คดีนี้ถ้าไปถึงที่สุดให้ยกเลิกโครงการฯ จะทำให้ชาวบ้านถูก “ลดโอกาสการเข้าโรงพยาบาลครั้งแรก ลดเวลาด้านการฟื่นฟูสุขภาพ และลดภาระเจ้าหน้าที่ระดับปฏิบัติงานที่หน้างานในโรงพยาบาล” ดร.ษัษฐรัมย์ เขียนเตือนไว้บนหน้าทวิตเตอร์
“การยื่นฟ้องของแพทยสภา มีเป้าหมายเพื่ออะไร” เขาถาม ซึ่งเรื่องนี้เกี่ยวข้องโดยตรงกับโครงการ ‘Common Illness’ ซึ่ง “กลุ่มผู้ป่วย ๑๖ อาการ รับยาที่ร้านยาคุณภาพ โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย” ได้ แต่แพทยสภาบอกว่าไม่ถูกต้อง
แรกฟ้องต่อศาลปกครองกลาง ศาลฯ ไม่รับฟ้อง จึงอุทธรณ์ต่อไปยังศาลปกครองสูงสุด ซึ่งแจ้งรับฟังคดีเมื่อ ๘ ตุลาคมที่ผ่านมา โดยมีสำนักงานประกันสุขภาพฯ และสภาเภสัชกรรมเป็นผู้ถูกกล่าวหา รายละเอียดเนื้อหาคดีมี ‘เภสัชกรปราโมทย์’ เขียนเล่า
บทความ “สงครามเสื้อกาวน์” โดย ‘หมอยาเล่าเรื่อง’ วันนี้ท้าวความถึงโพสต์ความเห็นของแพทย์คนหนึ่ง ว่ากระบวนการสั่งยานั้น แพทย์ผู้สั่งต้องผ่านการเรียนหลักสูตรและฝึกฝน อย่างน้อยๆ ๖ ถึง ๑๑ ปี บางสาขาต้องมีการสอบผ่านด้วย
“โรคร้ายแรงแทบทุกโรค ล้วนเริ่มต้นด้วยอาการเล็กน้อยแทบทั้งสิ้น การไม่พยายามวินิจฉัยแยกโรค โดยปราศจากเหตุอันสมควร” นอกจากผิดจริยธรรมแล้ว ยังเป็นอันตรายต่อคนไข้ แพทย์ผู้นั้นอ้าง ทว่า นพ.สมศักดิ์ เทียมเก่า ผอ.รพ.ศรีนครินทร์ เห็นต่าง
ยืนยันว่า “เจตนารมณ์โครงการดังกล่าว (จ่ายยาชุมชน) หากแพทย์ร่วมมือเภสัชกร จะช่วยให้ผู้ป่วยได้รับการรักษาที่ดี รวดเร็ว ไม่เสียค่าใช้จ่าย ลดความแออัดใน รพ.ได้” ด้านเจ้าของคอลัมน์ ‘หมอยาเล่าเรื่อง’ อ้างอีกอย่างว่าแวดวงเภสัชกรเสนอข้อคิดเห็น
“เริ่มเรียกร้องระบบใบสั่งยาแบบในต่างประเทศ เพื่อให้ผู้ป่วยได้รับการวินิจฉัยที่ถูกต้อง อีกทั้งลดภาระงานของเภสัชฯ” เนื่องจากระบบสาธารณสุขของไทยได้พัฒนาขึ้นมากแล้ว ระบบ “คนไข้จะซื้อยาได้ ต้องได้ใบสั่งจากแพทย์ทุกกรณี” ต้องมี
ศาลปกครองฯ จะเดินต่ออย่างไร ผู้ลงทะเบียนใช้สิทธิหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า ๖๖ ล้านคน ควรติดตามกันไว้ให้ทันต่อเหตุการณ์ ดังที่ ดร.ษัษฐรัมย์เคยพูดไว้ ให้ผู้ประกันสังคมทุกคนเข้าไปมีส่วนร่วมคอยจับตา และ/หรือเสนอแนะอยู่เสมอ
(https://www.blockdit.com/posts/672f5862833369b1294bf595 และ https://x.com/sustarumT/status/1855434010106945886)
