วันเสาร์, ธันวาคม 20, 2568

เลือกตั้งครั้งนี้ พรรคประชาชนเล่นไพ่ ‘เผ’ โป๊คเกอร์เปิดหน้าสี่ใบ ตั้งรองนายกฯ สี่คนรอไว้เลย ว่าถ้าจะไปกันสุดทาง ต้องได้ ๒๕๐ อัพ

อาจเป็นเพราะเลือกตั้งครั้งนี้มีบทเฉพาะกาลรัฐธรรมนูญยันอยู่ ที่ไม่ให้ สว.มีอำนาจเลือกตัวนายกฯ ฉะนั้นพรรคประชาชนจึงกล้าประกาศโพล่ง ถ้าพรรคภูมิใจไทยได้คะแนนนำ จะไม่เข้าร่วมรัฐบาลอย่างเด็ดขาด หมายจะได้ ๒๕๐ เสียงเต็มๆ

ท่ามกลางเฟคนิวส์ใส่ร้ายโจมตีที่เริ่มออกมาถี่ พรรคประชาชนจัดประชุมใหญ่ผู้สมัคร สส.เขต ๔๐๐ คน กับบัญชีรายชื่ออีก ๑๐๐ คน พร้อมทั้งประกาศรายชื่อผู้จะเป็นคณะรัฐมนตรี ๓๖ คน กับรองนายกฯ อีก ๔ คน แบบเล่นไพ่ เผโป๊คเกอร์เปิดหน้าสี่ใบ

ทีมรองนายกฯ สี่คน ตัวเด็ดทั้งนั้น ศิริกัญญา ตันสกุล วีระยุทธ์ กาญจนชูฉัตร พิจารณ์ เชาวพัฒนวงศ์ และเดชรัต สุขกำเนิด แบ่งงานแบ่งหน้าที่กำกับดูแลไว้แล้ว เพื่อที่จะร่วมมือร่วมลงแรง ในการแก้ไขปัญหาแต่ละอย่างพร้อมๆ กัน

“หลายเรื่องที่เป็นเรื่องความท้าทายในประเทศในปัจจุบัน ไม่สามารถแก้ได้ด้วยกระทรวงใดกระทรวงหนึ่ง หรือประเด็นใดประเด็นหนึ่งอยู่แล้ว อย่างเรื่องสแกมเมอร์” ศิริกัญญายกตัวอย่าง “เรื่องสแกมเมอร์ ก็ต้องอาศัยทั้งความร่วมมือฝั่งความมั่นคง ตํารวจ รวมถึงตลาดเงิน ตลาดทุนด้วย”

สำหรับเป้าหมาย ๒๕๐ เสียง ออกจะทะเยอทะยานเพื่อตั้งรัฐบาลพรรคเดียว ก็จะพยายามไปถึงเป้าหมายให้ได้ ถ้าได้มากกว่านั้นเอาไว้สำรองอีกสักเล็กน้อยก็ดี ไม่ต้องปรับแก้นโยบายถ้าต้องเป็นรัฐบาลผสม ครูไหมของน้องๆ สส.ในพรรคกล่าว

ว่าตาม แบบบท ที่เป็นไปได้ ในการจัดตั้งรัฐบาลหลังเลือกตั้ง ดังที่ Thanapol Eawsakul วาดไว้ว่า “ถ้า ๓ พรรคอันดับแรก ประกอบด้วยพรรคประชาชน พรรคภูมิใจไทย และพรรคเพื่อไทยซึ่งมีคะแนนรวมกัน ๔๐๐ ที่นั่ง หรือ ๘๐%” ละก็

เนื่องจากหัวหน้าเท้งประกาศลั่นแล้วว่าไม่แลนด์สไล้ดืไม่ภูมิใจไทย “ตอนนี้ตัวเลือกของรัฐบาลผสม มีความเป็นไปได้ ๒ อย่างคือพรรคประชาชนจับมือกับพรรคเพื่อไทย หรือพรรคภูมิใจไทยจับมือกับพรรคเพื่อไทยเท่านั้น” แม้น ยศชนัน วงศ์สวัสดิ์ ของเพื่อไทยเผยไต๋

“พรรคประชาชนไม่ใช่คู่แข่ง” (แต่ก็ไม่ใช่จับมือกันแล้ว) “หากต้องร่วม แนวทางนโยบายต้องไปด้วยกันได้” ส่วนจะให้เลือกระหว่างส้มกับน้ำเงิน “เราร่วมได้หมด (แหละ) ครับ” ฉะนั้นพวก I และ E แบกทั้งหลาย รวมทั้ง Con-Artists เฟคนิวส์ ควรระวัง

จะพูดจะทำอะไรพล่อยๆ ไม่ได้นะ เสร็จเลือกตั้งแล้วอาจจะโดนเก็บกวาดกันใหญ่

(https://www.facebook.com/thanapol.eawsakul/posts/JuwqEM6H, https://ch3plus.com/news/political/morning/453581=7cjy9njU8YvRAjBsaPzptw และ https://www.facebook.com/thestandardth/posts/6u5L5uEEN)

จะหนักว่านี้ ถ้าพวกทุนเทาดำยึดประเทศได้เป็นรัฐบาลในครั้งหน้า


The Politics ข่าวบ้าน การเมือง 
Yesterday
·
ถ้าประชาชนไม่กาปากกาดีๆ ในวันเลือกตั้งก็ตัดสินเลย ถ้าการเมืองแบบสแกมเมอร์ยังอยู่ประชาธิปไตยก็จะกลายเป็นพิธีกรรม คนรุ่นใหม่นับวันก็จะยิ่งเบื่อหน่ายการเมือง แล้วกฎหมายก็จะกลายเป็นอาวุธไม่ใช่เป็นหลักความยุติธรรม เศรษฐกิจก็จะถูกบ่อนทำลาย ความไว้เนื้อเชื่อใจทางสังคมของรัฐก็จะพังทลาย เพราะงั้นการเมืองแบบสแกมเมอร์จึงอันตรายกว่าคอร์รัปชันแบบเดิม เพราะมันไม่เพียงขโมยเงินนะ แต่ว่ามันขโมยอนาคตและก็ศรัทธาของสังคมไปด้วย
.
รศ.ดร.พิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต กล่าวถึง ปัญหาการเมืองแบบสแกมเมอร์ที่กำลังฝังรากลึกในสังคมไทย ในรายการ The Politics เมื่อวันที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2568






https://x.com/natlamborghini1/status/2001730757845205321


 

