วันอาทิตย์, ธันวาคม 22, 2567

การเมือง จะยังไง ไม่รู้ พรรค เพื่อไทย-ภูมิใจไทย แต่งงาน ร่วมรัฐบาล กันแล้ว จะ เตียงหัก มั้ย?? ไม่รู้?? แต่ “อนุทิน” ลงพื้นที่ รัวๆ โลด อยู่กับชาวอิสาน นครพนม ร่วมงานประเพณี มหกรรมเทศกาลปลา ทั้ง เล่น ทั้ง รำ

https://www.facebook.com/watch/?v=1251484546131241
Wassana Nanuam
9 hours ag0
·
ทั้ง เล่น ทั้ง รำ
.
การเมือง จะยังไง ไม่รู้
พรรค เพื่อไทย-ภูมิใจไทย
แต่งงาน ร่วมรัฐบาล กันแล้ว
จะ เตียงหัก มั้ย?? ไม่รู้??
แต่ “อนุทิน” ลงพื้นที่ รัวๆ โลด
อยู่กับชาวอิสาน นครพนม
ร่วมงานประเพณี
มหกรรมเทศกาลปลา
ลุ่มน้ำสงคราม 2567
นครพนม ร่วมวงดนตรี ก่อน
หลัง ติดตามการบริหารจัดการน้ำ
ที่ อ.ธาตุพนม จ.นครพนม
.
นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.มหาดไทย เปิดงานประเพณีมหกรรมเทศกาลปลาลุ่มน้ำสงคราม ประจำปี 2567 ณ สนามหน้าที่ว่าการอำเภอศรีสงคราม จ.นครพนม
โดยมี นายอรรษิษฐ์ สัมพันธรัตน์ ปลัดกระทรวงมหาดไทย และนายไชยวัฒน์ จุนถิระพงศ์ อธิบดีกรมการปกครอง ร่วมคณะ
ก่อนหน้านี้ ช่วงเช้า นายอนุทิน ลงพื้นที่ติดตามการบริหารจัดการน้ำบริเวณประตูระบายน้ำธรณิศนฤมิต โครงการพัฒนาลุ่มน้ำก่ำ อันเนื่องมาจากพระราชดำริ โครงการส่งน้ำและบำรุงรักษาน้ำกล่ำ อ.ธาตุพนม จ.นครพนม
ที่ ลำน้ำก่ำเป็นลุ่มน้ำย่อยของลุ่มน้ำโขง ที่ในอดีตมักจะมีปัญหาน้ำท่วมสลับน้ำแล้ง เป็นประจำทุกปี ทำให้ประชาชนเดือดร้อน ความทราบถึงพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร จึงทรงมีพระราชดำริให้จัดตั้งโครงการพัฒนาลุ่มน้ำก่ำ อันเนื่องมาจากพระราชดำริ และเมื่อโครงการแล้วเสร็จ ทำให้ประชาชนทั้งสองฝั่งสามารถใช้น้ำเพื่อการประกอบอาชีพและการดำรงชีพได้ ด้วยเพราะทำหน้าที่เก็บกักควบคุมน้ำไว้ในอ่างเก็บน้ำในช่วงฤดูแล้ง และช่วยปิดกั้นไม่ให้น้ำในแม่น้ำโขงเอ่อท่วมเข้ามาในอ่างเก็บน้ำซึ่งเป็นการบรรเทาความรุนแรงของการเกิดน้ำท่วมในช่วงฤดูฝน
จากนั้น เป็นประธาน ประชุมติดตามการขับเคลื่อนการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาลและกระทรวงมหาดไทย ซึ่งในการนี้ผู้บริหารมหาดไทยได้เน้นย้ำการขับเคลื่อนนโยบายหลัก 5 ด้าน ได้แก่ การจัดระเบียบสังคม ปราบปรามผู้มีอิทธิพล, ป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติด ควบคู่การปราบปราม, สร้างอาชีพ เพิ่มรายได้ให้ประชาชน, ส่งเสริมการท่องเที่ยวชุมชนและสร้างความเข้มแข็งของเศรษฐกิจฐานราก และ การมีน้ำดื่มสะอาดบริการประชาชน



อิทธิฤทธิ์ ‘พรรคสีน้ำเงิน’ ขวางเซ็ตซีโร่ ‘กองทัพ’

20 ธ.ค. 2024
กรุงเทพธุรกิจ

Key Points
  • พ.ร.บ.จัดระเบียบกระทรวงกลาโหม พ.ศ.2551 เกิดหลังเหตุการรัฐประหารเป็นป้อมปราการสำคัญสกัดฝ่ายการเมืองล้วงโผทหารมากว่า 16 ปี
  • รมช.กลาโหม เดินหน้าทำความเข้าใจกับผู้บัญชาการเหล่าทัพ เพิ่มสัดส่วนฝ่ายการเมือง ในบอร์ดปรับย้ายทหารชั้นนายพลกลาโหม
  • บารมี อนุทิน เบ่งบานในกองทัพ มากว่า 6 ปี ผลพวงหลักสูตรคอนเนกชั่น วปอ.61 ที่มีเพื่อนร่วมรุ่นบิ๊กทหารทั้ง “ใน-นอก” กองทัพ
ร่าง พ.ร.บ.จัดระเบียบกระทรวงกลาโหม ในปัจจุบันอยู่ในขั้นตอนแก้ไข หลังจากคณะกรรมการกลั่นกรองที่เกี่ยวข้องกับงานด้านความมั่นคงและกระบวนการยุติธรรมทางกฎหมาย ที่มี “ภูมิธรรม เวชยชัย” รองนายกฯ และรมว.กลาโหม เป็นประธาน มีมติให้ส่งคืนกระทรวงกลาโหมกลับไปทบทวน

1.ไม่ให้ปรับเปลี่ยนองค์ประกอบสภากลาโหม

2. ปรับเปลี่ยนบอร์ด 7 เสือกลาโหม ปรับย้ายทหารชั้นนายพล โดยให้เพิ่มสัดส่วนฝ่ายการเมือง นายกรัฐมนตรี และรองนายกฯ ฝ่ายความมั่นคง รวมเป็น 9 คน และไม่ต้องผ่าน ครม.

3. ให้ตัดมาตรา 35 ทิ้ง ทั้งกรณีห้ามใช้กำลังทหารควบคุมอำนาจการบริหารราชการแผ่นดินจากรัฐบาล หรือเพื่อก่อการกบฏ รวมถึงขัดขวางการปฏิบัติหน้าที่ราชการต่างๆ ห้ามใช้เพื่อธุรกิจหรือกิจการอันเป็นประโยชน์ส่วนตัวของผู้บังคับบัญชา และกระทำการอันมิชอบด้วยกฎหมายอื่นๆ

การกำหนดให้ข้าราชการทหารที่ได้รับคำสั่งให้ทำ ย่อมมีสิทธิไม่ปฏิบัติตาม และไม่ถือว่าผิดวินัยทหาร หรือกฎหมายอาญาทหาร

รวมถึงให้อำนาจนายกรัฐมนตรีสั่งพักราชการ ทหารคิดยึดอำนาจ

ผลพวงจากพลัง “ฝ่ายอนุรักษนิยม” เรียงหน้าคัดค้าน ร่าง พ.ร.บ.จัดระเบียบกระทรวงกลาโหม ฉบับ “ประยุทธ์ ศิริพานิชย์” สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย เป็นผู้เสนอ

สาระสำคัญในร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้ ระบุให้ การแต่งตั้งทหารชั้นนายพล ผ่านความเห็นชอบ ครม. ให้ “นายกฯ” เป็นประธานสภากลาโหม พร้อมมอบดาบอาญาสิทธิ์ สั่งพักราชการนายทหารคิดทำการ “รัฐประหาร”

ล่าสุด พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ รมช.กลาโหม เดินหน้าทำความเข้าใจกับผู้บัญชาการเหล่าทัพ แม้จะมีการเพิ่มนายกฯ และรองนายกฯฝ่ายความมั่นคง ในบอร์ดปรับย้ายทหารชั้นนายพล เป็น 9 เสียงจาก 7 เสียง แต่สัดส่วนฝั่งกองทัพมีมากกว่าฝ่ายการเมือง 1 เสียง

หากร่าง พ.ร.บ.จัดระเบียบกระทรวงกลาโหม แก้ไขเสร็จเรียบร้อย ส่งให้ภูมิธรรม นำเข้าที่ประชุมคณะกรรมการกลั่นกรองฯ หากไม่มีปัญหา ส่งเข้า ครม.อนุมัติ เตรียมประกบร่างของพรรคประชาชนในสภาฯ

ตลอด 1 เดือนที่ผ่านมา ประเด็นร่าง พ.ร.บ.จัดระเบียบกระทรวงกลาโหม ฉบับ “ประยุทธ์ ศิริพานิชย์” กลายเป็นเผือกร้อนของพรรคเพื่อไทย หลังถูกพรรคร่วมรัฐบาลต่อต้าน

เปิดหัวโดย “อนุทิน ชาญวีรกูล” รองนายกฯ และรมว.มหาดไทย หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย พรรคร่วมรัฐบาลที่มีเสียง สส.มาเป็นลำดับสองรองจากพรรคเพื่อไทย แต่กุมเสียง สว.เหนือกว่า ด้วยการส่งสัญญาณ “ภูมิใจไทย” ไม่เห็นด้วยร่างพ.ร.บ.ของพรรคเพื่อไทย เพราะมองว่า ไม่เกี่ยวข้องกับนักการเมือง แต่นักการเมืองต้องทำหน้าที่ให้ดี ซื่อสัตย์สุจริต รักษาความสงบ อย่าให้แตกความสามัคคี

ต้องยอมรับว่าบารมี “อนุทิน” เบ่งบานในกองทัพ มากว่า 6 ปี ผลพวงหลักสูตรคอนเนกชั่น วปอ.61 ที่มีเพื่อนร่วมรุ่นบิ๊กทหารทั้ง “ใน-นอก” กองทัพ

กลุ่มนอกราชการ อาทิ “บิ๊กเกรียง” พล.อ.เกรียงไกร ศรีรักษ์ รองประธานวุฒิสภา อดีต ผู้ช่วยผบ.ทบ.และ มทภ.4 “บิ๊กต่อ” พล.อ.เจริญชัย หินเธาว์ อดีต ผบ.ทบ.

