วันพุธ, ธันวาคม 17, 2568

งามหน้า เพจเฟชบุ๊ค ม.ธรรมศาสตร์ พาดหัวข่าวไม่ตรงเนื้อหา เรื่อง “ยังไม่ใช่เวลาเจรจาสันติภาพ นักวิชาการ มธ.ชี้ ต้องปกป้องอธิปไตยก่อน” ใครจะรับผิดชอบ

ความผิดพลาดอย่างนี้น่าที่จะได้รับการแก้ไขอย่างเร่งร้อนตั้งแต่เมื่อวานซืนแล้วละ ยังดีที่ อจ.ปริญญา เทวานฤมิตรกุล ออกมารับทราบตั้งแต่บ่ายวานนี้ เกี่ยวกับ “ตัวอย่างพาดหัวและตัวโปรยที่ไม่ตรงกับเนื้อหา” ของเพจเฟชบุ๊ค ม.ธรรมศาสตร์

ที่ว่า “ยังไม่ใช่เวลาเจรจาสันติภาพ นักวิชาการ มธ.ชี้ ต้องปกป้องอธิปไตยก่อน” แล้วก่อนที่จะโดนด่าระบม ก็มีการทักท้วงกันแล้วว่า นักวิชาการสตรีสองท่านที่เป็นองค์ปาฐก คือ อจ.วิไลวรรณ จงวิไลเกษม คณะวารสารศาสตร์ และ อจ.วิไลภรณ์ โคตรบึงแก คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ นั้น

เป็นผู้ที่ยึดมั่นในเรื่องสันติภาพ ไม่ได้ฝักใฝ่สงครามอย่างแน่นอน ถ้าไปอ่านเนื้อหาข่าวให้ครบถ้วนจะเห็นว่า “อาจารย์วิไลวรรณ พูดเรื่อง #ปัญหาการสื่อสารของประเทศไทย ส่วนอาจารย์วิไลภรณ์ก็พูดเรื่อง #ศูนย์อพยพ ที่ต้องดูแลประชาชนหลายแสนคน” อย่างที่ อจ.ปริญญาว่า

ความผิดพลาดอยู่ที่การพาดหัว สำนักข่าวหลายแห่งก็เอาข่าวไปตีพิมพ์ทั้งยวง รวมพาดหัว “โดยไม่สอบทานกับเนื้อหาข้างใน (แล้วแก้ไขพาดหัวก่อนตีพิมพ์)  “แบบนี้เหมือนกันหมด นี่แปลว่าเป็นข่าวแบบส่งให้ มีพาดหัวตัวโปรยให้เสร็จสรรพ”

ข้อเขียนของ อจ.ปริญญาต่อท้ายว่า “ผู้ที่รับผิดชอบดูแลเรื่องนี้ของมหาวิทยาลัยได้โทรมาคุยกับผมแล้ว เรื่องมันซับซ้อนพอสมควร ขอให้กำลังใจทุกฝ่ายให้แก้ปัญหาได้เรียบร้อยโดยดีครับ” อจ.ธนภัทร ชาตินักรบ ที่ถูกพาดพิงด้วย เขียนคอมเม้นต์ยืนยัน

“ด้วยความเคารพ ผมก็ไม่ได้พูดอย่างพาดหัวเลยครับ สามารถดูข้อความในแหล่งต่าง ๆ ในส่วนที่เป็น quote เครื่องหมายคำพูดครับ” แต่ก็มีผู้เข้าไปเม้นต์อีกคนตาคม แค้ปภาพมาแสดงว่า “ต้องไปโทษมหาวิทยาลัย ที่ให้เอเจนซี่ เขียนพาดหัวแบบนี้ แล้วส่งข่าวให้สื่อครับ

นี่ละมังที่เป็นปัญหา และว่า “มันซับซ้อน” จนวันนี้ยังไม่เห็นมีใครแสดงความรับผิดชอบ มีแต่ อจ.Jessada Denduangboripant จากฟากขะโน้น ถามหาคนรับผิดชอบ แล้วว่า “ถ้าเป็นที่จุฬาฯ ผมเสนอลงโทษแอดมินเพจนะครับ”

(https://www.facebook.com/JessadaDenduangboripant/posts/1WtQZkZb และ https://www.facebook.com/prinya.thaewanarumitkul/posts/c9sYT2tNXXx)

เห็นอิทธิฤทธิ์แห่งอำนาจพิเศษของ สว.สีน้ำเงิน ชุดที่เลือกกันเอง ‘ฮั้ว’ กันมา ไหม อำนาจให้ความเห็นชอบผู้ได้รับการเสนอชื่อให้ดำรงตำแหน่งตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ไง

เห็นอิทธิฤทธิ์แห่งอำนาจพิเศษของ สว.สีน้ำเงิน ชุดที่เลือกกันเอง ฮั้ว กันมา ไหม ไอลอว์’ เปิดหลุมที่รัฐธรรมนูญ ๒๕๖๐ หมกเม็ดเอาไว้ ถึงผลแห่งการ ยุบสภา ที่เพิ่งเกิดขึ้น

ขณะที่สภาผู้แทนฯ หมดหน้าที่ ต้องรอการเลือกตั้งใหม่ แต่สำหรับวุฒิสมาชิกยังคงดำรงตำแหน่งต่อเนื่องไป จนกว่าจะครบวาระ ๕ ปี เพียงแค่มีข้อจำกัดในเชิงการปฏิบัติงานบางอย่าง เช่น

ในช่วงยุบสภา วุฒิสภาจะประชุมไม่ได้ (รัฐธรรมนูญ ๒๕๖๐ มาตรา ๑๒๖) ยกเว้น...กรณีที่เป็นการประชุมเพื่อพิจารณาให้บุคคลดำรงตำแหน่งใดตามรัฐธรรมนูญ” ได้แก่

“อำนาจให้ความเห็นชอบผู้ได้รับการเสนอชื่อให้ดำรงตำแหน่งตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ และกรรมการองค์กรอิสระ” แล้วยัง “สามารถประชุมในนาม รัฐสภาได้” ด้วยคือ “กรณีที่เกี่ยวกับการตั้งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ตามรัฐธรรมนูญมาตรา ๑๗ และมาตรา ๑๙”

หรือ “การรับทราบร่างกฎมณเฑียรบาลว่าด้วยการสืบราชสันตติวงศ์ ฉบับแก้ไขเพิ่มเติม ตามมาตรา ๒๐ การพิจารณาให้ความเห็นชอบผู้สืบราชสันตติวงศ์ที่องคมนตรีเป็นผู้เสนอ ตามมาตรา ๒๑” กับกรณีสำคัญยิ่ง

“การให้ความเห็นชอบในการประกาศสงคราม ตามมาตรา ๑๗๗” นี่ละอำนาจนอกเหนืออาณัติที่มาจากประชาชน พวก สว.สีน้ำเงิน ชุดปัจจุบันถึงร้อนตัวกันนักพยายามแทรกแซงการแก้ไขรัฐธรรมนูญไม่ให้มีการตัดอำนาจของพวกตน

เห็นหรือยังว่ามีความจำเป็นอย่างยิ่งยวด จักต้องแก้ไขรัฐธรรมนูญให้องค์กรพิเศษต่างๆ ที่ถูกบรรจุไว้ในรัฐธรรมนูญ ภายใต้อำนาจพิเศษของ สว. ยึดโยงกับประชาชนและระบอบประชาธิปไตยแท้จริง ให้มากที่สุด

(https://www.ilaw.or.th/articles/56469) 

คดีใช้เอกสาร สด.๔๓ ปลอมของ จิรัฏฐ์ ทองสุวรรณ์ ชัดแจ้งตามหลัก Rule of Law ว่าเป็น Entrapment หรือลวงล่อยัดความผิด

คดีใช้เอกสาร สด.๔๓ ปลอมของ จิรัฏฐ์ ทองสุวรรณ์ อดีต สส.พรรคประชาชน ที่โดนคุกไป ๒ ปี ขณะนี้อยู่ระหว่างได้ประกันชั้นอุทธรณ์นั้น ในหลักการกฎหมายสากล หรือ Rule of Law ต้องจัดอยู่ในประเภท Entrapment หรือลวงล่อยัดความผิด

ก่อนอื่นคำตัดสินของศาลไม่ใช่การปลอมแปลงเอกสาร ข้อนั้นศาลจำใจต้องยกฟ้อง เพราะคนที่นำ สด.๔๓ ปลอมมาให้จิรัฏฐ์ (ขณะนั้นชื่อเดิม นวรินทร์) ใช้ เป็น สัสดีซึ่งผู้ที่โดนลวงให้ใช้เอกสารปลอม ไม่ควรต้องรับผิด แต่ศาลก็ยดให้จนได้

การกระทำของจำเลยกระทบต่อความมั่นคง และความปลอดภัยของประเทศชาติ และประชาชน มันเกี่ยวกันได้ยังไง คงต้องไปถาม คิมจองอิลที่เกาหลีเหนือโน่น ศาลไทยอาจไม่เอาอย่างเพราะมีนวรรตกรรมที่เหี้ย มกว่าก็เป็นได้