สื่อใหญ่ รวมเรื่องที่เกิดขึ้น ในรัฐบาลหนู 2 เดือน 10 วัน

https://www.facebook.com/reel/1900328511369189

อิห่านจิก
December 13
·
มีสื่อใหญ่ รวมเรื่องที่เกิดขึ้น ในรัฐบาลหนู 2 เดือน 10 วัน ตั้งแต่ ไม่ต่อรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย ธรณีสูบที่ถนนสามเสน แจกคนละครึ่งพลัสเฟสแรก เฟส 2 อาจจะยังน้า อนุมัติโฒโตจีพี 4,000 ล้านในเนวิน บริหารน้ำท่วมฉิบหาย โยกย้ายข้าราชการล็อตใหญ่ ซีเกมส์ห่วยแตก สแกมเมอร์ระบาด แถมรูปหลุดว่อน ตบท้ายด้วยเรื่องค้างคา ไทย กัมพูชา ที่เอาไว้เรียกคะแนนนิยม
ที่ความระยำ ที่น่ากลัวที่สุด ไม่ได้ถูกพูดถึง นั่นคือ การเตรียมยึดประเทศ เพื่อกินรวบเบ็ดเสร็จ ที่เห็นได้ชัดสุด คือล้มคดีฮั้วสว. สีน้ำเงิน ทำให้ สว. พวกนี้ยังทำงานตามสั่งได้ ทำให้พวกมัน ได้เลือกกกต.ใหม่ไปแล้ว 5 คน จาก 7 ซึ่ง ตรงๆ เลยคือ กกต. พิจารณาคดีฮั้ว สว. คนโดนคดีเลือกคนตัดสินอะ แล้วมันจะผิดได้ยังไง แล้วนี่กำลังจะเลือกตั้ง กกต. เป็นพวกมัน บวกกับข้าราชการ มท. ที่โยกย้ายไปคุมหน่วยต่างๆ และปกครองท้องถิ่น นี่ก็ทำให้มันโกงเลือกตั้ง ได้อย่างถูกกฏหมาย จะกลั่นแกล้ง ขัดแข้งขัดยา ตัดสิทธิการเมืองใครก็ได้ แถมยังได้แต่งตั้ง ศาลรัฐธรรมนูญอีก ซึ่งไอ้หน่วยเหี้ยนี่ อำนาจล้นฟ้า ปลดได้แม้กระทั่งนายกฯ
แถมการจะแก้รัฐธรรมนูญ เพื่อลดอำนาจเกินไปของ สว. และองค์กรอิสระ ต่อให้ผ่ายรัฐสภา มันก็เพิ่มมติ ให้ต้องให้ สว. 1 ใน 3 รับรองอีก อิสัส แล้ว สว. สีน้ำเงินมันจะยอม ลดอำนาจตัวเองเหรอ
คิดดูเลือกตั้งคราวหน้า ทั้งข้าราชการฝ่ายปกครอง ทั้ง กกตใ คือพวกมัน ต่อให้ใครชนะ ถ้าขบวนการสีน้ำเงินไม่ยอม ก็ไม่ได้ตั้งรัฐบาลหรอก ดีไม่ดี โดนศาลสั่งยุบพรรคได้ด้วยซ้ำ
ที่อนุทินตอแหลว่า ขอคืนอำนาจให้ประชาชนอะ มันไม่ได้คืนห่าอะไรเลย มันเข้ามาเตรียมคนคุมกติกา ไว้หมดแล้ว
นี่คือการยึดอำนาจแบบใหม่ ที่ไม่ต้องใช้ทหาร น่ากลัวกว่าทุจริตเชิงนโยบาย หรือปัญหาเชิงโครงสร้าง มันคือขบวนการสีน้ำเงินกินรวบประเทศ โดยใช้อำนาจองค์กร ที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญ ที่สลิ่มเรียกว่า ปราบโกงนั่นแหละ ที่ตั้งแต่มีมาดัชนีความโปร่งใสของประเทศ ก็ตกลงฮวบๆ จนตอนนี้อยู่อันดับที่ร้อยกว่าๆ เท่ากับเนปาล ที่โดนประชาชนเผารัฐสภาไป
คำว่าคนโกงของสลิ่ม เอาจริงๆ ก็คือคนโดนยัดความผิด จากฝั่งทหาร และศักดินา เช่นล้มเจ้า ล้มล้างการปกคริง ไม่ว่าแดงหรือส้ม ส่วนสีน้ำเงินนั้น เป็นตัวแทนแบบใหม่ ไม่ต้องใช้ทหารออกหน้า ในการยึดอำนาจแล้ว แค่นั้นแหละ ทำเหี้ยแค่ไหน มันก็ไม่มีวันโดนอะไรหรอก #อิห่านจิก #อนุทิน #ภูมิใจไทย #ฮั้วสว #เขากระโดง

https://www.facebook.com/watch/?v=1900328511369189




ตอนนี้ “ค่ารักษาพยาบาล” บ้านเรากำลังแพงขึ้นแบบน่าตกใจจริง ๆ อีกไม่นาน ค่ารักษาพยาบาล จะกลายเป็น “ของฟุ่มเฟือย” ที่คนไทยอาจเอื้อมไม่ถึง ทำยังไงดี ?


Money Buffalo
15 hours ago
·
เร็ว ๆ นี้ ค่ารักษาพยาบาล จะกลายเป็น “ของฟุ่มเฟือย” ที่คนไทยอาจเอื้อมไม่ถึง | Money Buffalo

ตอนนี้ “ค่ารักษาพยาบาล” บ้านเรากำลังแพงขึ้นแบบน่าตกใจจริง ๆ โดยเฉพาะใน โรงพยาบาลเอกชน ซึ่งเป็นภาคส่วนที่ราคาพุ่งแรงที่สุด และเป็นที่พึ่งของหลายครอบครัวเวลาต้องการการรักษาที่รวดเร็วหรือเฉพาะทางมากขึ้น

ขณะเดียวกัน โรงพยาบาลรัฐ แม้จะยังเป็นตัวเลือกที่ “ราคาเข้าถึงง่าย” และคุณภาพดี แต่ก็เผชิญปัญหา ล้น–แออัด–รอนาน จากความต้องการใช้บริการที่สูงขึ้นต่อเนื่อง ทำให้คนจำนวนไม่น้อยต้องไหลไปใช้บริการเอกชนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

เมื่อทั้งสองระบบเผชิญแรงกดดันคนละแบบ ผลลัพธ์ก็คือ ภาระค่ารักษาของประชาชนเพิ่มเร็วกว่าเงินเดือนโตหลายเท่า จนหลายคนเริ่มพูดกันว่า“ป่วยที…เงินเก็บหายไปครึ่งชีวิต”

ที่น่ากลัวยิ่งกว่านั้น ค่ารักษามีแนวโน้มจะพุ่งเฉลี่ย ปีละเกือบ 14.3% ในขณะที่รายได้แทบไม่ขยับเลย ถ้าไม่วางแผนกันตั้งแต่วันนี้ “สุขภาพ” อาจกลายเป็นของฟุ่มเฟือยจริง ๆ สำหรับหลายครอบครัว

แล้วทำไมค่ารักษาพยาบาลถึงแพงขึ้นขนาดนี้ ?

1. "ค่ายา–เวชภัณฑ์ “ถูกบวกเพิ่ม” จนคนไข้ตกใจ
ของบางอย่างราคาในตลาดไม่กี่บาท แต่พอเข้าโรงพยาบาลราคาพุ่งเป็นสิบเท่า ร้อยเท่า อย่างเช่น
สำลี 0.10 → 7 บาท
น้ำเกลือ 45 → 919 บาท
พลาสเตอร์ 25 → 224 บาท

ทั้งหมดนี้สะท้อนว่า “โครงสร้างราคา” ในระบบสุขภาพไทยกำลังบิดเบี้ยวแบบที่คนไข้ไม่เคยมีสิทธิเลือก

2. “ค่าห้อง” รักษานอนโรงพยาบาลกลายเป็นเรื่องใหญ่

ค่าห้องโรงพยาบาลเอกชนดี ๆ หน่อยเริ่มต้นประมาณคืนละ 5,000 บาท และอาจแตะ 15,000–16,000 บาท แล้วไหนจะค่าหมอ ค่าตรวจ ค่ายา และค่าบริการต่าง ๆ ที่ทยอยบวกเข้ามาอีก แค่ไม่กี่คืน บิลก็พุ่งไปหลักหมื่น–หลักแสนได้ง่ายมาก

3. “ค่าหมอ” เป็นตัวกำหนดราคาค่ารักษามากกว่าที่เราคิด

จากงานวิจัยของสภาผู้บริโภคพบว่า โครงสร้างต้นทุนของโรงพยาบาลเอกชนส่วนใหญ่ เกือบครึ่ง คือ “ค่าหมอ” และสิ่งที่น่าสนใจ คือสัดส่วนนี้เพิ่มขึ้นเร็วมาก จาก 30% ในปี 2561 → พุ่งเป็น 45% ในปี 2565

ตัวเลขนี้สะท้อนชัดว่า ค่าหมอคือปัจจัยหลักที่ดันราคาค่ารักษาพยาบาลให้สูงขึ้นต่อเนื่อง ไม่ใช่แค่ค่ายา หรือค่าเครื่องมือแพง ๆ อย่างที่หลายคนคิด

4. “เบิกแบบบุฟเฟต์” ทำให้ทั้งระบบบวม

ทั้งสิทธิข้าราชการ บัตรทอง และประกันสุขภาพแบบเหมาจ่าย เปิดให้ “เบิกเต็มสิทธิ” โดยที่คนไข้ไม่ต้องควักเงินเพิ่ม เวลาหมอแนะนำให้ตรวจเพิ่ม ใช้เทคโนโลยีแพง หรือ Admit คนไข้ก็รู้สึกว่า “ไหน ๆ ก็เบิกได้ ก็ทำไปเถอะ” แต่พอทุกคนใช้แบบนี้พร้อมกัน ค่ารักษาทั้งประเทศก็พุ่งขึ้นโดยอัตโนมัติ จนส่งผลทำให้สุดท้ายทุกคนต้องมาร่วมกันจ่ายในรูปแบบอื่นอยู่ดี เช่น เบี้ยประกันที่แพงขึ้นทุกปี

แบบนี้เมื่อทุกอย่างแพงขึ้น สิ่งที่เราทำได้คงมีแต่ ทำใจและหาทางรับมือให้ดีที่สุด พี่ทุยเลยสรุปออกมาให้แล้วว่า มี 3 วิธีสำคัญ ที่ทุกคนควรเริ่มทำทันที ก่อนที่ “ค่ารักษาพุ่งไม่หยุด” จะทำให้เราตั้งหลักไม่ทันและทุกอย่างมันสายเกินเอื้อม

แล้วเราจะรับมือกับปัญหานี้ยังไงดี ?