ส่วนในราชการ เช่น พล.อ.สนิธชนก สังข์จันทร์ ปลัดกระทรวงกลาโหม พล.ร.อ.สุวิน แจ้งยอดสุข รอง ผบ.ทหารสูงสุด พล.ร.อ.ชลธิศนาวานุเคราะห์ รอง ผบ.ทร.รวมถึงนายทหารดำรงตำแหน่งสำคัญในกองทัพหลายคน

คอนเนกชั่นเพื่อนร่วมรุ่น เริ่มเห็นดอกผลชัด การเลือกตั้งนายกอบจ.นครศรีธรรมราช พ.ย.ที่ผ่านมา “วาริน ชิณวงศ์”จากภูมิใจไทย ล้มบ้านใหญ่ “กนกพร เดชเดโช” มารดา “ชัยชนะ-พิทักษ์เดช เดชเดโช” สส.นครศรีธรรมราช ประชาธิปัตย์ ขาดลอย

เชื่อกันว่าได้พลัง “บิ๊กเกรียง” เพื่อนซี้ “อนุทิน” และยังต้องมองไกลไปถึงเลือกตั้งครั้งใหญ่ ภูมิใจไทย หวังเจาะ สส.พื้นที่ภาคใต้ รวมถึง พื้นที่อีสาน อยู่ในการดูแลกองทัพภาคที่ 2

หากย้อนไปในการช่วงเลือกตั้งปี 2566 ภูมิใจไทย เป็นพรรคแรกส่งสัญญาณไม่สนับสนุน “นายกรัฐมนตรี” จากพรรคที่มีแนวคิดแก้ไขมาตรา 112 ก่อนพรรคอื่นๆ จะร่วมแสดงจุดยืนเดียวกัน เป็นเหตุให้การจับมือตั้งรัฐบาล ระหว่างพรรคก้าวไกล(พรรคประชาชน) กับเพื่อไทย ล่มไม่เป็นท่า

กรณี ร่าง พ.ร.บ.กลาโหม พรรคเพื่อไทย ก็เช่นเดียวกัน หลังจากอนุทินส่งเสียง “รวมไทยสร้างชาติ” พรรค DNA ลุงตู่ ก็ตามขบวนมาติดๆ แสดงจุดยืน ไม่เห็นด้วย เพราะทำให้การเมืองเข้าแทรกแซงกองทัพ กระทบความมั่นคงของชาติ โดยเฉพาะการเปลี่ยนองค์ประกอบสภากลาโหม และประเด็นอื่นๆ

สำทับด้วย วิษณุ เครืองาม อดีตกุนซือกฎหมายรัฐบาลลุงตู่ และอีกหลายรัฐบาล ยอมรับว่า การแก้ไขเรื่องการแต่งตั้งโยกย้ายนายทหารให้มาเป็นอำนาจ ครม. เกิดสมัยรัฐบาลเศรษฐา ทวีสิน

“ซึ่งเป็นกิจการที่ ขนาดตำรวจยังไม่(ส่ง)มา ครม. คณะกรรมการข้าราชการตำรวจ (ก.ตร.) เขาทำเสร็จแล้วจบ และกราบบังคมทูลฯ มีแต่พลเรือนที่ต้องมา ครม. เนื่องจากรัฐธรรมนูญไปเขียนเอาไว้ พร้อมเชื่อว่าไม่มีกฎหมายใดป้องกันรัฐประหารได้จริง” วิษณุ กล่าว

นอกจากนี้ พรรคฝ่ายค้าน “พลังประชารัฐ” ของ “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ประกาศเดินหน้าคัดค้านเต็มที่ โดยชี้ว่าเป็นใบเบิกทางฝ่ายการเมือง ให้มีอำนาจแต่งตั้งโยกย้าย หวังผลประโยชน์ บั่นทอนกองทัพให้อ่อนแอลง

จน ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ยังออกอาการเหน็บ “อนุทิน” ผ่านสื่อ

"ภูมิใจไทยรีบหล่อเร็วไปนิด ขอให้หล่อช้า ๆ หน่อย ยืนยันไม่ต้องมีอะไรต้องอธิบาย เพราะพรรคร่วมรัฐบาลต้องฝึกการทำงานร่วมกันไม่จำเป็นต้องโทรไปหาคนหล่อ แค่คนที่หล่อเร็ว ขอให้หล่อช้านิดนึง" ทักษิณ กล่าว

พ.ร.บ.จัดระเบียบกระทรวงกลาโหม พ.ศ.2551 เกิดขึ้นหลังเหตุการรัฐประหารปี 2549 เป็นป้อมปราการสำคัญสกัดฝ่ายการเมืองล้วงโผทหารมากว่า 16 ปี

ในขณะที่ฝ่ายการเมืองพยายามปรับแก้ทุกยุคสมัย หวังดึงอำนาจแต่งตั้งโยกย้ายมาอยู่ในมือ สร้างเสถียรภาพ เพิ่มแต้มต่อทางการเมือง โดยเชื่อว่า ในยุคผู้นำรัฐบาลมาจากพลเรือน การรื้อระเบียบ ปรับโครงสร้างกองทัพ คงทำได้ง่ายขึ้น ทหารคงไม่กล้าหืออือมากนัก

แต่ดันมาเจอ“อนุทิน” กระโดดขวางเต็มประตูหากปล่อยผ่าน ร่างพ.ร.บ.กลาโหม ฉบับเพื่อไทย มีผลบังคับใช้ “ผบ.เหล่าทัพ แม่ทัพ นายกอง” ย่อมถูกเซ็ตซีโร่ใหม่ทั้งหมด ดังนั้นสิ่งที่ลงทุนลงแรงปูรากฐานมากว่า 6 ปี ก็พังไม่เป็นท่า

https://www.bangkokbiznews.com/politics/1158779



วีระ สมความคิด ประธานเครือข่ายประชาชนต้านคอร์รัปชั่น เล่าถึงประสบการณ์การถูกดำเนินคดีจากการทำงานในประเด็นสาธารณะมานานกว่า 20 ปีว่า คนที่มาฟ้องปิดปาก ส่วนใหญ่จะเป็นนักการเมืองที่มีชื่อเสียง ทรงอิทธิพล หรือไม่ก็จะเป็นข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ ถ้าไม่เป็นทหารก็จะเป็นตำรวจใหญ่ ผมไม่เคยถูกประชาชนที่ผมไปตรวจสอบฟ้องปิดปากผม


iLaw
14 hours ago
·
วีระ สมความคิด ประธานเครือข่ายประชาชนต้านคอร์รัปชั่น เล่าถึงประสบการณ์การถูกดำเนินคดีจากการทำงานในประเด็นสาธารณะมานานกว่า 20 ปีว่า คนที่มาฟ้องปิดปาก ส่วนใหญ่จะเป็นนักการเมืองที่มีชื่อเสียง ทรงอิทธิพล เมื่อเอ่ยชื่อก็รู้กันทั้งประเทศ หรือไม่ก็จะเป็นข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ ถ้าไม่เป็นทหารก็จะเป็นตำรวจใหญ่ ผมไม่เคยถูกประชาชนที่ผมไปตรวจสอบฟ้องปิดปากผม
“เพราะว่านักการเมืองผู้ทรงอิทธิพล ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ เขาต้องการให้คนอื่นกลัว เขาอาจจะรู้ว่าผมไม่กลัว ฟ้องให้ตายผมก็ไม่กลัว แต่เขาต้องการหยุดคนอื่นที่จะออกมาให้ความเห็นหรือออกมาร่วมตรวจสอบกับผม เพื่อให้สื่อมวลชนหยุดทำข่าว เมื่อสื่อรู้ว่าฟ้องผม สื่อก็จะหยุด ไม่กล้านำเสนอข่าวอย่างตรงไปตรงมา เขาจะคุมการนำเสนอผ่านอิทธิพลทางการเมืองให้สื่อมวลชนเสนอในประเด็นที่ต้องการ”
วีระเล่าว่า ในการทำงานตลอดหลายสิบปี เป็นการทำหน้าที่เพื่อช่วยราชการต่อต้านภัยคอร์รัปชั่น เรื่องที่เข้าไปตรวจสอบล้วนไม่ได้หยิบขึ้นมากล่าวหาเอง แต่มีการร้องเรียนร้องทุกข์เข้ามา ซึ่งกระบวนการทำงานจะเริ่มจากการตรวจสอบข้อเท็จจริงเบื้องต้นว่ามีมูลหรือพยานหลักฐานที่น่าเชื่อถือหรือไม่ ก่อนจะลงพื้นที่ไปตรวจสอบข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น เมื่อเข้าไปตรวจสอบก็คือเปิดโอกาสให้เขาชี้แจง แต่คนพวกนี้ไม่เคยจะใช้สิทธิชี้แจงอย่างตรงไปตรงมา แต่จะหลบหน้าและใช้วิธีดำเนินคดี
ในปี 2543 วีระทำงานตรวจสอบเกี่ยวกับการแจ้งบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินอันเป็นเท็จของ พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ โดยยื่นเรื่องต่อต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ มีเนื้อหาระบุว่า พล.ต.สนั่นแจ้งว่า มีหนี้สินต่อบริษัทเอไอเอสฯ กว่า 45 ล้านบาท ทั้งที่ไม่ได้เป็นหนี้จริง
“พอผมไปตรวจสอบ ฟ้องผม 3 คดี หมิ่นประมาท เรียกค่าเสียหายคดีละ 50 ล้าน รวม 150 ล้าน ไม่มีใครกล้าเป็นทนายความให้ผม ทุกคนกลัว ตอนนั้นเขาเป็นรองนายกรัฐมนตรีและ รมต.มหาดไทย อำนาจล้นฟ้าล้นแผ่นดิน ตอนนั้นทักษิณยังไม่ได้เกิดเลย ผมต้องสู้กับเขา 11 ปีเต็ม ทั้ง 3 คดี สู้ถึงฎีกา ผมชนะทุกศาล ชั้นต้น อุทธรณ์ ฎีกา ไม่แพ้เลย แต่ผมเสียเวลา 11 ปี เสียเงินไปเยอะ”

อ่านต่อได้ทาง https://www.ilaw.or.th/articles/49309


บ้านเมืองนี้ มีตำรวจก็เหมือนไม่มี


Weelyn Issarangkul Na Ayuttaya
Yesterday
·
หากตำรวจปฏิเสธการรับแจ้งความโดยไม่มีเหตุอันสมควร หรือไม่ดำเนินการสอบสวนอย่างจริงจัง อาจเข้าข่าย ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ ตามมาตรา 157 ของประมวลกฎหมายอาญา ซึ่งกำหนดว่าเจ้าพนักงานผู้ใดละเว้นหรือปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบจนทำให้เกิดความเสียหายแก่บุคคลอื่น ย่อมมีความผิดทางกฎหมาย
สิ่งที่คุณแม่ควรทำต่อไป:
1. ร้องเรียนต่อผู้บังคับบัญชาของตำรวจ ติดต่อสถานีตำรวจในระดับสูงขึ้น เช่น ผู้กำกับการ หรือยื่นเรื่องไปที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพื่อให้มีการตรวจสอบและเร่งรัดการดำเนินการ
2. ร้องเรียนผ่านสำนักงานคุ้มครองเด็กและเยาวชน กรณีนี้เป็นเรื่องเกี่ยวกับเด็กซึ่งถือว่าอ่อนไหวและร้ายแรง หน่วยงานคุ้มครองเด็ก เช่น กรมกิจการเด็กและเยาวชน (ดย.) สามารถให้การช่วยเหลือหรือประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้
3. แจ้งเรื่องไปยัง ปปช. หรือสำนักงานอัยการสูงสุด หากพบว่าตำรวจละเลยการปฏิบัติหน้าที่จริง การยื่นเรื่องร้องเรียนต่อหน่วยงานตรวจสอบ เช่น คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ปปช.) อาจช่วยกดดันให้มีการดำเนินคดี
4. ประสานองค์กรภาคประชาชนหรือสื่อมวลชน การเปิดเผยเรื่องราวต่อสาธารณะ อาจช่วยสร้างแรงกดดันให้เจ้าหน้าที่ตำรวจทำงานอย่างจริงจัง
เรื่องนี้สำคัญ เพราะเป็นการปกป้องสิทธิของเด็ก และปัญหาดังกล่าวมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ หากตำรวจไม่สามารถให้ความช่วยเหลือ ประชาชนจะสูญเสียความเชื่อมั่นในระบบยุติธรรม
“รัฐที่ล้มเหลวในการปกป้องประชาชน ย่อมสูญเสียความชอบธรรมในการปกครอง”
.....

