วันศุกร์, กันยายน 19, 2568

'ครูใหญ่เนวิน'ลุยเอง ดูด'บ้านใหญ่' ยึดปักษ์ใต้ ยุทธศาสตร์อัปเกรด‘ภูมิใจไทย’ ภายใต้บริบทส้มแพ้ แดงแพ้ แต่ “เน-win”


เนชั่นสุดสัปดาห์ NationWeekend
September 15
·
ผ่ายุทธศาสตร์อัปเกรด‘ภูมิใจไทย’ ขยายอาณาจักร‘บ้านใหญ่’ สร้างกระแส โกยปาร์ตี้ลิสต์ เร่งสร้างฐาน 4 เดือนยุบสภาฯ ต่อยอด 4 ปีนายกฯสมัยสอง

การจัดสรรตำแหน่งใน “ครม.อนุทิน” ลงตัวเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์แล้ว รายชื่อ “รัฐมนตรี” ถูกส่งให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี (ครม.) ตรวจสอบคุณสมบัติอย่างเข้มข้น เพื่อป้องกันข้อครหาที่สุ่มเสี่ยงผิดกฎหมาย ไม่เปิดช่องว่างให้ “ขั้วแค้น” นำไปกล่าวหาร้องเรียน

เอกสารหลายสิบหน้าที่ “ว่าที่รัฐมนตรี” จะต้องกรอกค่อนข้างละเอียดยิบ ก่อนจะส่งให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกว่า 10 หน่วยงานตรวจสอบ ส่งผลให้ “ครม.อนุทิน” ล่าช้ากว่ากำหนดการที่วางเอาไว้ คาดการณ์กันว่าภายในสัปดาห์นี้อาจจะแล้วเสร็จ

อย่างไรก็ตาม หากจับสัญญาณจากการวางตัว - วางคน ให้ดำรงตำแหน่ง “รัฐมนตรี” จะพบการวางเกมเหนือชั้นของ “ครูใหญ่” เนวิน ชิดชอบ ผู้นำจิตวิญญาณของพรรคภูมิใจไทย ไม่ใช่การส่งให้ “เสี่ยหนู” อนุทิน ชาญวีรกูล นั่งเก้าอี้นายกฯแค่ 4 เดือน แต่เป็นการวางเกมต่อยอดการเลือกตั้งครั้งหน้า เพื่อครองอำนาจรัฐอีก 4 ปี

จากเดิมที่ “เนวิน - ภูมิใจไทย” วางยุทธศาสตร์ให้เป็น “พรรขนาดกลาง” ไม่ใหญ่จนเกินตัว เพราะจะสุ่มเสี่ยงต่อการถูกหมายหัวจ้องจะโค่นล้ม แต่เมื่อเกมไหลเข้าทาง “ครูใหญ่” จึงต้องขยายอาณาจักรสีน้ำเงินให้เข้มแข็ง และยิ่งใหญ่มากขึ้นกว่าเดิม รองรับคอนเนกชันหลากหลายระดับ ทั้ง “วีวีไอพี - วีไอพี” จนถึงระดับเครือข่ายฐานราก

จึงไม่แปลกที่ “ครม.อนุทิน” จะแบ่งโควตาออกเป็น 2 ประเภท 1.โควตาคนการเมือง 2.โควตาคนนอก โดยทั้งสองโควตาต่างเสริมศักยภาพให้ “เครือข่ายสีน้ำเงิน” แข็งแกร่งขึ้น

โดย “โควตาคนการเมือง” สำหรับ “ภูมิใจไทย” ตรวจรายชื่อแล้วเกือบทั้งหมดตอบแทน “กลุ่มนายทุน - บ้านใหญ่” ภายในพรรค คนที่เคยนั่งเก้าอี้รัฐมนตรีในครม.เศรษฐา - ครม.แพทองธาร มาตามนัดไม่หลุดจากโผเดิม แต่ที่เพิ่มเติมคือการอัปเกรดเก้าอี้ใหญ่ขึ้น

