
"ฉันได้ยินเสียงดังกระหึ่ม และเสียงดังตูมตามจากแถวบ้านฉันด้วย" ฮวด ตึง หญิงชาวกัมพูชาที่จังหวัดอุดรมีชัย
"ฉันแค่ขอให้ไม่มีสงคราม" เสียงแห่งความทุกข์ที่ไม่เลือกหน้าของชาวกัมพูชา และการรับข่าวสารเหตุสู้รบชายแดน
7 hours ago
บีบีซีไทย
เมื่อเสียงสู้รบที่ชายแดนไทย-กัมพูชา ดังขึ้นในเช้าวันที่ 24 ก.ค. ขณะที่สังคมไทยได้เห็นภาพความสูญเสียของพลเรือนไทยที่ต้องอาวุธหนักเข้ามาไกลถึงแผ่นดิน จ.ศรีสะเกษ ถึง 40 กิโลเมตร และผู้คนนับแสนชีวิตที่ต้องอพยพจากบ้านไปยังที่ปลอดภัย ชะตากรรมเช่นนี้ยังเกิดกับผู้คนที่อยู่อีกฟากฝั่งของเขตแดนด้วย
ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นระหว่างบุคคลระดับผู้นำรัฐบาลและกองทัพของทั้งสองประเทศจากประเด็นพิพาททางเขตแดนและกลุ่มปราสาทชายแดน ทำให้เกิดความสูญเสีย เดือดร้อน และทุกข์ยากให้กับประชาชนทั้งสองชาติอย่างไม่เลือกหน้า
นริน ซุน ผู้สื่อข่าวพิเศษบีบีซีไทย ซึ่งอยู่ในพื้นที่ชายแดนฝั่งกัมพูชา จ.อุดรมีชัย บันทึกความเป็นไปในช่วงแรก ๆ หลังเกิดการปะทะจากพื้นที่อพยพฝั่งกัมพูชา ตลอดจนเสียงความคิดเห็นชาวกัมพูชานอกพื้นที่สู้รบ ว่าพวกเขารับรู้ข้อมูลข่าวสารและมีความคิดเห็นต่อความขัดแย้งครั้งนี้อย่างไร
"ฉันแค่ขอให้ไม่มีสงคราม" เสียงแห่งความทุกข์ที่ไม่เลือกหน้าของชาวกัมพูชา และการรับข่าวสารเหตุสู้รบชายแดน
7 hours ago
บีบีซีไทย
เมื่อเสียงสู้รบที่ชายแดนไทย-กัมพูชา ดังขึ้นในเช้าวันที่ 24 ก.ค. ขณะที่สังคมไทยได้เห็นภาพความสูญเสียของพลเรือนไทยที่ต้องอาวุธหนักเข้ามาไกลถึงแผ่นดิน จ.ศรีสะเกษ ถึง 40 กิโลเมตร และผู้คนนับแสนชีวิตที่ต้องอพยพจากบ้านไปยังที่ปลอดภัย ชะตากรรมเช่นนี้ยังเกิดกับผู้คนที่อยู่อีกฟากฝั่งของเขตแดนด้วย
ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นระหว่างบุคคลระดับผู้นำรัฐบาลและกองทัพของทั้งสองประเทศจากประเด็นพิพาททางเขตแดนและกลุ่มปราสาทชายแดน ทำให้เกิดความสูญเสีย เดือดร้อน และทุกข์ยากให้กับประชาชนทั้งสองชาติอย่างไม่เลือกหน้า
นริน ซุน ผู้สื่อข่าวพิเศษบีบีซีไทย ซึ่งอยู่ในพื้นที่ชายแดนฝั่งกัมพูชา จ.อุดรมีชัย บันทึกความเป็นไปในช่วงแรก ๆ หลังเกิดการปะทะจากพื้นที่อพยพฝั่งกัมพูชา ตลอดจนเสียงความคิดเห็นชาวกัมพูชานอกพื้นที่สู้รบ ว่าพวกเขารับรู้ข้อมูลข่าวสารและมีความคิดเห็นต่อความขัดแย้งครั้งนี้อย่างไร