Shinchan Chanabowonbut
มีตำรวจก็เหมือนไม่มี เคยโดนขโมยขึ้นบ้าน ต้องทำหลักฐานไปส่งให้พร้อม แถมทำได้แค่ลงบันทึกประจำวัน ทั้งๆที่มีหลักฐานเป็นคลิปวิดีโอเห็นจะๆ แต่ทำไรไม่ได้

https://www.facebook.com/weelyn.issarangkul.na.ayuttaya/posts/1120453269453564



จากการวิจัยของบีบีซีพบว่า เฟซบุ๊กได้จำกัดการเข้าถึงผู้ชมของสำนักข่าวของปาเลสไตน์หลายแห่งอย่างรุนแรงในช่วงที่เกิดสงครามอิสราเอลและกาซา


โอมาร์ เอล กาตา เป็นช่างภาพสื่อมวลชนที่ทำงานในภาคเหนือของฉนวนกาซา

รายงานข่าวสืบสวนบีบีซี พบเมตา (Meta) จำกัดการเข้าถึงข่าวในดินแดนปาเลสไตน์

อาเหม็ด นัวร์, โจ ไทดี และยารา ฟารัก
บีบีซีแผนกภาษาอาหรับ, บีบีซี เวิลด์ เซอร์วิส และบีบีซี มอนิเตอร์ริง
20 ธันวาคม 2024

จากการวิจัยของบีบีซีพบว่า เฟซบุ๊กได้จำกัดการเข้าถึงผู้ชมของสำนักข่าวของปาเลสไตน์หลายแห่งอย่างรุนแรงในช่วงที่เกิดสงครามอิสราเอลและกาซา

จากวิเคราะห์ข้อมูลจากเฟซบุ๊กอย่างครอบคลุม บีบีซีพบว่า สำนักข่าวที่ตั้งอยู่ในดินแดนของชาวปาเลสไตน์ ได้แก่ ในฉนวนกาซาและเวสต์แบงก์ เผชิญกับการลดลงของอัตราการมีส่วนร่วมของผู้ชม (audience engagement) อย่างฮวบฮาบ นับตั้งแต่เดือน ต.ค. ปี 2023 เป็นต้นมา

บีบีซียังได้เห็นเอกสารหลายฉบับที่รั่วไหลออกมาซึ่งแสดงให้เห็นว่าอินสตาแกรม แพลตฟอร์มโซเชียลอีกแพลตฟอร์มที่เมตา (Meta) มีการกลั่นกรองเนื้อหาที่เป็นการแสดงความคิดเห็นโดยผู้ใช้งานชาวปาเลสไตน์เพิ่มขึ้น หลังจากเดือน ต.ค. 2023

ทางด้าน เมตา (Meta) ซึ่งเป็นเจ้าของเฟซบุ๊ก ระบุว่า ข้อบ่งชี้ใด ๆ ที่บอกว่าเมตาจงใจปิดกั้นเสียงใดเสียงหนึ่งถือว่า "ไม่เป็นความจริงอย่างสิ้นเชิง"

นับตั้งแต่สงครามระหว่างอิสราเอลและกลุ่มฮามาสในเขตกาซาเริ่มต้นขึ้น มีสื่อมวลชนจากภายนอกเพียงไม่กี่สำนักที่ได้รับอนุญาตให้เข้าไปในดินแดนฉนวนกาซาของปาเลสไตน์ และพวกเขาจะเข้าไปรายข่าวได้ก็ต่อเมื่อมีทหารอิสราเอลคอยประกบในพื้นที่

โซเชียลมีเดียได้เข้ามามีบทบาทในการเติมเต็มช่องว่างให้กับผู้ที่อยากฟังเสียงจากข้างในฉนวนกาซามากขึ้น เพจเฟซบุ๊กของสำนักข่าวต่าง ๆ อย่างเช่น ปาเลสไตน์ทีวี, สำนักข่าววาฟา และปาเลสไตน์ อัล-วาตัน นิวส์ ซึ่งดำเนินการอยู่นอกเขตเวสต์แบงก์ กลายเป็นแหล่งสำคัญสำหรับการติดตามข่าวของผู้คนจำนวนมากทั่วโลก

บีบีซีแผนกภาษาอาหรับได้รวบรวมข้อมูลการมีส่วนร่วมหรือเอนเกจเมนต์บนเพจเฟซบุ๊กขององค์ข่าวที่มีชื่อเสียงในปาเลสไตน์จำนวน 20 สำนัก ในปีที่เกิดเหตุการณ์บุกโจมตีอิสราเอลโดยกลุ่มฮามาส เมื่อวันที่ 7 ต.ค. เป็นต้นมา

ข้อมูลการมีส่วนร่วมหรือเอนเกจเมนต์ เป็นมาตรวัดสำคัญที่จะดูว่าบัญชีของเพจต่าง ๆ สร้างผลกระทบเพียงใด และใช้ดูว่ามีคนจำนวนมากน้อยแค่ไหนที่เห็นเนื้อหาบนเพจเหล่านั้น นอกจากนี้ยังรวมถึงข้อมูลอื่น ๆ เช่น จำนวนการแสดงความคิดเห็นหรือคอมเมนต์ จำนวนการแสดงความรู้สึก (reactions) และจำนวนครั้งที่ข่าวชิ้นนั้นถูกแชร์หรือส่งต่อออกไป

ยอดเอนเกจเมนต์บนเฟซบุ๊กของสำนักข่าวของปาเลสไตน์

แผนภูมิแท่งด้านบนนี้แสดงยอดเอนเกจเมนต์โดยเฉลี่ยต่อหนึ่งโพสต์ของเพจเฟซบุ๊กข่าวของปาเลสไตน์ แท่งแรกเป็นยอดเอนเกจเมนต์ระหว่างเดือน พ.ย. 2022 ถึง ต.ค. 2023 ส่วนแท่งที่สองเป็นยอดเอนเกจเมนต์ในช่วงปีหลังจากความขัดแย้งเกิดขึ้นในวันที่ 7 ต.ค. 2023

ในช่วงที่เกิดสงคราม การมีส่วนร่วมของผู้ชม (audience engagement) นั้นควรจะเพิ่มสูงขึ้น อย่างไรก็ตาม ข้อมูลดังกล่าวกลับแสดงให้เห็นว่า การมีส่วนร่วมของผู้ชมลดลงถึง 77% หลังจากที่กลุ่มฮามาสโจมตีอิสราเอล เมื่อวันที่ 7 ต.ค. 2023

ส่วนผู้สื่อข่าวจากสำนักข่าวจากปาเลสไตน์ทีวี มีผู้ติดตามทั้งสิ้น 5.8 ล้านคนบนเฟซบุ๊ก ได้ให้ข้อมูลสถิติหลังบ้านกับบีบีซี ซึ่งพบว่า จำนวนผู้ติดตามที่มองเห็นโพสต์ข่าวของเพจนั้นลดลงถึง 60%

"การโต้ตอบหรือปฏิสัมพันธ์กับเพจถูกจำกัดการเข้าถึงอย่างมาก และโพสต์ต่าง ๆ ของเรานั้นก็ไปไม่ถึงคนอ่าน" ทาริก ซีแอด ผู้สื่อข่าวของปาเลสไตน์ทีวี ระบุ

ตลอดช่วงช่วงปีที่ผ่านมา ผู้สื่อข่าวปาเลสไตน์หลายคนต่างเกรงว่าเนื้อหาออนไลน์ของพวกเขานั้นกำลัง "ถูกแบนให้อยู่ภายใต้" เงา หรือกล่าวอีกอย่างหนึ่งว่า ถูกจำกัดจำนวนคนที่สามารถเห็นเนื้อหาโดยเจ้าของแพลตฟอร์ม

เพื่อทดสอบเรื่องนี้ บีบีซีได้วิเคราะห์ข้อมูลชุดเดียวกันนี้กับเฟซบุ๊กของสำนักข่าวอิสราเอลอีก 20 แห่ง เช่น เยดิโอต์ อาโรนอต (Yediot Ahronot) , อิสราเอล ฮายอม (Israel Hayom) และแชนแนล 13 (Channel 13) เพจเหล่านี้ได้โพสต์เนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับสงครามจำนวนมากเช่นกัน แต่การมีส่วนร่วมของผู้ชมกลับเพิ่มขึ้นเกือบ 37%

ยอดเอนเกจเมนต์บนเฟซบุ๊กของสำนักข่าวของอิสราเอล
แผนภูมิแท่งนี้แสดงถึงการมีส่วนร่วมของผู้ชมบนเพจเฟซบุ๊กขององค์กรข่าวของอิสราเอลในช่วงเวลาเดียวกัน

ก่อนหน้านี้เมตาเคยถูกกล่าวหาโดยองค์กรสิทธิมนุษยชนและชาวปาเลสไตน์ว่า บริษัทล้มเหลวในการกลั่นกรองกิจกรรมทางออนไลน์อย่างยุติธรรม

รายงานอิสระในปี 2021 ที่ว่าจ้างโดยบริษัทเมตากล่าวว่า นี่ไม่ใช่การกระทำโดยเจตนา แต่เกิดจากการขาดผู้เชี่ยวชาญที่พูดภาษาอาหรับในกลุ่มผู้ดูแล คำและวลีบางคำถูกตีความว่าเป็นคำหยาบคายหรือคำที่แสดงถึงความรุนแรง ทั้งที่จริงแล้วไม่ได้มีความหมายเชิงลบแต่อย่างใด