1. “เริ่มจากสิทธิที่มีอยู่ก่อน” อย่าหมิ่นสวัสดิการรัฐ มันไม่ได้แย่ แค่...รอนาน

ก่อนจะวิ่งไปซื้อประกัน หรือโดดไปโรงพยาบาลเอกชน พี่ทุยอยากให้ทุกคน “รู้ก่อนว่าตัวเองมีสิทธิอะไรบ้าง”
เพราะหลายคนลืมไปเลยว่า…

- บัตรทองรักษาโรคพื้นฐานได้เยอะมาก
- ประกันสังคมมีหมวดโรคร้ายแรงหลายอย่างที่คุ้มครอง
- บางคนมีสิทธิจากที่ทำงาน สามี ภรรยา หรือพ่อแม่ อยู่แล้ว
- บางบริษัทให้สิทธิรักษาเอกชนปีละหลายหมื่น
- บางทีสิทธิที่เรามีอยู่แล้ว ดีจนแทบไม่ต้องซื้อประกันเพิ่ม ก็ยังมีนะ!

ส่วนสวัสดิการรัฐไม่ได้แย่ มันแค่ “ล้น” จนรอนานเฉย ๆ แต่ในเชิงคุณภาพและความครอบคลุมถือว่าดีมากสำหรับโรคทั่วไป กฎง่าย ๆ คือ ใช้สิทธิรัฐ–สิทธิที่มีอยู่ “ให้คุ้มที่สุดก่อน” เพราะนี่คือวิธีลดค่าใช้จ่ายที่เร็วและคุ้มที่สุด โดยไม่ต้องควักเงินเพิ่มแม้แต่บาทเดียว

2. “ซื้อประกันยังไงให้ฉลาด” ไม่ใช่ถูกที่สุด แต่ต้องอยู่กับเราไปนานที่สุด

ช่วงนี้ดราม่าประกันสุขภาพมาแรงมาก พี่ทุยเลยอยากสอนให้แบบ เคลียร์ ๆ ว่า ถ้าอยากประหยัดระยะยาว ให้ใช้สูตรนี้เลย คือ ซื้อแบบเหมาจ่าย + ผูกกับประกันชีวิต + เสริมโรคร้ายแรง

ทำไมต้องแบบนี้ ? เพราะ…

- ประกันสุขภาพแบบ “เดี่ยว” เสี่ยงโดนปรับเบี้ย–โดนปฏิเสธง่ายมาก สัญญามันต่อปีต่อปี ถ้าสุขภาพเราแย่ลง เขามีสิทธิ์ขึ้นเบี้ยแรง ๆ หรือเลิกคุ้มครองได้
- ประกันสุขภาพแบบ “พ่วงประกันชีวิต” จะล็อกความเสี่ยงเราไว้ตั้งแต่วันแรก บริษัทประกันจะยึดสุขภาพเรา “วันที่เริ่มทำ” แล้วคุ้มครองเราไปยาว ๆ ไม่ต้องลุ้นทุกปี
- ประกันโรคร้ายแรง กันการเกิดเคสหนัก ๆ เช่น มะเร็ง หัวใจ ไตวาย มักเป็นค่ารักษา หลักแสน–ล้าน ตัวนี้ช่วยปิดความเสี่ยงขนาดใหญ่ได้ดีมาก โดยจ่ายเบี้ยไม่สูง

สรุปแล้วเราควรซื้อตามวงเงินเหมาจ่าย โดยเลือกตามกำลัง ไม่ต้องของแพง 200,000 – 500,000 บาท ก็เอาอยู่สำหรับเคสทั่วไป ไม่ต้องเริ่มสวยด้วยวงเงินล้าน แล้วปีถัดไปจ่ายไม่ไหว

3. “เงินฉุกเฉินต้องมีนะ…เพราะ OPD เรารับเองแทบทั้งหมด”

หลายคนไม่ค่อยซื้อประกัน OPD เพราะ “แพงมาก” ทำให้ทุกครั้งที่เราไม่สบายแบบไม่ต้อง Admit เราต้องควักเองเกือบ 100% เช่น ไข้หวัดใหญ่ ตรวจเลือด ภูมิแพ้ ปวดหลัง หาหมอเช็กอาการเล็ก ๆ น้อย ๆ นี่คือค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้น “เป็นประจำ” และหลายคนเสียไปเดือนละหลักพันแบบไม่รู้ตัว

เพราะงั้นเงินฉุกเฉินด้านสุขภาพจึง จำเป็นมาก ๆ พี่ทุยแนะนำให้กันไว้ 3–6 เดือนของรายได้ เพื่อรองรับเคสไม่หนัก แต่เกิดบ่อย และไม่ต้องลุ้นว่าจะเอาเงินตรงไหนมาจ่าย

สุดท้ายนี้พี่ทุยว่า… สุขภาพกำลังจะกลายเป็นของฟุ่มเฟือยจริง ๆ ถ้าเราไม่เริ่มวางแผนตั้งแต่วันนี้
เพราะค่ารักษาพยาบาลพุ่งปีละเกือบ 14% แต่รายได้เราแทบไม่ขยับตาม และถ้ามันยังเป็นแบบนี้ต่อไป…สิทธิพื้นฐานที่ควรเข้าถึงได้ง่าย ๆ อาจค่อย ๆ หลุดมือเราไปในทุกปีโดยไม่รู้ตัวเลยก็ได้นะครับ

https://www.facebook.com/photo/?fbid=1271937694958808&set=a.623025716516679




พลังแห่งเสียงเพลง เปิดตำนานเพลง มึงมันชั่ว เพลงลูกทุ่งที่ถูกจอมพลสฤษดิ์สั่งแบน


เปิดตำนานเพลง มึงมันชั่ว เพลงลูกทุ่งที่ถูกจอมพลสฤษดิ์สั่งแบน

นายคมกฤช

Dec 14, 2025

มื้อเที่ยงที่เดือดดาล เหตุการณ์เกิดขึ้นประมาณปี พ.ศ. 2503 ระหว่างที่จอมพลสฤษดิ์กำลังรอท่านผู้หญิงวิจิตราจัดเตรียมอาหารกลางวัน ท่านได้เปิดวิทยุฟังแก้เบื่อ แต่เมื่อหมุนคลื่นไปเจอเพลงที่ร้องท่อนขึ้นต้นซ้ำๆ ว่า "มึงมันชั่วนัก มึงมันชั่วนัก มึงมันชั่วนัก..." ท่านเกิดความโมโหสุดขีด ถึงขั้นปัดวิทยุและข้าวของบนโต๊ะตกลงมาแตกกระจาย

https://www.youtube.com/watch?v=PSg7yMhD2KY


อ่านต่อ
https://www.silpa-mag.com/history/article_95981





เมื่อไม่กี่วันมานี้ Kennedy Center ถูก คณะกรรมการที่เต็มไปด้วยพันธมิตรของทรัมป์ เปลี่ยนชื่อจาก Kennedy Center เป็น Trump Kennedy Center - มาดูความเหมือนและความแตกต่างของ 2 ประธานาธิบดีนี้

 

https://www.instagram.com/reel/DR-it8EEQgK/






 

