
รู้ทันจีน
Yesterday
·
บริษัท China Railway Group และความเชื่อมโยงกับพรรคคอมมิวนิสต์จีน
ภาพรวมและความสัมพันธ์กับรัฐจีน
China Railway Group Limited หรือที่มักเรียก China Railway Engineering Corporation (CREC) เป็นรัฐวิสาหกิจขนาดยักษ์ของจีนที่ดำเนินธุรกิจก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานทั้งในประเทศและทั่วโลก โดยมีรัฐบาลจีนถือหุ้นใหญ่ผ่านหน่วยงานกำกับดูแลสินทรัพย์รัฐ (SASAC) จึงทำให้บริษัทมีความเชื่อมโยงใกล้ชิดกับรัฐและพรรคคอมมิวนิสต์จีนอย่างมาก ผู้บริหารระดับสูงของ CREC มักเป็นสมาชิกพรรคและได้รับการแต่งตั้งโดยรัฐบาล ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของนโยบายที่ให้มีคณะกรรมการพรรคกำกับดูแลในรัฐวิสาหกิจขนาดใหญ่ของจีน นอกจากนี้ CREC ยังมีบทบาทสำคัญในโครงการยุทธศาสตร์ของรัฐบาลจีน เช่น โครงการ “หนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง” (Belt and Road Initiative – BRI) ที่มุ่งขยายโครงสร้างพื้นฐานและอิทธิพลของจีนในต่างประเทศ บริษัทผ่านบริษัทย่อยต่าง ๆ ได้รับงานก่อสร้างทางรถไฟ ถนน และโครงการใหญ่ในเอเชีย แอฟริกา ยุโรป และอเมริกาใต้มาโดยตลอด นับตั้งแต่ยุคสร้างทางรถไฟแทนซาเนีย-แซมเบียในทวีปแอฟริกาช่วงทศวรรษ 1970 เป็นต้นมา โครงการหลายแห่งของ CREC ในต่างประเทศถูกมองว่าเป็นส่วนหนึ่งของการขับเคลื่อนนโยบายต่างประเทศของจีน ภายใต้การสนับสนุนของพรรคคอมมิวนิสต์จีนและรัฐบาลกลาง
กรณีอื้อฉาวด้านคุณภาพและความปลอดภัยในการก่อสร้าง
ภาพ: ซากปรักหักพังของอาคารสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินในกรุงเทพฯ ซึ่งพังถล่มลงมาหลังเหตุแผ่นดินไหว (มีนาคม 2025)
หนึ่งในเหตุการณ์ที่เผยให้เห็นปัญหาคุณภาพงานก่อสร้างของบริษัทคือ กรณีอาคารสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (State Audit Office) ในกรุงเทพมหานคร ประเทศไทย ถล่มในปี 2025 หลังเกิดแผ่นดินไหวใหญ่ศูนย์กลางในประเทศเมียนมา อาคารสูง 30 ชั้นที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างนี้เป็นโครงการร่วมระหว่างบริษัทอิตาเลียนไทย ดีเวลลอปเมนต์ของไทย กับ China Railway No.10 Engineering Group ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของ CREC ที่รับผิดชอบงานก่อสร้างหลัก อาคารดังกล่าวเป็นตึกเดียวในกรุงเทพฯ ที่พังถล่มจากแรงสั่นสะเทือน ขณะที่ตึกอื่นๆ ไม่ได้รับความเสียหายรุนแรงเช่นนี้ สร้างความสงสัยว่าอาจมีปัญหามาตรฐานการก่อสร้างหรือการออกแบบโครงสร้างที่ผิดพลาด หลังเหตุการณ์ หน่วยงานไทยได้เปิดการสอบสวนสาเหตุ โดยพุ่งเป้าไปที่ความเป็นไปได้ของ วัสดุก่อสร้างไม่ได้มาตรฐานหรือการลดสเปก รวมถึงตรวจสอบแผนการก่อสร้างและกระบวนการตรวจรับรองที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ได้เก็บตัวอย่างเหล็กเสริมคอนกรีตจากซากอาคารเพื่อตรวจสอบ เนื่องจากมีข้อสันนิษฐานว่าเหล็กที่ใช้ “เล็กเกินไปหรือคุณภาพต่ำ” จนอาจทำให้โครงสร้างอ่อนแอ นอกจากนี้ ตำรวจไทยยังสอบสวนเหตุการณ์ที่มีชายชาวจีน 4 คนซึ่งเป็นลูกจ้างผู้รับเหมาถูกพบพยายามขนย้ายแฟ้มเอกสาร 32 แฟ้มออกจากไซต์งานหลังอาคารถล่ม ซึ่งสร้างความสงสัยว่าอาจเป็นการพยายาม ซ่อนเอกสารหรือทำลายหลักฐาน ที่เกี่ยวข้องกับโครงการ (เหตุการณ์นี้อยู่ระหว่างสอบสวนเพิ่มเติม)