ลองดูข้อต่อสู้ของเขาสิ “โจทย์ฟ้อง โดยที่ยังไม่ได้เห็นใบ สด.๔๓ ของผมเลย ผมนำเอกสารไปใช้แสดงเพราะเชื่อว่าไม่ไช่เอกสารปลอมแน่นอน...ซึ่งตลอด ๑๓ ปีถึงปัจจุบันผมไม่เคยถูกกองทัพแจ้งความดำเนินคดีในข้อหาไม่ไปรายงานตัว” เลย

“อีกทั้งลายเซ็นเจ้าหน้าที่ในใบ สด.๔๓ ของผม ก็เป็นลายเซ็นเดียวกันกับในเอกสารต้นขั้วที่กองทัพนำมาแสดงเอง” จึงไม่มีอะไรต้องสงสัยว่าเป็นเอกสารปลอม คือถ้ามันปลอมจริง ก็สัสดีนั่นแหละเป็นคนทำ อีกทั้งนายทหารยศพันโทที่ได้รับคำสั่งให้ให้มาดำเนินคดี

มีความมุ่งมั่นและความพยายามมาก เพื่อจะหาหลักฐานมาเอาผิดผมให้จงได้” จึงปรากฏว่าหลักฐานที่ฝ่ายทหารใช้ “ส่วนใหญ่เป็นเอกสารที่ถูกทำลายแล้ว (มีการเจาะรูขนาดใหญ่กลางเอกสาร)”  แต่ถูกสั่งให้เก็บสะสมไว้ “เพื่อประโยชน์ในราชการ ๘ เดือนก่อนเอามาใช้ฟ้อง

ผมรู้สึกว่าถูกกลั่นแกล้งจากรัฐไทย (หลายหน่วยงาน) ที่ทำเรื่องนี้กันอย่างเป็นขบวนการ และมีแบบแผน โดยมีฝ่ายความมั่นคงเป็นหัวเรือใหญ่...คดีนี้ที่ชัดเจนว่าเป็นคดีการเมือง ทั้งกระบวนการฟ้องร้อง รวมถึงคำตัดสินที่ออกมา”

(https://www.facebook.com/TheReportersTH/photos/politics-จิรัฏฐ์/1237918081863558/) 

บาดแผล ‘ทุนเทา’ เลือดยังไม่หยุดไหล ปูดอีก เรียกร้องให้ประธานกรรมการ ก.ล.ต. “ต้องลาออก” เกี่ยวข้องกรณีทำ MOU หมกเม็ด กับ Prime Opportunity Fund

บาดแผล ทุนเทา เลือดยังไม่หยุดไหล อดีต สส.พรรคประชาชน ชัยวัฒน์ สถาวรวิจิตร ออกมาปูดอีก เรียกร้องให้ นายวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ประธานกรรมการ ก.ล.ต. “ต้องลาออก”

เนื่องแต่ การตรวจสอบเครือข่ายฟอกเงินทุนเทา จากขบวนการสแกมเมอร์กัมพูชา “อาจเชื่อมโยงกับนายเบน สมิธ (เบนจามิน เมาเออเบอเกอร์) และนักการเมืองอีกหลายราย” และ “ชื่อของนายวิศิษฏ์ ปรากฏเกี่ยวข้องกับตัวละครสำคัญในเครือข่ายเดียวกันนี้

จากกรณีทำ MOU หมกเม็ด กับ Prime Opportunity Fund VCC ที่จดทะเบียนในสิงคโปร์” ดังนั้นประการแรก “จะเชื่อมั่นได้อย่างไรว่า...นายวิศิษฏ์ได้เป็นประธาน ก.ล.ต. ไม่ใช่ตำแหน่งต่างตอบแทน” และข้อสำคัญเขาบอกว่า

“นี่ไม่ใช่การกล่าวหาว่าใคร ผิดแต่คือ ปัญหาความขัดแย้งทางผลประโยชน์ (conflict of interest) และ ความน่าเชื่อถือของสถาบัน (institution) ที่เป็นผู้กำกับดูแลตลาดทุนไทย” การเรียกร้องให้นายวิศิษฏ์ลาออก มิใช่เพราะเขาถูกตัดสินแล้วว่าผิด

แต่เพื่อ “รักษาความน่าเชื่อถือของ ก.ล.ต. เปิดทางให้การตรวจสอบเป็นอิสระ และ แสดงความรับผิดชอบต่อสาธารณะ” เขายังชี้ว่า “ตลาดทุนไทยขาดความน่าเชื่อถือ ไร้ศรัทธามานานแล้ว ไม่อาจอยู่ใต้เงาความคลางแคลงสงสัยได้อีกต่อไป”

(https://www.facebook.com/ChaiwatPublic/posts/2s5MtGid2a) 

วันอังคาร, ธันวาคม 16, 2568

มีผู้สนับสนุนพรรคประชาชนตัวยงคนหนึ่ง เรียกร้องให้หัวหน้า ‘เท้ง’ ลาออกไปเสีย เหตุผิดพลาด ๒ เรื่อง แต่ก็มีติ่งเด่นๆ หลายคนชี้ ๖ ปี พรรคส้ม ประชาชนมีแต่ได้

อีกไม่ถึงสองเดือนก็จะถึงวันเลือกตั้งทั่วไป ๘ กุมภาพันธ์แล้ว พรรคการเมืองเด่นๆ ต่างเปิดตัวแคนดิเดท นายกฯ ของตนกัน พรรคประชาชนกับเพื่อไทยเปิดรายชื่อครบสาม แต่พรรคภูมิใจไทยและประชาธิปัตย์ยังแค่หมายเลข ๑

เนื่องจากเป็นที่เข้าใจกันว่าไม่ต้องเผื่อเหลือเผื่อขาด อย่างไรเสียคนทั่วไปก็มุ่งหมายเฉพาะตัวเอกเท่านั้น คือ อนุทิน ชาญวีรกูล ของ ภท. และ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ของ ปชป. อ้อ แถมอีกคน ธรรมนัส พรหมเผ่า ของพรรคกล้า (ไม่กลัว) ธรรม

แต่วันนี้ต้องกล่าวถึงพรรคประชาชนเท่านั้นก่อน เนื่องจากมีผู้สนับสนุนพรรคนี้ตัวยงคนหนึ่ง อาจารย์มหาวิทยาลัยพะเยา ไชยันต์ รัชชกูล เขียนเฟชบุ๊คเรียกร้องให้ ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้า ปชน.ลาออกไปเสีย

เหตุด้วยความผิดพลาดสองเรื่อง ที่ไปหนุนกองทัพเผด็จศึกกับกัมพูชา แทนที่จะหาทางออกอย่างสันติ (ไปศาลโลก) กับที่โหวตให้ อนุทิน เป็นนายกฯ แล้วหักหลังฉีกข้อตกลงเอ็มโอเอ ให้ ภท.โหวตขวางร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ ร่วมกับ สว.คงอำนาจ ๑ ใน ๓

ถึงอย่างนั้นก็มีนักวิชาการและสื่อมวลชนเด่นๆ บางคนแสดงปฏิกิริยาไม่เห็นด้วยกับเนื้อหาของโพสต์ดังกล่าว ว่าด่วนตัดสินบุคคล มากกว่าที่จะดูหลักการของพรรคนั้น โดยเฉพาะ ประทีป คงสิบ อดีต ผอ.ข่าวว้อยซ์ทีวี และก่อนหน้านั้นเป็นฝ่ายข่าวไอทีวีสื่อเสรี

ด้วยนามปากกา Tawan Ten เขาเขียนว่า “ยืนยันตรงนี้อีกครั้ง ว่าพรรคประชาชนได้แสดงความรับผิดชอบทางการเมือง อย่างสมเหตุสมผลแล้ว ไม่ว่าจะประเด็นท่าทีต่อ สงครามและประเด็นยังผลักดันแก้ รธน.ไม่สำเร็จ” เขาเชื่อว่า ปชน.ยัง หลังตรง

เป็นพาหนะพาเราและประเทศไทยก้าวไปข้างหน้า ให้ทันโลก” และ “๖ ปีของพรรคส้มบนถนนการเมืองไทย มีแต่สร้างความเปลี่ยนแปลงที่ก้าวหน้า...ปักธงวัฒนธรรมใหม่แล้ว อย่างน้อย ๔ เรื่อง” ได้แก่ ไม่ซื้อเสียง รักษาคำพูด และเห็นหัวประชาชน

ผลงานอันประจักษ์ นอกจากการเปิดโปงขบวนการไอโอกองทัพ แฉเส้นทางส่วยในวงราชการ โดยเฉพาะตำรวจ และกระชากหน้ากากขบวนการทุนเทา จนทำให้สังคมตระหนักชัดว่า เป็นภัยร้ายทั้งต่อไทยและโลก แล้วยังผลักดันกฎหมายใหม่ ๑๔๓ ฉบับ

“บางฉบับผ่านและสร้างความเปลี่ยนแปลง บางฉบับถูกนายกรัฐมนตรีอุ้มหาย ด้วยข้ออ้างกฎหมายการเงิน บางฉบับถูก ครม.เตะถ่วงด้วยข้ออ้างนำไปศึกษา ๖๐ วัน บางฉบับติดอยู่ที่ชั้นกรรมาธิการ บางฉบับติดอยู่ที่ สว. สิ่งสำคัญที่เราผลักดันไม่ใช่ปริมาณกฎหมาย