เรื่องสุดเพี้ยนคดีการเมืองปี 68 : รายการคนนอกคอก ชวน ณัฐฐา อัชฌานุเคราะห์ หรือฟิว เจ้าหน้าที่ฝ่ายข้อมูลของศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน มาเล่าให้เห็นว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างระหว่างพิจารณาคดีในศาล และบางเรื่องก็เกินคาดว่าจะออกจากปากของคนที่อยู่บนบัลลังก์ศาล


รายการคนนอกคอก EP.5: รวบตึงเรื่องสุดเพี้ยนคดีการเมืองปี 68

TLHR Official

Dec 19, 2025

📌 รวบตึงเรื่องสุดเพี้ยนคดีการเมืองปี 68

ตลอดปี 2568 ที่ผ่านมานับเป็นปีที่คดีการเมืองอยู่ในการพิจารณาของศาลเป็นจำนวนมาก เรื่องที่เกิดก็มากด้วยเช่นกัน และหลายเรื่องอาจไม่คาดคิดว่าจะเกิดขึ้นได้ในศาล

เรื่องราวในห้องพิจารณาคดีอาจไม่ค่อยมีใครรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างอยู่แล้ว แต่ช่วงปีที่ผ่านมาการพิจารณาคดีการเมืองกำลังเข้าสู่ “แดนสนธยา” เมื่อศาลเริ่มคุมเข้มการเอาเรื่องในห้องออกมาบอกกล่าวสู่สังคม สั่งห้ามจด ห้ามเผยแพร่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในห้องพิจารณาคดี

แต่คงมีคำถามว่าเหตุใดศาลจะต้องพยายามทำให้เป็นเรื่องลึกลับ ถ้าการพิจารณาคดีเป็นไปตามกระบวนการที่ควรจะเป็น

รายการคนนอกคอก EP.5 ชวน ณัฐฐา อัชฌานุเคราะห์ หรือฟิว เจ้าหน้าที่ฝ่ายข้อมูลของศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน หนึ่งในทีมที่เข้าไปติดตามสังเกตการณ์การพิจารณาคดีในศาล จะมาเล่าให้เห็นว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างระหว่างพิจารณาคดีในศาล และบางเรื่องก็เกินคาดว่าจะออกจากปากของคนที่อยู่บนบัลลังก์ศาล

https://www.youtube.com/watch?v=DrCXFV6qYrY



คำนิยามพรรคส้มที่ตรงไปตรงมาที่สุดคือที่รวมพวกอนุรักษ์นิยมไม่เอา 😂



Panote Saechiew 
9 hours ago
·
คำนิยามพรรคส้มที่ตรงไปตรงมาที่สุดคือที่รวมพวกอนุรักษ์นิยมไม่เอา
ซึ่งพูดตรงๆว่ารวมกันขนาดนี้แล้วยังเอาชนะไปมีอำนาจบริหารไม่ได้เลย
ถ้ายังเรื่องมากว่าโน่นโปรแรงงานไม่พอ นั่นนายทุนมากไป นั่นโปรศาสนาไปนิด นั่นเอธีสไปหน่อย นั่นเชียร์ทหาร โน่นโว้ค นั่นสันตินิยมตกขอบ ฯลฯ
ก็ไม่ต้องหวังชนะครับ
จะบ่นตอนนโยบายออกมาก็เรื่องนึง แต่ถ้าแค่เข้าร่วมก็ไม่พอใจ งั้นก็วนอยู่แค่นั้นนั่นแหละ
จริงๆเอาสุดขอบไปต่อยกันในพรรคให้ได้นโยบายกลางๆออกมา มีโอกาสจะได้นโยบายที่คนส่วนใหญ่รับได้มากกว่านโยบายที่ถูกร่างโดยคนกลุ่มน้อยกลุ่มเดียว

https://www.facebook.com/panote.saechiew/posts/26451906314409720
...

Te Neti 
Yesterday
·
พรรคส้มนี่เหมือนเด็กขยันเรียน อาจจะไม่เพอร์เฟค ได้เกรดรวม 3 หน่อยๆ แต่พ่อแม่พี่ป้าน้าอา นี่ก็คาดหวังมาก แกต้องห้ามทำผิด ต้องทำให้ได้เกรด 4 ได้ A ทุกตัว
เวลาทำผิดนี่ ก็จะโดนพ่อแม่พี่ป้าน้าอา ที่หวังดีจริงๆ มารุมต่อว่าที่หน้าบ้านเลย
พอเสียงด่าว่าดังลอดออกไปนอกบ้าน ชาวบ้านได้ยิน ไอ้จากที่ไม่เคยชื่นชมไอ้ส้มอยู่แล้ว ไม่ว่ามันจะทำอะไร
คราวนี้ก็เริ่มมี ป้าข้างบ้าน มาผสมโรงด่าด้วย บางคนที่แบกข้าวของบนบ่าผ่านไปผ่านมา ก็ถึงขนาดวางหาบวางของลงชั่วคราว แล้วได้ทีเริ่มผสมโรงด่าไปด้วย
แต่พวกหลังนี้ พอด่าตามน้ำแบบที่ พ่อแม่พี่ป้าน้าอา ที่หวังดีจริงๆด่าไอ้ส้มเสร็จ
ก็กลับบ้านไป โอบหลังลูบหัวลูบไหล่ ลูกหลานตัวเอง ที่ได้ เกรด 1 เกรด 2 แล้วอวยว่า
ไม่เป็นไรนะลูก โกงมั้ง ค้ายามั้ง เปิดบ่อนออนไลน์มั้งก็ไม่เป็นไรนะลูก เห็นมั้ยไอ้ส้มมันก็ไม่ได้ดีไปกว่าลูกเท่าไหร่ เหมือนๆกันนั่นแหละ แล้วป้าๆพวกนี้ก็แกล้ง ทำเป็นไม่เห็นความแตกต่างระหว่างลูกตัวเองกับไอ้ส้ม
แต่เวลาผัวบ่นว่า แกจะซื้อลิปสติกมามากมายทำไม สีมันก็เหมือนๆกันนั่นแหละ กลับตวาดผัว แกมันโง่ ไม่รู้อะไร แกจะเห็นความแตกต่างได้ไง

https://www.facebook.com/Neti.Wichian/posts/25228267790191963


ต้องสดุดีอีกกี่ผู้กล้า ถึงจะได้เวลาเจรจายุติสงคราม - เราต้องการสันติภาพ ไม่เอาสงคราม


มูฟดิ - MovED
December 17
·
ต้องสดุดีอีกกี่ผู้กล้า ถึงจะได้เวลาเจรจายุติสงคราม
: เมื่อการไม่อยากให้ใครตาย กลายเป็นอาชญากรรมของแผ่นดิน และการพูดว่า “พอแล้ว” ถูกคุกคามในนามคนรักชาติ
.
.

-1 : ไม่ใช่ทุกคนที่อยากไปเสี่ยงตาย -

จากการปะทะกันตามแนวชายแดนไทยกัมพูชาระลอก 2 จนถึงวันนี้ (18 ธ.ค.) ล่าสุดได้มีการประกาศความอาลัยแด่วีรบุรุษทหารกล้า รายที่ 21 พลทหารวสันต์ ซึ่งสูญเสียระหว่างการปฏิบัติหน้าที่สู้รบในพื้นที่ อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ ไม่นับรวมถึงชาวบ้าน ซึ่งได้รับผลกระทบจำต้องอพยพกว่า 329,000 คน

ถ้าแลกได้ ระหว่างคำนำหน้าว่า “ผู้กล้า” กับพาตัวเองกลับมาบ้าน พลฯ รายหนึ่ง ซึ่งเป็นทหารเกณฑ์ผลัดแรกของปีนี้ ที่ได้รับมอบหมายให้ไปประจำการบนภูมะเขือตอบชัดว่า “อยากกลับบ้าน” มากกว่า

“พี่ครับผมเหนื่อย / เจอหมดเลยครับ เจอศพเขมร / ผมนี้เกือบตาย / วันนี้ขอโทษน่ะพี่ / อยากระบายจริง ๆ / เรื่องในสื่อกับผมอยู่มันคนระเรื่องเลย”

ข้อความเหล่านี้ถูกส่งมาในช่วงค่ำ และเป็นเวลาซึ่งผู้รับไม่สามารถให้คำตอบอื่นใดได้ นอกจากรับฟัง ถ้ามีแนวหน้าที่ยังไม่อยากสมัครใจถูกสั่งให้ไปตาย สังคมแนวหลังจะยังพร้อมโอบรับพวกเขาด้วยความเข้าใจ หรือจะตีตราพวกเขาด้วยความขลาดเขลา เพียงเพราะพลฯอยากมีชีวิตรอด ?

