วันพฤหัสบดี, ธันวาคม 18, 2568

ศึกสามเส้า ‘น้ำเงิน-ส้ม-แดง’ เลือกตั้ง ๘ กุมภา ๖๙ ที่ฟัดกันมากเป็นส้มกับแดง ลองไปดูเธรดเถียงกันบนโซเชียล โห แดงด่าเช็ด ว่าเขา โง่ บ้า เพี้ยน และมั่ว

มีข้อสังเกตุเกี่ยวกับเส้นทางไปสู่การเลือกตั้ง ๘ กุมภา ๖๙ นิดหน่อย แม้จะเป็นระยะสั้นๆ ไม่ถึงเดือนครึ่ง ก็น่าใส่ใจเพราะมันเป็นศึกสามเส้า น้ำเงิน-ส้ม-แดง(เรียงลำดับตามความมาแรง) ปรากฏว่าที่ฟัดกันมากกลับเป็นส้มกับแดง

สองสีนี่ไม้เบื่อไม้เมา ทั้งที่น่าจะเป็นฟากเดียวกันแม้จะแข่งขัน แทนที่จะทิ้งน้ำเงินไว้ข้างหลัง กลับกลายเป็น ตาอยู่ กำลังจะฉวยเอาปลาไปกิน ระหว่าง ตาอินกับ ตานาทะเลาะกันด้วยเรื่องปีนเกลียวไม่เข้าท่า ตาอินว่าตานาอ่อนหัด เพราะตัวเองไม้แก่ดัดยาก

คราวนี้ไปดูที่แดงกับส้มเถียงกันบนโซเชียล อันควรเป็นวิวาทะทางสติปัญญา ฝ่ายแดงเปิดเวทีการโต้คารมนี้ว่า “เบื่อการวิเคราะห์ที่บอกว่าเพื่อไทยยังเน้นหากินแต่กับเรื่องปากท้อง ไม่สนใจปัญหาการเมือง ปัญหาโครงสร้าง

ปัญหาปากท้อง มันก็คือ socio-economic rights ที่ต้องพัฒนาไปควบคู่ไปกับ civil/political rights หรือบางสำนักบอกว่าต้องพัฒนา ก่อนเสียอีก ปากท้องดีจึงจะคิดเรื่องการเมืองได้ดี” นึกไม่ถึงว่าสามารถเรียกทัวร์ได้พอสมควร

“เพื่อไทยไม่ได้ให้สูตรสำเร็จว่า การเมืองที่ ดีเป็นอย่างไร แต่ empower ให้ประชาชนอยู่ใน position ที่จะมีเวลาคิด ไตร่ตรองจินตนาการทางการเมืองของตน นโยบายทั้งเรื่องหนี้ เรื่องขนส่ง เรื่องเทคโนโลยี มันคือการพูดเรื่องโครงสร้าง”

แล้วว่านั่น “เป็นการพูดที่ครบถ้วน ไม่ใช่ว่าทุกอย่างโยงไปรัฐธรรมนูญ ๆๆ หมด อย่า oversimplify ปัญหา!...แก้รัฐธรรมนูญ จำเป็นแน่นอน แต่ไม่ เพียงพอ’” ทัวร์แรกมาเลย “วาทกรรม ปากท้อง vs การเมืองคือกรอบคิดที่ผิดตั้งต้น

คำถามที่ควรถามไม่ใช่เพื่อไทยสนใจแต่ปากท้องหรือไม่ แต่คือนโยบายปากท้องนั้น สามารถสร้างอำนาจให้ประชาชน หรือแค่ประคองระบบเดิม” คุณ @warumsollichka เธอตอบว่า “ก่อนวิจารณ์ อ่านก่อนมั้ย...เราเขียนไว้จัดเจนแล้ว” Empowerไง

อีกรายมาบอก “มั่ว เพื่อไทยถึงได้เจ๊งกะบ๊งอยู่ตอนนี้อ่ะ จริงๆ มันโคตรง่ายเลย เพื่อไทย เมื่อไหร่เลิกเป็นเพื่อทักกี้ได้ ถึงจะเปลี่ยนผ่านจริง แต่มันทำไม่ได้” เพราะ “มันเป็นโมเดลแบบไทยโบราณ” warum ตอบอีก “ให้อ่านอีกรอบ”

พอมีคนย้อนศรว่า ปากท้องจะดีได้ต้องการเมืองก่อน เธอว์ก็ใส่เค้า “ป้าอย่าโง่ค่ะ หัดอ่านหนังสือบ้าง” เช่นกันกับที่ตอบอีกทัวร์ว่า “คนละประเด็น อ่านหนังสือไม่แตก โง่” เพราะเขาเปรียบเปรยกับกฏจราจร “ระหว่างสอนให้ขับรถให้ดี หรือควรออกกฎหมายให้ดี”

ตรรกะอันนี้เขาว่า สอนดีแล้วไม่ได้หมายความว่าจะขับได้ดีนะ แต่ถ้ากฎหมายดีคนจะกลัวและเคารพ อะ อีกทัวร์ซัดเลย “เขาว่าพรรคเพื่อไทยทำแต่ประชานิยมที่ซื้อเสียงคน เน้นทุ่มเงินไว้ก่อน อย่างอื่นที่ต้องคิดเยอะๆ มักจะไม่ทำ เพราะคนไม่ซื้อ จริงไหม”

warum ทำซ้ำ “อันนี้หลวมเกินไปอะ พูดให้เป็นรูปธรรมหน่อย” พอเจอที่เขาจี้ว่า “ปัญหาคือ ไม่ได้ทำตามสัญญา ตะหาก แถมตระบัดสัตย์ก็เยอะ” ก็เลยโพล่งว่าเค้าเพี้ยน “หัดอ่านจับใจความบ้างจะได้ถกเถียงให้ถูกประเด็น อันนี้โง่ และบ้า”

เลยได้ข้อสรุป ข้อโต้แย้งของสีแดงมีแต่ว่าเขา โง่ บ้า เพี้ยน และมั่ว โดยไม่ให้เหตุผลกำกับว่าเพราะอะไร

หมายเหตุ :ภาพประกอบ คนละเรื่องเดียวกัน ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ออกรายการ เรื่องเล่าเช้านี้ถึง การตัดสินใจหนุนอนุทินเป็นนายกฯ รู้ว่าเสี่ยง แต่ก็ต้องลอง ซึ่งถึงวันนี้ยอมรับว่า ไม่คุ้ม และเปรียบว่าพรรคประชาชน เป็น สีดาลุยไฟ’”

(https://x.com/warumsollichka/status/2000870840351502679) 

คงไม่ต้องหาสาเหตุรถถัง VT 4 ปากกระบิกปืนแตกแล้วมั๊ง มีเพจนึงบอก รถถัง VT-4 จากจีน มีปัญหาตั้งแต่ตอนออกแสดงโชว์ในจีน


Car spotting Thailand.
17 hours ago
·
รถถัง VT-4 จากจีน มีปัญหาตั้งแต่ตอนออกแสดงโชว์ในจีน โดยไปจอดค้างที่เนินดินความชันธรรมดา วิ่งขึ้นต่อไปไม่ได้ ค้างเติ่งกลางงานนิทรรศการแสดงอาวุธ
ต่อมาก็มีปัญหาการซ่อมบำรุงรถรุ่นนี้ในปากีสถาน ขาดแคลนชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์บางรายการ ต้องรออะไหล่นาน
อีกทั้งรถถังรุ่นนี้ในประเทศไนจีเรีย ก็โดนผู้ก่อการร้ายยิงอาร์พีจีเข้าเกราะข้างจนแตก ทำให้ระบบขับเคลื่อนเสียหายจนต้องจอด และส่งผลให้ระบบอิเล็กทรอนิกส์พังไปเลย
ล่าสุดในไทย รถถังรุ่นนี้ไม่ทนต่อการยิงต่อเนื่องนานๆ ลำกล้องปืนแตกเอง ทำให้ทหารไทยบาดเจ็บจากรถถังของจีนรุ่นนี้
แต่ติ่งรถ J3K อาจจะกล่าวว่า แค่ออพชั่นก็คุ้มแล้ว ไม่ต้องซื้อรถถังเมกากั๊กออพชั่น

https://www.facebook.com/photo/?fbid=1322962519862085&set=a.459188482906164



ผวา “การเมืองสีเทา” ทุนเทา ยึดเลือกตั้ง กลืนประเทศเบ็ดเสร็จ “การเลือกตั้ง สส. 2569 ที่กำลังจะมาถึง จึงไม่ใช่เพียงการลงคะแนนเพื่อหาตัวแทน แต่เป็นการลงคะแนนเพื่อหยุดยั้งอำนาจมืดและรักษาอนาคตและเอกราชทางเศรษฐกิจของชาติไว้ด้วยมือของประชาชนเอง”