แต่คือการขับเคลื่อนความเปลี่ยนแปลง ที่เขย่าวาระทางการเมือง เศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม” วันนี้พรรคส้มคัดสรรว่าที่ผู้สมัคร สส.ครบเรียบร้อยแล้ว แม้นว่ามีงานวิเคราะห์ โดยเพจเฟชบุ๊คของ อดิศักดิ์​ ลิมปรุ่งพัฒนกิจ ชี้ว่า

เลือกตั้ง ๖๙ หากพรรค ปชน.ได้ สส.มากที่สุด แต่แค่ ๑๕๑ เสียง โดยมีพรรคภูมิใจไทยไล่ตามติดๆ ๑๒๑ เสียง เพื่อไทยอีก ๑๑๐ เสียง กล้าธรรม ๔๗ และ ปชป. ๓๕ ดูทรงแล้ว “ส้มเป็นฝ่ายค้านอีกแน่ๆ” ทางแก้ให้ได้เป็นรัฐบาลต้องแลนด์สไล้ด์ ๒๗๐ ถึง ๓๐๐ เสียง

(https://www.facebook.com/story.php=25961115003492172&id=100000610801454, https://www.facebook.com/PPLEThai/posts/r4w8WH6fVy และ https://www.facebook.com/tawan.ten/posts/2J6SH4ngfGH6tgY97R) 

ปฏิทินเข้าคูหา 69 : กกต. เคาะวันเลือกตั้ง สส. 8 ก.พ. 69 ไม่พูดถึง "ประชามติ" ในปฏิทิน



กกต. เคาะวันเลือกตั้ง สส. 8 ก.พ. 69 ไม่พูดถึง "ประชามติ" ในปฏิทิน

หทัยกาญจน์ ตรีสุวรรณ
ผู้สื่อข่าวบีบีซีไทย
15 ธันวาคม 2025

คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) มีมติกำหนดให้ 8 ก.พ. 2569 เป็นวันเข้าคูหาเลือกตั้ง สส. ของประชาชนชาวไทย โดยถือเป็นการประกาศวันเลือกตั้งท่ามกลางสถานการณ์การสู้รบตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งมีประชาชน 7 จังหวัดได้รับผลกระทบ

วันนี้ (12 ธ.ค.) นายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ รองนายกรัฐมนตรี พร้อมด้วยเลขาธิการคณะรัฐมนตรี เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา เดินทางไปยังสำนักงาน กกต. ศูนย์ราชการ ถ.แจ้งวัฒนะ เพื่อหารือแนวทางการจัดให้มีการเลือกตั้ง สส. เป็นการทั่วไป พ่วงด้วยการออกเสียงประชามติ

ภายหลังการหารือราว 2 ชม. ทั้งตัวแทนรัฐบาล และ กกต. ไม่ได้ออกมาชี้แจงว่าประชาชนจะได้เข้าคูหาในวันใด

กระทั่งเวลา 16.25 น. สำนักงาน กกต. ได้เผยแพร่เอกสารข่าว ระบุว่า ที่ประชุม กกต. มีมติเห็นชอบร่างแผนการจัดการเลือกตั้ง สส. โดยกำหนดให้วันอาทิตย์ที่ 8 ก.พ. 2569 เป็นวันเลือกตั้ง ทั้งนี้การเปิดรับสมัคร สส. ทั้งแบบแบ่งเขตเลือกตั้ง 400 เขต, รับสมัคร สส.แบบบัญชีรายชื่อ 100 คน และเปิดรับบัญชีรายชื่อผู้เสนอตัวเป็นนายกรัฐมนตรี จะเกิดขึ้นในช่วง 27-31 ม.ค. (ดูรายละเอียดจากปฏิทินด้านล่าง)

อย่างไรก็ตามในเอกสารข่าวของสำนักงาน กกต. ไม่มีการระบุถึงแผนการจัดให้มีการออกเสียงประชามติแต่อย่างใด ขณะนี้จึงยังไม่มีความชัดเจนว่าการออกเสียงประชามติใน 2 ประเด็นจะเกิดขึ้นในวันเดียวกับการเลือกตั้ง สส. ตามที่แกนนำรัฐบาลออกมาเปิดเผยไว้ก่อนหน้านี้หรือไม่ หรือเหตุที่ยังไม่มีปฏิทินประชามติ เพราะต้องรอมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) ส่งคำถามประชามติมาให้ กกต. อย่างเป็นทางการ

ความเคลื่อนไหวนี้มีขึ้นภายหลังนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี และ รมว.มหาดไทย ชิงประกาศ "คืนอำนาจให้ประชาชน" เร็วกว่ากำหนดการเดิมที่ตั้งใจไว้ถึง 1 เดือนครึ่ง เนื่องจากความขัดแย้งภายในรัฐสภาต่อการลงมติผ่านร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญในวาระที่ 2 โดย สส. พรรคภูมิใจไทย (ภท.) ได้ "พลิกมติวิปรัฐบาล" และ "ฉีกข้อตกลง MOA" (Memorandum of Agreement - บันทึกข้อตกลงร่วม) ที่ทำไว้กับพรรคประชาชน (ปชน.) หันไปผนึกกำลังกับ สว. โหวตคว่ำเนื้อหาในมาตรา 256/28 ที่ให้ตัดอำนาจของ สว. ไม่น้อยกว่า 1 ใน 3 ของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของวุฒิสภา ในการผ่านความเห็นชอบร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ทำให้ 2 พรรคใหญ่ในซีกฝ่ายค้าน "แก้เกมกลับ" ด้วยการล่ารายชื่อ สส. เตรียมยื่นญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจคณะรัฐมนตรี (ครม.) ทั้งคณะ แต่ไม่ทันนายกฯ จากพรรคสีน้ำเงินที่ "เดินเกมเงียบ" ทูลเกล้าฯ ถวายร่างพระราชกฤษฎีกา (พ.ร.ฎ.) ยุบสภาไปก่อนหน้าแล้ว

พ.ร.ฎ.ยุบสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2568 ได้รับการประกาศลงราชกิจจานุเบกษาเมื่อ 12 ธ.ค. และกำหนดให้มีการเลือกตั้ง สส. ภายใน 45-60 วันนับจากนั้น

ชนวนแตกหักระหว่างพรรคสีส้มกับสีน้ำเงิน เกิดขึ้นในระหว่างการโหวต "ไม่เห็นชอบ" มาตรา 256/28 ของร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ ตาม กมธ.เสียงข้างมาก (ให้ตัดอำนาจ สว. 1 ใน 3 ในการผ่านร่างรัฐธรรมนูญ) โดยเป็นเงื่อนไขที่ สว. ประกาศ "ยอมไม่ได้"

ภายใต้เงื่อนเวลาทางกฎหมายดังกล่าว การเลือกตั้งทั่วไปอาจเกิดขึ้นได้ในวันที่ 1 ก.พ. 2569 ซึ่งเป็นวันที่ 52 หลังยุบสภา หรือ 8 ก.พ. 2569 ซึ่งเป็นวันที่ 59 หลังยุบสภา

แม้วันเลือกตั้งมีความชัดเจน แต่ทั้ง กกต. และรัฐบาลยังไม่ได้ออกมายืนยันว่าจะจัดให้มีการออกเสียงประชามติพร้อมกันในวันที่ 8 ก.พ. 2569 หรือไม่

บีบีซีไทยขอประมวลข้อกฎหมาย-ข้อเท็จจริง-คำชี้แจงจากปากคำผู้เกี่ยวข้องไว้ ณ ที่นี้

1. วันเลือกตั้ง ยังมีการทำประชามติหรือไม่?

สิ่งสุดท้ายที่บรรดา สส. และ สว. ทำก่อนปิดประชุมรัฐสภา สมัยวิสามัญ เมื่อ 11 ธ.ค. คือการลงมติส่ง "คำถามประชามติ" ไปยัง ครม. เพื่อให้สอบถามประชาชนว่าเห็นด้วยหรือไม่ที่จะให้มีการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่


การประชุมรัฐสภานัดสุดท้าย ก่อนนายกฯ ยุบสภา

หากสิ่งนี้เกิดขึ้นจริง จะถือเป็นการจัดให้มีการออกเสียงประชามติครั้งที่ 3 ของประเทศ แต่เป็นครั้งแรกที่ประชาชนจะได้ลงประชามติพร้อมกับใช้สิทธิเลือกตั้งทั่วไป ภายหลังมีการประกาศใช้พระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ว่าด้วยการออกเสียงประชามติ พ.ศ. 2568 เมื่อ 22 ต.ค. ที่ผ่านมา

กฎหมายฉบับใหม่นี้ระบุว่า หากเห็นว่าวันเลือกตั้ง สส. อยู่ในช่วงเวลาใกล้เคียงกัน อาจกำหนดให้วันออกเสียงประชามติเป็นวันเดียวกับวันเลือกตั้งได้ แต่ต้องอยู่ในช่วง 60-150 วันนับแต่วันที่ได้รับแจ้งจากประธานรัฐสภา

ขณะที่รัฐธรรมนูญ มาตรา 103 กำหนดให้การเลือกตั้ง สส. เกิดขึ้นภายใน 45-60 วันนับแต่วันที่ พ.ร.ฎ.ยุบสภา ใช้บังคับ วันเลือกตั้งนั้นต้องกำหนดเป็นวันเดียวกันทั่วราชอาณาจักร

เมื่อวันเลือกตั้งไม่อาจเกิดขึ้นช้ากว่าวันที่ 60 ได้ ทำให้เกิดคำถามว่าแล้วจะทำประชามติไปพร้อมกันได้หรือไม่

ก่อนเข้าหารือกับผู้จัดการเลือกตั้ง นายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวเพียงว่า "ต้องถาม กกต. แต่ส่วนตัวเห็นว่าทำได้"

ก่อนหน้านี้ เลขาธิการ กกต. ได้ขอเวลาอย่างน้อย 75 วัน "ถึงจะทำงานเรียบร้อย" โดยให้เหตุผลว่า กกต. ต้องเผยแพร่ข้อมูลให้ประชาชนรับรู้และเข้าใจ และเปิดเวทีให้ฝ่ายเห็นด้วยและไม่เห็นด้วยได้แสดงความคิดเห็นในหัวข้อที่ทำประชามติ

2. ทำประชามติกี่เรื่อง ตั้งคำถามว่าอะไร?

