เปิดใจเจ้าของ "น้ำปลาตราสามกระต่าย" SME ไทยที่ต้องดิ้นรนสู้การปิดด่านชายแดน และกระแสแบนสินค้าไทยในกัมพูชา
วศินี พบูประภาพ
ผู้สื่อข่าวบีบีซีไทย
17 ธันวาคม 2025
"ยอด(ขาย)มันหายไปประมาณ 80% ในแง่ภาพรวมธุรกิจมันกระทบหนักมาก"ทศพล เครือลอย ทายาทธุรกิจน้ำปลาตราสามกระต่ายและผู้ประกอบการชาวเกาะกูด จ.ตราด เล่าให้บีบีซีไทยฟัง หลังจากที่วิกฤตความขัดแย้งชายแดนไทย-กัมพูชาปะทุขึ้น
นับตั้งแต่เดือน พ.ค. ที่ผ่านมา
สำหรับ ทศพล วิกฤตการณ์ครั้งนี้ไม่ได้เป็นเพียงแค่หัวข้อข่าวการเมือง ทว่าการปิดเส้นทางการค้าของสองฝั่งประเทศยังส่งผลโดยตรงต่อรายได้ของธุรกิจที่สืบทอดกันมาแล้วหลายรุ่น
ในวันนี้ ธุรกิจครอบครัวขนาดเล็กที่สั่งสมความสำเร็จในตลาดกัมพูชามากว่าสี่ทศวรรษแห่งนี้ กำลังต่อสู้เพื่อรักษาลมหายใจของกิจการและคนงานในท้องถิ่น ท่ามกลางข้อจำกัดที่มาพร้อมกับกระแสชาตินิยมที่เกิดขึ้นทั้งในไทยและกัมพูชา
น้ำปลาตราสามกระต่าย หรือที่รู้จักกันในหมู่ชาวกัมพูชาว่า "ตกึ เตรย ตนซาย เบย์" มีรากฐานมาจากชุมชนชาวประมงบนเกาะกูด จ.ตราด โดยสามารถย้อนประวัติกลับไปได้กว่าครึ่งศตวรรษ จากรากฐานของครอบครัวของทศพลซึ่งมีอาชีพหลักคือการหาปลา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง "ปลากะตัก"
ในอดีตเรือรับซื้อปลาขนาดใหญ่ไม่สามารถเข้ามาซื้อปลาบนเกาะกูดได้เป็นประจำเพราะสภาพคลื่นลมและพายุ วันหนึ่งปู่ของทศพลจึงตัดสินใจลองนำปลาที่จับได้มาหมักทำน้ำปลาเอง
ธุรกิจน้ำปลาจึงเริ่มต้นขึ้น โดยเริ่มต้นจากการเป็นแบรนด์ "สองกระต่าย" ตามปีเถาะ (ปีกระต่าย) ซึ่งเป็นปีเกิดของคุณพ่อของทศพล แต่เนื่องจากไม่สามารถจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าได้เพราะมีสินค้าอื่นที่เป็นเครื่องปรุงจดทะเบียนไปก่อนแล้ว จึงต้องเพิ่มเป็น "สามกระต่าย" และใช้ชื่อนี้มาตั้งแต่ปี 2528 และจดทะเบียนในนาม บริษัท เทพพรชัย อุตสาหกรรม จำกัด
ตั้งแต่นั้นมา โรงงานน้ำปลาแห่งนี้ก็กลายเป็นแหล่งรายได้ของทั้งชาวประมงประจำถิ่นและคนงานหลายสิบครอบครัว
จากภูมิปัญญาชาวบ้านสู่ความรุ่งเรืองในตลาดกัมพูชาในช่วงที่ทศพลเข้ามารับช่วงกิจการต่อเมื่อประมาณ 10 ปีที่แล้ว โรงน้ำปลาของเขาขายสินค้าได้อย่างรวดเร็วจนประสบปัญหาผลิตไม่ทันขาย โดยยอดขายส่วนใหญ่ของแบรนด์นี้อยู่ในประเทศกัมพูชาซึ่งเป็นตลาดที่พวกเขาตัดสินใจขายเป็นตลาดหลัก โดยก่อนที่จะมีการปิดด่านธุรกิจแห่งนี้มีสัดส่วนการส่งออกน้ำปลาไปขายยังกัมพูชา 80% และการขายในประเทศไทย 20%
เมื่อถามว่าน้ำปลาตราสามกระต่ายเป็นที่โด่งดังในกัมพูชาเพียงใด เจ้าของกิจการผู้นี้เล่าจากประสบการณ์ของตนให้บีบีซีไทยฟัง