ผวา ‘ทุนเทา’ ยึดเลือกตั้ง กลืนประเทศเบ็ดเสร็จ คอร์รัปชันทำ GDP ไทยทรุด

ฐานเศรษฐกิจ
16 ธ.ค. 2568

Key Points

  • ภาคเอกชนและองค์กรต้านคอร์รัปชันแสดงความกังวลว่ากลุ่ม "ทุนเทา" จะใช้การเลือกตั้ง สส. ปี 2569 เป็นช่องทางในการฟอกเงินและเข้าครอบงำการเมืองเพื่อควบคุมประเทศ
  • มีการคาดการณ์ว่าการซื้อเสียงในการเลือกตั้งครั้งนี้จะพุ่งสูงที่สุดในประวัติศาสตร์ ซึ่งเป็นกลไกสำคัญที่เปิดทางให้ "การเมืองสีเทา" เข้ามามีอิทธิพล
  • การเลือกตั้งครั้งนี้ถูกมองว่าเป็นเดิมพันสำคัญในการหยุดยั้งอำนาจมืดและรักษาเอกราชทางเศรษฐกิจของชาติ ทำให้หลายภาคส่วนร่วมรณรงค์เพื่อการเลือกตั้งที่โปร่งใส
การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) ทั่วไป ซึ่งคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) มีมติเห็นชอบจัดการเลือกตั้งโดยกำหนดให้มีขึ้นใน วันอาทิตย์ที่ 8 กุมภาพันธ์ 2569 ได้ถูกยกระดับเป็นเดิมพันสำคัญที่สุดของประเทศ ท่ามกลางวิกฤตเศรษฐกิจที่ “ติดหล่ม” และความเสี่ยงจากการเข้าแทรกแซงของ “ทุนเทา” หรือ “ทุนสีดำ”

นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธาน ส.อ.ท. แสดงความกังวลต่อสถานการณ์ทางเศรษฐกิจที่ไร้เสถียรภาพและอยู่ในโซนต่ำอย่างต่อเนื่อง ภาคเอกชนมองว่าปัญหาใหญ่ที่สุดของประเทศในเวลานี้คือ คอร์รัปชัน ซึ่งเป็นปัญหาระดับโครงสร้างที่บ่อนทำลายความสามารถในการแข่งขันอย่างมีนัยสำคัญ

หากประเทศไทยไม่มีการเปลี่ยนแปลงใด ๆ ที่มีนัยสำคัญ คาดการณ์ของ IMF ชี้ว่า อันดับ GDP ของไทยในภูมิภาคนี้ (ปัจจุบันอยู่อันดับ 2) จะตกลงไปอยู่อันดับที่ 5 ภายในปี 2030 โดยสิ่งที่น่ากลัวที่สุดคือการที่ ทุนเทา หรือทุนสีดำเข้ามาครอบงำการเมืองผ่านช่องทางต่าง ๆ

“ทุนเทาเหล่านี้เริ่มมีสัญญาณชัดเจนในการใช้การเลือกตั้งเป็นกลไกสำคัญในการฟอกเงินและแสวงหาอำนาจทางการเมือง และหากทุนเหล่านี้สามารถเข้าไปครอบงำพรรคการเมืองและกำหนดนโยบายประเทศได้ ประเทศไทยจะเปลี่ยนเป็นสีเทาและสีดำอย่างถาวร การเลือกตั้งครั้งนี้จึงเป็น ทางเดียวที่จะช่วยทำให้เราสามารถรักษาความเป็นเอกราชทางเศรษฐกิจของประเทศไทยได้”

เอกชนฝันถึงรัฐบาล “มือสะอาด” แก้ปากท้องเร่งด่วน

ภาคเอกชนเรียกร้องให้รัฐบาลใหม่ต้องมาจากกระบวนการเลือกตั้งที่โปร่งใส และต้องประกอบด้วยบุคลากรที่มีความรู้ความสามารถ ประสบการณ์จริง และที่สำคัญคือ “มือสะอาด” ทำงานเพื่อส่วนรวมอย่างแท้จริง โดยไม่ยึดติดกับโควตาทางการเมืองเพียงอย่างเดียว

นายเกรียงไกรระบุว่า ภารกิจเร่งด่วนของรัฐบาลใหม่คือการแก้ปัญหาเศรษฐกิจปากท้อง ทั้งเรื่อง หนี้ภาคครัวเรือนที่สูงมากเกือบ 90% ปัญหาหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) และการเข้ามาของสินค้าที่ขายต่ำกว่าต้นทุน ซึ่งเป็นสิ่งที่บ่อนทำลายอุตสาหกรรมและ SMEs ไทย หากได้รัฐบาลที่มาจากทุนเทา หรือมีเป้าหมายเพื่อการครอบงำ จะยิ่งเพิ่มความเสี่ยงให้เศรษฐกิจไทยถดถอยในระยะยาว

“การเลือกตั้ง สส. 2569 ที่กำลังจะมาถึง จึงไม่ใช่เพียงการลงคะแนนเพื่อหาตัวแทน แต่เป็นการลงคะแนนเพื่อหยุดยั้งอำนาจมืดและรักษาอนาคตและเอกราชทางเศรษฐกิจของชาติไว้ด้วยมือของประชาชนเอง” นายเกรียงไกร กล่าว



ACT เตือน “ซื้อเสียง” พุ่งสูงสุดในประวัติศาสตร์ เปิดทาง “การเมืองสีเทา”

ด้าน ดร.มานะ นิมิตรมงคล ประธานองค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) หรือ ACT แสดงความกังวลว่า สถานการณ์การซื้อเสียงในแต่ละครั้งของการเลือกตั้งใหญ่มีแนวโน้มที่ราคาสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในการเลือกตั้งที่กำลังจะมาถึงนี้ถือเป็นเรื่องที่น่ากลัวอย่างมาก เหตุผลที่น่ากังวลเป็นพิเศษคือ ในปีนี้จะมีการเลือกตั้งใหญ่ระดับประเทศถึง 2 ครั้งด้วยกัน ได้แก่ การเลือกตั้งองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) และการเลือกตั้งทั่วไป ซึ่งทำให้คาดการณ์ได้ว่าการซื้อเสียงจะเกิดขึ้นมากกว่าครั้งที่ผ่านมา

ข้อมูลจากการสำรวจความเห็นของประชาชนที่ ACT ได้ดำเนินการมาแล้ว 2 ครั้ง ยืนยันถึงความกังวลดังกล่าว โดยพบว่า 70% ของประชาชน ที่ตอบแบบสอบถามเชื่อว่าการซื้อเสียงจะเกิดขึ้นอย่างแน่นอนและจะกระจายไปทั่วประเทศ ขณะเดียวกัน มีประชาชนเพียงประมาณ 20-27% เท่านั้นที่เชื่อว่าการซื้อเสียงจะเกิดขึ้นในพื้นที่จำกัด ดร.มานะ ย้ำว่า แม้ราคาของการซื้อเสียงจะไม่แตกต่างกันในแต่ละพื้นที่ แต่ราคานี้กลับมีแนวโน้มที่จะสูงขึ้นและสูงขึ้นในทุกการเลือกตั้งใหญ่

“ทุกครั้งที่ประเทศมีการเลือกตั้ง มักจะมีคำพูดหนึ่งที่ลอยมาให้ได้ยินอยู่เสมอคือ เงินไม่มา กาไม่เป็น คำพูดนี้สะท้อนให้เห็นว่ากำลังจะมีการซื้อเสียงครั้งใหญ่เกิดขึ้นอีกครั้ง ซึ่งเป็นสิ่งที่น่าเป็นห่วงอย่างยิ่ง หากสถานการณ์ยังคงเป็นเช่นนี้ต่อไป จะส่งผลให้การเมืองไทยและประเทศไทยเองตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของบุคคลที่ไม่พึงปรารถนา เช่น นักการเมืองที่ไม่ดี พวกบ้านใหญ่ พวกสแกมเมอร์ หรือพวกสีเทา คนเหล่านี้จะเข้ามาครอบงำประเทศ และท้ายที่สุดจะทำให้บ้านเมืองและประชาชนต้องเดือดร้อน” ดร.มานะ ระบุ

เช่นเดียวกับ ร.อ. ดร. จารุพล เรืองสุวรรณ รองผู้อำนวยการวิทยาลัยการเมืองการปกครอง สถาบันพระปกเกล้า ได้กล่าวเสริมถึงภัยของ “ทุนเทา” ว่าเป็นเรื่องน่ากลัว เพราะสามารถนำไปสู่การ “เสกสรรพทรัพย์” ได้ง่าย และมีอิทธิพลต่อทั้งพรรคการเมืองและประชาชน

สถานการณ์ดังกล่าวทำให้ เนชั่น กรุ๊ป ร่วมกับภาคีเครือข่ายสำคัญ อาทิ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) องค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) และ 4 สถาบันวิชาการชั้นนำ เปิดตัวโครงการ “Nation Election 2569 : จุดเปลี่ยนประเทศไทย” เพื่อทำหน้าที่ตรวจสอบและรณรงค์ให้การเลือกตั้งเป็นไปอย่างสุจริต โปร่งใส ภายใต้แนวคิด “Clean Election”

นายฉาย ประธานกรรมการบริหารและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เนชั่น กรุ๊ป กล่าวว่า ในปี 2569 เป็นปีแห่งการเลือกตั้งเริ่มตั้งแต่การเลือกตั้งใหญ่โดยคาดว่าจะเกิดขึ้นในเดือน ก.พ. 2569 ต่อมาเป็นการเลือกตั้ง ผู้ว่าฯ กทม. ตามมาด้วยการเลือกตั้ง นายกฯเมืองพัทยา และ อบต.ต่าง ๆ

