต้องการคะแนนนิยมในระยะสั้น

ส่วนผู้แพ้คือ:

คนไทยที่ตกงาน ติดหนี้ เศรษฐกิจพัง

เด็กและครอบครัวชายแดนที่ต้องหนีภัย

อนาคตความร่วมมือในอาเซียน

บทบาทไทยบนเวทีโลก

> ความโกรธอาจทำให้สงครามเริ่ม แต่ไม่มีสงครามไหน “ทำให้มันจบๆ” ได้
 
https://www.facebook.com/photo/?fbid=25927777606825912&set=a.576950262335329



ฟังเสียงชาวบ้านในพื้นที่สีเหลืองที่อยู่ติดกับพื้นที่อพยพใน จ.อุบลราชธานี ที่เธอไม่สามารถนอนเต็มอิ่มได้อีกเลย นับตั้งแต่เหตุการณ์ชายแดนปะทุขึ้นเมื่อเดือน ก.ค. ก่อนที่เหตุการณ์จะมารุนแรงขึ้นอีกครั้งเมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา พร้อมกับความกังวลที่หมู่บ้านไม่มีบังเกอร์หลบภัย

https://www.facebook.com/reel/1153404726949456



วอนผู้นำยุติศึก! ชายชาวกัมพูชาส่งสารถึงรัฐบาลไทย-กัมพูชา ขอให้เจรจาแก้ปัญหาความขัดแย้งชายแดน ย้ำความสูญเสียไม่คุ้มค่า และเรานับถือศาสนาเดียวกัน วอนให้ยุติความรุนแรงโดยเร็ว

https://www.facebook.com/reel/1536039157646490

คมชัดลึก
Yesterday
·
วอนผู้นำยุติศึก! ชายชาวกัมพูชาส่งสารถึงรัฐบาลไทย-กัมพูชา ขอให้เจรจาแก้ปัญหาความขัดแย้งชายแดน ย้ำความสูญเสียไม่คุ้มค่า และเรานับถือศาสนาเดียวกัน วอนให้ยุติความรุนแรงโดยเร็ว
#ไทยกัมพูชา #สงคราม #พี่น้อง #ชายแดนไทยกัมพูชา #คมชัดลึก #คมชัดลึกออนไลน์



#ภูมิใจไทย #อนุทิน ภาระกิจเสร็จสิ้นแล้ว ไม่ต้องรักษาคำพูด ยุบสภาได้แล้ว (โยกย้ายขรก.ก็เรียบร้อยแล้ว อำนาจสว.สีน้ำเงินยังอยู่เต็มเปี่ยม แก้รธน.แท้งแล้ว แถมกระสุนก็เต็มกระเป๋า การเลือกตั้งตอนนี้ ชนะแหง๋ๆ)


บีบีซีไทย - BBC Thai
4 hours ago
·
นายกฯ อนุทินประกาศ “ผมขอคืนอำนาจกลับไปยังพี่น้องประชาชนครับ” หลังที่ประชุมรัฐสภามีมติ 329 ต่อ 302 ไม่เห็นด้วยกับการตัดอำนาจของ สว. 1 ใน 3 ในการให้ความเห็นชอบร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ โดยมี สส. พรรคภูมิใจไทย (ภท.) และ สว. ร่วมโหวตสนับสนุนการคงอำนาจของวุฒิสภาเอาไว้
.
ก่อนการลงมติจะเกิดขึ้น นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชน ประกาศว่าหากให้คงเสียง 1 ใน 3 ของ สว. ต่อไป "ไม่สามารถยอมรับให้ร่างรัฐธรรมนูญนี้เดินไปได้ ผมคงต้องร้องขอให้นายกฯ ยุบสภา"
.
อ่านได้ที่นี่ https://bbc.in/4q76fla







คุณแม่เป็นเหตุ เป็นเผือกร้อนให้ลูกชาย ประชาชนตั้งคำถาม ผิด PDPA หรือไม่ - “ไชยชนก” ออกมาให้สัมภาษณ์ว่า “แม่กรุณา” ไม่ผิด PDPA - ที่จริงแล้วท่านรัฐมนตรีไม่มีหน้าที่มาชิงวินิจฉัยออกสื่อว่าการกระทำของสมาชิกครอบครัวของท่าน ว่าได้ทำผิดกฎหมายหรือไม่.. เพราะนั่นคือหน้าที่ของกระบวนการยุติธรรมที่ต้องวินิจฉัยข้อเท็จจริงในคดีต่อไป

https://www.facebook.com/cnew.official/posts/1387347649417972

ซีนิว วิวเว่อร์ 4K 
Yesterday
·
ทุกคนมาดูนี่เร้ววว อันนี้ต้นสายปลายเหตุคืออะไรไม่ทราบนะคะ แต่ที่งงและทำให้ประชาชนตาดำๆอึ้งคือ เจ๊ต่าย รองประธานสโมสรฟุตบอลชื่อดัง แม่ของคุณไชยชนก ชิดชอบ รมว.ดิจิทัล ไปมีปัญหาอะไรกับชาวเน็ตไม่ทราบ ถึงได้เอาข้อมูลทะเบียนราษฎร์ของประชาชนมาโพสต์แขวนลงเฟซบุ๊กตัวเองได้แบบนี้เลยหรอ?
ทำให้ชาวเน็ตสงสัยและตั้งคำถามกันสนั่น
คุณไปเอาข้อมูลเขามาได้ยังไง?
ใครมีอำนาจไปสืบค้นข้อมูลมาให้?
มีเหตุอะไรเร่งด่วนถึงต้องค้นดูตอน 23:12?
ดูจากลายน้ำคัดทะเบียนแล้ว เป็นตำรวจจาก สภ.นางรอง บุรีรัมย์?
ถ้าหากมีปัญหาอะไรกันควรดำเนินคดีตามกฎหมายไหม? ไม่ใช่เอาข้อมูลเขามาแขวนล่าแม่มดคุกคามเขา
เป็นถึงคุณแม่ของ รมว.ดิจิทัล ทำแบบนี้ก็ได้หรอ?
ด้านความปลอดภัยทางข้อมูลส่วนตัวของประชาชนจะไว้ใจได้หรือไม่? ในเมื่อผู้ที่มีอำนาจอยู่ในมือสามารถนำออกมาเผยแพร่ได้อย่างสบายๆ
ปล. ทางต้นโพสต์ลงแบบไม่ได้เบลอข้อมูลทะเบียนราษฎร์..








กำลังเป็นประเด็นร้อน 
- คุณแม่ของ #ไชนชนกชิดชอบ รมว.ดิจิทัล นำข้อมูลทะเบียนทะเบียนราษฎร์ของคู่กรณีมาเผยแพร่ในโซเชียลมิเดีย 
- ลายน้ำบนเอกสารโยงไปถึง สภ.นางรอง 
- ประชาชนตั้งคำถาม ผิด PDPA หรือไม่
- “ไชยชนก” ออกมาให้สัมภาษณ์ว่า “แม่กรุณา” ไม่ผิด PDPA หลังเอาทะเบียนราษฎร์มาโพสต์เนื่องจากปกป้องตนเอง






 





Payu Nerngchamnong
@payunerng ·8h

Quick Take: หลังจากที่ได้ฟังการให้ข่าวเรื่องนี้แล้ว.. มันแสดงให้เห็นว่าก็เพราะพฤติกรรมและความคิดเห็นแบบนี้หล่ะครับ.. เขาถึงไม่ให้ผู้พิจารณาคดีมีส่วนเกี่ยวข้อง/มีส่วนได้ส่วนเสียกับบุคคลในคดี เพราะมันอาจมีความ bias ได้แทนที่จะว่ากันไปตามเนื้อผ้า..

ที่จริงแล้วท่านรัฐมนตรีไม่มีหน้าที่มาชิงวินิจฉัยออกสื่อว่าการกระทำของสมาชิกครอบครัวของท่าน ว่าได้ทำผิดกฎหมายหรือไม่.. เพราะนั่นคือหน้าที่ของอัยการและผู้พิพากษาตามกระบวนการยุติธรรมที่ต้องวินิจฉัยข้อเท็จจริงในคดีต่อไป

ดังนั้นการที่ท่านรัฐมนตรีออกมาให้สัมภาษณ์เช่นนี้เปรียบเสมือนเป็นการชี้นำหรือ “ตั้งธง” กรณีดังกล่าวแทนศาล.. เพราะสุดท้ายแล้วมุมมองของท่านรัฐมนตรีนั้นอาจถูกมองว่ามีความ “conflict of interest” (ผลประโยชน์ทับซ้อน) แฝงอยู่

ประเด็นที่สังคมมีปัญหาอยู่ในตอนนี้ ไม่ใช่แค่การได้มาของทะเบียนราษฎรครับ.. แต่มันคือการนำเอาข้อมูลส่วนตัวดังกล่าวมาแชร์กับสาธารณะโดยที่ไม่ได้รับอนุญาตซึ่งเป็นการละเมิดสิทธิส่วนบุคคลของผู้ถูกเปิดเผย