"ผมออกจากบ้านมาเพราะผมกลัวลูกกระสุน"
พื้นที่โล่งแห่งหนึ่งที่มีต้นไม้ประปรายใน จ.อุดรมีชัย ถูกจัดให้เป็นพื้นที่อพยพพักพิงชั่วคราวของชาวบ้านที่อยู่ชายแดน
รถอีแต๋นหรือรถไถนาที่คนไทยมักจะคุ้นเคยในสังคมเกษตรกรรมถูกใช้ต่างยานพาหนะที่ครอบครัวชาวกัมพูชาแต่ละบ้านต่างขนย้ายครอบครัวมายังพื้นที่อพยพแห่งนั้น รถบางคันมีหลังคาที่ทำจากผืนผ้าใบพลาสติก บางครอบครัวตอกเสาไม้ง่ามขนาดไม่ใหญ่นักเพื่อขึงกางผืนผ้าใบสำหรับหลบแดดหลบฝน

ยอม เสียน ชายชาวกัมพูชา วัย 44 ปี มีบ้านอยู่ห่างจากปราสาทตาเมือน 30 กิโลเมตร ใน อ.สำโรง จ.อุดรมีชัย เขาอพยพมาที่จุดพักพิงจุดนี้ซึ่งไกลจากชายแดนราว 100 กิโลเมตร เมื่อวันที่ 25 ก.ค. กับภรรยา ลูก ๆ 4 คน และแม่ของเขา
"ผมออกจากบ้านมาเพราะผมกลัวลูกกระสุน ผมกังวลเกี่ยวกับชีวิตลูก ๆ"
ผู้สื่อข่าวพิเศษบีบีซีไทยพูดคุยกับเขาก่อนการหยุดยิงในวันที่ 28 ก.ค. เขาเล่าว่าหนึ่งในความกังวลหลัก ๆ ของเขาตอนนั้นเป็นเรื่องของอาหารที่จะพยุงชีวิต
"ตอนนี้ผมเป็นกังวลว่าเราจะไม่มีอาหารกิน หากการสู้รบเกิดขึ้นต่อไปนานกว่านี้ ผมไม่รู้ว่าทำไมพวกเขาถึงรบกัน พวกเขาจะรบกันเพราะวัดและแผ่นดิน ผมต้องการให้พวกเขาหยุดสู้รบกันตอนนี้เลย ผมจะได้กลับบ้านได้ กลับไปเลี้ยงวัว 9 ตัว และดูแลเป็ดไก่ที่เลี้ยงไว้" ชาวกัมพูชาที่ยังชีพด้วยการทำนาและปลูกมันสำปะหลังกล่าว

ยอม เสียน ชายชาวกัมพูชา มีบ้านอยู่ห่างจากปราสาทตาเมือน 30 กิโลเมตร
ณ วันที่ 25 ก.ค. หรือวันที่สองของเหตุสู้รบชายแดน ทางการไทยเปิดเผยว่ามีประชาชนใน 4 จังหวัดของไทย อพยพไปยังศูนย์พักพิงชั่วคราวกว่า 130,000 คน ส่วนฝั่งกัมพูชา ตัวเลขผู้อพยพจากทางการในวันเดียวกัน (25 ก.ค.) ระบุว่า มีประชาชน 11,558 ครัวเรือนใน จ.พระวิหาร และอีก 6,657 ครัวเรือนใน จ.อุดรมีชัย ต้องหนีไปอยู่ในที่ปลอดภัย
เมื่อถามว่าเขาคิดอย่างไรต่อการสู้รบครั้งนี้ ยอม เสียน กล่าวว่า "ผมรู้ว่าทั้งไทยและกัมพูชาต่างก็กล่าวหากัน แต่ผมคิดว่าประเทศไทยเปิดการยิงก่อน ผมอยากให้ทั้งสองประเทศเจรจากันดี ๆ เพราะผมกลัวว่าต่อไปจะไม่มีอาหารกิน"
"ฉันแค่ขอให้ไม่มีสงคราม"
ฮวด ตึง หญิงชาวกัมพูชาจาก อ.สำโรง จ.อุดรมีชัย วัย 52 ปี อพยพออกจากบ้านมายังจุดพักพิงเมื่อวันที่ 28 ก.ค.
