
ความขัดแย้งเดียว สองเรื่องเล่า: มองรายงานข่าวในไทย-กัมพูชา เหตุใดจึงแตกต่างกันอย่างมาก
2 สิงหาคม 2025
บีบีซีไทย
นอกจากการสู้กันด้วยกำลังทางการทหารที่เริ่มมาตั้งแต่เช้าวันที่ 24 ก.ค. แล้ว อีกพื้นที่ที่ได้กลายเป็นอีกหนึ่งสมรภูมิในความขัดแย้งไทย-กัมพูชาครั้งนี้ คือการปะทะกันในโลกออนไลน์ระหว่างผู้ใช้อินเทอร์เน็ตของทั้งสองประเทศ โดยหนึ่งในนั้นคือการใช้แฮชแท็กตอบโต้กันบนแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียที่เป็นที่นิยม ทั้งบนติ๊กตอก, เอ็กซ์ (เดิมคือทวิตเตอร์) และเฟซบุ๊ก
ทางฝั่งกัมพูชา มีการใช้แฮชแท็กที่พยายามสร้างความชอบธรรมให้กับปฏิบัติการทางทหารของประเทศตัวเอง ยกตัวอย่างเช่น สำนักข่าวออนไลน์ธเมย์ ธเมย์ (Thmey Thmey) ของกัมพูชา ซึ่งมีผู้ติดตามทางเฟซบุ๊กมากกว่า 1.2 ล้านผู้ใช้ ได้ติดแฮชแท็ก #ThaiFightFirst (ไทยสู้ก่อน) #ThaiOpenedFire (ไทยเริ่มยิง) และ #ThailandOpenedFire (ประเทศไทยเริ่มยิง) ในเนื้อหาข่าว
นอกจากนี้ อินฟลูเอนเซอร์ชาวกัมพูชาที่มีผู้ติดตามจำนวนมาก เช่น อ๊ก สุคนธกันยา ที่มีผู้ติดตามกว่า 2.4 ล้านผู้ใช้ ก็ได้โพสต์คลิปวิดีโอบนติ๊กตอก พร้อมข้อความประกอบที่มีแฮชแท็กว่า #ThailandOpenFire (ประเทศไทยเริ่มยิง) และ #ThailandStartedTheWar (ประเทศไทยเป็นฝ่ายเริ่มสงคราม) เช่นกัน
ในขณะเดียวกัน เพจเฟซบุ๊กของกองทัพบกของไทยได้โพสต์ชักชวนให้ประชาชนชาวไทยร่วมติดแฮชแท็ก #CambodiaOpenedFire ร่วมกับ #กัมพูชายิงก่อน ต่อมาผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ตจากฝั่งไทยก็ได้ใช้แฮชแท็กดังกล่าวหรือแฮชแท็กซึ่งมีใจความคล้ายกันอย่างแพร่หลาย ทั้งนี้ เพจเฟซบุ๊กของสำนักข่าวบางแห่งก็ได้ร่วมใช้แฮชแท็กดังกล่าวด้วย เช่น ไทยรัฐทีวี, พีพีทีวี และ เดลินิวส์ออนไลน์
ข้อสรุปที่ขัดแย้งกันในประเด็นที่ว่า "ใครยิงก่อน" ไม่ได้จำกัดอยู่เพียงในหมู่ผู้ใช้งานโซเชียลมีเดียเท่านั้น บีบีซีไทยตรวจสอบรายงานข่าวจากสื่อของทั้งไทยและกัมพูชา และพบว่าสื่อในทั้งสองประเทศได้นำเสนอรายงานข่าวที่แตกต่างกันอย่างมาก
ความแตกต่างรายงานข่าวในไทยและกัมพูชา
เหตุปะทะที่ช่องบก วันที่ 28 พ.ค.