“การเลือกตั้งถือเป็นหัวใจและสัญลักษณ์ของระบอบประชาธิปไตย เป็นกระบวนการให้ประชาชนไปใช้สิทธิของตนเองเพื่อกำหนดทิศทางประเทศ เครือเนชั่น กรุ๊ป ซึ่งอยู่เคียงข้างสังคมไทยมา 55 ปี ในฐานะสื่อเราอยากทำหน้าที่อย่างเข้มแข็ง นำพาข้อมูลสาระที่เป็นประโยชน์ออกสู่ประชาชน อยู่เคียงข้างประชาชนทุกเหตุการณ์สำคัญของบ้านเมือง

การเลือกตั้งเป็นหนึ่งในเหตุการณ์ที่สำคัญมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสถานการณ์ปัจจุบันที่ต้องยอมรับว่า มีปัญหามากมายในประเทศของเรา ทั้งปัญหาเศรษฐกิจที่ใช้คำว่า “ติดหล่ม” อยู่นาน ทั้งเรื่องการพัฒนา เรื่องของตัวเลข GDP เรื่องของปัญหาเงินฝืดต่างๆ รวมถึงปัญหาความขัดแย้งชายแดนยังไม่รวมสงครามการค้าต่าง ๆ ที่รุมเร้าเข้ามา

อีกด้านหนึ่ง คือ ปัญหาด้านสังคมที่ปัญหาความเหลื่อมล้ำต่าง ๆ ก็สอดคล้องกัน การเมือง เศรษฐกิจ และสังคม เป็น 3 มิติที่เชื่อมโยงกัน ปัญหาทั้งหมดเริ่มจากพรรคการเมือง ปัญหาทางการเมืองที่อ่อนแอ เพราะว่า 2 ปีที่ผ่านมา เปลี่ยนนายกฯไป 3 คน เหมือนกับ นายกฯเป็นวัสดุสิ้นเปลือง ใช้แล้วเปลี่ยนหรือไม่

“สิ่งที่เราอยากรณรงค์ในการเลือกตั้ง นอกเหนือจากนำพาข้อมูลข่าวสารออกสู่ประชาชน อยากรณรงค์ร่วมกันให้การเมืองรอบนี้ เป็นการเลือกตั้งที่สุจริต โปร่งใส สะอาด ตามคอนเซ็ปต์ที่พวกเราวางไว้ คือ “Clean Election” เพราะการเลือกตั้งครั้งนี้อาจเป็นจุดเปลี่ยนประเทศไทย จะเป็นจุดเปลี่ยนในทางที่ดีขึ้น

เครือเนชั่น กรุ๊ป และภาคีต่าง ๆ ที่มาร่วมกันในวันนี้เราเตรียมตัวมานานในการเตรียมงานวันนี้แต่คิดว่าเราร่วมกันนำพาข้อมูลสาระที่เป็นประโยชน์ให้ประชาชนตัดสินใจเข้าคูหาในการลงคะแนนครั้งนี้ พร้อมร่วมกันปลูกจิตสำนึกและร่วมกันสร้างการเมืองสุจริตไปด้วยกัน” นายฉาย กล่าวและว่า

ในเดือน ก.พ. เราอาจเป็นแค่ 1 เสียง 1 สิทธิ แต่คิดว่าเพียงพอที่จะร่วมกันแสดงสิทธิและเสรีภาพในการเลือกตั้งกำหนดอนาคตของพวกเราโดยสร้างการเมืองที่โปร่งใสไปด้วยกันพร้อมกันนี้ฝากให้ติดตามสื่อในเครือเนชั่นโดยกอง บก.เราทุกสื่อในเครือรวมถึงทีมผลิตต่าง ๆ ตั้งใจสร้างสรรค์ข้อมูลที่เป็นประโยชน์สูงสุดให้กับพี่น้องประชาชนในการตัดสินใจครั้งนี้

ขณะที่นักวิชาการจากสถาบันพระปกเกล้าและสถาบันสัญญาธรรมศักดิ์ฯ มองว่า สื่ออย่างเนชั่นทำหน้าที่เป็นสะพาน ในการเชื่อมโยงองค์ความรู้เชิงลึกที่มักเป็นเหมือนยาขม ไปสู่สาธารณะ นอกจากนี้ ยังจะมีการใช้เครือข่ายนักศึกษาทั่วประเทศเป็นหัวใจสำคัญในการปลูกฝังการต่อต้านการทุจริตและการให้ข้อมูลแก่ประชาชน

โดย รศ.ดร.ณัฐพงศ์ บุญเหลือ รองอธิการบดีฝ่ายบริหาร มหาวิทยาลัยรามคำแหง ซึ่งเป็นตลาดวิชา ก็พร้อมใช้ศูนย์บริการ 23 แห่งทั่วประเทศในการเป็นสะพาน เชื่อมโยงข้อมูลวิชาการสู่สาธารณะ
กกต. เคาะไทม์ไลน์ปลายปี 68 สู่การเลือกตั้ง 69

คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ได้มีมติเห็นชอบแผนการจัดการเลือกตั้ง สส. หลังพระราชกฤษฎีกายุบสภาผู้แทนราษฎรมีผลบังคับใช้ โดยกำหนดให้การเลือกตั้งทั่วไปมีขึ้นในวันอาทิตย์ที่ 8 กุมภาพันธ์ 2569,

ขณะเดียวกัน กกต. ยังได้กำหนดวันและเวลาสำคัญสำหรับการเตรียมการเลือกตั้ง โดยจะเปิดรับสมัคร สส. แบบแบ่งเขตเลือกตั้งในวันที่ 27 -31 ธันวาคม 2568 และเปิดรับสมัคร สส. แบบบัญชีรายชื่อ พร้อมแจ้งรายชื่อบุคคลที่จะแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี ในวันที่ 28-31 ธันวาคม 2568

สำหรับประชาชนที่ต้องการใช้สิทธิเลือกตั้งล่วงหน้า สามารถลงทะเบียนขอใช้สิทธิได้ตั้งแต่วันที่ 20 ธันวาคม 2568 ถึงวันที่ 5 มกราคม 2569 และวันเลือกตั้งล่วงหน้ากำหนดไว้ในวันอาทิตย์ที่ 1 กุมภาพันธ์ 2569

https://www.thansettakij.com/economy/646739


 

นักสังคมนิยม ตัวอย่างที่สามารถอธิบายความคิดที่ซับซ้อนแบบนี้ด้วยภาษาง่าย ๆ กระชับ และคนทั่วไปเข้าถึงได้ค่าง นักสังคมนิยมที่สามารถอธิบายความคิดที่ซับซ้อนแบบนี้ด้วยภาษาง่าย ๆ กระชับ และคนทั่วไปเข้าถึงได้


Pipob Udomittipong
12 hours ago
·
Grace Blakeley เก่งมาก สามารถอธิบาย “วัตถุนิยมประวัติศาสตร์” ในหนังสือ Capital ของคาร์ล มาร์กซ์ ในเวลาแค่สองนาทีเศษ

เธอบอกว่า นักเศรษฐศาสตร์การเมืองในยุคนั้นมองว่า ระบอบทุนนิยมเป็นคุณลักษณะตามธรรมชาติของสังคม มันเกิดมาเนิ่นนานจนเป็นอารยธรรมของมนุษย์ไปแล้ว แต่มาร์กซ์มองว่าไม่ใช่ มันไม่ใช่เรื่องที่เป็นธรรมชาติในสังคม

เพราะว่านักเศรษฐศาสตร์การเมืองสมัยนั้น มองระบอบทุนนิยมผ่านการแข่งขันในตลาดเท่านั้น แต่มาร์กซ์มองไปถึง “การผลิต” ในโรงงานด้วย

มาร์กซ์มองว่าเพื่อทำความเข้าใจระบอบทุนนิยมที่แท้จริง เราต้องมองพ้นไปจากแค่การแข่งขันในตลาด และสามารถวิเคราะห์ระบบการผลิตที่ถูกซ่อนไว้ในโรงงานด้วย

ในสมัยนั้น การเข้าไปสังเกตการณ์สภาพที่โหดร้ายในโรงงาน (การใช้แรงงานเด็ก โรงงานทาส ฯลฯ) เป็นเรื่องที่ทำได้ยาก ในขณะที่นักเศรษฐศาสตร์ทั่วไปมองว่า “โรงงาน” เป็นแค่ “กล่องดำ” ที่ไม่คู่ควรแก่ความสนใจ พวกเขาสนใจแค่ input และ output ที่ออกมาจากโรงงานเท่านั้น

แต่มาร์กซ์ไม่พอใจแค่นั้น เขามองว่าในการศึกษาทฤษฎีทางประวัติศาสตร์ เพื่อทำความเข้าใจสังคม เราต้องมองไปที่กระบวนการผลิตด้วย นั่นคือทฤษฎีที่เขาเรียกว่า วัตถุนิยมประวัติศาสตร์ หรือ “historical materialism”