ก็ไม่แน่ใจว่าท่านรัฐมนตรีหลงประเด็น.. หรือพยายามเบี่ยงเบนประเด็นหลักของการกระทำผิดให้จากหนักกลายเป็นเบากันแน่ แต่ท่านควรถอนตัวออกจากการเข้ามายุ่งเกี่ยวในคดีดังกล่าวและทำหน้าที่ในฐานะสมาชิกครอบครัวของบุคคลในคดีเท่านั้นพอ

สุดท้ายนี้.. แกนหลักของเรื่องนี้ไม่ได้เกี่ยวกับ “ความแข็งแกร่ง” ซึ่งไม่ใช่สิ่งที่สังคมสนใจหรือโต้เถียงกัน และไม่ควรสร้างค่านิยมที่ผิดๆให้กับสังคม หากจะยืนหยัดปกป้องตนเองและต่อสู้ผู้ที่กล่าวหามารดาท่านอย่างผิดๆ ก็ควรต้องทำอยู่บนพื้นฐานของ “กฎบ้านกฎเมือง” ไม่ใช่จะทำอะไรก็ได้ตามอำเภอใจตามทุนทางสังคมที่อาจมีมากกว่าอีกฝั่งครับ



ย้อนอ่าน ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน พาเยี่ยมบ้าน ‘บัสบาส’ ผู้ต้องโทษประวัติศาสตร์คดี ม.112 คุณพ่อของบัสบาสเคยพูด “ผมปลงแล้ว ผมน่าจะตายก่อนที่เขาจะได้รับการปล่อยตัว”



“ก็แค่ยักไหล่แล้วไปต่อ ผมยังหายใจอยู่นี่หน่า”: พาเยี่ยมบ้าน ‘บัสบาส’ ผู้ต้องโทษประวัติศาสตร์คดี ม.112

01/08/2567
ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน

“ผมปลงแล้ว ผมน่าจะตายก่อนที่เขาจะได้รับการปล่อยตัว”

คุณพ่อของนักกิจกรรมผู้ถูกลงทัณฑ์ในคดีมาตรา 112 สูงที่สุดเป็นประวัติการณ์ คือจำคุกถึง 50 ปี ให้ความเห็นเมื่อเราถามถึงสถานการณ์ของลูกชายของเขา และความหวังในการได้รับการปล่อยตัว

บ่ายวันหนึ่งของวันที่ครึ้มฟ้าครึ้มฝนแห่งเดือนมิถุนายน 2567 เราเดินทางจากตัวเมืองเชียงรายไปที่อำเภอพาน เพื่อพบกับพ่อ แม่ และเพื่อนสนิทของ “บัสบาส” มงคล ถิระโคตร นักกิจกรรมวัย 31 ปี ซึ่งปัจจุบันถูกคุมขังอยู่ในเรือนจำกลางเชียงรายในคดีข้อหาดังกล่าวมาแล้วครึ่งปีเศษ จากพฤติการณ์การโพสต์ข้อความบนเฟซบุ๊ก ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 5 เห็นว่ามีความผิดรวม 25 โพสต์ โดยเขาไม่ได้รับการประกันตัวระหว่างฎีกาเรื่อยมา หากยังยืนยันจะต่อสู้คดีต่อไป

“อั๋น” เพื่อนของบัสบาสออกมาต้อนรับ เขาอาศัยอยู่ในพื้นที่อำเภอนี้เช่นกัน ไม่ไกลจากบ้านของบัสบาสนัก จึงเดินทางมาเที่ยวเล่นหาเพื่อนได้ไม่ลำบากนัก ขณะที่พ่อกับแม่ของบัสบาสก็รอคอยอยู่ภายในบ้าน

หลังย่างก้าวเข้าไปในรั้ว สุนัขบ้าน ๆ 3 ตัว ร่วมกันออกมาต้อนรับโดยการเห่าใส่คนแปลกหน้าเสียงดัง จนเจ้าของบ้านต้องช่วยกันพวกมันให้สงบลง

ต้นมะม่วงต้นใหญ่ยืนตระหง่านอยู่ด้านหน้าติดประตูบ้าน ขณะที่กลางบ้านเป็นลานกว้างว่าง ๆ มีที่ทางให้เจ้าสี่ขาทั้งสามได้พอวิ่งเล่น ด้านติดรั้วรอบ ๆ บ้านก็ปลูกทั้งไม้ผลและไม้ประดับน้อยใหญ่ไว้ให้ความร่มรื่น

ตัวบ้านมีขนาดสองชั้นใต้ถุนสูงมุงหลังคากระเบื้อง เสาและโครงห้องด้านล่างก่อสร้างไว้ด้วยปูน แต่ด้านบนประกอบร่างไว้ด้วยไม้ รวมทั้งตัวบันไดไม้ที่พาขึ้นไปยังชั้นบน ด้านขวาของตัวบ้านมีเพิงสังกะสีถูกใช้เป็นที่จอดรถกระบะสีขาวคันเก่า

ด้านรั้วบ้าน ยังมีป้ายไวนิลเก่า ๆ ผ่านการใช้งานมาโชกโชน โฆษณาขาย “อาหารเหนือ ข้าวซอย ไก่ หมู น้ำเงี้ยว” “กล้วยทอด มันทอด มาลองเต๊อะ บ่าผิดหวังจ้าว” ขณะที่ติดรั้วบ้านอีกด้านหนึ่ง ก็มีรถเข็นคันเก่าระบุราคาข้าวซอยน้ำเงี้ยวเอาไว้ แต่สภาพรถเข็นกลายเป็นที่ตากผ้าขี้ริ้ว และตู้กระจกถูกปิดพันไว้ บ่งบอกว่ามันไม่ได้ถูกใช้งานแล้ว หากแต่ก็แสดงถึงอาชีพที่คนในบ้านเคยประกอบการ

พ่อในวัย 71 ปี กับแม่ในวัย 62 ปี เชิญผู้มาเยือนขึ้นไปนั่งพูดคุยบนระเบียงชั้นสองของตัวบ้าน พร้อมเตรียมน้ำเย็นมาให้

หลังบอกที่มาที่ไปของการมาเยี่ยมเยือน สอบถามสารทุกข์สุขดิบเล็กน้อย เราปล่อยให้บทสนทนาดำเนินไป พร้อมสิ่งละอันพันละน้อยของชีวิตวัยรุ่นคนหนึ่ง ที่ลุกขึ้นมาแสดงออกทางการเมือง พยายามอยากเปลี่ยนแปลงสังคมให้ดีขี้น และต้องกลายเป็นผู้ต้องขังทางการเมืองด้วยโทษจำคุกสูงอย่างไม่เคยมีมาก่อน


บ้าน

เอาจริง ๆ บ้านหลังนี้ ก็ไม่ใช่บ้านที่บัสบาสเกิดและเติบโต เขาเพิ่งมาอยู่ในช่วง 4-5 ปีหลังนี้ เนื่องจากพื้นเพของแม่เป็นคนแถบนี้ ขณะที่พ่อเป็นคนต่างถิ่น คือคนจังหวัดอุบลราชธานี แต่ทั้งคู่พบเจอและใช้ชีวิตร่วมกันในกรุงเทพฯ ทำให้สำหรับบัสบาสแล้ว เขาจะบอกเล่าว่าตัวเองเกิดและเติบโตในเมืองหลวง

ย้อนกลับไปถึงภูมิหลังของชีวิต พ่อเล่าว่าในวัยหนุ่มหลังจบการศึกษาชั้นต้นในบ้านเกิด ก็ไปเป็นทหารเกณฑ์เหมือนกับบัสบาส จนปลดประจำการมา ก็ไปทำมาหากินในกรุงเทพฯ ในวัย 21-22 ปี เริ่มแรกไม่ได้ทำงานเป็นหลักเป็นแหล่ง แต่ก็ได้ไปช่วยงานขับรถรับส่งให้ “นาย” หรือพวกเศรษฐีในสมัยนั้น จนได้ทำงานประจำกับ “นาย” คนหนึ่ง ที่จ้างขับรถประจำ มีเงินเดือนเริ่มแรกไม่ถึงพันบาท

พ่อเล่าว่าสมัยสร้างเนื้อสร้างตัวต้องไปเช่าห้องรก ๆ เดือนละ 300-400 บาท อยู่ในซอยย่านวัดไผ่ตัน ไม่ไกลจากบ้านของ “นาย” ที่เขาทำงานด้วย แต่ละวันเขาก็ต้องไปขับรถรับส่ง “นาย” ไปคุมงานก่อสร้างต่าง ๆ ทำงานไม่เป็นเวลา บางวันก็ดึกดื่น และใช้ชีวิตค่อนข้างสมบุกสมบัน

จนราวปี 2526-27 พ่อได้งานเป็นคนขับรถให้บริษัทยาแห่งหนึ่ง ได้เงินเดือนช่วงแรก ๆ ราว 2,000 บาท ซึ่งในสมัยนั้นก็นับว่าพออยู่ได้ ทำให้ทำงานนี้ไปได้ค่อนข้างยาว จนมาเปลี่ยนงานอีกครั้งราวปี 2540 ย้ายไปอยู่กับบริษัทยาอีกแห่งหนึ่ง ที่เป็นบริษัทยาฝรั่ง ทำให้มีรายได้ค่อนข้างดี และนายจ้างค่อนข้างดี ทำให้อยู่บริษัทนี้มายาวจนถึงปี 2552-53