ย้อนกลับไปตั้งแต่เหตุปะทะที่ช่องบกในวันที่ 28 พ.ค. 68 ซึ่งเป็นเหตุให้ทหารกัมพูชาเสียชีวิตหนึ่งราย สำนักข่าวในไทยรายงานสถานการณ์ดังกล่าว โดยอ้างอิง "หน่วยงานความมั่นคงชายแดน" ที่ระบุว่ามีการปะทะกันขึ้นที่บริเวณช่องบก ยกตัวอย่างเช่น ไทยพีบีเอสและพีพีทีวีรายงานข่าวด้วยถ้อยคำตรงกันว่า "การปะทะเกิดขึ้นจากความคลาดเคลื่อนในการประเมินสถานการณ์ในระดับภาคสนาม และยุติลงในเวลาอันสั้น"
ต่อมาในวันเดียวกัน ทีมโฆษกกองทัพบกได้โพสต์รายละเอียดในเพจเฟซบุ๊ก ว่าหน่วยเฉพาะกิจที่ 1 กองกำลังสุรนารี ได้รับรายงานว่ามีทหารกัมพูชาเข้ามาวางกำลังในพื้นที่อ้างสิทธิ
"ฝ่ายไทยจึงจัดชุดประสานงานเพื่อเข้าพูดคุยเจรจาตามแนวทางการปฏิบัติที่เคยกระทำมา เมื่อถึงบริเวณดังกล่าว กำลังส่วนระวังเหตุของทหารกัมพูชา ได้เข้าใจผิด และเริ่มใช้อาวุธ ฝ่ายไทยจึงใช้อาวุธตอบโต้กลับไป โดยใช้เวลาประมาณ 10 นาที" ทีมโฆษกกองทัพบกบรรยาย
ด้านสื่อของกัมพูชา เช่น DAP News รายงานโดยอ้างอิงแถลงการณ์กระทรวงกลาโหมกัมพูชา ซึ่งระบุว่า "กองทัพไทยได้เปิดฉากยิงใส่แนวสนามเพลาะ ซึ่งเป็นฐานที่มั่นของกองทัพกัมพูชาที่ตั้งอยู่ในพื้นที่ดังกล่าวมาเป็นเวลานาน"
นอกจากการสู้กันด้วยกำลังทางการทหารที่เริ่มมาตั้งแต่เช้าวันที่ 24 ก.ค. แล้ว อีกพื้นที่ที่ได้กลายเป็นอีกหนึ่งสมรภูมิในความขัดแย้งไทย-กัมพูชาครั้งนี้ คือการปะทะกันในโลกออนไลน์ระหว่างผู้ใช้อินเทอร์เน็ตของทั้งสองประเทศ โดยหนึ่งในนั้นคือการใช้แฮชแท็กตอบโต้กันบนแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียที่เป็นที่นิยม ทั้งบนติ๊กตอก, เอ็กซ์ (เดิมคือทวิตเตอร์) และเฟซบุ๊ก
ทางฝั่งกัมพูชา มีการใช้แฮชแท็กที่พยายามสร้างความชอบธรรมให้กับปฏิบัติการทางทหารของประเทศตัวเอง ยกตัวอย่างเช่น สำนักข่าวออนไลน์ธเมย์ ธเมย์ (Thmey Thmey) ของกัมพูชา ซึ่งมีผู้ติดตามทางเฟซบุ๊กมากกว่า 1.2 ล้านผู้ใช้ ได้ติดแฮชแท็ก #ThaiFightFirst (ไทยสู้ก่อน) #ThaiOpenedFire (ไทยเริ่มยิง) และ #ThailandOpenedFire (ประเทศไทยเริ่มยิง) ในเนื้อหาข่าว
นอกจากนี้ อินฟลูเอนเซอร์ชาวกัมพูชาที่มีผู้ติดตามจำนวนมาก เช่น อ๊ก สุคนธกันยา ที่มีผู้ติดตามกว่า 2.4 ล้านผู้ใช้ ก็ได้โพสต์คลิปวิดีโอบนติ๊กตอก พร้อมข้อความประกอบที่มีแฮชแท็กว่า #ThailandOpenFire (ประเทศไทยเริ่มยิง) และ #ThailandStartedTheWar (ประเทศไทยเป็นฝ่ายเริ่มสงคราม) เช่นกัน
ในขณะเดียวกัน เพจเฟซบุ๊กของกองทัพบกของไทยได้โพสต์ชักชวนให้ประชาชนชาวไทยร่วมติดแฮชแท็ก #CambodiaOpenedFire ร่วมกับ #กัมพูชายิงก่อน ต่อมาผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ตจากฝั่งไทยก็ได้ใช้แฮชแท็กดังกล่าวหรือแฮชแท็กซึ่งมีใจความคล้ายกันอย่างแพร่หลาย ทั้งนี้ เพจเฟซบุ๊กของสำนักข่าวบางแห่งก็ได้ร่วมใช้แฮชแท็กดังกล่าวด้วย เช่น ไทยรัฐทีวี, พีพีทีวี และ เดลินิวส์ออนไลน์
ข้อสรุปที่ขัดแย้งกันในประเด็นที่ว่า "ใครยิงก่อน" ไม่ได้จำกัดอยู่เพียงในหมู่ผู้ใช้งานโซเชียลมีเดียเท่านั้น บีบีซีไทยตรวจสอบรายงานข่าวจากสื่อของทั้งไทยและกัมพูชา และพบว่าสื่อในทั้งสองประเทศได้นำเสนอรายงานข่าวที่แตกต่างกันอย่างมาก
ความแตกต่างรายงานข่าวในไทยและกัมพูชา
เหตุปะทะที่ช่องบก วันที่ 28 พ.ค.