ข้ออ้างของสงครามครั้งนี้เพียงเริ่มจาก “มึงยิงก่อน” กูเลยหยุดไม่ได้ ... จึงไม่จำเป็นต้องช่วยกันถามหาคำตอบว่า “เมื่อไหร่จะมีการหยุดยิง” ใช่แล้วหรือ ?
.
.

-2 : NO WAR ห้ามเห็นต่าง เพราะเป็นช่องว่างให้สิ้นไร้ความเป็นไทย –

ตั้งแต่เสียงปืนดังระลอกแรก มีคณะบุคคลบางกลุ่มแสดงตนชัดเจนถึงความต้องการให้ “ยุติสงคราม” ป้ายผ้าระบุข้อความ ‘พรมแดนคือเส้นสมมติ ความเป็นมนุษย์คือความจริง’ ถูกชูขึ้นจากคณะก่อการล้านนาใหม่ ได้ถูกแชร์ออกไปไม่น้อยกว่า 311 ครั้ง ยังไม่รวมการถูกบันทึกเพื่อส่งต่อในกลุ่มพูดคุย ซึ่งโดยมาก เป็นการแชร์ไปเพื่อเย้ยหยัน ด่าทอ และโกรธเคือง ที่คนกลุ่มนี้มีท่าทีไม่เห็นด้วยกับสงคราม บ้างก็ว่า

“มายืนถือป้าย ถ่ายรูป โพสต์เอาสบายใจ แล้วก็แยกย้ายไปรับส่วนแบ่งกันเสร็จ เชื่อว่าที่ทำกิจกรรมแบบนี้ไม่ใช่คนไทยแน่นอน” หรือหนักกว่าคือการส่งข้อความเชิงข่มขู่ “โฉนดบ้านมึงกก็แค่สิ่งสมมติสินะ อยู่แถวไหนกันกูขอไปอยู่หน่อย” รวมถึงถ้อยคำหยาบคายที่เพ่นพ่านมากมายในโลกออนไลน์

เลยเถิดจนมาถึงความพยายามคุกคาม ตั้งคำถามกับ “ความเป็นไทย” ของนักกิจกรรมในจังหวัดขอนแก่น ซึ่งรวมตัวกัน #ยืนหยุดสงคราม ที่บริเวณด้านหน้ามหาวิทยาลัยขอนแก่น เพียงเพราะพวกเขาใช้สอยเสรีภาพเพื่อแสดงความต้องการ “สันติภาพ” เพราะไม่อยากให้เกิดการสูญเสีย จึงไม่ต้องการสงคราม จนถูกชายในชุดคลุมสีเขียว จอดรถด่าทอว่า “ตอแหล” และลุกลามมาถูกนำไปเป็นเป้าโจมตีทางออนไลน์

ทั้งที่ การแสดงความเห็นต่างออกมาครั้งนี้ กระทำด้วยความสงบ เป็นการสื่อสารถึงทัศนะ แต่กลับต้องแลกมาด้วยการถูกด้อยค่า ด่าทอ ลดทอนศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ และสุ่มเสี่ยงต่อการถูกใช้ความรุนแรง หรือสิ่งนี้คือภาพที่สังคมไทยอยากเห็น หากไม่ใช่ เราอาจต้องการเพียงแค่ “สนามอารมณ์” สำหรับคนไม่พร้อมไปสนามรบที่แท้จริง ?
.
.

-3 : รักชาติควรสร้างชีวิต ไม่ใช่พากันปิดทองสร้างอนุสาวรีย์-

สิ่งที่น่ากลัวกว่าสงคราม ไม่ใช่เสียงปืน แต่คือบรรยากาศที่ทำให้ “การตั้งคำถาม” กลายเป็นอาชญากรรม เมื่อใดก็ตามที่คำว่า รักชาติ ถูกผูกขาดไว้กับการเห็นดีเห็นงามต่อการเข่นฆ่า เมื่อนั้นความเป็นมนุษย์จะถูกลดระดับเหลือแค่เครื่องมือของรัฐ

การไม่อยากให้ใครตาย ไม่ใช่การเลือกข้างศัตรู
การเรียกร้องให้เจรจา ไม่ใช่การขายชาติ
ท่ามกลางกระแสสังคมที่ “ศพ” ถูกยกย่องมากกว่าชีวิต
การพูดคำว่า “พอแล้ว” จำเป็นต้องได้รับการรับฟัง มากกว่าถูก “ล่าแม่มด”

อย่างน้อย วันนี้ก็ได้รับการพิสูจน์แล้วว่า ไม่ใช่ทหารเกณฑ์ทุกนายสมัครใจไปแนวหน้า เพื่อจะกลับมาพร้อมร่างไร้วิญญาณและการสดุดี ประชาชนตามแนวปะทะและชาวบ้านเองก็ไม่ได้อพยพเพื่อพิสูจน์ความภักดีต่อดินแดน แต่เพื่อความปลอดภัย

คนที่ไม่อยากเห็นใครตาย จึงไม่เท่ากับ “อยากเห็นชาติพัง” หรืออยากเห็นการสูญเสียดินแดน”

พวกเขาแค่อยากเห็นคนกลับบ้าน และทหารที่ถูกเกณฑ์ไปไม่ตายเปล่า
.
.

-4 : สันติภาพ is Now … ไม่ใช่อุดมคติ แต่คือความเร่งด่วน -

การเจรจาอาจไม่ใช่รางวัลของผู้ชนะที่ประชาชนคน Hardcore ซึ่งกระหายสงครามอยากเห็น แต่คือทางรอดสุดท้ายของผู้ที่ยังไม่ตาย ทุกวันที่การหยุดยิงถูกเลื่อนออกไปด้วยเหตุผลว่า “ยังไม่ถึงเวลาเจรจา” นำพาความเดือดร้อนของคนมากกว่า 400,000 คน รวมถึงงบประมาณประเทศที่ต้องจ่าย (ระลอกแรกของการปะทะ มีการเปิดเผยข้อมูลว่าประเทศไทยใช้งบประมาณรวมกว่า 10,000 ล้านบาท หรือคิดเป็น 2,000 ล้านบาท/วัน*)

สงครามครั้งนี้ไม่ได้เกิดในสุญญากาศ มันกินทรัพยากรของรัฐ กินชีวิตแรงงาน กินอนาคตของครอบครัวชายแดน โรงเรียนถูกปิด พื้นที่ทำกินถูกทิ้ง บ้านเรือนกลายเป็นพื้นที่เสี่ยง ทั้งหมดนี้คือ “ต้นทุน” ที่เกิดขึ้นทุกวัน โดยไม่ต้องรอให้มีใครชนะหรือแพ้

อย่างน้อย ก็ช่วยทำให้การลงนามในข้อตกลงหยุดยิงทันทีและไม่มีเงื่อนไข ที่กรุงปูตราจายาประเทศมาเลเซีย ภายใต้การเป็นเจ้าภาพของนายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ที่เคยเกิดขึ้นถูกพูดถึงอีกครั้ง ทำให้ผลลัพธ์ “ยุติการใช้กำลังทุกประเภททันที” เกิดขึ้นและเปิดช่องทางเจรจาหาทางคลี่คลายความตึงเครียดด้วยกลไกระดับทวิภาคีและระดับภูมิภาค อย่างไม่ต้องกลัวว่า “ใครจะเสียหน้ามากกว่า” เมื่อต่างฝ่ายล้วนเกลื่อนกลาดด้วยความเสียหาย

วันนี้คำถามสำคัญจึงไม่ใช่ว่า “เราจะยอมเจรจาเมื่อไหร่” แต่คือ ต้องสดุดีอีกกี่ผู้กล้า ต้องอพยพอีกกี่หมู่บ้าน ต้องมีทหารเกณฑ์ส่งข้อความมาบอกว่า ‘ผมเกือบตาย’ อีกกี่คน

ถึงเวลาที่ต้องเลิกวัดระดับความรักชาติด้วยจำนวนพวงหรีด และเริ่มวัดความสำเร็จของชาติ ด้วยจำนวนคนที่ได้กลับไปโอบกอดครอบครัวอย่างปลอดภัย

และสันติภาพไม่ควรถูกคุกคาม คนที่เรียกร้องมัน ไม่ควรถูกทำให้กลายเป็นศัตรู เพราะในสงครามนี้ไม่มีใครชนะ มีแต่คนที่ยังไม่ถูกนับรวมในยอดผู้เสียชีวิตเท่านั้นเอง

#nowar #ความเห็นต่างไม่ใช่ภัยคุกคาม #เจรจาทันที #ไทยกัมพูชา #กูบอกคนอ่านไม่ต้องเสือกไล่ไปชายแดน #สันติภาพ #isnow #ยุติสงคราม #อพยพ #เลิกนับศพทหารกล้า

*ที่มาการใช้จ่ายงบประมาณ : https://www.facebook.com/reel/1386664583243746

https://www.facebook.com/photo/?fbid=1161289689474594&set=a.491254416478128
.....






