วันอาทิตย์, มีนาคม 23, 2568

“ซื้อหนี้เสีย”ออกจากระบบ…ดีหรือไม่? บรรยง พงษ์พานิช ยกตัวอย่างกรณีการขายหนี้ของปรส. เมื่อปี 2541เป็นอุทาหรณ์ เพื่อว่าจะได้ระมัดระวัง ไม่ให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอย


Banyong Pongpanich
14 hours ago
·
“ซื้อหนี้เสีย”ออกจากระบบ…ดีหรือไม่?
ขออนุญาตยกตัวอย่างกรณีการขายหนี้ของปรส. เมื่อปี 2541@…
หนี้เสีย(รวมดีบางส่วน)ของ 56 บริษัทเงินทุน รวมประมาณ 850,000 ล้านบาท ถูกประมูลขาย ได้เงินรวมประมาณ250,000 ล้านบาท ขาดทุนเกือบ600,000ล้าน
เป็นเพราะ…
1.มีการย้ายหนี้ ซึ่งข้อมูลเชิงลึก(nondocumented) และความสัมพันธ์ไม่ได้ย้ายตามไปด้วย
2. พวก Vulture funds(distressed asset investors)มีความเสี่ยงสูง จึงมีต้นทุนการเงินสูง มีrequired rate of return 20 - 25% และ leverageได้น้อย
3.ต้องมีการสร้างoperation ตั้งองค์กรเพิ่ม ทำให้เกิดหน่วยงานซ้ำซ้อน เพิ่มต้นทุนดำเนินการของระบบ
4.เกิดmoral hazard ในวงกว้างทันที เพราะทุกคนอยากเป็น NPL เพราะหวังว่าจะได้ลดหนี้ล้างหนี้โดยง่าย เกิด strategic NPLsอย่างมโหฬารขึ้นทันที หนี้ดีที่ปนอยู่กลายเป็น NPLทันที แถมลุกลามไปถึงสถาบันการเงินที่ยังดำเนินการอยู่ จนในที่สุด NPLของ
ระบบธนาคารไทยพุ่งไปมากกว่า 40% จนธนาคารเจ๊งไประนาว ความเสียหายของกองทุนฟื้นฟูพุ่งสูงจนเกิน 1.5 ล้านๆบาท
ส่วนผลการดำเนินงานของพวกvulture funds ในคราวนั้นก็จะเป็นดังนี้นะครับ พวกAMCs ของธนาคารเองมักจะได้เงินคืนมากสุด ตามด้วยAMCs ของเอกชน ส่วนของรัฐ(แหะๆ)ย่อมรั่วไหลหละหลวมเป็นธรรมดา ส่วน ประธานและเลขาธิการปรส.ก็เลยต้องสู้คดีเกือบยี่สิบปีทั้งๆที่ไม่ได้โกงสักบาท(ถ้ายังจะทำไม่ต้องมาตามผมนะครับ…คราวนั้นก็เกือบไปละ)
ที่เขียนนี่ไม่ได้คัดค้านนะครับ เพียงแค่ยกประสบการณ์ชาติให้ทราบ เพื่อว่าจะได้ระมัดระวังให้มากไว้ถ้ายังจะทำ
ก็ต้องออกแบบรายละเอียดมาตรการให้ดี ประวัติศาสตร์จะได้ไม่ซำ้รอย และผมก็ไม่ได้ประนามมาตรการเมื่อปี2541ด้วยนะครับ ออกจะเห็นด้วยๆซ้ำ แต่ต้นทุนมันสูง
อ้อ…สุดท้ายขออนุญาตเปรียบเทียบกับนโยบาย”จำนำข้าว” ที่ถึงจะเจตนาดี ทำให้ชาวนาได้รับประโยชน์ไปประมาณ 200,000 ล้านบาท แต่รัฐเสียหายไป500,000ล้าน ทั้งๆที่โกงกันแค่ไม่กี่หมื่นล้าน เพราะไปบิดเบือนระบบเกิดต้นทุนแฝง(ต้นทุนดำเนินการ+ข้าวเน่าข้าวเสีย) ต้องติดคุก โดนยึดทรัพย์กันระนาว ทั้งๆที่บางคนไม่ได้โกงด้วยซ้ำ

https://www.facebook.com/banyong.pongpanich/posts/2726490964220852
 

โด่ง อรรถชัยว่า "นี่คือ.. การอภิปรายครั้งสุดท้านในชีวิต ไม่กี่เดือนจากนี้ไป จะเป็นได้แค่ "สัมพเวสี" ทางการเมือง สติถึงได้แตก"


Somsak Jeamteerasakul
8 hours ago 
·
อภิปรายดีไม่ดีนั่นเรื่องหนึ่ง แล้วแต่คนฟัง
แต่การที่จะโดน ปปช.เล่นงาน เพราะเข้าชื่อเสนอแก้กฎหมาย 112 อย่างชอบธรรมนั้น มีแต่พวกต่ำช้าสถุลเท่านั้นจึงเห็นดีเห็นงามด้วย
.........................

"ไม่กี่เดือนจากนี้ไป จะเป็นได้แค่
"สัมพเวสี" ทางการเมือง
สติถึงได้แตก"

Te Neti
นี่น่าจะเป็นผลพวงจากการไปลี้ภัยอยู่แต่ในกัมพูชาเป็นเวลานาน ของโด่ง อรรถชัยไม่ได้ออกไปดูโลกกว้างที่ไหนเลย เลยซึมซับแต่ระบอบการเมืองกัมพูชาที่ชอบใช้วิธีการเล่ห์กลปิดปากฝ่ายค้าน

Khate Thitisawat
สู้เพื่อทักษิณจริงๆพวกนี้ ไม่ได้มีอุดมการณ์ห่านอะไรหรอก

Sila Kaewsila
ดูสถุนดี สมแล้วที่เชียร์พรรคนี้ สภาพ ดาราตกกระป๋อง ปล เพิ่งจะรู้ว่าเคยเป็นดาราด้วย ไม่ยักรู้จัก คนไม่ดังสินะ โถ่ๆๆ

https://www.facebook.com/photo/?fbid=9279289068790956&set=a.137616112958343
......