กรณีดังกล่าวสอดคล้องกับปัญหาคุณภาพงานก่อสร้างที่เคยถูกเปิดโปงในจีนเอง โดย ปี 2024 สำนักข่าวซินหัวของรัฐบาลจีนได้เผยแพร่รายงานการสอบสวนการก่อสร้างทางรถไฟความเร็วสูงในมณฑลอานฮุย ที่พบว่าผู้รับเหมาหลายรายซึ่งรวมถึงบริษัทเครือของ CREC มีการ ลดต้นทุนด้วยการใช้วัสดุด้อยคุณภาพและของลอกเลียนแบบ ที่ประสิทธิภาพต่ำกว่าที่กำหนดไว้มาก ส่อให้เกิดความเสี่ยงด้านความปลอดภัยในโครงการ หลังรายงานตีพิมพ์ ผู้สื่อข่าวซินหัว 2 คนที่ลงพื้นที่เก็บข้อมูลถูกเจ้าหน้าที่ของ China Railway Seventh Group (บริษัทย่อยหมายเลข 7 ของ CREC) ทำร้ายร่างกายและยึดโทรศัพท์ เพื่อขัดขวางการนำเสนอข่าว กรณีนี้จบลงด้วยการที่ตำรวจจีนควบคุมตัวผู้ก่อเหตุ 5 รายและลงโทษด้วยการกักขังทางปกครอง ซึ่งตอกย้ำให้เห็นถึง ปัญหาเชิงระบบของ “วิศวกรรมเต้าหู้” (tofu-dreg engineering) คือการก่อสร้างที่ไม่ได้มาตรฐานและขาดความซื่อสัตย์ รวมถึงความพยายามปิดบังปัญหาของบางโครงการในเครือ CREC
กรณีทุจริตและสินบนทั้งในและต่างประเทศ
นอกเหนือจากปัญหาคุณภาพงานแล้ว CREC และบริษัทย่อยยังพัวพันกับ ข้อกล่าวหาและคดีทุจริตติดสินบนหลายกรณี ทั้งในจีนและต่างประเทศ จนบางครั้งถูกลงโทษหรือถูกขึ้นบัญชีดำโดยองค์กรสากล ตัวอย่างสำคัญ ได้แก่:
• กรณีประเทศสิงคโปร์ (2018-2023): เจ้าหน้าที่ระดับสูงสองคนของ China Railway Tunnel Group (CRTG) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยด้านงานอุโมงค์ของ CREC ถูกศาลในกว่างโจวประเทศจีนพิพากษาจำคุกในปี 2023 ฐานติดสินบนเจ้าหน้าที่รัฐสิงคโปร์ เพื่อแลกกับความได้เปรียบในโครงการก่อสร้างระบบรถไฟใต้ดินในสิงคโปร์ ถือเป็นคดีทุจริตภาครัฐที่ใหญ่ที่สุดคดีหนึ่งของสิงคโปร์ในรอบหลายปี  การสอบสวนพบว่าผู้บริหาร CRTG รายหนึ่งจ่ายสินบนให้เจ้าหน้าที่ของหน่วยงานด้านขนส่งสิงคโปร์ และยังรับสินบนภายในจีนด้วย ซึ่งทางการจีนดำเนินคดีลงโทษในประเทศตนเอง (ทางการสิงคโปร์ก็ได้ดำเนินการกับเจ้าหน้าที่ของตนเช่นกันในคดีนี้)
• กรณีประเทศปากีสถาน (2015/2019): ธนาคารโลกได้สั่ง ขึ้นบัญชีดำ (debarment) บริษัท China Railway First Group (CRFG) ซึ่งเป็นหนึ่งในบริษัทแกนหลักของ CREC เป็นเวลา 2 ปี ฐานกระทำการฉ้อโกงในการประมูลโครงการก่อสร้างโรงไฟฟ้าพลังน้ำ Dasu ในปากีสถานที่ได้รับทุนจากธนาคารโลก โดยตามข้อมูลของธนาคารโลก CRFG ได้บิดเบือนข้อเท็จจริงและปกปิดข้อมูล ระหว่างกระบวนการยื่นประมูลงาน 4 สัญญา (สองสัญญาได้งานในปี 2015) เช่น ไม่เปิดเผยการว่าจ้างช่วงและตัวแทนที่เกี่ยวข้องในการยื่นข้อเสนอ ถือเป็นการกระทำทุจริตตามระเบียบจัดซื้อจัดจ้างของธนาคารโลก  กรณีนี้ส่งผลให้ CRFG และบริษัทในเครือไม่สามารถร่วมโครงการที่ธนาคารโลกสนับสนุนช่วงเวลาหนึ่ง และถือเป็นการยอมรับโดยพฤตินัยว่ามีพฤติการณ์ทุจริตเกิดขึ้นจริงในบริษัทลูกของ CREC
• กรณีประเทศฮังการี (2015-ปัจจุบัน): โครงการทางรถไฟความเร็วปานกลางสายบูดาเปสต์–เบลเกรด ซึ่ง CREC ได้รับงานช่วงก่อสร้างในฝั่งฮังการี ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักเรื่อง ความไม่โปร่งใสและความเป็นไปได้ของการทุจริต รัฐบาลฮังการีได้จัดให้เอกสารการศึกษาความเป็นไปได้และสัญญาโครงการนี้เป็นความลับ 10 ปี ทำให้สาธารณชนไม่สามารถเข้าถึงข้อมูลรายละเอียดโครงการได้ นอกจากนี้ หุ้นส่วนฝ่ายฮังการีที่ร่วมงานกับ CREC ดำเนินการโดยนักธุรกิจที่เป็นเพื่อนสนิทของนายกรัฐมนตรีวิคเตอร์ ออร์บาน ยิ่งทำให้เกิดเสียงวิจารณ์เรื่องพวกพ้องและผลประโยชน์ทับซ้อน โครงการนี้ไม่ได้มีการประมูลสาธารณะตามมาตรฐานสหภาพยุโรป จนคณะกรรมาธิการยุโรปต้องเปิดกระบวนการไต่สวนการละเมิด (infringement procedure) กับรัฐบาลฮังการีในปี 2016 และเรียกร้องให้เปิดประมูลโปร่งใสเพื่อลดความเสี่ยงการทุจริต การขาดความโปร่งใสทำให้สื่อและนักวิจารณ์ระหว่างประเทศกล่าวหาโครงการนี้ว่ามีการ ฮั้วประมูล เอื้อประโยชน์ทางการเมือง และอาจก่อหนี้เกินตัว โดย Financial Times รายงานว่ามีข้อกล่าวหาเรื่องการทุจริตและโครงการอาจไม่คุ้มค่าเกิดขึ้นท่ามกลางความล่าช้าของโครงการ (แม้จนถึงปี 2023 โครงการก็ยังเดินหน้าท่ามกลางความกังขาเหล่านี้)