ย้อนกลับไปตั้งแต่เหตุปะทะที่ช่องบกในวันที่ 28 พ.ค. 68 ซึ่งเป็นเหตุให้ทหารกัมพูชาเสียชีวิตหนึ่งราย สำนักข่าวในไทยรายงานสถานการณ์ดังกล่าว โดยอ้างอิง "หน่วยงานความมั่นคงชายแดน" ที่ระบุว่ามีการปะทะกันขึ้นที่บริเวณช่องบก ยกตัวอย่างเช่น ไทยพีบีเอสและพีพีทีวีรายงานข่าวด้วยถ้อยคำตรงกันว่า "การปะทะเกิดขึ้นจากความคลาดเคลื่อนในการประเมินสถานการณ์ในระดับภาคสนาม และยุติลงในเวลาอันสั้น"
ต่อมาในวันเดียวกัน ทีมโฆษกกองทัพบกได้โพสต์รายละเอียดในเพจเฟซบุ๊ก ว่าหน่วยเฉพาะกิจที่ 1 กองกำลังสุรนารี ได้รับรายงานว่ามีทหารกัมพูชาเข้ามาวางกำลังในพื้นที่อ้างสิทธิ
"ฝ่ายไทยจึงจัดชุดประสานงานเพื่อเข้าพูดคุยเจรจาตามแนวทางการปฏิบัติที่เคยกระทำมา เมื่อถึงบริเวณดังกล่าว กำลังส่วนระวังเหตุของทหารกัมพูชา ได้เข้าใจผิด และเริ่มใช้อาวุธ ฝ่ายไทยจึงใช้อาวุธตอบโต้กลับไป โดยใช้เวลาประมาณ 10 นาที" ทีมโฆษกกองทัพบกบรรยาย
ด้านสื่อของกัมพูชา เช่น DAP News รายงานโดยอ้างอิงแถลงการณ์กระทรวงกลาโหมกัมพูชา ซึ่งระบุว่า "กองทัพไทยได้เปิดฉากยิงใส่แนวสนามเพลาะ ซึ่งเป็นฐานที่มั่นของกองทัพกัมพูชาที่ตั้งอยู่ในพื้นที่ดังกล่าวมาเป็นเวลานาน"

ภาพจากกองทัพบกไทยเผยร่องดินที่ทหารกัมพูชาขุดและกลบคืน หลังเจรจาทางทหารบริเวณชายแดนที่มีข้อพิพาทในช่องบก จ.อุบลราชธานี เมื่อ 8 มิ.ย. 2025
เหตุปะทะระลอกล่าสุด ตั้งแต่ 24 ก.ค.
ความตึงเครียดของสถานการณ์ระลอกล่าสุดเริ่มขึ้นตั้งแต่วันที่ 23 ก.ค. เมื่อมีทหารไทยได้รับบาดเจ็บจากการเหยียบกับระเบิดระหว่างที่ลาดตระเวนบริเวณช่องอานม้า อ.น้ำยืน จ.อุบลราชธานี
ต่อมาในคืนวันเดียวกัน รัฐบาลไทยได้ประกาศลดระดับความสัมพันธ์ทางการทูตกับกัมพูชา โดยกระทรวงการต่างประเทศของไทยได้เรียกเอกอัครราชทูตไทยประจำกรุงพนมเปญกลับประเทศ ขณะเดียวกัน ไทยได้ขอให้เอกอัครราชทูตกัมพูชาประจำประเทศไทยเดินทางกลับประเทศเช่นกัน
ด้านกองทัพบกประกาศเตรียมพร้อมแผนเผชิญเหตุ "จักรพงษ์ภูวนารถ" เตรียมรับสถานการณ์ ต่อมา พล.ท.บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 ได้ลงนามในคำสั่งกองทัพภาคที่ 2 (เฉพาะ) ที่ 213/2568 เพื่อปิดจุดผ่านแดนตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา และการปิดสถานที่ท่องเที่ยวในพื้นที่รับผิดชอบของกองทัพ รวมถึงงดการเยี่ยมชมปราสาทตาเมือนและปราสาทตาควาย
ต่อมาเช้าวันที่ 24 ก.ค. ผู้สื่อข่าวในไทยได้รับข้อมูลเหตุการณ์การปะทะกันอย่างเป็นทางการระหว่างทหารไทยและกัมพูชาจาก พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม ในฐานะประธานศูนย์เฉพาะกิจบริหารสถานการณ์บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา (ศบ.ทก.) ซึ่งแถลงข่าว ณ ทำเนียบรัฐบาล โดยระบุว่า "เมื่อเช้านี้ฝ่ายไทยได้ไปวางลวดหนาม (รอบปราสาทตาเมือนธม) แล้วฝ่ายกัมพูชาก็ยิงกลับมา"
ในเวลาต่อมา มีการแจกจ่ายเอกสารข่าวจากกองทัพบก (ทบ.) ให้สื่อมวลชน และผ่านเพจเฟซบุ๊กอย่างเป็นทางการของกองทัพบก บรรยายจังหวะเสียงปืนนัดแรกว่า ฝ่ายกัมพูชาได้นำอาวุธเข้าสู่พื้นที่ด้านหน้าแนวลวดหนาม และพบกำลังพลกัมพูชาจำนวน 6 นาย พร้อมอาวุธครบมือ รวมทั้งเครื่องยิงลูกระเบิด RPG เดินเข้ามาใกล้แนวลวดหนามบริเวณด้านหน้าฐานปฏิบัติการของไทย
