วันศุกร์, ตุลาคม 18, 2567

คนที่ผ่าน 6 ตุลาเป็นได้ถึงเพียงนี้


Thanapol Eawsakul
7 hours ago
·
เมื่อเสียชีวิต ภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ควรเอาศพไปฝังที่ สนามกอล์ฟธูปเตมีย์ และกองทัพควรสร้างอนุสาวรีย์ให้ด้วย
................
ฟังการตอบกระูทู้ของเชตวัน เตือประโคน สส.พรรคประชน โดยภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม
https://www.facebook.com/ChetawanPPLE/posts/552624293933950
ภูมิธรรมอ้างว่า ‘สนามกอล์ฟธูปะเตมีย์’ จำเป็น เพราะเป็นพื้นที่ป้องกันทางยุทธศาสตร์สามารถให้อากาศยานลงจอดฉุกเฉินได้
https://www.facebook.com/photo/?fbid=971678065006244&set=a.654659433374777
ฟังดูก็รู้วา่เป็นโพยที่ทหารเขียนใส่มือให้ภูมิธรรมอ่าน
ขณะที่มีผู้รู้ให้ข้อมูลที่น่าสนใจว่า
https://www.facebook.com/photo/?fbid=8898693290175346&set=gm.3891534974424497&idorvanity=1853019151609433&locale=th_TH
สนามกอล์ฟ ธูปเตมีย์ อยู่ห่างจากรันเวย์ สนามบินดอนเมือง 2.7 กม. ระหว่างทางก็มีบ้านคนมากมาย พื้นที่สนามกอล์ฟ มีทั้งเนิน สระน้ำ ต้นไม้ใหญ่ ไม่ใช่พื้นที่ราบเรียบแล้ว ถ้าเครื่องบินลงจอดฉุกเฉิน ตายยกลำแน่ๆ
พื้นที่กองพันอากาศโยธิน สถานีเรดาห์ก็อยู่ข้างสนามบินดอนเมือง ไม่ได้มาใช้พื้นที่สนามกอล์ฟ
หรือ จะใช้ เป็นพื้นที่ตั้งฐานต่อสู้อากาศยาน ขนาดญี่ปุ่น ยังใช้พื้นที่สนามฟุตบอล พื้นที่ลานจอดรถทั่วไป เป็นที่ตั้งฐานยิงของกองพันแพตริออตได้เลย หน่วยต่อสู้อากาศยานของไทย เล็กกว่าญี่ปุ่นมาก ไม่น่าจะมีปัญหาเรื่องพื้นที่
คิดเห็นอย่างไรบ้างครับ
.....
แค่เรื่องง่ายๆ เปลี่ยนสนามกอล์ฟทหารมาเป็นสวนสาธารณะ ภูมิธรรม และพรรคเพื่อไทยยังไม่กล้าที่จะทำ อย่าไปหวังที่คนพวกนี้จะปฏิรูปกองทัพ ที่เป็นปรสิตใหญ่ของสังคมเลยครับ
ขณะะเดียวกันการดำรงอยู่ของรัฐบาลเพื่อไทยเป็นเครื่องค้ำยังระบอบอภิสิทธิชนไว้ต่อไป ดังนั้น เมื่อเสียชีวิต ภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ควรเอาศพไปฝังที่สนามกอล์ฟธูปเตมีย์ และกองทัพควรสร้างอนุสาวรีย์ให้ด้วย เพื่อให้สมเกียรติ

https://www.facebook.com/thanapol.eawsakul/posts/pfbid0QnSWk9jiVCP5BZMoG46E1KsUTME8aqqjwMyoxrWu7VSEGsHbeGZ4zknSvoRsZtTSl
.....

Somsak Jeamteerasakul
6 hours ago
·
ผมเห็นข่าวเรื่องภูมิธรรมตอบคำถามเรื่องสนามกอล์ฟธูปะเตมีย์ในสภากับ สส.พรรคประชาชน แต่ตอนแรกไม่ค่อยสนใจนัก จนมาอ่านที่ "ปุ๊" Thanapol Eawsakul สรุปแล้ว ได้แต่สบถว่าคนที่ผ่าน 6 ตุลาเป็นได้ถึงเพียงนี้ ทุเรศจริงๆ


สองมาตรฐานในคดีตากใบกับคดีความมั่นคง ภาพของจำเลยคดีความมั่นคงติดไวนิลริมถนน ผู้ต้องสงสัยคดีความมั่นคงที่หนีไปในมาเลเซียมักจะถูกส่งตัวกลับมา - ภาพของจำเลยทั้งเจ็ดคนคดีตากใบไม่เห็นริมถนนเลย จำเลยคดีตากใบที่หนีไปต่างประเทศ ไม่มีการจัดการใด ๆ


Hara Shintaro
16 hours ago
·
สองมาตรฐานในคดีตากใบกับคดีความมั่นคง
- ภาพของจำเลยคดีความมั่นคงติดไวนิลริมถนน แต่ภาพของจำเลยทั้งเจ็ดคนไม่เห็นริมถนนเลย
- การบุกบ้านของผุ้ต้องสงสัยคดีความมั่นคง มักจะเป็นการปิดล้อมตรวจค้น และบางกรณีก็ลงเอยด้วยวิสามัญฆาตกรรม ส่วนการบุกบ้านผู้ต้องสงสัยคดีตากใบมีลักษณะการปฏิบัติการที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง สุภาพเรียบร้อยมาก
- ผู้ต้องสงสัยคดีความมั่นคงที่หนีไปในมาเลเซียมักจะถูกส่งตัวกลับมา ส่วนจำเลยคดีตากใบที่หนีไปต่างประเทศ ไม่มีการจัดการใด ๆ ไม่มีการส่งตัวมาจนถึงวันนี้ทั้ง ๆ ที่ใกล้หมดอายุความ
ภาพ: จำไม่ได้โหลดจากที่ไหน หากไม่สะดวก ขอชี้แจงมาครับ จะลบ
.....

.....


.....

Noi Thamsathien
13 hours ago
·
count down ตากใบค่ะพี่น้อง
25 ตุลา คดีหมดอายุ ตอนนี้เหลือ 9 วันรวมทั้งวันนี้
จากข้อมูลตำรวจ จำเลยหนึออกนอก 2 คน แปลว่ามีอีกหลายคนที่เหลืออยู่ในประเทศ ทำไมตามไม่ได้ คำถามแรก
พลเอกพิศาลไปอังกฤษ ต้องอาศัยหมายอินเตอร์โพล น้องสื่อตรวจสอบล่าสุด ไม่ปรากฏว่ามึการออกหมาย คำถาม: รัฐบาลไปประสานอินเตอร์โพลหรือยัง
มีผู้ตั้งข้อสังเกตว่า อังกฤษไม่ส่งตัวกรณีโทษถึงขั้นประหารชีวิต แต่เราเช็คเวบไซท์รัฐบาลอังกฤษแล้ว เขาบอกว่า มีข้อยกเว้น หากมีการชี้แจงว่า ไม่มีการลงโทษขั้นนั้นแน่นอน
แต่ที่แน่ๆ ไม่เป็นที่ประจักษ์ว่าโปรเซสนี้เริ่มแล้ว
เราเคยทำข่าวช่วงที่รัฐบาลไทยขอตัวปิ่น จักกะพากจากอังกฤษ กระบวนการใช้เวลา การขึ้นศาลแต่ละขั้นตอนมีเวลาของมัน อัยการไทยต้องเป็นคนทำเรื่องเสนอไปขอรับตัว มีเอกสารพร้อมข้อหาเพื่อเอาไปเทียบเคียงข้อหาของอังกฤษ มีคนทำหน้าที่เป็นตัวแทนของรัฐบาลที่รัฐบาลอังกฤษจะตั้งมาไปดำเนินการให้ในชั้นศาลของเขา หากว่ารัฐบาลไทยเอาจริงเอาจังในการตามตัว ยังมีคำถามว่า เวลาที่เหลือนี้พอหรือเปล่า พอมาถึงเวลานี้ ทันหรือไม่ อาจไม่สำคัญเท่าทำหรือเปล่า
เราว่า อย่างน้อย ตอนนี้ควรติดตามจำเลยคนอื่นๆก่อน และถ้าต้องการกู้ชื่อและเครดิต ควรเริ่มกระบวนการขอตัว จะได้ทันหรือไม่เป็นอีกเรื่องหนึ่ง แต่ควรทำ ถ้าไม่ทำเลย เอาแต่ยิ้มหวานโชว์จดหมายลาออก หายนะทางการเมืองชัวร์ อาจจะจับต้องไม่ได้นะ แต่หายนะแน่ๆ
.....




เหลืออีก 8 วันคดีตากใบจะหมดอายุความ หากนำตัวจำเลยมาขึ้นศาลไม่ได้ จะมีผลกระทบทั้งต่อความรู้สึกของประชาชนในพื้นที่ว่าไม่ได้รับความเป็นธรรม เสี่ยงต่อการถูกผู้ก่อความไม่สงบนำไปเป็นข้ออ้างก่อเหตุรุนแรงในพื้นที่เพื่อตอบโต้รัฐ และยังกระทบต่อการเจรจาสันติภาพที่เริ่มมาในสมัยคุณยิ่งลักษณ์


Pannika Chor Wanich
11 hours ago
·
คณะกรรมาธิการวิสามัญสันติภาพชายแดนใต้ มีความกังวลอย่างยิ่งต่อการติดตามตัวจำเลยคดีสลายการชุมนุมตากใบ ว่าหากไม่สามารถนำจำเลยมาส่งศาลได้ก่อนหมดอายุความในวันที่ 25 ตุลาคม 2567 จะส่งผลกระทบเป็นวงกว้างในอย่างน้อย 3 ระดับ คือ
1. ประชาชนในพื้นที่ชายแดนใต้จะรู้สึกว่าไม่ได้รับความเป็นธรรม ถูกปฏิบัติอย่างสองมาตรฐาน ซึ่งจะเป็นการเพิ่มอุปสรรคในการสร้างความสมานฉันท์และสันติภาพในพื้นที่ นอกจากนี้ คดีตากใบจะเป็นอีกคดีที่สะท้อนถึงวัฒนธรรมการลอยนวลพ้นผิด (impunity) ในสังคมไทย
2. กลุ่มผู้ก่อความไม่สงบอาจนำประเด็นดังกล่าวไปขยายผล และใช้เป็นข้ออ้างก่อเหตุรุนแรง เพื่อแสดงออกถึงความไม่พอใจที่มีต่อรัฐบาล นำมาสู่ความสูญเสียในพื้นที่เพิ่มขึ้น
3. อาจเกิดความไม่แน่นอนในสถานะของการพูดคุยสันติสุขระหว่างรัฐบาลกับกลุ่มผู้เห็นต่างจากรัฐ ซึ่งมีการพูดคุยสันติสุขรอบใหม่มาแล้วในรัฐบาลของนายเศรษฐา ทวีสิน และยังอยู่ระหว่างการกำหนดนโยบาย ที่ชัดเจนในการคลี่คลายความขัดแย้งในชายแดนใต้โดยรัฐบาลปัจจุบัน
คณะกรรมาธิการฯ หวังเป็นอย่างยิ่งว่าภายใต้เวลาอันจำกัดที่เหลืออยู่นี้ ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องกับคดีตากใบ จะดำเนินการอย่างสุดความสามารถในการทำให้กระบวนการยุติธรรมเดินหน้าต่อไปตามครรลอง และอำนวยความเป็นธรรมให้กับทุกฝ่าย ทั้งประชาชนผู้สูญเสีย และเจ้าหน้าที่ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในเหตุการณ์
คณะกรรมาธิการฯ ยังเห็นว่ารัฐบาลควรสร้างความเชื่อมั่นต่อกระบวนการยุติธรรมให้กลับคืนมาและ ให้ความยุติธรรมกับผู้สูญเสียทุกคน ด้วยการนำผู้ถูกกล่าวหามาแสดงตนเพื่อพิสูจน์ตนเองต่อศาลตามระบบยุติธรรมต่อไป
และสุดท้าย หากไม่สามารถดำเนินการนำตัวจำเลยมาเข้ากระบวนการได้ทันเวลาก่อนหมดอายุความ คณะกรรมาธิการฯ เสนอให้รัฐบาลแสดงความรับผิดชอบทางการเมืองต่อผู้เสียหายโดยมีคำแถลงชี้แจงอย่างเหมาะสมและชัดเจน อันจะเป็นประโยชน์ต่อการคลี่คลายปมความขัดแย้งในชายแดนใต้และปูทางไปสู่การสร้างสันติภาพอย่างยั่งยืนในอนาคต


https://www.facebook.com/chor.wanich/posts/pfbid0iHjEryDBDvvXwDei51DtSmiPVubCVvpuFfyi5K7WcT77WcUNTATY6qv2eVhsnxil
.....









เหลืออีก 8 วันคดีตากใบจะหมดอายุความ หากนำตัวจำเลยมาขึ้นศาลไม่ได้ จะมีผลกระทบทั้งต่อความรู้สึกของประชาชนในพื้นที่ว่าไม่ได้รับความเป็นธรรม เสี่ยงต่อการถูกผู้ก่อความไม่สงบนำไปเป็นข้ออ้างก่อเหตุรุนแรงในพื้นที่เพื่อตอบโต้รัฐ และยังกระทบต่อการเจรจาสันติภาพที่เริ่มมาในสมัยคุณยิ่งลักษณ์ และเพิ่งเจรจารอบล่าสุดในรัฐบาลคุณเศรษฐา

อยากให้รัฐบาลแสดงเจตจำนงทางการเมืองว่าจะพยายามอย่างสุดความสามารถในการนำตัวจำเลยเข้าสู่กระบวนการพิสูจน์ตนเองในชั้นศาล เพราะอย่างน้อยประชาชนจะได้รู้ว่ารัฐบาลต้องการหยุดวัฒนธรรมลอยนวลพ้นผิดที่เกาะกินประเทศมานาน

https://x.com/Pannika_FWP/status/1846864018210017441
.....


