วันพฤหัสบดี, สิงหาคม 07, 2568

The Reporters ได้ลงพื้นที่ศูนย์พักพิงชั่วคราวแห่งหนึ่งในจังหวัดบุรีรัมย์ เพื่อพูดคุยกับชาวบ้านที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์บริเวณชายแดนไทย - กัมพูชา ได้รับเสียงจากชาวบ้านว่า “จบ ๆ สักทีเถอะ สงสารลูกหลานที่เกิดมา... เครียด อยากกลับบ้าน มองคนกัมพูชาไม่เหมือนเดิมแล้ว”

https://www.facebook.com/TheReportersTH/posts/1125691516419549
The Reporters
5 hours ago
·
PHOTO STORY: “จบ ๆ สักทีเถอะ สงสารลูกหลานที่เกิดมา อยากให้สงบสุข สุขสบายไปจนถึงอนาคตข้างหน้า” เสียงสะท้อนของชาวบ้านในศูนย์พักพิงชั่วคราว จ.บุรีรัมย์ หลังต้องอพยพนานกว่า 2 สัปดาห์ ยอมรับ เครียด อยากกลับบ้าน "มองคนกัมพูชาไม่เหมือนเดิมแล้ว"
วันนี้ (6 ส.ค. 68) ผู้สื่อข่าว The Reporters ได้ลงพื้นที่ศูนย์พักพิงชั่วคราวแห่งหนึ่งในจังหวัดบุรีรัมย์ เพื่อพูดคุยกับชาวบ้านที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์บริเวณชายแดนไทย - กัมพูชา ภายหลังผ่านเหตุการณ์ปะทะไปแล้วกว่า 2 สัปดาห์ ซึ่งได้พูดคุยกับกลุ่มชาวบ้านที่อยู่ในอำเภอบ้านกรวด ซึ่งเป็นพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากกระสุนปืนใหญ่ และจรวด BM-21 ของกัมพูชา
นางบุญล้อม อายุ 66 ปี ชาวบ้านจากอำเภอบ้านกรวด จังหวัดบุรีรัมย์ เปิดเผยว่า ตนเอง และครอบครัวรวม 5 คน ได้อพยพมาอยู่ที่ศูนย์อพยพแห่งนี้ตั้งแต่วันที่ 24 กรกฎาคมที่ผ่านมา หลังเกิดเสียงระเบิด และการปะทะบริเวณชายแดน โดยได้รับคำสั่งจากผู้ใหญ่บ้านให้อพยพออกจากพื้นที่โดยด่วน
แม้ว่าอาหารการกินในศูนย์อพยพจะเพียงพอ และมีการดูแลเป็นอย่างดี แต่ด้วยระยะเวลาที่ผ่านมาเกือบสองสัปดาห์ นางบุญล้อม ยอมรับว่าเริ่มรู้สึกเหนื่อยล้า ทั้งยังนอนไม่หลับ เครียด และเป็นห่วงบ้าน อีกทั้งยังต้องขาดรายได้จากการทำมาหากิน
“อยู่ที่นี่ก็ร้อน เดี๋ยวฝนตก เดี๋ยวแดดออก สงสารทั้งเจ้าหน้าที่ และทหารที่อยู่แนวหน้า อยากให้ทุกอย่างจบเร็วที่สุด ถ้ากลับบ้านได้พรุ่งนี้เลยก็ดี”
ในด้านของการเยียวยา นางบุญล้อม กล่าวว่า ชาวบ้านส่วนใหญ่ได้รับผลกระทบจากการขาดรายได้ จึงหวังว่ารัฐบาลจะช่วยเยียวยาในส่วนนี้ด้วย เพราะไม่มีรายได้ แต่สิ่งที่สำคัญยิ่งกว่าคือการยุติความรุนแรง และตนก็พร้อมกลับบ้านทันทีทุกเวลา
“สิ่งที่อยากได้มากที่สุดตอนนี้คืออยากให้มีการเจรจา อยากให้สงครามจบเร็ว ๆ ชาวบ้านจะได้กลับไปใช้ชีวิตตามปกติ ทำมาหากินได้ เรารอฟังข่าวอยู่ทุกวัน อยากให้สงครามหยุดลง และเจรจากันโดยเร็ว”
ส่วนหากสื่อสารถึงผู้นำทั้งสองประเทศได้ นางบุญล้อม บอกว่า “อย่ารบกันเลย ยังไงเราก็นับถือศาสนาพุทธเหมือนกัน เป็นเพื่อนบ้านกันเหมือนเดิม อยู่เหมือนเดิม ขอให้รักกันไม่ต้องฆ่าฟันกัน สงสารประชาชนทั้งสองประเทศ เราก็ประชาชนด้วยกัน เดือดร้อนกันหมด ขอให้เรื่องนี้จบลงโดยเร็วที่สุด”