"ฉันต้องจากบ้านมา เพราะกลัวโดนระเบิดจากบนฟ้า ลูก ๆ ของฉันก็ออกมาแล้ว แต่สามีของฉันยังอยู่บ้านเพราะเขาต้องดูแลบ้าน ดูแลหมู 4 ตัว วัว 2 ตัว และไก่อีกจำนวนหนึ่ง" ฮวดเล่าที่จุดอพยพ
"ฉันได้ยินเสียงดังกระหึ่ม และเสียงดังตูมตามจากแถวบ้านฉันด้วย"
ในการสู้รบที่เพิ่งเกิดครั้งนี้ ฮวดรู้ว่ากัมพูชาและไทยมีความขัดแย้งกัน แต่เธอไม่รู้แน่ชัดว่าทำไมทั้งสองชาติถึงมีเรื่องพิพาทกัน และแม้เธอจะเห็นว่าปราสาทเป็นของประเทศของเธอ แต่ก็แสดงความเห็นใจต่อคนทั้งสองประเทศ
"ฉันรู้ว่าพวกเขากำลังแย่งชิงปราสาท ปราสาทเหล่านั้นคือของเรา ตั้งอยู่บนดินแดนของเรา ทั้งกัมพูชาและไทยต่างก็อ้างสิทธิ์ในปราสาทเหล่านั้น ฉันไม่รู้ว่าใครถูกหรือผิด แต่ฉันสงสารคนทั้งสองประเทศ แต่ฉันปกป้องประเทศของฉัน" เธอกล่าว และแสดงความเห็นจากการรับรู้ของเธอ โดยคิดว่าประเทศไทยเป็นฝ่ายผิดที่ยิงใส่กัมพูชาและอ้างสิทธิ์ในดินแดน
ทั้งนี้ พื้นที่บริเวณกลุ่มปราสาทหิน ได้แก่ ปราสาทตาควายและปราสาทตาเมือนธม เป็นหนึ่งในพื้นที่พิพาทที่ทางฝ่ายกัมพูชาต้องการนำเข้าสู่การพิจารณาของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) หรือศาลโลก
ก่อนที่ความขัดแย้งจะยกระดับขึ้นในวันที่ 24 ก.ค. กลุ่มปราสาทตาเมือนเหล่านี้อยู่ภายใต้การดูแลพื้นที่ร่วมกันของทั้งทหารกัมพูชาและไทย ซึ่งเป็นไปตามข้อตกลงในการรักษาความสงบเรียบร้อยตามแนวชายแดน อย่างไรก็ตาม กรมศิลปากรของไทยได้ขึ้นทะเบียนกลุ่มปราสาทแห่งนี้เป็นโบราณสถานของชาติมาตั้งแต่ปี 2478 และยืนยันว่าเป็นดินแดนของไทย ขณะที่กัมพูชาก็อ้างสิทธิ์บนปราสาทเหล่านี้เช่นกัน
พื้นที่อพยพแห่งนี้อยู่ห่างจากหมู่บ้านของชาวบ้านกัมพูชาที่ผู้สื่อข่าวสัมภาษณ์ราว 100 กิโลเมตร
"กัมพูชาไม่ได้ต้องการสงคราม เพราะเรามีสงครามมาหลายหนแล้ว มันลำบากมาก เราไม่มีข้าวจะกิน ฉันคิดว่าการยิงที่เกิดจากทั้งสองประเทศมันมาตกลงในพื้นที่ที่ประชาชนอยู่ ฉันอยากให้มีการหยุดยิงในวันนี้เลย และอยากให้ยุติการยิงทันที" ฮวดกล่าวเมื่อวันที่ 28 ก.ค. ก่อนที่ทั้งสองประเทศจะเริ่มการหยุดยิงอย่างเป็นทางการเมื่อเที่ยงคืนของวันที่ 28 ก.ค.
"สงครามนี้ทำให้คนทั้งสองประเทศต้องตกอยู่ในความทุกข์ยากลำบาก เราไม่ได้ต้องการสงคราม ฉันไม่ได้อคติหรือเกลียดคนไทยทุกคน บางคนก็ดี บางคนก็ไม่ดี ฉันแค่ขอให้ไม่มีสงคราม เราไม่มีอาหารจะกิน เราไม่มีแม้แต่เงิน"
คลิปวิดีโอจากสำนักข่าวเรดิโอฟรีเอเชีย เผยให้เห็นเหตุการณ์ระหว่างที่ชาวกัมพูชาอพยพท่ามกลางเสียงอาวุธที่ไม่ทราบฝ่ายที่ดังต่อเนื่องเมื่อ 24 ก.ค. ในคืนวันเดียวกันชาวบ้านกัมพูชาก็ใช้รถไถนาอพยพหนีออกจากบริเวณชายแดนไปยังพื้นที่ที่สงบ
