สินค้าจีนจะทะลักเข้ามาขายในไทยมากขึ้นไหม หลังสงครามการค้าจีน-สหรัฐฯ ทวีความรุนแรงเมื่อ 7 ชั่วโมงที่แล้ว
บีบีซีไทย
สงครามการค้าระหว่างประเทศจีนและสหรัฐฯ ทวีความรุนแรงขึ้นหลังประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศวันนี้ (9 เม.ย.) เพิ่มอัตราภาษีสินค้านำเข้าของจีนเป็น 104% หลังทางการจีนปฏิเสธที่จะถอนภาษีนำเข้าสินค้าตอบโต้ต่อสหรัฐฯ อีกทั้งยังได้ประกาศเก็บภาษีสินค้าจากสหรัฐฯ ที่จะนำเข้าไปขายในจีนเป็น 84% ด้วยรายงานโดยธนาคารแห่งประเทศไทยชี้ว่า การตอบโต้ด้านภาษีระหว่างสองประเทศมหาอำนาจส่งผลให้การค้าระหว่างจีนกับสหรัฐฯ มีแนวโน้มลดลงและอาจทำให้จีนหันมาค้าขายกับกลุ่มประเทศอาเซียนมากขึ้น โดยประเทศไทยเป็นหนึ่งในหมุดหมายที่จีนอาจส่งสินค้าเข้ามาตีตลาดมากขึ้นด้วย
สำหรับประเทศไทย มีการนำเข้าสินค้าจากจีนเพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา แต่การส่งออกสินค้าไปยังประเทศจีนในช่วงเวลาเดียวกัน ไม่มีการปรับเพิ่มขึ้นมากนักตาม
สถิติของธนาคารแห่งประเทศไทย นอกจากนี้ โรงงานผลิตและผู้ประกอบการขนาดเล็กในประเทศไทย ยังมีรายงานการปิดตัวที่สูงขึ้นด้วย เนื่องจากเผชิญกับปัญหาความต้องการที่ลดลง และความแข่งขันรุนแรงจากสินค้านำเข้าหลายประเภท ตาม
รายงานจากศูนย์วิจัยกสิกรบีบีซีไทยพูดคุยกับผู้เชี่ยวชาญ ถึงปัจจัยที่อาจทำให้ประเทศจีนหันมาตีตลาดในไทยเพิ่มมากขึ้นหลังสงครามการค้ากับสหรัฐฯ ผลกระทบที่ประเทศไทยจะได้รับ และท่าทีที่ไทยควรมีในการตั้งรับต่อสถานการณ์ดังกล่าว
การผลิตสินค้าที่ล้นเกินของจีน
ดร.วิศิษฐ์ ลิ้มลือชา รองประธานกรรมการหอการค้าไทย ให้ข้อมูลกับบีบีซีไทย เกี่ยวกับสาเหตุหลักของการที่ประเทศจีนต้องการเปิดตลาดการส่งออกที่กว้างขึ้นว่า เกิดจากหลายปัจจัย โดยหนึ่งในนั้นคือการที่ประเทศจีนเป็นประเทศที่มีฐานการผลิตขนาดใหญ่ ทำให้มีข้อได้เปรียบในเรื่องของ การประหยัดทุนโดยเพิ่มขนาดของการผลิต (Economies of Scale) มาเป็นระยะเวลานาน แต่ด้วยสถานการณ์ปัจจุบันที่ประเทศจีนโดนกีดกันการส่งออกสินค้าไปในหลายประเทศจากการถูกขึ้นกำแพงภาษีนำเข้า เช่น จากสหรัฐฯ หรือชาติยุโรป ทำให้ธุรกิจจีนพบกับข้อจำกัดในการระบายสินค้า