บีบีซีไทย - BBC Thai
12 hours ago
·
นักวิชาการผู้ติดตามปัญหาความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้และกระบวนการพูดคุยเพื่อสันติภาพ ระบุว่า กรณีตากใบถูกฝ่ายขบวนการใช้เป็นประเด็นในการชวนคนเข้าขบวนการและจับอาวุธสู้กับรัฐมาโดยตลอด เป็นเรื่องเล่าความอยุติธรรมร่วมสมัย ไม่ใช่เรื่องในอดีตที่ยาวนาน
.
“หากคดีนี้ต้องขาดอายุความโดยไม่สามารถจับกุมผู้ต้องหา/จำเลยได้ น่าจะถูกหยิบมาใช้เป็นประเด็นการปลุกให้คนเข้าร่วมการต่อสู้ได้อย่างทรงพลังอีกครั้งหนึ่ง” รุ่งรวี เฉลิมศรีภิญโญรัช ให้ความเห็นกับบีบีซีไทย
.
อ่านได้ที่นี่ https://bbc.in/3NtKT04
.....

May Poonsukcharoen
14 hours ago
·
#ตากใบ ไม่ใช่ความเดือดร้อนของกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งเท่านั้น ตากใบคือความยุติธรรมทางสังคม
.
เรื่องนี้ไม่ซับซ้อนเลยคือ มีคนตายในความควบคุมของเจ้าหน้าที่รัฐ ต้องมีคนรับผิดชอบ ขั้นต่ำมันก็คือประมาทเป็นเหตุให้คนตาย
.
แต่ความจริงขนคนมากขนาดนั้น แต่เอาคนนอนซ้อนทับกันเป็นผักปลา เสียงร้องขอความช่วยเหลือ ระยะเวลาการขนย้ายหลายชั่วโมง หรือแม้กระทั่งพบศพคนเสียชีวิตจากการขนย้ายในรถคันแรกๆแล้วก็ไม่มีการสั่งการให้รีบดูรถคันท้ายๆเพื่อป้องกันการเสียชีวิต อาจเรียกได้ว่าเล็งเห็นผล = เจตนา ได้เลย
.
อย่าพยายามบิดเบือนว่านี่คือเรื่องทางการเมือง หรือกลั่นแกล้งใดๆ
.
เพราะไม่ว่าจะชีวิต ความจริง หรือความยุติธรรมก็ล้วนเป็นรากฐานของสังคม



กูงงมาก...









https://x.com/dananyb/status/1846499583712711002
.....


ร่วมติดตามประสบการณ์จริงที่สาธารณะต้องไม่พลาด คลิปนี้ถ่ายทอดเรื่องราวของผู้ประท้วงที่ได้เผชิญหน้ากับเหตุการณ์ความรุนแรงในเหตุการณ์สลายการชุมนุมตากใบ - EP. 1 ประสบการณ์ในวันที่ถูกยิงแก๊สน้ำตา : จากสนามเด็กเล่นสู่การจับกุม


https://www.facebook.com/ThePatani/videos/2206866386363257

The Patani
10 hours ago
·
EP. 1 ประสบการณ์ในวันที่ถูกยิงแก๊สน้ำตา : จากสนามเด็กเล่นสู่การจับกุม
ร่วมติดตามประสบการณ์จริงที่สาธารณะต้องไม่พลาด คลิปนี้ถ่ายทอดเรื่องราวของผู้ประท้วงที่ได้เผชิญหน้ากับเหตุการณ์ความรุนแรงในเหตุการณ์สลายการชุมนุมตากใบ
ตั้งแต่การพ่นน้ำและระเบิดแก๊สน้ำตาจนถึงการจับกุมโดยเจ้าหน้าที่ ผู้ประท้วงเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจากมุมมองของเขาเอง ไม่ว่าจะเป็นการรับมือกับแก๊สน้ำตา การหลบหนีจากการยิง และประสบการณ์การจับกุมที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัว
มาชมคลิปเพื่อสัมผัสความจริงในมุมมองของผู้ที่อยู่ในสถานการณ์นั้นด้วยตัวเอง แล้วคุณจะเข้าใจความรู้สึกและเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างลึกซึ้ง
#นับถอยหลังตากใบ #ตากใบต้องไม่เงียบ #ความยุติธรรมต้องเกิด #20ปีตากใบ #จำเลยคดีตากใบ #เราคือเพื่อนกัน



ร่าง พ.ร.บ.ขนส่งทางรางเดือด ! ส่อฮั้วผลประโยชน์สัมปทานนับแสนล้าน ถามเพื่อไทยเสนอกฎหมายเป็นร่างทรงของใคร ?



[ ร่าง พ.ร.บ.ขนส่งทางรางเดือด ! ส่อฮั้วผลประโยชน์สัมปทานนับแสนล้าน ถามเพื่อไทยเสนอกฎหมายเป็นร่างทรงของใคร ? ]
------
.
วันที่ 16 ตุลาคม 2567 ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร มีการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.การขนส่งทางราง นำเสนอโดย สุรเชษฐ์ ประวีณวงศ์วุฒิ - Surachet Pravinvongvuth สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน โดยมีการพิจารณาพร้อมกับร่างฯ ที่ยื่นเสนอโดยคณะรัฐมนตรีและพรรคเพื่อไทย พร้อมกันรวมทั้งหมด 3 ร่าง
.
สุรเชษฐ์อภิปรายเสนอหลักการและเหตุผลของร่างในส่วนของพรรคประชาชนว่า แม้ร่าง พ.ร.บ.การขนส่งทางรางจะเป็นกฎหมายใหม่ แต่ก็มีการเริ่มร่างกันมาตั้งแต่ปี 2559 เข้าสู่กระบวนการรับฟังความคิดเห็นตั้งแต่เมื่อวันที่ 29 มีนาคม 2564 โดยมีกรมการขนส่งทางรางเป็นผู้ผลักดันหลัก เนื่องจากมีกรมแล้วแต่ยังไม่มีกฎหมายมอบอำนาจให้ และได้มีการยื่นเข้าสู่สภาในชุดก่อนหน้านี้ไปเมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2565 ซึ่งสภาในเวลานั้นได้มีมติรับหลักการในวาระแรกไปแล้ว
.
ต่อมาได้มีการตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างดังกล่าว ซึ่งตนก็ได้เข้าไปร่วมในฐานะกรรมาธิการ และยังมีประเด็นปัญหาที่ค้างคาใจมาตลอดถึงความสมเหตุสมผลของโครงสร้างอำนาจ ตนและพรรคประชาชนจึงได้ยื่นร่างดังกล่าวประกบเพื่อให้สภาแห่งนี้พิจารณา
.
สุรเชษฐ์ กล่าวต่อไปว่า ในวาระการประชุมนี้มีอยู่ด้วยกัน 3 ร่าง คือ ร่างของคณะรัฐมนตรี, ร่างของพรรคเพื่อไทย โดย มนพร เจริญศรี เป็นผู้เสนอ และร่างของพรรคประชาชน โดยหลักแล้วการทั้ง 3 ร่างระบุไว้เหมือนกัน คือ ให้มีกฎหมายว่าด้วยการขนส่งทางราง ดังนั้นการลงมติในวันนี้จึงไม่มีเหตุผลให้มีการคว่ำร่างใดร่างหนึ่ง แต่คำถามที่สำคัญ คือ ควรเอาร่างไหนเป็นร่างหลัก และความแตกต่างของทั้ง 3 ร่างมีอยู่อย่างไรบ้าง
.
ในด้านของที่มานั้น ร่างของคณะรัฐมนตรีถือเป็นร่างดั้งเดิมที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ส่งมาให้ประธานสภาผู้แทนราษฎรเมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2565 และไม่เหมาะเป็นร่างหลัก เพราะสภาชุดที่แล้วโดยคณะกรรมาธิการวิสามัญได้พิจารณาแก้ไขในรายละเอียดจนได้ร่างที่ประนีประนอมแล้ว เตรียมเข้าสู่การพิจารณาของสภาชุดที่แล้วตั้งแต่วันที่ 26 กันยายน 2565 แต่ถูกร่าง พ.ร.บ.กัญชา แซงคิวขึ้นมาจนทำให้ร่าง พ.ร.บ.การขนส่งทางรางเป็นอันตกไปเมื่อสภาสิ้นอายุลง และต่อมารัฐบาล เศรษฐา ทวีสิน ก็ไม่ได้นำมาพิจารณาตามกรอบ 60 วัน จนทำให้ร่างฉบับประนีประนอมดังกล่าวเป็นอันตกไป ดังนั้นการกลับไปใช้ร่างดั้งเดิมจากสมัย พล.อ.ประยุทธ์ ตามที่คณะรัฐมนตรีเสนอมาจึงไม่เหมาะสม เพราะเป็นการวนกลับไปที่เดิม เสียเวลาโดยเปล่าประโยชน์
.
สุรเชษฐ์ กล่าวต่อไปถึงร่างที่เสนอโดยพรรคเพื่อไทยว่า ตนพิจารณาแล้วเห็นว่าเป็น "ร่างทรง” ของใครก็ไม่ทราบ แต่ที่ทราบ คือ มีการเปลี่ยนแปลงจากร่างของคณะกรรมาธิการวิสามัญโดยสภาชุดที่แล้วไปเยอะ ในลักษณะที่ส่อไปในทางเอื้อประโยชน์ให้เอกชนมากขึ้นเมื่อเทียบกับร่างของคณะรัฐมนตรี ทำให้กฤษฎีกาไม่กล้ารับรองให้เป็นร่างของคณะรัฐมนตรีแต่เลือกที่จะส่งร่างดั้งเดิมมาในนามคณะรัฐมนตรี สิ่งที่ต้องตั้งคำถาม คือ ใครเป็นคนร่างให้มนพรมาแปะป้ายว่า เป็นของพรรคเพื่อไทย เป็นอธิบดีกรมการขนส่งทางรางและ/หรือตัวแทนจากบริษัทใหญ่ด้านรางที่มีอิทธิพลมากในคณะรัฐมนตรีนี้หรือไม่
.
จากข้อเท็จจริงที่ปรากฏตามตัวหนังสือในร่างพบว่า มีความเปลี่ยนแปลงจากร่างดั้งเดิมของคณะรัฐมนตรีที่มีการยื่นมาทั้ง 2 รอบ และไม่ได้เหมือนกับร่างฉบับประนีประนอมของคณะกรรมาธิการวิสามัญในสภาชุดที่แล้ว เพราะมีข้อความหายไปกว่า 20 มาตรา อีกทั้งมีการแก้ไขอย่างมีนัยสำคัญในหลายมาตรา สุดท้ายเหลือเพียง 145 มาตราจาก 164 มาตรา ในร่างประนีประนอม
.
“เรื่องรางเป็นเรื่องใหญ่และเกี่ยวพันกับดีลสัมปทานมูลค่านับแสนล้านบาท อยากให้มีการตอบคำถามกันให้ชัดเจนว่า ที่ท่านไปเปลี่ยน เปลี่ยนอะไรนอกรอบ มีเหตุผลอย่างไรที่เปลี่ยน” สุรเชษฐ์ กล่าว
.
สุรเชษฐ์ กล่าวต่อไปว่า ในส่วนร่างของพรรคประชาชนนั้นถือเป็นร่างประนีประนอมพร้อมจุดยืนอย่างตรงไปตรงมา เพราะเป็นร่างที่ผ่านคณะกรรมาธิการวิสามัญในสภาชุดที่แล้วมาแล้ว โดยคงไว้ที่ 164 มาตรา และมีการแก้ไขเพียงเล็กน้อยตามเอกสารการสงวนความเห็นรายมาตรา โดยไม่มีการยัดไส้หรือแอบตัดบางมาตราทิ้งไป และมีเหตุผลในการขอแก้ไขตามที่แถลงไว้อย่างชัดเจน
.
หากสภาใช้ร่างนี้เป็นร่างหลัก สส. รัฐบาลก็สามารถเปลี่ยนแปลงได้ทุกมาตราอยู่ดี ผ่านเสียงข้างมากในคณะกรรมาธิการ ตนจึงขอเสนอให้นำร่างฉบับของพรรคประชาชนเป็นร่างหลัก เพราะไม่ต้องเสียเวลาโดยเปล่าประโยชน์ในการกลับไปเริ่มนับหนึ่งจากร่างดั้งเดิมของคณะรัฐมนตรี และไม่ต้องระแวดระวังการยัดไส้หรือแอบตัดบางมาตราทิ้งไปโดยร่างทรงของใครก็ไม่ทราบ
.
สุรเชษฐ์กล่าวต่อไปว่า แม้ทั้ง 3 ร่างจะเห็นตรงกันในมาตรา 5 เรื่องการกำหนดให้มีคณะกรรมการนโยบายการขนส่งทางรางที่ให้อธิบดีกรมการขนส่งทางรางเป็นกรรมการและเลขานุการ แต่ที่เห็นต่างกัน คือ ใครควรเป็นประธานระหว่างนายกรัฐมนตรีกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ซึ่งประเด็นนี้สำคัญมากเพราะคณะกรรมการชุดนี้ คือ หัวใจของร่าง โดยร่างของพรรคประชาชนเห็นว่า อำนาจในเรื่องการขนส่งทางรางควรอยู่กับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เช่นเดียวกันกับด้านถนน อากาศ และน้ำ ไม่ใช่นำไปไว้กับนายกรัฐมนตรีอย่างไม่มีเหตุผลที่ดีพอในการอธิบายว่า ทำไมจึงเลือกปฏิบัติกับรางแตกต่างจากรูปแบบการเดินทางอื่น
.
ทั้งนี้ตนมีข้อสังเกต 5 ประเด็น หากจะให้อธิบดีกรมการขนส่งทางราง ในฐานะเลขานุการคณะกรรมการไปทำงานขึ้นตรงกับนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานคณะกรรมการ กล่าวคือ
.
1) จะเกิดปัญหาการไม่บูรณาการกันระหว่างรูปแบบการเดินทางหนักขึ้น กล่าวคือ รางจะถูกเลือกปฏิบัติแตกต่างจากรูปแบบการเดินทางอื่น เพราะคณะกรรมการนโยบายการขนส่งทางบก คณะกรรมการการบินพลเรือน และกรมเจ้าท่า ต่างก็มีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมเป็นผู้กำกับดูแลทั้งสิ้น หากจะแยกบทบาทการกำกับกิจการทางรางออกมาจะเป็นการสร้างปัญหาใหญ่ในเชิงระบบ จะเกิดการไม่บูรณาการกันระหว่างรูปแบบการเดินทางหนักขึ้น ซึ่งผู้เสนอร่างดังกล่าวยังไม่เคยอธิบายได้อย่างเป็นเหตุเป็นผลเลยว่า ทำไมรางจึงต้องถูกเลือกปฏิบัติแตกต่างจากรูปแบบการเดินทางอื่น
.
2) อาจมีบางท่านไม่ไว้ใจรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เลยอยากนำไปขึ้นกับนายกรัฐมนตรีแทน แม้ตนจะไม่ไว้ใจทั้งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมและนายกรัฐมนตรี แต่ในร่างกฎหมายควรตัดเรื่องตัวบุคคลออกไป แล้วพิจารณาโครงสร้างอำนาจที่เหมาะสมในด้านการคมนาคม แม้รางจะเป็นเรื่องสำคัญจริง แต่ถนน น้ำ และอากาศก็สำคัญเช่นกัน ที่สำคัญคือ ต้องมีการบูรณาการกันอย่างแท้จริง โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมเป็นผู้รับทั้งผิดและชอบ ให้โครงข่ายมาเสริมกัน ไม่ใช่มาแข่งขันกันโดยใช้เงินของคนทั้งประเทศไปอุดหนุนทุกอย่างแบบไร้หลักคิด
.
3) อาจมีบางท่านคิดว่า เอาไปไว้กับนายกรัฐมนตรีดีแล้วเพราะใหญ่ดี ขออะไรจะได้ผ่านง่าย ๆ แม้นายกรัฐมนตรีจะใหญ่จริง แต่นายกรัฐมนตรีเองก็มีตำแหน่งเป็นประธานร่วมร้อยกว่าคณะกรรมการ ย่อมไม่มีเวลาพิจารณาในรายละเอียดอย่างแน่นอน อาจได้ประชุมเพียงปีละแค่ 1-2 ครั้งเทานั้น ขออะไรอาจผ่านได้ง่ายกว่าจริงแต่จะขาดการกลั่นกรองและก่อให้เกิดโครงการที่ซ้ำซ้อน เกินความจำเป็น และไม่คุ้มค่าได้ง่ายขึ้น ที่สำคัญ คือ จะขาดผู้รับผิดชอบจากการวางแผนที่ผิดพลาดและไม่บูรณาการจริง เพราะต่างคนต่างดันเรื่องของตัวเอง
.
4) บทบาทของนายกรัฐมนตรีมีอยู่แล้วใน 2 ฐานะที่สำคัญในการกำกับดูแลภาพรวมของการคมนาคมในทุกรูปแบบ คือ ในฐานะประธานกรรมการคณะกรรมการจัดระบบการจราจรทางบก ตาม พ.ร.บ. คณะกรรมการจัดระบบการจราจรทางบก ซึ่งมีผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) เป็นเลขานุการอยู่ ซึ่ง สนข. ก็ดูแลภาพรวมในการบูรณาการทั้งทางล้อ ราง เรือ และเครื่องบินอยู่แล้ว จึงไม่ควรไปสร้างโลกคู่ขนานโดยดึงรางแยกออกมาให้นายกรัฐมนตรีเป็นประธาน นอกจากนี้นายกรัฐมนตรียังมีบทบาทที่สองในฐานะหัวหน้าคณะรัฐมนตรี ซึ่งสามารถกำกับดูแลภาพรวมของการคมนาคมได้อยู่แล้ว จึงไม่สมควรอย่างยิ่งที่จะให้นายกรัฐมนตรีไปนั่งเป็นประธานคณะกรรมการนโยบายการขนส่งทางราง เพราะจะอ้างได้ว่าผ่านนายกรัฐมนตรีมาแล้ว ใครจะกล้าขวาง ระบบดุลอำนาจก็จะเสีย
.
5) ขัดแย้งกับมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 4 เมษายน 2560 เรื่อง แนวทางการจัดทำและการเสนอร่างกฎหมาย ที่กำหนดไว้ว่า ในกรณีที่จำเป็นต้องมีระบบคณะกรรมการ จะต้องไม่กำหนดให้นายกรัฐมนตรีเป็นประธานกรรมการ เว้นแต่เป็นคณะกรรมการที่กำหนดนโยบายระดับชาติเท่านั้น ซึ่งคณะกรรมการนโยบายการขนส่งทางรางถือเป็นนโยบายการคมนาคมประเภทหนึ่ง เนื้อหาก็ชัดเจนอยู่แล้วว่า ไม่ใช่คณะกรรมการระดับชาติ แต่เป็นเพียงรูปแบบหนึ่งในด้านการคมนาคมเท่านั้น จึงควรให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมเป็นประธาน
.
สุรเชษฐ์ กล่าวต่อไปว่า นอกจากจุดแตกต่างหลักในเรื่องของโครงสร้างอำนาจ ยังมีจุดแตกต่างในเรื่องอื่น ๆ อีก เช่น ในร่างของพรรคเพื่อไทยเมื่อเทียบกับร่างของตนและของคณะรัฐมนตรี ซึ่งมีข่าวว่าจะมีการผลักดันให้เป็นร่างหลัก มีทั้งการลดเงื่อนไขการคุ้มครองผู้ใช้บริการ เพิ่มประโยชน์ให้นายทุนผู้ประกอบกิจการ และยังลดอำนาจรัฐในการเข้าไปตรวจสอบ
.
“ข้อเสนอของผมชัดเจน คือ อยากให้เพื่อนสมาชิกทุกท่านลงมติเพื่อรับหลักการในทุกร่าง เพราะมีหลักการเดียวกัน ไม่มีเหตุผลใด ๆ ที่จะปฏิเสธได้ และเวลาเลือกว่า จะเอาร่างใดเป็นร่างหลัก ผมอยากให้เอาร่างพรรคประชาชน เพราะใกล้เคียงกับร่างประนีประนอมจากสภาชุดที่แล้วมากที่สุด มีการแก้ไขเพียงเล็กน้อยและชัดเจน ไม่มีการแอบไปตัดกันนอกรอบกว่า 20 มาตรา โดยไม่รู้เลยว่าร่างที่เพื่อไทยเสนอมานี้เป็นร่างทรงของใครและใครเป็นคนตัด แต่เห็นได้ชัดว่าเอื้อประโยชน์ให้นายทุน” สุรเชษฐ์ กล่าว