"ล่าสุดไปเสียมเรียบ (จ.เสียมราฐ) เมื่อสักปีสองปีที่แล้ว ก็เรียกได้ว่าถ้าไปร้านอาหารหลาย ๆ ร้านก็จะใช้สามกระต่ายมาขึ้นตั้งบนโต๊ะเลย แต่ว่าถ้าไปในครัวจะเจอแน่นอนว่ามีน้ำปลาสามกระต่ายอยู่ในครัว ตามโรงแรมในเสียมเรียบ ตามร้านอาหาร มีแน่นอน"
แม้น้ำปลาของเขาจะการันตีคุณภาพด้วยรางวัลโอทอป (OTOP) 5 ดาว กระนั้นแล้วทศพลก็วิเคราะห์ว่าความสำเร็จของน้ำปลาตราสามกระต่ายในกัมพูชามาจากสามปัจจัยหลัก ได้แก่ รสชาติ ทำเลที่ตั้ง และการทำการตลาด
สำหรับรสชาติ เขาเชื่อว่าแบรนด์ของเขามีรสชาติอันเป็นเอกลักษณ์คือ "เค็มอมหวาน" ซึ่งเป็นสิ่งที่ลูกค้าทางกัมพูชาบอกกับพวกเขาเองว่า เป็นรสชาติที่กลมกล่อมและถูกปากคนกัมพูชาที่ "ลิ้นติดหวาน"
นอกจากนี้ ทำเลที่ตั้งใน จ.ตราด ซึ่งติดชายแดนยังเป็นข้อได้เปรียบในการขนส่งข้ามแดน ในช่วงแรก การค้าเกิดขึ้นในลักษณะที่พ่อค้ากัมพูชาข้ามมาซื้อสินค้าแล้วนำกลับไปขายที่บ้าน จนกระทั่งราว 10 ปีหลังจากการค้าชายแดนเริ่มต้น ก็เริ่มมีคู่ค้าชาวกัมพูชาติดต่อเข้ามาสั่งซื้อโดยตรง
ตลาดกัมพูชามีความสำคัญอย่างยิ่งยวดต่อกิจการนี้ จนกระทั่งช่วงที่เกิดการระบาดของโรคโควิด-19 และมีการคาดการณ์ว่าจะเกิดการล็อกดาวน์ ทางคู่ค้าได้เร่งสั่งสินค้าเข้าไปตุน ทำให้ยอดขายพุ่งสูงที่สุดเท่าที่เคยมีมาถึง 7 ล้านบาทต่อเดือน
ธุรกิจครอบครัวของทศพลเป็นเพียงตัวอย่างของธุรกิจ SME ไทยแห่งหนึ่ง จาก SME ไทยที่ประกอบธุรกิจในตลาดของประเทศกัมพูชาทั้งหมดที่มีมูลค่าการส่งออกในปี 2567 รวมกันกว่า 6,700 ล้านบาทตาม
ตัวเลขของสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม
จากข้อมูลของสภาธุรกิจไทย-กัมพูชาและหอการค้าแห่งประเทศไทยประเมินว่า ภูมิทัศน์ของธุรกิจเหล่านี้ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป หลังความขัดแย้งไทย-กัมพูชาปะทุขึ้นตั้งแต่ช่วงกลางปี 2568 และดำเนินมาถึงปัจจุบัน
"[ธุรกิจ]ปิดไปแล้วประมาณสัก 30-40% เฉพาะใน 7 จังหวัด[ชายแดนไทย-กัมพูชา]นะ อีก 70% อาจยังทรง ๆ อยู่หรือไม่ก็พยายามจะหางานอื่นมาเพิ่มเติม" วรทัศน์ ตันติมงคลสุข ประธานสภาธุรกิจไทย-กัมพูชากล่าวกับบีบีซีไทย โดยอ้างอิงตามข้อมูลการจดทะเบียนของกรมพัฒนาธุรกิจการค้ารายจังหวัด ทั้งนี้ เขาระบุว่าข้อมูลนี้ไม่ได้ชี้เฉพาะไปถึงธุรกิจที่มีการค้าขายหรือส่งออกโดยตรง
วิกฤตหนักที่สุดเท่าที่เคยเจอมาข้อมูลจากกรมการค้าต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ รายงานว่าในช่วงครึ่งแรกของปี 2568 มูลค่าการค้ารวมไทย-กัมพูชาอยู่ที่ 95,000 ล้านบาทและมีการเติบโตกว่า 10%
ความขัดแย้งระหว่างไทยและกัมพูชาปะทุขึ้นในช่วงปลายเดือน พ.ค. 2568 ทำให้ฝ่ายความมั่นคงตัดสินใจยกระดับมาตรการควบคุมด่านบริเวณชายแดนและผ่อนปรนหลายครั้ง ก่อนที่จะมี
คำสั่งจากกองบัญชาการป้องกันชายแดนจันทบุรีและตราด (เฉพาะ) ที่ 1092/2568 ปิดด่านชายแดนถาวร เมื่อวันที่ 23 มิ.ย.