"ฝ่ายไทยได้ใช้การตะโกนเจรจาเพื่อหลีกเลี่ยงความขัดแย้งและยกระดับสถานการณ์ โดยฝ่ายไทยเฝ้าระวังตลอดแนวชายแดนเพื่อเตรียมรับสถานการณ์"
"อย่างไรก็ตาม เมื่อเวลาประมาณ 08.20 น. ของวันที่ 24 กรกฎาคม 2025 ฝ่ายกัมพูชาได้เปิดฉากยิงเข้ามายังบริเวณตรงข้ามฐานปฏิบัติการทางทิศตะวันออกของปราสาทตาเมือน ในระยะประมาณ 200 เมตร"
ทางด้านสื่อกัมพูชา รายงานเหตุการณ์ดังกล่าวต่างจากที่ปรากฏในสื่อไทย โดยอ้างว่าทหารไทยเป็นฝ่ายเริ่มโจมตีก่อน
หนึ่งในสำนักข่าวของกัมพูชาที่รายงานเหตุการณ์ดังกล่าวเป็นลำดับต้น ๆ ได้แก่ Fresh News ซึ่งมีผู้ติดตามทางเฟซบุ๊กกว่า 4.8 ล้านผู้ใช้ ได้เผยแพร่รายงานข่าวผ่านเว็บไซต์ โดยอ้างคำให้สัมภาษณ์ของเจ้าหน้าที่ทหารระดับสูงของกัมพูชา ซึ่งระบุว่า "กองทัพกัมพูชาเปิดฉากโต้กลับกองกำลังไทยที่เข้ามารุกราน หลังจากทหารไทยยิงใส่ทหารกัมพูชา และสั่งปิดปราสาทตาเมือนธมไม่ให้ประชาชนเข้าพื้นที่"
ต่อมาสำนักข่าว Khmer Times ของกัมพูชา ได้เผยแพร่รายงานข่าวในลักษณะเดียวกัน โดยระบุว่า "กองกำลังไทยเป็นฝ่ายเปิดฉากโจมตีก่อนด้วยอาวุธต่อกองกำลังกัมพูชา กองกำลังกัมพูชาจึงดำเนินการตอบโต้ภายใต้กรอบของการป้องกันตัวอย่างเคร่งครัด เพื่อรับมือกับการรุกรานที่ไม่มีการยั่วยุก่อนจากฝ่ายไทย ซึ่งถือเป็นการละเมิดบูรณภาพแห่งดินแดนของเรา"
พลเอกฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว ให้ข้อมูลไปในทิศทางเดียวกันกับที่สำนักข่าวในกัมพูชารายงาน โดยระบุว่า "กองทัพไทยได้เปิดฉากโจมตีใส่ที่มั่นของกองทัพกัมพูชา บริเวณปราสาทตาเมือนธมและปราสาทตากระบือ ในจังหวัดอุดรมีชัย พร้อมทั้งขยายแนวการโจมตีไปยังพื้นที่ช่องบก"
เขายังกล่าวเพิ่มเติมด้วยว่า "กัมพูชาไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากต้องตอบโต้ด้วยกำลังอาวุธ เพื่อต้านทานการรุกรานจากฝ่ายตรงข้าม"
หลังจากนั้น ฮุน มาเนต ได้โพสต์ข้อความบนเฟซบุ๊ก อ้างว่าไทยเป็นผู้รุกรานกัมพูชา เนื้อหาดังกล่าวถูกนำไปเผยแพร่ต่อโดยสื่อของกัมพูชา เช่น The Phnom Penh Post และ The Cambodia Daily
บีบีซีไทยยังพบด้วยว่า ข้อมูลที่ปรากฏในสื่อไทย เช่น รายงานที่ระบุว่าทหารไทยอ้างว่าฝั่งกัมพูชาเปิดฉากยิงก่อน ไม่ปรากฏในหน้าสื่อของกัมพูชาอย่างกว้างขวางมากนัก โดยหนึ่งในสื่อกัมพูชาที่เอ่ยถึงข้อมูลชุดเดียวกับที่ปรากฏในสื่อไทย เช่นการรายงานข่าวของ Cambojanews โดยรายงานข้อมูลจากฝั่งไทยเสริมไปกับข้อมูลจากกัมพูชา
มุมมองของผู้สื่อข่าวในกัมพูชา
บีบีซีไทยได้พูดคุยกับ ซก (นามสมมติ) ผู้สื่อข่าวออนไลน์ชาวกัมพูชารายหนึ่ง ซึ่งได้ให้มุมมองเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นในการปะทะกันเมื่อวันที่ 24 ก.ค. เขาแสดงทัศนะว่า "สื่อไทยอย่างข่าวสด The Nation และ Bangkok Post หรือสื่ออื่น นำเสนอวางกรอบว่ากัมพูชาเป็นรัฐแรกที่ยกระดับการใช้กำลังรุนแรง ด้วยการใช้ BM-21 หรือขีปนาวุธระยะไกลก่อน"
"ฝ่ายไทยต่างหากที่เริ่มใช้ปฏิบัติการโจมตีทางอากาศและโดรนทิ้งระเบิดก่อน" ผู้สื่อข่าวชาวกัมพูชารายนี้แย้ง พร้อมอธิบายต่อว่า "สื่อกัมพูชามองว่าไทยเป็นฝ่ายรุกราน และโจมตีพลเรือนของเรา"
ทัศนะดังกล่าว ตรงกับแถลงการณ์ของสมาคมผู้สื่อข่าวกัมพูชาที่เผยแพร่เมื่อวันที่ 31 ก.ค. ที่ระบุว่าสื่อไทยบางสำนัก "มีการเผยแพร่ข้อมูลเท็จอย่างต่อเนื่อง"