“สถาบันแห่งการขูดรีด” มีอำนาจในมือ ไม่ขยันคิดสิ่งใหม่ - งานวิจัยที่คว้ารางวัลโนเบล สาขาเศรษฐศาสตร์ 2024 ให้คำตอบว่า “ตราบใดก็ตามที่ระบบทางการเมืองยังคงให้ประโยชน์กับอีลีท ประชาชนไม่อาจเชื่อใจคำมั่นสัญญาใด ๆ เรื่องการปฏิรูประบบเศรษฐกิจได้” พวกเขาชี้ว่า แม้ประชาชนในประเทศที่ไม่มีประชาธิปไตยจะขาดอำนาจทางการเมือง แต่พวกเขามีสิ่งที่กลุ่มอีลีทชนชั้นปกครองกลัวนั่นก็คือ พวกเขามีจำนวนมาก



งานวิจัยที่คว้ารางวัลโนเบล สาขาเศรษฐศาสตร์ 2024 อธิบายผลกระทบแห่งยุคอาณานิคมต่อความเหลื่อมล้ำในโลกอย่างไร

ปณิศา เอมโอชา
ผู้สื่อข่าวบีบีซีไทย
17 ตุลาคม 2024

รางวัลโนเบล สาขาเศรษฐศาสตร์ประจำปี 2024 ตกเป็นของนักเศรษฐศาสตร์ชาวอเมริกัน 3 คน ประกอบด้วย ดารอน อาเซโมกลู และไซมอน จอห์นสัน จากสถาบันเทคโนโลยีแมสซาชูเซตส์ เมืองเคมบริดจ์ และ เจมส์ เอ. โรบินสัน จากมหาวิทยาลัยชิคาโก รัฐอิลลินอยส์ “จากการศึกษาวิธีการที่สถาบันต่าง ๆ ในสังคมถูกสร้างขึ้นและส่งผลกระทบต่อความเจริญรุ่งเรือง”

ในรายงานพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ของรางวัลธนาคารกลางสวีเดน สาขาเศรษฐศาสตร์ เพื่อรำลึกถึงอัลเฟรด โนเบล ประจำปี 2024 คณะกรรมการรางวัลฯ หยิบยกประเด็นความเหลื่อมล้ำในสังคมโลกขึ้นมาจุดเริ่มต้น โดยชี้ว่า ตามข้อมูลจาก องค์กร Development Initiatives (DI) ประจำปี 2023 พบว่า ประชากร 50% ที่จนที่สุดในโลกนี้ ถือครองรายได้ในสัดส่วนรวมเพียง 8% ของรายได้ทั้งหมดในโลกนี้ ขณะที่ประชากรที่รวยที่สุด 10% ของโลกนี้ มีรายได้รวมครึ่งหนึ่งของรายได้รวมทั้งโลกใบนี้ และยังชี้ว่า ที่สถานการณ์เป็นเช่นนี้เพราะว่า เกิดจากความเหลื่อมล้ำระหว่างแต่ละประเทศ

คำถามสำคัญจึงเกิดขึ้น: เหตุใดประเทศที่จนไม่สามารถเลียนแบบประเทศที่รวยและพัฒนาตัวเองขึ้นมาได้ และนี่คือจุดที่ทำให้นักเศรษฐศาสตร์ทั้งสามคนข้างต้นได้รับรางวัลรวม 11 ล้านโครนาสวีเดน (ราว 34.75 ล้านบาท)

งานวิจัยที่สำคัญของพวกเขาทั้งสามคนเข้าไปศึกษาประวัติศาสตร์ในยุคการล่าอาณานิคมของยุโรปและแสดงให้เห็นว่าสถาบันต่าง ๆ ในสังคมนั้น (institutions) ส่งผลต่อความเจริญรุ่งเรืองอย่างไร

บีบีซีไทยรวบรวมประเด็นสำคัญจากงานศึกษาของนักเศรษฐศาสตร์ทั้ง 3 คน เพื่อฉายภาพให้เห็นว่า “สถาบัน” ที่เหล่านักวิจัยพูดถึงนั้น ส่งผลกระทบต่อความรุ่งเรืองหรือร่วงโรยของชาติชาติใดาติหนึ่งได้อย่างไร

ความมั่งคั่งหัวกลับและสถาบันแห่งการสูบรีด

ทฤษฎีของพวกเขาพบว่า หากประเทศหนึ่ง ๆ มีความมั่งคั่งหรือเจริญรุ่งเรืองก่อนตกเป็นอาณานิคม ประเทศเหล่านั้นจะกลายเป็นประเทศที่ยากจนลงในเวลาต่อมา หากประเทศในช่วงปี ค.ศ. 1500 มีความพัฒนาเป็นพื้นที่เมือง (urbanisation) เพิ่มขึ้น 5% จะทำให้รายได้ประชากรต่อหัว (GDP per capita) ในอีก 500 ปีถัดมาลดลงถึงหนึ่งในสาม ราว 32.3%

ในทำนองเดียวกัน หากพบความหนาแน่นของประชากรเพิ่มขึ้นหนึ่งส่วน [เป็นการวัดจากส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน] จะทำให้รายได้ประชากรต่อหัวในระยะยาวลดลงราว 44%

สาเหตุที่เป็นเช่นนี้เพราะมหาอำนาจเหล่านั้นเลือกใช้รูปแบบการสร้างสถาบันแบบขูดรีดทรัพยากรหรืออาจเรียกว่า “สถาบันแบบเอาประโยชน์” (extractive institution) โดยเจ้าของรางวัลโนเบลทั้งสามคนให้คำจำกัดความว่านี่คือรูปแบบของการบริหารที่ประชากรส่วนใหญ่ไม่มีหลักนิติธรรม (rule of law) และไม่มีหลักสิทธิในทรัพย์สิน

ในยุคที่มหาอำนาจฝั่งยุโรปออกล่าอาณานิคมนั้นพวกเขาจะมองว่าประเทศที่มีจำนวนประชากรมากเป็นประเทศที่มีความเจริญรุ่งเรือง ดังนั้นจึงมีทรัพยากรให้พวกเขาเข้าไป “ขูดรีด” ออกมาและเอาเปรียบคนพื้นเมืองได้ ทรัพยากรเหล่านี้ อาทิ ทอง เงิน และน้ำตาล

ขณะเดียวกัน การที่ผู้ล่าอาณานิคมจะเข้าไปตั้งรกรากในพื้นที่เหล่านั้นก็อาจเป็นเรื่องยากด้วย เนื่องจากอาจถูกต่อต้านโดยคนจำนวนมากได้ และนำไปสู่อัตราการเสียชีวิตที่สูงขึ้นของเหล่าผู้ล่าอาณานิคม ด้วยเหตุนี้ แทนที่พวกเขาจะสร้างระบบสถาบันที่เรียกว่า “สถาบันแบบมีส่วนร่วม” (inclusive institution) จึงไปเลือกใช้การขูดรีดทรัพยากรแทน

นอกจากประเด็นเรื่องความพัฒนาของพื้นที่เมืองและความหนาแน่นของประชากร นักเศรษฐศาสตร์ทั้งสามคนยังพบความเชื่อมโยงของตัวเลขรายได้ประชากรต่อหัวเมื่อเทียบกับสัดส่วนอัตราการเสียชีวิตของกลุ่มผู้ตั้งรกรากที่เป็นนักล่าอาณานิคม

จากข้อมูลชุดเดียวกันกับหัวข้อที่แล้วพบว่า หากสัดส่วนการเสียชีวิตของกลุ่มผู้ตั้งรกรากในปี ค.ศ. 1500 เพิ่มขึ้นหนึ่งส่วน [เป็นการวัดจากส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน] จะทำให้รายได้ประชากรต่อหัวในปี 1995 ลดลงถึง 47%

เบื้องหลังของตัวเลขอยู่ที่การสร้างระบบสถาบันแบบขูดรีดอีกแล้ว ที่เป็นเช่นนี้เพราะ ในสมัยนั้นอัตราการเสียชีวิตของผู้ตั้งรกรากยังขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อมการเกิดโรคเช่นเดียวกัน อาทิ โรคมาลาเรีย และโรคไข้เหลือง ซึ่งมักเกิดขึ้นมากกว่าในพื้นที่เขตร้อน (tropical areas) ดังนั้น นักล่าอาณานิคมชาวยุโรปจึงไม่นิยมไปตั้งรกรากในพื้นที่เหล่านั้น แต่เลือกที่จะใช้การขูดรีดแทน

ในทางตรงกันข้าม พื้นที่ที่มีสภาพอากาศแบบอบอุ่น (temperate areas) ซึ่งไม่ใช่สภาพอากาศที่โรคเหล่านี้จะเจริญเติบโตได้ดี อาทิ ประเทศแคนาดา หรือสหรัฐอเมริกา เหล่าผู้ตั้งรกรากจะมองทางเลือกการสร้างสถาบันแบบครอบคลุมขึ้นมามากกว่า

สถาบันเกิดขึ้น 500 ปีที่แล้ว ทำไมจึงอยู่มาจนถึงวันนี้ ?