หนึ่งในด่านที่ถูกปิดระลอกนั้นคือจุดผ่านแดนถาวรบ้านหาดเล็ก ต.หาดเล็ก อ.คลองใหญ่ จ.ตราด หนึ่งในเส้นทางหลักในการส่งสินค้าของบริษัทน้ำปลาท้องถิ่น
ในขณะนั้นทศพลและคู่ค้าชาวกัมพูชาต่างก็คาดไม่ถึงว่าความขัดแย้งรอบล่าสุดจะรุนแรงถึงขนาดต้องปิดด่านเป็นระยะเวลานาน ธุรกิจของเขาเคยผ่านวิกฤตชายแดนไทยและกัมพูชามาก่อนในช่วงกรณีพิพาทคดีเขาพระวิหารมาแล้วโดยที่ไม่ได้มีผลกระทบมากนัก
ในช่วงต้นของความขัดแย้งระลอกปี 2568 นี้ เขาและคู่ค้ายังคงเพียรหาวิธีลัดเลาะไปตามด่านที่ยังสามารถจัดส่งสินค้าได้อยู่ หรือจุดที่มีการผ่อนปรน
ทว่าความรุนแรงก็ขยายตัวขึ้นในช่วงกลางเดือน ก.ค. จนทำให้กองทัพภาคที่ 2
ประกาศปิดจุดผ่านแดนตามแนวชายแดนไทยกัมพูชาครอบคลุมทั้ง 7 จังหวัดในวันที่ 24 ก.ค. และไม่เคยเปิดอีกเลยจนถึงตอนนี้
สภาธุรกิจไทย-กัมพูชาระบุว่า ตลอดระยะเวลา 3-4 เดือนที่ผ่านมานับแต่นั้น ตัวเลขการค้าชายแดนกลายเป็นศูนย์
สำหรับผู้ประกอบการอย่างทศพล เย็นวันที่ 23 ก.ค. ก่อนที่คำสั่งดังกล่าวเผยแพร่ เขาได้โทรสั่งรถบรรทุกเพื่อจะไปส่งสินค้าข้ามแดนในวันถัดไป แต่แล้วประกาศปิดจุดผ่านแดนจากกองทัพภาคที่ 2 ก็เผยแพร่ออกมาในช่วงกลางดึกคืนนั้นเอง ทศพลบรรยายถึงความรู้สึกในตอนนั้นว่า "เหมือนมีคนเตะปลั๊กไฟ(ตอนกำลังใช้เครื่องใช้ไฟฟ้า)"
ผู้ประกอบการ SME ของดีเมืองตราดผู้นี้บอกกับบีบีซีไทยว่า ในช่วงแรกทุกคนยังมองในแง่ดี และคาดว่ารัฐบาลทั้งสองฝ่ายจะเจรจากันและเปิดด่านได้ในไม่ช้า แต่เมื่อเกิดเหตุปะทะกันนานถึง 5 วัน และสถานการณ์ไม่คลี่คลาย ทศพลจึงต้อง "ทำใจ" และยอมรับว่าตลาดเดิมคงไม่กลับมาในเร็ววัน
ตามปกติ บริษัทของเขาจะส่งสินค้าให้ลูกค้าครั้งละราว 15 ตันผ่านด่านทางบก แต่ปัจจุบันต้องใช้วิธีรวมสินค้ากับสินค้าไทยชนิดอื่นที่ชาวกัมพูชาเป็นผู้นำเข้าเองเพื่อให้เต็มรถหนึ่งคัน จากนั้นผู้นำเข้าจะเป็นผู้ตัดสินใจว่าจะขนส่งทางเรือหรือทางบกผ่านลาว
"เพราะฉะนั้นต้นทุนสินค้านำเข้าก็จะแพงขึ้น มันก็จะขายยากขึ้น" เขาสรุปสถานการณ์ โดยเสริมว่าการถูกตัดช่องทางการขนส่งทางบกทำให้ผู้ผลิตสินค้าในไทยเสียเปรียบในการแข่งขันด้านต้นทุนอย่างมาก เมื่อเทียบกับเวียดนามที่สามารถส่งสินค้าทางบกได้
