ขบวนการสร้างเสริมสุขภาพประชาชนDecember 26
·

โฮเทล รวันดา กับคำถามต่อสื่อไทย : เมื่อความเกลียดชังถูกทำให้กลายเป็นเรื่องปกติ
.
หลังการฉายภาพยนตร์ โฮเทล รวันดา ภาพความรุนแรงจากการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์เมื่อปี 2537 ไม่ได้จบลงเพียงในโรงภาพยนตร์ หากแต่กลายเป็นคำถามที่ย้อนกลับมาหาสังคมร่วมสมัย โดยเฉพาะบทบาทของสื่อมวลชนในการผลิตซ้ำความเกลียดชัง
.
คุณวรา จันทร์มณี นักวิชาการอิสระ ชวนผู้ชมเริ่มต้นจากคำถามง่าย ๆ แต่หนักหน่วง
“ใครดูหนังแล้วรู้สึกเศร้า และรู้สึกว่าการเข่นฆ่า การเกลียดชังกันทางเชื้อชาติไม่ควรเกิดขึ้นบ้าง”
.
คำถามนี้ไม่ใช่เพียงการชวนสะท้อนความรู้สึก แต่เป็นการชวนคิดต่อว่า หากทุกคนเห็นตรงกันว่าความรุนแรงเช่นนี้ไม่ควรเกิดขึ้น เหตุใดสังคมจึงยังยอมให้ความเกลียดชังในลักษณะเดียวกันดำรงอยู่ในโลกความจริง
.
คุณวรามองว่า สิ่งที่หนังสะท้อนกลับมา ไม่ใช่แค่ประวัติศาสตร์ของรวันดา แต่คือสภาพของสังคมมนุษย์เอง
“มันสะท้อนความต่ำทรามของสังคม”
.
โดยเฉพาะเมื่อพิจารณาบทบาทของสื่อมวลชน ซึ่งควรเป็นพื้นที่ของเหตุผลและจรรยาบรรณ แต่กลับกลายเป็นพื้นที่ที่ความเกลียดชังถูกทำให้ดูชอบธรรมและขายได้
.
เขาอธิบายว่าสื่อไทยในปัจจุบันอาจแบ่งออกได้เป็นสองกลุ่ม คือสื่อหลักที่เป็นสถาบัน และสื่อที่ควบคุมไม่ได้อย่างอินฟลูเอ็นเซอร์ แม้เหตุการณ์ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ในรวันดาจะผ่านมากว่า 30 ปี แต่บทเรียนด้านจริยธรรมกลับไม่ถูกนำมาใช้กับการทำงานสื่อในปัจจุบัน
.
ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นกับกรณีคุณอังคณา นีละไพจิตร รวมถึงความขัดแย้งระหว่างไทยกับประเทศเพื่อนบ้าน สะท้อนรูปแบบเดียวกัน คือการทำให้ “คนอื่น” กลายเป็นศัตรู
“มึงไม่ใช่พวกกู กูก็ไม่จำเป็นต้องดีกับมึง”
.
ความคิดเช่นนี้ทำให้การผลักใครบางคนออกจากความเป็นมนุษย์ กลายเป็นเรื่องง่าย และถูกทำให้เป็นเรื่องปกติในพื้นที่สื่อ
.