ต่อแต่นี้ เหลือเพื่อไทย หัวใจคือประชาชน (อาจมีทัดษิณบ้าง เป็นครั้งคราว)


วิวาทะ V2
10 hours ago
·
"พูดอีกที พูดอีกที ได้หรือเปล่า"

พรรคเพื่อไทย 
March 22, 2019
·
จากไทยรักไทยถึงเพื่อไทย
“หัวใจ คือ ประชาชน” เสมอ
เลือกตั้งพรุ่งนี้
อย่าลืม! เลือกเพื่อไทยมาแก้ปัญหาเศรษฐกิจ
นำความเป็นปกติสุขมาสู่ประเทศ
นำความกินดีอยู่ดีของพี่น้องกลับคืนมา
เลือกเพื่อไทยให้ถล่มทลาย
เพื่อความอยู่รอดของชีวิตพี่น้องคนไทยทุกคน


เลิกเพ้อเจ้อเรื่องซอฟต์พาวเวอร์ถ้าหยุดจีนสินค้าทะลักมาไทยไม่ได้ (นายกฯชวนคนไทยใส่กางเกงช้าง เล่นน้ำสงกรานต์)


นายกฯชวนคนไทยใส่กางเกงช้าง เล่นน้ำสงกรานต์




 https://x.com/skongki2000/status/1903062839453159820



The World of Faith being cause by Fear : บีบีซีได้รับโอกาสที่หาได้ยากในการเข้าถึง "ราติมา" หญิงที่ผู้ศรัทธาเรียกเธอว่า "มารดาแห่งปาฏิหาริย์" เพื่อเปิดเบื้องลึกเบื้องหลังในโลกแห่งศรัทธาและความกลัวนี้


Radhe Maa and India’s 'godmen': A look into faith, fear, and controversy | BBC News India

BBC News India

Mar 18, 2025 

Last year, over 120 people lost their lives in a crush at a religious gathering led by a self-proclaimed Indian 'godman'. India is home to many such figures, who claim divine powers - some of whom have faced allegations of misconduct, corruption, and even sexual assault. Yet, they continue to draw massive followings. The BBC's Divya Arya gained rare access to one of the few 'godwomen', Radhe Maa, to explore this complex world of devotion and fear. 

Reporter – Divya Arya 


ราติมา เป็นหนึ่งในผู้หญิงไม่กี่คนในปรากฎการณ์ "เทพมนุษย์" ที่เป็นที่ถกเถียงในอินเดีย

ดิฟยา อาร์ยา
แผนกภาษาฮินดี
เมื่อ 9 ชั่วโมงที่แล้ว

ราติมา (Radhe Maa) อ้างว่าสามารถสร้างปาฏิหาริย์ และผู้ศรัทธาเชื่อว่าเธอคือพระเจ้า เธอเป็นหนึ่งในหญิงไม่กี่คนในปรากฎการณ์ "เทพมนุษย์" ที่กำลังขยายตัวมากขึ้นและเป็นที่ถกเถียงในอินเดีย ซึ่งมีผู้ติดตามจำนวนมาก บีบีซีได้รับโอกาสที่หาได้ยากในการเข้าถึงเธอเพื่อเปิดเบื้องลึกเบื้องหลังในโลกแห่งศรัทธาและความกลัวนี้

กลุ่มสตรีที่ถือกระเป๋าหลุยส์วิตตองและกุชชี่ สวมเครื่องแต่งกายแบบดั้งเดิมสุดเก๋ พร้อมเครื่องประดับทองคำและเพชร เริ่มรวมตัวกันในเวลาเที่ยงคืนเพื่อรอฟังราติมา (Radhe Maa)

เธอไม่ชอบเวลาเช้าตรู่ เสื้อผ้าที่เรียบง่าย หรือคำเทศนายาว ๆ ไม่เหมือนกับผู้นำศรัทธาหลายคน และเธอเรียกตัวเองว่า "มารดาแห่งปาฏิหาริย์"

"ความจริงแล้วปาฏิหาริย์นั่นแหละคือสิ่งที่มีค่า ไม่เช่นนั้นคงไม่มีใครบริจาคเงินแม้แต่นิดเดียว"

"ปาฏิหาริย์เกิดขึ้นกับพวกเขา งานของพวกเขาสำเร็จแล้ว พวกเขาก็เลยบริจาค" ราติมาบอกกับฉัน

มีเรื่องราวเกี่ยวกับการที่เธอได้อวยพรให้คู่รักที่ไม่มีลูกจนให้กำเนิดทารก ช่วยหญิงที่เคยให้กำเนิดแต่เพียงลูกสาวได้มีลูกชายในท้ายที่สุด รักษาอาจารย์เจ็บป่วย และพลิกธุรกิจที่กำลังจะล้มให้กลับฟื้นคืนมา

การอ้างว่ามีพลังศักดิ์สิทธิ์ ไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะกับราติมา อินเดียยังมีกลุ่มบุคคลที่ถูกเรียกว่า "เทพมนุษย์" จำนวนมาก และแม้ว่าจะไม่มีใครเก็บสถิติว่ามีจำนวนที่แท้จริงเท่าไหร่ แต่ดูเหมือนจะมีจำนวนเพิ่มขึ้นทุกปี

บางคนถูกกล่าวหาว่ากระทำความผิด คอร์รัปชัน หรือแม้กระทั่งการล่วงละเมิดทางเพศ ราติมาเองก็ต้องเผชิญกับข้อกล่าวหาว่าเธอใช้มนต์ดำ และช่วยจัดแจงการจ่ายสินสอด ซึ่งเป็นเรื่องผิดกฎหมายในอินเดีย แต่หลังการสืบสวนของตำรวจ คดีดังกล่าวถูกยกฟ้อง