ภายหลังยุบสภา นายบวรศักดิ์กล่าวเมื่อ 12 ธ.ค. ว่า คำถามประชามติจะมี 2 ข้อ โดย 1 คำถามคือเรื่องการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ "รัฐสภาส่งมาให้ ครม.เลือก" และอีก 1 คำถามคือเรื่อง MOU ซึ่ง "ครม. สามารถถามได้เอง"

ทว่าเมื่อถูกถามถึงความแตกต่างและผลทางกฎหมายระหว่างคำถามที่ส่งมาจากรัฐสภา กับคำถามที่รัฐบาลตั้งเอง รองนายกฯ ปฏิเสธจะให้คำตอบโดยบอกว่า เรื่องยังไม่เข้า ครม.

ประเด็นแรก การจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่

รัฐสภาส่งคำถามไปยังรัฐบาล 5 คำถาม (จาก สส. 4 พรรค 4 คำถาม และจาก สว. 1 คำถาม) ซึ่งที่ประชุม ครม. 16 ธ.ค. จะมีมติเลือกว่าใช้คำถามไหน จากคำถามเหล่านี้
  • เสนอโดยนายอนุทิน ชาญวีรกูล พรรคภูมิใจไทย: "ท่านเห็นชอบให้มีการจัดทำรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยฉบับใหม่หรือไม่"
  • เสนอโดยนายชูศักดิ์ ศิรินิล พรรคเพื่อไทย: "ท่านเห็นด้วยหรือไม่ที่จะให้มีการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่"
  • เสนอโดย พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง พรรคประชาชาติ: "ท่านเห็นชอบหรือไม่ว่าสมควรมีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่"
  • เสนอโดยนายพริษฐ์ วัชรสินธุ พรรคประชาชน: "ท่านเห็นชอบที่จะมีการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่หรือไม่"
  • เสนอโดย นพ.เปรมศักดิ์ เพียรยุระ สว.: "ท่านเห็นด้วยหรือไม่ที่จะให้มีการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่"

อนุทิน ชาญวีรกูล กล่าวว่า "การยุบสภานั้นเป็นเพราะพรรคประชาชนได้ขอให้ยุบสภา"

ประเด็นที่สอง บันทึกความเข้าใจ (Memorandum of Understanding – MOU) ระหว่างรัฐบาลไทย-กัมพูชา ซึ่งมีอยู่ 2 ฉบับคือ MOU43 ว่าด้วยการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบก และ MOU44 ว่าด้วยพื้นที่ที่ไทยและกัมพูชาอ้างสิทธิในไหล่ทวีปทับซ้อนกัน ด้วย

ครม. อาจใช้คำถามว่า "ท่านจะเห็นชอบ หรือยกเลิก MOU ปีไหนหรือไม่" ตามการเปิดเผยแนวคำถามของนายบวรศักดิ์

3. ภัยสู้รบชายแดน กระทบวันเลือกตั้งหรือไม่อย่างไร

อีกประเด็นสำคัญที่อาจส่งผลกระทบต่อการจัดการเลือกตั้ง หนีไม่พ้น สถานการณ์การสู้รบตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ทำให้เกิดคำถามว่าหากการปะทะยังยืดเยื้อ จะจัดให้มีการเลือกตั้งได้หรือไม่ใน 7 จังหวัดชายแดน หรือถ้าต้องเลื่อน จะทำให้การเลือกตั้ง "เป็นโมฆะ" หรือไม่ เพราะไม่พร้อมกันทั่วราชอาณาจักร

เกี่ยวกับเรื่องนี้ นายแสวง บญมี เลขาธิการ กกต. ชี้แจงผ่านเฟซบุ๊กของเขาว่า การเลือกตั้งวันเดียวพร้อมกันทั่วราชอาณาจักรเป็นไปตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ มาตรา 102 หากจัดไม่พร้อมกัน จะยังผลให้การเลือกตั้ง "เป็นโมฆะ" คือ เสียเปล่า ไม่มีผลบังคับตามกฎหมายตั้งแต่แรก นั่นหมายความว่า เสียหาย สูญเปล่า ทั้งในแง่ผลการเลือกตั้ง เสียเวลาของผู้เกี่ยวข้อง เสียงบประมาณของหลวง เงินทอง ทรัพย์สินของเอกชน ผู้สมัคร พรรคการเมือง และเสียโอกาสในการพัฒนาประเทศ

อย่างไรก็ตามกรณี "เกิดเหตุจำเป็น" นายแสวงบอกว่า ในทางกฎหมายมีทางออกอยู่แล้ว เพื่อทำให้การเลือกตั้งเป็นวันเดียวกันทั่วราชอาณาจักร

รัฐธรรมนูญ มาตรา 104 ระบุว่า ในกรณีที่มีเหตุจำเป็นอันมิอาจหลีกเลี่ยงได้ เป็นเหตุให้ไม่สามารถจัดการเลือกตั้งตามที่ กกต. ประกาศกำหนดไว้ กกต. จะ กำหนดวันเลือกตั้งใหม่ก็ได้ แต่ต้องจัดให้มีการเลือกตั้งภายใน 30 วันนับแต่วันที่เหตุดังกล่าวสิ้นสุดลง

นายแสวงยังเปิดเผยแนวทางปฏิบัติตามกฎหมายเอาไว้ 2 แนวทาง
  • เลือกตั้งตาม "วันเดิม" ตามมาตรา 103 ของรัฐธรรมนูญ คือเลือกตั้งภายใน 60 วันหลังมีการยุบสภา (ไม่เลื่อนวันเลือกตั้งออกไป หรือไม่กำหนดวันเลือกตั้งใหม่) โดยใช้หลักการ "นำคูหา (ผู้มีสิทธิ) ไปหาหน่วย" ซึ่งเป็นการบริหารจัดการในสถานการณ์พิเศษหรือพื้นที่พิเศษ แต่ยังมีข้อจำกัดทางกฎหมายอยู่
  • เลือกตั้งตาม "วันที่กำหนดขึ้นใหม่" ตามมาตรา 104 ของรัฐธรรมนูญ กรณีมี "เหตุจำเป็น" แต่ต้องจัดการเลือกตั้งภายใน 30 วันนับแต่เหตุจำเป็นนั้นสิ้นสุดลง
ชาวสระแก้วต้องอพยพไปใช้ชีวิตในศูนย์พักพิงชั่วคราว ท่ามกลางการปะทะกันระหว่างทหารไทยและกัมพูชาระลอกใหม่ที่เริ่มต้นตั้งแต่ 7 ธ.ค.

ข้อมูลจากกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ระบุว่า ขณะนี้มีประชาชนกว่า 2.57 แสนคนในพื้นที่ 7 จังหวัดชายแดน ต้องอพยพไปใช้ชีวิตภายในศูนย์พักพิงชั่วคราว นับจากเกิดเหตุปะทะชายแดนที่เริ่มต้นเมื่อ 7 ธ.ค.