คุณวรามองว่า ปัญหานี้ไม่ได้เกิดขึ้นอย่างโดดเดี่ยว แต่เชื่อมโยงกับโครงสร้างอำนาจทางการเมืองและทุนที่อยู่เบื้องหลังสื่อหลักจำนวนไม่น้อย สื่อบางแห่งอาจไม่ได้ทำงานอย่างอิสระ แต่ได้รับ “โจทย์” ในการปลุกอุดมการณ์ชาตินิยม เพื่อสร้างความขัดแย้งที่เอื้อต่อผลประโยชน์ทางการเมืองหรือการเลือกตั้ง
.
ขณะเดียวกัน สื่อใหม่และอินฟลูเอ็นเซอร์จำนวนมากก็ทำงานในทิศทางเดียวกัน คือการเร้าอารมณ์และปลุกกระแส โดยขาดความรับผิดชอบต่อผลกระทบที่เกิดขึ้นกับสังคม
.
อย่างไรก็ตาม คุณวรามองว่าสังคมไทยยังมีความหวังอยู่บ้าง เขาชี้ให้เห็นว่ากรณีคุณอังคณาที่สังคมตีกลับอย่างรวดเร็วภายในไม่กี่วัน เป็นสัญญาณว่าสังคมยังไม่ยอมรับความอยุติธรรมทั้งหมด
“มันแสดงให้เห็นว่าสังคมไทยไม่ได้เป็นแบบนั้นไปทั้งหมด”
.
เขายังตั้งคำถามต่อวาทกรรม “แม่พระเขมร” ที่ถูกใช้โจมตีคุณอังคณาอย่าง
ตรงไปตรงมา
“นิยามความเป็นแม่พระต้องสังกัดชาติหรือเปล่า”
.
สำหรับคุณวรา ความเมตตาไม่ควรถูกผูกขาดด้วยสัญชาติ และการอ้างความรักชาติด้วยการสนับสนุนความรุนแรง ไม่อาจเรียกว่าเป็นคุณธรรมได้
.
ในช่วงท้าย คุณวราเน้นย้ำบทบาทของสื่อที่ควรเป็นมากกว่าผู้ถ่ายทอดข้อมูล เขาอ้างถึงแนวคิดที่ว่า สื่อไม่ควรเป็นเพียง “กระจก” สะท้อนข้อเท็จจริงแบบไร้การวิเคราะห์ แต่ต้องทำหน้าที่นำทางให้สังคม
“สื่อต้องเป็นกระจกสะท้อนข้อเท็จจริงอย่างไม่มีอคติ และต้องเป็นไฟฉาย ที่ทำหน้าที่จำแนกแยกแยะและชี้ทางออกให้สังคมด้วย”
.
ไฟฉายที่ช่วยให้สังคมมองเห็นไกลขึ้น เห็นความซับซ้อนของปัญหา และไม่ปล่อยให้ความเกลียดชังครอบงำการรับรู้
.
ท้ายที่สุด คุณวราเรียกร้องให้ทุกภาคส่วนในสังคม ไม่ว่าจะเป็นสื่อ ทุน หรือผู้มีอำนาจทางการเมือง ร่วมกันทบทวนบทบาทและความรับผิดชอบของตนเอง
“วันนี้สิ่งที่สังคมไทยต้องทำ คือทวงจิตสำนึกของสื่อมวลชนกลับคืนมา”
.
เพื่อไม่ให้บทเรียนจาก โฮเทล รวันดา เป็นเพียงเรื่องเล่าในจอภาพยนตร์ แต่กลายเป็นบทเรียนที่ช่วยหยุดยั้งความรุนแรงในโลกความจริงได้อย่างแท้จริง
.