"จีนผลิตสินค้าแต่ละรายการ มักจะมีความพยายามให้ได้การประหยัดทุนโดยเพิ่มขนาดของการผลิต (Economies of Scale) สูง ๆ ฉะนั้นในจังหวะที่กลุ่มเป้าหมายมีข้อจำกัดเลยทำให้ดูเหมือนจะเป็นการผลิตที่ล้นเกิน (overcapacity) ด้วย" ดร.วิศิษฐ์ ระบุ
ดร.สมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์ ประธานสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) ระบุใน
บทสัมภาษณ์กับสำนักข่าวไทยพีบีเอส ถึงกรณีการเกิดอุปทานส่วนเกินของประเทศจีนว่า รัฐบาลจีนมีการสนับสนุนเพื่อเร่งการผลิตของอุตสาหกรรมต่าง ๆ ในประเทศ ทำให้มีอัตราการลงทุนและการเปิดโรงงานการผลิตในประเทศเกิดขึ้นจำนวนมาก เช่น ฐานการผลิตแบตเตอรีของจีน ที่ในปี 2567 "ปริมาณการผลิตเรียกได้ว่า น่าจะสูงกว่าความต้องการของทั่วโลกมารวมกันประมาณสัก 4 เท่า"
ดร.กิริฎา เภาพิจิตร ผู้อำนวยการโครงการวิเคราะห์เศรษฐกิจเชิงลึก TDRI ให้สัมภาษณ์กับบีบีซีไทย เกี่ยวกับการที่ภาคธุรกิจจีนพยายามหาตลาดส่งออกใหม่ด้วยว่า "ปัญหาเศรษฐกิจของจีนเพิ่มมาในช่วง 2019-2020 ที่เศรษฐกิจจีนเริ่มชะลอ แล้วมาเจอกับโควิดอีก ซึ่งทำให้เศรษฐกิจเขาชะลอไปหลายปี เพราะฉะนั้นถ้าความต้องการสินค้า (demand) ทั้งในประเทศและนอกประเทศยังไม่ฟื้น ทำให้เขา[จีน]ต้องหาที่ขายของมากขึ้นกว่าเดิมอีก"
สินค้าจากจีนจะเข้ามาเทขายในไทยมากขึ้นไหม ?ในปี 2567 การค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนมีมูลค่าสูงกว่า 5.85 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 20 ล้านล้านบาท โดยสหรัฐฯ ขาดดุลทางการค้ากับจีนอยู่ที่ 2.95 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 10 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 5.8 % จากปี 2566 ตามสถิติจาก
หน่วยงานผู้แทนการค้าสหรัฐฯทั้งนี้
สินค้าจากจีนที่ส่งออกไปสหรัฐฯ มากที่สุด 5 ลำดับแรกคือ
- สมาร์ทโฟน 9%
- แล็ปท็อป 7%
- แบตเตอรี 3%
- ของเล่น 2%
- อุปกรณ์โทรคมนาคม 2%
บีบีซีไทยสอบถาม ดร.วิศิษฐ์ ถึงความเป็นไปได้ที่สินค้าจีนจะไหลเข้ามาในประเทศไทยมากขึ้นหลังสงครามการค้าระหว่างสองมหาอำนาจทวีความรุนแรงขึ้น โดยรองประธานกรรมการหอการค้าไทยกล่าวว่า "ยังมีแรงส่งต่อเนื่อง [ให้สินค้าจีนเข้ามาในไทย] เพราะจีนเองยังไม่ได้ตั้งเป้าหมายลดกำลังการผลิตอะไรชัดเจน ก็ยังพยายามฟื้นฟูเศรษฐกิจตัวเองด้วยการส่งออกอยู่ เพราะฉะนั้นก็ยังเห็นได้ว่ามีหลายสินค้า [จากจีนเข้ามาในไทย]"