ในพื้นที่ 7 จังหวัดนี้มี สส. รวมกัน 45 คน แบ่งเป็น พื้นที่อีสานใต้ 4 จังหวัด รวมยอด สส. 38 คน ได้แก่ อุบลราชธานี 11 คน, บุรีรัมย์ 10 คน, ศรีสะเกษ 9 คน, สุรินทร์ 8 คน และพื้นที่ภาคตะวันออก 3 จังหวัด รวมยอด สส. 7 คน ได้แก่ สระแก้ว 3 คน, จันทบุรี 3 คน, ตราด 1 คน

ปฏิทินเข้าคูหา 69

ตามร่างแผนการจัดการเลือกตั้ง สส. ที่เผยแพร่ออกมา ในรูปแบบของปฏิทินการเลือกตั้ง สส. ไม่ปรากฏข้อมูลเรื่องการเสียงประชามติในหัวข้อใดเลย
  • 12 ธ.ค. พ.ร.ฎ.ยุบสภา มีผลใช้บังคับ
  • 15 ธ.ค. ที่ประชุม กกต. เห็นชอบร่างแผนการจัดการเลือกตั้ง สส. โดยวันเดียวกันนี้จะมีการออกประกาศ 5 ฉบับที่เกี่ยวข้อง ในจำนวนนี้คือประกาศกำหนดวันเลือกตั้ง สส. วันรับสมัคร สส. 2 ระบบ และสถานที่รับสมัคร และประกาศจำนวน สส.แบบแบ่งเขตเลือกตั้งที่แต่ละจังหวัดพึงมี และจำนวน สส.เขตของแต่ละจังหวัด
  • 20 ธ.ค.-5 ม.ค. 2569 ลงทะเบียนขอใช้สิทธิเลือกตั้งล่วงหน้า (ในเขต/นอกเขต/นอกราชอาณาจักร
  • 27-31 ธ.ค. รับสมัคร สส.แบบแบ่งเขตเลือกตั้ง ณ สถานที่ที่ ผอ.เลือกตั้งประจำเขตเลือกตั้งประกาศกำหนด
  • 28-31 ธ.ค. รับสมัคร สส.แบบบัญชีรายชื่อ (เฉพาะพรรคท่าง สส.แบบเขตแล้วเท่านั้น) และให้พรรคการเมืองแจ้งรายชื่อบุคคลที่จะแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี ณ รร.เซ็นทารา ไลฟ์ ศูนย์ราชการและคอนเวนชัน เซ็นเตอร์ ถ.แจ้งวัฒนะ กทม.
  • 7 ม.ค. 2569 ประกาศบัญชีรายชื่อผู้สมัคร สส.แบบแบ่งเขต และ สส.แบบบัญชีรายชื่อ
  • 1 ก.พ. 2569 วันลงคะแนนเลือกตั้งล่วงหน้าในเขตเลือกตั้ง และนอกเขตเลือกตั้ง
  • 8 ก.พ. 2569 วันเลือกตั้ง สส.
  • 9 เม.ย. 2569 วันสุดท้ายที่ กกต. ประกาศผลการเลือกตั้ง สส.
ที่มา: บีบีซีไทยสรุปจากร่างแผนการจัดการเลือกตั้ง สส. ซึ่ง กกต. มีมติเห็นชอบเมื่อ 15 ธ.ค.

https://www.bbc.com/thai/articles/c0jevx83dq8o



ตำนานของ "เตี่ย" ที่ถูกลบ... 'พ่อบรรหาร'รู้ก็คงเสียใจ



บันทึกมนุษย์แบตเสื่อม เรื่องราวชีวิตของผู้หญิงมองบวก
Yesterday
·
ตำนานของ "เตี่ย" ที่ถูกลบ... ด้วย"ตีน"ของ "ลูกชาย"

(เมื่อมังกรยอมสยบให้งูเห่า จุดจบของสัจจะ และกำแพงสีน้ำเงินที่ปิดตายแผ่นดิน)

ณ ทุ่งราบลุ่มแม่น้ำท่าจีน เคยมีตำนานเล่าขานถึง "มังกรตัวเล็ก" ผู้มีฝีเท้าคล่องแคล่วและวาจาฉะฉาน ชายร่างเล็กที่ใครต่อใครค่อนขอดว่าเป็น "ปลาไหล" ผู้พลิกพลิ้ว...

แต่ในวาระสุดท้ายแห่งอำนาจ มังกรตัวนั้นกลับเลือกที่จะ "หยุดเลื้อย" แล้วยืนหยัดต้านทานพายุด้วยกระดูกสันหลังที่แข็งแกร่งที่สุด...

"เตี่ย" บรรหาร ศิลปอาชา สร้างตำนานที่ยิ่งใหญ่กว่าหอคอยบรรหารแจ่มใส ไม่ใช่ด้วยคอนกรีต แต่ด้วย "สัจจะ" ...

เมื่อปี 2540 เขาเลือกที่จะ "ฆ่าตัวตายทางการเมือง" ยอมหักดิบพรรคร่วม ยอมขัดใจมิตรสหาย เพื่อคลอด "รัฐธรรมนูญฉบับประชาชน" ออกมาให้แผ่นดิน แม้รู้เต็มอกว่ากติกานั้นจะกลับมาบั่นคอตัวเองในภายหลัง...

"ผมเสียใจ แต่ไม่น้อยใจ" ... วลีนั้นคือตราประทับความเป็นรัฐบุรุษของชายผู้สร้างเมืองสุพรรณให้กลายเป็นอาณาจักรที่ไม่มีใครกล้าแตะต้อง...

...รอยแผลจาก "ศิษย์ทรยศ"...

แต่ตำนานของเตี่ย มีรอยด่างพร้อยที่เจ็บปวดที่สุดรอยหนึ่ง... รอยเขี้ยวของ "งูเห่า" ที่เขาเลี้ยงไว้กับอก
ในวันที่มังกรเพลี่ยงพล้ำ ศิษย์เอกที่ชื่อ "เนวิน ชิดชอบ" และพลพรรคกลุ่ม 16 เลือกที่จะใช้มีดสั้นปักหลังผู้มีพระคุณ บีบให้เตี่ยต้องหลั่งน้ำตา ลาออก และยุบสภาในที่สุด...

วันนั้น... เตี่ยเจ็บปวดจากการทรยศ
แต่วันนี้... วิญญาณของเตี่ยอาจต้องร่ำไห้หนักกว่าเดิม เมื่อเห็นสิ่งที่ "ลูกชาย" กำลังตัดสินใจทำ...

...การตัดสินใจที่ผิดพลาดเมื่อทายาทขายวิญญาณ...

กงล้อประวัติศาสตร์หมุนวนมาด้วยตลกร้ายที่แสบสันต์ที่สุด "วราวุธ ศิลปอาชา" ทายาทผู้รับมอบคทาอำนาจ ตัดสินใจนำพาอาณาจักรสุพรรณบุรีที่เตี่ยสร้างมาด้วยเลือดเนื้อ ไปวางใส่พานถวายให้กับ "พรรคภูมิใจไทย" ...

พรรคที่เป็นร่างอวตารของชายคนที่เคยแทงข้างหลังเตี่ยเมื่อ 30 ปีก่อน
ด้วยข้ออ้างแห่งความอยู่รอด ด้วยความกลัวที่จะสูญเสียอำนาจให้กับกระแสสีส้มหรือแดง ทายาทมังกรยอมลดตัวลงเป็นเพียง "อิฐก้อนหนึ่ง" ในกำแพงของศัตรู...

เขายอมลบชื่อชั้นของ "พรรคชาติไทย" ที่เคยเป็นผู้กำหนดเกม ยอมทิ้งแบรนด์ "สัจจะกตัญญู" เพื่อแลกกับร่มเงาของ "พรรคน้ำเงิน" ที่ไร้อุดมการณ์แต่มากด้วยกระสุน...

...กำแพงสีน้ำเงินจากตะวันตกจรดตะวันออก...

การสยบยอมของบ้านใหญ่สุพรรณ และบ้านใหญ่นครปฐม ไม่ใช่แค่การย้ายพรรค แต่มันคือการก่อสร้าง "กำแพงเมืองจีนสีน้ำเงิน" The Great Blue Wall ที่น่าสะพรึงกลัวที่สุด !!!

จากทิศตะวันตก (สุพรรณบุรี/นครปฐม)

พาดผ่านที่ราบลุ่มภาคกลาง (อุทัยธานี/ชัยนาท)

เลื้อยยาวไปจนสุดทิศตะวันออก (ชลบุรี/ฉะเชิงเทรา)

ภูมิใจไทยได้สถาปนาตนเองเป็น "เจ้าของภาคกลางและตะวันออก" อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด ปิดตายประตูเมืองไม่ให้ "ประชาธิปไตย" หรือ "การเปลี่ยนแปลง" เล็ดลอดเข้ามาได้...

พวกเขาสร้างอาณาจักรใหม่ที่ขับเคลื่อนด้วย "ระบบอุปถัมภ์ 5G" ... ใครอยากได้ถนน ใครอยากได้น้ำ ต้องก้มหัวให้สีน้ำเงินเท่านั้น!!!

...เงาที่จางหายของมังกร...

ช่างน่าขันและน่าสมเพช...

เตี่ยบรรหารเคยสร้าง "รัฐธรรมนูญ 40" เพื่อมอบอำนาจให้ประชาชน
แต่ลูกหลานกลับไปซบ "ระบอบภูมิใจไทย" ที่เติบโตมาจากการทำลายเจตนารมณ์นั้น และใช้ช่องโหว่ของกฎหมายเพื่อสืบทอดอำนาจ...

ตำนานของเตี่ย... ผู้ยอมตายเพื่อให้ประชาธิปไตยงอกงาม
กำลังถูกลบเลือนด้วยลายเซ็นของลูก... ผู้ยอมศิโรราบให้ระบอบมาเฟียเพียงเพื่อรักษาเก้าอี้...

ในอนาคต เมื่อผู้คนมองไปยังหอคอยบรรหารแจ่มใส พวกเขาอาจไม่ได้เห็นความภาคภูมิใจของคนสุพรรณอีกต่อไป...

แต่จะเห็นเพียง "อนุสรณ์สถานแห่งความพ่ายแพ้" ที่เตือนใจว่า...