😕 ประชาชนธรรมดา ๆ คนนึง ขอดีเฟนด์คุณโชติศักดิ์ อ่อนสูง


สมชาย ลัคนาพันธ์ 
15 hours ago
·
การสร้างกระแสกดดันบังคับไม่ให้คนกล้าที่จะพูด จะวิจารณ์เรื่องลัทธิศาสนา ค่านิยมทางความเชื่อทางศาสนาที่มันขัดกับหลักการสิทธิมนุษยชน ความถูกต้องสากล โดยการเอาเรื่องคนที่เคยวิจารณ์เรื่องเหล่านี้มาเป็นเงื่อนไขที่จะลิดรอนสิทธิอื่น ๆ ของเขา (เช่นคุณโชติศักดิ์) ผมว่า นี่มันก็เป็นวิธีขัดขวางสร้างความกังวลต่อการใช้เสรีภาพที่จะพูด ซึ่งก็ขัดหลัก free speech เช่นกัน (คือ ทำให้คนรู้สึกเกรงกลัว กังวลว่าการพูด/การวิจารณ์ใด ๆ ของตนเอง อาจมีผลในอนาคต ในการถูกปฏิเสธการเข้าถึงสิทธิประโยชน์หรือสิทธิทางการเมืองต่าง ๆ)
เส้นแบ่งอยู่ตรงไหน? ถ้าเขาแค่พูด วิจารณ์ ตามสไตล์ของเขา ที่อาจมีความหยาบคาย ไม่ลื่นหู ประชด กระแทก-แดกดัน เหน็บแนมต่อความเชื่อ หรือผู้ที่กำลังเชื่อในสิ่งที่เขาเห็นว่า "งมงาย" จำเป็นจะต้องแสดงความเห็นต่างเพื่อโต้แย้งความไม่สมเหตุสมผลเหล่านั้น ซึ่งมันก็เถียง มันก็ด่า มันก็ใช้อารมณ์ตอบโต้กันไปมา หยาบคายต่อกันอย่างมีอารมณ์ร่วมในการถกเถียงที่ต่างไม่ยอมกัน อันเป็นปกติวิถีของการดีเบตอย่างเผ็ดร้อน หรือการขับเคลื่อนประเด็นเหล่านี้ในหน้าเพจสาธารณะของตน เพื่อท้าทายการถกเถียงในทางสาธารณะ (ไม่ได้รุกล้ำเข้าไปคุกคามปัจเจกบุคคลในพื้นที่ส่วนตัวของใครที่เขาอยู่ของเขาดี ๆ)
เพราะเขาไม่ได้พูดให้ใครเสียประโยชน์ เสียทรัพย์ สูญเสียเสรีภาพที่จะเชื่อ ไม่ได้พรากความสามารถที่จะใช้เหตุผลของคนเหล่านั้น หรือพูดง่าย ๆ ก็คือ เขาไม่ได้ลดทอนศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์อะไรของใครเลย ถ้าแค่บอกว่า "คุณมันโง่! เชื่อเรื่องเหลวไหลเหล่านี้ได้ไง งมงายกันอยู่ได้!" ◄ แบบนี้มันไม่ใช่การเหยียด ไม่ได้ลดทอนความเสมอภาคในความเป็นมนุษย์อะไรเลย มันก็แค่การด่ากัน-วิจารณ์กันในฐานะมนุษย์ด้วยกันเท่านั้นเอง
"โชติศักดิ์" ไม่เคยเหยียด/ลดทอนความเป็นมนุษย์ของใคร กลับกัน เขาสู้เพื่อความเสมอภาคเท่าเทียม และเรียกร้องให้รัฐเป็นกลางทางศาสนา (secular state) ด้วยซ้ำ! (ต่อต้านการใช้อำนาจนำความเชื่อศาสนาใด ๆ เป็นศาสนาของรัฐ เรียกคืนพื้นที่ความเชื่ออื่น ๆ ของคนที่ไม่ใช่ชาวลัทธิศาสนานั้น ๆ)
และเขาไม่ได้เหยียดเพศ เขาแค่วิจารณ์หรือ "ตีความ" เรื่องสิทธิเสมอภาคระหว่างเพศ ว่าอะไรใช่ อะไรไม่ใช่ ตามความเห็นของเขา ไม่ได้ลดทอนหรือเรียกร้องให้แบ่งแยกความเป็นมนุษย์ด้วยเงื่อนไขทางเพศสภาพที่แตกต่างหลากหลาย
กรณีโชติศักดิ์ ที่เห็นว่ามีคนในพรรคส้มเองหลายคน (เช่นคุณอมรัตน์ก็ด้วย) พยายามเรียกร้องให้พรรคไม่รับคนแบบนี้ โดยอ้างเรื่อง "ท่าที" และ "ทัศนคติ" (แบบที่คุณช่อโดนถอดถอนและตัดสิทธิทางการเมืองตลอดชีวิต นั่นแหละ!) จนเจ้าตัวยอมถอนตัวเองออกไป เพราะไม่อยากให้มีปัญหากับพรรคที่เขาสนับสนุน นี่จึงเป็นสิ่งที่ผมรับไม่ได้ เช่นกัน

https://www.facebook.com/somchai.lackhanaphan/posts/1506634190565232



ชวนรู้จัก โชติศักดิ์ อ่อนสูง ต้นตำนานไม่ยืนในโรงหนัง ซึ่งเป็นเหตุให้เกิดกระแสรณรงค์ "ไม่ยืนไม่ใช่อาชญากร เห็นต่างไม่ใช่อาชญากรรม" จากการที่เขา ถอนตัวจากการเป็นผู้สมัคร สส.บัญชีรายชื่อพรรคประชาชน เพื่อไม่ให้กระทบพรรค



โชติศักดิ์ อ่อนสูง นศ.มธ. และเพื่อนนศ.ม.รามฯ ไปชมภาพยนตร์ที่ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิร์ล ทั้งคู่ไม่ยืนทำความเคารพระหว่างที่บรรเลงเพลงสรรเสริญพระบารมีก่อนฉายภาพยนตร์ สร้างความไม่พอใจให้แก่นวมินทร์ วิทยากุล และผู้ชมภาพยนตร์ในรอบดังกล่าวอีกหลายคน นวมินทร์ตรงเข้าด่าทอ ขว้างปาสิ่งของเข้าใส่ และขับไล่นักศึกษาทั้งสองออกไปจากโรงภาพยนตร์ ท่ามกลางเสียงปรบมือและเสียงโห่ จนทั้งสองคนต้องออกจากโรงภาพยนตร์ไป จากนั้นนายนวมินทร์แจ้งความว่านายโชติศักดิ์และเพื่อนหมิ่นประมาทสถาบันกษัตริย์ฯ
iLaw
.....


.....