ยกตัวอย่างเช่น วลีภาษาอาหรับ อัลฮัมดุลิลลาฮ์ (Alhamdulillah) ซึ่งหมายถึง "การสรรเสริญพระอัลเลาะห์จงมีแด่พระองค์" บางครั้งถูกแปลโดยอัตโนมัติว่า "การสรรเสริญพระอัลเลาะห์จงมีแด่พระองค์, ผู้ก่อการร้ายชาวปาเลสไตน์กำลังกระทำการต่อสู้เพื่อเสรีภาพของพวกเขา"

อย่างไรก็ตาม เพื่อตรวจสอบว่าคำอธิบายดังกล่าวเป็นสาเหตุของการลดลงของเอนเกจเมนต์ในเพจข่าวปาเลสไตน์หรือไม่ บีบีซีได้วิเคราะห์ข้อมูลหลังบ้านของเพจเฟซบุ๊กภาษาอาหรับอีก 30 แห่งที่อยู่ในพื้นที่อื่น อย่างเช่น สกายนิวส์อาระเบีย และอัล-จาซีรา แต่พบว่า เพจข่าวเหล่านี้มีเอนเกจเมนต์เพิ่มขึ้นโดยเฉลี่ยเกือบจะ 100%

ยอดเอนเกจเมนต์บนเฟซบุ๊กของสำนักข่าวภาษาอาหรับ (ที่ไม่ใช่ของปาเลสไตน์)

แผนภูมิแท่งแสดงเอนเกจเมนต์เปรียบเทียบในช่วงเวลาเดียวกันของเพจองค์กรข่าวที่ใช้ภาษาอาหรับในภูมิภาคตะวันออกกลาง

เมตา ได้ตอบชี้แจงการวิเคราะห์ของบีบีซีว่า บริษัทไม่ได้ปิดบัง "มาตรการเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์และนโยบายชั่วคราว" ที่ได้ดำเนินการในเดือน ต.ค. 2023

เมตาระบุว่า บริษัทได้เผชิญกับความท้าทายในการรักษาสมดุลในเรื่องสิทธิและเสรีภาพในการพูด เพราะมีข้อเท็จจริงว่ากลุ่มฮามาสนั้นได้ถูกสหรัฐอเมริกาคว่ำบาตร และถูกจัดว่าเป็นองค์กรที่อันตรายภายใต้นโยบายของเมตาเอง

บริษัทเจ้าของแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียยักษ์ใหญ่กล่าวด้วยว่า เพจที่โพสต์เนื้อหาเกี่ยวกับสงครามโดยเฉพาะ มีแนวโน้มที่การมีส่วนร่วมของผู้ชมผู้อ่านนั้นได้รับผลกระทบมากขึ้น

"เรารับรู้ว่ามีความผิดพลาดเกิดขึ้น แต่ สำหรับข้อบ่งชี้ใด ๆ ที่บอกว่า เมตาจงใจปิดกั้นเสียงใดเสียงหนึ่งถือว่าเป็นสิ่งที่ไม่เป็นความจริงอย่างสิ้นเชิง" โฆษกของเมตา ระบุ

เอกสารหลุดจากอินสตาแกรม

บีบีซียังได้พูดคุยกับพนักงานปัจจุบันและอดีตพนักงานของเมตา เกี่ยวกับผลกระทบที่มาจากนโยบายของบริษัทที่มีแต่ผู้ใช้งานชาวปาเลสไตน์บนโซเชียลมีเดีย

พนักงานรายหนึ่งที่ไม่เปิดเผยตัวตน ได้เปิดเผยเอกสารภายในเกี่ยวกับความเปลี่ยนแปลงที่เกิดกับอัลกอริทึมของอินสตาแกรม ที่ส่งผลให้การจัดการเนื้อหาคอมเมนต์จากผู้ใช้งานปาเลสไตน์ถูกควบคุมเข้มงวดขึ้นบนโพสต์ต่าง ๆ ในอินสตาแกรม

"ภายในสัปดาห์ที่ฮามาสบุกโจมตี แนวปฏิบัติก็ถูกปรับเปลี่ยนโดยมุ่งไปที่การจัดการเนื้อหาของชาวปาเลสไตน์ที่เข้มงวดมากขึ้น" เขากล่าว

เนื้อหาในเอกสารของอินสตาแกรม ยังเผยให้เห็นความกังวลของวิศวกรที่มีต่อคำสั่งดังกล่าว ซึ่งกังวลว่ามันอาจเป็น "การก่อให้เกิดอคติชุดใหม่เข้ามาในระบบเพื่อต่อต้านผู้ใช้งานชาวปาเลสไตน์"

เมตายืนยันว่า มีการดำเนินการดังกล่าวจริง แต่กล่าวว่าเป็นสิ่งที่จำเป็นเพื่อตอบสนองต่อสิ่งที่เรียกว่า "การเพิ่มขึ้นของเนื้อหาที่เต็มไปด้วยความเกลียดชัง" ที่มาจากดินแดนปาเลสไตน์

เมตากล่าวด้วยว่า การเปลี่ยนแปลงนโยบายดังกล่าวที่ถูกนำมาใช้ในช่วงเริ่มต้นของสงครามระหว่างอิสราเอลและกลุ่มฮามาสในฉนวนกาซา ได้ถูกเปลี่ยนกลับเป็นเหมือนเดิมแล้ว แต่ไม่ได้ระบุว่าเกิดขึ้นเมื่อใด

ในสงครามดังกล่าวมีรายงานว่าผู้สื่อข่าวปาเลสไตน์เสียชีวิตไปแล้วอย่างน้อย 137 ราย ในเขตฉนวนกาซา นับตั้งแต่สงครามเริ่มต้นขึ้น แต่ก็ยังมีนักข่าวอีกไม่กี่คนที่ยังปฏิบัติหน้าที่ต่อ แม้ว่าจะมีอันตรายก็ตาม


เดือน ส.ค. 2024 นักข่าวชาวปาเลสไตน์ ร่วมไว้อาลัยต่อแฮมซา เมอร์เตกา หนึ่งในนักข่าว 137 คน ที่เสียชีวิต นับตั้งแต่เหตุโจมตีของกลุ่มฮามาสในเดือน ต.ค. 2023

"มีข้อมูลจำนวนมากที่ไม่สามารถตีพิมพ์ออกไปได้ เพราะมันรุนแรงเกินไป ยกตัวอย่างเช่น หากทหาร [อิสราเอล] ก่อเหตุสังหารหมู่ และเราถ่ายไว้ได้ วิดีโอนั้นก็จะไม่ได้ถูกแพร่ออกไป" โอมาร์ เอล กาตา หนึ่งในนักข่าวที่ยังคงเลือกจะปักหลักอยู่ทางตอนเหนือของกาซา

"แต่ ถึงแม้ว่าจะมีความท้าทายหลายอย่าง ความเสี่ยงต่าง ๆ และเนื้อหาโดนแบน เราก็ต้องเดินหน้าเผยแพร่เนื้อหาเกี่ยวกับปาเลสไตน์ต่อไป" เขาระบุ

รายงานเพิ่มเติมโดย รีฮาบ อิสมาอิล และนาตาลี เมอร์ซูกี

https://bbc.in/3ZLntZM


Elon Musk to make Germany Nazi again ? Musk expresses endorsement of far-right party as ‘saviour’ of Germany


.....
Jaran Ditapichai
5 hours ago
·
จากเว็ปสังคมนิยมโลกรายงานว่า ELon Musk เจ้าของTesla, SpaceX, Twitter platform X กำลังเคลื่อนไหวสนับสนุน Alternative für Deutschland, (AfD)พรรคนาซีใหม่ พรรคขวาจัดเยอรมัน ซึ่งจะมีการเลือกตั้งทั่วไปในต้นปีหน้า และสนับสนุนพรรคปฏิรูปอังกฤษ พรรคฟาสซิสต์ คาดว่า Musk จะบริจาคเงินให้พรรคหลังนี้ ถึง120 ล้านดอลลาร์
# ธาตุแท้นายทุนใหญ่



 

https://x.com/Roshan_Rinaldi/status/1870330406504996908



*** เปลี่ยน-ผ่าน*** เปลี่ยนความ "กลัว" เป็นความ "กล้า" เปลี่ยน "อ่อนล้า" เป็น "พลัง"


อานนท์ นำภา
6 hours ago
·
*** เปลี่ยน-ผ่าน***
.
เปลี่ยนความ "กลัว" เป็นความ "กล้า"
เปลี่ยน "อ่อนล้า" เป็น "พลัง"
เปลี่ยน "อ่อนไหว" เป็น "มุ่งหวัง"
เปลี่ยน "สังคม" ให้ "สมบูรณ์"
.
ระบอบเก่า มาถึงกาล
อวสาน และ เสื่อมสูญ
ผองไพร่ จักเพิ่มพูล
เสรีภาพ ที่แท้จริง
.
กงล้อ ประวัติศาสตร์
ประชาชาติ ต้องช่วงชิง
ปลดปล่อย จากเหลือบปลิง
สู่ "ประชาธิปไตย"
.
19 กันยายน 2553 (14 ปีก่อน)
.....



#ยืนหยุดทรราชxนิรโทษกรรมประชาชนw110 21 ธันวาคม 2567

https://www.facebook.com/watch/?v=1171139687767990


We, The People
7 hours ago
·
#ยืนหยุดทรราชxนิรโทษกรรมประชาชนw110
21 ธันวาคม 2567
ขอบคุณเพื่อนพ้องน้องพี่จากกรุงเทพที่มายืนกับเราวันนี้
ขอบคุณทุกกำลังใจจากผู้เดินผ่านและขับรถผ่าน
ใครๆ ก็รู้จักอานนท์
ส่วนบริษัทธุรกิจที่มาใช้พื้นที่ข่วงท่าแพทำกิจกรรม โปรดเข้าใจว่าคุณไม่ได้เป็นเจ้าของพื้นที่สาธารณะ ต่างฝ่ายต่างทำกิจกรรม ไม่ได้รบกวนกัน ก็ควรใช้พื้นที่คนละส่วนกันได้
#นิรโทษกรรมประชาชน
#ยกเลิก112


อุ๊ย ทูตถูกด่า !

Pipob Udomittipong
16 hours ago
·
ตอนนั้นคนฮือฮากันมาก ๆ เลยกับทูตห้องแถวคนนี้ แต่ทำไมผมเฉย ๆ อะ

Atukkit Sawangsuk
19 hours ago
·
อุบาทว์
พรรคพลังประชารัฐถูกถีบไปเป็นฝ่ายค้าน
เท้งเป็นผู้นำฝ่ายค้าน
เขาก็ต้องทำงานด้วยกัน อย่างน้อยก็ต้องจัดคิวทางธุรการ แบ่งเวลาอภิปราย ตั้งกระทู้ เสนอญัตติ โดยไม่จำเป็นต้องเห็นตรงกัน ไม่มีผลประโยชน์ร่วมกัน ไม่เหมือนประกาศไม่จับมือลุงแล้วข้ามขั้วตระบัดสัตย์ ตกลงแบ่งสรรผลประโยชน์
:
เรื่องแค่นี้ เด็กก็เข้าใจได้ ไม่ต้องถึงขั้นผู้อาวุโสแก่พรรษา ขอบอ้างว่าตัวเองสู้มาก่อน
สู้รัฐประหารเหรอ สู้เท่าโรม เท่าลูกเกดไหม อายเด็กบ้าง
:
(เพิ่งเห็นเพราะเพิ่งมีคนส่งให้ดู ปกติไม่ได้ตาม ไม่ได้ให้ราคา)
.....