• กรณีในจีน (2012): รายงานและข่าวลือภายในประเทศจีนเองก็สะท้อนปัญหาทุจริตในเครือบริษัทนี้ — ในปี 2012 มีรายงานว่าผู้จัดการทั่วไปคนหนึ่งของ กลุ่มบริษัทการไฟฟ้ารางของ CREC ถูกจับกุมในข้อสงสัยคอร์รัปชัน (ติดสินบน) ซึ่งชี้ให้เห็นว่าปัญหาการให้สินบนเพื่อให้ได้มาซึ่งสัญญาหรือผลประโยชน์มิชอบไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะในต่างแดน แต่ยังเกิดในโครงการภายในประเทศจีนเอง ขณะที่ในระดับกระทรวง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงรถไฟจีน (ซึ่งเกี่ยวข้องกับกิจการรถไฟก่อนการปฏิรูป) ก็เคยถูกลงโทษฐานทุจริตมาแล้ว เช่น คดีของหลิว จื้อจวิน (ไม่ได้เกี่ยวข้องโดยตรงกับ CREC แต่สะท้อนบรรยากาศการทุจริตในวงการก่อสร้างระบบรางจีน) ที่ถูกตัดสินลงโทษประหารชีวิตรอลงอาญาจากความผิดฐานรับสินบนมหาศาลเมื่อปี 2013 กรณีทำนองนี้สร้างแรงกดดันให้บริษัทก่อสร้างของรัฐต้องปรับปรุงธรรมาภิบาลอย่างมาก
• กรณีถูกขึ้นบัญชีดำโดยกองทุนต่างชาติ (2016): บริษัท China Railway Group เคยถูก กองทุนความมั่งคั่งแห่งชาตินอร์เวย์ (Norwegian Oil Fund) ขึ้นบัญชีเป็นหลักทรัพย์ต้องห้ามในการลงทุน เนื่องจากคณะกรรมการจริยธรรมของกองทุนประเมินว่า “มีความเสี่ยงที่บริษัทนี้เข้าไปพัวพันกับการทุจริตร้ายแรง” เรื่องนี้ถูกเปิดเผยในปี 2016 เมื่อรัฐบาลสกอตแลนด์ลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU) ร่วมกับ China Railway No.3 Engineering Group เพื่อพิจารณาการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานมูลค่า £10,000 ล้าน ซึ่งต่อมาฝ่ายตรวจสอบพบว่า บริษัทแม่นั้นก็คือ China Railway Group ที่เคยถูกกองทุนนอร์เวย์ถอนการลงทุนเพราะเหตุผลด้านจริยธรรม ทำให้เกิดเสียงวิจารณ์และตั้งคำถามในสกอตแลนด์ว่ามีการตรวจสอบประวัติความโปร่งใสของคู่ค้าจีนเพียงพอหรือไม่ ฝ่ายรัฐบาลสกอตแลนด์ชี้แจงในขณะนั้นว่า MOU ดังกล่าวไม่ได้มีผลผูกพัน และหากมีการลงทุนจริงก็จะดำเนินการตรวจสอบสถานะอย่างละเอียดอีกครั้ง แต่เหตุการณ์นี้ก็สะท้อนชื่อเสียงด้านลบของ CREC ในสายตานักลงทุนต่างชาติเรื่องการคอร์รัปชัน
สรุปกรณีสำคัญในรูปแบบตาราง
ด้านล่างนี้เป็นตารางสรุปกรณีอื้อฉาวที่เกี่ยวข้องกับ China Railway Group (CREC) และบริษัทย่อย โดยแสดงชื่อโครงการหรือกรณี สถานที่ ประเทศ ปีที่เกิดเหตุหรือเปิดเผย และลักษณะปัญหาที่เกิดขึ้น:
หนึ่งในกรณีที่สร้างความสั่นสะเทือนต่อชื่อเสียงของบริษัท China Railway Group คือเหตุการณ์ อาคารสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินแห่งประเทศไทยถล่มในปี 2025 หลังแผ่นดินไหวจากประเทศเมียนมาส่งผลถึงกรุงเทพฯ อาคารนี้อยู่ระหว่างการก่อสร้างโดยเป็นโครงการร่วมของ บริษัทอิตาเลียนไทย ดีเวลลอปเมนต์ กับบริษัท China Railway No.10 Engineering Group ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของ CREC อาคารดังกล่าวเป็นเพียงตึกเดียวในกรุงเทพฯ ที่พังทลายจากแรงสั่นสะเทือน ทั้งที่ตึกอื่นรอบข้างไม่ได้รับความเสียหายรุนแรง สร้างความสงสัยอย่างมากในแง่ของมาตรฐานการก่อสร้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากเจ้าหน้าที่ตรวจพบว่า ตัวอย่างเหล็กเสริมบางส่วนไม่ได้มาตรฐาน และมี ชายชาวจีน 4 คนพยายามขนแฟ้มเอกสารออกจากไซต์งาน ซึ่งกำลังอยู่ระหว่างการสอบสวนของทางการไทย