เขากล่าวเสริมด้วยว่า การขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ทำให้สินค้าที่ผลิตในจีนไม่สามารถส่งเข้าสหรัฐฯ ได้เท่าเดิม เนื่องจากภาษีนำเข้าเพิ่มต้นทุนการผลิตต่อสินค้าจีน และทำให้ภาคธุรกิจจีนไม่สามารถสู้ในเรื่องการตั้งราคาสินค้าที่ต่ำได้ ดังนั้นจีนอาจส่งออกสินค้าไปประเทศอื่น ๆ มากขึ้นแทน
"ด้วยการขยับขึ้นภาษีของสหรัฐฯ ก็ส่งผลทำให้จีนไม่สามารถส่งสินค้าเข้าสหรัฐฯ ได้ หรือส่งได้ก็จำนวนน้อยลง เพราะฉะนั้นจีนเองมีกำลังการผลิตที่ค่อนข้างสูง โดยวิธีการที่ทางจีนทำคือ พยายามยังผลิตอยู่ แต่ต้องหาตลาดอื่นทดแทน และเมื่อสินค้าเข้าสหรัฐฯ ไม่ได้ ก็จะกระจายไปประเทศต่าง ๆ อย่างเกือบทุกประเทศในอาเซียน (ASEAN) ก็จะมีสินค้าจีนทะลักเข้าไปค่อนข้างเยอะ" ดร.วิศิษฐ์ ระบุ
นอกจากนี้ประเทศไทยอาจเป็นหนึ่งในหมุดหมายสำคัญที่จีนอาจส่งสินค้าเข้ามาเพิ่มมากขึ้นหลังส่งไปสหรัฐฯ ไม่ได้ในจำนวนเท่าเดิม โดยรองประธานกรรมการหอการค้าไทย ระบุว่า สาเหตุหนึ่งอาจมาจากการเติบโตของแพลตฟอร์มการซื้อขายสินค้าออนไลน์ (E-Commerce Platform) ซึ่งอำนวยความสะดวกผู้ประกอบการจีนให้สามารถเข้าถึงกลุ่มผู้บริโภคในไทยได้สะดวกรวดเร็วขึ้น
เช่นเดียวกับ ดร.กิริฎา ที่เห็นด้วยว่า การเติบโตของแพลตฟอร์มซื้อขายสินค้าออนไลน์ทำให้ไทยเป็นหนึ่งในตลาดส่งออกที่สำคัญของจีน โดยเฉพาะการส่งออกของสินค้าอุปโภคและบริโภคที่มีแนวโน้มมากขึ้น
"แพลตฟอร์มขายของออนไลน์ผ่านช่องทางอินเตอร์เน็ต ก็ทำให้การนำเข้าสินค้าจีนด้านอุปโภค บริโภค เพิ่มขึ้นได้ง่ายขึ้น โดยตัวเลขที่เห็นตั้งแต่ปี 2021 ตัวสินค้านำเข้าอุปโภคบริโภคจากจีนก็เพิ่ม" ดร.กิริฎา ระบุ
นอกจากนี้ ผู้อำนวยการโครงการวิเคราะห์เศรษฐกิจเชิงลึก TDRI ยังกล่าวกับบีบีซีไทยด้วยว่า นอกจากการที่จีนผลิตสินค้าได้ในจำนวนที่มากและราคาถูกแล้ว จีนยังมองเห็นความต้องการของสินค้าในประเทศไทยที่มากด้วยเช่นกัน "ถ้าเราไม่ต้องการสินค้าเขา เขาคงส่งเข้ามาไม่ได้... ต้องยอมรับว่าสินค้าจีน คุณภาพเขาโอเค และราคาก็ย่อมเยา ถ้าเทียบกับทางตะวันตกราคาจะย่อมเยากว่ามาก ฉะนั้นธุรกิจไทยเองก็ซื้อของจากจีนมากขึ้น"
