wasanawong @WasanaWW
·19h
1 ประเทศ 2 ระบบ 1 country 2 systems ไม่มีแล้ว ก็ไม่มีเหตุอันใดที่ไต้หวันควรจะรวมกับจีน
Robert Potter @rpotter_9
As China sentences the bravest citizens of Kong Hong to prison, remember that China gave its word to respect “one country, two systems”. China betrayed that promise. So when people inevitably come forward and say China will respect Taiwan, remember this.
.....
27 ปี ฮ่องกงกลับสู่จีน เปลี่ยนไปมากแค่ไหน สิ้นสุด 1 ประเทศ 2 ระบบแล้วหรือยัง?
โดย วิโรจน์ เลิศจิตต์ธรรม
03.07.2024
เป็นเวลา 27 ปีแล้ว ที่อังกฤษส่งมอบ ฮ่องกง กลับคืนสู่จีน ภายใต้หลักการปกครองแบบ ‘1 ประเทศ 2 ระบบ’ เมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม 1997 ซึ่งแนวคิดการปกครองนี้คือการยึดถือนโยบาย ‘จีนเดียว’ (One China) แต่ยังสามารถมีระบบเศรษฐกิจและการเมืองแบบทุนนิยมที่แตกต่างจากระบบสังคมนิยมของจีนแผ่นดินใหญ่ได้
ช่วงไม่กี่ปีหลังกลับสู่อ้อมอกจีน เขตบริหารพิเศษฮ่องกงเปิดตัวแคมเปญที่สร้างแบรนด์ให้เมืองนี้กลายเป็นที่รู้จักในชื่อ ‘นครหลวงของโลกเอเชีย’ (Asia’s World City) สื่อความหมายว่า แม้จะเปลี่ยนประเทศผู้ปกครอง แต่ความเปิดกว้างและบรรยากาศความมีชีวิตชีวาของฮ่องกงก็จะยังคงอยู่
อย่างไรก็ตาม มาถึงวันนี้บรรยากาศในฮ่องกงต้องเรียกได้ว่า ‘เปลี่ยนไปมาก’ ทั้งในด้านเศรษฐกิจ การเมือง และสภาพสังคม ซึ่งเต็มไปด้วยปัญหา เช่น ความเหลื่อมล้ำ ข้าวของ อาหาร และที่พักอาศัย ราคาแพง ในขณะที่สิทธิเสรีภาพและการปกครองแบบประชาธิปไตย (ที่ไม่เคยเต็มใบ) ก็เริ่มถดถอยและถูกกลืนกินจากจีนแผ่นดินใหญ่อย่างเห็นได้ชัด
ไทม์ไลน์ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นตลอด 27 ปีของฮ่องกง มีหลายหมุดหมายที่สำคัญ และทำให้มองเห็นไปถึงทิศทางที่เมืองแห่งนี้กำลังก้าวเดินไป ท่ามกลางความยากลำบากและท้าทายของชาวฮ่องกงที่ผูกรัดไปกับการขับเคลื่อนบ้านเมืองของพรรคคอมมิวนิสต์จีน
10 ปีแรก ฮันนีมูน
รศ.ดร.วาสนา วงศ์สุรวัฒน์ หัวหน้าภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ให้สัมภาษณ์ THE STANDARD ฉายภาพการเปลี่ยนแปลงของฮ่องกงในช่วงทศวรรษแรกหลังกลับคืนสู่จีน โดยชี้ว่า ตั้งแต่ช่วงปี 1997-2007 หรือช่วงปลายยุครัฐบาลเจียงเจ๋อหมิน ไปจนถึงปลายยุคของรัฐบาลหูจิ่นเทา สามารถเปรียบได้เป็นช่วงฮันนีมูน จากการที่เศรษฐกิจจีนยังคงเติบโตก้าวกระโดดและไม่ประสบปัญหา