ยกตัวอย่าง “พิพัฒน์ รัชกิจประการ” ว่าที่รมว.คมนาคม บ้านใหญ่สายภาคใต้ “สุรศักดิ์ พันธ์เจริญวรกุล” ว่าที่รมว.การอุดมศึกษาฯ บ้านใหญ่อยุทธยา “ซาบีดา ไทยเศรษฐ์” ว่าที่รมว.วัฒนธรรม บ้านใหญ่อุทัยธานี “ภราดร ปริศนานันทกุล” ว่าที่รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี บ้านใหญ่อ่างทอง เป็นต้น

ขณะเดียวกันยังตอบแทน “บ้านใหญ่” ที่เคยสัญญาใจกันเอาไว้ว่าหากกวาด สส. ยกจังหวัด จะตอบแทนเก้าอี้รัฐมนตรี แม้ก่อนหน้านี้จะปล่อยปละละเลย เนื่องจากโควตาเก้าอี้เสนาบดีมีไม่มากพอ

ปรากฏชื่อ “ศศิธร กิตติธรกุล” ประธานเขตพื้นที่ภาคใต้ฝั่งอันดามันสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย บุตรสาวของ “สมศักดิ์ กิตติธรกุล” นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดกระบี่ หรือ “โกหงวน” ผู้มากบารมี จ.กระบี่ ซึ่ง “ภูมิใจไทย” กวาด สส.ยกจังหวัด มีชื่อนั่งรมช.มหาดไทย

เช่นเดียวกับการบริหารจัดการนอกพรรคภูมิใจไทย “เนวิน” ทอดไมตรีไปยัง “สันติ พร้อมพัฒน์” เลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ มอบ 2 โควตาแบ่งเป็น 1 รมว. (พัฒนา พร้อมพัฒน์ ว่าที่รมว.สาธารณสุข) และ 1 รมช. (วรโชติ สุคนธ์ขจร ว่าที่รมช.สาธารณสุข)

“เนวิน” ดีดลูกคิดแล้วคุ้มเสียยิ่งกว่าคุ้ม แม้จะเสีย 2 เก้าอี้รัฐมนตรี แลกกับ 6 สส. + แต้มปาร์ตี้ลิสต์ จาก “สันติ พร้อมพัฒน์” และ “นายกด๊อยซ์” อัครเดช ทองใจสด นายก อบจ.เพชรบูรณ์ ที่รับปากกันแล้วว่าการเลือกตั้งรอบหน้าจะย้ายมาสังกัด “พรรคภูมิใจไทย”

นอกจากนี้ ยังเลือกส่งโควตาให้ “กลุ่มสส.ภาคใต้” พรรคพลังประชารัฐ โดย “ทวี สุระบาล” สส.ตรัง และ “สุธรรม จริตงาม” สส.นครศรีธรรมราช รวบรวมขุนพลได้ 6 เสียง ส่งชื่อ “สันติ ปิยะทัต” กรรมการผู้จัดการ บริษัท เค.ซี.พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด(มหาชน) นั่งเก้าอี้รัฐมนตรี

การตอบแทน “บ้านใหญ่” ภายในพรรค และ “บ้านใหญ่” นอกพรรค เป็นยุทธศาสตร์ของ “เนวิน” ที่ต้องการขับเคลื่อนให้ “ภูมิใจไทย” มีความพร้อมการเลือกตั้งแบบเขตมากยิ่งขึ้น

อีกทางหนึ่ง “เนวิน” รู้ดีว่าที่ผ่านมา “ภูมิใจไทย” เป็นพรรคไม่มีกระแส ทำให้พลาดเป้าเก้าอี้ สส.ปาร์ตี้ลิสต์ ซึ่งยังเป็นจุดอ่อนที่ต้องแก้ไข หากต้องการเพิ่มจำนวน สส. ในสภาฯ