สินค้าประเภทใดในไทยที่อาจโดนกระทบหนัก ?ประเทศไทยเป็นหนึ่งในชาติที่มีการทะลักของสินค้าจีนเข้ามาสูง โดยไทยขาดดุลการค้ากับจีนสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในปี 2566 โดยไทยขาดดุลการค้ากับจีนอยู่ที่ 3.66 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 1.2 ล้านล้านบาท ตามสถิติจากกระทรวงพาณิชย์ที่อ้างอิงในรายงานของ
ศูนย์วิจัยกสิกร
ทั้งนี้ 5 อันดับแรกของประเภทสินค้าหลักจากจีนที่ส่งออกมายังประเทศไทยในปี 2566 ได้แก่
- เครื่องใช้ไฟฟ้า 43.3%
- ผักผลไม้สด ปรุงแต่ง 10.0%
- เสื้อผ้า รองเท้า 9.3%
- เครื่องใช้ในบ้านและของตกแต่ง 9.1%
- ของใช้ในครัวและโต๊ะอาหาร 9.0%
รองประธานกรรมการหอการค้าไทย แสดงทัศนะกับบีบีซีไทยว่า ภาคส่วนที่อาจถูกกระทบหนักจากการไหลเข้ามาของสินค้าจีนที่มากขึ้นหลังสงครามการค้าระลอกล่าสุด คือภาคอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า และสินค้าจากภาคอุตสาหกรรม เช่น เหล็ก อลูมิเนียม รวมถึงเครื่องใช้ไฟฟ้าขนาดเล็ก ซึ่งปัจจุบันประเทศจีนทำได้ดีในการผลิตและการตลาด
"ถ้าในหมวดสินค้าอุตสหกรรม ก็คงเห็นชัดเจนว่า มีโอกาสมากที่ยานยนต์ประเภทไฟฟ้าจะเข้ามาทำตลาดในไทยได้มากขึ้น ถ้าเป็นพวกสินค้าอุตสาหกรรมก็น่าจะเป็นอุตสาหกรรมเกี่ยวข้องกับเหล็ก อลูมิเนียม ที่จะเข้ามาทำตลาดในไทยค่อนข้างเยอะ เนื่องจากต้นทุนทางการผลิต [ที่จีนได้เปรียบ]"
เช่นเดียวกับ ดร.กิริฎา ซึ่งระบุว่า ภาคส่วนการผลิตในไทยที่แข่งขันกับประเทศจีนโดยตรง เช่น พลาสติก เหล็ก ปิโตรเคมี หรือ ผ้าผืน เสี่ยงโดนผลกระทบจากการทะลักเข้ามาของสินค้าจีน เนื่องจากจีนสามารถผลิตสินค้าเหล่านี้ได้ในราคาที่ถูกกว่าไทย "ในคุณภาพเดียวกัน จีนทำได้ถูกกว่าเรา จริง ๆ คุณภาพที่ดีกว่าเรา สวยกว่าเรา เขาก็ทำถูกกว่าเรา เพราะฉะนั้นสินค้าพวกนี้เราจะสู้เขาไม่ได้ จะโดนกระทบโดยตรง"