ย้อนกลับไปในปี 2024 ที่ประเทศจีน โครงการทางรถไฟความเร็วสูงในมณฑลอานฮุย ซึ่งรับผิดชอบโดย China Railway Seventh Group (อีกหนึ่งบริษัทย่อยของ CREC) ก็ถูกรายงานโดยสำนักข่าวซินหัวว่า มีการใช้วัสดุก่อสร้างคุณภาพต่ำและวัสดุปลอมเพื่อประหยัดต้นทุน หลังข่าวเผยแพร่ ผู้สื่อข่าว 2 คนที่ลงพื้นที่ถูกเจ้าหน้าที่บริษัททำร้ายและยึดโทรศัพท์มือถือ ถือเป็นกรณีสะท้อนปัญหาของสิ่งที่ชาวจีนเรียกกันว่า “วิศวกรรมเต้าหู้” หรือ tofu-dreg engineering คือการก่อสร้างแบบลดคุณภาพที่มักพบในรัฐวิสาหกิจขนาดใหญ่
ในระดับระหว่างประเทศ กรณีที่ชัดเจนที่สุดคือ การติดสินบนเจ้าหน้าที่รัฐในประเทศสิงคโปร์ โดยผู้บริหารของ China Railway Tunnel Group (CRTG) ถูกศาลจีนตัดสินจำคุกในปี 2023 ฐานจ่ายสินบนให้เจ้าหน้าที่ฝ่ายคมนาคมของสิงคโปร์ เพื่อให้ได้สัญญาโครงการรถไฟใต้ดิน นับเป็นหนึ่งในคดีทุจริตภาครัฐที่ใหญ่ที่สุดของสิงคโปร์ และสะท้อนว่าความพยายามใช้สินบนเพื่อชนะงานของบริษัทในเครือ CREC ไม่ได้เกิดเพียงในจีนเท่านั้น
ในปี 2019 ธนาคารโลกได้ ขึ้นบัญชีดำ (debarment) บริษัท China Railway First Group (CRFG) ซึ่งเป็นอีกบริษัทในเครือของ CREC ฐานกระทำการฉ้อโกงในการประมูลโครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำ Dasu ในประเทศปากีสถาน โดยบริษัทมีพฤติกรรมปกปิดข้อมูลเกี่ยวกับตัวแทนและผู้รับเหมาช่วงในระหว่างกระบวนการยื่นข้อเสนอ ถือเป็นการละเมิดกฎระเบียบของธนาคารโลกโดยตรง
อีกหนึ่งกรณีที่ก่อให้เกิดความกังวลระดับภูมิภาคยุโรป คือ โครงการทางรถไฟสายบูดาเปสต์–เบลเกรด ซึ่ง CREC รับผิดชอบงานก่อสร้างในฝั่งประเทศฮังการี โครงการนี้ถูกตั้งข้อสงสัยเรื่องการ “ฮั้ว” และการเอื้อประโยชน์ทางการเมือง หลังจากรัฐบาลฮังการีออกคำสั่งให้ปกปิดรายละเอียดโครงการไว้ถึง 10 ปี และไม่มีการเปิดประมูลตามหลักสากล ส่งผลให้สหภาพยุโรปต้องเปิดกระบวนการไต่สวนเพราะละเมิดระเบียบของอียู ขณะเดียวกัน หุ้นส่วนของฝั่งฮังการีในโครงการนี้มีความใกล้ชิดกับนายกรัฐมนตรีวิคเตอร์ ออร์บาน ยิ่งเพิ่มข้อกังขาเรื่องความโปร่งใส
แม้แต่ภายในประเทศจีนเอง ก็มีรายงานการทุจริตเกิดขึ้นในเครือบริษัทนี้ โดยในปี 2012 ผู้จัดการทั่วไปของบริษัทในเครือด้านการไฟฟ้ารางของ CREC ถูกจับกุมในข้อหาสินบน แม้จะไม่มีรายละเอียดเปิดเผยมากนัก แต่ก็สะท้อนวัฒนธรรมองค์กรที่มีความเสี่ยงด้านธรรมาภิบาล
ในระดับนานาชาติ กองทุนความมั่งคั่งแห่งชาตินอร์เวย์ (Norwegian Oil Fund) ซึ่งเป็นหนึ่งในกองทุนใหญ่ของโลก เคยประกาศถอนการลงทุนจาก China Railway Group และขึ้นบัญชีเป็น “หลักทรัพย์ต้องห้าม” ด้วยเหตุผลว่า บริษัทมีความเสี่ยงสูงที่จะเกี่ยวข้องกับการทุจริตร้ายแรง กรณีนี้กลายเป็นประเด็นในสกอตแลนด์เมื่อรัฐบาลลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU) กับบริษัทในเครือ CREC เพื่อพิจารณาโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานมูลค่ามหาศาล ก่อนที่สื่อและฝ่ายค้านจะเปิดโปงความเชื่อมโยงกับบริษัทแม่ที่ถูกถอนการลงทุนจากนอร์เวย์ ทำให้รัฐบาลสกอตแลนด์ต้องออกมาชี้แจงว่าบันทึกดังกล่าวไม่มีผลผูกพันทางกฎหมาย
หมายเหตุ: กรณีข้างต้นบางเรื่องยังอยู่ระหว่างการสอบสวนหรือเป็นข้อกล่าวหา (เช่น กรณีไทยและฮังการี) ขณะที่บางเรื่องได้รับการยืนยันความผิดแล้วโดยคำพิพากษาหรือการลงโทษทางปกครอง (เช่น คดีสินบนสิงคโปร์และปากีสถาน) แต่ภาพรวมทั้งหมดสะท้อนถึงความเสี่ยงด้านธรรมาภิบาลของบริษัท China Railway Group และเครือข่าย ทั้งในมิติความปลอดภัยของโครงการก่อสร้างและความโปร่งใสในการดำเนินธุรกิจ ที่ผู้เกี่ยวข้องควรจับตาอย่างใกล้ชิดต่อไป
https://www.facebook.com/photo/?fbid=122135510888403461&set=a.122100270956403461