ขณะที่แม่เคยไปทำงาน “ขายครัว” หรือกับข้าวอยู่ในกรุงเทพฯ ขายมาหมดทั้งก๋วยเตี๋ยว อาหารเหนือ ขนมจีน ข้าวซอย กล้วยทอด โดยมากเป็นการขายด้วยรถเข็น และทั้งคู่พบกันในช่วงที่พ่อทำงานในบริษัทยาแล้ว โดยบัสบาสมีพี่ชายอีกหนึ่งคน ปัจจุบันอยู่ในกรุงเทพฯ

“บาสตอนเด็ก ๆ ก็ไม่ได้ซนอะไร ค่อนข้างเงียบ ๆ หนิมๆ มีอะไรดูเหมือนจะเก็บไว้ในใจ มันยังเป็นคนชอบสนุก ครูก็ชอบ ชอบไปเต้นอะไร ทำให้คนหัวเราะ” แม่ย้อนเล่าถึงวัยเด็กของบัสบาสในความทรงจำ

พ่อกับแม่ยอมรับว่าพอขึ้นชั้นมัธยมไปแล้ว บัสบาสค่อนข้างเกเร ใช้ชีวิตโลดโผน คบเพื่อนที่พากันไม่ค่อยสนใจการเรียน จนเกือบจะเรียนไม่จบ ม.3 ครูต้องเข็นไปแก้เกรดวิชาที่สอบตก ก่อนเขาจะหันไปเรียนสายอาชีพในสาขาวิชาออกแบบภายใน ที่ไทยวิจิตรศิลป

ส่วนอั๋นนั้นเป็นคนกรุงเทพฯ เขารู้จักกับบัสบาสมาเรียนตั้งแต่ชั้น ม.3 โดยรู้จักกันผ่านเพื่อนอีกที แล้วก็สนิทสนมกันมาค่อนข้างยาวนาน เนื่องจากมีความสนใจคล้าย ๆ กัน และทำอะไรหลายอย่างมาด้วยกัน

“ถ้าไม่ได้บาส ก็เกือบบ้าเหมือนกัน มันช่วยอั๋นเยอะ บาสไม่เคยซ้ำเติมอั๋นในเรื่องที่คนอื่นคอยมาพูด ไม่พูดให้กระทบใจเรา บางทีมันก็คอยให้กำลังใจ บางทีก็แสดงออกให้เห็นแบบเสนอว่ามึงควรต้องทำอย่างนี้นะ ก็สนับสนุนกันเรื่อยมา เราเลยไม่อยากทิ้งมัน”

อั๋นเสริมว่า บัสบาสถ้าเป็นคนที่อยู่กับเพื่อนหมู่มาก จะเป็นคนตลก พาเพื่อนขำขัน แต่พออยู่คนเดียว อาจจะดูเงียบ ๆ

ทั้งคู่ไปเป็นทหารเกณฑ์เมื่อถึงวัยเกณฑ์ทหารในช่วงไล่เลี่ยกัน โดยคนหนึ่งไปอยู่ในค่ายที่เพชรบุรี อีกคนไปอยู่ที่ประจวบฯ หลังจากนั้นก็ออกมาทำร้านขายเสื้อผ้ามือสองด้วยกัน ที่ตลาดรถไฟ โดยเน้นขายเสื้อผ้าเกี่ยวกับดนตรีแนวพังค์ตามที่ทั้งคู่สนใจในช่วงนั้น และหลังจากนั้น เมื่อครอบครัวบัสบาสย้ายมาอยู่เชียงราย เขาก็ย้ายมาด้วย โดยยังขายเสื้อผ้ามือสองทางออนไลน์ต่อเนื่องมา

.
อัลบั้มภาพถ่าย

เมื่อเล่าถึงเรื่องราวหนหลัง แม่เดินไปหยิบอัลบั้มภาพถ่ายเก่าหลายเล่มมาให้เราดู มีทั้งอัลบั้มภาพถ่ายขาวดำ สมัยพ่อยังเป็นหนุ่ม ก่อนเล่าว่าพ่อเป็นคนชอบเก็บรูปภาพเก่า ๆ เหล่านี้ไว้ มันจึงไม่สูญหายไป และอัลบั้มภาพถ่ายสีสวย ในสมัยบัสบาสยังอยู่ในวัยย่างเข้าวัยรุ่น ทั้งรูปที่ถ่ายขณะยังเป็นเด็ก ถ่ายขณะปลดประจำการจากทหารเกณฑ์ หรือถ่ายกับครอบครัวในช่วงวัยต่าง ๆ

ขณะที่แม่ยังให้ดูรูปถ่ายบัสบาส ที่ถูกใส่กรอบแขวนอยู่บนผนังบ้าน และใส่กรอบเล็กแบบตั้งโต๊ะ ซึ่งมีทั้งรูปที่ถ่ายกับตา-ยาย และถ่ายขณะบวชเป็นพระ พร้อมเล่าเบื้องหลังเล็ก ๆ น้อย ๆ ของแต่ละช่วงชีวิตให้ฟัง เสมือนเรื่องราวของผู้ถูกจองจำนั้น ยังถูกบรรจุกักเก็บไว้ส่วนหนึ่งอยู่ในภาพถ่ายที่ถูกเก็บรักษา




การเมือง

“เขามาสนใจการเมืองตอนหลัง พ่อก็ไม่ได้ว่าอะไรหรอกนะ”

เอาจริง ๆ พ่อก็เป็นคนหนึ่งที่ติดตามการเมือง โดยเข้าร่วมการชุมนุมกับกลุ่มคนเสื้อแดง โดยในช่วงปี 2553 ระหว่างการชุมนุมใหญ่ ตอนนั้นพ่อยังทำงานอยู่กรุงเทพฯ แล้วเห็นว่ามีม็อบ ก็สนใจไปดู อยากไปเจอชาวบ้านชาวช่องที่เข้ามาจากต่างจังหวัด เพราะเห็นว่ามากันเยอะ เมื่อติดตามฟังเรื่องราวข้อเรียกร้อง ก็อยากให้เป้าหมายการเคลื่อนไหวครั้งนั้นสำเร็จไปด้วย โดยการเข้าร่วมการชุมนุม พ่อไปแบบอิสระ ไม่ได้สังกัดกลุ่มไหน ออกค่าใช้จ่ายทั้งหมดเอง ส่วนแม่ก็ติดตามพ่อไปฟังเพลง ดูบรรยากาศในม็อบด้วย

“แรก ๆ ก็ยังไม่มีอะไรมาก ก็ไปสนามหลวง แล้วก็จนมีเหตุการณ์ที่แยกคอกวัว (10 เมษายน 2553) วันนั้น ผมกลับมาบ้านแล้ว แต่ทราบข่าวว่ามีการยิงกัน จากนั้นก็ไปร่วมเคลื่อนขบวนจากผ่านฟ้า ย้ายไปอยู่ราชประสงค์ ผมก็ไปดูด้วย เห็นว่าเขาแค่อยากให้ยุบสภา เลือกตั้งใหม่แค่นั้นเอง แต่ทำไมตอนนั้นรัฐบาลต้องใช้ความรุนแรง มีการยิงกัน เราก็ไม่เห็นด้วย”

หลังจากช่วงการชุมนุมของเสื้อแดง และพ่อย้ายชีวิตมาอยู่เชียงราย ก็ยังติดตามข่าวสารบ้านเมือง และพอคิดวิเคราะห์ถึงปัญหาของประเทศจากปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นได้ แต่ก็ไม่คาดคิดว่าจะกลายเป็นลูกชายที่ออกมาแสดงออกทางการเมืองอย่างเข้มข้นแทน

อั๋นบอกว่าบัสบาสเริ่มสะสมความคิดทางการเมืองมาตั้งแต่ช่วงทำร้านเสื้อผ้าด้วยกันแล้ว ประมาณช่วงปี 2560-61 เขาเริ่มติดตามข่าวสารการชุมนุมของคนอยากเลือกตั้ง การจับกุมดำเนินคดี “ไผ่ ดาวดิน” เริ่มอ่านความเห็นทางการเมืองบนโลกออนไลน์ โดยเฉพาะของอาจารย์สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล แต่การแสดงออกต่าง ๆ เข้มข้นขึ้นหลังเกิดการชุมนุมของคนหนุ่มสาวในช่วงปี 2563

“บาสมันเป็นคนที่อินกับเรื่องไหน แล้วมันจะเข้าไปลึกมาก มันจะเจาะไปเรื่องนั้น บางทีก็อาจจะไม่ฟังความเห็นคนอื่น มันก็คิดของมันไป พอมาเรื่องการเมือง เลยไปไกลแบบนี้ หรืออินกับเรื่องผู้ต้องขังการเมือง ก็จะรู้สึกไปกับเขาด้วย แล้วมันไม่ได้มีกลุ่มอะไร มันไปแบบปัจเจก แล้วสู้กับรัฐทั้งหมด มันก็ยากเลย”

