‘อนุทิน’ บอก การจับกุมลูกเขยของ ชาดา ไทยเศรษฐ์ พร้อมกับพวกรวม ๕ คน ในข้อหา ‘เรียกรับสินบน’ ๖ แสนบาทจากผู้รับเหมาก่อสร้างระบบประปาในสองตำบล อ.เมือง อุทัยธานี “ไม่รู้ว่าท่านชาดาสั่งจับเองหรือเปล่า” น่ะ ‘แก้เก้อ’ นะ
ถ้าหัวหน้าพรรคภูมิใจไทยเชื่อว่า “กฎหมายต้องทำงานเป็นเรื่องปกติ” ก็ไม่จำเป็นจะต้องมีคอมเม้นต์ลอยๆ ให้ไขว้เขว เรื่องที่ “ชาดาแจ้งไปยังผู้ว่าราชการจังหวัดอุทัยธานีแล้ว ถ้ามีหลักฐานต้องสั่งให้นายกเทศมนตรีหยุดปฏิบัติหน้าที่”
คือถ้าตำรวจหน่วย ‘หนุมานกองปราบ’ ได้เบาะแสจนลงไปพื้นที่ดักจับสองผู้รับเงินคาหนังคาเขา หน้าธนาคาร ธกส. แล้วจึงพาไปจับกุมตัวนายกเทศมนตรี ปลัดเทศบาล และนายช่างโยธาอย่างนั้น มันเป็นคดีที่ถึงอย่างไรต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่ไว้ก่อน
แน่นอน “ไม่มีใครใหญ่เกินกฎหมาย” ก็ควรปล่อยให้เป็นเรื่องของรัฐมนตรีมหาดไทยชี้แจงเองว่าเป็นลูกเขยทำผิดกฎหมายอย่างไร ไม่ใช่กงการของรองนายกรัฐมนตรีหัวหน้าพรรค จักต้องออกมาพูดเป็นปมปะหน้าไว้ว่า “ถ้ามีหลักฐาน”
เรื่องนี้เป็นข่าวอื้ออึงอย่างรวดเร็ว เนื่องเพราะตัวรัฐมนตรีชาดาเอง ก็เคยโดนเรียกตรวจค้นรถแล้วพบยาเสพติดและอาวุธ ครั้งนั้นยังไม่เป็นรัฐมนตรี แต่มีฉายา ‘จ้าวพ่อสะแกกรัง’ ครั้นตอนเข้ารับตำแหน่งประกาศว่าจังหวัดอุทัยไม่มีอิทธิพล เพราะตนเองเป็นมาเฟีย
การจับกุมนายวีระชาติ รัศมี สามีของลูกสาวคนที่สี่ของชาดา นั้นเป็นปฏิบัติการพิเศษของกองปราบเพื่อ “กวาดล้างจับกุมขบวนการเจ้าหน้าที่รัฐเรียกรับเงินสิบบนจากผู้ประกอบการ” หลังจากได้รับร้องเรียนจากผู้ได้ประมูลว่าถูกกลั่นแกล้งแล้วเรียกสินบน
ผู้เสียหายซึ่งได้ประมูลแล้ว “มีกลุ่มอิทธิพลมืดทำการล็อบบี้สั่งห้ามร้านขายอุปกรณ์ก่อสร้าง แคมป์ปูนซีเมนต์ทุกแห่งในพื้นที่ จ.อุทัยธานี ขายปูนหรืออุปกรณ์ที่ให้กับผู้เสียหาย จนเกิดปัญหาขาดแคลนวัตถุดิบในการก่อสร้าง”
นายวีระชาติซึ่งเป็นนายกเทศมนตรี “ได้เรียกผู้เสียหายมาเข้าพบจำนวน ๓ ครั้ง ก่อนยื่นข้อเสนอให้ผู้เสียหาย ยอมจ่ายเงินจำนวน ๑ ล้านบาท เพื่อที่จะสามารถดำเนินการก่อสร้างโครงการทั้ง ๒ แห่งได้” จนมีการต่อรองลงเหลือ ๖ แสนบาทดังกล่าว
คดีนี้จะเป็นเครื่องพิสูจน์ว่า ให้คนที่เคยเป็นจ้าวพ่อมาเฟีย มาทำหน้าที่ปราบอิทธิพลนั้น คุ้มกันไหม
(https://www.sanook.com/news/9080678/ และ https://www.sanook.com/news/9080722)