การจัดตั้ง “รัฐบาลเสียงข้างน้อย” ไม่ต้องตอบแทน “พรรคการเมือง” มากนัก จึงมีเก้าอี้รัฐมนตรีเหลือให้บริการจัดการ “ครม.อนุทิน” จึงมีโควตา “รัฐมนตรีคนนอก” จำนวนมาก โดยจะเข้ามายึดหัวหาดกระทรวงสำคัญทางเศรษฐกิจ

โดยที่ผ่านมา “อนุทิน” เปิดตัว “บวรศักดิ์ อุวรรณโณ” อดีตประธานคณะกรรมการยกร่างรัฐธรรมนูญ จะมารับตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี ด้านกฎหมาย “เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ” เป็นรองนายกรัฐมนตรี ด้านเศรษฐกิจ รมว.คลัง “วรภัค ธันยาวงษ์” เป็น รมช.คลัง

“อรรถพล ฤกษ์พิบูลย์” อดีตประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) เป็น รมว.พลังงาน “ศุภจี สุธรรมพันธุ์” ซีอีโอกลุ่มบริษัทดุสิตธานี เป็น รมว.พาณิชย์ “สีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว” อดีตปลัดกระทรวงการต่างประเทศ เป็น รมว.การต่างประเทศ

ต้องยอมรับว่า “โควตารัฐมนตรีคนนอก” ในครม.อนุทิน มีเสียงตอบรับในเชิงบวกจากเกือบทุกภาคส่วนของสังคม โดยเฉพาะแวดวงธุรกิจที่รู้จักฝีไม้ลายมือของ “ว่าที่รัฐมนตรี” อย่างดี

เมื่อโจทย์ของ “เนวิน - ภูมิใจไทย” คือการกระชากเรตติ้งพรรค เพื่อเก็บแต้ม สส.ปาร์ตี้ลิสต์ จึงจำเป็นต้องใช้บริการมืออาชีพด้านเศรษฐกิจให้มาทำคลอดนโยบายเร่งด่วน 4 เดือน

โฟกัสหลักจะอยู่ที่นโยบาย “คนละครึ่ง” เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้น กระชากคะแนนนิยมก่อนการเลือกตั้ง และต้องจับตานโยบายอื่นที่จะสามารถดำเนินการอย่างเร่งด่วนได้ทันที

เป้าหมายของ “เนวิน - ภูมิใจไทย” ไม่ใช่แค่ “พรรคขนาดกลาง” แต่ต้องอัปเกรดให้เป็น “พรรคใหญ่”

ย้อนไปในช่วงก่อร่างสร้างตัว เลือกตั้งทั่วไป 3 ก.ค. 2554 ลงเลือกตั้งครั้งแรกได้ สส. 34 คน แบ่งเป็นเขต 29 คน บัญชีรายชื่อ 5 คน ครั้งนั้นภูมิใจไทยมี “ชวรัตน์ ชาญวีรกูล” บิดาของ “อนุทิน” เป็นหัวหน้าพรรค แต่พ่ายแพ้ต่อพลังกระแส “ทักษิณ” และ “คนเสื้อแดง”

ด้วยแบรนด์พรรคภูมิใจไทยยังไม่แข็งแรง เพราะด้วยภาพที่ถูกมองจากคนอีสานว่า “ทรยศ” ต่อ “ชินวัตร” ทำให้ “ภูมิใจไทย” ต้องตกที่นั่งเป็นฝ่ายค้าน ประเดิมสนามเลือกตั้งครั้งแรก

เลือกตั้งทั่วไป 24 มี.ค. 2562 “อนุทิน” นั่งตำแหน่งหัวหน้าพรรค เป็นแคนดิเดตนายกฯ กวาด สส.เข้าพรรคสีน้ำเงินได้ 51 ที่นั่งจาก 500 ที่นั่ง แบ่งเป็น สส.เขต 39 คน บัญชีรายชื่อ 12 คน ด้วยคะแนนบัตรเลือกตั้งมีเพียง 1 ใบ ทำให้ พรรคภูมิใจไทยได้คะแนนทั้งประเทศ 3,734,459 แต้ม