อย่างไรก็ตาม แถลงการณ์ดังกล่าวไม่ได้ระบุรายละเอียดว่าข่าวชิ้นใดจากสำนักข่าวในไทยที่ถือว่าเป็นการรายงานข่าวที่ไม่ถูกต้อง
นอกจากนี้ กองทัพบกของไทยยังได้แย้งข้อมูลฝ่ายกัมพูชา โดยพาคณะทูตนานาชาติและสื่อมวลชนลงพื้นที่ พร้อมชี้ว่ากัมพูชาใช้ปืนใหญ่และจรวด BM-21 โจมตีเป้าหมายพลเรือนในไทย

ทหารกัมพูชานายหนึ่งยืนอยู่บนเครื่องยิงจรวดหลายลำกล้องแบบ BM-21 Grad วันที่ 25 ก.ค. 68 ที่จังหวัดอุดรมีชัย
แม้สื่อหลายสำนักในประเทศกัมพูชาจะรายงานข่าวไปในทิศทางเดียวกัน แต่ สัมบัด (นามสมมติ) ผู้สื่อข่าวชาวกัมพูชาอีกคนที่บีบีซีไทยได้สนทนาด้วยก็ยืนยันว่า เขาไม่ได้ทำหน้าที่เป็นกระบอกเสียงของรัฐ
"เราจำเป็นต้องได้รับข้อมูลที่เชื่อถือได้ ไม่ใช่แค่จากรัฐบาล แต่จากแหล่งอื่นด้วย เราไม่ได้ทำหน้าที่เป็นเครื่องมือโฆษณาชวนเชื่อ" สัมบัด กล่าว
แต่ในขณะเดียวกัน ซก ก็ยอมรับว่า สื่อกัมพูชาต้องเผชิญกับข้อจำกัดในการรายงานข่าว โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่เกิดความขัดแย้ง
"ในสถานการณ์เช่นนี้ สื่อที่มีแนวทางสอดคล้องกับรัฐมักเป็นฝ่ายครอบงำการเล่าเรื่อง" เขากล่าว พร้อมเน้นย้ำว่า "การเข้าถึงข้อมูล หรือการตั้งคำถามเกี่ยวกับกิจการทางทหารเป็นเรื่องที่ยากมาก"
วันที่ 24 ก.ค. 68 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงข้อมูลข่าวสารของกัมพูชา เนต พิเอกตา ได้ออกมาเปิดเผยแหล่งข้อมูลทางการเกี่ยวกับสถานการณ์การสู้รบ พร้อมเรียกร้องให้สื่อมวลชนกัมพูชาและผู้ใช้งานโซเชียลมีเดียทุกประเภทหลีกเลี่ยงการเผยแพร่ข้อมูลที่อาจกระทบต่อความลับทางทหาร
"แหล่งข้อมูลทางการเกี่ยวกับการสู้รบมีอยู่ 4 แหล่งหลัก ได้แก่ ผู้นำระดับสูงของประเทศ กระทรวงกลาโหม กระทรวงการต่างประเทศและความร่วมมือระหว่างประเทศ และหน่วยโฆษกของรัฐบาลกัมพูชา" นายเนตกล่าวผ่านโซเชียลมีเดีย พร้อมเน้นย้ำว่า "ขอให้สื่อและผู้ใช้งานโซเชียลมีเดียอย่าเผยแพร่ข้อมูล ภาพ หรือวิดีโอที่ไม่มีแหล่งที่มาชัดเจน โดยเฉพาะภาพหรือข้อมูลที่แสดงให้เห็นถึงกิจกรรมทางทหาร แนวสนามเพลาะ หรือการเคลื่อนไหวของกำลังพลและอาวุธทุกประเภท ขอให้ความร่วมมืออย่างจริงจัง"
กระนั้น ก็ยังปรากฏความพยายามของผู้สื่อข่าวกัมพูชาในการเข้าสู่พื้นที่การสู้รบเพื่อไปรายงานข่าวด้วยตัวเอง โดยสมาคมพันธมิตรผู้สื่อข่าวกัมพูชา (Cambodian Journalists Alliance Association - CamboJA) รายงานว่า เมื่อวันที่ 25 ก.ค. เวลา 10.00 น. ผู้สื่อข่าว 9 คน รวมถึงชาวต่างชาติ 1 คน ได้เดินทางไปทำข่าวบริเวณชายแดนกัมพูชา-ไทย ก่อนถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจตระเวณชายแดนกัมพูชานำตัวไปยังสถานีตำรวจจังหวัดอุดรมีชัยของกัมพูชา ผู้สื่อข่าวชาวกัมพูชา 7 คนได้รับการปล่อยตัวภายใน 10 นาที ขณะที่ผู้สื่อข่าวฟรีแลนซ์ชาวต่างชาติและผู้ช่วยท้องถิ่นถูกควบคุมตัวต่อราว 2 ชั่วโมง
"เจ้าหน้าที่ได้ยึดกล้องและโทรศัพท์มือถือเพื่อตรวจสอบภาพถ่ายที่เกี่ยวข้องกับการเคลื่อนกำลังทหาร อาวุธ หรือทหาร" ผู้สื่อข่าวรายหนึ่งเปิดเผยกับ CamboJA

ศูนย์พักพิงผู้พลัดถิ่นใกล้ชายแดนกัมพูชา-ไทย ใน จ.อุดรมีชัย ทางตะวันตกเฉียงเหนือของกัมพูชา เมื่อวันที่ 28 ก.ค. 2568
