
The Rwandan refugee camp in Benako, Tanzania, in 1994
Somrit Luechai
13 hours ago
·
ปี 1994 หรือพ.ศ.2537
เกิดเหตุฆ่าบ้างเผ่าพันธุ์ในรวันดา
เพียง 100 วัน
มีคนตายถึง 8 แสนกว่าคน
เหตุเกิดจากความเกลียดชังทางชาติพันธุ์
จนทำให้คนจากเผ่าฮูตู
ไล่ล่าสังหารคนจากเผ่าตุสซี
เผ่าฮูตูปลุกกระแสสร้างความเกลียดชัง
โดยเรียกคนเผ่าตุสซีว่า"แมลงสาบ"
การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ครั้งนี้เกิดทั่วแผ่นดิน
โดยอ้างว่าเพื่อกำจัดแมลงสาบ
เจอคนเผ่าตุสซีที่ไหนฆ่าที่นั่น
แม้แต่คนในครอบครัวเดียวกันก็ไม่เว้น
สามีสังหารภรรยาที่เป็นเผ่าตุสซี
การปลุกกระแสความเกลียดชังมนุษย์ด้วยกัน
ถ้าปลุกติดแล้ว
มันจึงอันตรายยิ่ง
พุทธศาสนาเป็นศาสนาแห่งความเมตตา
ผมในฐานะชาวพุทธจึงเรียกร้องสันติภาพ
และต่อต้านการปลุกกระแสเกลียดชังกัน
ถ้าจะเกลียดชังจริงๆ
เกลียดเป็นคนๆไปอย่าเหมารวม
อย่าเกลียดเพราะเขาต่างเชื้อชาติจากเรา
หรือต่างศาสนาจากเรา
ดีที่ความขัดแย้งไทย-กัมพูชาครั้งนี้
ไม่ลามไปถึงการไล่ล่าทำร้ายกันและกัน
ของคนทั้ง 2 เชื้อชาติ
แต่ที่น่าตกใจก็คือ
กระแสความเกลียดชังนี้ยังก้องกังวาน
ในสื่อออนไลน์
เป็นหน้าที่ของพวกเราทุกคน
ที่จะช่วยกันระงับยับยั้งกระแสนี้ให้ได้
เพื่อที่ลูกหลานเราในอนาคต
จะอยู่ร่วมโลกกับมิตรประเทศอย่างสันติสุข
ไม่ใช่อยู่อย่างหวาดระแวงกับศัตรู
ครับ
Somrit Luechai
13 hours ago
·
ปี 1994 หรือพ.ศ.2537
เกิดเหตุฆ่าบ้างเผ่าพันธุ์ในรวันดา
เพียง 100 วัน
มีคนตายถึง 8 แสนกว่าคน
เหตุเกิดจากความเกลียดชังทางชาติพันธุ์
จนทำให้คนจากเผ่าฮูตู
ไล่ล่าสังหารคนจากเผ่าตุสซี
เผ่าฮูตูปลุกกระแสสร้างความเกลียดชัง
โดยเรียกคนเผ่าตุสซีว่า"แมลงสาบ"
การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ครั้งนี้เกิดทั่วแผ่นดิน
โดยอ้างว่าเพื่อกำจัดแมลงสาบ
เจอคนเผ่าตุสซีที่ไหนฆ่าที่นั่น
แม้แต่คนในครอบครัวเดียวกันก็ไม่เว้น
สามีสังหารภรรยาที่เป็นเผ่าตุสซี
การปลุกกระแสความเกลียดชังมนุษย์ด้วยกัน
ถ้าปลุกติดแล้ว
มันจึงอันตรายยิ่ง
พุทธศาสนาเป็นศาสนาแห่งความเมตตา
ผมในฐานะชาวพุทธจึงเรียกร้องสันติภาพ
และต่อต้านการปลุกกระแสเกลียดชังกัน
ถ้าจะเกลียดชังจริงๆ
เกลียดเป็นคนๆไปอย่าเหมารวม
อย่าเกลียดเพราะเขาต่างเชื้อชาติจากเรา
หรือต่างศาสนาจากเรา
ดีที่ความขัดแย้งไทย-กัมพูชาครั้งนี้
ไม่ลามไปถึงการไล่ล่าทำร้ายกันและกัน
ของคนทั้ง 2 เชื้อชาติ
แต่ที่น่าตกใจก็คือ
กระแสความเกลียดชังนี้ยังก้องกังวาน
ในสื่อออนไลน์
เป็นหน้าที่ของพวกเราทุกคน
ที่จะช่วยกันระงับยับยั้งกระแสนี้ให้ได้
เพื่อที่ลูกหลานเราในอนาคต
จะอยู่ร่วมโลกกับมิตรประเทศอย่างสันติสุข
ไม่ใช่อยู่อย่างหวาดระแวงกับศัตรู
ครับ
Monton Praphakonkiat
13 hours ago
·
เราต้องหวนทบทวนตัวเอง
.