·
บริษัท China Railway Group และความเชื่อมโยงกับพรรคคอมมิวนิสต์จีน
ภาพรวมและความสัมพันธ์กับรัฐจีน
China Railway Group Limited หรือที่มักเรียก China Railway Engineering Corporation (CREC) เป็นรัฐวิสาหกิจขนาดยักษ์ของจีนที่ดำเนินธุรกิจก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานทั้งในประเทศและทั่วโลก โดยมีรัฐบาลจีนถือหุ้นใหญ่ผ่านหน่วยงานกำกับดูแลสินทรัพย์รัฐ (SASAC) จึงทำให้บริษัทมีความเชื่อมโยงใกล้ชิดกับรัฐและพรรคคอมมิวนิสต์จีนอย่างมาก ผู้บริหารระดับสูงของ CREC มักเป็นสมาชิกพรรคและได้รับการแต่งตั้งโดยรัฐบาล ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของนโยบายที่ให้มีคณะกรรมการพรรคกำกับดูแลในรัฐวิสาหกิจขนาดใหญ่ของจีน นอกจากนี้ CREC ยังมีบทบาทสำคัญในโครงการยุทธศาสตร์ของรัฐบาลจีน เช่น โครงการ “หนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง” (Belt and Road Initiative – BRI) ที่มุ่งขยายโครงสร้างพื้นฐานและอิทธิพลของจีนในต่างประเทศ บริษัทผ่านบริษัทย่อยต่าง ๆ ได้รับงานก่อสร้างทางรถไฟ ถนน และโครงการใหญ่ในเอเชีย แอฟริกา ยุโรป และอเมริกาใต้มาโดยตลอด นับตั้งแต่ยุคสร้างทางรถไฟแทนซาเนีย-แซมเบียในทวีปแอฟริกาช่วงทศวรรษ 1970 เป็นต้นมา โครงการหลายแห่งของ CREC ในต่างประเทศถูกมองว่าเป็นส่วนหนึ่งของการขับเคลื่อนนโยบายต่างประเทศของจีน ภายใต้การสนับสนุนของพรรคคอมมิวนิสต์จีนและรัฐบาลกลาง
กรณีอื้อฉาวด้านคุณภาพและความปลอดภัยในการก่อสร้าง
ภาพ: ซากปรักหักพังของอาคารสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินในกรุงเทพฯ ซึ่งพังถล่มลงมาหลังเหตุแผ่นดินไหว (มีนาคม 2025)
หนึ่งในเหตุการณ์ที่เผยให้เห็นปัญหาคุณภาพงานก่อสร้างของบริษัทคือ กรณีอาคารสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (State Audit Office) ในกรุงเทพมหานคร ประเทศไทย ถล่มในปี 2025 หลังเกิดแผ่นดินไหวใหญ่ศูนย์กลางในประเทศเมียนมา อาคารสูง 30 ชั้นที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างนี้เป็นโครงการร่วมระหว่างบริษัทอิตาเลียนไทย ดีเวลลอปเมนต์ของไทย กับ China Railway No.10 Engineering Group ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของ CREC ที่รับผิดชอบงานก่อสร้างหลัก อาคารดังกล่าวเป็นตึกเดียวในกรุงเทพฯ ที่พังถล่มจากแรงสั่นสะเทือน ขณะที่ตึกอื่นๆ ไม่ได้รับความเสียหายรุนแรงเช่นนี้ สร้างความสงสัยว่าอาจมีปัญหามาตรฐานการก่อสร้างหรือการออกแบบโครงสร้างที่ผิดพลาด หลังเหตุการณ์ หน่วยงานไทยได้เปิดการสอบสวนสาเหตุ โดยพุ่งเป้าไปที่ความเป็นไปได้ของ วัสดุก่อสร้างไม่ได้มาตรฐานหรือการลดสเปก รวมถึงตรวจสอบแผนการก่อสร้างและกระบวนการตรวจรับรองที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ได้เก็บตัวอย่างเหล็กเสริมคอนกรีตจากซากอาคารเพื่อตรวจสอบ เนื่องจากมีข้อสันนิษฐานว่าเหล็กที่ใช้ “เล็กเกินไปหรือคุณภาพต่ำ” จนอาจทำให้โครงสร้างอ่อนแอ นอกจากนี้ ตำรวจไทยยังสอบสวนเหตุการณ์ที่มีชายชาวจีน 4 คนซึ่งเป็นลูกจ้างผู้รับเหมาถูกพบพยายามขนย้ายแฟ้มเอกสาร 32 แฟ้มออกจากไซต์งานหลังอาคารถล่ม ซึ่งสร้างความสงสัยว่าอาจเป็นการพยายาม ซ่อนเอกสารหรือทำลายหลักฐาน ที่เกี่ยวข้องกับโครงการ (เหตุการณ์นี้อยู่ระหว่างสอบสวนเพิ่มเติม)
