วันพุธ, มิถุนายน 11, 2568

Los Decade ฉบับไทยแลนด์...


Aun Theeraphat
April 30
·
" Lost Decade ฉบับไทยแลนด์" — เมื่อไทยกำลังกลายเป็นญี่ปุ่นเวอร์ชั่นด้อยพัฒนา

"เมื่อเรือลำใหญ่กำลังจะจม แต่กัปตันยังวางแผนตกแต่งห้องโดยสารชั้นหนึ่ง ผู้โดยสารกำลังนั่งจิบกาแฟชมวิวพระอาทิตย์ตกดิน" — นี่คือสภาพประเทศไทยตอนนี้ที่กำลังจมลงสู่วังวนแห่ง "ทศวรรษที่สูญหาย"

เศรษฐกิจไทยติดหล่ม เมื่อเพื่อนบ้านแซงหน้าไปไกล
ปีนี้ทั้ง IMF และ World Bank พร้อมใจกันปรับลดประมาณการ GDP ไทยปี 2568 เหลือแค่ 1.6-2.0% ซึ่งนั่นหมายความว่าเรากลายเป็น "ตัวถ่วง" ของภูมิภาคอาเซียนไปเสียแล้ว

• เวียดนาม: คาดการณ์โต 6.0-6.5%
• ฟิลิปปินส์: คาดการณ์โต 5.8%
• อินโดนีเซีย: คาดการณ์โต 5.0%
• มาเลเซีย: คาดการณ์โต 4.3%
• สิงคโปร์: คาดการณ์โต 2.8%
• ไทยแลนด์: คาดการณ์โต 1.6-2.0%

ธนาคารแห่งประเทศไทยปรับลดคาดการณ์ GDP ปีนี้ เหลือ 2.0% และอาจต่ำสุดที่ 1.3%
อัตราเงินเฟ้อต่ำกว่าช่วงเป้าหมายที่ 0.5% สะท้อนถึงความต้องการภายในประเทศที่อ่อนแอ

เหมือนเราเป็นนักวิ่งมาราธอนที่เคยนำห่างคู่แข่ง แต่ตอนนี้กลับหอบแฮ่กๆ อยู่ท้ายขบวน ทั้งที่เราเคยเป็นดาวรุ่งทางเศรษฐกิจของภูมิภาค เดินก้มหน้าขณะที่คนอื่นวิ่งแซงไปข้างหน้า

"ทศวรรษที่สูญหาย" ของไทย เลวร้ายกว่าญี่ปุ่นเสียอีก
เรากำลังเข้าสู่ภาวะคล้ายญี่ปุ่นยุค 90s ที่เรียกว่า "ทศวรรษที่สูญหาย" (Lost Decade) แต่ของเรารุนแรงกว่าเพราะ

• ญี่ปุ่น: เป็นเศรษฐกิจที่ "รวยแล้วค่อยหยุดโต" — เหมือนคนแก่ที่เก็บเงินไว้เยอะแล้วเกษียณสบาย (ตอนนี้ญี่ปุ่นกำลังจะผงาดขึ้นมาใหม่อีกครั้ง  จากการทุ่มเทแก้ปัญหา 20 ปี)
• ไทย: เป็นเศรษฐกิจที่ "แก่ก่อนรวย" — เหมือนคนวัยกลางคนที่ยังไม่มีเงินเก็บแต่ร่างกายทรุดโทรมเสียแล้ว

ลองนึกภาพก็ได้ว่า หากคุณถามคนที่เกิดในช่วงปี 2530 ว่า "มาตรฐานชีวิตของคุณดีขึ้นกว่ารุ่นพ่อแม่ไหม?" คำตอบที่ได้มักจะเป็น "ไม่เลย" หรือ "แทบไม่ต่างกัน" ซึ่งนั่นคือสัญญาณอันตรายของสังคมที่หยุดพัฒนา

ประชากรไทยกำลังหายไปเหมือนน้ำระเหย
• ปี 2566 ประเทศไทยมีอัตราการเกิดเหลือเพียง 1.0 คน ต่อผู้หญิงหนึ่งคน
• ต่ำกว่าญี่ปุ่น (1.2 คน) ที่เราเคยหัวเราะเยาะว่าเป็น "สังคมคนแก่"
• ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยโลก (2.3 คน) อย่างน่าใจหาย
หากเทรนด์นี้ยังดำเนินต่อไป ในอีก 60 ปีข้างหน้า ประชากรไทยจาก 66 ล้านคนจะเหลือแค่ 33 ล้านคนเท่านั้น