"ตอน 8 โมงเช้านี้ (24 ก.ค.) ฉันได้ยินเสียงดังมาก ลูกชายฉันบอกว่ามันอาจเป็นเสียงฟ้าผ่า แต่ฉันคิดว่ามันเป็นเสียงฟ้าผ่าหรือเสียงอย่างอื่นเหมือนเสียงปืนหรือเปล่า ตอนนั้นฉันกลัวมาก" เทพ สวรรค์ หญิงชาวกัมพูชาพลัดถิ่นกล่าวกับสำนักข่าวเอพี ซึ่งเผยแพร่อยู่บนเว็บไซต์ของเรดิโอฟรีเอเชีย
คลิปวิดีโอจากเรดิโอฟรีเอเชีย ขแมร์ (RFA Khmer) เผยภาพความเสียหายของบ้านและปั๊มน้ำมันของชาวกัมพูชา ใน อ.สำโรง จ.อุดรมีชัย ซึ่งอ้างว่าเกิดจากการโจมตีของกองทัพฝ่ายไทย สถานที่ดังกล่าวเกิดไฟไหม้เสียหาย แต่สมาชิกครอบครัว 8 คนหนีออกมาทันก่อนที่เหตุการณ์จะรุนแรงขึ้น
ทั้งนี้ ตามข้อมูลที่ผู้สื่อข่าวมี ไม่แน่ชัดว่าชาวกัมพูชาในพื้นที่ชายแดนได้รับการแจ้งเตือนจากทางการให้อพยพจากบ้านเรือนในพื้นที่เสี่ยงหรือไม่ แต่จากชาวกัมพูชาที่ผู้สื่อข่าวพิเศษบีบีซีไทยได้พูดคุยต่างบอกว่า พวกเขาต่างตาม ๆ กันออกมาจากบ้านเพื่อไปยังจุดอพยพ
ในวันแรกของเหตุปะทะ ทางการกัมพูชาไม่ได้เปิดเผยตัวเลขพลเรือนที่อพยพอย่างเป็นทางการ แต่รายงานของทางการระบุว่า ในช่วงที่มีผู้อพยพสูงสุดมีจำนวนเกือบ 2 แสนคน
ผู้สื่อข่าวพิเศษของบีบีซีไทยรายงานว่า ชาวบ้านกัมพูชาบางส่วนได้เดินทางกลับบ้านของตนเอง แต่ก็ต้องกลับมายังศูนย์อพยพอีกครั้งเมื่อคืนที่ผ่านมา (5 ส.ค.) หลังจากมีรายงานว่าอาจมีการปะทะเกิดขึ้นอีกครั้ง แต่ท้ายที่สุดก็ไม่ได้เกิดขึ้นแต่อย่างใด หลังจากที่กระทรวงกลาโหมกัมพูชาอ้างเมื่อวานนี้ว่าทหารไทยได้นำเครื่องจักรหนักเข้ามาในพื้นที่เขตอาน เซะ (An Ses) ซึ่งฝ่ายไทยเรียกว่าบริเวณช่องอานม้า จ.อุบลราชธานี และนำรั้วลวดหนามมาวางล้อม แม้ทหารกัมพูชาจะคัดค้าน
ในเหตุการณ์เดียวกัน พ.อ.ริชฌา สุขสุวานนท์ รองโฆษกกองทัพบก ชี้แจงว่าที่บริเวณช่องอานม้า กำลังพลฝ่ายไทยตรวจพบทหารกัมพูชา 5 นาย เข้ามาตัดลวดหีบเพลงในบริเวณตลาดช่องอานม้า ที่ฝ่ายไทยกางลวดไว้เพื่อเป็นแนวเขต ทำให้ทหารไทยเข้าไปสั่งให้ยุติและให้ทหารกัมพูชาถอยออกจากพื้นที่ดังกล่าว
ล่าสุด วันนี้ (6 ส.ค.) สำนักโฆษกสำนักคณะรัฐมนตรีกัมพูชา เปิดเผยข้อมูลจำนวนผู้อพยพ ณ วันที่ 4 ส.ค. 2568 ว่าอยู่ที่ 124,940 คน มากที่สุดใน จ.พระวิหาร และ จ.อุดรมีชัย
คนกัมพูชานอกพื้นที่สู้รบคิดเห็นอย่างไรกับเหตุปะทะชายแดน
การรับรู้สถานการณ์การสู้รบจากข่าวสารที่ไหลเวียนในประเทศกัมพูชายังแตกต่างจากในประเทศไทยอย่างสิ้นเชิง
ก่อนหน้านี้ ผู้สื่อข่าวชาวกัมพูชารายหนึ่งได้ให้สัมภาษณ์บีบีซีไทยว่า "สื่อกัมพูชามองว่าไทยเป็นฝ่ายรุกราน และโจมตีพลเรือนฝ่ายเรา" แต่ก็ยอมรับว่าสื่อในกัมพูชาเองต้องเผชิญกับข้อจำกัดในการรายงานข่าว โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่เกิดความขัดแย้ง "ในสถานการณ์เช่นนี้ สื่อที่มีแนวทางสอดคล้องกับรัฐมักเป็นฝ่ายครอบงำการเล่าเรื่อง"