Atukkit Sawangsuk
Yesterday
·
โชติศักดิ์ อ่อนสูง
ต้นตำนานไม่ยืนในโรงหนัง
(โดน 112 สู้คดีจนยกฟ้อง การไม่ยืนในโรงหนังจึงเป็นเสรีภาพจากนั้นมา)
:
เห็นชื่อแต่แรก ก็คิดว่า ไอ้โฉด(ของเพื่อนๆ) น่าจะอยู่ลำดับ 90 กว่า เพราะลำดับแถวนี้ไม่มีใครอยากลง ไอ้โฉดมันน่าจะพูดง่าย ใส่ชื่อเฉยๆ ไม่ได้เป็น สส. ไม่มีปัญหาอะไร
แต่ชื่อ ช. พอเรียงลำดับตามตัวอักษร มันก็เลยไปอยู่ที่ 19
:
ไอ้โฉดเป็นคนที่ผมชอบตามอ่านโพสต์ ในแง่ความเป็นอิสระชน อินดี้ การเป็นอินดี้ชน จะแสดงความคิดเห็นอย่างไรก็ได้
คือถ้ามันไม่ใช่คนแหก ถ้ามันไม่เฮี้ยน มันคงไม่เป็นต้นตำนานไม่ยืนในโรงหนัง
:
แต่คนแบบไอ้โฉด ไม่สมควรทำงานการเมือง ยิ่งมาเป็นผู้สมัคร มันก็ขัดแย้งกับ PC ของพรรค ยังประหลาดใจอยู่ว่า ใส่ชื่อมันให้ทัวร์ลงทำไม
แต่โฉดมันก็พูดง่ายอย่างที่เห็น ถอนตัว
:
ถึงจะบอกว่า ไม่สมควรเป็นผู้สมัคร
แต่ผมก็ยังมองว่าโฉดมีอิสระในความเป็นเสรีอินดี้อยู่นะครับ
เขามีสิทธิที่จะแสดงความเห็นวิพากษ์วิจารณ์อิสลาม วิพากษ์วิจารณ์ LGBTQ
แม้บางครั้งมันล้ำเส้น ล้ำกรอบ เกินไป แต่ก็ไม่ใช่สิ่งศักดิ์สิทธิ์แตะต้องไม่ได้
:
โฉดรับไม่ได้ที่พรรคประชาชาติเสนอกฎหมาย ห้ามหมิ่นศาสนา 112 ทางศาสนา แล้วมันก็ซัดซะสุดติ่ง
เราแอนตี้อิสลามโฟเบีย แต่ก็ต้องวิพากษ์วิจารณ์ความงมงายศาสนา (ทุกศาสนา) และการจำกัดสิทธิเสรีภาพ ไปคู่กัน
เช่นผู้รักสิทธิเสรีภาพยอมรับไม่ได้แน่ๆ ที่ผู้หญิงไม่คลุมหน้าในอิหร่านถูกจับขังทรมานถึงตาย แล้วปราบปรามประชาชนที่ประท้วงอย่างโหดเหี้ยม (แต่มุสลิมที่ต่อสู้เพื่อสิทธิเสรีภาพในการคลุมหน้า ในบ้านเรา ก็ไม่ค่อยวิจารณ์อิหร่าน)
LGBTQ ก็เหมือนกัน โฉดมันก็วิพากษ์วิจารณ์ ด่าบ้าง ล้ำเส้นบ้าง ในฐานะปัจเจกชนห่ามๆ
แต่ด่ากันแบบไม่ได้เรียกร้องให้จำกัดสิทธิ LGBTQ ไม่คัดค้านสมรสเท่าเทียม ก็ด่ากันไป
:
นี่พูดในฐานะอินดี้ชน ไม่ได้เป็นผู้สมัคร สส. ไม่ได้เป็นสมาชิกพรรค ไม่ต้องรับผิดชอบ ไม่ต้องแคร์ PC ไม่กลัวทัวร์ลง ไม่กลัวข้อหาชายแทร่
ถ้ามีชื่อลง สส.ก็คงโดนรีพอร์ทเพียบเหมือนกัน

https://www.facebook.com/baitongpost/posts/25447833454871810?ref=embed_post



ทันทีที่พรรค ปชน. เปิดโฉมหน้าว่าที่ผู้สมัคร สส. และบัญชีรายชื่อ พรรคได้รับเสียงวิพากษ์วิจารณ์จากรอบด้าน “หัวหน้าเท้ง-ณัฐพงษ์” แจงสารพัดดราม่าว่าด้วยเรื่อง “คน” ที่เกิดขึ้นกับ “พรรคมวลชน” อย่างไร

https://www.facebook.com/reel/1259230429361875

บีบีซีไทย - BBC Thai 
11 hours ago
·
“คุณไม่ผ่าน ไม่ได้รับการคัดเลือก” คือข้อความที่ผู้เสนอตัวลงสมัคร สส. หลายคนได้รับจากพรรคประชาชน (ปชน.) โดยมีทั้งอดีตผู้แทนราษฎรหน้าเก่า และบุคลากรหน้าใหม่ที่เข้าคอร์สอบรมหลักสูตรการเมืองกับทางพรรคไปแล้ว
.
ทันทีที่พรรค ปชน. เปิดโฉมหน้าว่าที่ผู้สมัคร สส. 400 เขต และบัญชีรายชื่อ 100 คน จึงได้รับเสียงวิพากษ์วิจารณ์จากรอบด้าน
.
“หัวหน้าเท้ง-ณัฐพงษ์” แจงสารพัดดราม่าว่าด้วยเรื่อง “คน” ที่เกิดขึ้นกับ “พรรคมวลชน” อย่างไร


ท่ามกลางดราม่าของบรรดา สส.หรือ ผู้สมัครพรรคประชาชนที่ไม่ได้ไปต่อ หรือไม่ได้รับเลือก ยังมีบุคคลแม้จะผิดหวัง แต่ยังมี Spirit ที่จะช่วยงานพรรคประชาชนต่อ


Thanapol Eawsakul
December 16
·
ท่ามกลางดราม่าของบรรดา สส.หรือ ผู้สมัครพรรคประชาชนที่ไม่ได้ไปต่อ หรือไม่ได้รับเลือก
อันนี้ต้องชื่นชมสปิริต "ครูไพลิน" วชิราภรณ์ นิรันตราภรณ์ อดีตผู้สมัครพรรคก้าวไกลในเขตสงขลาเขต 2 ที่แม้ครั้งที่แล้วจะได้ที่ 2 แพ้ไป 168 คะแนน
แต่ก็ยังทำงานอย่างต่อเนื่อง
เมื่อการเลือกตั้ง 69 ก็เข้าสู่กระบวนการคัดเลือกผู้สมัคร ถึงแม้ไม่ได้รับเลือก
แต่ก็ยังมี Spirit ที่จะช่วยงานต่อ
.....