ลองจินตนาการภาพประเทศไทยปี 2583
• โรงเรียนร้าง โรงงานปิดกิจการ
• หมู่บ้านเต็มไปด้วยผู้สูงอายุที่ไม่มีลูกหลานดูแล
• โรงพยาบาลแออัดด้วยผู้ป่วยติดเตียง แต่ขาดแคลนบุคลากรทางการแพทย์
• ระบบประกันสังคมและบำนาญล้มละลาย
เหมือนเรากำลังนั่งเรือที่รั่ว แต่แทนที่จะช่วยกันวิดน้ำ ทุกคนกลับนั่งจิบกาแฟมองฟ้าเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

เราขาดแคลนแรงงานทักษะสูง
ตอนนี้ไทยขาดแคลนแรงงานทักษะสูงถึง 177,000 คน ในขณะที่หลักสูตรไอทีทั่วประเทศผลิตบัณฑิตได้เพียงปีละ 3,500 คน เท่านั้นที่เข้าสู่ตลาดแรงงานจริง ๆ (แม้ว่าจะมีผู้สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีด้านวิทยาการคอมพิวเตอร์จำนวน 20,000 คนต่อปี ซึ่งก็ยังไม่พอ)

• เกาหลีใต้: ผลิตบัณฑิต STEM ปีละ 63,000 คน — มากกว่าไทย 18 เท่า
• สิงคโปร์: มีแผนผลิตผู้เชี่ยวชาญด้านดิจิทัล 20,000 คนต่อปี — จากประชากรแค่ 5.5 ล้านคน
• ไทย: เรามีผู้เชี่ยวชาญด้านทักษะดิจิทัลขั้นสูงเพียง 0.58 ล้านคน (1% ของประชากร) ต่ำกว่าสิงคโปร์ (8%) ฮ่องกง เกาหลีใต้ และมาเลเซีย (3%)

เศรษฐกิจไทยยังคงวนเวียนอยู่กับเศรษฐกิจแบบเดิม
ในขณะที่โลกก้าวสู่ยุค AI ควอนตัมคอมพิวเตอร์, อีวีคาร์, เซมิคอนดักเตอร์ และพลังงานสะอาด ฯลฯ

• เวียดนาม: ดึงดูดโรงงานไฮเทคจาก Apple, Samsung, Intel — เปลี่ยนจากประเทศเกษตรกรรมสู่ฐานการผลิตเทคโนโลยีระดับโลก
• สิงคโปร์: พัฒนาจากท่าเรือเล็กๆ เป็นศูนย์กลางการเงิน AI และนวัตกรรมระดับโลก
• ไทย: ยังคงพึ่งพาการท่องเที่ยวและส่งออกสินค้าเกษตรที่มูลค่าเพิ่มต่ำ — เหมือนร้านกาแฟที่ยังขายแต่โอวัลตินร้อนในยุคที่คนอื่นขาย specialty coffee

รากเหง้าของปัญหา = การเมืองสายสั้น สถาบันการศึกษาอ่อนแอ ระบบราชการตัวฉุดรั้ง
ปัญหาเหล่านี้ไม่ได้เกิดขึ้นเมื่อวาน แต่เป็นเรื่องที่สะสมมานานกว่า 20 ปี ลุกลามมาถึงวันนี้ สาเหตุหลักๆ คือ

1. นักการเมืองมองแค่ 4 ปี ไม่ใช่ 40 ปี: เราแทบไม่เคยมีรัฐบาลไหนกล้าลงทุนในสิ่งที่เห็นผลระยะยาว ทำแต่นโยบายประชานิยมแจกเงินเพื่อเอาใจคนในวันนี้ (ซึ่งประชาชนส่วนใหญ่เองนั่นแหละก็ชอบแบบนี้) โดยไม่สนใจว่าลูกหลานจะอยู่กันอย่างไรในวันหน้า

