วันจันทร์, พฤษภาคม 05, 2568

กระบวนการรัฐพันลึกที่พยายามปิดปากนักวิชาการเช่นพอล


ก้องภพ เมฆแช่ม
11 hours ago
·
ในยามนี้ที่ อ.Paul Chamber กำลังถูกคุกคามทางเสรีภาพของวิชาการ ผมในฐานะที่เป็น นศ. ที่เคยผ่านการเรียนผลงานของ อ.พอล ในรั้วมหาลัยจึงอยากเป็นกระบอกเสียงต่อการตั้งคำถามของพอลครั้งนี้ ที่กำลังส่องให้เราเห็นถึงกระบวนการที่รัฐพันลึกที่พยายามปิดปากนักวิชาการเช่นพอล จึงเป็นการตอกย้ำถึงการมีอยู่ของโครงสร้างรัฐผันลึกที่ดำรงอยู่โดยการปิดปากและทำลายเสรีภาพของผู้ที่กล้าตั้งคำถามต่อมัน ดังนั้น การที่เราหวนกลับไปการพูดถึงผลงานของเขาคือการยืนยันว่าความรู้ไม่ควรถูกทำให้หวาดกลัว
การศึกษาผลงานของพอล ทำให้เราตระหนักว่า การเมืองไทยไม่อาจเข้าใจได้ผ่านแค่การมองผ่านรัฐสภาหรือการเลือกตั้งเท่านั้น หากต้องอ่านผ่านอำนาจเงา—ซึ่งเขาเรียกว่า ‘รัฐพันลึก’—ที่ยังคงมีบทบาทอย่างลึกซึ้ง ในบริบทการเมืองไทยสมัยใหม่
Paul Chambers เป็นผู้เสนอแนวทางในการทำความเข้าใจ “รัฐพันลึก” (deep state) ของไทยผ่านมุมมองที่แตกต่างจากการอธิบายตามแบบ Duncan McCargo ที่มักเน้นการแทรกแซงของกองทัพหรือหน่วยข่าวกรองในนามของผลประโยชน์แห่งชาติ แต่ในบริบทไทย พอลจะเน้นไปที่โครงสร้างอำนาจที่ไม่อยู่ภายใต้การตรวจสอบของระบบประชาธิปไตย และมีการดำรงอยู่ขององค์กรอย่างมั่นคงผ่านกลไกหลายระดับ ในขณะที่ทฤษฎี Parallel State จะพิจารณาว่าใครเข้าถึงเครื่องมือรัฐประหารอย่างกองทัพ เท่ากับผู้นั้นครองอำนาจรัฐ แต่ Paul Chamber แย้งว่ากองทัพเพียงอย่างเดียวไม่ได้การันตีถึงความอยู่รอดของระบบ หากแต่เป็นเครือข่ายไม่เป็นทางการต่างหากที่คอยสนับสนุนอำนาจของ รัฐพันลึก
Chambers ชี้ให้เห็นว่ารัฐพันลึกไทยมีองค์ประกอบหลักคือ กองทัพ ข้าราชการระดับสูง ระบบตุลาการ และสถาบันพระมหากษัตริย์ ซึ่งต่างมีบทบาทร่วมกันในการรักษาระเบียบทางการเมืองแบบอนุรักษนิยม โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังรัฐประหารปี 2006 เป็นต้นมา อำนาจของรัฐพันลึกยิ่งแข็งแรงขึ้นเรื่อย ๆ ภายใต้การอ้างความชอบธรรมจากศีลธรรมจารีต ประเพณี และความมั่นคงของชาติ มากกว่าการเลือกตั้งหรือเสียงของประชาชน
เขายังอธิบายว่ารัฐพันลึกในไทย “ไม่จำเป็นต้องซ่อนเร้นเสมอไป" แต่อาจแสดงออกอย่างชัดเจนผ่านการจัดวางบุคคลในองค์กรอิสระต่าง ๆ เช่น ศาลรัฐธรรมนูญ คณะกรรมการการเลือกตั้ง หรือองค์กรปราบปรามการทุจริต ซึ่งล้วนแล้วแต่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับโครงสร้างอำนาจแบบอนุรักษนิยม และมีบทบาทสำคัญในการสกัดกั้นนักการเมืองที่มาจากการเลือกตั้ง โดยเป็นกระบวนการที่ดำเนินมาต่อเนื่องในไทยสืบทอดมาตั้งแต่ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ โดยเปลี่ยนรูปแบบตามยุคสมัย ผ่านการคงไว้ซึ่ง “สายสัมพันธ์ทางอำนาจ” เช่น เครือข่ายในราชการ ทหาร และชนชั้นนำ ซึ่งยากแก่การปฏิรูปหรือทำลาย
Chambers ยังเน้นว่าเครือข่ายที่ยังคงอยู่เหล่านี้เคยถูกจัดตั้งขึ้นเพื่ออำนวยกษัตริย์ในการต่อสู้กับลัทธิคอมมิวนิสต์ตั้งแต่อดีต ซึ่งมักแสดงออกผ่านพระราชอำนาจของ ร.9 โดยไม่ต้องพึ่งอำนาจกองทัพด้วยซ้ำ โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับรัชกาลปัจจุบัน ที่หลังจากการสิ้นพระชนม์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ร. 9 ซึ่งนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงในกลยุทธ์ของอำนาจกษัตริย์จากการใช้อำนาจที่ไม่เป็นทางการ (เช่น บารมี) มาเป็นการใช้อำนาจตามกฎหมายที่เป็นทางการมากขึ้น
สุดท้ายนี้ Chambers เตือนว่า การวิเคราะห์การเมืองไทยในระดับผิวเผิน เช่น การเลือกตั้ง พรรคการเมือง หรือการประท้วงตามท้องถนน จะไม่สามารถเข้าใจอำนาจที่แท้จริงได้ หากไม่วิเคราะห์ถึงโครงสร้างรัฐพันลึกที่กำกับและจำกัดขอบเขตของประชาธิปไตยไว้โดยตลอด
เชิงอรรถ : The Resilience of Monarchised Military in Thailand

https://www.facebook.com/kongpop.mekcham.7/posts/4097906763821712