แม้จะเป็นเช่นนั้น แต่ผู้ศรัทธาหลายพันคนยังคงแห่แหนกันไปพบเทพมนุษย์ทั้งชายและหญิงเหล่านี้ ในปีที่ผ่านมา มีครั้งหนึ่งเกิดการเบียดเสียดกันงานชุมนุมลักษณะนี้จนทำให้มีผู้ชีวิตไปมากกว่า 120 คน


ผู้ติดตามราติมาจำนวนมาก มาจากครอบครัวนักธุรกิจที่ร่ำรวย

"ชาวอินเดียส่วนมากเติบโตมาในครอบครัวที่เชื่อว่า พลังศักดิ์สิทธิ์สามารถบรรลุได้ด้วยการนมัสการ การทำสมาธิ หรือการสวดมนต์ และใครก็ตามที่บรรลุจะสามารถสร้างปาฏิหาริย์ได้" ศ.ชยาม มานาฟ (Shyam Manav) ผู้นำองค์กรต่อต้านความเชื่อทางไสยศาสตร์ระดับแถวหน้าของอินเดีย "ABANS" ระบุ

"บุคคลดังกล่าวจะถือว่าเป็นเหมือนกับพระเจ้า หรือเทพมนุษย์ชายหรือหญิง"

แม้จะมีทัศนะที่แพร่หลายว่าบุคคลที่ได้รับอิทธิพลจากแนวความคิดแบบนี้เป็นคนจน ไม่มีการศึกษา และถูกหลอกได้ง่าย แต่ราติมากลับเป็นที่เคารพนับถือในบรรดาผู้มีการศึกษาสูงมากมายจากครอบครัวนักธุรกิจร่ำรวย

ฉันได้พบกับ พุชพินเดอร์ ภาเทีย (Pushpinder Bhatia) บัณฑิตจากสถาบันบริหารธุรกิจซาอิด มหาวิทยาลัยออกซฟอร์ด (Oxford University's Saïd Business School) ผู้ดำเนินธุรกิจที่ปรึกษาทางการศึกษา ขณะที่เขาเข้าแถวอยู่กับกลุ่มผู้หญิงเพื่อรอพบเทพมนุษย์ เขาบอกกับฉันว่าเขาไม่เคยคิดมาก่อนว่าเขาจะลงเอยมาเป็นผู้ติดตาม "พระเจ้าที่มีกายเนื้อ"

"คือแรกเริ่มเลยก็มีคำถามว่า 'พระเจ้าจะลงมา[จุติ]ในร่างมนุษย์ได้หรือ นี่เป็นความจริงหรือไม่ เธอจะสามารถให้พรที่จะเปลี่ยนชีวิตคุณได้จริงหรือ สิ่งที่เรียกกันว่าปาฏิหาริย์เกิดขึ้นได้อย่างไร'" เขากล่าว

แต่ภาเทียได้มาพบกับราติมาหลังจากเกิดโศกนาฏกรรมอย่างหนึ่งขึ้นในครอบครัวของเขา

แม้บางคนจะบอกว่าขณะนั้นเขาอยู่ในช่วงเปราะบาง แต่เขารู้สึกว่าได้รับความใส่ใจจากเธอจริง ๆ

"ผมคิดว่า [ใน] ดาร์ชัน [การเข้าพบ] ครั้งแรกของผม ผมถูกดึงดูดด้วยออร่าที่เธอมี ผมคิดว่าเมื่อคุณมองทะลุผ่านร่างมนุษย์ที่เธอมี คุณจะเชื่อมต่อได้ในทันที"


พุชพินเดอร์ ภาเทีย บัณฑิตจากสถาบันบริหารธุรกิจซาอิด มหาวิทยาลัยออกซฟอร์ด บอกกับบีบีซีว่า เขาถูก "ดึงดูดด้วยออร่าของราติมา"

ผู้ศรัทธาในห้องสีทองและแดง

การดาร์ชัน (เข้าพบ) กับราติมา คือช่วงเวลาที่ผู้ศรัทธาเฝ้ารอ และฉันได้เห็นหนึ่งเหตุการณ์ที่ถูกจัดขึ้นตอนเที่ยงคืนในบ้านพักส่วนตัวหลังหนึ่งที่กรุงเดลี

ท่ามกลางผู้ศรัทธาหลายร้อยคน มีนักธุรกิจที่มีชื่อเสียง และครอบครัวของนายตำรวจระดับสูงมาก ที่เดินทางโดยเครื่องบินเพื่อมาดูเข้าพบเธอโดยเฉพาะ

ฉันอยู่ที่นั่นเพื่อสังเกตการณ์และรายงานในฐานะผู้สื่อข่าว แต่ถูกบอกให้ต้องรับพรจากเธอก่อน ฉันถูกผลักไปข้างหน้าให้ต่อแถวยาว จากนั้นก็ถูกแนะนำว่าจะต้องภาวนาอย่างไร และถูกเตือนว่าจะเกิดอันตรายขึ้นกับครอบครัวหากฉันปฏิบัติไม่ถูกต้อง

ในห้องสีแดงและทอง ซึ่งเป็นสีโปรดของราติมานั้น เธอใช้ดวงตาของเธอสั่งการทุกอย่าง

ช่วงหนึ่งมีความสุข ขณะที่อีกช่วงโกรธเกรี้ยว ความโกรธของเธอดูเหมือนจะถ่ายโอนไปยังหนึ่งในลูกศิษย์ ซึ่งดูเหมือนจะเข้าสู่ภวังค์อย่างอธิบายไม่ได้ ทั้งห้องเงียบลงเมื่อศิษย์หญิงคนนั้นเริ่มทรุดลงกับพื้นและบิดร่างกายไปมา