ในหัวข้อที่แล้ว เราอธิบายให้เห็นอย่างชัดเจนว่าเมื่อประเทศถูกปกครองในระบบสถาบันที่ไม่เป็นมิตรกับผู้คน ประเทศนั้นย่อมได้รับผลกระทบในทางลบ แต่นักเศรษฐศาสตร์ทั้งสามคนชี้ว่า “เหตุผลเดียว” ที่ทำให้ปัจจัยอย่างตัวเลขผู้ตั้งรกรากชาวยุโรปที่เสียชีวิตเมื่อหลายร้อยปีที่แล้วยังคงส่งผลกระทบมาถึงตัวเลขรายได้ประชากรต่อหัวในยุคปัจจุบัน เป็นเพราะระบบสถาบันในสมัยนั้นยังส่งผลกระทบมาจนถึงยุคสมัยนี้

เจ้าของรางวัลโนเบลทั้งสามคนเข้ามาตั้งคำถามต่อไปว่า หากสุดท้ายแล้วสถาบันทางเศรษฐกิจที่ดีมีผลกับการเติบโตทางเศรษฐกิจ ทำไมบางประเทศถึงเลือกจะใช้หลักการเดิม ๆ ที่ไม่ช่วยให้เศรษฐกิจเติบโตขึ้น ซึ่งก็จะเป็นประโยชน์แม้แต่กับผู้ที่กุมอำนาจบริหารเอง

ทั้งสามคนให้คำตอบว่า ประเด็นนี้เกี่ยวโยงกับสถาบันทางการเมืองและเหล่า “อีลีท” หรือชนชั้นนำ ซึ่งมักเป็นผู้กุมอำนาจบริหารมาตั้งแต่อดีตกาลโดยตรง งานศึกษาของพวกเขาชี้ว่า “ตราบใดก็ตามที่ระบบทางการเมืองยังคงให้ประโยชน์กับอีลีท ประชาชนไม่อาจเชื่อใจคำมั่นสัญญาใด ๆ เรื่องการปฏิรูประบบเศรษฐกิจได้”

หลักการคือ เหล่าอีลีทไม่เชื่อใจว่าภายใต้ระบบที่อนุญาตให้ประชาชนสามารถเปลี่ยนผู้นำที่ไม่รักษาสัญญาในการเลือกตั้งรอบใหม่ได้ ประชาชนจะชดเชยผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจที่พวกเขาจะสูญเสียไปได้เมื่อระบบใหม่นี้หรือระบบการปกครองแบบประชาธิปไตยถูกนำมาใช้ สิ่งนี้เป็นอุปสรรคที่แก้ไขได้ยาก และทำให้สังคมติดอยู่กับระบบ “สถาบันแบบเอาประโยชน์” ที่นำไปสู่ความยากจนในวงกว้าง ขณะที่ชนชั้นสูงยังคงมั่งคั่งต่อไป

ทว่าแม้จะมีปัญหาที่แก้ได้ยากอย่างข้างต้น แต่นักเศรษฐศาสตร์ทั้งสามคนก็ชี้ให้เห็นว่า ในสถานการณ์เดียวกันนี้ก็อาจเป็นเหตุผลที่สังคมเปลี่ยนแปลงไปสู่การมีประชาธิปไตย ซึ่งเป็นรากฐานของการมีระบบสถาบันที่ดีได้เช่นเดียวกัน

พวกเขาชี้ว่า แม้ประชาชนในประเทศที่ไม่มีประชาธิปไตยจะขาดอำนาจทางการเมือง แต่พวกเขามีสิ่งที่กลุ่มอีลีทชนชั้นปกครองกลัวนั่นก็คือ พวกเขามีจำนวนมาก ประชาชนสามารถรวมตัวกันและกลายเป็นภัยคุกคามจากการปฏิวัติได้ แม้ว่าภัยคุกคามนี้อาจมีความรุนแรง แต่หากบริหารจัดการได้อย่างสงบ ก็จะกลายเป็นเครื่องมีที่ทรงพลังเพราะเปิดโอกาสให้มีคนจำนวนมากเข้าร่วมได้มากที่สุด

เมื่อถึงจุดนี้กลุ่มผู้ปกครองก็จะต้องเลือกว่าจะมอบคืนอำนาจให้กับประชาชน หรืออาจจะให้คำสัญญาว่าจะปฏิรูป ซึ่งนักเศรษฐศาสตร์ทั้งสามคนชี้ว่า คำสัญญาเหล่านั้นไม่น่าเชื่อถือ เพราะประชาชนเองก็รู้ว่า หากปล่อยให้ชนชั้นนำอยู่ในอำนาจเหมือนเดิม ไม่นานเมื่อสถานการณ์สงบลงทุกอย่างก็จะกลับเข้าสู่รูปแบบเดิม ๆ

อย่างไรก็ดี กลุ่มชนชั้นนำยังมีเครื่องมืออื่น ๆ เช่นเดียวกัน อาทิ “ชนชั้นนำยังสามารถก่อรัฐประหาร เพื่อล้มล้างระบอบประชาธิปไตยที่เพิ่งถูกสถาปนาขึ้นใหม่ เพื่อทวงคืนอำนาจทางการเมือง”

นี่จึงเป็นเหตุผลที่บางประเทศถึงย่ำอยู่กับที่ เดี๋ยวเป็นประชาธิปไตยเดี๋ยวไม่เป็นประชาธิปไตย และเพราะสถาบันทางการเมืองนี้ เชื่อมโยงโดยตรงกับการสร้างสถาบันทางเศรษฐกิจที่ดี ที่เอื้อต่อการเติบโตของเศรษฐกิจ ทั้งหมดจึงกลับมาตอบคำถามแรกเริ่มได้ว่า เหตุใดบางประเทศที่จนถึงยังไม่สามารถรวยได้จนถึงตอนนี้

https://bbc.in/3BWV4rb
.....
Chutnarong Chaimongkol
“สถาบันแห่งการขูดรีด” มีอำนาจในมือ ไม่ขยันคิดสิ่งใหม่ เน้นขอส่วนแบ่ง
.
Naret Habhong
นี่คือความจริงที่ไม่มีทางเปลี่ยนแปลงได้เลย
เพราะสังคมแบ่งชนชั้นพบเห็นได้ง่ายในประเทศด้อยพัฒนาทางการเมือง ไม่มีประชาธิปไตยเต็มใบมีแต่ประชาธิปไตยจอมปลอม แม้ชนะเลือกตั้งก็ไม่สามารถจัดตั้งรัฐบาลได้
.
Jirus Kumboon
ฮา อย่างบางประเทศคน 1% ถือครองทรัพยากร 90% ยังอวยกันอยู่ได้ รวยบริสุทธิ์มากเลยมั้ง
.
Jillian Lustsul
รูปประกอบจากโนเบล


สภาพของ พรรคเพื่อไทย ทุกวันนี้ แม้ว่าจะเป็นผู้เสนอให้ตั้งกทธ. #นิรโทษกรรม แต่ก็ไม่กล้าโหวตรับรองแม้แต่ “รายงาน” จากการพิจารณาที่มีสส.ตัวเองเป็นประธานและเป็นกรรมการ เนี่ย เพราะไม่มีความกล้าหาญ ใช่มั้ย? โคตรน่าอาย


.....

Pipob Udomittipong
7 hours ago
·
“สถานการณ์ทั้งหมดเข้าใจได้ เพราะถูกกดดันหลายทาง ทักษิณก็เพิ่งมีนัดสืบพยานคดี112 ทำให้พรรคเพื่อไทย “ไม่กล้า” ทำอะไร แต่ก็เป็นความจริงว่า ตอนนี้เหตุและผลมันนำเสนอกันไปหมดแล้ว ที่ขาดจริงๆมีแค่ความกล้าหาญเท่านั้น”
สภาพของ พรรคเพื่อไทย ทุกวันนี้ แม้ว่าจะเป็นผู้เสนอให้ตั้งกทธ. #นิรโทษกรรม แต่ก็ไม่กล้าโหวตรับรองแม้แต่ “รายงาน” จากการพิจารณาที่มีสส.ตัวเองเป็นประธานและเป็นกรรมการ เนี่ย เพราะไม่มีความกล้าหาญ ใช่มั้ย? โคตรน่าอาย

Yingcheep Atchanont
8 hours ago
·
เป็นเรื่องที่เข้าใจได้มากว่า พรรคเพื่อไทยไม่อยากโหวต กระทั่งแค่รับรายงาน #นิรโทษกรรม เพราะโดนกดดันมากจากพรรคร่วมที่ดันไปเลือกจับมือด้วย ทั้บที่ก็อาจจะอยากโหวตรับ
แต่ก็เป็นเรื่องที่คาดหมายได้ว่า ถ้าสส. พรรคเพื่อไทยจะโหวตไม่เห็นด้วยก็เป็นเรื่องแปลกมากไปอีก ในเมื่อเป็นพรรคแกนนำรัฐบาลที่เสนอให้ตั้งกมธ. ขึ้นเอง ประธานกมธ. ก็รองหัวหน้าพรรค ในกมธ. ก็มีสส. ของพรรคและคนที่พรรคตั้งมาเต็มไปหมด ซึ่งโหวตต่างกันแตกเป็นหลายแบบ เท่ากับว่า หากโหวตไม่รับก็หักหน้าตัวเองหรือหักหน้ากันเอง
ขณะที่พวกพรรคอย่างภจท. ปชป. พร้อมโหวต (ว่าไม่เห็นด้วย) พรรคส้มก็พร้อมโหวต (ว่าเห็นด้วย) แต่ท่านประธานจากพรรคเพื่อไทยก็เลยสั่งปิดประชุมเลย
ถ้าเชื่อมั่นในกระบวนการของสภา และเห็นควรศึกษารายละเอียดเรื่องที่อ่อนไหวจริง เขาศึกษามาแล้วเสนอมาแล้วรัฐบาลก็ควรต้องรับๆ ไป ข้อสรุปของรายงานเรื่อง 112 เอาจริงก็คือไม่สรุป แต่ก็ยังไม่กล้ายอมรับว่าไม่ได้สรุป
สถานการณ์ทั้งหมดเข้าใจได้ เพราะถูกกดดันหลายทาง ทักษิณก็เพิ่งมีนัดสืบพยานคดี112 ทำให้พรรคเพื่อไทย “ไม่กล้า” ทำอะไร แต่ก็เป็นความจริงว่า ตอนนี้เหตุและผลมันนำเสนอกันไปหมดแล้ว ที่ขาดจริงๆมีแค่ความกล้าหาญเท่านั้น
และที่สงสัยคือ สัปดาห์หน้าพอเปิดประชุมมาก็ต้องโหวตเลย คราวนี้จะหาเรื่องอะไรมาเลื่อนอีก น่าจะหาไม่ได้แล้ว แต่ถ้าดันเสือกหาได้ขึ้นมาคราวนี้จะยาวไปลุ้นใหม่ธันวาคมเลย


.....

iLaw
18 hours ago
·
วันนี้ (17 ตุลาคม 2567) สภาผู้แทนราษฎรมีวาระพิจารณารายงานของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาแนวทางการตราพระราชบัญญัตินิรโทษกรรม ชวนย้อนอ่านรายงานของคณะกรรมาธิการที่นำส่งสภาผู้แทนราษฎร โดยคณะกรรมาธิการวิสามัญเสนอจำแนกคดีเป็น 3 ประเภท ได้แก่ คดีหลัก คดีรอง และคดีที่มีความอ่อนไหว โดยเห็นว่าความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 110 และมาตรา 112 เป็นคดีที่มีความอ่อนไหว
.
อย่างไรก็ดี ในการตัดสินใจว่าจะนิรโทษกรรมรวมคดีที่มีความอ่อนไหว ( ม.110 และ ม.112) หรือไม่นั้น คณะกรรมาธิการวิสามัญได้พิจารณาในประเด็นการนิรโทษกรรมโดยมีความเห็นแบ่งออกเป็น 3 แนวทาง
๐ แนวทางที่ 1 ไม่เห็นด้วยกับการนิรโทษกรรมคดีที่มีความอ่อนไหว 14 คน อาทิเช่น ไพบูลย์ นิติตะวันและนิกร จำนง
๐ แนวทางที่ 2 เห็นด้วยกับการนิรโทษกรรมคดีที่มีความอ่อนไหวโดยมีเงื่อนไข 14 คน อาทิเช่น ชัยธวัช ตุลาธนและชูวัส ฤกษ์ศิริสุข
๐ แนวทางที่ 3 เห็นด้วยกับการนิรโทษกรรมคดีที่มีความอ่อนไหว 4 คน อาทิเช่น ศศินันท์ ธรรมนิฐินันท์และหม่อมหลวงศุภกิตต์ จรูญโรจน์
และไม่ประสงค์แสดงความคิดเห็น 4 คน อาทิเช่น ขัตติยา สวัสดิผล

อ่านบทความได้ที่ https://www.ilaw.or.th/articles/42106
.....



แนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุม (UFTD) @ThammasatUFTD
·10h

#นิรโทษกรรมรวม112 #ประชุมสภา #พรรคเพื่อไทย



ว่อนเอกสาร ว.วชิรเมธี เตือน หนุ่ม กรรชัย แห่งโหนกระแส อย่าทำตัวเป็นศาลเตี้ย



เพจดัง"อีซ้อขยี้ข่าว" โชว์เอกสารลงชื่อ "ท่าน ว.วชิรเมธี" จำนวน 2 หน้า ว.วชิรเมธี' ขอเตือน "หนุ่ม กรรชัย" อย่าทำตัวเป็นศาลเตี้ย

วันที่ 17 ต.ค.67 สร้างความฮือฮาอย่างมาก เมื่อเพจดังอย่าง อีซ้อขยี้ข่าว เผยหนังสือจากทาง พระเมธีวชิโรดม หรือ ท่าน ว.วชิรเมธี ติงถึง หนุ่ม กรรชัย พิธีกรชื่อดังจากรายการ "โหนกระแส" ชี้หนุ่มไม่ได้สว่างไสวในทุกเรื่องนะ อย่าคิดว่าตัวเองเสียงดังแล้ว จะสัมภาษณ์เล่นงานใครก็ได้ โดยไม่แสวงข้อเท็จจริง แล้วปล่อยให้คนบริสุทธิ์ต้องถูกใสร้ายกลางรายการอย่างนี้หลายครั้งหลายคน ใกล้จะทำตัวเป็นศาลเตี้ยเข้าไปทุกวัน พร้อมเผยถึงอดีตเมื่อ 10 กว่า ปีก่อนที่หนุ่ม กรรชัย เคยบวชกับตน


ว่อนเอกสาร ว.วชิรเมธี เตือน หนุ่ม กรรชัย แห่งโหนกระแส อย่าทำตัวเป็นศาลเตี้ย

โดยทาง อีซ้อขยี้ข่าว ได้เผยเอกสาร จำนวน 2 หน้า ซึ่งจากการตรวจสอบในเพจ พระเมธีวชิโรดม - ว.วชิรเมธี ไม่พบโพสต์เอกสารดังกล่าวแต่อย่างใด (หรืออาจจะโพสต์แล้วลบ ) โดยมีข้อความดังนี้

"ขอพระอาจารย์พูดบ้างนะ "หนุ่ม กรรชัย" แห่ง "โหนกระแส" ตั้งแต่เกิดกรณีดิไอคอน พระอาจารย์ (พอจ.)ก็เป็นฝ่ายเงียบมาโดยตลอดโดยมีความเชื่อมั่นว่า "ความบริสุทธิ์ใจ-ความจริง" จะปกป้องตัวมันเองเนื่องเพราะ

1.ทางบริษัทดิไอคอน ได้แถลงการณ์ขออภัยต่อ พอจ.แล้ว ว่า พอจ.ไม่มีส่วนใดๆ ในบริษัททั้งสิ้น สาธารณชนอ่านแล้ว ก็เข้าใจ ไม่ใช่เรื่องซับซ้อนที่จะต้องมานั่งตีความกันอีก

2.พอจ.ก็แถลงการณ์ขออภัยที่ก่อให้เกิดความเข้าใจผิดไปแล้ว ซ้ำยังย้ำอีกว่าที่พูดในวันวันนั้น เป็นการพูดเชิงกระแทกแดกดัน หรือ "แชะ" คนในดิไอคอนว่าให้รู้จัก "อดทนให้ได้ ใจเย็นให้พอ และรอให้เป็น" แต่ถ้าไม่ยอมอดทนก็พูดแค่ว่า "ลูกเอ๋ย ถ้างั้นก็ดิไอคอนแล้ว" ส่วนที่เหลือ ก็เป็นการพูดกระเช้าเย้าหยอก ทั้งนั้นอารมณ์ก็ขำๆ ฮาๆ พูดจบแล้ว ก็ให้ศีลให้พร มีแค่นั้น



ส่วนที่สอนให้เก็บเงิน เก็บทองก็เป็น case study ที่ยกมาจากเรื่องจริง (มีศิษย์มาขอยืมเงิน) ซึ่งเป็นช่วงเวลายุคโควิด ตอนนั้น พอจ.ยังไม่รู้จักดิไอคอน,ที่พูดว่า แต่ก็โฆษณาให้นะ ก็เป็นการพูดเชิงกระเช้าเข้าหยอก ให้คนฟังนับพันเขาชื่นใจเท่านั้น ไม่ได้ทำหน้าที่เป็นแม่ทีมเสียหน่อยมันง่ายๆ แค่นี้ หนุ่ม ดูคลิปแล้ว ทำไมยังไม่เข้าใจ มันเข้าใจยากตรงไหน ใจคอจะเอาพระเข้าคุกให้ได้ว่างั้นเถอะ

3. ส่วนที่สอนให้รู้จักเก็บ รู้จักออม รู้จักทำมาหากิน ก็พูดตามหลักคำสอนในพระไตรปิฎก (ทิฏฐ-ธรรมิกัตประโยชน์) เพียงแต่นำมาเล่าให้มันร่วมสมัยเท่านั้น ไม่ได้ตั้งตาตั้งตาไปทำหน้าที่ Presenter ให้กับดิไอคอน พูดยาว 1 ชั่วโมง 12 นาที เนื้อหาไม่ได้มีแค่ตัดมาสร้างความเข้าใจผิดเท่านั้น (และถ้าถือว่าพูดอย่างนั้น คือ พอจ.หลอกโยม ควรพูดใหม่ว่า พอจ.ก็อยู่ที่วัดดีๆ นี่แหละ วันดีคืนดี พวกพี่แชม ก็ยกกันไปนิมนต์พอจ.มาเทศน์-พูดกันแฟร์ๆ ไม่ใช่พระหลอกโยม แต่เป็นโยมไปหลอกพระออกมาจากวัด-พระนี่แหละ เป็นเหยื่อดิไอคอน พูดชัดๆ ก็ต้องพูดอย่างนี้)

4.ส่วนการทำบุญที่บริษัท ดิไอคอน ก็ไม่ไม่ได้นิมนต์ พอจ.แค่รูปเดียว เขานิมนต์เป็นร้อยรูปต่อปี ตั้งแต่สมเด็จพระราชาคณะลงมา จนถึงพระเกจิต่างจังหวัด ใช่เจาะจงพอจ.รูปเดียวเสียเมื่อไหร่ (บางคนเอา ไปพูดยังกับมีท่านว.รูปเดียวที่ได้รับนิมนต์ ไปดูรูปไนเพจดิไอคอนว่ามีพระก็รูป เขาไม่ได้ลบทิ้ง หลักฐานยังอยู่ครบ จะได้พูดกันอย่างตรงไปตรงมา เคารพความจริงตามที่มันเป็นจริง)

5.ตาลปัตรที่ พอจ.ใช้ พระทุกรูปที่เคยไปเทศน์ ก็ใช้ให้พรเหมือนกัน (ดูรูปประกอบ) และดิไอคอนไม่เคยทำถวาย พอจ.แต่เป็นของที่มีอยู่แล้วในห้องประชุมของบริษัท พระรูปไหนมา ก็ใช้ตาลปัตรของบริษัท อันนั้น อันนี้เป็นเรื่องทั่วไป บริษัทต่างๆ ที่เขาทำบุญเขาก็ทำตาลปัตรในนามบริษัทของตัวเองกันทั้งนั้น ธนาคารทุกแห่งก็ทำ แต่นี่หนุ่มปล่อยให้แขกพูดชื่นำว่าว่าเขาทำเพื่อ พอจ.คนเดียว (ประมาณว่าเพราะเป็น Presenter ไง) แล้วที่หลวงพ่ออลงกตท่านถืออยู่ในมือ ท่านต้องเป็นพรีเซนเตอร์ด้วยไหม ?

6.บริษัทดิไอคอน เคยถวายทุนการศึกษาให้มูลนิธิไร่เชิญตะวัน ในวันแห่งการให้ประจำปีจริง (1 ล้านบาท) และถวายเสร็จแล้ว ก็แจกกันวันนั้นเลย มีคนเป็นพยานหลายพันคน ไม่มีคำว่า "เข้าพกเข้าห่อพอจ.แม้แต่บาทเดียว" (หนุ่มอยากตรวจสอบให้ทำได้ทันทีไม่ต้องรอพรุ่งนี้) และในวันเดียวกันนั้นนั้น คุณบ๊วย เชษฐวุฒิ ก็ถวายทุนด้วย 600000 บาทมูลนิธิร่วมกตัญญูก็ไปร่วมถวายทุน แจกถุงยังชีพทุกปี ปีหนึ่งไม่ต่ำกว่า 10 ล้านบาทถ้าทุกคนที่ไปทำบุญคือไปติดสินบนพระ ต่อไปทุกวัด ก็ไม่ต้องรับเงินทำบุญจากบริษัทใดๆ อีกแล้ว รัฐบาลก็ควรเลิกถวายนิตยภัตรพระทั้งประเทศไปเลย

หนุ่ม ข้อ 6-9 มันเลยการวิพากษ์วิจารณ์ไปแล้วนะ แต่มันคือ "การใส่ร้ายป้ายสี" กันชัดๆ ก่อนจะสัมภาษณ์หนุ่มควรจะทำการบ้านให้มากกว่านี้นะ แบบนี้ พอจ.เสียหายมาก ลูกศิษย์ของ พอจ.ที่เขารักความเป็นธรรม เขาดูแล้ว เขาก็ทนไม่ได้หรอก ที่หนุ่มเอียงกระเท่เร่ได้ขนาดนี้

หนุ่ม ก็เคยบวชกับ พอจ.นะ สิบกว่าปีที่แล้ว เป็นอย่างไร ทุกวันนี้ พอจ.ก็ยังเป็นอย่างนั้น มีชีวิตในที่แจ้งท่ามกลางสาธารณชนตลอด ไม่ใช่เพิ่งโผล่มาเป็นคนดังปีสองปีนี่เมื่อไหร่ พอจ.ทำงานหนักขนาดไหน

หนุ่มก็น่าจะรู้ดี นี่ปล่อยให้คนมาใส่ร้ายป้ายสี พอจ.กลางรายการโดยไม่ยอมแสวงหาข้อเท็จจริงเอาเสียเลย

ถ้าหนุ่มรักเมีย รักลูก ก็ให้รู้ไว้ว่าศิษย์ พอจ.เขาก็รัก พอจ.เหมือนกัน เขาเจ็บปวดเหมือนกัน

หลังๆ หนุ่มใกล้จะทำตัวเป็นศาลเตี้ยเข้าไปทุกวันแล้วนะ โหด เหี้ยม ขาดความเห็นอกเห็นใจแขกและคนที่เขาตกเป็นข่าว หนุ่มยังเป็นพิธีกรอยู่หรือเปล่า หรือว่าตอนนี้กลายเป็น "ฆาตกรฆ่าต่อเนื่องไปแล้ว"

หลายคนเขาไม่ผิด หนุ่มส่งเขาเข้าคุกไปแล้ว พอเค้าออกจากคุกมาเงียบๆ หนุ่มเคยไปขอโทษเขาไหม?

อีกอย่าง พอจ.มีวัดที่ พอจ.สร้างเองอยู่ที่ญี่ปุ่นอยู่แล้ว ๒ วัด สร้างมาแล้วเกือบสิบปีและพรรษานี้

พอจ.ก็มาจำพรรษาที่นี่ ช่วงนี้มาประชุมเชิงวิชาการด้านสิ่งแวดล้อม เอาเรื่องน้ำท่วมแม่สายมานำเสนอที่ม.โยโกฮาม่า กับกองงานฯ (หลักฐานอยู่ในเพจ พอจ.) ไม่ได้หนีมาแช่ออนเซนแต่อย่างใด

นี่ข้อมูลพื้นๆ แบบนี้ หนุ่มก็ไม่รู้ แล้วที่เหลือ หนุ่มจะพลาดอีกขนาดไหน หนุ่มไม่ได้สว่างไสวในทุกเรื่องนะ อย่าคิดว่าตัวเองเสียงดังแล้ว จะสัมภาษณ์เล่นงานใครก็ได้ โดยไม่แสวงข้อเท็จจริง แล้วปล่อยให้คนบริสุทธิ์ต้องถูกใสร้ายกลางรายการอย่างนี้หลายครั้งหลายคน



ว่อนเอกสาร ว.วชิรเมธี เตือน หนุ่ม กรรชัย แห่งโหนกระแส อย่าทำตัวเป็นศาลเตี้ย

ขออภัยหนุ่มด้วยที่พูดยาวแต่เป็นการคุยกันฉันครูกะศิษย์ก็แล้วกัน หวังว่าหนุ่มคงไม่โกรธพอจ.นะ

ว.วชิรเมธี
(พระพี่เลี้ยงตอนหนุ่มบวชที่เชียงราย)
17 ตุลาคม 2567

https://www.thainewsonline.co/news/876519?fbclid=IwY2xjawF-T3dleHRuA2FlbQIxMQABHe-W9AMxTjqFJbll1dWx8QKpVlyp9_zG-bann72xcc8LhAdWRnjLuoLKtA_aem_a8R0NUIfkDtM3eZnj4ENdQ
.....