ประธานสภาธุรกิจไทย-กัมพูชา ประเมินว่ามูลค่าการค้าที่หายไปจากการปิดเส้นทางการขนส่งทางบกคิดเป็นตัวเลขวันละ 500 ล้านบาท โดยอ้างอิงจากมูลค่าการค้ารวมในปี 2567 ซึ่งอยู่ที่ประมาณ 360,000 ล้านบาท ซึ่งครึ่งหนึ่งหรือราว 180,000 ล้านบาทมาจากการค้าทางบก

บรรยากาศร้านค้าต่าง ๆ ย่านตลาดโรงเกลือและบริเวณโดยรอบหน้าด่านคลองลึก (11 ธ.ค. 2568) หนึ่งในเส้นทางขนส่งสินค้าข้ามแดนทางบก หลังเจ้าหน้าที่ปิดกั้นถนนตลอดเส้นทางเข้าด่านชายแดน
การต่อสู้กับ "กระแสแบน" และทางเลือกที่ถูกจำกัด
นอกเหนือจากการปิดด่านและปัญหาด้านโลจิสติกส์แล้ว ผู้ประกอบการไทยยังต้องเผชิญกับคลื่นแห่งชาตินิยมและการต่อต้านสินค้าไทยในกัมพูชาด้วย
กระแสดังกล่าวถูกจุดอย่างเป็นทางการโดย ฮุน เซน อดีตผู้นำกัมพูชาโพสต์
ข้อความผ่านเครือข่ายเฟซบุ๊กเรียกร้องให้ยุติการนำเข้าสินค้าจากประเทศไทยและงดออกอากาศรายการโทรทัศน์จากไทย ในเดือน มิ.ย.
ต่อมาหลังการปะทะกันช่วงปลายเดือน ก.ค. กระแสการแบนสินค้าไทยก็แพร่หลายไปในสื่อต่าง ๆ ในกัมพูชา เช่น วันที่ 2 ส.ค. แวน โสเจียตา อินฟลูเอนเซอร์ของกัมพูชาซึ่งมีผู้ติดตามกว่าสองแสนผู้ใช้ลง
วิดีโอผ่านทางแพลตฟอร์มเฟซบุ๊กทุบขวดเครื่องดื่มสัญชาติไทย พร้อมข้อความบรรยายว่า "หยุดสนับสนุนสินค้าไทย" โพสต์ดังกล่าวถูกส่งต่อกว่า 5,000 ครั้ง
วรทัศน์ระบุว่า ผลกระทบจากกระแสการไม่ซื้อสินค้าไทยในกัมพูชาแบ่งเป็นสองกรณี คือสินค้าภายใต้การลงทุนของไทยที่ผลิตในกัมพูชา เช่น กรณี K Cement ซึ่ง SCG ลงทุนผลิตภายในประเทศ สินค้าประเภทนี้ยังได้รับการสนับสนุนโดยฮุน เซน ที่
กล่าวระหว่างร่วมพิธีเปิดสมัชชาสงฆ์แห่งชาติครั้งที่ 33 วันที่ 17 พ.ย. ว่า "อย่าให้มันเลยเถิดจนเกินไป เกินไปถึงขั้นที่ว่านักลงทุนไทยที่เข้ามาผลิตสินค้าในกัมพูชาแล้ว [พวกคุณ] ก็ไม่ยอมซื้อของเขาด้วย แบบนั้นมันผิดหลักการ เขาผลิตในกัมพูชา ก็ต้องถือว่าเป็นสินค้าของกัมพูชา"
ขณะที่กรณีที่ได้รับผลกระทบโดยตรง คือสินค้าที่ผลิตในประเทศไทย หรือสินค้าที่เป็นแบรนด์ไทย แม้จะผลิตในประเทศอื่นก็ตาม โดยเฉพาะกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค ซึ่งวรทัศน์ประมาณการว่ามูลค่าทางการค้าอยู่ที่ราว 10,000-20,000 ล้านบาทต่อปี
กระแสการรณรงค์ต่อต้านสินค้าไทยนี้ส่งแรงสะเทือนถึงน้ำปลาตราสามกระต่ายด้วยเช่นกัน