SME ไทยจะได้รับผลกระทบก่อน เพราะสายป่านไม่ยาวพอเมื่อบีบีซีไทยสอบถามถึงภาคส่วนในไทยที่จะได้รับผลกระทบมากที่สุดหลังเกิดการทะลักของสินค้าจีนเข้ามาในไทย ดร.วิศิษฐ์ กล่าวว่า "คงหนีไม่พ้นผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม ที่มีสายป่านไม่ยาว หรือกำลังการผลิตไม่สูง ไม่สามารถที่จะลดราคาแข่งได้" พร้อมให้เหตุผลว่า ในช่วงเวลาที่เศรษฐกิจในประเทศไทยไม่ดีเช่นที่เป็นอยู่นี้ การแข่งขันด้านราคาถือเป็นเรื่องสำคัญ ทำให้ธุรกิจขนาดย่อมเผชิญความยากลำบากมากกว่าภาคส่วนอื่น ๆ
ความคิดเห็นข้างต้นของรองประธานกรรมการหอการค้าไทย สอดคล้องกับ
สถิติจากกรมโรงงานอุตสาหกรรม ซึ่งแสดงให้เห็นว่ามีโรงงานมากกว่า 1,234 โรงงานปิดตัวลงในปี 2567 ทำให้มีลูกจ้างตกงานกว่า 35,114 ราย นอกจากนี้ โรงงานขนาดเล็กที่มีขนาดลูกจ้างไม่เกิน 50 คน มีการปิดตัวที่เพิ่มมากขึ้น จากการวิเคราะห์โดย
ศูนย์วิจัยกสิกรนอกเหนือจากการเข้ามาของสินค้าจีนในไทยแล้ว ผู้เชี่ยวชาญจาก TDRI ยังคาดการณ์ถึงการย้ายฐานการผลิตมาในประเทศไทยของจีนที่อาจมีเพิ่มมากขึ้นด้วย เนื่องจากประเทศไทยไม่ได้โดนกีดกันการค้าจากประเทศอื่นมากนักเมื่อเทียบกับประเทศจีน
"ประเทศไหนที่เป็นกลางเข้ากันได้กับทุกคน สามารถจะส่งออกนำเข้า หรือว่ารับการลงทุนได้จากทุกฝ่าย ก็จะได้เปรียบเพราะเราไม่โดนกีดกัน และประเทศไทยก็เป็นหนึ่งในประเทศที่พยายามรักษาความเป็นกลางของเราเอาไว้ ก็น่าจะเป็นที่ ๆ นักลงทุนจะอยากเข้ามา" ดร.กิริฎา กล่าวกับบีบีซีไทย

ทั้งนี้ สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) กำหนดเกณฑ์ของบางภาคธุรกิจที่จะเข้ามาลงทุนในไทยและได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลว่า ต้องมีการใช้ชิ้นส่วนที่ถูกผลิตภายในประเทศไทย รวมถึงมีการจ้างงานคนไทย อีกด้วย
อย่างไรก็ตาม ดร.วิศิษฐ์ ย้ำว่าทางการไทยควรตรวจสอบในทางปฏิบัติของกฎเกณฑ์ดังกล่าวว่าเกิดขึ้นจริงมากน้อยแค่ไหน "ตามเป้าหมายของการส่งเสริมการลงทุนจะรวมเรื่องพวกนี้ไว้หมดเลยเพื่อการเกิดประโยชน์ต่อประเทศไทยเอง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการจ้างงาน เรื่องของความชำนาญ (know-how) เรื่องของเทคโนโลยีต่าง ๆ แต่ว่าในการปฏิบัติจริงนั้น อันนี้ต้องไปติดตามดูว่ามันได้ผลดีอย่างที่ตั้งเป้าไว้หรือเปล่า"
ไทยควรตั้งรับอย่างไรต่อสินค้าจีนราคาถูกที่หลั่งไหลเข้ามา ?