 

กมธ.กฎหมายเรียกหน่วยงานชี้แจงความคืบหน้ากรณี “วันเฉลิม-ชัชชาญ” ถูกอุ้มหาย หลังครอบครัวยื่นเรื่องติดตามไปต้นปี 2567


17/10/2567
ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน

วันที่ 16 ต.ค. 2567 เวลา 09.30 – 12.00 น. คณะกรรมาธิการการกฎหมาย การยุติธรรมและสิทธิมนุษยชน ของสภาผู้แทนราษฎร ได้มีหนังสือเชิญผู้เสนอเรื่องร้องเรียนเข้าร่วมการประชุมเพื่อพิจารณาศึกษาเกี่ยวกับการกระทำให้บุคคลสูญหายในกรณีของวันเฉลิม สัตย์ศักดิ์สิทธิ์ และกรณีชัชชาญ บุปผาวัลย์ (หรือสหายภูชนะ ถูกพบเป็นศพในเวลาต่อมา)

ในนัดประชุมดังกล่าว ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนพบว่ามีประเด็นที่น่าสนใจเกี่ยวกับความคืบหน้าของทั้ง 2 กรณีนี้ ที่แม้ผ่านไป 2 ปีแล้ว หลังจากการบังคับใช้ พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทำร้ายและการกระทำที่ทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ. 2565 แต่ปัจจุบันหน่วยงานรัฐยังคงไม่สามารถนำ พ.ร.บ.ดังกล่าวมาใช้ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ

หน่วยงานที่ส่งตัวแทนเข้าร่วมประชุมกรรมาธิการฯ ในประเด็นนี้ ได้แก่ ตัวแทน กมธ.การพัฒนาการเมืองฯ, คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ, กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ กระทรวงยุติธรรม, กรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI), สำนักงานอัยการสูงสุด, ศูนย์ป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย สำนักงานอัยการสูงสุด และสำนักข้าหลวงใหญ่เพื่อสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ
.
อัยการสูงสุดร่วมอยู่ในคณะทำงานสอบสวนกรณีวันเฉลิมแล้ว ส่วนกรณีชัชชาญรอ DSI พิจารณาเป็นคดีพิเศษ

ก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 10 มิ.ย. 2567 คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ได้เผยแพร่รายงานผลการตรวจสอบการละเมิดสิทธิมนุษยชนที่ 22/2567 จากข้อร้องเรียนขอให้ตรวจสอบการบังคับสูญหายบุคคลที่พำนักอาศัยในประเทศเพื่อนบ้านเพื่อขอลี้ภัยทางการเมืองทั้ง 9 ราย โดยมีกรณีของวันเฉลิมและชัชชาญเป็นสองในเก้ากรณีดังกล่าว และ กสม. ได้มีความเห็นว่ากรณีทั้งสองนี้น่าเชื่อว่าเป็นการบังคับบุคคลให้สูญหายโดยเจ้าหน้าที่รัฐ ตามอนุสัญญาระหว่างประเทศคุ้มครองบุคคลจากการถูกบังคับสูญหาย

วันที่ 16 ต.ค. 2567 กมธ.การกฎหมายฯ โดยมี กมลศักดิ์ ลีวาเมาะ เป็นประธาน ได้นัดทั้ง 2 ครอบครัวผู้ร้องทุกข์มาเข้าร่วมประชุมในวันเดียวกัน เนื่องจากเห็นว่าเป็นกรณีที่มีประเด็นคล้ายกันและหน่วยงานที่รับผิดชอบเป็นหน่วยงานเดียวกันทั้ง 2 กรณี

จากการประชุม พบว่ากรณีของวันเฉลิมปัจจุบันยังไม่มีสถานะทางคดีตามกฎหมายไทย

โดยสำนักงานอัยการสูงสุดมีความเห็นว่ากรณีดังกล่าว ยัง ‘ไม่สามารถ‘ สรุปได้ว่าคดีเกิดนอกราชอาณาจักรไทยหรือไม่ อัยการจึงยุติการสอบสวน เพราะไม่มีอำนาจตามมาตรา 8 ประมวลกฎหมายอาญาและ มาตรา 20 กฎหมายวิธีพิจารณาคดีอาญา จึงส่งเรื่องให้กรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) ดำเนินการสืบสวนสอบสวนต่อ ทั้งนี้ สำนักงานอัยการสูงสุดอีกสำนักหนึ่งให้ข้อมูลว่าตนได้มีหนังสือสอบถามไปยังสถาบันนิติวิทยาศาสตร์แล้ว และเห็นว่าคดียังอยู่ที่ศาลแขวงกรุงพนมเปญ จึงควรรอการชี้แจงจากศาลก่อน

ในขณะเดียวกัน อัยการสูงสุดที่ศูนย์ป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย ตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทำร้ายและการกระทำที่ทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ. 2565 ได้แต่งตั้งคณะอนุกรรมการเพื่อทำงานตั้งแต่วันที่ 20 สิงหาคม 2567 โดยสำนักงานอัยการสูงสุดเป็นหนึ่งในคณะอนุกรรมการนี้ ดังนั้น อัยการในส่วนนี้จึงจะเริ่มดำเนินกระบวนการสืบสวนตามอำนาจ มาตรา 26 โดยตัวแทนของสำนักงานอัยการสูงสุดมีแนวทางในการเข้าไปติดต่อและติดตามคดีด้วยตนเอง ณ ประเทศกัมพูชา ภายในเดือนตุลาคมนี้

ในวันเดียวกัน ตัวแทนจากคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ชี้แจงว่ารายงานของคณะกรรมการฯ เชื่อว่าเหตุเกิดขึ้นนอกราชอาณาจักร แต่ไม่สามารถระบุได้ว่าใครเป็นคนทำเท่านั้น และแนะนำให้มีการเยียวยาครอบครัวผู้ถูกบังคับสูญหายทุกคนต่อไป


ส่วนกรณีของ ชัชชาญ บุปผาวัลย์ ซึ่งได้ถูกพบเป็นศพที่จังหวัดนครพนม ก่อนหน้านี้ทางสถานีตำรวจภูธรธาตุพนม เป็นเจ้าของสำนวนหลัก ต่อมาทางผู้ร้อง (บุตรชาย) ได้รับแจ้งจากทางตำรวจ ว่าได้มีการยุติการสอบสวนเนื่องจากไม่พบผู้กระทำความผิด ทางผู้ร้องจึงได้ร้องทุกข์ตาม มาตรา 7 ของ พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทำร้ายและการกระทำที่ทำให้บุคคลสูญหาย ต่อสำนักงานอัยการสูงสุด ซึ่งได้รับแจ้งว่ายุติการสอบสวนเช่นเดียวกัน เนื่องจากเห็นว่ากรณีนี้ไม่ถือว่าเป็นไปตามมาตรา 10 ใน พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ. 2565 เนื่องจากสถานะการเป็นบุคคลสูญหายได้สิ้นสุดลงแล้ว

ผู้ร้องจึงได้ร้องทุกข์ต่อกรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) ในช่วงปลายเดือนกันยายน 2567 โดยมองว่าการอุ้มฆ่าครั้งนี้สะเทือนขวัญและโหดร้าย การฆาตกรรมในลักษณะนี้อาจจะเกี่ยวข้องกับผู้มีอิทธิพล

ปัจจุบันทางกรมสอบสวนคดีพิเศษกำลังอยู่ในขั้นตอนการพิจารณา ว่าจะรับกรณีของชัชชาญเป็นคดีพิเศษหรือไม่ ทั้งจะมีการเรียกให้ทางผู้ร้องยื่นเอกสารเพิ่มเติม และเรียกรายงานเหตุอุกฉกรรจ์ในช่วงที่พบศพจากสถานีตำรวจภูธรท้องที่ที่พบศพ ทาง DSI ระบุว่าจะเร่งดำเนินการให้เร็วที่สุด ภายในกรอบระยะเวลา 6 เดือน


ทางด้านผู้แทนจากสำนักข้าหลวงใหญ่เพื่อสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ ได้กล่าวเสริมในที่ประชุม กมธ. ว่า ในกรณีของวันเฉลิมมีการรวบรวมข้อมูลตามหนังสือที่ประเทศไทยและประเทศกัมพูชาได้ตอบกลับไว้แล้วและหากหน่วยงานรัฐต้องการจะเข้าถึงข้อมูลสามารถเข้าถึงได้บนหน้าเว็บไซต์ที่มีการเผยแพร่ไว้ได้ แต่ในส่วนกรณีของชัชชาญยังอยู่ในกระบวนการรวบรวมเอกสาร ยังไม่ได้มีการเผยแพร่บนเว็บไซต์

https://tlhr2014.com/archives/70636


ส.ส.พรรคประชาชน อภิปรายรายงานคณะกรรมาธิการนิรโทษกรรม ❤ เราจะก้าวข้ามความขัดแย้งโดยทิ้งจำเลยคดี 112 ในเรือนจำหรือ?


เราจะก้าวข้ามความขัดแย้งโดยทิ้งจำเลยคดี 112 ในเรือนจำหรือ? | 17 ต.ค. 67

Prachatai

Premiered 10 hours ago 
17 ต.ค. 67 สภาผู้แทนราษฏรมีการประชุมเพื่อรับรอง รายงานของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาแนวทางการตราพระราชบัญญัตินิรโทษกรรม แต่ท้ายที่สุดมีการปิดประชุมก่อนที่จะมีการลงมติ 
เชตตะวัน เตือประโคน สส.ปทุมธานี พรรคประชาชน กล่าวว่า ขอสนับสนุนรายงานของ กมธ. เพื่อให้สภารับรองส่งให้รัฐบาลต่อไป และคิดว่าเราควรมีการนิรโทษให้กับประชาชน ไม่ว่าคดีหลัก คดีรอง หรือคดีอ่อนไหว 
การนิรโทษกรรมคดีมาตรา 112 ไม่ใช่การแก้ไขกฎหมายมาตรา 112 แต่อย่างใด เพียงแต่นิรโทษกรรมให้ประชาชนที่ล้วนมีแรงจูงใจทางการเมือง และคดีนี้มีไม่น้อยที่ถูกกลั่นแกล้งใส่ร้าย อย่างไรก็ตาม ยังมีหลายเรื่องที่ยังไม่เคลียร์ ทั้งการปราบปรามเสื้อแดง การเสียชีวิตของบุ้ง-เนติพร การละเมิดสิทธิอานนท์ นำภา และอีกหลายคนที่ถูกคุมขัง ดังนั้น สิ่งที่ต้องทำควบคู่ไปด้วย คือ กระบวนการค้นหาความจริง หลายเหตุการณ์ความรุนแรงในประวัติศาสตร์ยังไม่เคยมีความจริงปรากฏว่าเกิดอะไรขึ้น 
วีรนันท์​ ฮวดศรี สส.ขอนแก่น พรรคประชาชน อภิปรายว่า ในรายงาน กมธ.นั้น กำหนด “ความอ่อนไหวที่คลุมเครือ” เพราะคดีฐานความผิดต่อความมั่นคง ก่อการร้าย ทำร้ายร่างกาย ทำให้เสียทรัพย์ ฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉิน พ.ร.บ.ชุมนุม ต่างสามารถรวมในคดีหลักและรองได้ มีแต่เพียง 2 ฐานความิดที่บอกว่า “อ่อนไหว” ที่กล่าวเช่นนี้ไม่ใช่ว่าจะไม่ให้นิรโทษกรรมคดีอื่นๆ แต่คำถามคือคดีมาตรา 112, 110 ทำไมถูกแยกออกมา อย่างการแชร์บทความที่คนหลายพันคนแชร์ลงเฟสส่วนตัว แล้วของ ‘ไผ่ ดาวดิน’ มันอ่อนไหวกับคนอื่น อย่างไรก็ดี หากดูจากฐานความผิด สามารถรวม คดี 110, 112 ในคดีหลักคดีรองได้อยู่แล้ว 
คดี 112 เสี่ยงจะถูกกันออกจากการนิรโทษกรรมในครั้งนี้ ทั้งที่ผู้ต้องหาก็ได้รับผลกระทบทางการเมืองไม่ต่างจากคนอื่นๆ อีกเรื่องหนึ่งคือ แรงจูงใจทางการเมือง ที่กำหนดเป็นเงื่อนไขไว้ เรื่องนี้เห็นด้วยแต่กรอบค่อนข้างแคบ หัวใจของนิรโทษ คือ การเปิดกว้างเพื่อหาทางออกจากความขัดแย้ง จะมีอีกหลายคดีที่ไม่แน่ว่าจะอยู่ในเงื่อนไขนี้ เช่น ผู้ต้องหาคดี 112 ที่เป็นผู้ป่วยจิตเภท มีบางคนต้องเดินทางจากลำพูนถึงนราธิวาส คนเหล่านี้จะนับว่ามีแรงจูงใจทางการเมืองหรือไม่ 
“ถ้าการนิรโทษกรรมจะทำให้สังคมไทยเดินหน้า ก้าวข้าวมความขัดแย้ง คนอย่างอานนท์ นำภา จะได้เดินหน้าไปกับนิรโทษครั้้งนี้ด้วยไหม ป้าอัญชัญที่โทษจำคุกหลายสิบปี กำลังฉลองวันเกิดวัย 69 ปีในเรือนจำ และคนอื่นๆ ในเรือนจำเวลานี้จะได้เดินไปกับเราไหม เราจะก้าวข้าวมความขัดแย้งแล้วทิ้งพวกเขาไว้ข้างหลังอย่างไม่แยแสอย่างนี้หรือ” . ทั้งนี้ ข้อมูลจากศูนย์ทนายความสิทธิมนุษยชน เมื่อ 11 ต.ค. 2567 ระบุว่า มีผู้ต้องหาคดีการเมืองถูกคุมขังในเรือนจำ ทั้งสิ้น 41 คน ในจำนวนนี้มีถึง 28 คนเป็นคดี 112 
คำถามคือ ถ้าไม่นิรโทษกรรมคนที่ถูกขังจริงๆ เรากำลังทำอะไรกันอยู่ 

https://www.youtube.com/watch?v=Qv3Vkaj-BDc
.....