ถ้าเรามอง “ตลาด” ในระบอบทุนนิยมจากมุมมองทั่วไป เราเห็นแต่การแข่งขันของธุรกิจในระบบตลาดที่มีการกระจายอำนาจ จะมองไม่เห็นความผิดปรกติในสังคม อย่างการแสวงหาประโยชน์จากแรงงาน

แต่ถ้าเรามองจากมุมของการผลิต เราจะมองเห็นบรรษัทขนาดใหญ่ที่อยู่ใต้อิทธิพลของนายทุนไม่กี่คน ซึ่งกำลังแสวงหาประโยชน์จากคนงาน นายทุนเหล่านี้ยังทำลายหรือดูดซับการแข่งขัน และเข้าไปมีอำนาจควบคุมสถาบันทางการเมือง

พูดอีกอย่างหนึ่ง ระบอบทุนนิยมไม่ได้ถูกกำหนดด้วยระบบตลาด แต่ถูกกำหนดด้วยทุนต่างหาก ใครมีทุนมากก็มีอำนาจควบคุมระบอบทุนนิยมมากเช่นกัน

สำหรับมาร์กซ์ ทุนจึงเป็นตัวกำหนดความสัมพันธ์ในสังคม และสะท้อนความสามารถของคนในชนชั้นหนึ่งที่จะครอบงำคนชนชั้นอื่น รวมทั้งกรรมาชีพ เพราะเขาเป็นเจ้าของทุนและการผลิตทั้งหมด

เพื่อทำความเข้าใจระบอบทุนนิยม เราจึงต้องพิจารณาระบบสังคมทั้งหมดโดยรวม ไม่ใช่มองเฉพาะตลาด หรือระบบเศรษฐกิจเป็นเหตุผลที่ทำให้มาร์กซ์ตั้งชื่อรองของหนังสือของเขาว่า “บทวิพากษ์เศรษฐศาสตร์การเมือง” “A Critique of Political Economy”

เราต้องการนักสังคมนิยมที่สามารถอธิบายความคิดที่ซับซ้อนแบบนี้ด้วยภาษาง่าย ๆ กระชับ และคนทั่วไปเข้าถึงได้ครับ

https://x.com/i/status/1999431819419353297







 

มองสังคมไทยผ่านแนวความคิดของ Gramsci นักคิด นักทฤษฎี นักการเมือง และนักหนังสือพิมพ์ฝ่ายก้าวหน้าคนสำคัญชาวอิตาลี


มองสังคมไทยผ่านแว่นตาของGramsci

Voice of the 99%

Dec 16, 2025

อันโตนิโอ กรัมชี่ (Antonio Gramsci, 1891–1937) เป็นนักคิด นักทฤษฎี นักการเมือง และนักหนังสือพิมพ์ฝ่ายก้าวหน้าคนสำคัญชาวอิตาลี เขาถูกระบอบฟาสซิสต์ของมุสโสลินีจับขังคุกจนเสียชีวิต แนวความคิดสำคัญของเขาที่บันทึกใน "บันทึกจากคุก" (Prison Notebooks) คือทฤษฎี "อำนาจนำทางวัฒนธรรม" (cultural hegemony) ซึ่งอธิบายว่าชนชั้นปกครองรักษาอำนาจไม่เพียงผ่านการบังคับด้วยกำลัง แต่ผ่านการทำให้ค่านิยม ความเชื่อ อุดมการณ์ ของพวกตนให้กลายเป็น "สามัญสำนึก" ของสังคม กลายเป็นบรรทัดฐานที่สังคมยอมรับโดยสมัครใจ ทำให้พวกเขารักษาอำนาจไว้ได้อย่างมั่นคง เขายังเสนอแนวความคิดเรื่อง "สงครามตำแหน่ง" (war of position) ที่เน้นการต่อสู้ทางวัฒนธรรมและปัญญาชนอินทรีย์ (organic intellectuals) เพื่อสร้างอำนาจนำทางเลือกของฝ่ายประชาชนเพื่อตอบโต้กับอำนาจนำของชนชั้นปกครอง ความคิดเหล่านี้มีอิทธิพลอย่างกว้างขวางต่อโลก โดยเป็นรากฐานของมาร์กซิสต์ตะวันตก ทฤษฎีวิพากษ์ วัฒนธรรมศึกษา การศึกษาสื่อ และการเมืองสมัยใหม่ ช่วยให้เข้าใจกลไกอำนาจที่ซ่อนเร้นในสังคมทุนนิยมและแรงบันดาลใจให้ขบวนการต่อสู้ทางอุดมการณ์ทั่วโลกจนถึงปัจจุบัน แนวความคิดของเขาช่วยทำให้เราสามารถนำมาวิเคราะห์และทำความเข้าใจว่าเหตุใด ชนชั้นนำ คน 1 % คนหยิบมือเดียวในประเทศไทย จึงสามารถกุมอำนาจรัฐไว้ได้อย่างมั่นคง

https://www.youtube.com/watch?v=hRp731BryfU


เปิดใจเจ้าของ "น้ำปลาตราสามกระต่าย" SME ไทยที่ต้องดิ้นรนสู้การปิดด่านชายแดน และกระแสแบนสินค้าไทยในกัมพูชา



เปิดใจเจ้าของ "น้ำปลาตราสามกระต่าย" SME ไทยที่ต้องดิ้นรนสู้การปิดด่านชายแดน และกระแสแบนสินค้าไทยในกัมพูชา


วศินี พบูประภาพ
ผู้สื่อข่าวบีบีซีไทย
17 ธันวาคม 2025

"ยอด(ขาย)มันหายไปประมาณ 80% ในแง่ภาพรวมธุรกิจมันกระทบหนักมาก"

ทศพล เครือลอย ทายาทธุรกิจน้ำปลาตราสามกระต่ายและผู้ประกอบการชาวเกาะกูด จ.ตราด เล่าให้บีบีซีไทยฟัง หลังจากที่วิกฤตความขัดแย้งชายแดนไทย-กัมพูชาปะทุขึ้นนับตั้งแต่เดือน พ.ค. ที่ผ่านมา

สำหรับ ทศพล วิกฤตการณ์ครั้งนี้ไม่ได้เป็นเพียงแค่หัวข้อข่าวการเมือง ทว่าการปิดเส้นทางการค้าของสองฝั่งประเทศยังส่งผลโดยตรงต่อรายได้ของธุรกิจที่สืบทอดกันมาแล้วหลายรุ่น

ในวันนี้ ธุรกิจครอบครัวขนาดเล็กที่สั่งสมความสำเร็จในตลาดกัมพูชามากว่าสี่ทศวรรษแห่งนี้ กำลังต่อสู้เพื่อรักษาลมหายใจของกิจการและคนงานในท้องถิ่น ท่ามกลางข้อจำกัดที่มาพร้อมกับกระแสชาตินิยมที่เกิดขึ้นทั้งในไทยและกัมพูชา

น้ำปลาตราสามกระต่าย หรือที่รู้จักกันในหมู่ชาวกัมพูชาว่า "ตกึ เตรย ตนซาย เบย์" มีรากฐานมาจากชุมชนชาวประมงบนเกาะกูด จ.ตราด โดยสามารถย้อนประวัติกลับไปได้กว่าครึ่งศตวรรษ จากรากฐานของครอบครัวของทศพลซึ่งมีอาชีพหลักคือการหาปลา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง "ปลากะตัก"

ในอดีตเรือรับซื้อปลาขนาดใหญ่ไม่สามารถเข้ามาซื้อปลาบนเกาะกูดได้เป็นประจำเพราะสภาพคลื่นลมและพายุ วันหนึ่งปู่ของทศพลจึงตัดสินใจลองนำปลาที่จับได้มาหมักทำน้ำปลาเอง

ธุรกิจน้ำปลาจึงเริ่มต้นขึ้น โดยเริ่มต้นจากการเป็นแบรนด์ "สองกระต่าย" ตามปีเถาะ (ปีกระต่าย) ซึ่งเป็นปีเกิดของคุณพ่อของทศพล แต่เนื่องจากไม่สามารถจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าได้เพราะมีสินค้าอื่นที่เป็นเครื่องปรุงจดทะเบียนไปก่อนแล้ว จึงต้องเพิ่มเป็น "สามกระต่าย" และใช้ชื่อนี้มาตั้งแต่ปี 2528 และจดทะเบียนในนาม บริษัท เทพพรชัย อุตสาหกรรม จำกัด

ตั้งแต่นั้นมา โรงงานน้ำปลาแห่งนี้ก็กลายเป็นแหล่งรายได้ของทั้งชาวประมงประจำถิ่นและคนงานหลายสิบครอบครัว

จากภูมิปัญญาชาวบ้านสู่ความรุ่งเรืองในตลาดกัมพูชา

ในช่วงที่ทศพลเข้ามารับช่วงกิจการต่อเมื่อประมาณ 10 ปีที่แล้ว โรงน้ำปลาของเขาขายสินค้าได้อย่างรวดเร็วจนประสบปัญหาผลิตไม่ทันขาย โดยยอดขายส่วนใหญ่ของแบรนด์นี้อยู่ในประเทศกัมพูชาซึ่งเป็นตลาดที่พวกเขาตัดสินใจขายเป็นตลาดหลัก โดยก่อนที่จะมีการปิดด่านธุรกิจแห่งนี้มีสัดส่วนการส่งออกน้ำปลาไปขายยังกัมพูชา 80% และการขายในประเทศไทย 20%