แม้แต่เสือที่ดุร้าย หรือมังกรที่ยิ่งใหญ่ ก็ยังต้องแพ้พ่ายให้กับ "หนู" ที่กัดกินแผ่นดินจนพรุน และลูกหลานที่ไร้กระดูกสันหลัง...

https://www.facebook.com/photo/?fbid=26198540506400983&set=a.809669739048076








นารากร ติยายน
4 hours ago
·
This man speaks English extremely well, with a Cambridge-level accent. He would be better suited to being an English teacher.

https://www.facebook.com/reel/900614782629072


เริ่มละ เราไม่เอาสงคราม#ไม่รบก็สงบได้ #ยืนหยุดสงคราม #nowar ที่มหาวิทยาลัยขอนแก่น"ถ้าคุณรับผิดชอบชีวิตคนอื่นไม่ได้ ถ้าคุณรับผิดชอบครอบครัวหลังความตาEของเขาไม่ได้อย่าปากดีผลักคนอื่นไปตาEแทนเลยค่ะ"


ดวงทิพย์ ฆารฤทธิ์ 
11 hours ago
·
เริ่มละ เราไม่เอาสงคราม #ยืนหยุดสงคราม หน้า มข. #ไม่รบก็สงบได้ #nowar




ดวงทิพย์ ฆารฤทธิ์ 
December 13
·
ช่วงเวลา 10.39 น. มีตำรวจโทรมาถามว่าพรุ่งนี้จะจัดกิจกรรมช่วงห้าโมงได้แจ้งชุมนุมหรือยัง ด้วยความเป็นห่วงพี่แกเลยบอกว่าให้มาแจ้งชุมนุมไว้ก่อนดีไหม เราเลยยืนยันไปว่ากิจกรรมพรุ่งนี้ไม่ใช่การชุมนุม แค่ชวนคนมายืนเฉยๆ ประมาณหนึ่งชั่วโมงแล้วก็แยกย้าย พี่มาไหม
.
ตร.ถามต่อว่าไม่ได้จัดในนามกลุ่มอะไรใช่ไหม เราเลยบอกว่า ไม่ค่ะ ไม่ได้จัดในนามอะไร แค่มายืนเฉยๆ #ยืนหยุดสงคราม











นทท.ต่างชาติ แห่ยกเลิกบุ๊กกิ้งแล้ว 40% หลังเหตุปะทะชายแดนไทย-เขมร นายกฯ ส.รร.ตราด หวั่นกระทบยาว
https://www.matichon.co.th/region/news_5505424



ความจริงที่โหดร้าย "สงครามคือเกมของคนรวย แต่คือหลุมฝังศพของคนจน" (Rich Man's War, Poor Man's Fight)


คุณบุญรอด - 𝑴𝒊𝒔𝒔 𝑩𝒐𝒐𝒏𝒓𝒂𝒘𝒅
Yesterday
·
ความจริงที่โหดร้าย "คนรวยก่อสงคราม แต่ให้คนจนไปรบแทน" (Rich Man's War, Poor Man's Fight)

นี่คือจุดที่ย้อนแย้งที่สุด คนระดับผู้นำ มักเป็นคน "ตัดสินใจรบ" เพราะได้ผลประโยชน์ต่างๆที่ซ่อนเร้น แต่ว่าลูกหลานของพวกเค้า กลับไม่ต้องไปรบแนวหน้า ในขณะที่กลุ่ม 'คนจน' คือกลุ่มที่ต้อง "ไปตาย" ในสนามรบ หรือบ้านแตกสาแหรกขาด เป็นกลุ่มแรกเมื่อกระสุนตก

ความจริงในกองทัพหลายๆชาติ ก็มีลูกท่านหลานเธอที่มีนามสกุลดัง มักถูกดึงตัวไปอยู่หน่วยสนับสนุน, งานเอกสาร, งานข่าวกรอง หรืออยู่ในกองบัญชาการ ที่ปลอดภัย ส่วนงานที่ต้องแบกปืนเดินลาดตระเวนเหยียบกับระเบิด หรืองานเสี่ยงตายที่สุด มักตกเป็นของทหารเกณฑ์ หรือชั้นประทวนแทน

วลี "Rich Man's War, Poor Man's Fight" (สงครามของคนรวย แต่คนจนต้องไปรบ) มีที่มาจากประวัติศาสตร์ "สงครามกลางเมืองอเมริกา" และ "สงครามเวียดนาม" ที่ลูกหลานคนจน ไม่มีอภิสิทธิ์ที่จะหนี หรือ ผ่อนผันทหาร ดหมือนลูกหลานคนมีเงิน พวกเขามีแต่ต้องก้มหน้าเดินเข้าสมรภูมิ เหมือนไปตายแทนลูกคนรวยๆ และผู้มีอำนาจ

"คนที่มีอำนาจตัดสินใจเริ่มสงคราม มักเป็นคนที่ไม่ต้องแบกปืนไปเสี่ยงตายเอง"

https://www.facebook.com/photo/?fbid=1437361447751353&set=a.608422097311963




Pipob Udomittipong 
11 hours ago
·
คนในประเทศที่ผ่านสงครามมามากมาย เขารู้ว่าสงครามไม่ได้เป็นคำตอบแต่อย่างใด มีแต่ความสูญเสีย และผลประโยชน์ของผู้มีอำนาจเท่านั้น #ไทยกัมพูชา

Katsuyuki Takahashi
12 hours ago
·
孤食で寂しいけれど、爆音ではなく、食器の音が響く、誰もが安全に、十分に食事をとれる世界を。
Eating alone can be lonely, but we hope for a world where everyone can eat safely and sufficiently, with the sound of dishes clinking rather than explosions.
กินข้าวคนเดียวรู้สึกเหงา แต่เราหวังว่าโลกนี้จะเป็นโลกที่ทุกคนสามารถกินอาหารได้อย่างปลอดภัยและเพียงพอ โดยมีเสียงจานช้อนกระทบกันแทนที่จะเป็นเสียงระเบิดครับ




การแสดงบทเหยื่อของ เขมร ได้ผลอย่างที่ไทยคาดไม่ถึง หรือคาดคิดไว้แล้วแต่ก็ล้มเหลวในการรับมือมาโดยตลอด ทำให้สายตาชาวโลกในตอนนี้ มองไทยเป็น "ปีศาจ (Monster)" แห่งสงครามไปแล้ว รัฐบาลไทย และคนไทย ลองคิดให้จงหนักว่าจะเดินหน้าลงสู่หุบเหวของความเสียหายและความเสื่อมเสียในสายตาชาวโลก อยู่ต่อไปหรือไม่

https://www.facebook.com/reel/1522296995495288

Jom Petchpradab
2 hours ago
·
การแสดงบทเหยื่อของ เขมร ได้ผลอย่างที่ไทยคาดไม่ถึง หรือคาดคิดไว้แล้วแต่ก็ล้มเหลวในการรับมือมาโดยตลอด ... ทำให้สายตาชาวโลกในตอนนี้ มองไทยเป็น "ปีศาจ (Monster)" แห่งสงครามไปแล้ว. เพราะ ท่าทีอันแข็งกร้าวของ คุณอนุทิน ชาญวีรกุล นายกรัฐมนตรีไทย ที่ยืนยันจะไม่เจรจรา ไม่สร้างสันติภาพ จนกว่ากัมพูชาจะเป็นฝ่ายหยุดก่อน ซึ่งไม่มีทางที่จะเกิดขึ้นได้ที่คู่ขัดแย้งฝ่ายหนึ่งจะสั่งให้อีกฝ่ายทำ หรือไม่ทำอะไรได้. และด้วยเงื่อนไขอันแข็งกร้าวของฝ่ายไทยนี่เอง ที่จะยิ่งจะไปเข้าทาง และเสริมส่งให้ การเล่น บทเหยื่อ ของกัมพูชาในสายตาชาวโลกยิ่งสมบทบาทและได้รับความเห็นอกเห็นใจมากขึ้น รวมทั้งพลังการสื่อสารผ่านโลกโซเชี่ยลที่ชาวกัมพูชาทั้งในประเทศและต่างประเทศต่างก็ออกมา รวมพลัง รณรงค์เผยแพร่เรียกร้องสันติภาพให้กับกัมพูชา เชิญชวนชาวโลกให้กดดัน บอยคอต และประนามไทยด้วยแล้วด้วยแล้ว ก็ยิ่งจะเพิ่มน้ำหนักให้เห็นว่า ความต้องการของไทยที่หวังทำสงครามเพื่อหยุดยั้งภัยคุกคามจากกัมพูชาก็ยิ่งจะล้มเหลว หรือพบกับความพ่ายแพ้ในที่สุดก็มีความเป็นไปได้มากกว่ามาก...
รัฐบาลไทย และคนไทย ...ลองคิดให้จงหนักว่าจะเดินหน้าลงสู่หุบเหวของความเสียหายและความเสื่อมเสียในสายตาชาวโลก อยู่ต่อไปหรือไม่



ทำไมประเทศไทยไม่เจริญ ทำไมประเทศไทยไม่พัฒนา ลองดูคลิปนี้

https://www.facebook.com/reel/1366729254921818



ปลดสบงไปทรงอาวุธ อยากบอกน้องเณรว่า ในภาวะสงคราม เรายังมีกรอบกติกาของกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ ซึ่งถือเป็นหลักประกันขั้นต่ำของ "ความเป็นมนุษย์" ที่ประเทศคู่สงครามทุกฝ่ายต้องยึดถือ อย่าลืมความเป็นมนุษย์นะจ๊ะ 😅