ธงชัย วินิจจะกูล ขอเผยความรู้สึก หลังเข้าชม Dialogue with the Father: Documentary Theatre แสดงจบไปเมื่อวันอาทิตย์ที่ 15 ธันวาคม ที่ผ่านมา บอกว่าน้ำตาซึมโดยไม่รู้ตัวในหลายตอน



ขออนุญาตร่วมการสนทนาถึงพ่อวัฒน์ วรรลยางกูร

21 Dec 2024
Way Magazine

ผมไปดูการแสดงรอบวันอาทิตย์ที่ 15 ธันวาคม 2567 ไปล่วงหน้าก่อนนาน เพราะคาดว่าน่าจะมีคนไปร่วมชมมากมาย เนื่องจากการแสดงในวันก่อนหน้านั้นได้รับการกล่าวถึงอย่างน่าประทับใจ หลายความเห็นบอกว่าน้ำตาซึมโดยไม่รู้ตัวในหลายตอน

โดยรวมดี ผมชอบมาก
 

photo: Jiraphat Vinagupta

1.

ผมเองไม่เคยรู้จักสนิทสนมกับวัฒน์เลย เราได้พบเจอสนทนากันเพียงไม่กี่ครั้ง ทั้งๆ ที่เดินอยู่บนทางเดียวกันมาหลายสิบปี ผมได้รู้จักวัฒน์ก็คราวนี้แหละ ได้รู้ว่าเขาเป็นสามัญชนดีๆ ชั่วๆ ตามปกติที่ชอบอาหาร ไวน์ มีอารมณ์ขันแบบกวนๆ แต่มี ‘ลูกบ้า’ เอาการอยู่ทั้งๆ ที่เป็นคนกลัวตายไม่ต่างกับเราท่านทั้งหลาย

อดคิดไม่ได้ว่าในสังคมที่ทำให้เราท่านหัวหด และมักบอกตัวเองว่าธุระไม่ใช่ ก็มีคนขี้กลัวบางคนเสนอหน้าออกไปท้ารบกับความอยุติธรรมครั้งแล้วครั้งเล่า

คงเป็นเพราะมีคนกลัวตายแบบวัฒน์น้อยเกินไปมั้ง เมืองไทยจึงต่างกับเกาหลีใต้

ข้อเด่นของการแสดงที่ทุกคนคงเห็นคือ เรื่องเล่าผ่านสายตาของลูกทั้ง 3 คน ซึ่งเป็นมิติที่ต่างจากชีวประวัติตามปกติ ที่มักทำราวกับว่าผู้เขียนหรือผู้เล่าสามารถถ่ายทอดเรื่องราวชีวิตของคนผู้นั้นออกมาได้ตรงๆ

‘วัฒน์’ ผ่านคำบอกเล่า (ที่ย่อมเลือกสรรแล้ว ทั้งโดยเจตนา และโดยวัย เวลา ฯลฯ) ของวนะ วสุ วจนา จะเหมือนต่างกันอย่างไร และจะใช่วัฒน์ตัวจริงมากน้อยขนาดไหน ก็เชิญผู้ชมคิดเอาเอง

photo: Jiraphat Vinagupta

2.

ตอนที่รับแจกสติกเกอร์ให้เข้าชมได้นั้น ผู้จัดบอกเตือนล่วงหน้าว่าการแสดงนี้ยาว 3 ชั่วโมง คงเห็นว่าคนอายุมากอย่างเราอาจต้องการเตรียมตัวให้พร้อม

การแสดงทั้งหมดใช้เวลา 3 ชั่วโมงเป๊ะจริงๆ ผมเห็นว่าความยาวขนาดนี้เกินไปแน่ ๆ

มีการแสดงและภาพยนตร์เพียงไม่กี่เรื่องในโลกนี้ ที่ผู้ชมยอมให้ว่าจะยาวขนาดนี้หรือยาวกว่าก็ไม่ติดใจ แต่ส่วนใหญ่แล้วความยาวขนาดนี้น่าจะไม่จำเป็น โดยมากเป็นดัชนีชี้ว่ายังดีไม่พอ

บางคนอธิบายว่าเพราะลูกทั้งสามต้องการเล่าให้เราฟังทั้งหมดที่อยู่ในใจเขา บางคนก็ว่าการแสดงอย่างเป็นธรรมชาติมากจึงมีบทพูดหลายตอนเยิ่นเย้ออย่างเป็นธรรมชาติเช่นกัน

ในกรณีนี้ผมเห็นว่าความยาวไม่ใช่ปัญหาโดดๆ ในตัวมันเอง แต่เกี่ยวพันอย่างแยกไม่ออกกับบทที่ดี ทั้งถ้อยคำ (บทสนทนา บทรำพึง ฯลฯ) การใช้สัญลักษณ์ เพลง และเหตุการณ์เล็กๆ บางกรณีเพื่อสื่อความหรือฉายภาพกว้างกว่านั้นในเวลาเพียงสั้นๆ หรือด้วยถ้อยคำไม่มากนัก

ความเป็นธรรมชาติกับศิลปะการเล่าเรื่องก็ไม่จำเป็นและไม่ควรต้องขัดแย้งกัน

ความปรารถนาจะเล่าให้หมดใจนั้นย่อมน่าเห็นใจและควรสนับสนุน ถ้าเป็นการสนทนากับเราจริงๆ เราคงยอมให้มากกว่า 3 ชั่วโมงก็ได้ แต่การแสดงเป็นศิลปะอย่างหนึ่ง ศิลปินตระหนักดีว่าการถ่ายทอดความเป็นจริงและความหมายที่เขาต้องการจะบอกแก่ผู้ชมนั้น ย่อมไม่สามารถถ่ายทอดได้ ‘ทั้งหมด’ อย่างเก่งที่สุดก็ได้เพียงถ่ายทอดหรือสื่อความหมายและความจริงหลายอย่างที่ตนต้องการ ศิลปินไม่เคย ไม่สามารถ และเป็นไปไม่ได้ที่จะสื่อ ‘ทั้งหมด’

ต่อให้มากถึง 5-6 ชั่วโมงก็ยังไม่ได้อยู่ดีเพราะ ‘ทั้งหมด’ อยู่ในใจของลูกๆ ผู้เล่าเรื่องเท่านั้น

ไม่มีงานประวัติศาสตร์ใดๆ สามารถเล่าถึงอดีตได้ ‘ทั้งหมด’ ฉันใดฉันนั้น

สิ่งที่ศิลปินและนักเขียนใส่ใจมากกว่าคือ จะเล่าเรื่องหลายอย่างหรือ ‘อย่างที่เราต้องการ’ ได้อย่างไร ข้อนี้เป็นไปได้

ในการแสดงนี้เองก็มีบางตอนที่ดีมากๆ เช่น เรื่องเล่าถึงคราวที่วัฒน์ขับรถรอบอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยแล้วตะโกนคุยกับปรีดี พนมยงค์ ตบท้ายด้วยอารมณ์ขันของผู้เล่าด้วยคำเพียงไม่กี่คำได้อย่างแทบจะสมบูรณ์ ฉากเดียวนั้นชวนให้ผมสามารถคิดจินตนาการออกไปได้ตั้งเยอะ ทั้งถึงวัฒน์และถึงความคิดความรู้สึกของลูกด้วย

เพลง ฝันให้ไกลไปให้ถึง ก็ปรากฏมาในจังหวะที่เหมาะสมดีมาก และคุณวสุสามารถร้องได้ดีเหลือเกิน ทุกคำร้องสื่อเข้าไปถึงหัวใจของผู้ฟังอย่างผมได้โดยไม่รู้ตัว (โดยไม่จำเป็นจะต้องไพเราะที่สุด)

มีหลายตอนที่ผมเห็นว่าน่าจะมีวิธีนำเสนอได้ดีและกระชับกว่านั้น การอ่านบทกวีชิ้นหนึ่งทำให้ผมผละถอยออกมาดูคนอ่าน แทนที่จะซับบทกวีนั้นเข้ามา

บทที่ดีกว่านี้จึงน่าจะมีส่วนยกระดับศิลปะการแสดงประเภทนี้ให้งดงามขึ้นไปอีกในเวลาที่สั้นลง



photo: Jiraphat Vinagupta

3.

ชมการแสดงครั้งนี้ยังช่วยให้ผมตระหนักถึงอีกอย่างหนึ่งเกี่ยวกับ 6 ตุลา …

ในขณะที่น้ำตาผมไม่ซึมกับตอนอื่นใดเลยในการแสดงนี้ แต่น้ำตาผมปริ่มทุกครั้งที่พาดพิงถึง 6 ตุลา ซึ่งคนอื่นคงไม่เป็นดังนั้น ‘ปม’ ของตัวผมเองจึงน่าจะเป็นปัจจัยสำคัญ แต่บทและการแสดงก็มีส่วนอยู่ด้วยเพราะลูกๆ ของวัฒน์ทำให้ผมรู้สึกได้ถึงบาดแผลร้าวลึกที่เหตุการณ์ 6 ตุลากระทำต่อพ่อของเขา

ผมรู้สึกได้ว่าบาดแผลมันร้าวลึกเกินกว่าถ้อยคำใดๆ จะสื่อออกมาได้ เป็นความร้าวลึกที่รับรู้ได้ด้วยใจ บรรยายไม่ออก ผมตระหนักในห้วงขณะที่ชมการแสดงทันทีว่า ผมไม่เคยเข้าใจมากพอเลยว่า 6 ตุลากระทบกับผู้คนมากขนาดไหน

ผมเคยคิดว่าผมรู้ เคยกล่าวเคยเขียนมาหลายครั้งว่า 6 ตุลาเป็นประวัติศาสตร์บาดแผลที่ร้าวลึกเจ็บปวดมากสำหรับสังคมไทย แต่ผมเพิ่งตระหนักว่าเราคาดไม่เคยถูกเลยว่า ความเจ็บปวดร้าวลึกที่เกิดกับคนอื่นแต่ละคนนั้นเป็นอย่างไร มากหรือน้อยในแบบไหน คำกล่าวที่ว่า “เป็นประวัติศาสตร์บาดแผลที่ร้าวลึกเจ็บปวดมากสำหรับสังคมไทย” เป็นนามธรรมที่ผิวเผินเหลือเกิน

ผมคิดไปถึงคำที่ผู้รอดชีวิตจากการสังหารล้างเผ่าพันธุ์ชาวยิวโดยระบอบนาซี (Holocaust) หลายคนบอกตรงกันว่า ไม่มีถ้อยคำใดๆ จะสามารถบรรยายหรือเล่าถึงเหตุการณ์นั้นได้ ไม่มีประวัติศาสตร์ใดๆ จะสามารถเขียนหรือถ่ายทอดเหตุการณ์นั้นออกมาเป็นถ้อยคำหรือเรื่องเล่าได้ เหตุการณ์นั้นชี้ให้เรารู้จักขีดจำกัดหรือสุดขอบความสามารถของเรื่องเล่าและประวัติศาสตร์ (limit of representation)

6 ตุลา คงเทียบไม่ได้เลยกับการสังหารล้างเผ่าพันธุ์ชาวยิวหลายล้านคน เทียบไม่ได้เลยกับการสังหารชาวปาเลสไตน์ที่ฉนวนกาซาในช่วงปีที่ผ่านมา แต่ความเจ็บปวดร้าวลึกมากและน้อยที่เกิดกับแต่ละคนนั้นน่าจะทำนองเดียวกัน คืออาจจะเกินกว่าที่ถ้อยคำหรือประวัติศาสตร์ใดๆ จะสามารถถ่ายทอดออกมาได้อย่างเพียงพอ

บทที่ดีที่สุดที่ศิลปินจะสามารถสร้างสรรค์ได้ ก็ยังอาจจะไม่สามารถถ่ายทอดได้เพียงพออยู่ดี

4.