May Poonsukcharoen
13 hours ago
·
ทนายวีรนันนท์ ส.ส.ขอนแก่น อภิปรายรายงานคณะกรรมาธิการนิรโทษกรรม
#นิรโทษกรรมประชาชน






พิเชษฐ์ปิด #ประชุมสภา ขณะที่ยังพิจารณารายงาน กมธ. #นิรโทษกรรม ไม่เสร็จสิ้น ระหว่างที่ฝ่านค้าน-รัฐบาลยังหารือไม่เสร็จสิ้นว่าจะให้สมาชิก กมธ. อภิปรายชี้แจงเพิ่มเติมหรือไม่ ประธานสภาก็สั่งปิดประชุมทำให้ไม่มีการลงมติรับรองรายงาน


iLawFX #นิรโทษกรรมประชาชน @iLawFX

พิเชษฐ์ปิด #ประชุมสภา ขณะที่ยังพิจารณารายงาน กมธ. #นิรโทษกรรม ไม่เสร็จสิ้น
ระหว่างที่ฝ่านค้าน-รัฐบาลยังหารือไม่เสร็จสิ้นว่าจะให้สมาชิก กมธ. อภิปรายชี้แจงเพิ่มเติมหรือไม่
ประธานสภาก็สั่งปิดประชุมทำให้ไม่มีการลงมติรับรองรายงาน
อ่านเพิ่มเติมได้ที่ https://ilaw.or.th/articles/46078
.....

ยืดเวลาออกไปอีก! พิเชษฐ์ รองประธานสภา ชิงปิดประชุมนัดรับรองรายงาน กมธ.นิรโทษกรรม

17/10/2024
iLaw

17 ตุลาคม 2567 ที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร มีวาระพิจารณารับรองรายงานของคณะกรรมาธิการวิสามัญศึกษาแนวทางการตราพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) นิรโทษกรรม (กมธ.นิรโทษกรรม) แต่การประชุมครั้งนี้ยังไม่แล้วเสร็จ เนื่องจากพิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน รองประธานสภาผู้แทนราษฎรคนที่หนึ่งซึ่งเป็นประธานในที่ประชุมสั่งปิดประชุมระหว่างที่มีการถกเถียงกันว่าสมควรให้กรรมาธิการชี้แจงต่อหรือไม่

เป็นเวลาแปดเดือนกว่านับแต่สภาผู้แทนราษฎรมีมติตั้งกมธ.นิรโทษกรรม เมื่อ 1 กุมภาพันธ์ 2567 ตามข้อเสนอของขัตติยา สวัสดิผล สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) แบบบัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย โดยมีวัตถุประสงค์ในการศึกษาแนวทางในการร่างกฎหมายนิรโทษกรรมให้แก่คดีทางการเมืองเพื่อลดความขัดแย้งในสังคม

กมธ. ชุดนี้เดิมกำหนดระยะเวลาในการทำงานไว้ 60 วัน ครบกำหนดเมื่อวันที่ 1 เมษายน 2567 แต่ก็ “ขยายเวลา” ถึงสองครั้ง ครั้งละ 60 วัน ภายหลังจากที่ขยายเวลาออกไปรวมสี่เดือน กมธ.นิรโทษกรรม ก็ศึกษาแนวทางการนิรโทษกรรมได้จัดทำรายงานฉบับนี้แล้วเสร็จเมื่อวันที่ 26 กรกฎาคม 2567 ได้บรรจุวาระสู่การประชุมสภาผู้แทนราษฎรเมื่อ 29 สิงหาคม 2567 จากนั้นก็ “ค้าง” ในวาระการประชุมอยู่ร่วมเดือนกว่าจึงจะเข้าสู่การพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎรและถูก “ยืด” ออกไปอีก

ผลการพิจารณาศึกษาช่วงเวลาในการนิรโทษกรรมสรุปได้ว่า ให้มีขอบเขตอยู่ในช่วงเวลาตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2548 ถึงปัจจุบัน โดยที่ “ปัจจุบัน” หมายถึง วันที่คณะกรรมาธิการวิสามัญเสนอรายงานต่อสภาผู้แทนราษฎร สำหรับฐานความผิดที่จะได้รับนิรโทษกรรมนั้นสามารถเป็นแบ่งกรอบในการพิจารณาว่า ฐานความผิดใดที่มีผลสืบเนื่องมาจากแรงจูงใจทางการเมือง โดยแบ่งฐานคดีความผิดสองเป็นสองประเภท คือ คดีหลักและคดีรอง กับคดีที่มีความอ่อนไหว โดยคดีทางการเมืองตั้งแต่ความผิดในฐานการก่อการร้าย ยุยงปลุกปั่น ทำร้ายเจ้าพนักงาน ไปจนถึงความผิดฐานหมิ่นประมาทถูกจัดอยู่ในคดีหลักและคดีรอง ในขณะที่ความผิดฐานประทุษร้ายพระราชินีหรือรัชทายาท (มาตรา 110) – หมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ฯ (มาตรา 112) ถูกจัดอยู่ในคดีที่มีความอ่อนไหว

อ่านสรุปเนื้อหารายงาน กมธ.นิรโทษกรรม ได้ที่ https://www.ilaw.or.th/articles/42106

ชูศักดิ์ยันแค่รายงาน ไม่ใช่การยกร่างฯ ไม่รวม 112

การประชุมสภาเพื่อพิจารณารับรองรายงานของ กมธ.นิรโทษกรรม เริ่มต้นโดยการสรุปรายงานโดย รศ.ชูศักดิ์ ศิรินิล สส.แบบบัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ในฐานะประธาน กมธ.นิรโทษกรรม ชี้แจงว่าตามที่สภาผู้แทนราษฎรดีมีมติตั้ง กมธ.วิสามัญชุดนี้ขึ้นมาเพื่อศึกษาแนวทางการจัดทำพ.ร.บ.นิรโทษกรรม บัดนี้ กมธ.วิสามัญได้พิจารณาเรื่องตามที่สภามอบหมายเสร็จแล้ว

โดยได้พิจารณาศึกษาแนวทางการตราพ.ร.บ.นิรโทษกรรมจากรอบด้าน โดยศึกษาจากสรุปประเด็นข้อสังเกตและข้อเสนอแนะจากการอภิปรายของสภาผู้แทนราษฎร ข้อมูลจากเอกสารวิชาการ รายงานผลการศึกษา ข้อมูลสถิติคดี การรับฟังความคิดเห็นจากบุคคลที่มีส่วนเกี่ยวเนื่องกับการชุมนุม และข้อเรียกร้องหรือข้อคัดค้านจากภาคส่วนต่างๆ ของสังคม

กมธ. นิรโทษกรรมนัดประชุมทั้งสิ้น 19 ครั้ง จัดทำเอกสารทั้งหมดสามเล่ม คือ รายงานของกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาแนวทางการตราพ.ร.บ.นิรโทษกรรม ภาคผนวก ก ซึ่งเป็นรายงานของคณะอนุกรรมาธิการพิจารณาศึกษาข้อมูลและสถิติคดีความผิดอันเนื่องมาจากแรงจูงใจทางการเมือง โดยมีนิกร จำนงเป็นประธานอนุกรรมาธิการ และภาคผนวก ข ซึ่งเป็นรายงานเพื่อศึกษาและประกอบการพิจารณาแนวทางการตราพ.ร.บ.โดยมี รศ.ยุทธพร อิสรชัย เป็นประธานอนุกรรมาธิการ

ชูศักดิ์อธิบายเบื้องต้นว่า

  1. การนิรโทษกรรมโดยหลักการแล้วไม่ใช่การยกเลิกความผิด เพียงแต่ให้งดเว้นการรับผิด เพื่อแก้ปัญหาความขัดแย้งในบ้านเมืองในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่ง เพื่อให้ทุกฝ่ายกลับมาอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุข การตรากฎหมายนิรโทษกรรมจึงเป็นการพาประเทศเดินไปข้างหน้า ในอดีตประเทศไทยมีกฎหมายนิรโทษกรรมมาแล้วทั้งสิ้น 23 ฉบับ ประกอบด้วย พ.ร.บ.19 ฉบับและพระราชกำหนด (พ.ร.ก.) สี่ฉบับ
  2. รายงานนี้คือผลศึกษาแนวทางการตราพ.ร.บ.นิรโทษกรรม ไม่ใช่การพิจารณาหรือยกเลิกหรือยกร่างกฎหมาย เป็นเพียงข้อเสนอแนะแนวทางหากจะมีการตรากฎหมายนิรโทษกรรมเป็นลำดับต่อไป ว่าควรจะรวมหรือไม่ควรจะรวมการกระทำใดบ้าง หากเป็นความเห็นที่อาจหาข้อยุติไม่ได้และบานปลายสู่ความขัดแย้งในอนาคต กมธ.เสนอความเห็นในทุกมิติไว้เพื่อให้สภาแห่งนี้ได้ศึกษาและเรียนรู้อย่างทั่วถึงรอบด้าน
  3. แม้รายงานจะเป็นเรื่องการศึกษาแนวทางการนิรโทษกรรม แต่กมธ.ก็ได้ศึกษาแนวทางอื่นๆ ในการยุติความขัดแย้งและสร้างความเข้าใจอันดีให้เกิดขึ้นในสังคม เช่น แนวทางการตราพ.ร.บ.ล้างมลทิน แนวทางการขอพระราชทานอภัยโทษ แนวทางการใช้อำนาจในกระบวนการยุติธรรมอย่างอื่น เช่น การสั่งไม่ฟ้องคดีหรือชะลอการฟ้องคดีที่ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ต่อสาธารณะ
โดยสามารถสรุปรายงานพอสังเขปได้ว่า 
  1. ช่วงเวลาในการนิรโทษกรรม กมธ. ศึกษาแล้วเห็นว่าควรเอาเหตุการณ์ความขัดแย้งทางการเมืองตั้งแต่ปี 2548 มาเป็นหลักในการกำหนดขอบเขตช่วงเวลาในการนิรโทษกรรม
  2. การกระทำที่ควรได้รับการนิรโทษกรรมมุ่งเน้นที่การกระทำที่มีแรงจูงใจทางการเมือง โดยแยกแยะคดีหลักในความผิดฐานเป็นกบฎ ความผิดคดีรองเช่นความผิดต่อเจ้าพนักงาน และได้แยกคดีที่มีความอ่อนไหวทางการเมือง โดยได้แยกออกมาพิจารณาเฉพาะ เพื่อศึกษาทุกมิติทั้งผู้ที่เห็นด้วย-ไม่เห็นด้วย รวมถึงการแสวงหาแนวทางอื่นเช่นการนิรโทษกรรมโดยมีเงื่อนไข
  3. การเสนอรูปแบบการนิรโทษกรรมทั้งที่เป็นแบบอัตโนมัติและแบบที่มีคณะกรรมการขึ้นมาวินิจฉัย และรูปแบบผสมผสาน การที่ให้มีคณะกรรมการขึ้นมาวินิจฉัยเนื่องจากหากจะนิรโทษกรรมตั้งแต่ 2548 ซึ่งเกิดขึ้นมานานแล้ว และมีคดีความเกิดขึ้นมากมายทั้งที่เป็นคดีหลักและคดีรอง การมีคณะกรรมการขึ้นมาพิจารณาจะทำให้การพิจารณานั้นถูกต้องเป็นธรรมอย่างแท้จริง
  4. กำหนดขอบเขตการนิรโทษกรรมว่ารวมถึงการกระทำใดบ้างและควรมีการทำบัญชีแนบท้าย พ.ร.บ. และได้เสนอแนะแนวทางการตรา พ.ร.บ. ว่าอาจทำเป็นหลายฉบับเพราะเหตุการณ์หรือพฤติกรรมมีความแตกต่างกัน
  5. กมธ. มีข้อสังเกตไว้หลายประการเช่น การอำนวยความยุติธรรมตามกฎหมายที่มีอยู่ในปัจจุบันที่เรียกว่า “กระบวนการยุติธรรมในะระยะเปลี่ยนผ่าน” ข้อสังเกตที่เกิดจากการศึกษาของคณะกรรมการอิสระหลายชุดรวมทั้งความเห็นของ กมธ. ที่เห็นว่าความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 110 (ความผิดฐานประทุษร้ายพระราชินีหรือรัชทายาท) และมาตรา 112 (ความผิดฐานหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ฯ) ยังคงเป็นประเด็นที่มีความอ่อนไหวและนำไปสู่ความขัดแย้งได้ อย่างไรก็ตามข้อสังเกตของกมธ. ไม่ได้บังคับผูกมัดคณะรัฐมนตรีว่าจะต้องทำตามที่เสนอ
สส.พรรคประชาชนเสนอควรรวมมาตรา 112 เพื่อไทย-ภูมิใจไทย เห็นค้าน

เชตะวัน เตือประโคน สส. แบบแบ่งเขต จังหวัดปทุมธานี พรรคประชาชน อภิปรายสนับสนุนรายงานของกมธ. ว่า ตนเห็นด้วยกับข้อความของโคทม อารียาที่ว่า “ไม่มีความผิดใด ยกโทษให้ไม่ได้” เชตะวันเสริมว่าถ้าจะมีความผิดใดที่ไม่ควรยกโทษให้สิ่งนั้นคืออาชญากรรมโดยรัฐและการรัฐประหาร เจ้าหน้าที่รัฐผู้สั่งการให้ปราบปรามประชาชนอย่างโหดเหี้ยมอำมหิตและยังไม่ได้รับการลงโทษ ไม่ได้เยียวยาผู้สูญเสีย ไม่มีแม้แต่การเอ่ยปากขอโทษจากใจจริง ไม่ควรได้รับการยกโทษ ถึงแม้ว่าตนจะสนับสนุนการนิรโทษกรรม แต่การสืบเสาะหาข้อเท็จจริงในเหตุการณ์ก็จำเป็นต้องทำ

วีรนันท์ ฮวดศรี สส. แบบแบ่งเขต จังหวัดขอนแก่น พรรคประชาชน อภิปรายว่าความผิดอื่นในฐานคดีความมั่นคง เช่น การก่อการร้าย การทำร้ายร่างกาย ทำให้เสียทรัพย์ ถูกรวมอยู่ในความผิดฐานคดีหลักและฐานคดีรอง มีเพียงแต่ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 110 และมาตรา 112 ที่ถูกจัดให้เป็นฐานคดีอ่อนไหว ตนเห็นว่าสามารถรวมความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 เข้าเป็นฐานคดีหลักได้ เมื่อถูกแยกออกมาแบบนี้ก็นำมาสู่ความคลุมเครือ คดีฐานหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์จึงเสี่ยงที่จะถูกกันออกจากการนิรโทษกรรมในครั้งนี้