เมื่อถามว่าน้ำปลาตราสามกระต่ายเป็นที่โด่งดังในกัมพูชาเพียงใด เจ้าของกิจการผู้นี้เล่าจากประสบการณ์ของตนให้บีบีซีไทยฟัง

"ล่าสุดไปเสียมเรียบ (จ.เสียมราฐ) เมื่อสักปีสองปีที่แล้ว ก็เรียกได้ว่าถ้าไปร้านอาหารหลาย ๆ ร้านก็จะใช้สามกระต่ายมาขึ้นตั้งบนโต๊ะเลย แต่ว่าถ้าไปในครัวจะเจอแน่นอนว่ามีน้ำปลาสามกระต่ายอยู่ในครัว ตามโรงแรมในเสียมเรียบ ตามร้านอาหาร มีแน่นอน"

แม้น้ำปลาของเขาจะการันตีคุณภาพด้วยรางวัลโอทอป (OTOP) 5 ดาว กระนั้นแล้วทศพลก็วิเคราะห์ว่าความสำเร็จของน้ำปลาตราสามกระต่ายในกัมพูชามาจากสามปัจจัยหลัก ได้แก่ รสชาติ ทำเลที่ตั้ง และการทำการตลาด

สำหรับรสชาติ เขาเชื่อว่าแบรนด์ของเขามีรสชาติอันเป็นเอกลักษณ์คือ "เค็มอมหวาน" ซึ่งเป็นสิ่งที่ลูกค้าทางกัมพูชาบอกกับพวกเขาเองว่า เป็นรสชาติที่กลมกล่อมและถูกปากคนกัมพูชาที่ "ลิ้นติดหวาน"

นอกจากนี้ ทำเลที่ตั้งใน จ.ตราด ซึ่งติดชายแดนยังเป็นข้อได้เปรียบในการขนส่งข้ามแดน ในช่วงแรก การค้าเกิดขึ้นในลักษณะที่พ่อค้ากัมพูชาข้ามมาซื้อสินค้าแล้วนำกลับไปขายที่บ้าน จนกระทั่งราว 10 ปีหลังจากการค้าชายแดนเริ่มต้น ก็เริ่มมีคู่ค้าชาวกัมพูชาติดต่อเข้ามาสั่งซื้อโดยตรง

ตลาดกัมพูชามีความสำคัญอย่างยิ่งยวดต่อกิจการนี้ จนกระทั่งช่วงที่เกิดการระบาดของโรคโควิด-19 และมีการคาดการณ์ว่าจะเกิดการล็อกดาวน์ ทางคู่ค้าได้เร่งสั่งสินค้าเข้าไปตุน ทำให้ยอดขายพุ่งสูงที่สุดเท่าที่เคยมีมาถึง 7 ล้านบาทต่อเดือน

ธุรกิจครอบครัวของทศพลเป็นเพียงตัวอย่างของธุรกิจ SME ไทยแห่งหนึ่ง จาก SME ไทยที่ประกอบธุรกิจในตลาดของประเทศกัมพูชาทั้งหมดที่มีมูลค่าการส่งออกในปี 2567 รวมกันกว่า 6,700 ล้านบาทตามตัวเลขของสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม

จากข้อมูลของสภาธุรกิจไทย-กัมพูชาและหอการค้าแห่งประเทศไทยประเมินว่า ภูมิทัศน์ของธุรกิจเหล่านี้ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป หลังความขัดแย้งไทย-กัมพูชาปะทุขึ้นตั้งแต่ช่วงกลางปี 2568 และดำเนินมาถึงปัจจุบัน

"[ธุรกิจ]ปิดไปแล้วประมาณสัก 30-40% เฉพาะใน 7 จังหวัด[ชายแดนไทย-กัมพูชา]นะ อีก 70% อาจยังทรง ๆ อยู่หรือไม่ก็พยายามจะหางานอื่นมาเพิ่มเติม" วรทัศน์ ตันติมงคลสุข ประธานสภาธุรกิจไทย-กัมพูชากล่าวกับบีบีซีไทย โดยอ้างอิงตามข้อมูลการจดทะเบียนของกรมพัฒนาธุรกิจการค้ารายจังหวัด ทั้งนี้ เขาระบุว่าข้อมูลนี้ไม่ได้ชี้เฉพาะไปถึงธุรกิจที่มีการค้าขายหรือส่งออกโดยตรง



วิกฤตหนักที่สุดเท่าที่เคยเจอมา

ข้อมูลจากกรมการค้าต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ รายงานว่าในช่วงครึ่งแรกของปี 2568 มูลค่าการค้ารวมไทย-กัมพูชาอยู่ที่ 95,000 ล้านบาทและมีการเติบโตกว่า 10%

ความขัดแย้งระหว่างไทยและกัมพูชาปะทุขึ้นในช่วงปลายเดือน พ.ค. 2568 ทำให้ฝ่ายความมั่นคงตัดสินใจยกระดับมาตรการควบคุมด่านบริเวณชายแดนและผ่อนปรนหลายครั้ง ก่อนที่จะมีคำสั่งจากกองบัญชาการป้องกันชายแดนจันทบุรีและตราด (เฉพาะ) ที่ 1092/2568 ปิดด่านชายแดนถาวร เมื่อวันที่ 23 มิ.ย.

หนึ่งในด่านที่ถูกปิดระลอกนั้นคือจุดผ่านแดนถาวรบ้านหาดเล็ก ต.หาดเล็ก อ.คลองใหญ่ จ.ตราด หนึ่งในเส้นทางหลักในการส่งสินค้าของบริษัทน้ำปลาท้องถิ่น

ในขณะนั้นทศพลและคู่ค้าชาวกัมพูชาต่างก็คาดไม่ถึงว่าความขัดแย้งรอบล่าสุดจะรุนแรงถึงขนาดต้องปิดด่านเป็นระยะเวลานาน ธุรกิจของเขาเคยผ่านวิกฤตชายแดนไทยและกัมพูชามาก่อนในช่วงกรณีพิพาทคดีเขาพระวิหารมาแล้วโดยที่ไม่ได้มีผลกระทบมากนัก

ในช่วงต้นของความขัดแย้งระลอกปี 2568 นี้ เขาและคู่ค้ายังคงเพียรหาวิธีลัดเลาะไปตามด่านที่ยังสามารถจัดส่งสินค้าได้อยู่ หรือจุดที่มีการผ่อนปรน

ทว่าความรุนแรงก็ขยายตัวขึ้นในช่วงกลางเดือน ก.ค. จนทำให้กองทัพภาคที่ 2 ประกาศปิดจุดผ่านแดนตามแนวชายแดนไทยกัมพูชาครอบคลุมทั้ง 7 จังหวัดในวันที่ 24 ก.ค. และไม่เคยเปิดอีกเลยจนถึงตอนนี้

สภาธุรกิจไทย-กัมพูชาระบุว่า ตลอดระยะเวลา 3-4 เดือนที่ผ่านมานับแต่นั้น ตัวเลขการค้าชายแดนกลายเป็นศูนย์

สำหรับผู้ประกอบการอย่างทศพล เย็นวันที่ 23 ก.ค. ก่อนที่คำสั่งดังกล่าวเผยแพร่ เขาได้โทรสั่งรถบรรทุกเพื่อจะไปส่งสินค้าข้ามแดนในวันถัดไป แต่แล้วประกาศปิดจุดผ่านแดนจากกองทัพภาคที่ 2 ก็เผยแพร่ออกมาในช่วงกลางดึกคืนนั้นเอง ทศพลบรรยายถึงความรู้สึกในตอนนั้นว่า "เหมือนมีคนเตะปลั๊กไฟ(ตอนกำลังใช้เครื่องใช้ไฟฟ้า)"

ผู้ประกอบการ SME ของดีเมืองตราดผู้นี้บอกกับบีบีซีไทยว่า ในช่วงแรกทุกคนยังมองในแง่ดี และคาดว่ารัฐบาลทั้งสองฝ่ายจะเจรจากันและเปิดด่านได้ในไม่ช้า แต่เมื่อเกิดเหตุปะทะกันนานถึง 5 วัน และสถานการณ์ไม่คลี่คลาย ทศพลจึงต้อง "ทำใจ" และยอมรับว่าตลาดเดิมคงไม่กลับมาในเร็ววัน

ตามปกติ บริษัทของเขาจะส่งสินค้าให้ลูกค้าครั้งละราว 15 ตันผ่านด่านทางบก แต่ปัจจุบันต้องใช้วิธีรวมสินค้ากับสินค้าไทยชนิดอื่นที่ชาวกัมพูชาเป็นผู้นำเข้าเองเพื่อให้เต็มรถหนึ่งคัน จากนั้นผู้นำเข้าจะเป็นผู้ตัดสินใจว่าจะขนส่งทางเรือหรือทางบกผ่านลาว