ส่วนพ่อบอกว่า เอาจริง ๆ ลูกชายก็ไม่เคยมาคุยเรื่องการเมืองด้วยเท่าไร เขาศึกษาของเขาเอง อาจจะเคยมีเอาเรื่องอะไรที่อ่านเจอในโลกออนไลน์มาพูดคุยกัน แต่ก็นาน ๆ ครั้ง และในการออกไปเคลื่อนไหว บัสบาสเองก็ไม่เคยบอกพ่อกับแม่เอาไว้เท่าไร

“แม้ในทางเนื้อหาเราจะสนับสนุนมัน แต่บางส่วนก็ไม่เห็นด้วย เช่นเรื่องวิธีการ อย่างการไปอดอาหาร หรือไปทำกิจกรรมที่กรุงเทพฯ มันมีค่าใช้จ่ายเยอะ และมีความเสี่ยงมาก” อั๋นบอก

ด้านพ่อก็ให้ความเห็นว่า คงต้องปล่อยให้ลูกชายคิด ทำ รับผิดชอบต่อสิ่งที่เกิดขึ้น และเรียนรู้กับมันเอง

“ก็ปล่อยให้มันคิด เราไปบอกมันไม่ได้หรอก มันก็ไม่ได้ค่อยจะฟังเรา ก็ต้องให้เขาคิดเอง แต่ก็รู้ว่ามันอยากแสดงออก แสดงออกถึงความต้องการความเปลี่ยนแปลง หรือการทำให้สิ่งต่าง ๆ ดีขึ้น”

.
คดี

แน่นอนว่าทั้งครอบครัวและเพื่อน ไม่มีใครคาดว่าการออกมาเคลื่อนไหว หรือโพสต์แสดงความเห็นของบัสบาสในเฟซบุ๊กจะทำให้เขาถูกดำเนินคดี และลงโทษหนักหน่วงเพียงนี้

บัสบาสถูกจับกุม 3 ครั้ง จากคดีมาตรา 112 จำนวน 3 คดี ที่เขาถูกกล่าวหา โดยครั้งแรกเป็นการจับกุมระหว่างเขาอดอาหารเรียกร้องสิทธิการประกันตัวผู้ต้องขังทางการเมืองอยู่ในกรุงเทพฯ อีกสองครั้ง ตำรวจนำหมายจับมาจับถึงบ้านแห่งนี้ หลังจากนั้นยังมีตำรวจมาติดตามสอดส่องถึงบ้านเป็นระยะ

“แม่เห็นว่าลูกโตแล้ว เขาตัดสินใจของเขาเอง เราก็ไม่ได้รู้ว่าลูกไปทำอะไร อย่างมีเจ้าหน้าที่มาเต็มบ้าน ตำรวจเอารถมาเต็มเลย เราก็บอกว่าเราไม่รู้เรื่อง แต่เราก็ไม่ได้สนับสนุนอะไร เขาก็โตแล้ว” แม่ของบัสบาสบอก

ด้านพ่อบัสบาสก็เสริมว่า “เราก็อายุมากแล้ว เราก็ไปทำอะไรไม่ได้มาก เขาจะไปทำอะไร ก็ต้องดูแลตัวเองแล้ว”

ส่วนเพื่อนของบัสบาสอย่างอั๋น ที่รู้เรื่องสถานการณ์การเคลื่อนไหวของบัสบาสอยู่บ้าง บอกว่าพอเห็นว่าโดนคดีมาตรา 112 ก็คิดว่าน่าจะเสี่ยงติดคุก แต่ไม่ได้คิดไว้ว่าโทษจะสูงขนาด 50 ปี อย่างนี้

“มันก็มีคนไม่เห็นด้วยกับวิธีการที่มันทำแบบนี้ แต่เราก็ต้องดูเป้าหมายของสิ่งที่มันทำด้วย มันแค่อยากเห็นความเปลี่ยนแปลง เห็นบ้านเมืองดีขึ้น ไม่อยากให้บ้านเมืองวนอยู่ที่รัฐประหาร ให้มันเป็นประชาธิปไตยที่แท้จริง” อั๋นย้ำ

แต่การถูกดำเนินคดีข้อหานี้ในช่วงปัจจุบัน ดูเหมือนสังคมจะมีความเข้าใจที่แตกต่างจากในอดีต เมื่อมีคนมาให้กำลังใจกับคดีที่บัสบาสต้องเผชิญอยู่พอสมควร แม้อั๋นจะบอกว่ามีเพื่อนบางคนก็ถอยออกไป เพราะอาจจะกลัวการแสดงออกของบัสบาส แต่ก็มีเพื่อนใหม่ ๆ หลายวัย รุ่นลุง ๆ ป้า ๆ สอบถามข่าวคราวเข้ามาเหมือนกัน

ด้านญาติพี่น้อง แม่ก็บอกว่าตอนแรกเขาก็ไม่ได้รู้ข่าวกัน แต่เมื่อเริ่มรู้ว่าบัสบาสโดนเรื่องนี้ แม้ส่วนใหญ่ไม่ได้อยากเข้ามายุ่งด้วย แต่ก็ไม่ได้มีการต่อว่าอะไร

“มีคนมาบอกว่าบาสมันกล้า แม่ก็บอกว่าเราก็ไม่ได้สั่งได้สอนเรื่องพวกนี้ มันคิดมันทำของมัน หลายคนเขาก็รู้ว่าอะไรเป็นอะไร ชาวบ้านเขาก็รู้อะไรเยอะขึ้น แต่เขาไม่กล้าพูด เขายังกลัว” แม่บอก



เรือนจำ

แม้ไม่มีใครอยากให้ลูกหรือเพื่อนต้องติดคุก แต่เมื่อบัสบาสเผชิญกับการถูกจองจำแล้ว ทั้งสามคนก็ต้องคอยไปติดตามเยี่ยมเยียน

หากแต่การไปเยี่ยมที่เรือนจำนั้น ก็เป็นปัญหาใหญ่อยู่เหมือนกัน เนื่องจากเรือนจำกลางเชียงรายกำหนดให้ญาติเยี่ยมได้เพียงเดือนละ 1 ครั้ง และลงทะเบียนเยี่ยมทางไลน์ได้อีก 1 ครั้งต่อเดือน ซึ่งแตกต่างจากอีกหลายเรือนจำ ที่อย่างมากก็ให้ญาติเยี่ยมได้อาทิตย์ละ 1 ครั้ง ทำให้ในช่วงที่บัสบาสติดคุกมากว่าครึ่งปีแล้ว ทั้งพ่อและแม่ รวมทั้งอั๋นที่ติดตามไป ได้ไปเยี่ยมเพียงเดือนละครั้ง และยังจำกัดเฉพาะวันพุธ ซึ่งเป็นวันเยี่ยมในแดนของบัสบาส ทั้งยังไม่ได้เยี่ยมผ่านทางไลน์ เนื่องจากพ่อและแม่ยังไม่สันทัด

“ไปเยี่ยมบัสบาสที ก็ต้องใช้จ่าย ค่าน้ำมันรถก็ 500 แล้วก็ไปฝากเงินให้บัสบาสอีกสักหน่อย ไปกลับก็เกือบร้อยกี่โล เรือนจำก็อยู่ลึกด้วย” อั๋นบอก

อั๋นยังเล่าว่าการเยี่ยมญาติที่เรือนจำเชียงราย จะไม่ได้พบหน้ากับผู้ต้องขังตัวเป็น ๆ แต่จะได้คุยผ่านสายโทรศัพท์วิดีโอคอล ที่เห็นหน้าจากในจอภาพขนาดประมาณ 14 นิ้ว และให้เวลาเยี่ยม 15 นาที นั่นคือเวลาทั้งหมดที่ทั้งครอบครัวได้พูดคุยกันในแต่ละเดือน

“คุยกันได้แป๊บเดียว 15 นาที พอให้หายคิดถึง แล้วมีเพื่อนฝูงหรือคนอยากมาให้กำลังใจก็อยากมาเยี่ยม ก็มาไม่ได้ เพราะเยี่ยมได้เดือนละครั้ง และต้องอยู่ในรายชื่อเยี่ยม 10 คน” อั๋นเล่าต่อ

อั๋นยังเล่าว่าจากการเยี่ยมครั้งล่าสุด บัสบาสก็พยายามคิดบวกมากขึ้น เพราะคิดว่าต้องอยู่ยาว แต่ก็อยากรู้ข่าวสารภายนอก ว่าสถานการณ์การเมืองเป็นยังไง มีผู้ต้องขังทางการเมืองได้ประกันบ้างไหม ขณะเดียวกัน เขายังต้องกินยารักษาโรคซึมเศร้า ซึ่งได้รับจากทางสถานพยาบาลของเรือนจำอยู่

“พ่อเคยร้องไห้ตอนไปเยี่ยมแรก ๆ เขาก็รักลูก” แม่บอกถึงเรื่องการเยี่ยมลูกชายเพิ่มเติม