เมื่อพูดคุยกับชาวกัมพูชาที่อาศัยอยู่ในกรุงพนมเปญ เมืองหลวงของประเทศ ทัศนะความคิดความเชื่อของพวกเขาก็เป็นไปตามการรับรู้ข้อมูลข่าวสารจากสื่อและทางการกัมพูชา
โสเทีย วันนัก ชาวกัมพูชาเจ้าของร้านอาหารในพนมเปญ อายุ 38 ปี บอกกับผู้สื่อข่าวพิเศษบีบีซีไทยว่า เขาติดตามข่าวจากแหล่งของรัฐบาลและกระทรวงกลาโหมของกัมพูชาเป็นหลัก เนื่องจากอ่านข่าวภาษาอังกฤษไม่ค่อยได้ นอกจากนี้เขาก็ติดตามสำนักข่าวที่มีผู้สื่อข่าวไปทำข่าวในพื้นที่ความขัดแย้งด้วย โสเทียยอมรับว่ามีข่าวปลอมบางส่วนที่แพร่ในโซเชียลมีเดีย แต่เขาไม่อ่านข่าวพวกนั้น
"ชาวกัมพูชาก็ติดตามข่าวจากฝั่งกัมพูชา ส่วนชาวไทยก็ติดตามข่าวจากฝั่งไทย ผมต้องพิจารณาว่าจะเชื่อฝั่งไหน และผมเชื่อข่าวจากฝั่งกัมพูชา" โสเทียกล่าว
ส่วน เคียม ฮอน กิมเลียง ชาวกรุงพนมเปญวัย 32 ปี บอกว่าเขาติดตามข่าวจากรัฐบาล กระทรวงกลาโหม ตามข่าวจากผู้นำอย่างนายกรัฐมนตรี และสำนักข่าวที่น่าเชื่อถือ อย่างวิทยุฝรั่งเศสนานาชาติที่อยู่ในพนมเปญ และซีเอ็นเอ็น
"ผมพยายามจะอ่านข่าวจากเว็บไซต์ไทยด้วย แต่การเข้าถึงของผมถูกปิดกั้นจากกัมพูชา ผมไม่รู้ว่าทำไม"
"กัมพูชาไม่ได้ต้องการสงคราม เพราะเรามีสงครามมาหลายหนแล้ว มันลำบากมาก เราไม่มีข้าวจะกิน ฉันคิดว่าการยิงที่เกิดจากทั้งสองประเทศมันมาตกลงในพื้นที่ที่ประชาชนอยู่ ฉันอยากให้มีการหยุดยิงในวันนี้เลย และอยากให้ยุติการยิงทันที" ฮวดกล่าวเมื่อวันที่ 28 ก.ค. ก่อนที่ทั้งสองประเทศจะเริ่มการหยุดยิงอย่างเป็นทางการเมื่อเที่ยงคืนของวันที่ 28 ก.ค.
"สงครามนี้ทำให้คนทั้งสองประเทศต้องตกอยู่ในความทุกข์ยากลำบาก เราไม่ได้ต้องการสงคราม ฉันไม่ได้อคติหรือเกลียดคนไทยทุกคน บางคนก็ดี บางคนก็ไม่ดี ฉันแค่ขอให้ไม่มีสงคราม เราไม่มีอาหารจะกิน เราไม่มีแม้แต่เงิน"
คลิปวิดีโอจากสำนักข่าวเรดิโอฟรีเอเชีย เผยให้เห็นเหตุการณ์ระหว่างที่ชาวกัมพูชาอพยพท่ามกลางเสียงอาวุธที่ไม่ทราบฝ่ายที่ดังต่อเนื่องเมื่อ 24 ก.ค. ในคืนวันเดียวกันชาวบ้านกัมพูชาก็ใช้รถไถนาอพยพหนีออกจากบริเวณชายแดนไปยังพื้นที่ที่สงบ
"ตอน 8 โมงเช้านี้ (24 ก.ค.) ฉันได้ยินเสียงดังมาก ลูกชายฉันบอกว่ามันอาจเป็นเสียงฟ้าผ่า แต่ฉันคิดว่ามันเป็นเสียงฟ้าผ่าหรือเสียงอย่างอื่นเหมือนเสียงปืนหรือเปล่า ตอนนั้นฉันกลัวมาก" เทพ สวรรค์ หญิงชาวกัมพูชาพลัดถิ่นกล่าวกับสำนักข่าวเอพี ซึ่งเผยแพร่อยู่บนเว็บไซต์ของเรดิโอฟรีเอเชีย
คลิปวิดีโอจากเรดิโอฟรีเอเชีย ขแมร์ (RFA Khmer) เผยภาพความเสียหายของบ้านและปั๊มน้ำมันของชาวกัมพูชา ใน อ.สำโรง จ.อุดรมีชัย ซึ่งอ้างว่าเกิดจากการโจมตีของกองทัพฝ่ายไทย สถานที่ดังกล่าวเกิดไฟไหม้เสียหาย แต่สมาชิกครอบครัว 8 คนหนีออกมาทันก่อนที่เหตุการณ์จะรุนแรงขึ้น