"เพราะฉะนั้นต้นทุนสินค้านำเข้าก็จะแพงขึ้น มันก็จะขายยากขึ้น" เขาสรุปสถานการณ์ โดยเสริมว่าการถูกตัดช่องทางการขนส่งทางบกทำให้ผู้ผลิตสินค้าในไทยเสียเปรียบในการแข่งขันด้านต้นทุนอย่างมาก เมื่อเทียบกับเวียดนามที่สามารถส่งสินค้าทางบกได้

ประธานสภาธุรกิจไทย-กัมพูชา ประเมินว่ามูลค่าการค้าที่หายไปจากการปิดเส้นทางการขนส่งทางบกคิดเป็นตัวเลขวันละ 500 ล้านบาท โดยอ้างอิงจากมูลค่าการค้ารวมในปี 2567 ซึ่งอยู่ที่ประมาณ 360,000 ล้านบาท ซึ่งครึ่งหนึ่งหรือราว 180,000 ล้านบาทมาจากการค้าทางบก


บรรยากาศร้านค้าต่าง ๆ ย่านตลาดโรงเกลือและบริเวณโดยรอบหน้าด่านคลองลึก (11 ธ.ค. 2568) หนึ่งในเส้นทางขนส่งสินค้าข้ามแดนทางบก หลังเจ้าหน้าที่ปิดกั้นถนนตลอดเส้นทางเข้าด่านชายแดน

การต่อสู้กับ "กระแสแบน" และทางเลือกที่ถูกจำกัด

นอกเหนือจากการปิดด่านและปัญหาด้านโลจิสติกส์แล้ว ผู้ประกอบการไทยยังต้องเผชิญกับคลื่นแห่งชาตินิยมและการต่อต้านสินค้าไทยในกัมพูชาด้วย

กระแสดังกล่าวถูกจุดอย่างเป็นทางการโดย ฮุน เซน อดีตผู้นำกัมพูชาโพสต์ข้อความผ่านเครือข่ายเฟซบุ๊กเรียกร้องให้ยุติการนำเข้าสินค้าจากประเทศไทยและงดออกอากาศรายการโทรทัศน์จากไทย ในเดือน มิ.ย.

ต่อมาหลังการปะทะกันช่วงปลายเดือน ก.ค. กระแสการแบนสินค้าไทยก็แพร่หลายไปในสื่อต่าง ๆ ในกัมพูชา เช่น วันที่ 2 ส.ค. แวน โสเจียตา อินฟลูเอนเซอร์ของกัมพูชาซึ่งมีผู้ติดตามกว่าสองแสนผู้ใช้ลงวิดีโอผ่านทางแพลตฟอร์มเฟซบุ๊กทุบขวดเครื่องดื่มสัญชาติไทย พร้อมข้อความบรรยายว่า "หยุดสนับสนุนสินค้าไทย" โพสต์ดังกล่าวถูกส่งต่อกว่า 5,000 ครั้ง

วรทัศน์ระบุว่า ผลกระทบจากกระแสการไม่ซื้อสินค้าไทยในกัมพูชาแบ่งเป็นสองกรณี คือสินค้าภายใต้การลงทุนของไทยที่ผลิตในกัมพูชา เช่น กรณี K Cement ซึ่ง SCG ลงทุนผลิตภายในประเทศ สินค้าประเภทนี้ยังได้รับการสนับสนุนโดยฮุน เซน ที่กล่าวระหว่างร่วมพิธีเปิดสมัชชาสงฆ์แห่งชาติครั้งที่ 33 วันที่ 17 พ.ย. ว่า "อย่าให้มันเลยเถิดจนเกินไป เกินไปถึงขั้นที่ว่านักลงทุนไทยที่เข้ามาผลิตสินค้าในกัมพูชาแล้ว [พวกคุณ] ก็ไม่ยอมซื้อของเขาด้วย แบบนั้นมันผิดหลักการ เขาผลิตในกัมพูชา ก็ต้องถือว่าเป็นสินค้าของกัมพูชา"

ขณะที่กรณีที่ได้รับผลกระทบโดยตรง คือสินค้าที่ผลิตในประเทศไทย หรือสินค้าที่เป็นแบรนด์ไทย แม้จะผลิตในประเทศอื่นก็ตาม โดยเฉพาะกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค ซึ่งวรทัศน์ประมาณการว่ามูลค่าทางการค้าอยู่ที่ราว 10,000-20,000 ล้านบาทต่อปี

กระแสการรณรงค์ต่อต้านสินค้าไทยนี้ส่งแรงสะเทือนถึงน้ำปลาตราสามกระต่ายด้วยเช่นกัน

"ที่ได้คุยกับคู่ค้าคือว่า ของที่เป็นสินค้าไทยต้องใส่ถุงดำขาย เหมือนอารมณ์แบบขายของเถื่อน" ทศพล ระบุ

เขายอมรับว่าที่ผ่านมาเขาได้พยายามหาตลาดในกลุ่มประเทศภูมิภาคของอาเซียน (กลุ่ม CLMV) อื่น ๆ เช่น ลาว แต่ก็พบว่าเส้นทางนั้นไม่ง่ายสำหรับ "SME ตัวเล็ก ๆ" เพราะแต่ละประเทศมีเจ้าตลาดหลักอยู่แล้ว และต้นทุนการขนส่งจาก จ.ตราด ซึ่งเป็นที่ตั้งโรงงานของเขาไปยังลาวก็สูงกว่าการขนส่งไปยังกัมพูชา

"ผมก็เริ่มหา มีลูกค้าทางลาวบ้างครับ ยังไม่ค่อยต่อเนื่องแต่ก็เริ่มมีมาบ้าง... มันก็เลยเห็นความแตกต่างว่าต้นทุนทำเลที่ตั้งมันส่งผลเหมือนกัน" เจ้าของกิจการจาก จ.ตราด เล่าถึงการปรับตัวของตน

สำหรับทางเลือกในการสร้างแบรนด์ใหม่เพื่อเจาะตลาดกัมพูชาโดยเฉพาะ วรทัศน์ ประธานสภาธุรกิจไทย-กัมพูชา มองว่านั่นไม่ใช่ทางเลือกของผู้ประกอบการในช่วงเวลานี้เนื่องจากไม่คุ้มค่า

"ถ้าทำแบรนด์ใหม่ ก็ต้องขายในเมืองไทยมากกว่า ตลาดมันใหญ่กว่า ง่ายกว่า ทำไมผมจะต้องไปเลือกเอาแบรนด์ใหม่ไปขายที่กัมพูชาที่ยากกว่าล่ะ โดยเฉพาะยิ่งเวลาแบบนี้" เขาแสดงความเห็น

จากชายแดนสู่ติ๊กตอก (TikTok)

ข้อเสนอของประธานสภาธุรกิจไทย-กัมพูชา สอดคล้องกับการตัดสินใจของทศพลซึ่งมองชัดว่าไม่สามารถพึ่งพาตลาดเดิมอย่างกัมพูชาได้อีกต่อไป เขาจึงตัดสินใจเปลี่ยนมาเน้นการตลาดในประเทศอย่างเต็มตัว โดยใช้ช่องทางออนไลน์และโซเชียลมีเดีย โดยเขาเริ่มลงทุนจ้างทีมงานภายนอก (outsource) เพื่อมาช่วยทำคอนเทนต์และสร้างตัวตนในโลกออนไลน์ให้สม่ำเสมอ

แม้ปัจจุบันผลิตภัณฑ์ของเขาจะได้รับความสนใจจากกลุ่มร้านอาหาร หรือเชฟที่ต้องการวัตถุดิบท้องถิ่น แต่เส้นทางในการหารายได้เพื่อให้พอสำหรับการหล่อเลี้ยงธุรกิจที่หลายปากท้องพึ่งพิงนั้นก็เพิ่งอยู่ในช่วงเริ่มต้น

การขยายตลาดในประเทศก็มีความท้าทายเฉพาะตัว ทศพลพบว่าการนำสินค้าไปวางขายในร้านค้าสมัยใหม่ (modern trade) นั้นไม่ยาก แต่สิ่งที่ยากกว่าคือ "การทำอย่างไรให้สินค้าอยู่ได้" กล่าวคือต้องทำให้เกิดยอดสั่งซื้อต่อเนื่อง อันหมายถึงทรัพยากรก้อนใหญ่ที่ยังต้องลงทุนเพื่อแข่งขันกับน้ำปลาเจ้าอื่น ๆ ที่ครองตลาดในไทยอยู่แล้ว

อย่างไรก็ดี เขาคิดว่าการเริ่มต้นใหม่ครั้งนี้เป็นการลงทุนระยะยาว

"[พูดคุยกันในครอบครัวว่า]ตัดตลาดนั้น [กัมพูชา] ไปเลย เหมือนกับว่าไม่หวังว่าจะกลับ เพราะคุยกันตลอดว่าถ้ากลับมาเปิดด่านแล้ว มันก็คงไม่เหมือนเดิม"



การดูแลคนงานสำคัญเหนือยอดขาย

ท่ามกลางความไม่แน่นอนทั้งหมดนี้ ทศพลกล่าวว่า หัวใจของการอยู่รอดสำหรับน้ำปลาตราสามกระต่ายคือ "การรักษาคนงาน" เขาบอกว่าการที่ธุรกิจต้องแบกภาระต้นทุนท่ามกลางยอดขายที่หายไป 80% เป็นเรื่องที่หนักหนาสาหัส