Wara Chanmanee
9 hours ago
·
ปลดสบงไปทรงอาวุธ อย่าลืมความเป็นมนุษย์นะจ๊ะ

วันนี้เห็นข่าวน้องเณรผ้าเหลืองร้อน ปลดสบงไปทรงอาวุธ อันนั้นก็แล้วแต่ความสมัครใจของน้องเณร แต่อยากจะบอกน้องเณรที่เพิ่งออกจากวัดว่า แม้แต่ในภาวะสงคราม ก็ยังต้องรักษาความเป็นมนุษย์ ไม่ใช่ถอดความเป็นมนุษย์ทิ้งไปกับสบง (มนุสส (บาลี) มนุษย (สันสกฤต) มาจาก มนุ แปลว่า ใจ และอุสส แปลว่า สูง เลิศ ประเสริฐ)

อยากบอกน้องเณรว่า ในภาวะสงคราม เรายังมีกรอบกติกาของกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ ซึ่งถือเป็นหลักประกันขั้นต่ำของ "ความเป็นมนุษย์" ที่ประเทศคู่สงครามทุกฝ่ายต้องยึดถือ การละเมิดกรอบกติกาเหล่านี้ ถือเป็นอาชญากรรมสงคราม (War Crimes) และอาจนำไปสู่การรับผิดชอบทางอาญาระหว่างประเทศต่อผู้บัญชาการและผู้กระทำความผิด

ในภาวะสงคราม มีกรอบกติกาหรือกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ (International Humanitarian Law - IHL) หรือกฎหมายว่าด้วยการขัดกันด้วยอาวุธ (Law of Armed Conflict - LOAC) ที่ประเทศคู่สงครามจะต้องยึดถือและปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด เพื่อจำกัดผลกระทบของสงครามและบรรเทาความทุกข์ทรมานของมนุษย์

การปฏิบัติตาม IHL ไม่ได้แปลว่าการสูญเสียจะไม่เกิดขึ้น แต่เป็นการสร้างเส้นแบ่งที่ไม่สามารถก้าวข้ามได้ระหว่างการสู้รบที่ชอบด้วยกฎหมายและความป่าเถื่อน เพื่อให้มั่นใจว่าแม้ในช่วงเวลาที่เลวร้ายที่สุดของมนุษย์ หลักการของความเคารพต่อชีวิตและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ยังคงอยู่

กรอบกติกานี้ไม่ได้ห้ามการทำสงครามโดยสิ้นเชิง แต่มีวัตถุประสงค์หลักสองประการคือ การปกป้องคุ้มครอง (Protection) และการจำกัด (Limitation)

กฎหมาย IHL มีรากฐานมาจากสนธิสัญญาและกฎหมายจารีตประเพณี โดยเฉพาะอย่างยิ่ง อนุสัญญาเจนีวา (Geneva Conventions) ปี ค.ศ. 1949 และพิธีสารเพิ่มเติม (Additional Protocols) ซึ่งกำหนดหลักการสำคัญที่ประเทศคู่สงครามต้องปฏิบัติตาม อาทิ

ประเทศคู่สงครามต้องแยกแยะอย่างชัดเจน ระหว่างนักรบและพลเรือน รวมถึงระหว่างเป้าหมายทางทหารและทรัพย์สินของพลเรือน

การโจมตีจะต้องมุ่งเป้าไปที่เป้าหมายทางทหารเท่านั้น และการโจมตีพลเรือนหรือทรัพย์สินของพลเรือนเป็นสิ่งที่ต้องห้ามอย่างเด็ดขาด

ในการโจมตีทางทหารที่ชอบด้วยกฎหมายนั้น ความสูญเสียโดยบังเอิญต่อพลเรือน หรือความเสียหายต่อทรัพย์สินของพลเรือน จะต้องไม่มากเกินไป เมื่อเทียบกับความได้เปรียบทางทหารที่คาดว่าจะได้รับจากการโจมตีนั้น

ในส่วนของการใช้กำลังทหาร อนุญาตให้ใช้เฉพาะกำลังที่จำเป็นและได้สัดส่วนต่อการบรรลุเป้าหมายทางทหารที่ชอบด้วยกฎหมายเท่านั้น แต่ต้องไม่ขัดต่อกฎหมาย IHL

ที่สำคัญ ห้ามมิให้สร้างความทุกข์ทรมานหรือความเสียหายที่ไม่จำเป็นต่อบุคคล ไม่ว่าจะเป็นนักรบที่บาดเจ็บหรือเชลยศึก

เชลยศึก หรือนักรบที่ถูกจับกุม ต้องได้รับการปฏิบัติตามอนุสัญญาเจนีวาฉบับที่ 3 ซึ่งกำหนดให้ต้องได้รับการคุ้มครองจากความรุนแรง การข่มขู่ การถูกทำร้าย และต้องได้รับการดูแลทางการแพทย์และอาหารที่เหมาะสม ห้ามการทรมานหรือการบังคับให้เปิดเผยข้อมูลเกินกว่าชื่อ ยศ วันเกิด และหมายเลขประจำตัว

ในส่วนของพลเรือน ต้องได้รับการคุ้มครองตามอนุสัญญาเจนีวาฉบับที่ 4 โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่ถูกยึดครอง พวกเขาต้องไม่ถูกใช้เป็นโล่มนุษย์ ต้องไม่ถูกเนรเทศ หรือถูกบังคับให้เป็นทาส สิ่งอำนวยความสะดวกที่จำเป็นต่อการอยู่รอดของพลเรือน เช่น โรงพยาบาล สถานพยาบาล โรงเรียน และเขื่อน ต้องได้รับการคุ้มครองเป็นพิเศษ

ในส่วนของผู้บาดเจ็บและผู้ป่วย ทั้งนักรบและพลเรือนที่บาดเจ็บและป่วยไข้จะต้องได้รับการดูแลและรักษาพยาบาลโดยไม่เลือกปฏิบัติ บุคลากรทางการแพทย์ หน่วยแพทย์ และยานพาหนะทางการแพทย์ (ที่ใช้สัญลักษณ์กาชาด/เสี้ยววงเดือนแดง) ต้องได้รับการเคารพและคุ้มครองตลอดเวลา และห้ามมิให้ถูกโจมตี

ในระหว่างความขัดแย้งระหว่างประเทศหรือสงคราม สิ่งที่ต้องรักษาไว้คือหลักการมนุษยธรรม และความเป็นมนุษย์ ซึ่งต้องสูงส่งกว่าผลประโยชน์ชาติหรืออื่นใดทั้งหมด การรักษาความเป็นมนุษย์ให้สูงส่งกว่าผลประโยชน์ใดๆ ในภาวะสงคราม ไม่ได้เป็นเพียงเรื่องอุดมคติเท่านั้น แต่เป็นรากฐานที่ค้ำจุนระบบกฎหมายระหว่างประเทศ และเป็นเครื่องวัดความศิวิไลซ์ของสังคมมนุษย์

หากประเทศคู่สงครามปล่อยให้ผลประโยชน์ชาตินำทางแต่เพียงอย่างเดียว โดยไม่มีกรอบกติกามนุษยธรรมควบคุม ความขัดแย้งนั้นจะกลายเป็นความป่าเถื่อนที่ไม่มีขีดจำกัด นำไปสู่การสูญเสียที่ใหญ่หลวงและยากจะเยียวยาในระยะยาว

อย่าลืมว่าแม้เขาเป็นศัตรูของเราในสงคราม เราก็ยังต้องรักษาความเป็นมนุษย์ในตัวเรา และเขาก็เป็นมนุษย์เหมือนกันกับพวกเรา
 
https://www.facebook.com/photo/?fbid=25338845479107413&set=a.362066027212037




“ผมที่ยังมีชีวิตอยู่ ก็ยังต้องต่อสู้ในเส้นทางนี้ต่อไป” จดหมาย ‘บัสบาส” จากเรือนจำ ในคืนวันก่อนฟังคำพิพากษาฎีกา


ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน
12 hours ago
·
“ผมที่ยังมีชีวิตอยู่ ก็ยังต้องต่อสู้ในเส้นทางนี้ต่อไป” จดหมาย ‘บัสบาส” จากเรือนจำ ในคืนวันก่อนฟังคำพิพากษาฎีกา
.
.
อาทิตย์ต้นเดือนธันวาคม 2568 ทนายความเข้าเยี่ยม “บัสบาส” มงคล ถิระโคตร ผู้ต้องขังคดีมาตรา 112 ที่เรือนจำกลางเชียงราย ก่อนหน้ากำหนดนัดฟังคำพิพากษาของศาลฎีกา เมื่อวันที่ 11 ธ.ค. 2568 ที่ผ่านมา
.
การเข้าเยี่ยมครั้งนี้ เพื่ออัปเดตนัดฟังคำพิพากษาฎีกาที่จะมาถึง ซึ่งบัสบาสยังไม่ทราบนัดมาก่อน เขาฝากให้แจ้งครอบครัวของเขา เพื่อจะได้เดินทางมาร่วมฟังคำพิพากษาด้วย และเขาหวังว่าตัวเองจะถูกนำตัวไปที่ศาล ไม่ใช่การอ่านคำพิพากษาผ่านวิดีโอคอนเฟนเรนซ์เหมือนในคดีก่อนหน้านี้ ซึ่งต่อมา เขาได้ถูกเบิกตัวไปฟังคำพิพากษาที่ศาล
.
เขาบอกว่าเหมือนกับพอรู้ล่วงหน้าว่าผลลัพธ์ไม่น่าจะต่างจากเดิม แต่ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร เขาก็ยังพยายามมีความหวังอยู่เสมอ
.
.
ปัญหาเรื่องการบดยา และความแออัดของเรือนจำ
.
บัสบาสบอกว่าช่วงนี้ เขาพยายามทำใจกับความเศร้า เรื่องการเสียชีวิตของเพื่อนสนิท โดยเขาไม่ได้มีโอกาสออกไปพบเจอก่อนต้องจากกันไกล และทำให้เขากังวลต่อเรื่องสุขภาพของคนในครอบครัว ส่วนสุขภาพตอนนี้ก็โอเคแล้ว หลังฟื้นฟูมาจากช่วงอดอาหารประท้วง
.
บัสบาสยังเล่าถึงการรับยาซึมเศร้าของเขาในเรือนจำ ว่าไม่รู้เพราะอะไร ในช่วงหลังทางเรือนจำได้บดยาให้ละเอียดมากกว่าปกติ ทำให้อาจจะไม่สามารถกินยาได้เต็มเม็ดเต็มหน่วย กินได้ปริมาณไม่ครบอย่างที่ควรจะเป็น เขาเข้าใจว่าทางเรือนจำกังวลเกี่ยวกับความปลอดภัยในการใช้ยา การให้ยาเป็นเม็ดอาจจะทำให้ผู้ต้องขังนำยาไปเก็บไว้เพื่อใช้ไปในทางผิดวัตถุประสงค์ แต่การแก้ไขปัญหาแบบนี้ ก็ทำให้ผู้ต้องขังที่ป่วยไม่สามารถรับยาในปริมาณที่ครบถ้วนได้ อาจส่งผลต่อการรักษาโรคของผู้ขังได้
.
บัสบาสยังบอกถึงสถานกาณณ์ในเรือนจำ ว่าตอนนี้ค่อนข้าง “แออัดมาก” เนื่องจากมีผู้ต้องขังที่เข้ามาใหม่ใน แดน 1 จำนวนมาก และเข้ามาแทบทุกอาทิตย์ อาทิตย์ละหลายคน ทำให้การกินการอยู่ยากลำบากขึ้น โดยปกติเรือนนอนห้องหนึ่งมีผู้ต้องขังอยู่ได้ประมาณ 25 คน ซึ่งที่หน้าห้องก็ติดป้ายไว้อย่างชัดเจนว่าอยู่ได้ 25 คน แต่ก่อนหน้านี้ นอนกันห้องละประมาณ 30-35 คน ก่อนในช่วงนี้ เขาพบว่าผู้ต้องขังเพิ่มขึ้นเป็นห้องละประมาณ 40 คนแล้ว
.
บัสบาสเล่าว่าความแออัด ทำให้แต่ละคนต้องนอนตะแคง ไม่สามารถนอนเหยียดตรงได้ แม้ทางเรือนจำจะระบายผู้ต้องขังออกไปจากแดน 1 บ้าง แต่ไม่กี่วันก็มีผู้ต้องขังใหม่เข้ามาเติมอีก ทำให้ไม่สามารถลดจำนวนผู้ต้องขังในแต่ละห้องได้เลย และคิดว่าอาจจะแออัดขึ้นเรื่อย ๆ อีกด้วย
.
ในส่วนอากาศในภาคเหนือที่หนาวเย็น บัสบาสบอกว่าทางเรือนจำได้มีการแจกผ้าห่มเพิ่มให้คนละ 1 ผืน รวมทั้งมีการแจกเสื้อกันหนาวบางส่วน แต่มีจำนวนน้อยกว่าผู้ต้องขังที่มี ทำให้มีแต่บางแดนที่ได้รับ แต่แดน 1 ทั้งหมดไม่ได้รับแจก รวมทั้งตัวเขา
.
บัสบาสทิ้งท้ายว่า ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น อยากให้เพื่อน ๆ ส่งกำลังใจให้กัน และสามารถเขียนจดหมายมาถึงเขาได้ เขาอยากอ่านจดหมายจากโลกภายนอก
.
.
จดหมายจากเรือนจำ: ผมที่ยังมีชีวิตอยู่ ก็ยังต้องต่อสู้ในเส้นทางนี้ต่อไป
.
ในช่วงก่อนวันฟังคำพิพากษาศาลฎีกา ทนายความยังได้รับจดหมายที่ส่งออกมาจากเรือนจำของบัสบาส โดยจดหมายไม่ได้ลงวันที่ แต่คาดว่าเขียนในกลางเดือนพฤศจิกายน 2568
.
————————————
.
สวัสดีครับ จดหมายนี้กว่าจะเขียนได้ ผมต้องทำใจอยู่พักใหญ่ ผมได้รับข่าวร้ายจากคุณพ่อที่แกเข้ามาตีเยี่ยมที่เรือนจำได้บอกกับผมว่า เพื่อนสนิทเพื่อนรักที่เหลืออยู่คนเดียวได้ตายไปเสียแล้ว ที่เคยคิดอะไรด้วยกันฝันอะไรด้วยกัน ตอนนี้มันจบทุกอย่างแล้ว ไร้การบอกลาไร้การเห็นหน้า แต่ความรู้สึกของผมทุกวันนี้เหมือนเขาไม่ได้จากไปไหน และเพื่อนผมคนนี้มีชื่อเล่นว่า “อั๋น”
.
ก่อนเข้าเรือนจำผมก็เตรียมตัวเตรียมใจต่าง ๆ ไว้แล้ว แต่เรื่องคนใกล้ตัวเสียชีวิต ผมไม่ได้เตรียมใจมาก่อน ในนามของนักต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย มันไม่หอมหวาน สู้จริง เจ็บจริง เส้นทางนี้ต้องใช้ความอดทนอย่างสูงต่อเรื่องเปราะบางและเรื่องหนัก ๆ ผมอยากให้เปิดเพลงบิน – วงพรู นั่นคืออารมณ์ของผมตอนนี้ ในส่วนตัวผมที่ยังมีชีวิตอยู่ ก็ยังต้องต่อสู้ในเส้นทางนี้ต่อไป
.
“มองข้างหน้าอย่างมีความหวัง มองข้างหลังอย่างมีบทเรียน” ในตัวผมตอนนี้ได้ใส่โซ่ตรวน แต่ใกล้ได้ถอดแล้ว จากเหตุการณ์อะไรทางเพจศูนย์ทนายคงได้ลงข่าวไปแล้ว ลองไปอ่านดูกันนะครับ
.
ส่วนจดหมาย นาน ๆ ที ผมจะส่งทีนึง เนื่องจากอารมณ์ “ติ๊ส” ของผมเอง ผมยังเข้มแข็ง ไร้การเจ็บป่วย ตอนนี้ที่เชียงรายอากาศหนาวแล้ว ก็มีการแจกผ้าห่มเพิ่มคนละผืนสำหรับแดน 1 ทุกคนก็รักษาร่างกายกันด้วยนะครับ
.
หลังจากนี้ ผมจะพยายามเขียนจดหมายอัพเดตชีวิตผม คนข้างในยังสู้อยู่ คนข้างนอกก็อย่าหยุดสู้นะครับ สุดท้ายนี้อยากให้ทุกคนดูแลคนที่รักให้เต็มที่ทุก ๆ วัน จะได้ไม่เสียใจทีหลัง
.
(ตัวหนังสือใหญ่) ก่อนวันสุดท้ายของชีวิต มักเป็นวันธรรมดาเสมอ ไม่ว่าท้องฟ้าจะเป็นสีอะไร ประชาชนย่อมเป็นใหญ่เสมอ
.
——————————–
.
วันที่ 11 ธ.ค. 2568 ศาลฎีกามีคำพิพากษาแก้โทษในคดีของบัสบาส จากจำคุก 50 ปี เป็นจำคุก 46 ปี โดยยังนับได้ว่าเป็นโทษจำคุกในคดีมาตรา 112 ที่สูงที่สุดเป็นประวัติการณ์ ขณะนี้ บัสบาสถูกคุมขังมาเป็นเวลาเกือบ 1 ปี 11 เดือนแล้ว
.
.
อ่านเนื้อหาและดูภาพจดหมายของบัสบาสบนเว็บไซต์ https://tlhr2014.com/archives/80593

ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน

สามารถเขียนจดหมายถึงบัสบาส ส่งแบบลงทะเบียน จ่าหน้าซอง: “ฝากถึง มงคล ถิระโคตร แดน 1 เรือนจำกลางเชียงราย เลขที่ 222 หมู่ 3 ตำบลดอยฮาง อำเภอเมือง จังหวัดเชียงราย 57000”
หรือเขียนจดหมายออนไลน์ผ่านโครงการ Free Ratsadon โดยแอมเนสตี้อินเตอร์เนชั่ลแนล https://freeratsadon.amnesty.or.th/


https://www.facebook.com/photo/?fbid=1267143598589441&set=a.656922399611567