2. ระบบราชการเปรียบเครื่องจักรเก่า ๆ: เชื่องช้า ไม่ปรับตัว และคร่ำครึ — เมื่อโลกเปลี่ยนด้วยความเร็ว 100 km/h แต่ราชการไทยเดินด้วยความเร็ว 5 km/h

3. การศึกษาที่สอนให้ "จำ" แทนที่จะ "คิด": ระบบการศึกษาไทยยังคงผลิตคนที่ตอบได้แต่ไม่รู้จักตั้งคำถาม เหมือนโรงงานที่ผลิตหุ่นยนต์ที่ทำได้แค่ทำตามคำสั่งเดิมๆ ผลิตคนไปแข่งกับหุ่นยนต์ ในขณะที่โลกต้องการนวัตกกรรม
และคุณภาพประชากรเองก็เป็นรากฐานสำคัญมาก ไป

แล้วเรารอดพ้นจากวิกฤตนี้ได้ยังไง ?
ถึงเวลาที่เราต้องช่วยกันคิด และจริงจังในความกล้าที่จะเปลี่ยนแล้วหรือยัง ?
เลิกแจกเงิน หันมาแจกทักษะ

• "แจกเงิน" เหมือน "แจกปลา" — กินหมดวันเดียว พรุ่งนี้หิวอีก
• "แจกทักษะ" เหมือน "สอนจับปลา" — กินได้ไปตลอดชีวิต

ตัวอย่าง
• สิงคโปร์: ใช้งบประมาณกว่า 1 พันล้านดอลลาร์กับโครงการ SkillsFuture ที่ให้ประชาชนทุกคนมีเงิน 500 ดอลลาร์เพื่อเรียนทักษะใหม่ตลอดชีวิต
• เกาหลีใต้: ลงทุนกว่า 5% ของ GDP ในการศึกษา สร้างระบบการศึกษาที่เน้นทักษะการคิดวิเคราะห์ และความคิดสร้างสรรค์
• ไทย: ใช้งบประมาณไปกับโครงการแจกเงินกว่า 5 แสนล้านบาทในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา แต่คนไทยยังคงติดกับดักทักษะต่ำ รายได้ต่ำ

ปฏิรูปเศรษฐกิจจากรากฐาน
• เลิก แข่งขันด้วยค่าแรงถูก (เพราะถูกกว่าเราก็มี)
• เริ่ม แข่งขันด้วยนวัตกรรมและความคิดสร้างสรรค์

ตัวอย่าง
• อิสราเอล: จากประเทศทะเลทรายไร้ทรัพยากร กลายเป็น "ประเทศสตาร์ทอัพ" ที่มีบริษัทเทคโนโลยีระดับโลกมากกว่า 6,000 บริษัท
• ไอร์แลนด์: จากประเทศเกษตรกรรมยากจน กลายเป็นศูนย์กลางเทคโนโลยีของยุโรป ที่มีบริษัทอย่าง Google, Facebook, Apple ตั้งสำนักงานใหญ่
• ไทย: ยังคงโปรโมทตัวเองเป็น "ครัวของโลก" และ "แหล่งท่องเที่ยว" เหมือน 30 ปีที่แล้ว ธุรกิจส่วนใหญ่ในบ้านเราก็เป็นพวก old economy

แก้ปัญหาประชากรอย่างจริงจัง
การที่ประชากรไทยกำลังลดลงเหมือนแท็กซี่ที่น้ำมันกำลังจะหมด แต่คนขับยังไม่ยอมเข้าปั๊ม
• เดนมาร์ก: มีโฆษณาดังที่บอกให้คู่สามีภรรยา "ทำเพื่อประเทศ" (Do it for Denmark) พร้อมเสนอแพ็กเกจวันหยุดโรแมนติก และวันลาพิเศษสำหรับคนที่ตั้งครรภ์
• ญี่ปุ่น: จัดสรรเงินช่วยเหลือเด็กแรกเกิดกว่า 400,000 เยน (ประมาณ 100,000 บาท) และการดูแลเด็กฟรี
• สิงคโปร์: มี Baby Bonus ที่ให้เงินสนับสนุนเด็กแรกเกิดถึง 10,000 ดอลลาร์สิงคโปร์ (ประมาณ 250,000 บาท)
• ไทย: ยังไม่มีนโยบายชัดเจนเพื่อแก้ปัญหาประชากร นอกจากการพูดถึงอย่างผิวเผิน