แต่เพียงไม่กี่นาทีจากนั้น หลังจากบรรดาสาวกของราติมาร้องขอการให้อภัยจากเธอ เสียงเพลงบอลลีวูดที่คุ้นหูก็เริ่มบรรเลง และเธอเริ่มเต้นรำ ซึ่งเป็นสัญญาณว่าความสงบเรียบร้อยได้กลับคืนมาแล้ว และแถวของกลุ่มผู้ศรัทธาก็เริ่มขยับอีกครั้ง


พีธีการเข้าพบราติมาของบรรดาสาวก เกิดขึ้นในห้องสีแดงและทอง ซึ่งเป็นสีโปรดของเธอ

การกลายเป็น 'เทพมนุษย์'

บ้านเกิดของราติมาอยู่ในแคว้นปัญจาบ ทางตอนเหนือของอินเดีย

ตอนที่เกิดเธอมีชื่อเรียกว่า สุขวินเดอร์ คัวร์ (Sukhwinder Kaur) เกิดในครอบครัวชนชั้นกลางในหมู่บ้านธรรมดา ๆ แห่งหนึ่ง เธออ้างว่าเธอบรรลุพลังศักดิ์สิทธิ์ หลังจากได้รับมนต์จากกูรู (guru) ท่านหนึ่ง

"เหมือนกับเด็กทั่วไปที่อยากจะเป็นนักบินหรือหมอ ราติมามักจะถามเสมอว่า 'ฉันเป็นใคร' พ่อของพวกเราก็เลยพาเธอไปหากูรู [ด้านความเชื่อ] ที่มีชื่อเสียงคนหนึ่ง ซึ่งเขาประกาศว่าเธอเป็นเทพธิดาในร่างมนุษย์" ราจินเดอร์ คัวร์ (Rajinder Kaur) พี่สาวของราธิ มา ระบุ

เธอบริหารวัดซึ่งมีเพียงหนึ่งห้องในชื่อของราติมา วัดดังกล่าวสร้างขึ้นโดย โมฮัน ซิงห์ (Mohan Singh) สามีของเธอ จากเงินออมที่เขารวบรวมจากการทำงานในต่างประเทศ

"เราเรียกเขาว่า 'พ่อ' เธอคือมารดาของพวกเรา ดังนั้นเขาจึงเป็นบิดา" ราจินเดอร์ กล่าว
เมื่อเธออายุราว 20 ปี ขณะที่สามีของเธออยู่ต่างประเทศ ราติมาทิ้งลูกชาย 2 คนของเธอให้อยู่ในการดูแลของพี่สาว และเริ่มอาศัยอยู่ในบ้านของผู้ศรัทธา ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเหล่านักธุรกิจ

เธอย้ายที่อยู่อาศัยเรื่อย ๆ ไปยังเมืองต่าง ๆ จนกระทั่งไปถึงนครมุมไบ เมืองหลวงทางธุรกิจของอินเดีย ซึ่งเธอใช้เวลากว่าทศวรรษอาศัยในบ้านของนักธุรกิจ ก่อนที่จะกลับไปหาครอบครัวในท้ายที่สุด

บรรดาผู้ศรัทธาที่เธอไปพักอาศัยอยู่ในบ้านของพวกเขาตลอดช่วงหลายปีที่ผ่านมา อ้างว่าพวกเขาประสบกับความเจริญรุ่งเรืองหลังจากนั้น พวกเขาเป็นผู้ติดตามที่ช่วยกระจายชื่อเสียงให้เธอมากที่สุด

เธออยู่ในโลกที่แปลกประหลาด ที่ซึ่งความศักดิ์สิทธิ์อยู่ร่วมกับสายใยแห่งการครอบครองและความสัมพันธ์ทางโลก

ปัจจุบันราติมาอาศัยอยู่ในคฤหาสน์หลังใหญ่ที่สร้างขึ้นโดยลูกชาย 2 คนของเธอ ซึ่งเป็นผู้ประกอบการที่ประสบความสำเร็จและแต่งงานกับครอบครัวนักธุรกิจ แต่ในชั้นที่พักของเธอซึ่งแยกส่วนจากห้องพักอาศัยต่าง ๆ ถูกจัดไว้ให้เฉพาะสำหรับการพบปะเหล่าสาวกของเธอ หรือไม่เธอก็บินไปยังเมืองอื่น ๆ เพื่อปรากฏตัวต่อสาธารณะ


วัดในชื่อของราติมาถูกสร้างขึ้นโดยสามีของเธอ โมฮัน ซิงห์

"ประการแรก เธอไม่ได้อยู่กับเรา เราโชคดีที่ได้อาศัยอยู่ในชาราน [ที่ลี้ภัย] ของเธอพร้อมกับกริปา [พระคุณ] ของเธอ" เมฆา ซิงห์ ลูกสะใภ้ของเธอ ซึ่งดูแลการปรากฏตัวต่อหน้าสาธารณะทั้งหมดของเธอ กล่าว "ประการที่สอง เธอไม่ได้มองเราเป็นครอบครัวแต่เป็นสาวก"

เงินบริจาคของราติมาก็ถูกบริหารจัดการโดยครอบครัวของเธอและผู้ศรัทธาที่อยู่ในวงใกล้ชิด

"เงินบริจาคที่เธอได้รับจะถูกนำไปใช้ในกลุ่มสังคมที่ดำเนินการโดยผู้ศรัทธาของเธอ ซึ่งพวกเขาจะพิจารณาคำร้องขอจากผู้ที่ต้องการ ก่อนที่จะจัดสรรเงินหรือของขวัญให้ ขณะที่ตัวของราติมาเองอยู่เหนือวัตถุนิยมเหล่านี้มาก" เมฆา ซิงห์ กล่าว

อย่างไรก็ตาม เทพมนุษย์หญิงผู้นี้ชื่นชอบเครื่องแต่งกายและเครื่องประดับที่ปราณีต

"ฉันชอบสวมชุดที่สวยงามและทาลิปสติกสีแดง อย่างที่ผู้หญิงแต่งงานแล้วทุกคนควรจะทำ แต่ฉันไม่ชอบแต่งหน้า" ราติมาเปิดเผย ทว่าเธอแต่งหน้าค่อนข้างจัด