ในวันเดียวกัน กองทัพบกของประเทศไทยได้ออกคำเตือนให้หลีกเลี่ยงการอ้างอิงหรือเผยแพร่ข้อมูลเกี่ยวกับปฏิบัติการทางทหารจากแหล่งที่ไม่ได้รับการตรวจสอบหรือรับรองอย่างเป็นทางการ โดยระบุว่าข้อมูลเหล่านี้อาจกระทบต่อความปลอดภัยของกำลังพล การวางแผนยุทธศาสตร์ และอาจถูกฝ่ายตรงข้ามนำไปใช้ประโยชน์ในการโต้กลับ
"ควรยึดข้อมูลจากหน่วยงานกองทัพเป็นแหล่งอ้างอิงหลัก และหยุดการเผยแพร่ข้อมูลจากแหล่งที่ไม่ผ่านการตรวจสอบ เพราะการเผยแพร่ข้อมูลเร็วเกินไป อาจทำให้ฝ่ายตรงข้ามเตรียมการตอบโต้ล่วงหน้าได้"
สื่อไทย-กัมพูชา สิ่งเหมือนในความต่าง
แม้รายงานข่าวในเหตุการณ์เดียวกันที่ปรากฏในสื่อไทยและกัมพูชาจะแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง แต่ อเล็กซานดรา โกลองบิเอร์ (Alexandra Colombier) นักวิจัยด้านสื่อและการสื่อสารประจำมหาวิทยาลัยเลออาฟวร์ ประเทศฝรั่งเศส ซึ่งศึกษาภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อย่างใกล้ชิด แสดงทัศนะกับบีบีซีไทยว่า สิ่งที่ปรากฏให้เห็นในหน้าสื่อของทั้งสองประเทศนั้นเป็นปฏิกิริยาลักษณะเดียวกันที่ถูกใช้ทั้งสองฝ่ายเพื่อสะท้อนความชอบธรรมของฝ่ายตนเอง
"ฉันคิดว่าวาทกรรมมันเหมือนกันเลย แต่แค่คนละฝั่ง... ฝั่งไทยก็จะพูดว่า 'กัมพูชาเริ่มก่อน' 'เราไม่รู้ว่ากัมพูชาต้องการอะไร' ขณะที่ฝั่งกัมพูชาก็มีวาทกรรมในลักษณะเดียวกัน บอกว่า 'ไทยเริ่มก่อน' 'ไม่ขึ้นศาลโลก' อะไรทำนองนี้ มันคือวาทกรรมเดียวกัน แต่คนละชาติ คนละอัตลักษณ์"
เธอระบุว่าปรากฏการณ์นี้ไม่ได้ถูกผลักดันจากกลไกรัฐเพียงอย่างเดียว ทว่าสื่อยังถูกคาดหวังจากคนในประเทศให้เป็นกระบอกเสียงให้รัฐของตนท่ามกลางภาวะที่ผู้คนในประเทศมีอารมณ์ร่วมในประเด็นดังกล่าวอย่างสูงด้วย
"กัมพูชาหรือไทยก็เหมือนกัน เราไม่สามารถตรวจสอบได้จริง ๆ อีกต่อไปว่าใครผิดใครถูก หรือบางกรณีมันก็เป็นแค่ความตึงเครียดที่เกิดขึ้น แต่เพราะอารมณ์ยังคงรุนแรง คุณพูดอะไรไม่ได้เพราะคุณจะถูกมองว่าเป็นคนขายชาติ" เธอกล่าวกับบีบีซีไทย
นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยเลออาฟวร์ ยังแสดงทัศนะกับบีบีซีไทยด้วยว่า อีกหนึ่งความเหมือนระหว่างสถานการณ์สื่อไทยและกัมพูชา คือปรากฎการณ์ที่สื่อในทั้งสองประเทศ พยายามเผยแพร่ข่าวไปยังผู้ชมต่างชาติ
"ตอนนี้สื่อไม่ว่าจะเป็นของกัมพูชาหรือไทย ดูเหมือนไม่ได้ต้องการพูดกับประชาชนของตัวเองเท่าไรนัก แต่ต้องการพูดกับประชาคมระหว่างประเทศมากกว่า เพื่อชนะใจความคิดเห็นสาธารณะ"
เธออธิบายด้วยว่า เมื่อเทียบกับสื่อไทยแล้ว สื่อกัมพูชามีความได้เปรียบในด้านภาษาอังกฤษ ซึ่งช่วยให้พวกเขาเข้าถึงผู้ชมต่างชาติได้ง่ายขึ้น
"ในกัมพูชามีสื่อภาษาอังกฤษจำนวนมาก ดังนั้นมันจึงง่ายกว่าสำหรับพวกเขาในการเข้าถึงประชาคมระหว่างประเทศ พวกเขาสามารถเข้าถึงประชาคมระหว่างประเทศได้อย่างรวดเร็ว ไม่ใช่เพื่อให้ฝ่ายนั้นอยู่ข้างเดียวกับพวกเขา แต่เพื่อให้เข้าใจจุดยืนของพวกเขา"
เมื่อเปรียบเทียบกับประเทศไทย โกลองบิเอร์กล่าวว่า สื่อไทยเริ่มต้นด้วยการรายงานข่าวเป็นภาษาไทยทั้งหมด ก่อนจะเริ่มผลิตเนื้อหาเป็นภาษาอังกฤษในภายหลัง
"ในช่วงแรก ไม่มีใครพูดภาษาอังกฤษเลย ทุกคนรายงานข่าวเป็นภาษาไทยทั้งหมด แล้วจู่ ๆ ฉันก็เห็นสำนักข่าว The Standard ทำข่าวเป็นภาษาอังกฤษ ซึ่งฉันก็แปลกใจและถามตัวเองว่า พวกเขากำลังพยายามสื่อสารกับใคร ?"