นางบุญล้อม ยอมรับว่า ตนมองคนกัมพูชาไม่เหมือนเดิมแล้ว สถานการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้แย่ลง มันทำให้รู้สึกทันทีว่าไม่เหมือนเดิม เพราะแต่ก่อนก็ไม่คิดอะไร คิดแค่ว่าเพื่อนบ้านกันเฉย ๆ แต่เมื่อเกิดเหตุการณ์นี้ก็รับไม่ได้เลย เสียความรู้สึก
ขณะที่นางแป้ง อายุ 64 ปี ชาวอำเภอบ้านกรวด จ.บุรีรัมย์ กล่าวว่า เดินทางมาอาศัยที่ศูนย์พักพิงชั่วคราว ตั้งแต่วันที่ 24 กรกฎาคม วันแรกที่มีเหตุการณ์ปะทะกันที่ชายแดน เล่าว่า เช้าวันดังกล่าวกำลังขายของอยู่ ก่อนได้ยินเสียงระเบิดตู้ม จึงรีบพากันออกจากพื้นที่ทันที โดยลูกสาวที่เป็นกู้ภัย พากลับไปเก็บของบางส่วนที่บ้าน ก่อนเดินทางมาอาศัยอยู่ที่นี่เป็นเวลา 2 สัปดาห์แล้ว
นางแป้ง กล่าวว่า ตอนนี้รู้สึกคิดถึงบ้าน อยากกลับบ้านแต่ยังกลับไม่ได้ ทั้งเป็นห่วงนา และสุนัขที่เลี้ยงเอาไว้
“อยากให้เขาหยุดยิง เราจะได้กลับบ้าน อยากให้รัฐบาลปรองดองกัน ไม่อยากให้มีเหตุแบบนี้ เราต้องวิ่งจากบ้านจากเมืองออกมา ไม่อยากหนีมาอีกแล้ว ภาระมันเยอะ” นางแป้ง กล่าว
นางแป้ง ยังเล่าว่าเหตุการณ์ปะทะในปีนี้ถือว่าหนักกว่าเมื่อปี 2554 ส่วนในชุมชนก็มีการประชาสัมพันธ์ให้ชาวบ้านเตรียมความพร้อมอพยพตลอดเวลา
สำหรับการรับเงินเยียวยาได้ลงทะเบียนตามที่เจ้าหน้าที่รัฐแนะนำแล้ว โดยได้รับแจ้งว่าจะได้เงินบ้านละ 3,000 บาท แต่ตอนนี้ยังไม่ได้รับ และไม่รู้ว่าจะได้เมื่อไร ช่องทางไหน แต่มองว่าเงินจำนวนนี้คงไม่เพียงพอ อีกทั้งไม่ได้ทำงานมา 2 สัปดาห์แล้วหลังจากมาพักพิงที่นี่ทำให้ขาดรายได้
นางสมัย ชาวอำเภอบ้านกรวด จ.บุรีรัมย์ ระบุว่า พักอาศัยอยู่ที่ อ.บ้านกรวด จ.บุรีรัมย์ ซึ่งได้อพยพตั้งแต่วันที่ 31 ก.ค. ที่ผ่านมา เพราะตอนแรกไปอยู่ที่บ้านของพี่สาว แต่อยู่ไม่ได้ โดยในวันที่ปะทะมีระเบิดลงใกล้บ้านดังสนั่น
ส่วนที่มาอยู่ที่ศูนย์อพยพแห่งนี้ ยังไม่มีอะไรขาดตกบกพร่อง เขาดูแลดีอยู่ สิ่งที่อยากได้มากที่สุดคือการได้กลับบ้าน ซึ่งตนเองก็เป็นห่วงบ้าน เลี้ยงสัตว์ไว้ และอยากให้ทำอย่างไรก็ได้เพื่อให้เขาหยุดยิง เพราะสงสารลูกหลานใหม่ ๆ ที่เกิดมา อยากให้สงบสุข สุขสบายไปจนถึงอนาคตข้างหน้า
สำหรับในวันพรุ่งนี้ ที่จะมีการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (GBC) ระหว่างไทยกับกัมพูชา ในเวลา 13.00 น. (ตามเวลาท้องถิ่นของมาเลเซีย) คาดหวังอะไรนั้น นางสมัย กล่าวว่า ”อยากให้ปลอดภัย อยากให้จบ ๆ สักทีเถอะ อย่าให้เดือดร้อนเลย ลูกหลานน้อย ๆ ก็สงสาร อยากให้จบแค่นี้ก็พอแล้ว คุยกันผ่านการเจรจา“
สำหรับบรรยากาศที่ศูนย์พักพิงดังกล่าว ยังคงมีชาวบ้านพักอาศัยอยู่หลายพันคน แม้บางส่วนจะทยอยกลับบ้านไปแล้ว โดยมีจิตอาสา และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องนำอาหาร และเครื่องดื่มมามอบให้กับผู้อพยพ รวมถึงยังมีเจ้าหน้าที่จากกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย และเจ้าหน้าที่ทหารจากกองร้อยปฏิบัติการจิตวิทยาที่ 2 ค่ายสุรธรรมพิทักษ์ หน่วยบัญชาการสงครามพิเศษ โคราช จัดกิจกรรมร้องรำทำเพลง เพื่อเสริมสร้างกำลังใจให้ผู้พักพิงในศูนย์พักพิง และไม่ให้เกิดความเครียด
รายงาน/ภาพ: กิตติธัช วิทยาเดชขจร