กรณีดังกล่าวสอดคล้องกับปัญหาคุณภาพงานก่อสร้างที่เคยถูกเปิดโปงในจีนเอง โดย ปี 2024 สำนักข่าวซินหัวของรัฐบาลจีนได้เผยแพร่รายงานการสอบสวนการก่อสร้างทางรถไฟความเร็วสูงในมณฑลอานฮุย ที่พบว่าผู้รับเหมาหลายรายซึ่งรวมถึงบริษัทเครือของ CREC มีการ ลดต้นทุนด้วยการใช้วัสดุด้อยคุณภาพและของลอกเลียนแบบ ที่ประสิทธิภาพต่ำกว่าที่กำหนดไว้มาก ส่อให้เกิดความเสี่ยงด้านความปลอดภัยในโครงการ หลังรายงานตีพิมพ์ ผู้สื่อข่าวซินหัว 2 คนที่ลงพื้นที่เก็บข้อมูลถูกเจ้าหน้าที่ของ China Railway Seventh Group (บริษัทย่อยหมายเลข 7 ของ CREC) ทำร้ายร่างกายและยึดโทรศัพท์ เพื่อขัดขวางการนำเสนอข่าว กรณีนี้จบลงด้วยการที่ตำรวจจีนควบคุมตัวผู้ก่อเหตุ 5 รายและลงโทษด้วยการกักขังทางปกครอง ซึ่งตอกย้ำให้เห็นถึง ปัญหาเชิงระบบของ “วิศวกรรมเต้าหู้” (tofu-dreg engineering) คือการก่อสร้างที่ไม่ได้มาตรฐานและขาดความซื่อสัตย์ รวมถึงความพยายามปิดบังปัญหาของบางโครงการในเครือ CREC
กรณีทุจริตและสินบนทั้งในและต่างประเทศ
นอกเหนือจากปัญหาคุณภาพงานแล้ว CREC และบริษัทย่อยยังพัวพันกับ ข้อกล่าวหาและคดีทุจริตติดสินบนหลายกรณี ทั้งในจีนและต่างประเทศ จนบางครั้งถูกลงโทษหรือถูกขึ้นบัญชีดำโดยองค์กรสากล ตัวอย่างสำคัญ ได้แก่:
• กรณีประเทศสิงคโปร์ (2018-2023): เจ้าหน้าที่ระดับสูงสองคนของ China Railway Tunnel Group (CRTG) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยด้านงานอุโมงค์ของ CREC ถูกศาลในกว่างโจวประเทศจีนพิพากษาจำคุกในปี 2023 ฐานติดสินบนเจ้าหน้าที่รัฐสิงคโปร์ เพื่อแลกกับความได้เปรียบในโครงการก่อสร้างระบบรถไฟใต้ดินในสิงคโปร์ ถือเป็นคดีทุจริตภาครัฐที่ใหญ่ที่สุดคดีหนึ่งของสิงคโปร์ในรอบหลายปี  การสอบสวนพบว่าผู้บริหาร CRTG รายหนึ่งจ่ายสินบนให้เจ้าหน้าที่ของหน่วยงานด้านขนส่งสิงคโปร์ และยังรับสินบนภายในจีนด้วย ซึ่งทางการจีนดำเนินคดีลงโทษในประเทศตนเอง (ทางการสิงคโปร์ก็ได้ดำเนินการกับเจ้าหน้าที่ของตนเช่นกันในคดีนี้)
• กรณีประเทศปากีสถาน (2015/2019): ธนาคารโลกได้สั่ง ขึ้นบัญชีดำ (debarment) บริษัท China Railway First Group (CRFG) ซึ่งเป็นหนึ่งในบริษัทแกนหลักของ CREC เป็นเวลา 2 ปี ฐานกระทำการฉ้อโกงในการประมูลโครงการก่อสร้างโรงไฟฟ้าพลังน้ำ Dasu ในปากีสถานที่ได้รับทุนจากธนาคารโลก โดยตามข้อมูลของธนาคารโลก CRFG ได้บิดเบือนข้อเท็จจริงและปกปิดข้อมูล ระหว่างกระบวนการยื่นประมูลงาน 4 สัญญา (สองสัญญาได้งานในปี 2015) เช่น ไม่เปิดเผยการว่าจ้างช่วงและตัวแทนที่เกี่ยวข้องในการยื่นข้อเสนอ ถือเป็นการกระทำทุจริตตามระเบียบจัดซื้อจัดจ้างของธนาคารโลก  กรณีนี้ส่งผลให้ CRFG และบริษัทในเครือไม่สามารถร่วมโครงการที่ธนาคารโลกสนับสนุนช่วงเวลาหนึ่ง และถือเป็นการยอมรับโดยพฤตินัยว่ามีพฤติการณ์ทุจริตเกิดขึ้นจริงในบริษัทลูกของ CREC
• กรณีประเทศฮังการี (2015-ปัจจุบัน): โครงการทางรถไฟความเร็วปานกลางสายบูดาเปสต์–เบลเกรด ซึ่ง CREC ได้รับงานช่วงก่อสร้างในฝั่งฮังการี ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักเรื่อง ความไม่โปร่งใสและความเป็นไปได้ของการทุจริต รัฐบาลฮังการีได้จัดให้เอกสารการศึกษาความเป็นไปได้และสัญญาโครงการนี้เป็นความลับ 10 ปี ทำให้สาธารณชนไม่สามารถเข้าถึงข้อมูลรายละเอียดโครงการได้ นอกจากนี้ หุ้นส่วนฝ่ายฮังการีที่ร่วมงานกับ CREC ดำเนินการโดยนักธุรกิจที่เป็นเพื่อนสนิทของนายกรัฐมนตรีวิคเตอร์ ออร์บาน ยิ่งทำให้เกิดเสียงวิจารณ์เรื่องพวกพ้องและผลประโยชน์ทับซ้อน โครงการนี้ไม่ได้มีการประมูลสาธารณะตามมาตรฐานสหภาพยุโรป จนคณะกรรมาธิการยุโรปต้องเปิดกระบวนการไต่สวนการละเมิด (infringement procedure) กับรัฐบาลฮังการีในปี 2016 และเรียกร้องให้เปิดประมูลโปร่งใสเพื่อลดความเสี่ยงการทุจริต การขาดความโปร่งใสทำให้สื่อและนักวิจารณ์ระหว่างประเทศกล่าวหาโครงการนี้ว่ามีการ ฮั้วประมูล เอื้อประโยชน์ทางการเมือง และอาจก่อหนี้เกินตัว โดย Financial Times รายงานว่ามีข้อกล่าวหาเรื่องการทุจริตและโครงการอาจไม่คุ้มค่าเกิดขึ้นท่ามกลางความล่าช้าของโครงการ (แม้จนถึงปี 2023 โครงการก็ยังเดินหน้าท่ามกลางความกังขาเหล่านี้)