ทั้งนี้ ตามข้อมูลที่ผู้สื่อข่าวมี ไม่แน่ชัดว่าชาวกัมพูชาในพื้นที่ชายแดนได้รับการแจ้งเตือนจากทางการให้อพยพจากบ้านเรือนในพื้นที่เสี่ยงหรือไม่ แต่จากชาวกัมพูชาที่ผู้สื่อข่าวพิเศษบีบีซีไทยได้พูดคุยต่างบอกว่า พวกเขาต่างตาม ๆ กันออกมาจากบ้านเพื่อไปยังจุดอพยพ
ในวันแรกของเหตุปะทะ ทางการกัมพูชาไม่ได้เปิดเผยตัวเลขพลเรือนที่อพยพอย่างเป็นทางการ แต่รายงานของทางการระบุว่า ในช่วงที่มีผู้อพยพสูงสุดมีจำนวนเกือบ 2 แสนคน
ผู้สื่อข่าวพิเศษของบีบีซีไทยรายงานว่า ชาวบ้านกัมพูชาบางส่วนได้เดินทางกลับบ้านของตนเอง แต่ก็ต้องกลับมายังศูนย์อพยพอีกครั้งเมื่อคืนที่ผ่านมา (5 ส.ค.) หลังจากมีรายงานว่าอาจมีการปะทะเกิดขึ้นอีกครั้ง แต่ท้ายที่สุดก็ไม่ได้เกิดขึ้นแต่อย่างใด หลังจากที่กระทรวงกลาโหมกัมพูชาอ้างเมื่อวานนี้ว่าทหารไทยได้นำเครื่องจักรหนักเข้ามาในพื้นที่เขตอาน เซะ (An Ses) ซึ่งฝ่ายไทยเรียกว่าบริเวณช่องอานม้า จ.อุบลราชธานี และนำรั้วลวดหนามมาวางล้อม แม้ทหารกัมพูชาจะคัดค้าน
ในเหตุการณ์เดียวกัน พ.อ.ริชฌา สุขสุวานนท์ รองโฆษกกองทัพบก ชี้แจงว่าที่บริเวณช่องอานม้า กำลังพลฝ่ายไทยตรวจพบทหารกัมพูชา 5 นาย เข้ามาตัดลวดหีบเพลงในบริเวณตลาดช่องอานม้า ที่ฝ่ายไทยกางลวดไว้เพื่อเป็นแนวเขต ทำให้ทหารไทยเข้าไปสั่งให้ยุติและให้ทหารกัมพูชาถอยออกจากพื้นที่ดังกล่าว
ล่าสุด วันนี้ (6 ส.ค.) สำนักโฆษกสำนักคณะรัฐมนตรีกัมพูชา เปิดเผยข้อมูลจำนวนผู้อพยพ ณ วันที่ 4 ส.ค. 2568 ว่าอยู่ที่ 124,940 คน มากที่สุดใน จ.พระวิหาร และ จ.อุดรมีชัย
คนกัมพูชานอกพื้นที่สู้รบคิดเห็นอย่างไรกับเหตุปะทะชายแดน
การรับรู้สถานการณ์การสู้รบจากข่าวสารที่ไหลเวียนในประเทศกัมพูชายังแตกต่างจากในประเทศไทยอย่างสิ้นเชิง
ก่อนหน้านี้ ผู้สื่อข่าวชาวกัมพูชารายหนึ่งได้ให้สัมภาษณ์บีบีซีไทยว่า "สื่อกัมพูชามองว่าไทยเป็นฝ่ายรุกราน และโจมตีพลเรือนฝ่ายเรา" แต่ก็ยอมรับว่าสื่อในกัมพูชาเองต้องเผชิญกับข้อจำกัดในการรายงานข่าว โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่เกิดความขัดแย้ง "ในสถานการณ์เช่นนี้ สื่อที่มีแนวทางสอดคล้องกับรัฐมักเป็นฝ่ายครอบงำการเล่าเรื่อง"
เมื่อพูดคุยกับชาวกัมพูชาที่อาศัยอยู่ในกรุงพนมเปญ เมืองหลวงของประเทศ ทัศนะความคิดความเชื่อของพวกเขาก็เป็นไปตามการรับรู้ข้อมูลข่าวสารจากสื่อและทางการกัมพูชา
โสเทีย วันนัก ชาวกัมพูชาเจ้าของร้านอาหารในพนมเปญ อายุ 38 ปี บอกกับผู้สื่อข่าวพิเศษบีบีซีไทยว่า เขาติดตามข่าวจากแหล่งของรัฐบาลและกระทรวงกลาโหมของกัมพูชาเป็นหลัก เนื่องจากอ่านข่าวภาษาอังกฤษไม่ค่อยได้ นอกจากนี้เขาก็ติดตามสำนักข่าวที่มีผู้สื่อข่าวไปทำข่าวในพื้นที่ความขัดแย้งด้วย โสเทียยอมรับว่ามีข่าวปลอมบางส่วนที่แพร่ในโซเชียลมีเดีย แต่เขาไม่อ่านข่าวพวกนั้น