ครั้งนั้นได้ “เสี่ยหนู” ปฏิเสธดีลจากพรรคเพื่อไทยให้เป็นนายกฯ ด้วยการเลือกเข้ารับตำแหน่งรัฐมนตรีในรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา

เลือกตั้งทั่วไป 14 พ.ค. 2566 “อนุทิน” นำพรรค ได้ สส. 71 ที่นั่ง แบ่งเป็น สส.เขต 68 คน บัญชีรายชื่อ 3 คน โดยคะแนนปาร์ตี้ลิสต์มาเป็นพรรคลำดับ 3 ได้ 1,138,202 คะแนน กระทั่งเปิดดีลพลิกขั้วหลัง “แพทองธาร ชินวัตร” หลุดเก้าอี้นายกฯ สามารถรวบรวมเสียง สส.เสียงข้างน้อยได้ 146 เสียง บวกกับเสียงพรรคประชาชน 143 เสียงโหวตขึ้นเป็นนายกฯ ได้สำเร็จ

หากไล่ดูพัฒนาการ “พรรคน้ำเงิน” ตั้งแต่ปี 2554 แน่นอนว่า ฐานเสียงของพรรค ที่มี “ครูใหญ่” อย่าง “เนวิน ชิดชอบ” เป็นมันสมองและกุนซือ จะมีฐานเสียงหลักอยู่ที่อีสาน รวมทั้งยังได้แต้ม สส.เขตในภาคกลางและภาคเหนือตอนล่างบางจังหวัด

ปี 2562 พรรคครูใหญ่ ยังคงกินแต้มอีสานส่วนใหญ่ จากภาคอีสานโดยเฉพาะอีสานใต้ จ.บุรีรัมย์ ยกจังหวัด ภาคกลาง จากกลุ่มท้องถิ่นนิยม หรือบ้านใหญ่ และเป็นครั้งแรกที่พรรคสามารถกวาด สส.ภาคใต้ แย่งชิงฐานเสียงจากพรรคประชาธิปัตย์ไปได้จากการกำกับของ “พิพัฒน์ รัชกิจประการ”

ปี 2566 พรรคภูมิใจไทย ขยับยอด สส.จากพรรคขนาดกลาง ขึ้นไปในทางพรรคขนาดใหญ่ คือได้ สส.เกือบหลักร้อย สามารถยึดฐานที่มั่นเดิม จ.บุรีรัมย์ได้ยกจังหวัด ภาคกลาง ภาคอีสานตอนบน ภาคใต้ ที่ได้เพิ่มขึ้น

จึงไม่แปลกที่ “ครูใหญ่” จะประกาศความพร้อมกลางงานวันเกิดของตัวเอง เมื่อวันที่ 4 ต.ค.2565 ผลักดัน “อนุทิน” ขึ้นเป็นนายกฯ ภายใต้ยอด สส. 120 ที่นั่ง

ขณะที่พรรคเพื่อไทย กระแสตกต่ำไม่อาจขึ้นมานำเป็นหัวขบวนร่วมกับปีกอนุรักษ์ได้เหมือนปี 2566 มีโอกาสสูง ที่จะลดขนาดเป็นพรรคต่ำกว่าหลักร้อย

สอดคล้องกับ สวนดุสิตโพล เผยแพร่ บทวิเคราะห์ผลโพล : ความคาดหวังต่อพรรคการเมืองไทย ณ วันนี้ เมื่อวันที่14 ก.ย. 2568 จากการสำรวจกลุ่มตัวอย่าง 1,238 คน ระหว่าง 9-12 ก.ย. 2568 ซึ่งเป็นห้วงที่ “อนุทิน” ขึ้นสู่ตำแหน่งนายกฯ อย่างเป็นทางการ