"คุณสามารถสรรหาชุดเดรสที่เหมาะที่สุดให้กับไอดอลของคุณได้เสมอ แล้วทำไมไม่ทำให้กับพระเจ้าที่มีชีวิต? พวกเรารู้สึกปิติมากที่มีเธอ และพวกเรารู้สึกปิติที่ได้รับใช้เธอ" เมฆา ซิงห์ กล่าวเสริม

ในปี 2020 ราติมาปรากฏตัวในรายการทีวีเรียลลิตี้ "บิ๊ก บราเธอร์" (Big Brother) เวอร์ชั่นอินเดีย เพื่อให้พรในบ้านของผู้เข้าแข่งขัน เธอโดดเด่นด้วยชุดสีแดงอันเป็นเอกลักษณ์ และถือตรีศูลทองคำ

ภาพลักษณ์ของเธอในปัจจุบัน แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงกับภาพถ่ายของหญิงสาวธรรมดาคนหนึ่ง ที่เหล่าผู้ศรัทธาเคยให้ฉันดูในขณะที่ฉันเดินทางไปที่รัฐปัญจาบ

หนึ่งในนั้นคือ ซานโตช กุมารี ที่วางรูปของราติมาไว้แท่นบูชาภายในบ้าน เธอบอกกับฉันว่าความศรัทธาของเธอมีต้นกำเนิดจากพรที่เธอได้รับขณะที่สามีเข้าโรงพยาบาลด้วยอาการหัวใจวาย ซึ่งต่อมาเขาฟื้นตัวได้

"มีเลือดไหลออกจากปากของเธอ เธอใช้มันแทนผงสีแดงแต้มมันที่ฉันและบอกว่า 'ไม่มีเรื่องร้ายใดจะเกิดขึ้น สามีของเธอจะได้รับการรักษา'" เธอบอกกับฉัน

เป็นเรื่องน่าประหลาดใจสำหรับฉัน ที่มีผู้ศรัทธาของราติมาหลายคนพูดถึงเรื่องที่มีเลือดไหลออกจากลิ้นของเธอ ซึ่งพวกเขาเชื่อว่าเป็นผลมาจากพลังศักดิ์สิทธิ์

กุมารี เป็นหนึ่งในหญิงราว 500 คน ที่จำนวนมากเป็นแม่หม้าย ที่ได้รับบำนาญรายเดือน เดือนละ 1,000 – 2,000 รูปี (ราว 394 – 789 บาท) จาก "สมาคมการกุศล ชรี ราติมา" (Shri Radhe Maa Charitable Society)

ผู้ได้รับผลประโยชน์เงินบำนาญคนอื่น ๆ ก็เล่าเรื่องราวปาฏิหาริย์อย่างระมัดระวัง แต่บางครั้งก็มีคำเตือนตามมาด้วย


ผู้ศรัทธาบางคนวางรูปของราติมาไว้บนแท่นบูชาภายในบ้าน

ความหวาดกลัว

"เราไม่สามารถพูดอะไรเกี่ยวกับเธอได้เพราะมันอาจจะเป็นอันตรายต่อพวกเรา ถ้าฉันไม่จุดตะเกียงให้กับเธอ มันจะก่อให้เกิดอันตรายบางอย่าง ฉันจะล้มป่วย" หนึ่งในผู้ศรัทธา สุรจิต คัวร์ ระบุ

สุรจิตจุดตะเกียงให้กับราติมาในทุกวันโดยไม่เคยว่างเว้น เธอเชื่อมั่นในพลังอันศักดิ์สิทธิ์ของเทพมนุษย์หญิงผู้นี้

ศ.มานัฟ อธิบายว่า สิ่งนี้คือความกลัวของผู้ศรัทธาว่าจะสูญเสียพรจากเทพมนุษย์

"กฎแห่งความน่าจะเป็นสะท้อนว่าการคาดการณ์บางอย่างจะเป็นจริง และเทพมนุษย์จะได้รับความน่าเชื่อถือจากสิ่งนั้น แต่เขากลับไม่สูญเสียความน่าเชื่อถือเมื่อทำนายผิดพลาด ซึ่งจะกลายเป็นความผิดของตัวผู้ศรัทธาเองที่สวดภาวนาหรือมีความศรัทธาไม่เพียงพอ รวมทั้งอาจเป็นความโชคร้ายได้ด้วย" เขากล่าว

มีผู้คนจำนวนพอสมควรที่ฉันพบในงานพิธีสาธารณะของราติมา ที่แสดงออกอย่างเปิดเผยถึงความไม่เชื่อว่าพลังของเธอจะสร้างปาฏิหาริย์

หนึ่งในนั้นเรียกคำกล่าวอ้างนี้ว่าเป็น "เรื่องราวในจินตนาการ" และคนอื่น ๆ ชี้ถึงการแต่งหน้าและการแต่งกายที่แปลกตาของเธอ ว่านั่นไม่ใช่สิ่งที่ทำให้คนกลายเป็นเทพเจ้า พร้อมกับเสริมว่าพวกเขาไม่เคยเห็นหลักฐานว่ามีปาฏิหาริย์ใด ๆ ด้วยตาของตัวเอง

แต่พวกเขาก็ยังมาร่วมงานพิธีสาธารณะของราติมา พวกเขามองว่าเธอ "ทำให้เพลิดเพลิน" และอยากจะเจอตัวจริงหลังจากที่ได้ดูเธอผ่านรายการทีวีเรียลลิตี้

ระหว่างการหาข้อมูลของฉัน ฉันได้พบกับอดีตผู้ติดตามของราติมาจำนวนหนึ่งที่บอกว่าการทำนายของเธอไม่เป็นจริง และกล่าวหาว่ามันทำให้เกิดอันตรายด้วย แต่พวกเขาไม่ต้องการให้ระบุตัวตน