“บาสมันก็ร้องไห้ เป็นไม่กี่ครั้งที่เห็นน้ำตามัน ตอนแรกที่พ่อไปเยี่ยมครั้งแรก ก็ร้องไปด้วยกัน หลังจากนั้นก็ต้องให้กำลังใจกัน” อั๋นเสริม

แม่เล่าอีกว่า บัสบาสค่อนข้างเป็นห่วงสุขภาพของพ่อ แม้พยายามบอกว่าไม่ต้องเป็นห่วง พ่อยังเข้มแข็ง แต่เขาก็เป็นห่วงพ่อ

.
จดหมาย

นอกจากการเดินทางไปเยี่ยมและพูดคุยผ่านจอ พ่อยังได้รับจดหมายที่เขียนด้วยลายมือจากบัสบาส ในช่วงครึ่งปีนี้ได้รับประมาณ 3-4 ฉบับ ถือว่ายังค่อนข้างน้อย และไม่ทราบระยะเวลาการตรวจทานก่อนส่งออกจดหมายของเจ้าหน้าที่ โดยที่เรือนจำในต่างจังหวัดนั้นยังไม่มีระบบการส่งจดหมายทางออนไลน์เหมือนในกรุงเทพฯ ยังต้องส่งผ่านทางไปรษณีย์ปกติ

เมื่อคุยถึงเรื่องนี้ พ่อให้แม่เดินลงไปชั้นล่างของบ้าน หยิบกระดาษจดหมายสภาพถูกพับจนยับย่น 2 ฉบับ มาให้ดู พลางบอกว่าเก็บไว้เหลือ 2 ฉบับ อีกส่วนหนึ่งหาไม่เจอแล้ว

“เหมือนเขาเขียนมาแบบอยากให้คนอื่น ๆ อ่านมากกว่า เขียนปลุกปลอบใจเพื่อน ไม่ได้เกี่ยวกับครอบครัว ก็เขียนเหมือนกับรู้ว่าเจ้าหน้าที่ (เรือนจำ) จะอ่านอยู่แล้ว” พ่อบอก พลางชวนอ่านจดหมายที่เดินทางมาจากเรือนจำด้วยกัน

———-

5 มีนาคม 2567

เรือนจำกลางเชียงราย D1 (เขตควบคุมพิเศษ)

(ฝากส่ง)

ถึงคุณพ่อ

สบายดีหรือป่าวพี่น้องเอ้ย!!!

ผมยังแข็งแรงยืนระยะได้ยาวและเท่เหมือนเดิม ทานข้าวกันหรือยัง? อากาศเปลี่ยนแปลงบ่อย ดูแลสุขภาพกันด้วยนะครับทุกท่าน ในเรื่องราวที่อยากจะแชร์ของผม คงจะไม่มีอะไรมาก เพราะผมคิดว่าในทางการต่อสู้ เราได้ชนะในกติกาที่เขาเขียนไปแล้ว ชนะมาแล้วครึ่งทาง เหลืออีกครึ่งทาง สู้ไปด้วยกันนะครับ

ในส่วนเรื่องที่ผมถูกตัดสินในคดีมาตรา 112 โทษสูงสุดในประวัติศาสตร์ของไทย ถึง 50 ปี ในเรื่องนี้ผมไม่ได้ซีเรียส ก็แค่ยักไหล่แล้วไปต่อ ผมยังหายใจอยู่นี่หน่า ผมเป็นนักสู้ จะอยู่ที่ไหนผมก็ยังคงเป็นนักสู้ ชีวิตนี้มีหนเดียว แล้วถ้าสุดท้ายปลายทาง ชัยชนะแม้จะไม่มีผม ซึ่งไม่เป็นอะไรเลย ผมถือว่าผมได้เขียนหน้าประวัติศาสตร์ของตัวเองไว้แล้ว ผมเชื่อว่าทุกคนย่อมมีที่ทางในหน้าประวัติศาสตร์ของตัวเองไม่ว่าจะรูปแบบไหนก็ตาม

สุดท้ายนี้ ผมก็อยากจะขอให้กำลังใจทุกท่านและมิตรสหายทุก ๆ คน เราต่างได้รับความอยุติธรรมไม่ต่างกัน ไม่ว่าจะเป็นทางตรงหรือทางอ้อม หรือจะไม่สนใจการเมืองเลยก็ตาม เสรีภาพ เสมอภาค ภราดรภาพ คือสิ่งที่ผมถวิลหา..

ไม่ว่าท้องฟ้าจะเปลี่ยนเป็นสีอะไร ประชาชนย่อมเป็นใหญ่ในแผ่นดิน

จากบัสบาส มงคล ถิระโคตร

ปล. โปรดใช้ถ้อยคำที่สุภาพและห้ามส่งพัสดุ

———-







สุขภาพ

ในวัย 71 ปี พ่อยอมรับว่าสุขภาพไม่ค่อยดีแล้ว สามวันดีสี่วันไข้ มีโรคเก๊าท์เป็นโรคประจำตัว บางทีก็ปวดกระดูก หรือป่วยเป็นนั่นนี่อยู่เรื่อย ก่อนหน้านี้ เขายังมีอาการเส้นเลือดในสมองตีบ แม้จะฟื้นฟูได้ แต่ก็ทำให้มีปัญหาเรื่องการเดินทรงตัว ร่างกายซีกหนึ่งไม่ค่อยมีแรงแล้ว

“วันก่อนก็ข้อเท้าแพลง ผมออกไปทุ่งนา ไปตัดหญ้า ถางหญ้า ทางมันก็ขรุขระหน่อย มีหญ้าขึ้น เดินแล้วเราก็ไม่เห็นหลุมบ่อ สะดุดไป

“อาทิตย์หน้า โรงพยาบาลเขาก็ให้ไปหัดเดิน ผมไปตรวจ ขามันไม่ค่อยมีแรง กำลังมันน้อยลง นักกายภาพก็เลยให้ไปสอนกายภาพ”

พ่อบอกว่าที่บ้านก็ไม่ได้มีไร่มีนามากมาย แต่มีบ่อปลาอยู่ ช่วงหลังพอได้ออกไปทุ่งไปนา มีอะไรทำแก้เบื่อจากที่อยู่บ้านเฉย ๆ แต่ก็ไม่ได้สร้างรายได้อะไรมากมาย

ปัญหาใหญ่ของครอบครัวยังเป็นเรื่องรายได้ แม้ครอบครัวไม่ได้มีรายจ่ายมากนัก และการอยู่ในพื้นที่แบบนี้ ก็พอหากินหาอยู่ไปได้ แต่เมื่อพ่ออายุมากแล้ว จึงไม่ได้มีอาชีพและรายได้นัก ส่วนแม่ก่อนหน้านี้เคยขายอาหารอยู่ แต่ก็หยุดไปจากปัญหาหลายอย่าง แม้จะอยากกลับมาขายกล้วยทอดที่ตลาดหน้าชุมนุม เพื่อหารายได้เล็ก ๆ น้อย ๆ หากก็ยังไม่ได้ลงมือ

“ตอนนี้มีเบี้ยคนชราในแต่ละเดือน แล้วก็ได้เงินช่วยเหลือจากกองทุนราษฎรประสงค์ ไอ้บาสก็ให้มาช่วยตรงนี้แทนที่จะส่งไปให้มัน”

ก่อนหน้านี้ตอนบัสบาสยังอยู่บ้าน ก็พอเป็นแรงหารายได้ให้บ้าง ทั้งการขายเสื้อออนไลน์ และเขาเคยไปลองขายชา-ขายน้ำที่ซุ้มด้านหน้าหมู่บ้าน แต่พอเริ่มโดนคดีก็ต้องยุติไป แม้ไม่ได้หารายได้ได้มากเท่าไร แต่อย่างน้อยการมีบัสบาสอยู่ ก็พอแบ่งเบาครอบครัวไปได้อยู่บ้าง

อั๋นเสริมอีกส่วนหนึ่งว่า “ผลกระทบอีกเรื่อง อาจเป็นเรื่องจิตใจ เพราะบ้านมันอาจจะไม่ใช่บ้านเหมือนแต่ก่อน แต่ก่อนบ้านอยู่กันพ่อแม่ลูก ตอนนี้มีแต่พ่อกับแม่”

.
ข่าวสาร

ระหว่างบทสนทนาดำเนินไป อั๋นขอตัวออกไปทำธุระก่อน ขณะที่พ่อหยิบมือถือมาไล่ดูข่าวสาร ก่อนเสียงจากข่าวรายงานถึงคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ในคดีของสุเทพ เทือกสุบรรณ และพวก รวม 39 คน กรณีจากการชุมนุมปิดกรุงเทพฯ ของกลุ่ม กปปส. ในช่วงปี 2556-57 จะดังขึ้น ทำให้พ่อนั่งฟัง

ข้อกล่าวหาในคดีนี้มีทั้งเรื่องขัดขวางการเลือกตั้ง จัดตั้งกองกำลังส่วนหนึ่งพร้อมอาวุธเข้าไปบุกยึดสถานที่ราชการและหน่วยงานสำคัญ เพื่อไม่ให้รัฐบาลขณะนั้นบริหารราชการแผ่นดินได้ รวมทั้งการปิดกั้น ขัดขวางเส้นทางคมนาคมขนส่ง เป็นเหตุให้ประชาชนได้รับความเดือดร้อน