"ชาวกัมพูชาก็ติดตามข่าวจากฝั่งกัมพูชา ส่วนชาวไทยก็ติดตามข่าวจากฝั่งไทย ผมต้องพิจารณาว่าจะเชื่อฝั่งไหน และผมเชื่อข่าวจากฝั่งกัมพูชา" โสเทียกล่าว
ส่วน เคียม ฮอน กิมเลียง ชาวกรุงพนมเปญวัย 32 ปี บอกว่าเขาติดตามข่าวจากรัฐบาล กระทรวงกลาโหม ตามข่าวจากผู้นำอย่างนายกรัฐมนตรี และสำนักข่าวที่น่าเชื่อถือ อย่างวิทยุฝรั่งเศสนานาชาติที่อยู่ในพนมเปญ และซีเอ็นเอ็น
"ผมพยายามจะอ่านข่าวจากเว็บไซต์ไทยด้วย แต่การเข้าถึงของผมถูกปิดกั้นจากกัมพูชา ผมไม่รู้ว่าทำไม"

โสเทีย วันนัก เจ้าของร้านอาหารในพนมเปญ
ผู้ประกอบการร้านอาหารชาวกัมพูชาคนนี้ เห็นว่าเป็นเรื่องธรรมดาที่ประเทศที่อ่อนแอกว่าจะไม่อยากทำสงครามกับประเทศที่แข็งแกร่งกว่าอย่างไทย แต่กัมพูชาก็ไม่สามารถยอมรับการบุกรุกหรือการละเมิดดินแดนได้ เขายืนยันว่ากัมพูชาต้องปกป้องอธิปไตยของตนเอง
ทั้งนี้ ทั้งโสเทียและเคียม เชื่อว่าเหตุการณ์ที่ทหารไทยเหยียบกับระเบิดเป็นเพราะว่าเข้ามาในพื้นที่ต้องห้าม ซึ่งเป็นอาณาเขตของกัมพูชา และเหตุการณ์โรงพยาบาลและปั๊มน้ำมันในไทยที่ถูกโจมตีก็เป็น "การจัดฉาก" โดยฝ่ายไทย
ความรับรู้ต่อเหตุการณ์ดังกล่าวแตกต่างชนิดตรงกันข้ามกับหลักฐานที่พบในฝั่งประเทศไทย ซึ่งทางการไทยยืนยันว่าพลเรือนที่เสียชีวิตและบาดเจ็บในฝั่งไทยเกิดจากอาวุธหนักที่ยิงมาจากกัมพูชา ทั้งบ้านเรือนประชาชน สถานีบริการน้ำมัน โรงพยาบาลพนมดงรัก จ.สุรินทร์ และโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลใน จ.ศรีสะเกษ
เหตุการณ์ที่สถานีบริการน้ำมัน ปตท. บ้านผือ อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ เมื่อวันที่ 24 ก.ค. ที่ถูกโจมตีด้วยอาวุธหนักของกัมพูชา เป็นเหตุให้มีพลเรือนชาวไทยเสียชีวิต 8 ราย จากการเก็บพิสูจน์หลักฐานของเจ้าหน้าที่ชุดเก็บกู้ระเบิดของกองบังคับการตำรวจภูธรจังหวัดศรีสะเกษพบหลักฐานชิ้นส่วนระเบิด BM-21 ซึ่งเจ้าหน้าที่ระบุว่าไทยไม่มีเครื่องยิงระเบิดชนิดนี้
คณะทูตต่างชาติและผู้ช่วยทูตทหาร 23 ประเทศ พร้อมด้วยสื่อมวลชนทั้งไทยและต่างชาติ เดินทางลงพื้นที่ไปยัง จ.อุบลราชธานี และ จ.ศรีสะเกษ เพื่อสังเกตการณ์พื้นที่ชายแดนที่ได้รับผลกระทบจากความขัดแย้งและการปะทะระหว่างไทยและกัมพูชา โดยฝ่ายผู้แทนของกรมการข่าวทหารบก ได้บรรยายไล่เรียงภาพเหตุการณ์และเวลาที่อาวุธหนักของฝ่ายกัมพูชาถูกยิงเข้ามาฝั่งไทยในพื้นที่พลเรือนหลายจุด ทั้งเหตุการณ์ที่โรงพยาบาลพนมดงรัก จ.สุรินทร์, ปั๊ม ปตท.บ้านผือ ต.หนองหญ้าลาด อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ, ชุมชนบริเวณศูนย์พัฒนาพื้นที่ชายแดน อ.กาบเชิง จ.สุรินทร์ เป็นต้น พร้อมเผยภาพเหตุการณ์เมื่อวันที่ 24 ก.ค. อาทิ ภาพของยายที่ประคองหลานที่แน่นิ่งจากการถูกอาวุธหนักโจมตีที่บ้านใน จ.สุรินทร์