เรียบเรียงจากงานเสวนา "จาก โฮเทล รวันดา สู่บทเรียนสังคมไทย"
__________

ขอบคุณที่ร่วมเป็นส่วนหนึ่งของการเคลื่อนไหวเพื่อสร้างนิเวศสุขภาวะที่ดีของทุกคน
โดย ทีมงาน ขบวนการสร้างเสริมสุขภาพประชาชน (ขสช.)
https://www.facebook.com/photo?fbid=1277017157801402&set=a.545111547658637
.....
ขบวนการสร้างเสริมสุขภาพประชาชน6 hours ago
·

จาก โฮเทล รวันดา ถึง “อังคณา แม่พระเขมร” : ความเกลียดกลัวที่ถูกสร้าง และบทบาทสื่อในสังคมแตกแยก
.
เวทีเสวนา “จากโฮเทล รวันดา สู่บทเรียนสังคมไทย” ไม่ได้ชวนผู้ฟังย้อนมองเพียงโศกนาฏกรรมในต่างแดน หากแต่พากลับมาตั้งคำถามกับสังคมไทยในปัจจุบันอย่างตรงไปตรงมา
.
ศาสตราจารย์สมชาย ปรีชาศิลปกุล อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ชวนผู้ฟังเริ่มต้นจากคำถามพื้นฐานที่สุดข้อหนึ่ง คือ ความเกลียดและความกลัวถูกสร้างขึ้นมาได้อย่างไร และมันทำงานอย่างไรในสังคม
.
อาจารย์สมชายยกกรณีการโจมตีคุณอังคณา นีละไพจิตร นักสิทธิมนุษยชน ที่ถูกตีตราด้วยวาทกรรมอย่าง “อังคณา แม่พระเขมร” มาเป็นตัวอย่างร่วมสมัย พร้อมชี้ให้เห็นว่า นี่ไม่ใช่เหตุการณ์แรก และไม่ใช่บุคคลแรกที่ถูกทำให้กลายเป็น “คนอื่น”
.
ในสังคมไทย เราคุ้นชินกับป้ายกำกับลักษณะนี้มานาน ตั้งแต่วาทกรรม “นักวิชาการไทยหัวใจเขมร” ไปจนถึงการกล่าวหาทางการเมืองในช่วงความขัดแย้งชายแดน
.
อาจารย์สมชายอธิบายว่า กลไกสำคัญที่ทำให้ความเกลียดและความกลัวทำงานได้อย่างรวดเร็ว มีฐานคิดหลักอยู่ไม่กี่เรื่อง เมื่อใครก็ตามถูกมองว่าเป็นปฏิปักษ์ต่อสิ่งเหล่านี้ บุคคลนั้นจะถูกผลักออกจากความเป็น “พวกเรา” ทันที และเมื่อกลายเป็น “คนอื่น” ก็ย่อมถูกขับไล่ กดทับ หรือทำให้เงียบเสียงได้อย่างชอบธรรมในสายตาของสังคมบางส่วน
.
“สังคมไทยมีสิ่งที่ทำให้เกิดความเกลียด กลัว หลายเรื่อง และผลักให้คนที่คิดต่างกลายเป็นคนอื่น พอเป็นคนอื่น ก็แปลว่าพร้อมจะถูกขับไล่ นี่คือฐานคิดที่เป็นปัญหาใหญ่ของสังคม”
.
อาจารย์สมชายตั้งข้อสังเกตว่า ความน่ากังวลไม่ใช่เพียงความเกลียดชัง แต่คือ ความกลัว ที่ถูกปลูกฝังให้เชื่อว่า คนที่คิดต่างจะมาสั่นคลอนสถาบันหลักของประเทศ และความกลัวนี้เองที่ทำให้สังคมยอมรับการทำร้ายทางวาทกรรม หรือแม้แต่การละเมิดสิทธิของผู้อื่นได้ง่ายขึ้น
.
อีกประเด็นสำคัญที่ถูกหยิบยกขึ้นมาคือ บทบาทของสื่อในยุคปัจจุบัน
.
อาจารย์สมชายชี้ว่า ในอดีต สื่อกระแสหลักยังมีกรอบจริยธรรมและกระบวนการกลั่นกรองบางอย่าง แต่ในยุคของสื่อใหม่และอินฟลูเอนเซอร์ ข้อมูลสามารถแพร่กระจายได้อย่างรวดเร็ว โดยมักเล่นกับอารมณ์ ความโกรธ ความกลัว และความดราม่า มากกว่าความจริงที่ผ่านการตรวจสอบ
.
ไม่ว่าจะเป็นข่าวความรุนแรง ข่าวศาสนา หรือประเด็นความขัดแย้งระหว่างประเทศ ข้อมูลจำนวนมากถูกเผยแพร่และ “เลือกข้าง” ทันที โดยที่ข้อเท็จจริงยังไม่ชัดเจน ผลที่ตามมาคือ ความเกลียดชังถูกขยายตัวอย่างรวดเร็ว ขณะที่กระบวนการตรวจสอบและถ่วงดุลกลับตามไม่ทัน
.
อาจารย์สมชายเตือนว่า ในสถานการณ์เช่นนี้ สังคมจำเป็นต้อง ชะลออารมณ์และใช้ความระมัดระวังอย่างยิ่ง ต่อการกล่าวหาใครก็ตามว่าเป็นศัตรูของชาติ หรือเป็นภัยต่อสังคม
คำถามสำคัญไม่ใช่เพียงว่า “ใครพูดอะไร” แต่คือ สิ่งที่ถูกกล่าวหานั้นจริงหรือไม่ และเรากำลังถูกชักนำให้เกลียดกลัวใครโดยไม่รู้ตัวหรือเปล่า
.
บทเรียนจาก โฮเทล รวันดา จึงไม่ได้เป็นเพียงเรื่องของการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ในอดีต แต่สะท้อนให้เห็นว่า เมื่อสังคมยอมให้ความเกลียดกลัวทำงานโดยไร้การตั้งคำถาม ความกระหายยอดเอนเกจเมนต์ จนลดทอนคุณค่าความเป็นมนุษย์อย่างง่ายดาย และเมื่อถึงจุดนั้น ความรุนแรงก็อาจไม่ใช่เรื่องไกลตัวอีกต่อไป
.

เรียบเรียงจากงานเสวนา "จาก โฮเทล รวันดา สู่บทเรียนสังคมไทย"
__________

ขอบคุณที่ร่วมเป็นส่วนหนึ่งของการเคลื่อนไหวเพื่อสร้างนิเวศสุขภาวะที่ดีของทุกคน
โดย ทีมงาน ขบวนการสร้างเสริมสุขภาพประชาชน (ขสช.)
https://www.facebook.com/photo/?fbid=1278540694315715&set=a.545111547658637