วชิราภรณ์ นิรันตราภรณ์ - พรรคประชาชน จ.สงขลา 
December 16
·
สวัสดีค่ะทุกคน เปิดหัวก่อนเลยว่าโพสนี้จะมาสื่อสารกับผู้สนับสนุนทุกท่านว่า ไพลินไม่ได้รับคัดเลือกจากพรรคให้ลงสมัครเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ของ จ.สงขลา เขต 2 ในนาม พรรคประชาชนนะคะ (จริง ๆ ไพลินร่างโพสนี้ไว้นานมาก แค่รอเวลาสื่อสารอย่าง offially เพราะรู้ตัวและเข้าใจยุทธศาสตร์ของพรรคมาสักพักแล้ว) แล้วก็คิดเยอะมากว่าจะสื่อสารยังไงดีไม่ให้ทุกคนรู้สึกไม่ดีกับพรรค ไม่อยากให้ทุกคนเสียใจ และอยากให้ทุกคนที่สนับสนุนไพลินให้กำลังใจกับผู้ที่ได้รับหน้าที่ต่อจากนี้ต่อไปทำภารกิจนี้ให้สำเร็จ แม้ว่าตัวไพลินเองจะมาเข้ากระบวนการคัดเลือกในครั้งนี้ด้วย ส่วนตัวแล้วก็ไพลินรับได้หมดถ้าเขาจะเป็นคนที่ทำได้ดีกว่าที่ไพลินเคยทำได้
.
สวัสดีค่ะ พี่น้องประชาชนทุกท่าน ปีนี้นับว่าเป็นปีที่ 6 แล้วที่ไพลินได้ร่วมงานกับเครือข่ายของคณะก้าวหน้า - พรรคก้าวไกล - จนกระทั่งมาเป็นพรรคประชาชน มีหลายบทบาทหน้าที่มากที่ไพลินได้ลองทำและเข้ามามีส่วนร่วมทางการเมือง เริ่มตั้งแต่การเป็นผู้ช่วยหาเสียง เป็น Content Creator เป็น Campaign Manager จนวันนึงก็ได้รับมอบหมายให้รับหน้าที่เป็นผู้สมัครสส.ของพรรคก้าวไกล เมื่อตอนเลือกตั้ง 66 ที่ผ่านมา แม้ว่าอาจจะมีใครหลาย ๆ คนมองว่าไพลินได้คะแนนมาเพราะกระแสพรรค แต่ส่วนตัวตลอดการทำงานตรงนี้ไม่เคยคิดอย่างนั้นเลยว่าจะอยู่ไปวัน ๆ เพื่อรอกระแส ไม่มีสักวันที่ตัวไพลินเองจะทำงานแบบดูถูกพี่น้องประชาชน เพราะไม่เชื่อว่ากระแสจะเป็นสิ่งยั่งยืน และเราจะทำตัวยังไงก็ได้เพื่อรอกระแสไปวัน ๆ แต่เชื่อในการสร้างความสัมพันธ์ที่มีความหมายกับผู้คน ถ้าใครเห็นกันตั้งแต่แรก ๆ จะรู้ว่าไพลินตั้งใจเดินคุยกับคนหาดใหญ่ทุกบ้าน ตั้งแต่คนยังเกลียดพรรคก้าวไกลมาก ๆ ไม่รู้จักพรรค และไม่รู้จักพิธา ตั้งใจกับทุกดีเบต และเวทีปราศรัย เข้าร่วมกับทุกแวดวงสังคมในหาดใหญ่เพื่อสร้างความสัมพันธ์ รับฟังข้อเสนอ และสื่อสารแนวทางของพรรคเพื่อโน้มน้าวให้คนที่เห็นต่างกับเรามาร่วมเดินในเส้นทางเดียวกับพวกเรา สำหรับตัวไพลินเองเป็นช่วงเวลาที่หนัก แต่ก็รู้สึกเป็นเกียรติและภูมิใจที่ได้รับมอบหมายให้ทำภารกิจนี้ในช่วงชีวิตหนึ่ง จนผลออกมาว่าสงขลา เขต 2 เป็นเขตที่ผู้แพ้มีคะแนนหายใจรดต้นคอผู้ชนะเป็นอันดับ 5 ของประเทศ และเป็นอันดับ 2 ของพรรคก้าวไกล
.
หลังจากจบเลือกตั้ง 66 ไพลินเองก็ยังคงรับผิดชอบต่อหน้าที่นักการเมืองต่อด้วยการทำหน้าที่เป็นตัวแทนพรรคในการรับสื่อสารกับภาคประชาสังคมในภาคส่วนต่าง ๆ เพื่อตอบสนองต่อความไว้วางใจและความคาดหวังของสังคมที่เชื่อมั่นในพรรคของพวกเรา และทำงานเบื้องหลังในฐานะหัวหน้าทีมนโยบายของจังหวัดเพื่อรวมรวมข้อร้องเรียนที่ได้รับจากพี่น้องประชาชนในทุกช่องทาง และปัญหาในจังหวัดที่คณะทำงานของเราออกไปทำงานกับพี่น้องประชาชนในทุกพื้นที่มาพัฒนาเป็นองค์ความรู้ ชุดข้อมูลระดับจังหวัดเพื่อวิเคราะห์ทิศทางและสื่อสารนโยบายของพรรคในการเลือกตั้งทุกระดับที่เกิดขึ้นในจังหวัด และทำงาน Volunteer Engagement เพื่อชักชวนและสร้างพื้นที่ให้คนสงขลาได้มีโอกาสใช้ศักยภาพในการทำงานพรรคเพื่อจังหวัดสงขลา และประเทศไทยของเรา และไพลินภูมิใจมากที่ได้เป็นคนสร้างทีมนโยบายระดับจังหวัดขึ้นมาได้สำเร็จ ส่วนตัวแล้วการที่ได้รับมอบหมายหน้าที่ทุก ๆ อย่างในช่วงเวลาที่ผ่านมา ไพลินภูมิใจกับทุก ๆ อย่างเลย ที่ได้เป็นเบื้องหลังทำงานสร้างพรรคนี้จนมีวันนี้ได้ และจะทำงานสนับสนุนพรรคต่อไป
.
สำหรับเลือกตั้ง 69 นี้ ไพลินจะยังคงทำงานช่วยพรรคต่อไปในฐานะทีมนโยบายจังหวัด โดยจะทำหน้าที่สื่อสารบอกเล่าเรื่องราวองค์ความรู้และข้อมูลด้านนโยบายของจังหวัดของเราในทุก ๆ พื้นที่ ทุก ๆ แง่มุม เพื่อทำให้คนสงขลาเห็นว่ามีเพียงพรรคเราเท่านั้นที่เอาจริงเอาจังกับการแก้ปัญหาของสงขลา ฝากทุกคนติดตามงานนี้ของไพลินและทีมนโยบายจังหวัดกันด้วยนะคะ
.
สุดท้ายนี้อยากขอบคุณทุก ๆ ความรักที่ทุกคนมีให้ไพลินตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมานะคะ ขอบคุณทุก ๆ การสนับสนุนทุกรูปแบบทั้งวัตถุ สิ่งของ กำลังใจ รวมไปถึงฟีดแบค คำแนะนำต่าง ๆ ที่ทำให้ไพลินกลายเป็นคนที่ดีขึ้นในหลาย ๆ ด้านจากกการได้รับบทบาทหน้าที่ในช่วงเวลาที่ผ่านมา ขอบคุณแม่ ขอบคุณพี่ทิม ขอบคุณน้อง ๆ อาสาสมัคร ผู้ช่วยหาเสียง และหัวคะแนนธรรมชาติทุกคนที่ทำให้ไพลินมีกำลังใจและเป็นแรงบันดาลใจให้เสมอ ขอบคุณเพื่อนสส.พรรคก้าวไกล และทีมผู้สมัครทุกคน และเครือข่ายคณะทำงานของพรรคที่ cheer up ไพลินในการทำสิ่งนี้อยู่ตลอดเวลา จนวินาทีสุดท้ายที่รู้ผลการคัดเลือก ความรักจากทุกคนมันล้นเอ่อมากจริง ๆ
.
แล้วก็ไพลินอยากฝากทุกท่านในฐานะและผู้สนับสนุนพรรคไว้อย่างนึงว่าพรรคของเราเติบโตเพราะมีสมาชิกพรรคและผู้สนับสนุนพรรคคอยติติงและให้คำแนะนำ อยากขอเชิญชวนให้ทุกคนที่รู้สึกผิดหวังกับอะไรก็ตามในตัวพวกเราอย่าเพิ่งทิ้งพวกเราไป พวกเรายังคงอยากใช้พรรคการเมืองนี้เปลี่ยนแปลงประเทศนี้อยู่ และหากท่านยังเคลือบแคลงใจในประเด็นใดทั้งจากพรรคและตัวผู้สมัคร ขอให้ทุกท่านใช้สิทธิ์ในการซักถามและให้คำแนะนำได้อย่างเต็มที่ พวกเรายังคงอยากเติบโตเป็นรัฐบาลที่ดีของคนไทยทุกคนค่ะ
.
รักและขอบคุณทุกคนมาก ๆ จริง ๆ นะคะ ไพลินจะไม่ลืมประสบการณ์และโอกาสที่เคยได้รับทั้งหมด และจะใช้มันเป็นต้นทุนในการต่อยอดพัฒนาสังคมของเราต่อไป ไพลินยังยืนยันคำเดิมว่าไม่เคยมีความฝันอื่นใดเลย นอกจากอยากเห็นสังคมไทยดีกว่านี้และอยากเป็นส่วนหนึ่งในการลงมือทำมันในทุก ๆ ช่วงเวลาของชีวิต และจะทำมันต่อไปในทุก ๆ บทบาทที่มี และไพลินจะไม่สูญเสียคุณค่าที่มีในตนเองสำหรับภารกิจนี้แม้ว่าจะไม่ได้เป็นผู้สมัครสส.ก็ตาม

https://www.facebook.com/Wachiraporn.PPSK/posts/875377225010418