"ที่ได้คุยกับคู่ค้าคือว่า ของที่เป็นสินค้าไทยต้องใส่ถุงดำขาย เหมือนอารมณ์แบบขายของเถื่อน" ทศพล ระบุ
เขายอมรับว่าที่ผ่านมาเขาได้พยายามหาตลาดในกลุ่มประเทศภูมิภาคของอาเซียน (กลุ่ม CLMV) อื่น ๆ เช่น ลาว แต่ก็พบว่าเส้นทางนั้นไม่ง่ายสำหรับ "SME ตัวเล็ก ๆ" เพราะแต่ละประเทศมีเจ้าตลาดหลักอยู่แล้ว และต้นทุนการขนส่งจาก จ.ตราด ซึ่งเป็นที่ตั้งโรงงานของเขาไปยังลาวก็สูงกว่าการขนส่งไปยังกัมพูชา
"ผมก็เริ่มหา มีลูกค้าทางลาวบ้างครับ ยังไม่ค่อยต่อเนื่องแต่ก็เริ่มมีมาบ้าง... มันก็เลยเห็นความแตกต่างว่าต้นทุนทำเลที่ตั้งมันส่งผลเหมือนกัน" เจ้าของกิจการจาก จ.ตราด เล่าถึงการปรับตัวของตน
สำหรับทางเลือกในการสร้างแบรนด์ใหม่เพื่อเจาะตลาดกัมพูชาโดยเฉพาะ วรทัศน์ ประธานสภาธุรกิจไทย-กัมพูชา มองว่านั่นไม่ใช่ทางเลือกของผู้ประกอบการในช่วงเวลานี้เนื่องจากไม่คุ้มค่า
"ถ้าทำแบรนด์ใหม่ ก็ต้องขายในเมืองไทยมากกว่า ตลาดมันใหญ่กว่า ง่ายกว่า ทำไมผมจะต้องไปเลือกเอาแบรนด์ใหม่ไปขายที่กัมพูชาที่ยากกว่าล่ะ โดยเฉพาะยิ่งเวลาแบบนี้" เขาแสดงความเห็น
จากชายแดนสู่ติ๊กตอก (TikTok)ข้อเสนอของประธานสภาธุรกิจไทย-กัมพูชา สอดคล้องกับการตัดสินใจของทศพลซึ่งมองชัดว่าไม่สามารถพึ่งพาตลาดเดิมอย่างกัมพูชาได้อีกต่อไป เขาจึงตัดสินใจเปลี่ยนมาเน้นการตลาดในประเทศอย่างเต็มตัว โดยใช้ช่องทางออนไลน์และโซเชียลมีเดีย โดยเขาเริ่มลงทุนจ้างทีมงานภายนอก (outsource) เพื่อมาช่วยทำคอนเทนต์และสร้างตัวตนในโลกออนไลน์ให้สม่ำเสมอ
แม้ปัจจุบันผลิตภัณฑ์ของเขาจะได้รับความสนใจจากกลุ่มร้านอาหาร หรือเชฟที่ต้องการวัตถุดิบท้องถิ่น แต่เส้นทางในการหารายได้เพื่อให้พอสำหรับการหล่อเลี้ยงธุรกิจที่หลายปากท้องพึ่งพิงนั้นก็เพิ่งอยู่ในช่วงเริ่มต้น
การขยายตลาดในประเทศก็มีความท้าทายเฉพาะตัว ทศพลพบว่าการนำสินค้าไปวางขายในร้านค้าสมัยใหม่ (modern trade) นั้นไม่ยาก แต่สิ่งที่ยากกว่าคือ "การทำอย่างไรให้สินค้าอยู่ได้" กล่าวคือต้องทำให้เกิดยอดสั่งซื้อต่อเนื่อง อันหมายถึงทรัพยากรก้อนใหญ่ที่ยังต้องลงทุนเพื่อแข่งขันกับน้ำปลาเจ้าอื่น ๆ ที่ครองตลาดในไทยอยู่แล้ว
อย่างไรก็ดี เขาคิดว่าการเริ่มต้นใหม่ครั้งนี้เป็นการลงทุนระยะยาว
