
“อานนท์ นำภา” เป็นทนายในคดี 112 ขอเบิกตัว พล.อ.ประยุทธ์ เป็นพยาน กรณีปราศรัย 19 กันยายน 2563
กันยายน 29, 2025
Isaan Record
ทนายอานนท์ นำภา ขึ้นศาลซักพยานโจทก์ ฝั่งตำรวจในคดีมาตรา 112 กรณีปราศรัยในการชุมนุม 19 กันยาทวงอำนาจคืนราษฎร เมื่อปี 2563
โดยขอเบิกตัว พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา องคมนตรี เป็นพยานในศาลเพื่อถามว่า ได้แถลงข่าวกรณีในหลวงแก้ไขรัฐธรรมนูญหลังผ่านประชามติจริงหรือไม่
การสืบพยานฝ่ายโจทก์ครั้งนี้ใช้เวลากว่า 6 ชั่วโมง ท่ามกลางผู้สนใจเข้าร่วมฟัง โดย ศ.ดร.ธงชัย วินิจจะกูล อดีตนักวิชาการคณะประวัติศาสตร์ ม.วิสคอนซิน แมดิสัน สหรัฐฯ ร่วมสังเกตการณ์ด้วย
“กร๊อง แกร๊ง ๆ ๆ ๆ”
เป็นเสียงเครื่องพันธนาการที่ข้อเท้าทั้งสองข้างของ “อานนท์ นำภา” ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนที่เดินออกจากลิฟท์ (พิเศษ) บริเวณชั้น 8 ศาลอาญา รัชดาภิเษก กรุงเทพฯ
เขาเดินนำหน้านักโทษทางการเมือง อาทิ จตุภัทร์ บุญภัทรรักษา หรือ ไผ่ ดาวดิน อรรถพล บัวพัฒน์ หรือ ครูใหญ่ ที่ถูกนำตัวจากศาลภูเขียว จ.ชัยภูมิ หลังถูกตัดสินจำคุกในการปราศรัยหน้า สภ.ภูเขียว เรียกร้องให้ปฏิรูปสถาบันฯ มายังเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ตั้งแต่วันที่ 23 กันยายน 2568 เพื่อขึ้นศาล
อานนท์ต้องโทษจำคุกเป็นเวลา 2 ปี 8 เดือน จากความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 และมาตรา 116 จากกรณีปราศรัยในการชุมนุม #เสกคาถาผู้พิทักษ์ปกป้องประชาธิปไตยหรือม็อบแฮร์รี่ พอตเตอร์ บริเวณหน้าร้านแมคโดนัลด์ อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย เมื่อวันที่ 3 สิงหาคม 2563
วันที่ 25 กันยายนที่ผ่านมา เขาถูกจำคุกเป็นเวลา 2 ปีเต็ม
คราวนี้เขาปรากฏตัวที่ศาลในฐานะทนายและจำเลยที่ 2 จากการชุมนุม #19กันยาทวงอำนาจคืนราษฎรที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ ต่อเนื่องสนามหลวงใน 3 ข้อหา คือ หมิ่นสถาบันฯ ตามมาตรา 112, ยุยงปลุกปั่นตามมาตรา 116 และ มั่วสุมตั้งแต่ 10 คนขึ้นไปทำให้เกิดความวุ่นวายตามมาตรา 215 โดย พ.ต.อ.วรศักดิ์ พิสิษฐบรรณกร ผู้กำกับ สน.ชนะสงคราม เป็นผู้กล่าวหา