การแสดงดีๆ แบบนี้มีน้อยเกินไป มีคนทำน้อยไป จนเกิดการเรียนรู้จากกันและกันได้ไม่มากพอ ช่วยกันพัฒนาหรือปรับปรุงศิลปะการแสดงประเภทนี้ให้ดีขึ้นๆ ได้จำกัด นี่เป็นความขาดแคลนปกติอีกอย่างของสังคมนี้

การสนทนาถึงพ่อวัฒน์ วรรลยางกูร ทำได้ดีในคราวนี้ แต่ก็ทำให้เรา ‘อยาก’ มากขึ้นไปอีก ปรารถนาจะได้ชมการแสดงแบบนี้อีกแต่ที่ดีกว่าเดิม

โปรดแสดงอีกเถอะครับ แต่ละครั้งไม่ต้องเหมือนเดิมก็ได้ ทดลองและทำให้ดีขึ้นกว่าเดิมอีก

ผมเชื่อว่า ‘วัฒน์ วรรลยางกูร’ ก็คงต้องการเช่นนั้น



https://waymagazine.org/dialogue-with-the-father/


คุกเอาไว้ขังคนจน และ 112 ?


Matichon Online - มติชนออนไลน์
12 hours ago
·
เปิดขั้นตอน ย้ายโกทร มาคุกกรุง รับหากป่วย อนุมัติไปรักษานอกเรือนจำแบบทักษิณได้
https://www.matichon.co.th/politics/news_4965158
.....
แต่ทำไมขุนแผนไปรักษานอกเรือนจำไม่ได้?
มิตรท่านหนึ่ง


พรรคประชาชน ยังยืนยัน การรับซื้อไฟฟ้า 3,600 MW จะทำให้ค่าไฟแพงขึ้นกว่าที่ควรจะเป็น และ นายกรัฐมนตรี คือ คนเดียวที่จะหยุด หรือ เดินหน้าขบวนการค่าไฟแพงนี้ ขอนายกฯ ตอบให้ชัด จะยกเลิกหรือเดินหน้า สัญญาซื้อขายไฟฟ้าเอื้อนายทุน


วรภพ วิริยะโรจน์
6 hours ago
·
[ การรับซื้อไฟฟ้า 3,600 MW จะทำให้ค่าไฟแพงขึ้นกว่าที่ควรจะเป็น และ นายกรัฐมนตรี คือ คนเดียวที่จะหยุด หรือ เดินหน้าขบวนการค่าไฟแพงนี้ ]
.
ขอขยายความจากที่มีการพูดถึงเพิ่มเติม สำหรับ การรับซื้อไฟฟ้าหมุนเวียน 3,600 MW ที่ กกพ. พึ่งประกาศเอกชนที่ได้คัดเลือกไปเมื่อ 16 ธ.ค. และกำหนดให้มีการลงนามสัญญาซื้อขายไฟฟ้าภายใน 14 วัน
.
1.ราคาที่รัฐรับซื้อไฟฟ้าหมุนเวียน 3,600 MW จะทำให้ค่าไฟประชาชน “แพงกว่าที่ควรจะเป็น” จากการที่ “ไม่ได้เปิดประมูล”
.
ถ้าเทียบ ราคาที่รับซื้อไฟฟ้าหมุนเวียนรอบ 3,600 MW นี้ จากแสงอาทิตย์ อยู่ที่ 2.2 บาท/หน่วย ถูกกว่า ค่าไฟปัจจุบันที่ 4.2 บาท/หน่วย นั้นถูกต้องครับ
.
แต่ การรับซื้อไฟฟ้าหมุนเวียนรอบนี้ ทางผมยังมองว่า “แพงกว่าที่ควร” เพราะ ราคาไฟฟ้า ที่รัฐรับซื้อควรจะ “เปิดประมูล” เพราะ ทุกราคาที่รัฐรับซื้อจะเป็นต้นทุนค่าไฟของประชาชนทั้งหมด และสาเหตุที่ ค่าไฟแสงอาทิตย์ที่รัฐรับซื้อ 2.2 บาท/หน่วยนี้ แพงกว่าที่ควร เพราะ
.
1.1 เป็นราคาเดียวกับที่ประกาศรับซื้อไว้เมื่อรอบ 5,200 MW ปี 2565 ซึ่ง เป็นที่ทราบกันดีว่า ต้นทุนไฟฟ้าแสงอาทิตย์มีต้นทุนที่ถูกลงทุกปีมาตลอดในอดีต และ การรับซื้อไฟฟ้าหมุนเวียนทั้งรอบ 5,200 MW และ 3,600 MW เป็นการรับซื้อไฟฟ้าที่ โรงไฟฟ้าจะทยอยสร้างเสร็จตั้งแต่ ปี 2567 - 2573 แต่ ราคาที่รับซื้อเป็นราคาเดียวกันหมด ซึ่งโรงไฟฟ้าที่สร้างทีหลัง มีความได้เปรียบที่จะมีต้นทุนที่ถูกกว่าราคาที่รัฐประกาศรับซื้อไว้อย่างแน่นอน
.
1.2 การรับซื้อรอบ 5,200 MW ปี 2565 มีเอกชนยื่นเสนอโครงการสูงถึง 17,000 MW หรือ 3.3 เท่าของที่ประกาศรับซื้อ แสดงถึงเป็นราคารับซื้อที่กำไรดีสำหรับเอกชน แต่ย่อมหมายถึงต้นทุนค่าไฟที่แพงสำหรับประชาชนได้ ดังนั้น “การประมูลแข่งขัน” คือ กระบวนการที่จะมั่นใจได้ว่า เป็นต้นทุนค่าไฟฟ้าที่เหมาะสมที่สุดทั้งเอกชนและประชาชน
.
2. นโยบายที่รัฐรับซื้อไฟฟ้าหมุนเวียน 3,600 MW นั้น เป็นนโยบายพลังงานสะอาดที่ไม่มีความเหมาะสม และจะทำให้ค่าไฟประชาชนแพงขึ้นได้โดยไม่จำเป็น เพราะ “ซ้ำซ้อน” กับ นโยบาย Direct PPA 2,000 MW ของรัฐบาล
.
การเพิ่มพลังงานสะอาดในประเทศไทยนั้นเป็นสิ่งที่ถูกต้อง เป็นเงื่อนไขที่เอกชนที่ต้องการจะลงทุนในไทย และ ที่ลงทุนในไทยอยู่แล้วต้องการ เพราะ นโยบายธุรกิจของเอกชนกลุ่มนี้คือต้องการใช้พลังงานสะอาด 100% หรือ เรียกว่า RE100
.
แต่รัฐบาลนี้ ก็พึ่งประกาศเปิดเสรีพลังงานสะอาด หรือ Direct PPA 2,000 MW เมื่อเดือน มิ.ย. 67 ซึ่งเป็นสิ่งที่เอกชน RE100 กลุ่มนี้ต้องการไปแล้ว คือ เปิดให้ผู้ผลิตไฟฟ้าะสะอาดและผู้ซื้อไฟฟ้าสะอาด สามารถตกลงซื้อขายไฟฟ้าสะอาดได้โดยตรง และ เช่าระบบสายส่งของการไฟฟ้าได้ และ Direct PPA นี้ จะไม่ทำให้เพิ่มค่าไฟประชาชนเลย เพราะ เป็นเรื่องที่เอกชนที่ต้องการซื้อและขายพลังงานสะอาด ต้องไปตกลงและแข่งขันกันเอง
.
แต่การที่รัฐรับซื้อไฟฟ้าหมุนเวียน 3,600 MW นี้ จะยิ่งซ้ำเติมการที่รัฐรับซื้อไฟฟ้าจากเอกชนจำนวนมากเกินกว่าความต้องการใช้ไฟฟ้าทั้งหมด (เพราะเอกชนที่ต้องการไฟสะอาดไปซื้อจาก Direct PPA แล้ว) และจะ กลายมาเป็นต้นทุนค่าไฟฟ้าประชาชนที่แพงขึ้นกว่าที่ควรจะเป็น
.
3. นายกรัฐมนตรี ในฐานะ ประธานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) มีอำนาจเต็มในการเปลี่ยนแปลง ระงับการรับซื้อไฟฟ้าหมุนเวียน 3,600 MW หรือ จะปล่อยให้เดินหน้าไปสู่การลงนามสัญญาซื้อขายไฟฟ้า
.
การประกาศรับซื้อไฟฟ้าหมุนเวียน 3,600 MW ของ กกพ. เมื่อ ก.ย. 2567 ระบุชัดเจนว่าเป็นการรับซื้อตาม มติ กพช. มี.ค. 2566 (และ มติ กบง. ก.ค. 2567) การรับซื้อไฟฟ้าหมุนเวียนรอบ 3,600 MW (และทุกครั้งที่รัฐจะรับซื้อไฟฟ้า) ต้องมีมติอนุมัติในระดับ “นโยบาย” จาก กพช. ก่อน และ เป็นมติ กพช. ที่กำหนดอัตรารับซื้อไฟฟ้าไว้เลย (คือ ไม่ให้เปิดประมูล)
.
และตามประกาศ กกพ. เมื่อ ก.ย. 2567 ยืนยันชัดเจนว่า กกพ. ขอสงวนสิทธิ ยกเลิกโครงการการรับซื้อเมื่อมีการเปลี่ยนแปลง “นโยบาย” ภาครัฐ แต่ต้องก่อนการลงนามสัญญาซื้อขายไฟฟ้า ก็ยืนยันชัดเจนว่า กพช.ที่นายกฯ เป็นประธาน มีอำนาจเต็มในการเปลี่ยนแปลงนโยบาย เพื่อระงับ หรือ ปล่อยให้เดินหน้าการรับซื้อไฟฟ้าหมุนเวียนรอบ 3,600 MW
.
และ นายกรัฐมนตรี แพทองธาร ชินวัตร ได้จัดประชุม กพช. เมื่อวันที่ 26 พ.ย. 2567 ไปแล้ว แต่ไม่มีการเปลี่ยนแปลง มติ กพช. ในการรับซื้อไฟฟ้าหมุนเวียน ก็คือ การปล่อยให้การรับซื้อไฟฟ้าเดินหน้า จนมาถึงวันที่ 16 ธ.ค. 2567 ที่ กกพ. ประกาศเอกชนที่ได้รับคัดเลือก จำนวน 2,100 MW และ กำหนดให้ลงนามในสัญญาซ์้อขายไฟฟ้า ภายใน 14 วัน (กลุ่ม 1) และ 60 วัน (กลุ่ม 2)
.
ดังนั้น ถ้าการรับซื้อไฟฟ้าหมุนเวียน 3,600 MW รอบนี้ แม้จะเป็นนโยบายที่ริเริ่มจาก รัฐบาล พล.อ. ประยุทธ์ และ แม้แต่ รมว.พลังงานยังยอมรับว่ามีปัญหาจริง แต่ นายกรัฐมนตรี แพทองธาร ที่มีอำนาจเต็มในการระงับยับยั้ง กลับปล่อยให้เดินหน้าไปถึงการลงนามสัญญาซื้อขายไฟฟ้าที่จะเปลี่ยนแปลงไม่ได้แล้ว
.
โดยสรุป ก็คือ นายกรัฐมนตรี แพทองธาร ชินวัตร ได้อนุมัติให้สานต่อขบวนการค่าไฟแพงนี้ไปแล้ว แต่เพราะอะไร ไม่สามารถทราบได้ เพราะ นายกรัฐมนตรี ไม่ได้มาตอบกระทู้สดและจนถึงวันนี้ก็ยังไม่มีคำชี้แจงใดๆ ถึงเหตุผลที่เดินหน้าการรับซื้อไฟฟ้าหมุนเวียน 3,600 MW ครั้งนี้
.
#พรรคประชาชน #สสเติ้ล #ค่าไฟแพง