ในขณะที่ฮ่องกงเองก็เติบโตและเป็นเหมือนตัวขับเคลื่อนเงินลงทุนให้จีนได้เป็นอย่างดี อีกทั้งในแง่ของสิทธิเสรีภาพต่างๆ ก็ดูจะไม่เป็นปัญหาอะไร ถึงขั้นที่หูจิ่นเทาพูดในโอกาสครบ 10 ปีที่อังกฤษส่งคืนฮ่องกงว่า น่าจะสามารถให้สิทธิออกเสียงเลือกตั้งทั่วไป (Universal Suffrage) หรือสิทธิการลงคะแนนเลือกตั้งตามแบบสากล ให้แก่ชาวฮ่องกงได้ในอีกทศวรรษถัดไป
บรรยากาศอันดีเหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึงความราบรื่นในการปกครองตามหลักการ 1 ประเทศ 2 ระบบในทศวรรษแรก และทำให้ชาวฮ่องกงไม่น้อยมองว่าตนเองนั้นเป็นพลเมืองภายใต้การปกครองแบบกึ่งประชาธิปไตยที่มีสิทธิเสรีภาพ ไม่ใช่พลเมืองใต้ระบบคอมมิวนิสต์
10 ปีหลัง ปัญหาปะทุ
อย่างไรก็ตาม ในช่วงทศวรรษที่ 2 หรือตั้งแต่ปี 2007-2017 ปัญหาต่างๆ ของฮ่องกงที่ไม่เคยปรากฏเด่นชัดก็เริ่มแสดงให้เห็นมากขึ้น โดยมีปัจจัยหลักๆ จากการที่เศรษฐกิจจีนเริ่มเข้าสู่ภาวะชะลอตัว ซึ่งในปีสุดท้ายที่เศรษฐกิจจีนเติบโตเกิน 7% คือปี 2009 และหลังจากนั้นภาวะเศรษฐกิจจีนก็เติบโตถดถอยมาเรื่อยๆ
กระทั่งปี 2013 จีนได้ผู้นำคนใหม่คือประธานาธิบดีสีจิ้นผิง ซึ่งก้าวขึ้นสู่อำนาจในช่วงที่ถือว่ามีความท้าทาย ทั้งจากภาวะเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มถดถอยต่อเนื่อง และความขัดแย้งในพรรคคอมมิวนิสต์ที่ค่อนข้างรุนแรง
รศ.ดร.วาสนา ชี้ว่า ปัจจัยท้าทายเหล่านี้ทำให้สีดำเนินการสร้างความมั่นคงให้ตนเองด้วยการปฏิรูปกองทัพและพยายามที่จะรวบอำนาจเข้าสู่ศูนย์กลาง ในขณะที่พยายามยกเลิกกระบวนการตรวจสอบและถ่วงดุลต่างๆ ที่ปูรากฐานไว้ตั้งแต่ยุคเติ้งเสี่ยวผิง เพื่อให้มีการคานอำนาจภายในพรรคคอมมิวนิสต์
อีกอย่างที่เกิดขึ้นในยุคแรกของสีคือเริ่มจัดการ ‘กำราบ’ ฮ่องกงอย่างจริงจัง เนื่องจากหลักการ 1 ประเทศ 2 ระบบ ทำให้ฮ่องกงมีเสรีภาพในการแสดงออก ทั้งด้านสื่อ ศาสนา และการเมือง แบบที่แตกต่างจากจีนแผ่นดินใหญ่ จนทำให้ฮ่องกงกลายมาเป็นศูนย์กลางในการเผยแพร่ข้อมูลต่างๆ ที่จะถูกแบนได้ในจีนแผ่นดินใหญ่ เช่น กรณีโศกนาฏกรรมเทียนอันเหมิน ซึ่งช่วงนั้นมีการจัดงานรำลึกทุกปีในฮ่องกง
เหตุการณ์ที่ทำให้ทั่วโลกเห็นถึงความพยายามของรัฐบาลสีในการแทรกแซงเสรีภาพในฮ่องกงคือ กรณีการหายตัวไปของ 5 พนักงานและเจ้าของร้านหนังสือ Causeway Bay Books ในฮ่องกง ระหว่างเดือนตุลาคม-ธันวาคม 2015 ซึ่งร้านนี้ขายหนังสือเกี่ยวกับการเมืองและประเด็นละเอียดอ่อนต่างๆ ในจีน
เหตุการณ์นี้จุดชนวนให้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ไปทั่วโลกว่าทั้ง 5 คนอาจถูกทางการจีนจับตัวไป ก่อนที่ทางการมณฑลกวางตุ้งของจีนจะยอมรับว่าได้ควบคุมตัวทั้ง 5 คนไว้ในคดีค้างเก่าเกี่ยวกับการจราจร โดยไร้คำอธิบายอื่นๆ และเผยแพร่คลิปวิดีโอของหนึ่งในผู้ถือหุ้นร้านหนังสือที่ถูกจับ สารภาพว่าพวกเขาได้ข้ามไปยังจีนแผ่นดินใหญ่โดยสมัครใจ