คดีนี้มีจำเลย 22 คน ถูกฟ้องร้องด้วยข้อหาตามมาตรา 112 จำนวน 7 คน ส่วนอีก 15 คน ถูกฟ้องในคดีอื่น ๆ จำเลยคนที่ 1 ในคดีนี้ คือ พริษ ชิวารักษ์ หรือ เพนกวิน ขณะนี้ลี้ภัยทางการเมืองในต่างประเทศ
ระหว่างการพิจารณาคดี มี ศ.ดร.ธงชัย วินิจจะกูล อดีตนักวิชาการคณะประวัติศาสตร์ ม.วิสคอนซิน แมดิสัน สหรัฐฯ ร่วมสังเกตการณ์ด้วย
ตำรวจปราบฝูงชนเป็นผู้กล่าวหาคดี 112
พ.ต.อ.วิวัฒน์ พึ่งอุทัยศรี อดีต ผกก.ควบคุมฝูงชน 2 หนึ่งในพยานโจทก์เบิกความว่า หลังจากศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งยุบพรรคอนาคตใหม่ เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2563 เกิดความไม่พอใจของนักศึกษา ประชาชน มีการประท้วงในรั้วโรงเรียนและมหาวิทยาลัย กลุ่มเยาวชนสื่อสารผ่านโซเชียลมีเดีย แล้วนัดชุมนุมในรั้วโรงเรียน มหาวิทยาลัย โดยเฉพาะเดือนมิถุนายนปีเดียวกันมีการชุมนุมกรณีการหายตัวในประเทศเพื่อนบ้านของ วันเฉลิม สัตย์ศักดิ์สิทธิ์ นักกิจกรรมและนักเคลื่อนไหวทางการเมือง ทำให้ผู้ประท้วงผูกโบว์ขาวตามสถานที่ต่าง ๆ
เขาเบิกความอีกว่า เยาวชนปลดแอกนัดรวมตัวกันเมื่อที่ 18 กรกฎาคม 2563 มีผู้ชุมนุมกว่า 4 พันคน เรียกร้อง 3 ข้อ คือ 1.ยุบสภา 2.สสร.ทั้งฉบับ และ 3.หยุดคุกคามประชาชน ขณะนั้นการข่าวประเมินว่า กระแสการชุมนุมเกิดขึ้นแล้ว
พ.ต.อ.วิวัฒน์ เบิกความอีกว่า ขณะนั้นได้รับคำสั่งจากผู้บังคับบัญชาว่า ให้ติดตามกระแสเรียกร้องที่มีการชุมนุมอย่างต่อเนื่อง กระทั่งเดือนสิงหาคมปีเดียวกัน กลุ่ม ม.เกษตร ได้ชุมนุมหน้าร้านแมคโดนัลด์ เรียกการชุมนุมว่า #เสกคาถาผู้ทักษ์ประชาธิปไตย มีอานนท์ นำภา เป็นผู้ปราศรัยวิจารณ์สถาบันกษัตริย์เป็นครั้งแรก กระทั่งมีการชุมนุม 19 กันยาฯ ที่มีประชาชนบางส่วนเดินทางจากต่างจังหวัดมาพักอาศัยบริเวณแยกคอกวัวและใกล้เคียง
“การฟ้องร้องครั้งนี้ได้แกะเทปแบบคำต่อคำของผู้ปราศรัยทุกคนมีความผิดตามฟ้อง ซึ่งต้องขอชี้แจงว่า ส่วนตัวไม่รู้จักจำเลยทั้ง 22 คน จึงไม่มีเหตุโกรธเคืองกัน” พ.ต.อ.วิวัฒน์ เบิกความ
การเบิกความครั้งนี้ได้แนบแผนผังลำดับเหตุการณ์และรูปจำเลยประกอบในแผนผัง เรียงตามลำดับเวลา
ความขัดแย้งทางความคิดของคนรุ่นใหม่-เก่า?