มันเพิ่มความอยากรู้อยากเห็นของฉัน เกี่ยวกับบรรดาผู้ศรัทธาของเธอ ความเชื่อของพวกเขาในความเป็นพระเจ้าของเธอ และการยอมรับใช้ของพวกเขา


ราติมาอาศัยอยู่ในคฤหาสน์กับลูกชายของเธอและภรรยาของพวกเขา

ศรัทธาหรือความเชื่องมงาย

เย็นวันหนึ่งฉันรู้สึกตกใจเมื่อเห็นราติมา ร้องขอผู้ติดตามใกล้ชิดของเธอ ผู้ซึ่งนั่งอยู่กับพื้น ให้เลียนเสียงสัตว์ และพวกเขาก็ทำตาม

เธอขอให้พวกเขาทำตัวเหมือนกันสุนัขและลิง แล้วพวกเขาก็เห่าและหอน รวมถึงทำท่าทางแกะเกา

ฉันไม่เคยเห็นอะไรแบบนี้มาก่อน

ลูกสะใภ้ของราติมา เมฆา ซิงห์ อยู่ในห้องนั้นด้วย ฉันขอให้เธอช่วยอธิบายว่าทำไมพวกเขาจึงแสดงท่าทางแบบนั้น

เธอดูไม่แปลกใจใด ๆ เลยแม้แต่น้อย

เธอบอกว่าเทพมนุษย์หญิงผู้นี้อาศัยในขอบเขตห้องของเธอมากว่า 30 ปี

"นี่ก็เลยเป็นแหล่งความเพลิดเพลินเดียวที่เธอมี" เธออธิบาย "เราพยายามเล่าเรื่องตลกเล็ก ๆ น้อย ๆ หรือเราแค่พยายามทำให้เธอหัวเราะจากการแสดงท่าทางแบบนี้"

มันทำให้ฉันนึกถึงคำเตือนที่ฉันได้รับซ้ำแล้วซ้ำเล่า ว่าผู้ศรัทธาจะต้องเชื่ออย่างสมบูรณ์และไม่มีเงื่อนไข

เหมือนกับตอนที่ฉันเคยถามพุชพินเดอร์ สิงห์ หนึ่งในผู้ศรัทธา ว่าราติมาร้องขออะไรจากผู้ติดตามของเธอบ้าง

"ไม่มี นอกจากที่เธอพูดว่า 'เมื่อคุณมาหาฉัน จงมาด้วยความเชื่อและใจที่เปิดกว้าง' ผมเห็นมันมาแล้ว เมื่อผู้คนมาหาเธอด้วยความคิดแบบนั้น เธอสร้างปาฏิหาริย์ให้กับพวกเขา แต่หากคุณไปหาเพื่อจะทดสอบเธอ ผมคิดอย่างสุภาพและเป็นมิตรนะ ว่าคุณจะไม่สามารถเป็นส่วนหนึ่งของซานกัต [กลุ่มผู้เชื่อ] ได้อีกต่อไป" เขาตอบคำถาม

สิ่งที่พวกเขาพยายามบอกกับฉัน คือเพื่อศรัทธา จะต้องยอมจำนนต่อเหตุผลทั้งหมด

ขณะที่ ศ.มานัฟ มองว่าการอุทิศตัวอย่างไม่มีคำถามโดยสมบูรณ์นี้เอง คือองค์ประกอบหนึ่งที่สร้าง "ความเชื่องมงาย"

"เราถูกสอนว่าปัญญาจะต้องได้มาจากการยึดมั่นเชื่อถือในผู้นำทางความเชื่อของคุณเท่านั้น ใครก็ตามที่สงสัยในตัวเขา หรือพยายามจะทดสอบเขา จะสูญเสียความศรัทธาและสูญเสียการได้รับพร"

ไม่ว่าจะด้วยความเชื่องมงายหรือความศรัทธา ราติมาเชื่อว่าผู้ติดตามของเธอจะไม่ไปไหน

และเธอกล่าวด้วยว่า เธอไม่หวั่นไหวกับคนที่บอกว่าเธอเสแสร้ง

"ฉันไม่สนใจ" เธอพูดด้วยรอยยิ้ม

"เพราะพระเจ้ามองฉันอยู่จากด้านบน และให้การดูแลฉันอยู่" เธอกล่าวทิ้งท้าย

https://www.bbc.com/thai/articles/cdx2899dg8zo
https://www.youtube.com/watch?v=jcPAVU_rosw


35 องค์กรภาคประชาสังคมในภูมิภาคเอเซียแปซิฟิก เรียกร้องคณะกรรมาธิการระหว่างรัฐบาลอาเซียนว่าด้วยสิทธิมนุษยชน (AICHR) ให้ตรวจสอบรัฐบาลไทย กรณี ส่งตัวผู้ลี้ภัยชาวอุยกูร์ 40 รายกลับจีน



35 องค์กรภาคประชาสังคม เรียกร้องตรวจสอบกรณีไทยส่งชาวอุยกูร์กลับจีน

22 มีนาคม 2568
ประชาไท

35 องค์กรภาคประชาสังคมในภูมิภาคเอเซียแปซิฟิก เรียกร้องคณะกรรมาธิการระหว่างรัฐบาลอาเซียนว่าด้วยสิทธิมนุษยชน (AICHR) ให้ตรวจสอบการบังคับส่งตัวผู้ลี้ภัยชาวอุยกูร์ 40 รายกลับประเทศจีนโดยรัฐบาลไทย

เครือข่ายปฏิรูปการโยกย้ายถิ่นฐาน (TMR Thailand) แจ้งข่าวว่า เมื่อวันที่ 20 มี.ค. 2568 35 องค์กรภาคประชาสังคมในภูมิภาคเอเซียแปซิฟิก เรียกร้องคณะกรรมาธิการระหว่างรัฐบาลอาเซียนว่าด้วยสิทธิมนุษยชน (AICHR) ให้ตรวจสอบการบังคับส่งตัวผู้ลี้ภัยชาวอุยกูร์ 40 รายกลับประเทศจีนโดยรัฐบาลไทย โดยรายละเอียดของจดหมายเรียกร้องมีดังนี้