โดยสรุปแล้วศาลอุทธรณ์ได้พิพากษายกฟ้องในข้อหากบฎเเละก่อการร้าย รวมทั้งพิพากษาลดโทษจำคุกจำเลยแต่ละราย ที่เดิมโดนตั้งเเต่ 4-9 ปี กว่า ลดเหลือคนละ 1 ปี -1 ปีเศษ โดยไม่รอลงอาญาจำเลยทั้งหมด 14 คน โดยศาลอุทธรณ์มองว่าเป็นเหตุที่ถูกกล่าวหาการกระทำกรรมเดียวเหตุต่อเนื่องกัน ต่างจากศาลชั้นต้นที่มองเป็นการกระทำหลายกรรมโทษเลยสูงกว่า และต่อมาทั้งหมดก็ยังได้รับการประกันตัวระหว่างฎีกา

พ่อให้ความเห็นขึ้นมาหลังฟังข่าวสารเรื่องนี้ว่า “ผมคิดว่าคดี 112 โทษมันไม่เหมาะไม่ควรขนาดนี้เลย อย่างคดีร้ายแรงอื่น ๆ โทษก็ไม่ขนาดนี้ อย่างสุเทพ โทษก็ยังไม่ขนาดนี้เลย ถ้าเราเอาความเสียหายมาวัดกันเลย อย่างปิดสนามบิน ปิดทำเนียบรัฐบาล มันส่งผลถึงประเทศเท่าไร เป็นมูลค่าเท่าไร แต่โทษต่าง ๆ น้อยกว่าคดีแบบมาตรา 112 นี้มาก มันเกิดจากอะไร เรื่องแบบนี้ มันควรจะคิดให้รอบคอบให้ละเอียด ในการมาปรับใช้แบบนี้”

พ่อยังพูดถึงคดีของ “ป้าอัญชัญ” ที่โทษเต็มสูงถึง 87 ปี แต่ลดโทษเหลือจำคุก 43 ปี 6 เดือน เนื่องจากจำเลยให้การรับสารภาพ อันเป็นคดีที่เคยถูกบันทึกว่ามีโทษจำคุกสูงที่สุดในข้อหานี้ จนกระทั่งถูกคดีบัสบาสทำลายสถิติอันไม่น่าทำลาย โดยพ่อบอกว่าพอลูกถูกโทษจำคุกสูงขนาดนี้ เลยลองไปติดตามเปรียบเทียบกับคดีอื่น ๆ

“พ่อก็ติดตามข่าว ดูเพื่อเปรียบเทียบว่าเขาเป็นยังไง เห็นเขารณรงค์ถึงป้าอัญชัญ ก็อยากให้ปล่อยตัวแกด้วย”



มาม่า

เมื่อบทสนทนาเงียบลง แม่ชวนไปเดินดูห้องนอนของบัสบาสที่ชั้นล่าง

ที่คานไม้ด้านล่าง เราพบริ้วธงแขวนบนเชือก ที่เป็นภาพสกรีนหน้าผู้ต้องขังและนักกิจกรรมทางการเมือง อาทิ ป้าอัญชัญ, ทนายอานนท์, เพนกวิน พริษฐ์, รุ้ง ปนัสยา, ไผ่ จตุภัทร์

ก้าวเข้าไปในห้องนอนชั้นล่างของบ้าน มีแมวลายสลิดหางกุดท่าทางยียวนวิ่งเล่นไปมา

“มันชื่อมาม่า” แม่บอก พลางย้อนเล่าว่าก่อนหน้านี้มีแมวแถวบ้านมาเกิดลูก 5 ตัว ชาวบ้านก็แบ่ง ๆ กันไปเลี้ยง บัสบาสได้มาเลี้ยง 2 ตัว แต่ตัวสีขาวทองตัวหนึ่งหายไปจากบ้านและไม่กลับมาอีก ส่วนมาม่าเคยหายออกไปช่วงหนึ่งเหมือนกัน แต่รอดกลับมา พร้อมหางที่กุดหายไป มันอาจจะโดนรถทับ

แต่แมวกับหมาของบ้านนี้ดูเหมือนจะไม่ค่อยถูกกัน ทำให้ต้องแยกเจ้ามาม่าเข้ามาเลี้ยงในห้อง และบัสบาสก็เป็นคนเลี้ยงมันเป็นหลัก

“ปกติมันก็นอนกับบัสบาสประจำแหละ เขาเป็นคนรักสัตว์” แม่เล่าถึงมาม่า



ท่ามกลางข้าวของระเกะระกะในห้อง หันไปดูที่เตียงนอน ตามผนังยังมีภาพโปสเตอร์ของวงดนตรีแนวพังก์ถูกติดไว้หลายแผ่น โดยแผ่นที่เด่นเป็นสง่า เป็นภาพของเพลง God Save the Queen ของวง Sex Pistols ที่บัสบาสเคยบอกว่าเป็นแรงบันดาลใจของเขาในด้านดนตรีพังก์

จากนั้นแม่เปิดตู้เสื้อผ้าให้ดู บอกว่ามีชุดเสื้อผ้าที่บัสบาสเอามาขาย หลายตัวก็ยังแขวนอยู่ในนั้น หลายตัวก็เพิ่งสั่งมาใหม่ ไม่รู้เหมือนกันว่าเขาจะได้ออกมาขายมันอีกเมื่อไร

และดูเหมือนข้าวของหลายอย่างจะยังถูกวางรอไว้อย่างนั้น แม้เจ้าของห้องจะไม่สามารถกลับมาได้ก็ตาม



นิรโทษกรรม

เมื่อเราออกมาคุยกับพ่อที่กำลังเล่นอยู่กับเจ้าหมาทั้งสามตัว เตรียมขอตัวเดินทางกลับ

พ่อเปรยลักษณะเดิมอีกว่าเขาเองก็ปลงแล้ว ในเรื่องการถูกคุมขังลูกชาย เพราะอาจจะต้องตายก่อน ถ้าโทษสูงขนาดนี้ หากต้องติดเต็มอัตราโทษ จะได้รับการปล่อยตัวเมื่อบัสบาสอายุ 80 ปีแล้วนู้นแหละ แต่ขณะนี้คดีก็ยังอยู่ระหว่างฎีกา อัตราโทษอาจเปลี่ยนแปลงไปก็ได้

“ก็ยังมีความหวังหน่อย ติ่งไว้หน่อย ว่าลูกจะได้รับการปล่อยตัว”

ส่วนเรื่องนิรโทษกรรม พ่อก็พอได้ยินข่าวอยู่บ้าง แต่ไม่ได้รู้รายละเอียด แต่ก็พอรู้ว่าการนิรโทษกรรมคดีทางการเมือง อาจจะไม่ถูกให้รวมถึงคดีมาตรา 112 อย่างคดีของบัสบาส แม้จะเป็นอีกความหวังหนึ่งให้ลูกชายได้รับการปล่อยตัว

“ส่วนหนึ่งก็คาดหวังว่ามันจะแก้ไขปัญหาบ้านเมือง แม้พอจะรู้ว่าเป็นไปได้ยาก” พ่อประเมิน

หากในภาพใหญ่ของประเทศ พ่อบัสบาสกลับบอกว่า เขาคิดว่าจะมีความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น แต่ไม่รู้ว่าช้าหรือเร็ว หรือภายในคนรุ่นไหน พ่ออาจจะตายไปก่อนแล้ว แต่มันจะเกิดขึ้น

“หลายเรื่องมันก็สมมติขึ้นมา ถ้ามันไม่ดี ก็ควรแก้ให้มันดีขึ้น เรารู้มันไม่ดี ก็เปิดโอกาสให้โต้เถียงกัน ให้แก้ได้ ให้แก้กฎหมายอะไรต่าง ๆ มันไม่มีอะไรอมตะนิรันดร์กาล เปลี่ยนแปลงไม่ได้หรอก” พ่อทิ้งทายถึงมุมมองของเขา

.
ย้อนอ่านเรื่องราวชีวิตของบัสบาส

เสียงเพลงพังก์ ในโลกขบถของ “บัสบาส” ผู้ต่อสู้คดี 112

ผู้เชี่ยวชาญ UN ส่งหนังสือถึงรัฐบาลไทยระบุผู้รายงานพิเศษฯ รู้สึกกังวลเป็นอย่างยิ่งกับโทษจำคุก 50 ปี ข้อหา ม. 112 ในคดีบัสบาส


https://tlhr2014.com/archives/68949



ประเทศกูมี โพสต์เฟสบุ๊คติดคุก 46 ปี ยังสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ศาลฎีกาพิพากษาแก้คดี ม.112 “บัสบาส” เป็นลงโทษจำคุก 46 ปี จากเดิมชั้นอุทธรณ์ลง 50 ปี - ถ้าทำได้ คงสั่งตัดหัว 7 ชั่วโคตรไปแล้ว


ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน
9 hours ago
·
ยังสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ศาลฎีกาพิพากษาแก้คดี ม.112 “บัสบาส” เป็นลงโทษจำคุก 46 ปี จากเดิมชั้นอุทธรณ์ลง 50 ปี
.
11 ธ.ค. 2568 เวลา 9.00 น. ที่ศาลจังหวัดเชียงราย “บัสบาส” หรือมงคล ถิระโคตร อดีตพ่อค้าเสื้อผ้าออนไลน์และนักกิจกรรมในจังหวัดเชียงรายวัย 32 ปี ถูกเบิกตัวมาจากเรือนจำกลางเชียงรายเพื่อฟังคำพิพากษาของศาลฎีกา กรณีถูกดำเนินคดีตามประมวลกฎหมายอาญา #มาตรา112 และ #พรบคอมพิวเตอร์ฯ จากการโพสต์เฟซบุ๊กรวม 27 โพสต์ ในช่วงเดือนมีนาคม-เมษายน 2564
.
.
จากการถูกจับกุมขณะอดอาหารหน้าศาลอาญาสองครั้งรวด สู่การต่อสู้ถึงชั้นฎีกา
.
คดีนี้ มงคลถูกจับกุมตัวที่บริเวณหน้าศาลอาญาในช่วงเทศกาลสงกรานต์ปี 2564 ภายหลังเดินทางไปอดอาหารประท้วงเรียกร้องสิทธิการประกันตัวของผู้ต้องขังทางการเมือง โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจได้แจ้งข้อกล่าวหาว่ามีโพสต์ข้อความในเฟซบุ๊กรวม 25 โพสต์ หลังจากนั้นในเดือนพฤษภาคมในปีเดียวกัน มงคลถูกจับอีกครั้งและถูกแจ้งข้อกล่าวหาว่าโพสต์ข้อความในเฟซบุ๊กเพิ่มเติมอีก 2 โพสต์
.
ทั้งสองคดีมี พ.ต.ท.ปราโมทย์ บุญตันบุตร จากกองบังคับการตำรวจภูธรจังหวัดเชียงราย เป็นผู้กล่าวหา ทำให้เมื่อรวมสำนวนทั้งสองในชั้นศาล คดีนี้มีจำนวนโพสต์ที่ถูกกล่าวหาทั้งสิ้น 27 โพสต์
.
มงคลต่อสู้คดีโดยรับว่าเป็นผู้โพสต์ข้อความทั้งหมด แต่ข้อความไม่เป็นความผิดตามกฎหมาย โดยในการสืบพยาน ศาลมีคำสั่งให้พิจารณาเป็นการลับ ไม่อนุญาตให้บุคคลภายนอกเข้าฟังการพิจารณา
.
เมื่อเสร็จสิ้นการสืบพยาน ศาลจังหวัดเชียงรายมีคำพิพากษา เมื่อวันที่ 26 ม.ค. 2566 โดยเห็นว่าการกระทำของจำเลยเป็นความผิดในจำนวน 14 ข้อความ และยกฟ้องอีก 13 ข้อความ ในกรณีข้อความที่เกี่ยวกับอดีตกษัตริย์รัชกาลที่ 9 หรือข้อความที่ไม่สามารถตีความระบุตัวบุคคลได้ว่าโพสต์หมายถึงบุคคลใด และบางโพสต์แม้จะมีภาพรัชกาลที่ 10 แต่ศาลก็เห็นว่าไม่เป็นการดูหมิ่นหรือหมิ่นประมาท ทำให้ไม่เข้าองค์ประกอบมาตรา 112
.
ภายหลังฟังคำพิพากษาของศาลชั้นต้น จำเลยและโจทก์อุทธรณ์คำพิพากษาต่อศาล โดยจำเลยขอให้ยกฟ้องข้อความทั้งหมดและโจทก์ขอให้ลงโทษข้อความทั้งหมด
.
หลังจากนั้นวันที่ 18 ม.ค. 2567 ศาลอุทธรณ์ภาค 5 มีคำพิพากษาลงโทษจำเลยเพิ่มอีก 11 ข้อความ กระทงละ 3 ปี จำเลยให้การเป็นประโยชน์ต่อการพิจารณา ลดโทษเหลือจำคุกกระทงละ 2 ปี รวมจำคุก 22 ปี เมื่อรวมกับโทษจำคุก 28 ปี ในอีก 14 กระทงก่อนหน้านี้ รวมเป็นโทษจำคุกรวม 50 ปี โดยวินิจฉัยเห็นว่าความผิดตามมาตรา 112 ไม่ได้หมายความถึงเฉพาะพระมหากษัตริย์ที่ครองราชย์อยู่ในขณะมีการกระทำความผิดเท่านั้น แต่หมายความรวมถึงพระมหากษัตริย์ที่สวรรคตไปแล้ว หรือมิได้ทรงครองราชย์ต่อไปแล้วด้วย ดังนั้นการกระทำของจำเลยทั้ง 9 โพสต์ ก็เป็นความผิดตามมาตรานี้
.
จากนั้นระหว่างถูกคุมขัง ไม่ได้รับการประกันตัวในชั้นฎีกา จำเลยยื่นฎีกาต่อมา ขอให้ทบทวนคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ภาค 5 และวินิจฉัยในประเด็นการต่อสู้อีกครั้ง
.
ศาลฎีกาพิพากษา การตีความว่า ม.112 ไม่รวมอดีตกษัตริย์อาจเปิดช่องให้ละเมิด กระทบจิดใจประชาชน
.
เวลา 9.20 น. มงคลถูกเบิกตัวจากห้องขังใต้ถุนศาลขึ้นมายังห้องพิจารณาคดีที่ 7 ท่ามกลางครอบครัวและผู้เดินทางมาให้กำลังใจราว 5 คน ศาลเริ่มแกะซองคำพิพากษาฎีกา และอ่านโดยสรุปได้ว่า
.
คดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามมาตรา 112 และ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ มาตรา 14 วรรค 1 (3), (5) บทเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ลงโทษตามมาตรา 112 ที่มีโทษหนักสูง เป็นจำนวน 14 กระทง ให้ลงโทษเรียงกระทงความผิดไป ลงโทษจำคุกกระทงละ 3 ปี ทางนำสืบของจำเลยเป็นประโยชน์ต่อการพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลถโทษให้กระทงละ 1 ใน 3 คงจำคุกกระทงละ 2 ปี รวมจำคุก 28 ปี ส่วนศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษาแก้เป็นลงโทษจำคุก 50 ปี
.
ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่าจำเลยเป็นเจ้าของบัญชีชื่อว่า “บัสบาส บาสบัส” โพสต์ภาพและข้อความจำนวน 27 โพสต์
.
ประเด็นที่ต้องพิจารณาตามฎีกาของจำเลย เห็นควรพิจารณาฎีกาของจำเลยในส่วนที่ว่าคำขอแก้ไขคำฟ้องของโจทก์ ที่ขอให้แก้ไขคำฟ้องเพิ่มเติมเข้ามาในคำขอท้ายคำฟ้องให้ลงโทษทุกกรรมเรียงกระทงตามประม วลกฎหมายอาญา มาตรา 91 นั้น เห็นว่าคำฟ้องของโจทก์บรรยายคำฟ้องแยกมาเป็นข้อ ๆ แยกข้อเท็จจริง แต่ละข้อต่างความประสงค์กัน การกระทำมุ่งประสงค์ในแต่ละพระองค์แตกต่างกัน แม้โจทก์ไม่อ้างถึงประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 แต่ศาลลงโทษเป็นความผิดต่างกรรมต่างกันได้ ดังนั้นในประเด็นข้อนี้ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น
.
ประเด็นพิจารณาต่อมาว่าการกระทำตามคำฟ้อง เป็นการกระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 หรือไม่ เห็นว่าความผิดตามมาตรา 112 อยู่ในหมวด 1 ความผิดต่อความมั่นคงตามประมวลกฎหมายอาญา ซึ่งยึดโยงกับความมั่นคงและรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560 หมวด 2 การละเมิดต่อพระมหากษัตริย์ย่อมเป็นการละเมิดต่อความมั่นคงแห่งราชอาณาจักร
.
ศาลฎีกาเห็นว่า กฎหมายมุ่งหมายรักษาปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ ทั้งประชาชนชาวไทยมีความผูกพันธ์ต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ การกระทำดังกล่าวเป็นการกระทบกระเทือนจิตใจของประชาชนชาวไทย ทั้งมาตรา 112 ก็ไม่ระบุว่าจะต้องคุ้มครองเฉพาะพระมหากษัตริย์องค์ปัจจุบันเท่านั้น การตีความว่ามาตรา 112 คุ้มครองเฉพาะพระมหากษัตริย์องค์ปัจจุบันอาจเป็นการเปิดช่องให้เกิดการล่วงละเมิดต่อพระมหากษัตริย์ในอดีตซึ่งกระทบต่อพระมหากษัตริย์ปัจจุบัน ส่งผลต่อความเชื่อถือและศรัทธา ทั้งเป็นเรื่องร้ายแรงที่กระทบต่อความมั่นคงของประเทศ การกระทำในลักษณะดังกล่าวจึงเป็นความผิดได้ทั้งสิ้น ฎีกาของจำเลยในส่วนนี้ฟังไม่ขึ้น
.
ส่วนที่จำเลยต่อสู้ว่าไม่มีเจตนาหมิ่นประมาท เป็นเพียงการล้อเลียนจึงไม่เป็นความผิดนั้น เห็นว่าตามมาตรา 112 ให้ดูผลแห่งการกระทำเป็นสำคัญ ในส่วนนี้ศาลฎีกาเห็นฟ้องกับคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ภาค 5 แล้ว ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น
.
ส่วนข้อความที่ 8 และข้อความที่ 9 ที่มีการโพสต์ภาพเคลื่อนไหวที่รัชกาลที่ 9 ตอบคำถามสื่อต่างประเทศเกี่ยวกับความล่าช้าของการสร้างเขื่อนเก็บน้ำเนื่องด้วยปัญหาคอมมิวนิสต์ แต่เมื่อสร้างเสร็จแล้วก็จะเป็นประโยชน์กับประชาชนรวมถึงคอมมิวนิสต์ด้วย เมื่อพิจารณาเนื้อหาดูแล้วยังไม่เพียงพอฟังได้ว่าเป็นการกระทำให้เสื่อมเสียพระเกียรติยศ ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังขึ้น
.
ส่วนประเด็นที่ว่าการกระทำของจำเลยเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ หรือไม่ เห็นว่าการกระทำของจำเลยเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ มาตรา 14 วรรค 1 (3) (5) ชอบแล้ว ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น
.
ส่วนที่จำเลยฎีกาว่าการดำเนินคดีนี้เป็นการดำเนินคดีโดยไม่สุจริตเพราะพนักงานสอบสวนไม่ออกหมายเรียกก่อนนั้น เห็นว่าศาลชั้นต้นออกหมายจับชอบแล้ว ไม่เป็นการดำเนินคดีไม่สุจริต
.
พิพากษาแก้เป็นยกฟ้องจำเลยในกระทงความผิดที่ 8 และ 9 สรุปรวมแล้วศาลฎีกาเห็นว่าจำเลยจึงมีความผิดทั้งหมด 23 กระทง ลงโทษจำคุกกระทงละ 3 ปี ให้การเป็นประโยชน์ต่อการพิจารณา ลดโทษลง 1 ใน 3 เหลือจำคุกกระทงละ 2 ปี รวมโทษจำคุก 46 ปี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ภาค 5
.
หลังฟังคำพิพากษา มงคลนิ่งเงียบ ไม่ได้พูดอะไร ก่อนถูกเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์พาตัวเดินลงไปข้างล่างศาล ก่อนศาลพิจารณาในคดีอื่นต่อไป
.
.
โทษจำคุกของศาลฎีกาในคดีนี้ ยังนับได้ว่าเป็นคดีมาตรา 112 ที่โทษสูงที่สุดเป็นประวัติการณ์ โดยเท่าที่ทราบข้อมูลก่อนหน้านี้ คดีที่ถูกลงโทษจำคุกสูงที่สุด คือ คดีของ “อัญชัญ” ศาลอาญาลงโทษจำคุกรวม 87 ปี จากการเผยแพร่คลิปเสียงของ “บรรพต” จำนวน 29 กรรม โดยเธอให้การรับสารภาพ ศาลจึงลดโทษเหลือจำคุก 29 ปี 174 เดือน (คิดเป็นประมาณ 43 ปี 6 เดือน) โทษจำคุกที่ถูกลดหย่อนแล้วในกรณีของบัสบาส จึงยังสูงกว่าคดีของอัญชัญ
.
รวมทั้งนอกเหนือจากคดีนี้ มงคลยังถูกกล่าวหาตามมาตรา 112 ในอีก 2 คดี ได้แก่ คดีจากการโพสต์อีก 2 ข้อความ โดยมีผู้กล่าวหาเป็นตำรวจรายเดียวกับคดีข้างต้น และถูกฟ้องคดีที่ศาลจังหวัดเชียงรายเช่นกัน โดยในคดีนี้ ทั้งศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษาว่า มงคลมีความผิดตามฟ้อง ลงโทษจำคุกกระทงละ 2 ปี และให้เพิ่มโทษจำคุกอีก 6 เดือน จากคดีที่จำเลยเคยถูกกล่าวหาเรื่องการบุกรุกเคหสถานและเคยให้รอการลงโทษไว้ รวมลงโทษจำคุกทั้งหมด 4 ปี 6 เดือน คดียังอยู่ระหว่างฎีกา
.
ส่วนอีกคดีหนึ่ง ในระหว่างที่มงคลถูกคุมขัง พนักงานสอบสวนจาก บก.ปอท. ได้เดินทางไปแจ้งข้อกล่าวหา เหตุจากโพสต์ข้อความในเฟซบุ๊กในช่วงเดือนพฤษภาคม – กันยายน 2565 เพิ่มอีก 3 ข้อความ โดยพบว่าคดีมี อานนท์ กลิ่นแก้ว จากกลุ่มศูนย์รวมประชาชนปกป้องสถาบัน (ศปปส.) เป็นผู้ไปกล่าวหาไว้ โดยคดีนี้ยังอยู่ในชั้นสอบสวน