• กรณีในจีน (2012): รายงานและข่าวลือภายในประเทศจีนเองก็สะท้อนปัญหาทุจริตในเครือบริษัทนี้ — ในปี 2012 มีรายงานว่าผู้จัดการทั่วไปคนหนึ่งของ กลุ่มบริษัทการไฟฟ้ารางของ CREC ถูกจับกุมในข้อสงสัยคอร์รัปชัน (ติดสินบน) ซึ่งชี้ให้เห็นว่าปัญหาการให้สินบนเพื่อให้ได้มาซึ่งสัญญาหรือผลประโยชน์มิชอบไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะในต่างแดน แต่ยังเกิดในโครงการภายในประเทศจีนเอง ขณะที่ในระดับกระทรวง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงรถไฟจีน (ซึ่งเกี่ยวข้องกับกิจการรถไฟก่อนการปฏิรูป) ก็เคยถูกลงโทษฐานทุจริตมาแล้ว เช่น คดีของหลิว จื้อจวิน (ไม่ได้เกี่ยวข้องโดยตรงกับ CREC แต่สะท้อนบรรยากาศการทุจริตในวงการก่อสร้างระบบรางจีน) ที่ถูกตัดสินลงโทษประหารชีวิตรอลงอาญาจากความผิดฐานรับสินบนมหาศาลเมื่อปี 2013 กรณีทำนองนี้สร้างแรงกดดันให้บริษัทก่อสร้างของรัฐต้องปรับปรุงธรรมาภิบาลอย่างมาก
• กรณีถูกขึ้นบัญชีดำโดยกองทุนต่างชาติ (2016): บริษัท China Railway Group เคยถูก กองทุนความมั่งคั่งแห่งชาตินอร์เวย์ (Norwegian Oil Fund) ขึ้นบัญชีเป็นหลักทรัพย์ต้องห้ามในการลงทุน เนื่องจากคณะกรรมการจริยธรรมของกองทุนประเมินว่า “มีความเสี่ยงที่บริษัทนี้เข้าไปพัวพันกับการทุจริตร้ายแรง” เรื่องนี้ถูกเปิดเผยในปี 2016 เมื่อรัฐบาลสกอตแลนด์ลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU) ร่วมกับ China Railway No.3 Engineering Group เพื่อพิจารณาการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานมูลค่า £10,000 ล้าน ซึ่งต่อมาฝ่ายตรวจสอบพบว่า บริษัทแม่นั้นก็คือ China Railway Group ที่เคยถูกกองทุนนอร์เวย์ถอนการลงทุนเพราะเหตุผลด้านจริยธรรม ทำให้เกิดเสียงวิจารณ์และตั้งคำถามในสกอตแลนด์ว่ามีการตรวจสอบประวัติความโปร่งใสของคู่ค้าจีนเพียงพอหรือไม่ ฝ่ายรัฐบาลสกอตแลนด์ชี้แจงในขณะนั้นว่า MOU ดังกล่าวไม่ได้มีผลผูกพัน และหากมีการลงทุนจริงก็จะดำเนินการตรวจสอบสถานะอย่างละเอียดอีกครั้ง แต่เหตุการณ์นี้ก็สะท้อนชื่อเสียงด้านลบของ CREC ในสายตานักลงทุนต่างชาติเรื่องการคอร์รัปชัน
สรุปกรณีสำคัญในรูปแบบตาราง
ด้านล่างนี้เป็นตารางสรุปกรณีอื้อฉาวที่เกี่ยวข้องกับ China Railway Group (CREC) และบริษัทย่อย โดยแสดงชื่อโครงการหรือกรณี สถานที่ ประเทศ ปีที่เกิดเหตุหรือเปิดเผย และลักษณะปัญหาที่เกิดขึ้น:
หนึ่งในกรณีที่สร้างความสั่นสะเทือนต่อชื่อเสียงของบริษัท China Railway Group คือเหตุการณ์ อาคารสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินแห่งประเทศไทยถล่มในปี 2025 หลังแผ่นดินไหวจากประเทศเมียนมาส่งผลถึงกรุงเทพฯ อาคารนี้อยู่ระหว่างการก่อสร้างโดยเป็นโครงการร่วมของ บริษัทอิตาเลียนไทย ดีเวลลอปเมนต์ กับบริษัท China Railway No.10 Engineering Group ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของ CREC อาคารดังกล่าวเป็นเพียงตึกเดียวในกรุงเทพฯ ที่พังทลายจากแรงสั่นสะเทือน ทั้งที่ตึกอื่นรอบข้างไม่ได้รับความเสียหายรุนแรง สร้างความสงสัยอย่างมากในแง่ของมาตรฐานการก่อสร้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากเจ้าหน้าที่ตรวจพบว่า ตัวอย่างเหล็กเสริมบางส่วนไม่ได้มาตรฐาน และมี ชายชาวจีน 4 คนพยายามขนแฟ้มเอกสารออกจากไซต์งาน ซึ่งกำลังอยู่ระหว่างการสอบสวนของทางการไทย