เรียน ประธานคณะกรรมาธิการระหว่างรัฐบาลอาเซียนว่าด้วยสิทธิมนุษยชน (AICHR)
สำเนาเรียน ผู้แทนประเทศไทยในคณะกรรมาธิการระหว่างรัฐบาลอาเซียนว่าด้วยสิทธิมนุษยชน (AICHR)

กรุงเทพมหานคร, 20 มีนาคม 2568

เรียน ฯพณฯ

เราหวังว่าท่านจะได้รับสารฉบับนี้ด้วยความเรียบร้อย เราขอแสดงความกังวลอย่างยิ่งเกี่ยวกับการส่งตัวชาวอุยกูร์จำนวน 40 รายกลับประเทศโดยรัฐบาลไทยไปยังสาธารณรัฐประชาชนจีน ซึ่งเป็นการกระทำที่ก่อให้เกิดภัยคุกคามร้ายแรงต่อชีวิตและความเป็นอยู่ของบุคคลเหล่านั้น และเป็นการบั่นทอนการคุ้มครองระหว่างประเทศและหลักนิติธรรม เราขอเรียกร้องให้ท่านใช้อำนาจทางการทูตของท่าน รวมทั้งริเริ่มและสนับสนุนการสอบสวนกรณีการส่งกลับที่น่าเป็นห่วงนี้

เราเข้าใจว่าบุคคลเหล่านี้ได้ยื่นขอความคุ้มครองระหว่างประเทศในฐานะผู้ลี้ภัยกับองค์การสหประชาชาติทั้งหมด และด้วยเหตุนี้ พวกเขาควรได้รับการคุ้มครองพิเศษในฐานะผู้ขอลี้ภัย น่าเสียดายที่การบังคับส่งกลับประเทศของพวกเขาเป็นที่ปรากฏว่าจะละเมิดกฎหมายของประเทศไทย(1) กฎหมายระหว่างประเทศ(2) และพันธกรณีของประเทศไทยภายใต้ปฏิญญาสิทธิมนุษยชนอาเซียน

ในแง่ของพัฒนาการเหล่านี้ และโดยอาศัยอำนาจของคณะกรรมาธิการระหว่างรัฐบาลอาเซียนว่าด้วยสิทธิมนุษยชน—ตามที่ระบุไว้ในย่อหน้า 4.10 ซึ่งกำหนดให้คณะกรรมการรับข้อมูลจากรัฐสมาชิกอาเซียนเกี่ยวกับการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชน—เราขอเรียกร้องให้ AICHR ดำเนินมาตรการที่เหมาะสมเพื่อทบทวนการกระทำของประเทศไทย แม้เราจะตระหนักว่าปฏิญญาสิทธิมนุษยชนอาเซียนไม่มีผลผูกพันทางกฎหมาย แต่เราเชื่อว่าการกระทำของประเทศไทยสมควรได้รับการทบทวนอย่างละเอียดถี่ถ้วน เพื่อให้แน่ใจว่าสอดคล้องกับพันธสัญญาร่วมกันของภูมิภาคในการคุ้มครองสิทธิมนุษยชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเราขอให้มีการตรวจสอบอย่างละเอียดในมาตราต่อไปนี้

ข้อบทที่ 11: บุคคลทุกคนมีสิทธิในชีวิตที่มีมาแต่กำเนิด อันเป็นสิทธิที่จะต้องได้รับการคุ้มครองโดย กฎหมาย บุคคลใดจะถูกพรากชีวิตมิได้ เว้นแต่เป็นไปตามกฎหมาย

ข้อบทที่ 12: บุคคลทุกคนมีสิทธิในเสรีภาพและความปลอดภัยส่วนบุคคล บุคคลใดจะถูกจับกุม ค้น กักขัง ลักพาตัว หรือถูกพรากอิสรภาพในรูปแบบอื่นใดโดยอำเภอใจมิได้

ข้อบทที่ 14: บุคคลใดจะถูกกระทำทรมาน หรือถูกปฏิบัติหรือลงโทษที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรมหรือ ย่ำยีศักดิ์ศรีมิได้

ข้อบทที่ 16: บุคคลทุกคนมีสิทธิที่จะแสวงหาและได้รับที่ลี้ภัยในอีกรัฐหนึ่งตามกฎหมายของรัฐนั้น และข้อตกลงระหว่างประเทศที่ใช้อยู่

เราขอเรียกร้องอย่างยิ่งให้ AICHR มีส่วนร่วมกับรัฐบาลไทยในความพยายามร่วมกันเพื่อปกป้องสิทธิของบุคคลเหล่านี้และป้องกันความเสียหายเพิ่มเติม โดยเป็นสิ่งสำคัญที่จะต้องดำเนินการทันที เพื่อให้แน่ใจว่าพวกเขาได้รับการคุ้มครองตามมาตรฐานสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศและพันธกรณีของประเทศไทย ภายใต้กฎหมายภายในประเทศและกฎหมายระหว่างประเทศ

การส่งกลับประเทศซึ่งเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2568 ได้สร้างความตื่นตระหนกทั่วอาเซียน ภายใต้การปฏิบัติการอำพรางในยามวิกาล ชาวอุยกูร์ 40 คนถูกขนส่งโดยรถบรรทุกปิดทึบ หลังจากที่รัฐบาลไทยได้ปฏิเสธว่าพวกเขาจะถูกส่งกลับประเทศ(3) แม้จะมีความกังวลอย่างแพร่หลายก่อนหน้านี้ทั้งโดยรัฐบาลอื่น(4) ผู้เชี่ยวชาญสหประชาชาติ(5) และองค์กรสิทธิมนุษยชน(6) เกี่ยวกับความปลอดภัยของพวกเขาและความเสี่ยงที่พวกเขาเผชิญเมื่อกลับไปยังประเทศจีน การกระทำของประเทศไทยนั้นน่าเป็นห่วงเป็นพิเศษเนื่องจากเป็นกรณีที่สองแล้ว หลังจากการส่งชาวอุยกูร์ 109 คนกลับประเทศจีนในปี 2558 ซึ่งชะตากรรมของพวกเขายังไม่เป็นที่ทราบ(7) และยังได้ก่อให้เกิดเสียงคัดค้านจากนานาชาติ

