หัวหน้าสถาปนิกผู้ออกแบบตึกรัฐสภา ประกาศคัดค้านการต่อเติมหลายอย่างที่มีการเสนอไว้ในขณะนี้ ชี้ข้อห่วงใยว่าจะทำให้โครงสร้างของอาคารมีความแข็งแรงลดลง แล้วยังเป็นความสิ้นเปลืองงบประมาณโดยไม่จำเป็น
นายชาตรี ลดาลลิตสกุล ศิลปินแห่งชาติ หัวหน้าสถาปนิกผู้ออกแบบอาคารรัฐสภาไทย ยื่นหนังสือคัดค้านการต่อเติมเสริมแต่งสัปปายะสภาสถาน ต่ออนุกรรมาธิการศิลปะวุฒิสภา มี ๕ ประเด็นหลัก
แรกเลยทีเดียวเกี่ยวกับสระมรกต ที่บ่นกันว่าน้ำเน่าและมียุงชุมนั้น สระถูกออกแบบให้ใช้ระบบกรองน้ำแบบสระว่ายน้ำ ถ้าเปิดให้น้ำไหลเวียนตามปกติวิสัย ก็จะไม่เกิดยุงแน่นอน ส่วนที่ว่าสระรั่วมีน้ำซึม เป็นเรื่องคุณภาพการก่อสร้าง
ต้องไปไล่เบี้ยเอากับผู้รับเหมา คงเป็นมาตรฐานเดียวกับปัญหาหลังคารั่ว เวลาฝนตกจะมีน้ำเทลงมากลางอาคาร ดูเหมือนจะเคยมีการทวงถามความรับผิดชอบของบริษัทชิโน-ไทยไปแล้ว ไม่น้อยกว่าสองครั้งในอดีต
ตอนนั้นไม่ไปถึงไหน ตอนนี้ไม่ต้องถาม เพราะรัฐมนตรีมหาดไทยทั่นบอกว่าบริษัทนี้ไม่รู้จัก ออกมานานแล้ว ต่อไปทั่นจะกลับไปอยู่สาธารณสุข ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเลย ทั่นหันไปช่วยชีวิตประชาชน ไม่สนการก่อสร้างอีกแล้วละ
ประเด็นต่อไปเรื่องห้องสมุด ที่คิดว่าจะย้ายจากจากชั้น ๙-๑๐ ลงไปอยู่ชั้น ๑ นายชาตรีว่า “ไม่สมเหตุสมผล สิ้นเปลืองบประมาณโดยไม่จำเป็น” ที่ออกแบบไว้ก็เชื่อมโยงกับหอจดหมายเหตุชั้น ๘ ผู้ใช้ภายในจากทุกจุดเข้าถึงได้โดยลิฟต์
แต่ถ้าอยากย้ายไปให้เข้าถึงได้ง่ายโดยบุคคลภายนอก หรือประชาชนทั่วไป ต้องย้ายไปไว้ภายนอกเช่นเดียวกับพิพิธภัณฑ์ ซึ่งอยู่ในชั้น บี ๑ และชั้น ๑๑ กรณีนี้ให้ห้องสมุดอยู่ชั้น ๑๐ ผู้ออกแบบคาดการณ์ไว้แล้ว ให้เชื่อมต่อพิพิธภัณฑ์ชั้น ๑๑
“ส่วนเรื่องร้านกาแฟ ร้านสะดวกซื้อ ผู้ออกแบบได้ตรียมที่ไว้แล้วที่ชั้นที่ B1 B2 บริเวณโถงทางเข้าหลัก ซึ่งเป็นพื้นที่ที่ประชาชนต้องผ่านเข้าอาคาร และเป็นพื้นที่รองรับกิจกรรม” การต่อเติมใดๆ โดยวิศวกรอื่น ขอให้ตระหนักเรื่องโครงสร้าง ไม่ว่าการรับน้ำหนัก หรือต้านแผ่นดินไหว
สุดท้ายย้อนกลับไปที่สระมรกตอีกครั้ง ว่าออกแบมาให้เป็นเครื่องปรับอากาศธรรมชาติ ถ้าสูบน้ำออกจะต้องติดแอร์จำนวนมาก สิ้นเปลืองงบประมาณมหาศาล ข้อสำคัญอาคารรัฐสภานี้ออกแบบมาให้เป็นปูชนียสถาน อยู่คู่ชาติไทยไปอีกนานนับ ๑๐๐ ปี
พอถึงจุดนี้ จึงได้แต่อึ้ง