กระนั้นแล้ว ทศพลยังเลือกที่จะพยายามลดต้นทุนในส่วนอื่น แต่ยังไม่ปลดคนงาน หากแต่เป็นการ "ลดเวลาทำงานลง" เพื่อประคองสถานการณ์ไว้ โดยเขาเปิดเผยว่าตั้งใจอยากเพิ่มตัวเลขยอดให้ได้อีกประมาณ 60-70% เพื่อให้ยังคงจ้างงานได้อย่างปกติโดยไม่ต้องลดเวลาทำงานลง

ด้านวรทัศน์เสริมว่า กลุ่มผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบหนักที่สุดและควรได้รับความช่วยเหลือเร่งด่วนที่สุดคือ กลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค (ของกินของใช้) เนื่องจากกลุ่มนี้ใช้วัตถุดิบและแรงงานส่วนใหญ่ภายในประเทศไทย การล้มลงของ SME กลุ่มนี้จึงจะส่งผลกระทบสูงต่อเศรษฐกิจท้องถิ่น

เขาเสนอว่ามาตรการสำคัญที่รัฐบาลต้องดำเนินการคือ "การเติมเงิน" ผ่านซอฟต์โลน (soft loan) เพื่อให้ผู้ประกอบการเหล่านี้สามารถพยุงตัวเองให้อยู่รอดได้ หากไม่มีเงินทุนสนับสนุน ธุรกิจเหล่านี้อาจจะ "หายไปเลย" ภายในไม่กี่เดือนข้างหน้า

เขาวิเคราะห์ต่อไปว่า แม้สถานการณ์จะคลี่คลายภายในเดือน ธ.ค. แต่กระบวนการเจรจาผ่านคณะกรรมการร่วมต่าง ๆ เช่น คณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม (Joint Boundary Commission - JBC), คณะกรรมการชายแดนทั่วไป (General Border Committee - GBC) และคณะกรรมการชายแดนส่วนภูมิภาค (Regional Border Committee - RBC) ยังต้องใช้เวลาอีกหลายเดือน

ล่าสุด การยุบสภายิ่งทำให้การตัดสินใจล่าช้า โดยคาดว่ารัฐบาลรักษาการจะไม่สามารถตัดสินใจในเรื่องสำคัญที่มีผลผูกพันในอนาคตได้

"หากเป็นไปตามไทม์ไลน์นี้ การค้าระหว่างสองประเทศอาจกลับมาได้ในช่วง เม.ย. ถึง พ.ค. ปีหน้า" ประธานสภาธุรกิจไทย-กัมพูชา ประเมินสถานการณ์

"ประเด็นก็คือเราจะ hold position (รักษาสถานภาพนี้) กันไหวไหม ในฐานะของผู้ประกอบการ" เขาตั้งคำถามส่งท้าย

https://www.bbc.com/thai/articles/cdrn2lrkl54o


กล้าธรรม ส่ง "ธรรมนัส" มีคนคิดถึง Pablo Escobar ตำนาน "มันคือแป้ง" ของ โคลอมเบีย



Suwagee Klampaiboon 
17 hours ago
·
"บาโบล เอสโกบาร์ แห่ง กะลาลัมเบีย"
คุ้นๆแมะ

**อยากรู้เขาคือใครติดตามหาข้อมูลเพิ่มเติมจากคลิปในเพจและลิ้งค์นี้**

ข่าวนอกกรอบไร้ขอบ
https://www.facebook.com/share/v/1JCxXQEMwm/

https://www.facebook.com/reel/1231640382322971


'ไทย-กัมพูชา' คนไทยควรมองโลกตามความเป็นจริง

 
https://www.youtube.com/shorts/eQPZrpUBa2Q
.....

Puangthong Pawakapan 
22 hours ago
·
ความคิดที่จะทำลายขีดความสามารถด้านการทหารของกัมพูชาจนไม่มีทางเป็นภัยคุกคามต่อไทยนั้น เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้เลย
ต่อให้ครั้งนี้ กัมพูชายอมหยุดยิงก่อน ต่อให้ครั้งนี้ไทยทำลายคลังอาวุธของกัมพูชาทั้งหมดได้สำเร็จ - ซึ่งดิฉันเชื่อว่ายากจะเกิดขึ้นได้ แต่ต่อให้สมมติว่าทำได้ หลังจากนี้ กัมพูชาก็จะเริ่มสะสมอาวุธอย่างเร่งด่วน โดยวางอยู่บนแนวคิดว่าประเทศไทยคือเป้าหมายของการโจมตีตอบโต้
ดิฉันเคยเขียนไว้ตั้งแต่ช่วงต้นๆ ของความขัดแย้งว่า นับตั้งแต่เหตุการณ์ความขัดแย้งกรณีพระวิหารปี 2551-2556 การจัดซื้ออาวุธของกัมพูชาวางอยู่บนแนวคิดว่าไทยคือภัยคุกคามที่สำคัญของเขา อาวุธที่เขาใช้ก็เป็นอาวุธขนาดกลางที่ใช้โจมตีพื้นที่ชายแดนไทยได้ ซึ่งในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ประเทศไทยก็ได้รับผลกระทบจากอาวุธเหล่านี้ ไม่ว่าจะเป็นเครื่องยิงจรวด เครื่องยิงรถถัง แต่เขาคงคาดไม่ถึงว่าความขัดแย้งกับไทยในรอบใหม่นี้ ฝ่ายไทยจะตัดสินใจใช้เครื่องบินรบโจมตีเขาอย่างรวดเร็ว
ครั้งนี้กัมพูชาไม่มีเครื่องบินรบ แต่เชื่อว่าหลังจากนี้ กัมพูชาจะต้องจัดหามาให้ได้ จะซื้อจากจีน รัสเซีย ยุโรปก็ได้ทั้งนั้น ซึ่งหมายความว่าในอนาคตอันใกล้ ประเทศไทยจะตกอยู่ในความเสี่ยงทางทหารมากยิ่งขึ้น เพื่อนบ้านของเราจะน่ากลัวมากขึ้น กองทัพไทยก็จะต้องเร่งซื้ออาวุธขนาดใหญ่มาเสริมทัพให้ตัวเอง งบประมาณด้านการทหารก็จะต้องเพิ่มขึ้นแม้ว่าเศรษฐกิจไทยจะถดถอยอย่างไรก็ตาม รัฐบาลพลเรือนก็ไม่รู้จะปฏิเสธอย่างไร
ฉะนั้น การใช้แนวทางการทหารนำการแก้ไขปัญหา จึงไม่มีทางที่จะสร้างความสงบสุข เสถียรภาพให้กับประเทศไทยในระยะยาวได้จริง แนวทางทหารควรมีไว้ป้องปรามเพื่อดึงให้คู่กรณีกลับสู่การเจรจา เพื่อสร้างความเป็นเพื่อนบ้านที่เคารพกัน เกรงใจกันและกัน ต่อให้มีอาวุธก็จะพยายามไม่ใช้ แต่โชคร้ายว่าสงครามครั้งนี้ ผู้นำประเทศของทั้งสองฝ่ายช่างสายตาสั้นเสียเหลือเกิน
เพิ่มเติม ข้อเสนอของดิฉันคือ ทั้งสองฝ่าย
ควรยอมรับการกลับไปสู่สถานะเดิม (status quo) ก่อนความขัดแย้งรอบนี้ คือยังคงอำนาจอธิปไตยเหนือดิแดนพิพาทของตนไว้ แล้วดูแลพื้นที่ร่วมกัน ห้ามเปลี่ยนแปลงพื้นที่
.....

https://www.facebook.com/reel/1462874875198019

“ก็อยากให้ทุกๆอย่างมันกลับมาสู่ความสงบและอยู่กันอย่างสันติสุขจริง ๆ มันไม่มีหรอกว่าตรงไหนที่จะไม่มีปัญหากัน แต่แค่รู้สึกว่า ครั้งนี้ไม่อยากให้มันยืดเยื้อไปมากกว่านี้ ถ้ามันสงบสุขและสันติ มันก็น่าจะเป็นเรื่องที่ดีมาก ๆ
“มันไม่ใช่แค่คนไทย พี่น้องชาวกัมพูชาก็เหมือนกัน หลายๆ ครอบครัวก็ลำบากไม่แพ้กันกับเรา
"อันนี้ก็มองโดยรวมโดยที่เราก็อยู่บนโลกใบนี้เหมือนกัน และทุกชีวิตก็มีค่า ก็อยากให้ทุกคนปลอดภัยไม่ว่าจะชาติใดในโลกนี้เหมือนกัน อยากให้ทุกคนปลอดภัยแล้วก็อยากให้อยู่ร่วมกัน ชายแดนที่ไหนก็ตามก็อยากให้สงบสุขไปด้วยกัน” #NoWarThaiCambodia
“ต่าย อรทัย ห่วงแม่อพยพหนีเหตุปะทะชายแดน วอนความสงบสุขกลับมาอีกครั้ง” https://www.matichon.co.th/entertainment/news_5506226