อเล็กซานดรา โกลองบิเอร์ (Alexandra Colombier) นักวิจัยด้านสื่อและการสื่อสารประจำมหาวิทยาลัยเลออาฟวร์ ประเทศฝรั่งเศส ผู้ศึกษาเรื่องเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อย่างใกล้ชิด
"คุณก็รู้ว่าพวกเขากำลังพยายามชนะใจความคิดเห็นสาธารณะเช่นกัน เพราะในช่วงสองวันที่ผ่านมา คุณจะเห็นว่าผู้คนเริ่มเอนเอียงไปทางฝั่งกัมพูชามากขึ้น ดังนั้นคนไทยก็ต้องตอบโต้ ต้องผลิตเนื้อหาเป็นภาษาอังกฤษมากขึ้น"
"มันทำให้เกิดคำถามเกี่ยวกับจริยธรรมของนักข่าว ว่าคุณกำลังสร้างข้อมูลเพื่อประชาชนของคุณเอง เพื่อพลเมืองทั่วไป หรือเพื่อชนะใจประชาคมระหว่างประเทศ" เธอตั้งคำถาม
"สำหรับฉัน [การนำเสนอข่าวเพื่อเอาชนะใจประชาคมระหว่างประเทศ]มันเป็นปัญหา เรากำลังอยู่ในรูปแบบการสื่อสารที่คล้ายกับโฆษณาชวนเชื่อ และไม่ใช่การพยายามถ่ายทอดสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างเป็นกลาง"
สถานการณ์เสรีภาพสื่อในกัมพูชา
อเล็กซานดรายังชี้ให้เห็นด้วยว่าสื่อมวลชนกัมพูชาเผชิญข้อจำกัดมากกว่าไทยในการนำเสนอความคิดที่แตกต่าง
"แน่นอนว่ากัมพูชามีโครงสร้างสื่อที่อ่อนแอกว่าในปัจจุบัน เพราะฮุนเซนอยู่ในอำนาจมาหลายสิบปี และเขาควบคุมสื่อมากขึ้นเรื่อย ๆ โดยเฉพาะหลังการเลือกตั้งครั้งล่าสุดที่เขาปิดสื่อบางแห่ง และควบคุมสื่อบางแห่ง"
องค์กรทะเบียนสื่อนานาชาติ (Global Media Registry) ซึ่งเป็นองค์กรไม่แสวงกำไรสัญชาติเยอรมนีเคยออกรายงานเฝ้าระวังความเป็นเจ้าของสื่อ (Media Ownership Monitor) ปี 2560 ชี้ว่าความเป็นเจ้าของสื่อในกัมพูชานั้นมีลักษณะกระจุกตัวสูง โดยบริษัทและบุคคลที่เป็นเจ้าของสื่อรายใหญ่ของประเทศ ได้แก่ รอยัลกรุ๊ป, ฮุน มานา, แฮง เมียส และ เซ็ง บุญเวง ทั้งหมดนี้รวมกันแล้วควบคุมสื่อที่มีผู้ชมมากถึงร้อยละ 83.4 ของผู้บริโภคสื่อทุกรูปแบบทั่วประเทศ
ขณะที่ ฮุน มานา เป็นธิดาคนโตของสมเด็จฮุน เซน ด้านรอยัลกรุ๊ปที่นำโดย คิธ เม็ง นักธุรกิจสื่อรายใหญ่ของประเทศก็แสดงออกถึงสายสัมพันธ์อันใกล้ชิดกับครอบครัวฮุนอย่างสม่ำเสมอ ภาพของเขาปรากฏเคียงคู่ ฮุน เซน ในวาระทางการและวาระครอบครัว และพบว่ามีการบริจาคเงินในหลายวาระเพื่อสนับสนุนกิจกรรมการกุศลของ ฮุน เซน
องค์กรผู้สื่อข่าวไร้พรมแดน (Reporters Without Borders-RSF) ได้จัดอันดับเสรีภาพสื่อกัมพูชาอยู่อันดับที่ 161 จากจำนวนสื่อใน 180 ประเทศทั่วโลก ขณะที่องค์กรภายในประเทศอย่าง ศูนย์กัมพูชาเพื่อสื่อมวลชนอิสระ (the Cambodian Center for Independent Media - CCIM) รายงานว่า เกือบครึ่งหนึ่งของผู้สื่อข่าวกัมพูชาที่ร่วมการสำรวจในปี 2567 ระบุว่าเสรีภาพของสื่อในประเทศยังคงอยู่ในภาวะชะงักงัน ขณะที่ราว 39% เชื่อว่าสถานการณ์ด้านเสรีภาพสื่อแย่ลงกว่าเดิม
ขณะเดียวกัน ซก ผู้สื่อข่าวออนไลน์ชาวกัมพูชาที่บีบีซีไทยได้สนทนาด้วยก็บอกว่า เขาเห็นตรงกับอเล็กซานดราว่าสถานการณ์สื่อในกัมพูชาตกอยู่ในสภาพยากลำบากมากขึ้นเรื่อย ๆ โดยชี้ให้เห็นจุดเปลี่ยนตั้งแต่ปี 2561 เป็นต้นมา