แต่หลังจากที่เจ้าของร้านหนังสือได้กลับไปยังฮ่องกง ก็มีการแถลงข่าวในเดือนมิถุนายน 2016 เผยว่าพวกเขาถูกทางการจีนคุมขังไว้ 8 เดือน โดยทีมสืบสวนกลางของรัฐบาลจีนนั้นมีส่วนเกี่ยวข้องภายใต้การควบคุมตรงจากผู้นำระดับสูงของปักกิ่ง ซึ่งจีนปฏิเสธข้อกล่าวหาทั้งหมด
ทั้งนี้ ช่วงต้นทศวรรษ 2010 ยังมีการปรากฏตัวของนักเคลื่อนไหวรุ่นเยาว์ในฮ่องกง ที่ต่อมากลายเป็นที่รู้จักไปทั่วโลกอย่าง โจชัว หว่อง ซึ่งเริ่มเคลื่อนไหวต่อต้านระบบการศึกษาแห่งชาติที่เขามองว่า ‘ล้างสมอง’ จากการพยายามแทรกเนื้อหาสอนเรื่องหน้าที่พลเมือง เพื่อเสริมสร้างความรู้สึกเป็นพลเมืองจีนให้แก่ชาวฮ่องกงตั้งแต่เด็กๆ
การเคลื่อนไหวของหว่องและกลุ่มเพื่อนร่วมชั้นเรียนนำมาสู่การเดินขบวนประท้วงใหญ่ในปี 2012 ที่มีผู้เข้าร่วมมากกว่า 1 แสนคน ทำให้หว่องและเพื่อนๆ ตกเป็นเป้าของทางการฮ่องกงและจีนแผ่นดินใหญ่
ต่อมาในเดือนกันยายน 2014 เป็นช่วงที่การเมืองฮ่องกงเริ่มจะคุกรุ่นขึ้น จากการที่เริ่มมีผู้ตั้งคำถามเกี่ยวกับระบบการเลือกผู้บริหารสูงสุดของฮ่องกง (Chief Executive) ซึ่งถือเป็นประชาธิปไตยไม่เต็มใบ และเริ่มทวงถามถึงสิทธิออกเสียงเลือกตั้งทั่วไปที่ชาวฮ่องกงสามารถเลือกผู้บริหารสูงสุดได้โดยตรง
กระทั่งเกิดการประท้วงใหญ่ที่เรียกว่าการปฏิวัติร่ม (Umbrella Revolution) ซึ่งหว่องและกลุ่มนักศึกษาเป็นผู้นำการประท้วงที่ยืดเยื้อกว่า 2 เดือน แต่การประท้วงจบลงหลังการสลายการชุมนุม โดยไร้การตอบรับหรือการประนีประนอมใดๆ จากรัฐบาลฮ่องกงและปักกิ่ง
สิ้นสุด 1 ประเทศ 2 ระบบ?
บรรยากาศทางการเมืองในฮ่องกงยิ่งทวีความรุนแรงในช่วงที่สีรับตำแหน่งประธานาธิบดีเป็นสมัยที่ 2 โดยเริ่มมีประเด็นเรื่องการเสนอร่างกฎหมายส่งผู้ร้ายข้ามแดน ที่เปิดทางให้ฮ่องกงสามารถส่งตัวผู้ต้องหาที่ทางการจีนต้องการตัวไปดำเนินคดีในจีนแผ่นดินใหญ่ได้
รศ.ดร.วาสนา ชี้ว่า กฎหมายส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดนดังกล่าวถือเป็นกฎหมายที่ทำให้ฮ่องกงสิ้นสุดเอกราชทางการศาล และไร้ซึ่งความเป็น 1 ประเทศ 2 ระบบ เนื่องจากทำให้สิทธิเสรีภาพใดๆ ของชาวฮ่องกงที่แตกต่างจากจีนแผ่นดินใหญ่ เช่น การเขียนหรือเผยแพร่ข้อมูลวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาล หรือการจัดกิจกรรมรำลึกเทียนอันเหมิน อาจกลายเป็นความผิดได้
ร่างกฎหมายฉบับนี้ยังเป็นชนวนให้เกิดการประท้วงที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ช่วงปลายปี 2019 ซึ่งการประท้วงทวีความรุนแรงจนทำให้รัฐบาลฮ่องกงถอนร่างกฎหมายออกไป