อานนท์ ในฐานะจำเลยคนที่ 2 ในคดีนี้ได้ทำหน้าที่ทนายในการซักพยานโจทก์ว่า ความขัดแย้งทางการเมืองช่วงระหว่างปี 2562-2564 จะบอกได้ว่า เป็นความคิดเห็นที่แตกต่างของคนรุ่นใหม่กับคนรุ่นเก่าได้หรือไม่ เนื่องจากบนเวทีปราศรัยได้กล่าวถึงกฎหมายสมรสเท่าเทียมของ LGBT ปัญหาในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ การเกณฑ์ทหาร รวมทั้งไม่เห็นด้วยกับการรัฐประหาร ซึ่งต่อมากรณีสมรสเท่าเทียมที่ปราศรัยบนเวทีฯ ได้ผลักดันออกมาเป็นกฎหมายแล้ว
พ.ต.อ.วิวัฒน์ ตอบว่า เรื่องดังกล่าวมีส่วนถูก
จากนั้นอานนท์ถามต่อว่า กรณีที่บอกว่า การชุมนุมทางการเมืองนี้เป็นความเห็นแตกต่างของคนรุ่นเก่ากับรุ่นใหม่นั้นจะเห็นได้ว่า ในการปราศรัยของ พริษ ชิวารักษ์ พูดเรื่องขบวนเสด็จนั้นก็เพราะบนทวิตเตอร์มีการติด #ขบวนเสด็จ ซึ่งสะท้อนปัญหาที่เกิดขึ้น ซึ่งแฮชแท็กดังกล่าวก็ขึ้นเทรนด์อันดับ 1 บนทวิตเตอร์ในช่วงเวลานั้น
พ.ต.อ.วิวัฒน์ ตอบว่า เป็นเรื่องจริง แต่ไม่รับรองว่า ขึ้นเทรนด์เป็นอันดับ 1 จริงหรือไม่
โอนกำลังพลไปถวายความปลอดภัยไม่เห็นว่า “มีปัญหา”
อานนท์ ยังถามถึงความเป็นกลางทางการเมืองของสถาบันกษัตริย์ที่เป็นประเด็นทำให้คนรุ่นใหม่ออกมาเคลื่อนไหวทางการเมือง โดยเฉพาะการออก พ.ร.ก.โอนอัตรากำลังพลและงบประมาณบางส่วนของกองทัพไปเป็นของหน่วยบัญชาการถวายความปลอดภัยรักษาพระองค์ ถือเป็นกองกำลังของพระมหากษัตริย์ ซึ่งไม่เคยมีมาก่อน ถือเป็นรัฐซ้อนรัฐหรือไม่
พ.ต.อ.วิวัฒน์ ตอบว่า มีการออก พ.ร.ก.ดังกล่าวจริง ถือเป็นการถวายความปลอดภัย ไม่เห็นว่า เสียหาย
นอกจากนี้อานนท์ ยังถามถึงการเสด็จประพาสประเทศเยอรมันนีของในหลวงรัชกาลที่ 10 โดยไม่มีการแต่งตั้งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์จริงหรือไม่ เพราะเป็นถ้อยคำในการปราศรัยของผู้ตกเป็นจำเลย
ซึ่ง พ.ต.อ.วิวัฒน์ ตอบว่า เสด็จไปจริง ส่วนจะบ่อยแค่ไหน ไม่ทราบ และไม่ได้ตรวจสอบ
อานนท์ ขอให้เรียกเอกสารการเสด็จประพาสต่างประเทศของในหลวงรัชกาลที่ 10 ระหว่างปี 2559 – 2563 มาตรวจสอบได้หรือไม่
พ.ต.อ.วิวัฒน์ ตอบว่า ถือเป็นสิทธิของจำเลย
The King can do no wrong
อานนท์ ถามอีกว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา (ขณะดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี) แถลงข่าวว่า ในหลวงรัชกาลที่ 10 มีพระราชดำรัสให้แก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับ 2560 ทั้ง ๆ ที่ผ่านการทำประชามติแล้ว เรื่องนี้เป็นจริงหรือไม่
พ.ต.อ.วิวัฒน์ ถามกลับว่า “ท่านทราบได้อย่างไรว่า เรื่องนี้เกิดขึ้นจริง ตามหลักการปกครองแล้ว The King can do no wrong”