สองสัปดาห์นี้ ต้องยอมรับว่าเหตุการณ์สงครามระหว่างไทย-กัมพูชา สั่นสะท้อนคนไทยทั้งประเทศจริงๆ โดยส่วนตัวแล้วติดตามข่าวอย่างเงียบๆ มาตลอด ผลที่ตามมาคือ ได้เห็นสิ่งที่ไม่เคยเห็นมาก่อน อะไรที่ไม่คาดคิด ก็ได้เห็น ทำเอาคิดถึงช่วงเหตุการณ์ตุลา เรียกได้ว่า “บ้านเมืองของเรากำลังลงแดง“ มันทำให้เราต้องกลับไปทบทวนอยู่หลายเรื่อง ในฐานะที่ทำวิชาชีพสื่อ แม้จะไม่อาจเรียกได้ว่าเป็นสื่อมวลชนเต็มตัว แต่ก็ใกล้เคียง อยากใช้พื้นที่นี้เขียนถึงสักหน่อย
.
ในด้านวิชาการประวัติศาสตร์-รัฐศาสตร์-มานุษยวิทยา และโครงการ อาเซียนศึกษา คงต้องทบทวนกันอย่างหนักแน่นว่า เราส่งต่อความรู้เรื่องความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ และประเทศเพื่อนบ้านกันดีแล้วหรือยัง เพราะภาพสะท้อนขององค์ความรู้เรื่องประเทศเพื่อนบ้านในสังคมตอนนี้ ผลคือล้มเหลวโดยสิ้นเชิงจริงๆ ซึ่งแน่นอนว่า หากจะขุดรากไปยิ่งกว่านั้น ต้องมุ่งเป้าไปที่ ”กระทรวงศึกษาธิการ“ ที่ผลิตซ้ำกระดาษแห่งความเกลียดชังมานานนับเกือบศตวรรษ
.
ในด้านสื่อมวลชน คือสิ่งหลักที่สะท้อนให้เห็นถึงภาพของเดือนตุลาฯ การปลุกปั่นความเกลียดชังโดยไม่คำนึงถึงวิชาชีพสื่อที่ควรนำเสนอ “ข้อเท็จจริง“ อย่างตรงไปตรงมา จรรยาบรรณาวิชาชีพในบางสื่อ ถูกกลบทับด้วยสิ่งที่เรียกว่า engagement เติมเต็มด้วยอารมณ์ความรู้สึกที่มากไปกว่าข้อมูล จนนำไปสู่ “ข้อเท็จ” ก่อให้เกิดการลงแดงอยู่ทุกวันนี้
.
ในด้านองค์กรรัฐ ยิ่งตอกย้ำการเป็น รัฐที่ล้มเหลวโดยสิ้นเชิง โดยเฉพาะด้านการต่างประเทศทั้งการเจรจาคู่ขนานระหว่างสงคราม จนไปสู่ในเวทีโลก ที่ล่าช้าและ “ตามไม่ทัน” กัมพูชาอยู่หลายช่วงตัว การบริหารจัดการที่กลายเป็นกองทัพนำรัฐ ยิ่งตอกย้ำความอ่อนในด้านการบริหารและเกมการเมืองของผู้นำประเทศยิ่งไปอีก และสุดท้าย ความล้มเหลวในการสื่อสารให้กับประชาชนด้านความเชื่อมั่นและข้อเท็จจริง
.
ในด้านการทหาร พวกเราต้องแยกให้ออกระหว่าง ”หน้าที่“ ที่กองทัพกำลังปฏิบัติกับ “ความโปร่งใส” และปัญหาที่หมักหมมมานาน การปฏิบัติหน้าที่รักษาอธิปไตยของทหารเป็นสิ่งที่ควรกระทำอยู่แล้ว แต่สิ่งนี้ไม่ควรถูกกลบทับหรือเมินเฉยต่อการตรวจสอบความโปร่งใสในองค์กรใดๆ ทุกองค์กร
.
สุดท้าย ในฐานะมนุษย์ของพวกเรา ที่มีเลือดเนื้อเช่นเดียวกับ “คนในพื้นที่ชายแดน” ไม่ว่าจะฝั่งไหนก็ตาม การสูญเสียที่อยู่ ทรัพย์สิน ครอบครัว หรือแม้กระทั่งชีวิตของตนที่ไม่สามารลุกขึ้นมาเรียกร้องอะไรได้อีก ไม่ควรเกิดขึ้นกับประชาชนที่ไม่มีความผิด ไม่ว่าฝั่งใดก็ตาม การสนับสนุนให้เกิดสงครามที่ “เกินเลย” ไม่ต่างอะไรกับความพยายามเป็นฆาตกรเสียเอง พวกเราควรกลับมาทบทวนความเป็นคนด้วยกันทุกคน
.
การที่คุณไม่ได้จับอาวุธไปเข่นฆ่ามนุษย์ด้วยกัน ไม่ได้หมายความว่าคุณไม่มีความผิด ในทางตรงกันข้าม หากคุณยุยง ปลุกปลั่นความเกลียดชัง ส่งเสริมความรุนแรง ก็คงไม่ต่างอะไรจากการเป็นฆาตกรในทางอ้อมเช่นกัน สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่อาการโลกสวยใดๆ แต่ประวัติศาสตร์ในอดีตมีให้เรียนรู้แล้วกลับมามองปัจจุบัน ว่าหากเราลงแดงแล้วจะเป็นอย่างไร