https://www.facebook.com/photo?fbid=1264321108871690&set=a.656922399611567



ผลงาน ภูมิใจไทยการละคร -ขึงขังปราบสแกมเมอร์ -ล้มเหลวรับมือน้ำท่วม -พอน้ำลด จุดกระแสชาตินิยม -รบกัมพูชา -สุดท้าย ฉีก MOA เบี้ยวแก้รัฐธรรมนูญ !





https://x.com/P_23_10/status/1999120097705939431


 

ไทม์ไลน์ หลัง #อนุทิน ยื่น #ยุบสภา (11 ธ.ค. 2568)







https://x.com/joe_black317/status/1999148157943632102

joe black
@joe_black317


ไทม์ไลน์ หลัง #อนุทิน ยื่น #ยุบสภา (11 ธ.ค. 2568)
✅ 11 ธันวาคม 2568 — วันยื่นยุบสภา
นายกฯ เสนอคำแนะนำยุบสภาทูลเกล้าฯ
หลังประกาศราชกิจจาฯ → สภาสิ้นสภาพทันที
รัฐบาลเข้าสู่ สถานะรักษาการ
---

✅ ภายใน 12–16 ธันวาคม 2568 — ประกาศวันเลือกตั้ง
กกต. ต้องกำหนดวันเลือกตั้ง ภายใน 5 วัน หลังยุบสภา
(ประกาศช่วงวันที่ 12–16 ธ.ค. 68)
---

📌 กำหนดช่วงวันเลือกตั้งที่เป็นไปได้ตามกฎหมาย (45–60 วัน)
นับจาก 11 ธ.ค. 68 →
▸ 45 วัน = 25 มกราคม 2569
▸ 60 วัน = 9 กุมภาพันธ์ 2569
ดังนั้นวันเลือกตั้งต้องอยู่ในช่วง:
25 ม.ค. 2569 – 9 ก.พ. 2569
กกต. จะเลือกวันใดวันหนึ่งในกรอบนี้
---

✅ ช่วงกลาง–ปลายธันวาคม 2568 — เปิดรับสมัคร ส.ส.
โดยมากจะเปิดรับสมัครภายใน 10–20 วันหลังประกาศวันเลือกตั้ง
คาดการณ์ช่วงรับสมัคร:
📌 20–28 ธันวาคม 2568
สมัคร ส.ส. เขต
สมัครบัญชีรายชื่อพรรค
---
✅ มกราคม 2569 — ช่วงหาเสียงเลือกตั้งเข้มข้น ทำป้าย
เปิดนโยบาย
ดีเบต
รายงานค่าใช้จ่ายตามเพดาน กกต.
---

🗳️ วันเลือกตั้งทั่วไป (วันจริงจะอยู่ในช่วงนี้)
⭐ 25 มกราคม – 9 กุมภาพันธ์ 2569
(กกต. จะประกาศวันจริงภายใน 5 วันหลังยุบสภา)
---

✅ ภายใน 60 วันหลังวันเลือกตั้ง — ประกาศรับรองผล
ตัวอย่าง: ถ้าเลือกตั้ง 28 ม.ค. 2569 → ต้องรับรองผล ภายใน 29 มี.ค. 2569
---

✅ หลังรับรองผล — เปิดประชุมรัฐสภา (ต้นเมษายน 2569)
ส.ส. ชุดใหม่ปฏิญาณ
เลือกประธานสภา
เปิดประชุมร่วมรัฐสภา เตรียมโหวตนายกฯ
---

👑 โหวตนายกรัฐมนตรี (คาดการณ์กลางเมษายน 2569)
ผู้ได้เสียงสนับสนุน → นายกฯ คนใหม่ ตั้งคณะรัฐมนตรี
---

🎉 รัฐบาลใหม่เริ่มทำงาน (ปลายเมษายน–พฤษภาคม 2569)
ครม. เข้าถวายสัตย์

รัฐบาลรักษาการสิ้นสุด