อานนท์ กล่าวอีกว่า สาเหตุที่ถามเช่นนี้ เพราะก่อนจะไปแจ้งความผู้ใดในความผิดฐาน 112 ตำรวจได้ตรวจสอบหรือไม่ว่า พล.อ.ประยุทธ์ ได้แถลงข่าวอย่างนั้นจริงและคนที่ถูกกล่าวหาก็นำข่าวที่เผยแพร่ในสื่อมวลชนมาปราศรัย
ระหว่างนี้ พ.ต.อ.วิวัฒน์ ได้กล่าวว่า “ให้ไปถาม พล.อ.ประยุทธ์เอง แต่หลักการปกครอง คือ The King can do no wrong”
อานนท์ ได้กล่าวว่า พยานโจทก์ควรทำหนังสือไปยังสำนักพระราชวังและถาม พล.อ.ประยุทธ์ (ขณะนี้ดำรงตำแหน่งองคมนตรี) หรือเชิญให้มาเป็นพยานในศาล หรือค้นหาข้อมูลในกูเกิ้ลว่า เรื่องนี้เป็นจริงไม่
พยานโจทย์ ไม่ตอบกรณีนี้
อานนท์ ถามต่อว่า ก่อนแจ้งความได้ตรวจสอบหรือไม่ว่า การปราศรัยถึงเหตุการณ์ 6 ตุลาฯ 2519 ที่เป็นการสังหารโหดบริเวณสนามฟุตบอลใน ม.ธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ เกิดขึ้นได้อย่างไร ซึ่งผู้ปราศรัยเรียกร้องให้มีการไต่สวนว่า ในเหตุการณ์ 6 ตุลาฯ ใครสั่งฆ่านักศึกษา
ประเด็นนี้ พ.ต.อ.วิวัฒน์ บอกว่า เรื่องนี้เป็นประวัติศาสตร์และไม่ขอตอบคำถาม
อานนท์ถามต่อว่า นอกจากนี้จำเลย คือ อานนท์ นำภา ได้ปราศรัยเกี่ยวกับการสวรรคตของในหลวงรัชกาลที่ 8 โดยเรียกร้องให้ไต่สวนใหม่ เพราะทายาทของผู้ถูกประหารชีวิต 3 คน คือ นายชิต สิงหเสนี นายบุศย์ ปัทมศริน และ นายเฉลียว ได้ร้องมายังศาลอาญาให้รื้อฟื้นคดีนี้ เพราะเห็นว่า ทั้ง 3 คน เป็นแพะรับบาป มีความเห็นอย่างไรเกี่ยวกับเรื่องนี้
ประเด็นนี้ พ.ต.อ.วิวัฒน์ ตอบว่า ไม่มีความเห็น
ผู้ชุมนุมไม่เห็นด้วยกับการรับรองคณะรัฐประหาร
อานนท์ถามต่อว่า ผู้ปราศรัยที่ตกเป็นจำเลย ไม่เห็นด้วยกับการรัฐประหาร 2549 และไม่เห็นด้วยกับการรัฐประหาร 2557 ที่มีการแต่งตั้ง พล.อ.ประยุทธ์ ให้เป็นหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ถือว่า เป็นหัวหน้ารัฐประหาร โดยมีเอกสารในราชกิจจานุเบกษา มีผู้รับสนองฯ ซึ่งผู้ปราศรัยบอกว่า พระมหากษัตริย์ไม่ควรรับรองคณะรัฐประหาร เพราะเป็นห่วงบ้านเมือง
ระหว่างนี้อานนท์ได้เดินนำเอกสารที่ประกาศในราชกิจจานุเบกษาแสดงต่อศาลว่า มีเอกสารประกาศจริง ทำให้โซ่ตรวนที่ข้อเท้าส่งเสียงกระทบพื้นดัง “กร๊อง แกร๊ง ๆ”
กรณีนี้ พ.ต.อ.วิวัฒน์ ไม่ขอตอบ
อานนท์ถามต่อว่า ทราบหรือไม่การรัฐประหารขัดหลักประชาธิปไตย
พ.ต.อ.วิวัฒน์ ตอบว่า ทราบ
จากนั้นอานนท์ได้อ่านบทกวีที่อ่านบนเวทีปราศรัย ซึ่งผู้กล่าวหาระบุว่า เป็นการยุยงปลุกปั่นตามมาตรา 116 ที่เป็นบริบทเกี่ยวกับการวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญต่อการยุบพรรคอนาคตใหม่ ซึ่งมีนัยว่า ศาลต้องทำหน้าที่อย่างเป็นกลาง รับใช้ประชาชนหรือไม่
คือตราชู ผู้ชี้ เสรีสิทธิ
คือศาลสถิต ยุติธรรม นำสมัย
คือหลักประกัน ประชาธิปไตย
มิใช่ อภิชน คนชั้นฟ้า !