https://www.facebook.com/TleWoraphop/posts/1132132945586156
.....


พรรคประชาชน - People's Party
Yesterday
·
[ ตอบให้ชัด นายกฯ จะยกเลิกหรือเดินหน้า สัญญาซื้อขายไฟฟ้าเอื้อนายทุน ]
.
จากกรณีโครงการรับซื้อไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน 3,600 เมกะวัตต์ ที่พรรคประชาชนได้ตั้งข้อสงสัยมาตลอดว่าเป็นการเอื้อประโยชน์ให้กลุ่มทุนพลังงานแลกกับค่าไฟแพงขึ้นที่ประชาชนต้องควักกระเป๋าจ่ายหรือไม่ จนนำไปสู่การตั้งกระทู้ถามในสภาถึงสองครั้ง ครั้งหนึ่งเมื่อวันที่ 24 ตุลาคม 2567 และอีกครั้งเมื่อวานนี้ 19 ธันวาคม 2567 ซึ่งปรากฏว่ารัฐบาลไม่ได้ส่งใครมาตอบกระทู้เรื่องนี้เลย
.
สถานการณ์ล่าสุดในเวลานี้ คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) เมื่อวันที่ 16 ธันวาคม ที่ผ่านมา ได้ประกาศผลการคัดเลือกผู้ชนะที่จะได้สัมปทานไปเรียบร้อยแล้ว และให้มาเซ็นสัญญาซื้อขายไฟฟ้าภายใน 14 วัน นั่นเท่ากับโครงการนี้กำลังจะเดินหน้าผ่านฉลุย ถ้าไม่มีการระงับยับยั้งใดๆ ภายในวันที่ 30 ธันวาคม 2567
.
และผู้ที่มีอำนาจยับยั้งนี้ ก็คือนายกรัฐมนตรี ซึ่งมีฐานะเป็นประธานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) แต่คำถามคือเหตุใดนายกรัฐมนตรีจึงไม่ได้ทำอะไรกับเรื่องนี้ ทั้งที่โครงการดังกล่าวเป็นที่ชัดเจนว่ามีความไม่ชอบมาพากล
.
นั่นคือประเด็นที่ ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชน ได้ตั้งข้อสังเกตในการถามกระทู้นายกรัฐมนตรี ซึ่งไม่ได้ปรากฏตัวในสภามาตอบคำถามเรื่องนี้เมื่อวานนี้
.
ล่าสุด รองเลขาธิการพรรคเพื่อไทยคนหนึ่ง ออกมาชี้แจงว่านายกรัฐมนตรีได้สั่งทบทวนมติในเรื่องนี้ไปแล้ว และข้อกล่าวหาของหัวหน้าพรรคประชาชนไม่เป็นความจริง นายกรัฐมนตรีไม่ได้นิ่งนอนใจ นายกรัฐมนตรีสั่งให้ทบทวนเรื่องนี้ตั้งแต่เข้ามาดำรงตำแหน่งแล้ว ฯลฯ
.
อย่างไรก็ตาม ถ้าเรากางไทม์ไลน์เรื่องนี้แบบครบถ้วนกระบวนความจริงๆ จะเห็นได้ชัดเจนว่านายกรัฐมนตรีใส่ใจและรับผิดชอบกับเรื่องนี้จริงๆ หรือไม่?
.
24 ตุลาคม 2567 - ในการตั้งกระทู้ครั้งแรกของณัฐพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค ได้มาตอบกระทู้แทนนายกรัฐมนตรี โดยยอมรับว่าโครงการดังกล่าวมีปัญหาจริง ควรมีการเปิดประมูล และการล็อกโควตาอาจจะผิดกฎหมายได้ และได้สั่งให้มีการทบทวนไปแล้ว
14 พฤศจิกายน 2567 - รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ได้ส่งหนังสือถึง กกพ. ขอให้ระงับโครงการรับซื้อไฟฟ้า 3,600 MW ไว้ก่อน
 26 พฤศจิกายน 2567 - ในการประชุม กพช. ที่นายกรัฐมนตรีเป็นประธาน ได้มีการสั่งให้ทุกหน่วยงานที่มีโครงการพลังงานสะอาด “เดินหน้าทุกโครงการ”
 16 ธันวาคม 2567 - กกพ. ประกาศชื่อเอกชนที่ได้รับการคัดเลือก และกำหนดให้มีการลงนามสัญญาซื้อขายไฟฟ้าภายใน 14 วัน (เท่ากับเมินความเห็นของ รมว.พลังงาน)
 19 ธันวาคม 2567 - ณัฐพงษ์ตั้งกระทู้สดถามนายกฯ ถึงกรณีการรับซื้อไฟฟ้านี้อีกครั้ง แต่ไม่ได้รับคำตอบใดๆ ไม่มีใครมาตอบกระทู้
.
ตั้งแต่วันที่ 24 ตุลาคม 2567 ที่มีการตั้งกระทู้และตอบกระทู้ของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ตลอดจนมีการทำตามคำมั่นโดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานที่ยอมรับว่าโครงการนี้มีปัญหาจริงๆ
.
นายกรัฐมนตรีย่อมรับรู้ได้ถึงปัญหาของโครงการดังกล่าว และสามารถใช้อำนาจของ กพช. ที่ตัวเองเป็นประธาน เพื่อระงับยับยั้งโครงการได้
.
แต่การประชุม กพช. ในวันที่ 26 พฤศจิกายน 2567 นายกรัฐมนตรีกลับไม่มีการสั่งการใดๆ ในเรื่องนี้ จนล่วงเลยมาถึงวันที่ 16 ธันวาคม 2567 กพพ. ก็ได้ประกาศผลผู้ชนะที่ได้สัมปทาน
.
ถ้านายกฯ “ใส่ใจ” และ “ดำเนินการตามหน้าที่อย่างเต็มความสามารถ” อย่างที่รองเลขาธิการพรรคเพื่อไทยคนดังกล่าวอ้าง ทำไมการประชุมในวันที่ 26 พฤศจิกายน 2567 ซึ่งผ่านไปเกือบหนึ่งเดือนหลังมีการท้วงติงจากทั้งพรรคประชาชน และจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานเอง นายกรัฐมนตรีถึงไม่ใช้อำนาจที่ตัวเองมีในฐานะประธาน กพช. สั่งการเรื่องนี้?
.
คำตอบมีเพียงสามประการ คือ 1) นายกรัฐมนตรีไม่ใส่ใจ 2) นายกรัฐมนตรีไม่รู้เรื่อง
.
หรือ 3) นายกรัฐมนตรีรู้เรื่องดี ทราบว่าผลของการปล่อยให้การรับซื้อไฟฟ้านี้เกิดขึ้น จะกระทบประชาชนแค่ไหน แต่ก็จะปล่อยให้เป็นแบบนี้ จะด้วยเหตุผลใดนั้น คงมีแต่ตัวนายกรัฐมนตรีเองที่ทราบดีอยู่แก่ใจ
.
ไม่ว่าคนจากรัฐบาลหรือพรรคเพื่อไทยจะพูดอย่างไร ข้อเท็จจริงที่ว่าในวันที่ 26 พฤศจิกายน 2567 ที่นายกรัฐมนตรีนั่งอยู่ตรงนั้นในที่ประชุม กพช. พร้อมอำนาจที่ตัวเองมีในมือ แต่กลับไม่ทำอะไรทั้งนั้น ก็คือข้อเท็จจริงที่ปฏิเสธไม่ได้
.
และการกระทำเช่นนั้นเอง คือสิ่งที่นำพาพวกเรามาถึงสถานการณ์ที่หากนับถอยหลังอีกเพียง 10 วันแล้วยังไม่เกิดอะไรขึ้น เราจะไม่สามารถระงับโครงการที่มีปัญหานี้ได้ คนไทยและธุรกิจไทยต้องรับภาระค่าไฟที่แพงกว่าเดิมไปอีก 25 ปี

https://www.facebook.com/PPLEThai/posts/122130284792480817








Supachot Chaiyasat @SupachotChai

[รัฐบาลแพรทองธารกำลังปัดความรับผิดชอบออกจากตัวเอง?!] 
ดูเหมือนว่าตัวแทนรัฐบาลพยายามที่จะปัดความรับผิดชอบของนายกรัฐมนตรีที่มีต่อการรับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานสะอาดในรอบเจ้าปัญหานี้ ผมขอสรุปเป็น 3 ประเด็นหลัก 