ย้อนกลับไปในปี 2024 ที่ประเทศจีน โครงการทางรถไฟความเร็วสูงในมณฑลอานฮุย ซึ่งรับผิดชอบโดย China Railway Seventh Group (อีกหนึ่งบริษัทย่อยของ CREC) ก็ถูกรายงานโดยสำนักข่าวซินหัวว่า มีการใช้วัสดุก่อสร้างคุณภาพต่ำและวัสดุปลอมเพื่อประหยัดต้นทุน หลังข่าวเผยแพร่ ผู้สื่อข่าว 2 คนที่ลงพื้นที่ถูกเจ้าหน้าที่บริษัททำร้ายและยึดโทรศัพท์มือถือ ถือเป็นกรณีสะท้อนปัญหาของสิ่งที่ชาวจีนเรียกกันว่า “วิศวกรรมเต้าหู้” หรือ tofu-dreg engineering คือการก่อสร้างแบบลดคุณภาพที่มักพบในรัฐวิสาหกิจขนาดใหญ่
ในระดับระหว่างประเทศ กรณีที่ชัดเจนที่สุดคือ การติดสินบนเจ้าหน้าที่รัฐในประเทศสิงคโปร์ โดยผู้บริหารของ China Railway Tunnel Group (CRTG) ถูกศาลจีนตัดสินจำคุกในปี 2023 ฐานจ่ายสินบนให้เจ้าหน้าที่ฝ่ายคมนาคมของสิงคโปร์ เพื่อให้ได้สัญญาโครงการรถไฟใต้ดิน นับเป็นหนึ่งในคดีทุจริตภาครัฐที่ใหญ่ที่สุดของสิงคโปร์ และสะท้อนว่าความพยายามใช้สินบนเพื่อชนะงานของบริษัทในเครือ CREC ไม่ได้เกิดเพียงในจีนเท่านั้น
ในปี 2019 ธนาคารโลกได้ ขึ้นบัญชีดำ (debarment) บริษัท China Railway First Group (CRFG) ซึ่งเป็นอีกบริษัทในเครือของ CREC ฐานกระทำการฉ้อโกงในการประมูลโครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำ Dasu ในประเทศปากีสถาน โดยบริษัทมีพฤติกรรมปกปิดข้อมูลเกี่ยวกับตัวแทนและผู้รับเหมาช่วงในระหว่างกระบวนการยื่นข้อเสนอ ถือเป็นการละเมิดกฎระเบียบของธนาคารโลกโดยตรง
อีกหนึ่งกรณีที่ก่อให้เกิดความกังวลระดับภูมิภาคยุโรป คือ โครงการทางรถไฟสายบูดาเปสต์–เบลเกรด ซึ่ง CREC รับผิดชอบงานก่อสร้างในฝั่งประเทศฮังการี โครงการนี้ถูกตั้งข้อสงสัยเรื่องการ “ฮั้ว” และการเอื้อประโยชน์ทางการเมือง หลังจากรัฐบาลฮังการีออกคำสั่งให้ปกปิดรายละเอียดโครงการไว้ถึง 10 ปี และไม่มีการเปิดประมูลตามหลักสากล ส่งผลให้สหภาพยุโรปต้องเปิดกระบวนการไต่สวนเพราะละเมิดระเบียบของอียู ขณะเดียวกัน หุ้นส่วนของฝั่งฮังการีในโครงการนี้มีความใกล้ชิดกับนายกรัฐมนตรีวิคเตอร์ ออร์บาน ยิ่งเพิ่มข้อกังขาเรื่องความโปร่งใส
แม้แต่ภายในประเทศจีนเอง ก็มีรายงานการทุจริตเกิดขึ้นในเครือบริษัทนี้ โดยในปี 2012 ผู้จัดการทั่วไปของบริษัทในเครือด้านการไฟฟ้ารางของ CREC ถูกจับกุมในข้อหาสินบน แม้จะไม่มีรายละเอียดเปิดเผยมากนัก แต่ก็สะท้อนวัฒนธรรมองค์กรที่มีความเสี่ยงด้านธรรมาภิบาล
ในระดับนานาชาติ กองทุนความมั่งคั่งแห่งชาตินอร์เวย์ (Norwegian Oil Fund) ซึ่งเป็นหนึ่งในกองทุนใหญ่ของโลก เคยประกาศถอนการลงทุนจาก China Railway Group และขึ้นบัญชีเป็น “หลักทรัพย์ต้องห้าม” ด้วยเหตุผลว่า บริษัทมีความเสี่ยงสูงที่จะเกี่ยวข้องกับการทุจริตร้ายแรง กรณีนี้กลายเป็นประเด็นในสกอตแลนด์เมื่อรัฐบาลลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU) กับบริษัทในเครือ CREC เพื่อพิจารณาโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานมูลค่ามหาศาล ก่อนที่สื่อและฝ่ายค้านจะเปิดโปงความเชื่อมโยงกับบริษัทแม่ที่ถูกถอนการลงทุนจากนอร์เวย์ ทำให้รัฐบาลสกอตแลนด์ต้องออกมาชี้แจงว่าบันทึกดังกล่าวไม่มีผลผูกพันทางกฎหมาย
หมายเหตุ: กรณีข้างต้นบางเรื่องยังอยู่ระหว่างการสอบสวนหรือเป็นข้อกล่าวหา (เช่น กรณีไทยและฮังการี) ขณะที่บางเรื่องได้รับการยืนยันความผิดแล้วโดยคำพิพากษาหรือการลงโทษทางปกครอง (เช่น คดีสินบนสิงคโปร์และปากีสถาน) แต่ภาพรวมทั้งหมดสะท้อนถึงความเสี่ยงด้านธรรมาภิบาลของบริษัท China Railway Group และเครือข่าย ทั้งในมิติความปลอดภัยของโครงการก่อสร้างและความโปร่งใสในการดำเนินธุรกิจ ที่ผู้เกี่ยวข้องควรจับตาอย่างใกล้ชิดต่อไป
https://www.facebook.com/photo/?fbid=122135510888403461&set=a.122100270956403461