ครุยที่สวม นั้นมา จากภาษี
รถที่ขี่ เงินใคร ให้หรูหรา
ข้าวที่กิน ดินที่ย่ำ บ้านงามตา
ล้วนแต่เงิน ของมหา ประชาชน
มิได้ อวตาร มาโปรดสัตว์
แต่เป็น “ลูกจ้างรัฐ” ตั้งแต่ต้น
ให้อำนาจ แล้วอย่าหลง ทนงตน
ว่าเป็นคน เหนือคน ชี้เป็น-ตาย
เสาหลัก ต้องเป็นหลัก อันศักดิ์สิทธิ์
ใช่ต้องลม เพียงนิด ก็ล้มหงาย
ยิ่งเสาสูง ใจต้องสูง เด่นท้าท้าย
ใช่ใจง่าย เห็นเงิน แล้วเออออ !
ต้องเปิด โลกทัศน์ อย่างชัดเจน
ใช่ซ่อนเร้น อ่านตำรา แต่ในหอ
ออกบัลลังก์ นั่งเพลิน คำเยินยอ
เลือกเหล่ากอ มากอง ห้องทำงาน
ตุลาการ คือหนึ่ง อธิปไตย
อันเป็นของ คนไทย ไพร่-ชาวบ้าน
มิใช่ของ ใครผู้หนึ่ง ซึ่งดักดาน
แต่เป็น “ตุลาการ” ประชาชน
ฉะนั้นพึง สำนึก มโนทัศน์
ใช่ด้านดัด มืดดับ ด้วยสับสน
เปื้อนราคิน กินสินบาท คาดสินบน
แล้วแบ่งคน แบ่งชั้น บัญชาชี้
เถิด “ตุลาการ” จงคิด อย่างอิสระ
รับภาระ อันหนักหนา ทำหน้าที่
หากรับใช้ ใบสั่ง ดั่งกาลี
ตุลาการ เช่นนี้ อย่ามีเลย !
กรณีนี้ พ.ต.อ.วิวัฒน์ ตอบว่า ไม่มีความเห็น
หมุดคณะราษฎรหายไปไหน
นอกจากนี้อานนท์ยังถามถึงกรณีการหายไปของหมุดคณะราษฎรจากบริเวณลานพระบรมรูปทรงม้า ซึ่งยังเป็นปริศนาว่า หายไปไหน ทำให้ผู้ปราศรัยเกิดคำถามจึงได้นำหมุดไปฝังบริเวณสนามหลวงแทน ข้อความในหมุด 19 กันยาฯ คือ “ประเทศเป็นของราษฎรทั้งหลาย ไม่ได้เป็นของกษัตริย์ตามที่เขาหลอกลวง”
ประเด็นนี้ พ.ต.อ.วิวัฒน์ ตอบว่า ประเทศเป็นของชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
ระหว่างนี้อานนท์ได้ถามต่อว่า เห็นด้วยกับการเปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475 หรือไม่
พ.ต.อ.วิวัฒน์ ตอบว่า ไม่เห็นด้วย เพราะการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ถือเป็นเรื่องไม่เหมาะสมและไม่เห็นด้วยกับการกระทำของคณะราษฎร แต่ไม่ทราบว่า ใครเป็นคนเอาหมุดคณะราษฎรไป
การสืบพยานโจทก์ในวันที่ 24 กันยายนที่ผ่านมาใช้เวลารวม 6 ชั่วโมง ข้อมูลของศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนระบุว่า มีการเลื่อนสืบพยานมาแล้วหลายครั้ง เนื่องจากศาลไม่ออกหมายเรียกพยานเอกสารสำคัญบางอย่างตามที่จำเลยร้องขอ