ปั๊มน้ำมัน ปตท.บ้านผือ ต.หนองหญ้าลาด อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ ได้รับผลกระทบจากอาวุธของฝั่งกัมพูชา เมื่อ 24 ก.ค. 2568
เมื่อถามชาวกัมพูชาทั้งสองคนว่าพวกเขาคิดว่าอะไรเป็นชนวนเหตุของการสู้รบครั้งนี้ โสเทียไม่คิดว่าความขัดแย้งทางการเมืองระหว่าง ฮุน เซน กับทักษิณจะเป็นสาเหตุ เขามองว่า "กองทัพไทยต่างหากที่สร้างความขัดแย้งขึ้นมา เพราะพวกเขาต้องการรุกรานดินแดนและปราสาทของกัมพูชา"
"ผมไม่แปลกใจเกี่ยวกับสงครามน้ำลายระหว่าง ฮุน เซน กับทักษิณ เพราะพวกเขาเป็นนักการเมือง ประเทศไทยเป็นฝ่ายรุกราน ตามประวัติศาสตร์ที่เคยเกิดขึ้นมา"
ส่วน เคียม เชื่อว่าความขัดแย้งทางอาวุธเกิดจากการเมืองภายในประเทศไทยเอง รัฐบาลไทยควบคุมกองทัพไม่ได้ เมื่อเกิดปัญหาการเมืองภายในประเทศ กองทัพไทยจึงต้องการเข้าไปร่วมปลุกปั่น
ชาวกัมพูชาทั้งสองคนยังแสดงความเห็นที่สะท้อน "สาร" และจุดมุ่งหมายของผู้นำของประเทศกัมพูชาที่ต้องการให้ข้อพิพาทต่าง ๆ ถูกตัดสินโดยองค์กรระหว่างประเทศ
โสเทียบอกว่า เขาอยากให้ทั้งสองประเทศกลับคืนสู่ความสัมพันธ์ปกติ และรอคำตัดสินจากศาลยุติธรรมระหว่างประเทศในกรณีที่มีข้อพิพาทกัน
"ผมอยากให้ทั้งสองประเทศหาทางประนีประนอมเพื่อยุติสงครามนี้ผ่านข้อตกลงสันติภาพที่เป็นประโยชน์ต่อประชาชนทุกฝ่าย"
เช่นเดียวกับเคียม ที่เรียกร้องให้ประเทศไทยเคารพกฎหมายระหว่างประเทศ
"อย่าไปเปรียบเทียบการสู้รบนี้กับสงครามระหว่างรัสเซียและยูเครน รัสเซียรุกรานยูเครน เพราะรัสเซียเป็นมหาอำนาจนิวเคลียร์ของโลก ประเทศไทยไม่สามารถจะมีพลังอำนาจเหนือกว่ากัมพูชาได้ มันมีหลายประเทศที่ช่วยกัมพูชา อย่าง สหรัฐฯ มาเลเซีย ที่เคยช่วยกัมพูชามาก่อน"
นี่คือบางส่วนของสิ่งที่ชาวกัมพูชาสะท้อนออกมาเกี่ยวกับสถานการณ์ความขัดแย้งครั้งนี้
การสู้รบที่ปะทุขึ้นเมื่อ 24 ก.ค. เป็นเหตุปะทะครั้งรุนแรงที่สุดในรอบกว่าทศวรรษของไทยและกัมพูชา ซึ่งมีการยิงโจมตีโต้ตอบ ก่อให้เกิดความสูญเสียชีวิตทั้งสองประเทศรวม 43 ราย และประชาชนพลเรือนมากกว่า 3 แสนคนจากทั้งสั่งฝั่งชายแดนต้องพลัดถิ่นฐาน
ท่ามกลางความหวังในการหาทางออกจากวิกฤตชายแดนในวงประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไปไทยกัมพูชา (GBC) ที่มาเลเซีย ซึ่งจะทราบผลการพูดคุยในวันที่ 7 ส.ค. นี้ ประชาชนชายแดนทั้งสองชาติยังไม่อาจกลับสู่ชีวิตปกติของพวกเขา
https://www.bbc.com/thai/articles/cqxg4wezvn8o?at_link_id=562C85D6-72C1-11F0-9FD7-AFC982206D56