สร้างระบบการเมืองที่โปร่งใสและมีธรรมาภิบาล
• นิวซีแลนด์: ติดอันดับ 2 ประเทศที่โปร่งใสที่สุดในโลก ด้วยระบบตรวจสอบถ่วงดุลที่เข้มแข็ง
• เอสโตเนีย: ใช้เทคโนโลยีบล็อกเชนในการทำธุรกรรมภาครัฐ ทำให้การคอร์รัปชันเกือบเป็นไปไม่ได้
• ไทย: ยังคงติดอยู่ในวังวนของการเมืองที่ขาดธรรมาภิบาล อำนาจกระจุกตัว และระบบอุปถัมภ์ที่ฝังรากลึก

คำถามสำคัญที่คนไทยทุกคนควรถามตัวเองคือ
• เราจะสร้างและส่งต่ออนาคตแบบไหนให้ลูกหลานของเรา?
• เราจะช่วยกันส่งต่อบ้านหลังนี้ให้ลูกหลานเราในสภาพที่ดีกว่าที่เราได้รับมาได้หรือไม่ ?
• เราจะทำอย่างไรให้ธงไตรรงค์ยังคงโบกสะบัดอย่างภาคภูมิในเวทีโลก?
• เราจะยอมให้ลูกหลานเราเติบโตขึ้นในประเทศที่ "แก่ จน และล้าหลัง" หรือไม่?
• เราจะยอมอยู่เฉยๆ ในขณะที่ประเทศรอบข้างวิ่งแซงหน้าเราไปไกลหรือไม่?

ถ้ายังหลับต่อไป...สุดท้ายเราอาจตื่นขึ้นมาพบว่าประเทศไทยกลายเป็นเพียง "พิพิธภัณฑ์ที่มีชีวิต" ที่นักท่องเที่ยวมาเยี่ยมชมความล้าหลังของเรา แต่ไม่มีใครอยากมาลงทุนหรืออยู่อาศัยอีกต่อไป

วันนี้ที่เราเป็นแบบนี้ “ทุกคน” ต้องมีส่วนรับผิดชอบร่วมกันทั้งหมด

แต่ผมก็ยังเชื่อนะ ว่าคนไทยเรามีศักยภาพมากมาย คนดีมีความสามารถยังมีเยอะ เราเคยผ่านวิกฤตการณ์มาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน ทุกครั้งเราล้มเราก็ลุกขึ้นมาได้

ถ้าวันนี้เรามีความกล้าที่จะยอมรับความจริงกันก่อน กล้าที่จะเปลี่ยนแปลง และกล้าที่จะทำสิ่งที่ถูกต้องแม้จะยากลำบาก
คนละไม้ คนละมือ เปลี่ยนที่ตัวเองก่อนเลย เอาแค่หน้าที่และวินัยใกล้ตัว พัฒนาตัวเองและครอบครัวและสังคมใกล้ตัว … แล้วค่อยเขยิบไปเรื่องไกลตัวทีละนิด

เมืองไทยจะไม่เพียงแค่หลุดพ้นจาก "ทศวรรษที่สูญหาย" แต่จะก้าวสู่ "ทศวรรษแห่งการฟื้นฟู" อย่างสง่างาม นั่นคือสิ่งที่คนรุ่นเราพึงกระทำ

===
ปล. ผมรักที่นี่มากนะ แทบไม่เคยบ่นหรือเขียนเรื่องประมาณแบบนี้เลย …แต่ครั้งนี้ขอบ่นยาวหน่อย แต่ติเพื่อก่อ ในทุกมิติที่คิดได้ ด้วยรักและหวังดีจริง ๆ นะครับและแสดงความเห็นแบบเป็นกลางมากที่สุดแล้ว ไม่โทษใครฝ่ายเดียว และไม่เข้าข้างไหนทั้งสิ้น เอาใจช่วยทุกคนทุกฝ่ายที่กำลังตั้งใจพัฒนาและแก้ไขปัญหา

(ขอคอมเมนต์และการวิจารณ์เชิงสร้างสรรค์และหาทางออกนะครับ ไม่อยากต้องไปเป็นพยานเพราะงานเยอะอยู่แล้ว)

https://www.facebook.com/photo/?fbid=1053208836700731&set=a.101772728511018