1นายกรัฐมนตรีมีอำนาจในการยกเลิกกระบวนการนี้ 
•นายกรัฐมนตรีในฐานะประธานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) สามารถออกมติจากคณะ กพช. เอง เพื่อยกเลิกหลักเกณฑ์ได้แต่ไม่ยอมทำ 
•ทำไมผมถึงพูดแบบนี้ ลองย้อนกลับไปตอนที่จะให้มีการรับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานพลังงานสะอาดในรอบนี้ก็เป็นมติจาก กพช. ทั้งสิ้นว่าจะรับซื้อในปริมาณเท่าไหร่ อัตราการรับซื้อจะเป็นเท่าไหร่ จะใช้วิธีการไหนในการรับซื้อ 
•แต่พอกระบวนการรับซื้อมีปัญหาราคารับซื้อมีปัญหากลับบอกว่า กพช. ไม่สามารถออกมติเพื่อแก้ไขมติตัวเองได้ แบบนี้หมายความว่าอะไร กำลังปัดความรับผิดชอบใช่หรือไม่ 
•หรือถ้าไปดูระเบียบหลักเกณฑ์การคัดเลือกในทุกๆรอบที่ผ่านมาก็ระบุไว้อย่างชัดเจนว่าต้องออกเป็นมติจากคณะ กพช. เท่านั้นถึงจะยกเลิกการรับซื้อได้ 
•คณะกรรมธิการการพลังงานได้มีการเรียก คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) มาชี้แจงข้อเท็จจริงเมื่อวันที่ 9 ตุลาคม 2567 ตัวแทนจาก กกพ. ก็ระบุเองว่าทุกอย่างที่ทำทำตามมติ กพช. หากจะยกเลิกกระบวนการนั้น จะต้องมีการเปลี่ยนแปลงมติจากทางภาครัฐ ไม่อย่างนั้นไม่สามารถทำอะไรได้ 

2อัตรารับซื้อไฟฟ้าที่ส่งผลให้ประชาชนจ่ายค่าไฟที่แพงเกินจริง 
•เราพูดมาตลอดว่าอัตราการรับซื้อไฟฟ้ารอบนี้นั้น “แพงเกินจริง“ และเราไม่เคยปฏิเสธว่าประเทศไทยเราไม่ต้องการพลังงานสะอาด 
•แต่การรับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานสะอาดในรอบปี 67นี้ มีการกำหนดให้ใช้ราคารับซื้อตั้งแต่ปี 2565 (ตามมติ กพช.) 2 ปีมาแล้วยังให้ใช้ราคารับซื้อเดิมอยู่เลย? 
•เท่านั้นไม่พอ ราคาที่คิดตั้งแต่ ปี 65 ยังถูกกำหนดให้ใช้สำหรับโครงการทั้งหมดที่จะเกิดขึ้นตั้งแต่ปี 2565-2573 ด้วยนั้น นั่นหมายความว่า รัฐบาลไม่ได้มีการคำนึงถึงการลดลงของต้นทุนของพลังงานสะอาดเลย 
•คิดเล่นๆดู ว่า อัตรารับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ที่กำหนดจากภาครัฐ 2.2 บาท/หน่วย กลุ่มทุนที่เป็นเจ้าของโครงการที่จะเกิดในปี 2573 ก็ยังคงขายไฟได้ 2.2 บาท/หน่วย เท่าเดิม แต่ต้นทุนที่ใช้ก่อสร้างจริงในปี 2573 อาจจะลดลงไป 1.5 บาท/หน่วย ส่วนต่าง 0.7 บาท/หน่วย คือกำไรของกลุ่มทุนที่จะได้ไปและประชาขนจะเป็นคนแบกรับ แบบนี้ไม่เรียกว่าเอื้อประโยชน์ให้เอกชนจะเรียกว่าอะไร? 
•ถ้ายังไม่เชื่ออีกว่าต้นทุนจะลดลงจริงลองเปิดอ่านหนังสือ บทความที่หลายๆสำนักเค้ามีการคาดการณ์ต้นทุนในอนาคตว่าจะเป็นเท่าไหร่ เดี๋ยวผมแปะไว้ให้ (https://www3.weforum.org/docs/WEF_Thailand_System_Value_Analysis.pdf…) •และสุดท้ายการซื้อขายนี้มันจะผูกมัดประชาชนไปอีก 25 ปี

3ทำไมถึงเสนอให้ยกเลิกการจัดหาพลังงานสะอาดรอบนี้ไปเลย 
•พรรคประชาชนจึงเสนอให้มีการทบทวนการรับซื้อในรอบนี้ รวมไปถึงให้ใช้วิธีอย่าง Direct PPA ในการเพิ่มสัดส่วนพลังงานสะอาดให้กับประเทศ เนื่องจากเป็นวิธีที่จะไม่ส่งผลต่อค่าไฟของพี่น้องประชาชน เพราะต้นทุนไฟฟ้าจากพลังงานสะอาดจะถูกส่งผ่านไปที่โรงงาน ผู้ประกอบการที่ต้องการพลังงานสะอาดเท่านั้น ไม่ต้องรวมอยู่ในต้นทุนรวม แล้วประชาชนทุกคนจะต้องมาช่วยกันจ่าย 
•เราเลยเสนอเพิ่มเติมด้วยว่าควรมีการเปิดให้เอกชนแข่งขันการประมูลราคาเข้ามาและไม่ควรให้มีการมัดรวมโครงการไฟฟ้าจากพลังงานสะอาดขนาดใหญ่และใช้อัตรารับซื้อไฟฟ้าเดียว ควรจะมีการเปิดเป็นรอบย่อยๆ และมีการทบทวนราคารับซื้อทุกปี

การที่ตัวแทนรัฐบาลต้องหยุดชี้แจงแบบข้างๆคูๆ แล้วพยายามปัดปัญหาออกจากตัวนายกรัฐมนตรีได้แล้ว ให้นายกรัฐมนตรีออกมาชี้แจงในเรื่องนี้ด้วยตัวเอง โจทย์ข้อนี้ไม่ได้ยากอะไรนักสำหรับนายกรัฐมนตรีแพรทองธารว่าจะเลือกกล้าหาญเพื่อประชาชน หรือ กลุ่มทุน

https://x.com/SupachotChai/status/1870417153066975565


วันเสาร์, ธันวาคม 21, 2567

ดันสาวอีสานสู่อาชีพนางแบบ โกอินเตอร์เนี่ยนะ วิสัยทัศน์ใหม่ ‘อีสานเน็กซ์’ ของ ‘ทักษิณ’

มีเสียงวิจารณ์ประมาณว่า ยิ่ง ทักษิณ ผายไอเดียกระฉูดมากเท่าไร ยิ่งทำให้นายกฯ อุ๊งอิ๊ง ดูไร้ราคาลงไปมากเท่านั้น ล่าสุดที่คุณพ่อไปพูดเรื่อง อีสานเน็กซ์ล้วนเป็นวิสัยทัศน์แสดงความช่างคิด ซึ่งยังต้องให้รัฐบาลแพทองธารพิสูจน์อีกเยอะ ว่าทำได้แค่ไหน

รวมทั้งไอเดียหวือหวา ให้สาวอีสานพัฒนาตัวไปยึดอาชีพเป็นนางแบบ บนแค้ทว้อล์คนานาชาติกันมากๆ นัยว่าจะสร้างรายได้ให้แก่ตัวเอง สร้างชื่อเสียงแก่จังหวัด และประเทศชาติ จัดว่าเป็น ซ้อฟพาวเวอร์อย่างหนึ่ง ตามนโยบายพรรคเพื่อไทย

ทักษิณกล่าวในการปราศรัยตอนหนึ่งว่า “ผู้หญิงอีสานมีเสน่ห์ ถ้าเราจะประกวดคนอีสานที่ไม่ผ่านการศัลยกรรมแล้วนำไปสอนเป็นนางแบบระดับโลก เป็นการสร้างรายได้ให้กับคนอีสาน เหมือนคนผิวดำแอฟริกาที่เป็นนางแบบระดับโลกดีหรือไม่”

ถ้าถามเราก็ต้องตอบว่าไม่ค่อยจะดีเท่าไหร่ เพราะอะไร เพราะที่ยกตัวอย่างสาวผิวดำอาฟริกา ที่ไปอินเตอร์กันในการเดินแบบนั้นมีอยู่ แต่ไม่ได้มากมายอะไรนัก ว่าไปแล้วในวงการนางแบบสากลเท่าที่สังเกตุเอา สมัยนี้มีหลากหลายเชื้อชาติ

แล้วยังไม่ต้องสูงชะลูด เอวบาง ร่างเพรียวลมเหมือนแต่ก่อน บังเอิญได้ดูคลิปรายการแฟชั่นโชว์ของ วิคตอเรียซีเคร็ท ที่ ลิซ่า แบล็คพิ้งค์ ไปเป็นนักร้องประกอบรายการและเปิดงาน ได้เห็นความหลากหลายนั้น รวมทั้งประเภทเนื้อนมไข่ ‘Plus size’

ฉะนั้นจะให้สาวอีสานรุ่นใหม่ มุ่งหน้าเอาดีทางประกวดความงามระดับอินเตอร์ โดยให้ฝึกบุคคลิกและทักษะจากราชภัฏต่างๆ ตามภูมิภาคละก็พอได้อยู่ แต่ได้น้อย ซ้ำไม่ใช่เป็นของตาย แน่นอนเสมอไปว่าสาวอีสานรุ่นต่อๆ ไปจะได้เป็นนางงามกันมากเหมือนยุคนี้

ปรากฏการณ์สาวอีสาน ลูกครึ่งรูปร่างหน้าตาเกรดนางงาม นั้นเป็นผลพวงจากสงครามเวียดนาม ที่มีค่าย จีไอ มาตั้งในประเทศไทยจำนวนมาก โดยเฉพาะภาคอีสาน ต่อจากนั้นอีสานเจริญทันสมัยอย่างรุดหน้าช่วงสองทศวรรษที่ผ่านมา

ถ้าจะเอาพื้นเพอย่างนั้นมาต่อยอด น่าจะเป็นการคิดตื้นไปนิด และเชื่อว่าพวกเขาไม่ได้คิดเล่นๆ แน่ เพราะทันทีก่อนจะมีเสียงร้องยี้เป็นปฏิกิริยาต่อซูเปอร์ไอเดียของทักษิณ ลูกยก เพื่อไทย อย่าง อนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด รีบออกมาแซ่ซ้อง

“ช่วยประชาสัมพันธ์วัฒนธรรมไทยในเวทีโลก หากนำแนวคิดนี้ไปพัฒนาจริงจัง” เขาว่าอย่างปลาบปลื้ม แต่เราชะงัก แน่นะ ประกวดความงามบนแค้ทว้อล์ค เป็นวัฒนธรรมไทย

(https://www.khaosod.co.th/politics/news_9557671 และ https://www.facebook.com/thestandardth/posts/vDDHCS79Q)