"หลังจากการปราบปรามสื่ออิสระตั้งแต่ปี 2561 เป็นต้นมา จำนวนของสื่ออิสระในประเทศลดลงอย่างมาก" เขาเล่าถึงช่วงเวลาซึ่งสำนักข่าว The Cambodia Daily ฉบับหนังสือพิมพ์ต้องปิดตัวลงหลังรัฐบาลกัมพูชาสั่งให้ชำระภาษีเป็นจำนวนเงิน 6.3 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 200 ล้านบาท)

อดีตที่ทำการของสำนักข่าว Voice of Democracy (VOD) ในกรุงพนมเปญ หลังถูกสั่งปิดเมื่อวันที่ 12 ก.พ. 66
ต่อมาในปี พ.ศ. 2566 Voice of Democracy หนึ่งในสื่ออิสระ "แห่งสุดท้าย" ของกัมพูชา ต้องปิดตัวลงหลังนายกรัฐมนตรี ฮุน มาเนต ลงนามในคำสั่งเพิกถอนใบอนุญาตประกอบกิจการสื่อ
ปัจจุบันสื่อทั้งสองกลับมาเผยแพร่ข่าวอีกครั้งแล้ว โดยเปลี่ยนเป็นการเผยแพร่ทางช่องทางออนไลน์ช่องทางเดียวจากสำนักงานใหญ่ที่ตั้งอยู่ในสหรัฐอเมริกา
คนกัมพูชาไม่ได้เชื่อรัฐบาลเสมอไป
นอกจากกฎหมายที่เข้มงวดซึ่งทางการกัมพูชาบังคับใช้กับสำนักข่าวอิสระแล้ว การแสดงความคิดเห็นของภาคประชาชนเพื่อจุดประเด็นขัดแย้งกับรัฐก็เป็นไปได้ยากเช่นกัน
อเล็กซานดรา โกลองบิเอร์ ยกตัวอย่างกรณีของกัมพูชาซึ่งรัฐบาลได้ประกาศใช้ระบบ "เกตเวย์อินเทอร์เน็ตแห่งชาติ (National Internet Gateway)" เพื่อควบคุมและตรวจสอบการใช้อินเทอร์เน็ตภายในประเทศ ปัจจุบันโครงการนี้ไม่มีการรายงานความคืบหน้า ทว่าได้มีการอนุมัติกรอบกฎหมายที่จำเป็นไปตั้งแต่ปี 2565
เธอชี้ให้เห็นว่า ความไม่แน่นอนและความกลัวต่อการถูกตรวจสอบหรือถูกลงโทษจากรัฐ ทำให้ผู้คนจำนวนมากเลือกที่จะเงียบเสียงของตนเองในพื้นที่สาธารณะออนไลน์และเปลี่ยนไปเปิดบทสนทนาในพื้นที่พูดคุยแบบปิดแทน
"ชาวกัมพูชาใช้แอปพลิเคชัน Telegram กันเยอะมาก และฉันมั่นใจว่าพวกเขากำลังพูดคุยเรื่องการเมืองกันในนั้น"
ท้ายที่สุด โกลองบิเอร์กล่าวถึงบทความของ เซา พานนาฮี บรรณาธิการบริหารสื่อที่ชื่อ Cambodianess ของกัมพูชา ที่เผยแพร่ก่อนสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชาจะทวีความรุนแรง
"เขาเขียนว่า รัฐบาลไทยและรัฐบาลกัมพูชาต่างก็มีส่วนในการโหมกระแสความตึงเครียด ฉันคิดว่านั่นเป็นเรื่องที่น่าสนใจ เพราะเขาไม่ได้กล่าวโทษแค่ฝ่ายไทย แต่พูดถึงทั้งสองฝ่าย และฉันคิดว่ามันกล้าหาญมากที่เขาพูดแบบนั้น เพราะเรารู้ว่าเสรีภาพในการแสดงออกในกัมพูชายังไม่เปิดกว้างนัก"
ตอนท้ายของบทความ นักข่าวคนดังกล่าวยังเขียนถึงความรักชาติของประชาชนกัมพูชา ซึ่งโกลองบิเอร์มองว่าเป็นการสะท้อนความจริงที่ว่า ชาวกัมพูชาไม่ได้จำเป็นต้องเห็นด้วยกับรัฐบาลเสมอไป แต่ยังคงรู้สึกผูกพันกับประเทศของตน
"คุณไม่จำเป็นต้องรักรัฐบาลของคุณ แต่คนส่วนใหญ่รักประเทศของตน และอยากปกป้องมัน สิ่งที่ดูเหมือนว่าชาวกัมพูชากำลังฟังรัฐบาล อาจเป็นเพราะพวกเขาพูดถึงรัฐบาลในแง่ลบได้แค่ในที่ส่วนตัว แต่ในที่สาธารณะ พวกเขาจะพูดว่า 'นี่คือประเทศของฉัน ฉันต้องการปกป้องมัน'"
"มันทำให้ฉันคิดว่า ภาพจำที่คนไทยจำนวนมากมีต่อชาวกัมพูชา อาจไม่ใช่ความจริงทั้งหมด"
https://www.bbc.com/thai/articles/ckgj9nj8q2yo