คนศรีสะเกษคนหนึ่ง ขอทวงคืน ความสงบ กลับคืนมา ถูกหาว่าไม่รักชาติ


Nithiwat Wannasiri
21 minutes ago
·
ใครจะรบ ปล่อยเขา เราไม่รบ
ดินแดนนี้ อยู่สงบ มาแต่ไหน
คือญาติมิตร พี่น้อง ไม่หมองใจ
แม้นภาษา ที่ใช้ ใกล้เคียงกัน

สงบมา แต่ปู่ย่า เริ่มค้าขาย
เริ่มเลวร้าย เพราะเขาหมาย จะแข่งขัน
สองแผ่นดิน เคยอยู่ได้ ด้วยแบ่งปัน
จนเขียนเส้น มาขีดกั้น แล้วรบรา

เส้นเขตแดน นั้นกั้นได้ ในแผนที่
แต่กั้นใจ พี่น้องนี้ มีปัญหา
ขอทวงคืน ความสงบ กลับคืนมา
ชีวิตคน ต้องรักษา กว่าก้อนดิน

17/04/2556

https://www.facebook.com/photo/?fbid=25277930071866024&set=a.152292684856443




มีคนว่า สงคราม 9 วัน ใช้งบประมาณไปแล้วประมาณ 20,000 ล้าน หากความขัดแย้งยังคงอยู่ถึงต้นปี 69 ความสูญเสียทางเศรษฐกิจ 200,000 - 250,000 ล้านบาท


ผ่างบต่อวัน รบกัมพูชา!

เนชั่นสุดสัปดาห์ NationWeekend

Dec 15, 2025 

จ่ายเท่าไหร่? งบประมาณต่อวัน “ไทย” รบ “กัมพูชา”

https://www.youtube.com/watch?v=2DZVS1yCs5M






รมว.พาณิชย์ เผยผลกระทบการค้าชายแดน หลังเกิดเหตุปะทะเดือดชายแดนไทย-กัมพูชา ทำให้มูลค่าการค้าชายแดนไทย-กัมพูชา ลดลงต่อเนื่องไปแล้ว 99.99%



รมว.พาณิชย์ เผยผลกระทบการค้าชายแดน หลังเกิดเหตุปะทะเดือดชายแดนไทย-กัมพูชา

8 ธ.ค. 2568
เดลินิวส์

นางศุภจี สุธรรมพันธุ์ รมว.พาณิชย์ เปิดเผยว่า กระทรวงพาณิชย์กำลังติดตามผลกระทบสถานการณ์ความขัดแย้งบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ว่าจะได้รับผลกระทบเพิ่มเติมแค่ไหน โดยหลังจากเหตุการณ์ปะทะ และปิดด่านเมื่อปลายเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ทำให้มูลค่าการค้าชายแดนไทย-กัมพูชา ลดลงต่อเนื่องไปแล้ว 99.99%

สำหรับตัวเลขการค้าชายแดนไทย-กัมพูชา 10 เดือนแรกของปี มีมูลค่า 95,554 ล้านบาท ติดลบ 36.68% ในจำนวนนี้ส่งออก 72,844 ล้านบาท ติดลบ 38.43% ส่วนการนำเข้า อยู่ที่ 22,710 ล้านบาท ติดลบ 30.32% แต่นับเฉพาะเดือนตุลาคมเดือนเดียว มีมูลค่าการค้าอยู่ที่ 9 ล้านบาท ติดลบ 99.94% แยกเป็น ส่งออก 9 ล้านบาท ติดลบ 99.93% นำเข้า 320,000 บาท ติดลบ 99.99%

เบื้องต้นประเมินว่า เหตุการณ์ปะทะครั้งล่าสุดน่าจะไม่มีผลกระทบที่มากขึ้นกว่าเดิมโดยประเด็นที่ต้องให้ความสำคัญหลังจากนี้ คือ การดูแลผู้ประกอบการที่ทำธุรกิจบริเวณแนวชายแดน ซึ่งเรื่องนี้กระทรวงพาณิชย์จะช่วยเหลือโดยนำสินค้าจากผู้ผลิตในแหล่ง 7 จังหวัดจัดจำหน่ายในช่วงเทศกาลปีใหม่พร้อมกับเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการเข้าร่วมกิจกรรมของกระทรวงพาณิชย์ เช่น มหกรรมธงฟ้าในภาคอื่นๆ ขณะที่กระทรวงการคลังเตรียมที่จะออกมาตรการช่วยเหลือผู้ลงทุนในกัมพูชา เช่น สินเชื่อเสริมสภาพคล่อง, การโอนย้ายเครื่องจักร เครื่องมือ โดยไม่เสียภาษี

https://www.dailynews.co.th/news/5382265/



What's behind Thailand and Cambodia’s border dispute? | Al Jazeera Newsfeed

https://www.youtube.com/shorts/9HF116Wgfss

What's behind Thailand and Cambodia’s border dispute? | Al Jazeera Newsfeed

Thailand and Cambodia have had disputes over land going back generations, causing thousands to be displaced along their shared border. Al Jazeera's Victoria Gatenby breaks it down.



ทำไม “จันทบุรี-กัมพูชา” ไม่รบกัน ทั้งที่ชายแดนอื่นมีปัญหา?


𝘼𝙣𝙪𝙘𝙝𝙞𝙩 𝘾𝙝𝙖𝙡𝙚𝙚
12 hours ago
·
ทำไม “จันทบุรี-กัมพูชา” ไม่รบกัน ทั้งที่ชายแดนอื่นมีปัญหา?

1. จันทบุรี–กัมพูชา = ชายแดน “ผลประโยชน์ร่วม” มากกว่าพื้นที่ขัดแย้ง ชายแดนจันทบุรี ไม่มีปมพิพาทเขตแดนรุนแรง แบบปราสาทพระวิหาร (ไทย–กัมพูชา) พื้นที่ทับซ้อนเขาพระวิหาร/ช่องบก เส้นแบ่งอาณาเขตที่ยังตีความไม่ตรงกัน พูดง่ายๆคือ ไม่มี “สัญลักษณ์ทางชาติพันธุ์/อธิปไตย” ให้ปลุกกระแสชาตินิยม

2. พื้นที่นี้ “ค้าขาย = เงินสด = ชีวิตจริง” จันทบุรี–ตราด–พระตะบอง–ไพลิน คือเส้นเลือดเศรษฐกิจของทั้งสองฝั่ง แรงงานกัมพูชาพึ่งพาฝั่งไทย พ่อค้าไทยพึ่งพาตลาดและแรงงาน สินค้าเกษตร / อัญมณี / การขนส่ง ถ้ามีการรบ เงินหายทันที คนท้องถิ่นเดือดก่อนรัฐ ผู้มีอำนาจในพื้นที่ “เสียผลประโยชน์” จึงไม่มีใครได้อะไรจากการรบ

3. โครงสร้างอำนาจท้องถิ่น “คุมได้” ต่างจากชายแดนบางแห่งที่ มีกองกำลังนอกระบบ มีกลุ่มติดอาวุธแฝงการเมือง หรือมีประวัติความรุนแรงสะสม ชายแดนจันทบุรี ฝ่ายความมั่นคงทั้งสองประเทศ “คุยกันรู้เรื่อง” มีช่องทางสื่อสารตรง แก้ปัญหาแบบเงียบๆ ก่อนลุกลาม นี่คือ สันติภาพแบบไม่เป็นข่าว

4. ไม่มี “ตัวจุดชนวน” ให้การเมืองระดับชาติใช้ ความขัดแย้งชายแดนจำนวนมาก ไม่ได้เริ่มจากชาวบ้าน แต่เริ่มจากการเมืองภายใน การสร้างศัตรูร่วม การเบี่ยงประเด็นจากปัญหาในประเทศ จันทบุรีไม่ใช่พื้นที่ที่ปลุกแล้วคนทั้งชาติอิน เอาไปหาเสียงแล้วได้แต้ม ดังนั้น ไม่มีแรงจูงใจให้ใครจุดไฟ

5. บาดแผลประวัติศาสตร์ต่างจากพื้นที่อื่น พื้นที่นี้ไม่ได้เป็นสมรภูมิความทรงจำ แบบพระวิหาร = ศักดิ์ศรีชาติ บางจุดในภาคใต้ = อัตลักษณ์/ศาสนา จันทบุรี–กัมพูชา คือ “อยู่กันมานาน เจ็บกันมาแล้ว รู้ว่ารบแล้วไม่คุ้ม”

สรุปสั้นๆ แบบตรงแก่น

เหตุผลที่ จันทบุรี–กัมพูชาไม่รบกัน ไม่ใช่เพราะรักกัน
แต่เพราะ:

1. ไม่มีปมอธิปไตยให้ปลุก
2. ผลประโยชน์ร่วมสูงมาก
3. อำนาจท้องถิ่นคุมเกมได้
4. การเมืองส่วนกลางไม่อยากแตะ
5. คนพื้นที่ “รู้ราคาของสงคราม”

สันติภาพที่นี่ ไม่ได้เกิดจากอุดมคติ แต่เกิดจากการคำนวณผลได้–ผลเสียที่โหดและจริง

https://www.facebook.com/photo?fbid=1431758201648561&set=a.416026889888369