สี จิ้นผิง และ แพทองธาร ชินวัตร ณ กรุงปักกิ่ง วันที่ 6 ก.พ. 68
ก่อนหน้านี้กระทรวงการคลังได้มีความพยายามในการแก้ปัญหาสินค้าจีนที่ทะลักเข้ามาขายในไทย โดยการออกนโยบายจัดเก็บภาษีสินค้ามูลค่าเพิ่ม (VAT) 7% กับสินค้านำเข้าจากต่างประเทศที่มีมูลค่าต่ำกว่า 1,500 บาท เพื่อแก้ปัญหาความไม่เป็นธรรมในการขายตัดราคาระหว่างผู้ขายจากต่างประเทศที่ในอดีตไม่ต้องเสีย VAT กับผู้ขายในประเทศที่ต้องเสีย VAT
อย่างไรก็ดี ดร.วิศิษฐ์ มองว่านโยบายการขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่มของประเทศไทยต่อสินค้ามูลค่าต่ำนั้นไม่ได้มีประสิทธิภาพมากนักในการลดผลกระทบจากการทะลักเข้ามาของสินค้าจีน เนื่องจากอัตราการจัดเก็บภาษีอยู่ในระดับที่ต่ำจนแทบไม่กระทบกับการตั้งราคา
"[ผลลัพธ์] ยังไม่ค่อยชัดเจนมากนัก เพราะว่าอัตราการเก็บภาษีต่าง ๆ เหล่านี้ มันยังไม่ได้ทำให้ราคาของสินค้านั้นแตกต่างออกไป หรือสินค้าจีนก็จะมีการลดราคาลง หรือการไม่คิดค่าส่งเลย เช่นนี้เป็นต้น เป็นเรื่องที่ต้องไปดูให้ชัดว่าเขาทำได้อย่างไร" ดร.วิศิษฐ์ กล่าวกับบีบีซีไทย
รองประธานกรรมการหอการค้าไทย เสนอด้วยว่า ภาครัฐฯ ควรมุ้งเน้นไปที่การบังคับใช้กฎหมายเพื่อตรวจสอบมาตรฐานว่าสินค้าจีนที่เข้ามาในประเทศนั้นได้มาตราฐานและมีใบอนุญาตหรือไม่ "สินค้าที่เข้ามาแล้วมาตรฐานไม่ถึง[ต้อง]เข้าไม่ได้ และสินค้าที่ไม่มีในเรื่องของใบรับรองใบตรวจต่าง ๆ ที่เคยมีระบุไว้ ก็[ต้อง]เข้าไม่ได้"
ด้านนักวิชาการจาก TDRI มองว่า มาตรการตรวจสอบคุณภาพสินค้าต่าง ๆ เปรียบเสมือนการยื้อเวลาเท่านั้น "การชะลอสิ้นค้าจีนที่จะเข้ามาโดยการใช้มาตรฐานต่าง ๆ มากีดกันมาจับ อันนี้ที่เราทำอยู่เพื่อที่จะชะลอสินค้าจีน มองว่าเป็นการชะลอเท่านั้น เพราะว่าถ้าสินค้าเขาได้มาตรฐาน เราก็ต้องปล่อยให้เขาเข้ามา" ดร.กิริฎา ระบุ
ทั้งนี้ ดร.กิริฎา เสนอแนะว่า ภาคธุรกิจต้องมีการปรับตัว โดยพยายามที่จะไม่ผลิตสินค้าที่จะเป็นการสู้กับสินค้าจีนโดยตรง โดยเน้นไปที่การที่ธุรกิจไทยอาจต้องนำชิ้นส่วนการผลิตที่มีราคาถูกกว่าของจีนมาใช้ในการผลิตสินค้าเพื่อลดต้นทุน และต่อยอดผลิตภัณฑ์ ต่อยอดสินค้าที่จีนไม่สามารถทำได้ หรือการให้บริการออกแบบเฉพาะ (tailor-made)
"จีนเขาจะไม่เก่งในเรื่องการให้บริการออกแบบเฉพาะ (tailor-made) หรือการให้บริการ เขาจะเก่งในเรื่องการผลิตในจำนวนมาก (mass-production) เพราะฉะนั้นเราต้องใช้จุดแข็งของเขาเป็นประโยชน์เพื่อมาเสริมจุดแข็งของเรา" พร้อมเน้นย้ำด้วยว่าภาคธุรกิจจะต้องมีการปรับตัว และไม่ควรหวังคอยความช่วยเหลือจากรัฐบาล เนื่องจากอาจเป็นไปได้ยาก
"จะให้รัฐบาลมาปกป้องเนี่ยมันไม่ง่าย เพราะอย่างที่บอกว่าเราก็กลัวว่าเดี๋ยวจีนตอบโต้เรา เราก็ไม่อยากจะให้เงินเฟ้อขึ้น ประชาชนเดือดร้อน เรา [ภาคธุรกิจ] จึงต้องปรับตัวเอง" ดร.กิริฎา ระบุ
https://www.bbc.com/thai/articles/cq800yppg3zo