คดีนี้มีการแจ้งความเมื่อเดือนมกราคม 2564 หลังจากการชุมนุมผ่านไป 4 เดือน เป็นการฟ้องร้องหลังจาก พล.อ.ประยุทธ์ ประกาศเมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายน 2563 ให้ใช้กฎหมายทุกมาตราเพื่อเอาผิดผู้ชุมนุม
คนเบื่อก็ลี้ภัยไปต่างประเทศ
กฤษฎางค์ นุตจรัส ทนายความเครือข่ายศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนให้สัมภาษณ์ The Isaan Record ว่า เรื่องนี้เป็นการแสดงความคิดเห็นโดยแท้ เป็นความคิดเห็นที่แตกต่างกัน แต่รัฐใช้มาตรา 112 เป็นเครื่องมือในการปราบปรามผู้เห็นต่าง
เขากล่าวอีกว่า ขณะนี้คนที่ถูกจับในคดีทางการเมืองอยู่ระหว่างประตัว แต่ไม่ได้รับการประกันตัวกว่า 50 คน ซึ่งข้อกล่าวหาคดี 112 เป็นคดีอาญาทั่วไปที่ต้องสู้เพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ แต่กลไกที่เกิดขึ้นเป็นกระบวนการที่พิกลพิการ มีการแจ้งความโดยไม่ใช่ผู้เสียหาย แต่เป็นประชาชนที่เป็นฝั่งตรงกันข้าม เมื่ออัยการสั่งฟ้อง คดีก็มาถึงศาล ส่วนหนึ่งก็จะไม่ได้รับการประกันตัวหรือปล่อยตัวชั่วคราวและการออกหมายเรียกพยานต่าง ๆ ก็ไม่ได้รับความร่วมมือ
“พวกเราขอให้ส่งเอกสารเกี่ยวกับการพิสูจน์ว่า คำพูดของผู้ต้องหาเป็นเรื่องจริง ไม่ได้เป็นเรื่องเท็จ ศาลก็ไม่ออกหมายเรียก คดีจึงคาราคาซังมาจนถึงทุกวันนี้ มีหลายคนที่เบื่อหน่ายต่อระบบยุติธรรมก็หลี้ภัยไปอยู่ต่างประเทศ” กฤษฎางค์ กล่าว
เขาเสนอว่า ทางออกที่ดีที่สุดเกี่ยวกับคดี 112 และคดีการเมือง คือ การนิรโทษกรรมโดยไม่มีเงื่อนไข คือ ให้เริ่มต้นกันใหม่ ดูจากเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 มีผู้ถูกกล่าวหาในคดี 112 กว่า 3,000 คนที่หลบหนี แต่รัฐบาลเกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ ก็ให้นิรโทษกรรม ทั้งที่ขณะนั้นมาตรา 112 ก็มีโทษสูง แต่รัฐบาลเกรียงศักดิ์ก็นิรโทษกรรมให้
“นักการเมืองและผู้พิพากษาต้องกล้าหาญที่จะพูดเรื่องนี้” ทนายความฯ
ขณะที่อานนท์ให้สัมภาษณ์ The Isaan Record กรณีที่ถามว่า ฝากอะไรถึงคนที่อยู่นอกเรือนจำหรือไม่ว่า “งานนี้เป็นงานเย็น ต้องใจเย็น ๆ การทำงานทางความคิดต้องใช้เวลา ไม่ต้องห่วงคนข้างใน (เรือนจำ) พวกเราอยู่ได้ คนข้างนอกต้องยืนให้มั่นคง”
อ่านรายละเอียดคดีในเว็บไซต์ศูนย์ทนายฯ
https://theisaanrecord.co/2025/09/29/lawyer-in-the-112-case/