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่จีนนำมาแทนที่ในช่วงกลางปี 2020 และดูจะส่งผลร้ายต่อเสรีภาพของชาวฮ่องกงมากกว่าเดิมคือกฎหมายความมั่นคงฉบับใหม่ ซึ่งมีเนื้อหาชี้ว่า อะไรก็ตามที่ถือเป็นภัยต่อความมั่นคงของชาติและพรรคคอมมิวนิสต์จีน ก็สามารถถูกจับและดำเนินคดีได้ ส่งผลให้การเคลื่อนไหวหรือแสดงความคิดเห็นต่อต้านของประชาชนและพรรคการเมืองในฮ่องกงค่อยๆ หายไป และยังไม่มีการประท้วงใดๆ เกิดขึ้นอีกนับจากนั้น
การขึ้นครองอำนาจสมัยที่ 3 ของสีเมื่อปีที่แล้ว ยิ่งส่งผลให้แนวโน้มสถานการณ์ด้านสิทธิเสรีภาพตามหลักการ 1 ประเทศ 2 ระบบของฮ่องกงยิ่งถดถอย
โดยความพยายามรวบอำนาจมาไว้ที่ศูนย์กลางแบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาดของสีสะท้อนถึงการดำเนินการต่อฮ่องกงเช่นกัน มีการเพิ่มการจับกุมประชาชนที่เคลื่อนไหวต่อต้านเชิงสัญลักษณ์หรือแสดงความคิดเห็นในประเด็นละเอียดอ่อนใดๆ อีกทั้งผู้ว่าฮ่องกงคนใหม่คือ จอห์น ลี คา-ชิว (หลี่เจียเชา) ซึ่งเป็นอดีตตำรวจ ยิ่งทำให้ฮ่องกงคล้ายกับการเป็น ‘รัฐตำรวจ’ (Police State) มากขึ้นด้วย
นอกจากการปราบปรามการแสดงความคิดเห็นทางการเมือง ตั้งแต่ช่วงต้นทศวรรษ 2020 จีนยังเริ่มคุมเข้มธุรกิจในฮ่องกง โดยออกกฎหมายใหม่ที่ห้ามการเปิดเผยหรือส่งต่อข้อมูลที่อาจถือว่าเป็นข้อมูลที่ละเอียดอ่อนและมีผลต่อความมั่นคงของชาติ ซึ่งส่งผลให้ข้อมูลการดำเนินธุรกิจต่างๆ ของบริษัทสัญชาติจีนเป็นข้อมูลที่ไม่สามารถเปิดเผยได้ และทำให้การดำเนินธุรกิจของบริษัทต่างชาติในฮ่องกงยิ่งทำได้ยากขึ้น จนทำให้บริษัทต่างชาติ โดยเฉพาะบริษัทด้านสื่อจำนวนมากถอนตัวออกไปจากทั้งจีนและฮ่องกง
อนาคตฮ่องกงต่อจากนี้
สำหรับคำถามที่ว่า อนาคตเสรีภาพและการปกครองแบบกึ่งประชาธิปไตยของฮ่องกงหลังจากนี้ยังมีความหวังอยู่หรือไม่ รศ.ดร.วาสนา ให้คำตอบสั้นๆ แต่น่าคิดว่า ปัญหาทุกอย่างของจีนนั้นจะแก้ไขได้คือพรรคคอมมิวนิสต์ต้องยอมปรับเปลี่ยนเป็นแบบประชาธิปไตย และต้องไม่ใช่รัฐบาลภายใต้การนำของสี
“ถ้ายังเป็นรัฐบาลสี และยังเป็นเผด็จการของพรรคคอมมิวนิสต์จีนอยู่ ก็จะไม่มีอะไรดีขึ้น”
ส่วนปัญหาอื่นๆ อย่างสภาพเศรษฐกิจของฮ่องกง ตอนนี้ยังคงมีปัญหามาก โดยเฉพาะจากผลกระทบของวิกฤตอสังหาริมทรัพย์ในจีนช่วงที่ผ่านมา ซึ่งค่อนข้างสาหัส และรัฐบาลยังไม่มีนโยบายใดๆ ที่จะแก้ไขได้ ทำให้ทิศทางจากนี้น่าจะยังแย่ลงต่อไปอีก
“ปัญหาฮ่องกงมันเริ่มต้นจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีน คือถ้าจีนรวย ถ้ามีเงิน ทุกคนก็มีความสุข มันจะมีปัญหาถ้าหากเศรษฐกิจไม่ดีแล้วคนเริ่มวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาล”
ภาพ: Martin Henery / Anadolu via Getty Images
(https://thestandard.co/hong-kong-china-27-years-one-country-two-systems/)