"[พูดคุยกันในครอบครัวว่า]ตัดตลาดนั้น [กัมพูชา] ไปเลย เหมือนกับว่าไม่หวังว่าจะกลับ เพราะคุยกันตลอดว่าถ้ากลับมาเปิดด่านแล้ว มันก็คงไม่เหมือนเดิม"
การดูแลคนงานสำคัญเหนือยอดขาย
ท่ามกลางความไม่แน่นอนทั้งหมดนี้ ทศพลกล่าวว่า หัวใจของการอยู่รอดสำหรับน้ำปลาตราสามกระต่ายคือ "การรักษาคนงาน" เขาบอกว่าการที่ธุรกิจต้องแบกภาระต้นทุนท่ามกลางยอดขายที่หายไป 80% เป็นเรื่องที่หนักหนาสาหัส
กระนั้นแล้ว ทศพลยังเลือกที่จะพยายามลดต้นทุนในส่วนอื่น แต่ยังไม่ปลดคนงาน หากแต่เป็นการ "ลดเวลาทำงานลง" เพื่อประคองสถานการณ์ไว้ โดยเขาเปิดเผยว่าตั้งใจอยากเพิ่มตัวเลขยอดให้ได้อีกประมาณ 60-70% เพื่อให้ยังคงจ้างงานได้อย่างปกติโดยไม่ต้องลดเวลาทำงานลง
ด้านวรทัศน์เสริมว่า กลุ่มผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบหนักที่สุดและควรได้รับความช่วยเหลือเร่งด่วนที่สุดคือ กลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค (ของกินของใช้) เนื่องจากกลุ่มนี้ใช้วัตถุดิบและแรงงานส่วนใหญ่ภายในประเทศไทย การล้มลงของ SME กลุ่มนี้จึงจะส่งผลกระทบสูงต่อเศรษฐกิจท้องถิ่น
เขาเสนอว่ามาตรการสำคัญที่รัฐบาลต้องดำเนินการคือ "การเติมเงิน" ผ่านซอฟต์โลน (soft loan) เพื่อให้ผู้ประกอบการเหล่านี้สามารถพยุงตัวเองให้อยู่รอดได้ หากไม่มีเงินทุนสนับสนุน ธุรกิจเหล่านี้อาจจะ "หายไปเลย" ภายในไม่กี่เดือนข้างหน้า
เขาวิเคราะห์ต่อไปว่า แม้สถานการณ์จะคลี่คลายภายในเดือน ธ.ค. แต่กระบวนการเจรจาผ่านคณะกรรมการร่วมต่าง ๆ เช่น คณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม (Joint Boundary Commission - JBC), คณะกรรมการชายแดนทั่วไป (General Border Committee - GBC) และคณะกรรมการชายแดนส่วนภูมิภาค (Regional Border Committee - RBC) ยังต้องใช้เวลาอีกหลายเดือน
ล่าสุด การยุบสภายิ่งทำให้การตัดสินใจล่าช้า โดยคาดว่ารัฐบาลรักษาการจะไม่สามารถตัดสินใจในเรื่องสำคัญที่มีผลผูกพันในอนาคตได้
"หากเป็นไปตามไทม์ไลน์นี้ การค้าระหว่างสองประเทศอาจกลับมาได้ในช่วง เม.ย. ถึง พ.ค. ปีหน้า" ประธานสภาธุรกิจไทย-กัมพูชา ประเมินสถานการณ์
"ประเด็นก็คือเราจะ hold position (รักษาสถานภาพนี้) กันไหวไหม ในฐานะของผู้ประกอบการ" เขาตั้งคำถามส่งท้าย
https://www.bbc.com/thai/articles/cdrn2lrkl54o