ตนเห็นด้วยกับการกำหนดขอบเขตให้คดีที่ได้รับการนิรโทษกรรมต้องมีมูลเหตุจูงใจทางการเมือง แต่อาจจะคับแคบเกินไปหรือไม่ วีรนันท์ยกตัวอย่างกรณีดคี 112 ของชัยชนะ (นามสมมุติ) ชาวลำพูน ถูกแจ้งความในมาตรา 112 ที่จังหวัดนราธิวาส แม้จะพิสูจน์ได้ชัดเจนว่าเขาเป็นผู้ป่วยจิตเภท แต่ชัยชนะและครอบครัวต้องเดินทางไปที่ศาลนราธิวาส ซึ่งมีระยะทางราว 1,800 กิโลเมตร หรือคดีของฤาชา (นามสมมุติ) ผู้ป่วยจิตเภทที่โพสต์เฟซบุ๊ก หรือในกรณีของสองพี่น้องที่กล่าวหากันเองเนื่องจากยืนอยู่คนละฝั่งทางการเมือง คำถามคือเราจะสามารถพิสูจน์แรงจูงใจทางการเมืองของพวกเขาได้อย่างไร พวกเขาจะถูกนำออกจากการนิรโทษกรรมหรือไม่ แต่สิ่งที่เห็นได้ชัดคือคนกลุ่มนี้ได้รับผลกระทบจากการเมืองอย่างปฏิเสธไม่ได้

“พวกเขาก็เป็นคนธรรมดาเหมือนกับพวกเรา ไม่ใช่ผู้ก่อการร้ายหรือปีศาจร้ายตนใดเลยครับ นี่เรากำลังจะชี้หน้าแล้วบอกว่าพวกเขาเหล่านั้น ไม่สมควรได้รับการนิรโทษกรรมเหมือนกับผู้อื่นที่อยู่ในวังวนของความขัดแย้งทางการเมืองหรอครับ” วีรนันท์กล่าวทิ้งท้าย

นพดล ปัทมะ สส. แบบบัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย อภิปรายว่าถ้าเราจะนิรโทษกรรมมันต้องบรรลุวัตถุประสงค์ในการสร้างความปรองดองและสมานฉันท์ในชาติ ต้องนำไปสู่เอกภาพและความมั่นคงทางการเมืองเพื่อที่จะสามารถเรียกร้องความเชื่อมั่นจากนักลงทุนและเพิ่มขีดความสามารถให้ประเทศ เสถียรภาพทางการเมืองนั้นมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจ ในขณะที่ “บางเรื่อง” ยังไม่ได้มีฉันทามติของสังคมว่าความผิดบางความผิดนั้นสมควรที่จะนิรโทษกรรมหรือไม่ ตนเห็นด้วยกับประธาน กมธ.ว่าการนิรโทษกรรมจะต้องไม่นำไปสู่ความขัดแย้งทางในการเมืองรอบใหม่

นพดล อภิปรายสรุปประเด็นว่าการนิรโทษกรรมความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 110 และมาตรา 112 นั้นเป็นเรื่องละเอียดอ่อน มาตรา 112 นั้นเป็นเรื่องที่เกี่ยวเนื่องกับความมั่นคงของชาติ ในขณะนี้สังคมมีความเห็นที่แตกต่างกันค่อนข้างมาก ยังมีเวลาให้แสวงหาฉันทามติในประเด็นนี้ต่อไปได้อีก ตนยึดมั่นใจการปกครองระบอบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข จึงไม่อาจสนับสนุนการนิรโทษกรรมความผิดตามมาตรา 110 และมาตรา 112 ได้

สนอง เทพอักษรณรงค์ สส. แบบแบ่งเขต จังหวัดบุรีรัมย์ พรรคภูมิใจไทย อภิปรายสนับสนุนการนิรโทษกรรมคดีการเมืองเพื่อให้ชาติบ้านเมืองเดินหน้าไปได้ แต่ต้องไม่รวมคดีตามมาตรา 110 และมาตรา 112 สนองอภิปรายว่ากฎหมายมีมาก่อนแล้วแล้วมากระทำความผิดในภายหลังสังคมจะอยู่อย่างไร พรรคภูมิใจไทยรวมถึงหัวหน้าพรรคยืนยันว่าเรายอมยกโทษให้ในทุกกรณี ยกเว้นกรณีที่จะยกเลิกมาตรา 112 ทำอย่างไรก็ยอมรับไม่ได้ เพราะประเทศชาติอยู่ได้ก็เพราะสถาบันพระมหากษัตริย์

ผศ.เข็มทอง ต้นสกุลรุ่งเรือง หนึ่งในกมธ.นิรโทษกรรม อภิปรายว่าสังคมจะสามารถยุติความขัดแย้งได้ต้องมีความยุติธรรมเกิดขึ้นก่อน ในแง่หนึ่งความยุติธรรมคือการใช้อำนาจ การลงโทษตามกำหมาย แต่ในอีกแง่หนึ่งความยุติธรรมคือการใช้เมตตา สังคมไทยใน 20 ปีที่ผ่านมาใช้กฎหมายและการลงทัณฑ์มาโดยตลอด และมันก็ไม่ได้นำไปสู่จุดที่เป็นความสงบและสามัคคี

เฉพาะในเรื่องประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 110 และมาตรา 112 มีความเข้าใจผิดเป็นจำนวนมาก การอธิบายว่าเป็นส่วนหนึ่งของระบบกฎหมายในนานาประเทศ การอ้างถึงนานาประเทศนี้ตีขลุมเพราะในหลายประเทศกฎหมายที่มีอยู่กับการบังคับใช้จริงไม่เหมือนกัน บางประเทศมีแต่ไม่เคยใช้อย่างกว้างขวางและรุนแรงเหมือนประเทศไทย

ผศ.เข็มทองยืนยัน ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าการแก้ไขมาตรา 112 ของพรรคก้าวไกล ไม่สามารถทำได้ แต่ยังแก้ไขได้โดยกระบวนการนิติบัญญัติโดยชอบ การนิรโทษกรรมในครั้งนี้เบากว่าการแก้ไขมาตรา 112 การนิรโทษกรรมกฎหมายยังอยู่ ความผิดในฐานนี้ยังอยู่ ยังสามารถูกลงโทษได้อีก

หากเรายกเว้นสองมาตรานี้ หลายคนอาจยืนยันว่าอาจนำไปสู่ความสันติสุขแต่ในคนอีกฝั่งหนึ่งก็จะมองว่าการไม่นิรโทษกรรมต่างหากที่เป็นการทำให้สถาบันพระมหากษัตริย์ถูกมองอย่างเคลือบแคลงสงสัย ถ้าเกิดความผิดอื่นในระบบกฎหมายได้รับการนิรโทษกรรม แต่มาตรา 110 และมาตรา 112 ถูกยกเว้นไว้จะทำให้สายตาของสังคมและนานาประเทศอาจจ้องมองไปยังสถาบันพระมหากษัตริย์ สิ่งนี้จะไม่เป็นผลดีกับใคร สิ่งที่ควรทำคือทำให้มาตรา 110 และมาตรา 112 เป็นกฎหมายจริงๆ ไม่ใช่เครื่องมือในทางการเมือง คือการใช้กฎหมายปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ได้ ลงโทษคนกระทำความผิดได้ และต้องยกโทษผู้ที่เคยทำความผิดได้เช่นเดียวกับกฎหมายอื่นๆ

ในระหว่างที่มีการหารือระหว่างวิปฝ่ายค้านและ สส. ฝ่ายรัฐบาลว่าสมควรให้กมธ.นิรโทษกรรมได้อภิปรายชี้แจงเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดความเข้าใจมากขึ้นหรือไม่ พิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน รองประธานสภาผู้แทนราษฎรคนที่หนึ่ง ซึ่งประธานในที่ประชุม กล่าวว่า “มันชัดเจนแล้ว ข้อมูลพอสมควรแล้ว งั้นวันนี้ไม่จบหรอกครับ ขอปิดประชุมครับ” และสั่งปิดการประชุมในเวลา 16.48 น. โดยที่ยังไม่ได้ลงมติรับรองรายงาน การพิจารณารับรองรายงาน กมธ.นิรโทษกรรม อาจเลื่อนออกไปเป็นวันที่ 24 ตุลาคม 2567 แทน
.....


พรรคประชาชนแถลงด่วน

Streamed live 9 hours ago

พรรคประชาชนแถลงด่วนกรณีประธานสภาฯ ชิงปิดประชุม หลังอภิปรายรายงาน กมธ.ศึกษาแนวทางการตรา พ.ร.บ.นิรโทษกรรม

https://www.youtube.com/live/S8NmjkdNZPg





 

วันพฤหัสบดี, ตุลาคม 17, 2567

มีทนายของผู้เสียหาย บอกจับ ๑๘ ‘ดิไอคอน’ สองข้อหาเท่านั้นน้อยไป คุกแค่ ๕ ปีต่อกระทง จี้ ปปช. คุณไม่รู้สึกบ้างหรือ เรากำลังพูดถึงส่วยระดับพันล้านนะครับ”

จับครบแล้ว ๑๘ บอส คดี ดิไอคอนตำรวจค้านประกัน พวกดาราได้นอนเรือนจำกันบ้างละ บางข่าวเน้น บอสกันต์ มากกว่า บอสพอลทั้งหมดโดนข้อหาเหมือนกัน คือฉ้อโกงประชาชน กับนำเข้าข้อมูลเท็จ พรบ.คอมพิวเตอร์

แต่มีทนายรายหนึ่ง ออกรายการ เดอะสแตนดาร์ดนาวว่าสองข้อหาเท่านั้นน้อยไป ควรมีข้อหาอื่นๆ อีก เพราะแค่นี้โทษเบา คุก ๕ ปีเท่ากัน “ถ้ารับสารภาพแล้วเยียวยาครบอาจจะโทษเบาลง” ทนายรณณรงค์ แก้วเพ็ชร บอกแกมประชด

“เพียงแต่ว่าถ้ามีข้อหาฉ้อโกงประชาชนมาด้วย จะตอกย้ำเรื่องของการประกันตัวให้ไปทำได้ในชั้นศาลเท่านั้น” ส่วนเรื่องของเรื่องที่พวกนังและนัยเอาไปโพทธนากันว่าเป็นฝีมือรัฐมนตรี น้ำ จิราพร สินธุไพร ก็โดนอัดกลับว่าชุบมือเปิบ แบก เกินไป

จริงๆ แล้วจากดราม่าดารามาเป็นคดียักษ์ถึงจุดนี้ได้ ทนายโน่นทนายนี่หลายรายการช่วยกันป่าวร้องและเป่าลมโหมไฟ กับที่ทนายรณณรงค์ว่าในค่ายตำรวจ “พอเปลี่ยนขั้วอำนาจ มีตั๋วไปฮ่องกงออกมา” ที่ผ่านมาในขั้วอำนาจเดิมไม่มีใครขยับทำอะไร

“เรา (พวกทนาย) วิเคราะห์ต่อจิ๊กซอว์ได้ว่า ๕ ปีที่ผ่านมา มันเกิดอะไรขึ้น วันดีคืนดีพอคิดจะทำขึ้นมา ไอ้นั่นก็ผิด ไอ้นี่ก็ผิด นั่นไม่มีใบอนุญาตไปจัดหาสมาชิก คุณขอ สคบ.ยังไม่ผ่านเลย แต่ สคบ.ให้โล่ห์ มันย้อนแย้งกันในหน่วยงานมาก...

ในขั้วอำนาจเดิม มันต้องมีเทวดาอารักษ์ไปกดเอาไว้...ว่าตรงๆ มันมีส่วนราชการบางคนที่รับส่วยแล้วไปเคลียร์ให้เขา จนสุดท้ายหมดตัว เสียชีวิตไปเท่าไรคุณต้องรับผิดชอบ ผมบอกให้ มันมีคนแก่เกษียณแล้วหางานทำ ไปเจอแอดส์

คิดว่าจะได้งานทำ ที่ไหนได้สุดท้ายหมดตัว พอเขาไปแจ้งความบอกอ้าวนี่คดีแพ่ง อะไป สคบ.บอกไม่ใช่หน้างาน ไปกรรมาธิการ เฮ้ยมีคนรับเคลียร์ มันเชื่อมไปหมด ตอนไปกรรมาธิการเขาเรียกสี่หน่วยงานมาชี้แจง แล้วทำไมไม่มีอะไรเกิดขึ้น

พอพูดถึงหน่วยงานมันก็ไปโยงกับที่คุณเอก สายไหมต้องรอด กับทนายตั้ม สิทธา เบี้ยบังเกิด เปิดไว้ใน ถกไม่เถียง เมื่อวานเย็น มีพยานบอกว่ามีการจ่ายเงินให้กับหน่วยงานต่างๆ ๓-๔ หน่วยงาน มีทั้ง ศอท. สคบ. ดีเอสไอด้วย

“คนที่มันเป็นเทวดาอารักษ์นี่ก็เก่งเนอะ มันเข้าได้หลายกระทรวง หลายทบวงเลย หรือเขาเคยอยู่ในกระทรวงยุติธรรมมาก่อนหรือเปล่า เราก็ยังสงสัยอยู่ เขามีอำนาจอะไรพอพูดปั๊บราชการฟัง เขาไปหาตำรวจก็ไม่รับแจ้ง

ไป สคบ.บอกไม่ใช่หน้างาน พอไปกรรมาธิการมีบางคนโดนไถตังค์ ตกลงยังไงวะเนี่ย ตกลงประชาชนอยู่ตรงไหนในสมการของความปลอดภัย แล้วถ้าเราบอกว่า สิ่งที่เกิดขึ้นที่ผ่านมาเขาอ้างว่าเขาถูกกฎหมาย เราก็ต้องไปแก้กฎหมายให้มันคุ้มครอง

ตัวเลขที่ผ่านมา ๕ ปี ที่ให้เทวดาก็หลักพันล้าน เรากำลังพูดถึงส่วยระดับพันล้านนะครับ ปปช.คุณไม่รู้สึกบ้างหรือ”

(https://www.youtube.com/watch?v=BOSbLV3OoFs&t=495s และ https://www.nationtv.tv/news/crime/378950069=IwY_MWKOG)