โดยผลสำรวจระบุถึงกรณีหากมีการเลือกตั้ง ณ วันนี้ โดยร้อยละ 23.9 จะเลือกพรรคประชาชนมากที่สุด อันดับ 2 กลุ่มที่ยังไม่ตัดสินใจ ร้อยละ 21.35 ส่วนพรรคภูมิใจไทยได้อันดับ 3 ร้อยละ 14.2 รองลงมาเป็นพรรคเพื่อไทย ร้อยละ 11.6 พรรคพลังประชารัฐ ร้อยละ 10.39

โอกาสปัจจัย ทำให้ “ภูมิใจไทย” จะทะยานขึ้นสู่พรรคขนาดใหญ่คือ สส.ไม่ต่ำกว่าหลัก 100 เสียง คือจะต้องช่วงชิงแต้มจาก “พรรคเพื่อไทย” ที่เป็นพรรคหลักร้อยให้ได้มากที่สุด ซึ่งโอกาสนี้พรรคน้ำเงินเป็นต่อในแง่มีอำนาจรัฐอยู่ในมือของพรรคน้ำเงินในระหว่างเลือกตั้ง

ยังไม่นับรวมการวางตำแหน่งภาพลักษณ์ของพรรคที่เน้นไปทางพรรคท้องถิ่น ใช้พลังจัดตั้งจากบ้านใหญ่คะแนนจัดตั้งที่เข้มแข็งในแต่ละซุ้ม เข้ามาอยู่ในพรรค ทำให้ “พรรคสีน้ำเงิน” นับวันยิ่งเติบโตขึ้น ขณะที่ พรรคนายใหญ่ค่ายแดง กลับสวนทาง ดิ่งลงในเรื่องแต้มนิยมทางการเมือง

อย่างไรก็ตาม จุดชี้วัดการเป็นพรรคแกนนำจัดตั้งรัฐบาล จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องช่วงชิงกระแส ซึ่งจะต้องไม่อาศัยพลังกระสุนในเขตเลือกตั้งอย่างเดียวด้วย

ปฏิเสธไม่ได้ว่า “พรรคน้ำเงิน” ไม่เคยเป็นพรรคกระแสเลยตลอด 3 การเลือกตั้งใหญ่ แต่เที่ยวนี้ “ครูใหญ่”หวังปลุกปั้นให้ภูมิใจไทยเป็นพรรคใหญ่ ชิงแต้มจากขั้วพรรคอนุรักษนิยม ซึ่งรวมกันอยู่ที่พรรคเพื่อไทย พรรครวมไทยสร้างชาติ 4.7 ล้านเสียง พรรคพลังประชารัฐ 537,625 เสียง พรรคประชาธิปัตย์ 925,349 เสียง เมื่อปี 2566 เป็นคะแนนก้อนใหญ่ ซึ่งไม่ใช่แค่พรรคน้ำเงินเท่านั้นที่จะแย่ง แต่ยังต้องจับตาพรรคการเมืองใหม่ที่จะเกิดขึ้นในช่วงยุบสภาด้วย

หากคะแนนเหล่านี้ พลิกมาเทให้ “ภูมิใจไทย” ได้เป็นกอบเป็นกำ ย่อมมีโอกาสชิงนำหัวขบวนอนุรักษ์จะมาอยู่ที่พรรคน้ำเงินทันที ผลเลือกตั้งปี 69 เท่านั้นคือคำตอบ

นาทีนี้จึงไม่แปลกใจ ทำไม “ภูมิใจไทย” ถึงเลือกรัฐมนตรีคนนอกที่มีภาพลักษณ์ดี รวมทั้งเตรียมเข็นคนละครึ่งภาคใหม่ ขึ้นมาช่วงชิงกระแส ท่ามกลางเกมนับถอยหลังยุบสภาใน 4 เดือน แต่หวังต่อยอดไปอีก 4 ปี เปิดประตูสู่นายกฯ สมัย 2 ของ “อนุทิน” ภายใต้บริบทส้มแพ้ แดงแพ้ แต่ “เน-win”

https://www.facebook.com/photo/?fbid=1232051125619022&set=a.649316940559113






https://x.com/naewna_news/status/1968596426134356418