นอกเหนือจากการประณามจากนานาชาติแล้ว สำนักงานข้าหลวงใหญ่เพื่อสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ (OHCHR) และองค์กรสิทธิมนุษยชนจำนวนมากได้แสดงความกังวอย่างต่อเนื่อง เกี่ยวกับการละเมิดอย่างเป็นระบบที่ชาวอุยกูร์เผชิญในประเทศจีน รวมถึงการกักขังหมู่ การบังคับใช้แรงงาน และการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ ในปี 2565(8) OHCHR สรุปว่าการกระทำของจีน "อาจถือเป็นอาชญากรรมต่อมนุษยชาติ" การกระทำของประเทศไทยในบริบทนี้ยิ่งเพิ่มความกังวลเรื่องการสมรู้ร่วมคิด

ความเร่งด่วนของสถานการณ์ได้รับการแสดงให้เห็นชัดเจนโดยจดหมายหลายฉบับ(9) จากกลุ่มชาวอุยกูร์(10) ที่ส่งในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา ซึ่งพวกเขาได้วิงวอนเป็นการส่วนตัวต่อนายกรัฐมนตรีไทย ขอร้องไม่ให้ส่งพวกเขาไปยังประเทศจีนเนื่องจากความเสี่ยงร้ายแรงที่พวกเขาเผชิญ ผู้ชายเหล่านี้ยังได้อดอาหารประท้วงเป็นเวลา 19 วันในเดือนมกราคม เพื่อขอไม่ให้ถูกส่งกลับประเทศและขอการเข้าถึง UNHCR(11)

คำถามสำคัญที่ควรสอบสวนประกอบด้วย:
1. การส่งชาวอุยกูร์กลับของประเทศไทยถือเป็นการละเมิดพันธกรณีที่ให้ไว้ในปฏิญญาสิทธิมนุษยชนอาเซียน ข้อบทที่ 11 12 14 และ 16 หรือไม่?

2. มีขั้นตอนใดบ้างที่ได้ดำเนินการเพื่อให้แน่ใจว่ามีการเคารพพันธกรณีของการไม่ส่งกลับ ซึ่งผูกพันประเทศไทยในฐานะภาคีของ ICCPR CAT และในฐานะกฎหมายจารีตประเพณีระหว่างประเทศ—ซึ่งห้ามรัฐส่งผู้คนกลับไปยังประเทศที่ชีวิตของพวกเขาตกอยู่ในความเสี่ยง และที่ซึ่งพวกเขาเผชิญกับ การทรมานและการปฏิบัติหรือการลงโทษที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรม และย่ำยีศักดิ์ศรี?

3. การกักขังเป็นเวลานานของชาวอุยกูร์ 40 คนนี้ถือเป็นการกระทำโดยพลการซึ่งละเมิดปฏิญญาสิทธิมนุษยชนอาเซียนภายใต้ข้อบทที่ 12 และภายใต้กฎหมายสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ และจารีตประเพณีระหว่างประเทศหรือไม่?

4. ประเทศไทยอนุญาตให้ UNHCR ซึ่งมีอำนาจหน้าที่ในการให้ความคุ้มครองแก่ผู้ลี้ภัย ไม่ว่าจะอยู่ที่ใดและไม่ว่าจะเป็นภาคีของอนุสัญญาผู้ลี้ภัยหรือไม่ก็ตาม ได้เข้าถึงหรือไม่?

5. การประเมินความเป็นอยู่ในปัจจุบันของชาวอุยกูร์ที่ถูกส่งกลับไปแล้ว และการประเมินและบันทึกการละเมิดที่เกิดขึ้น รวมถึงการพิจารณาว่าประเทศไทยจะดำเนินการติดตามและคุ้มครองความปลอดภัยของบุคคลทั้ง 40 คนที่ถูกบังคับส่งกลับต่อไปอย่างไร

6. ออกแนวปฏิบัติที่สอดคล้องกับ ADHR เพื่อแจ้งแนวปฏิบัติและการคุ้มครองผู้ลี้ภัยชาวอุยกูร์ที่ทราบว่ายังคงถูกควบคุมตัวอยู่ในประเทศไทยจำนวน 5 คน นี่เป็นเรื่องที่น่ากังวล โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อกระทรวงยุติธรรมได้ระบุว่าพวกเขามีความตั้งใจที่จะส่งพวกเขากลับ เมื่อพวกเขาได้พ้นโทษสำหรับความผิดที่เกี่ยวข้องกับการพยายามหลบหนี(12)

เราขอเรียกร้องอย่างเคารพให้ AICHR เข้าแทรกแซงโดยการริเริ่มการสอบสวนที่นำโดย AICHR ประเทศไทย เพื่อป้องกันการส่งกลับเพิ่มเติม และเพื่อให้แน่ใจว่าประเทศไทยปฏิบัติตามพันธกรณีด้านสิทธิมนุษยชน รวมถึงหลักการไม่ส่งกลับ ตามที่กำหนดไว้ในกฎหมายระหว่างประเทศ

หากท่านต้องการข้อมูลเพิ่มเติมหรือคำชี้แจงเกี่ยวกับเรื่องนี้ โปรดอย่าลังเลที่จะติดต่อเราโดยตรง เราขอเรียกร้องอย่างยิ่งให้อาเซียนดำเนินการทันที เพื่อป้องกันการส่งกลับในอนาคตและเพื่อสนับสนุนให้รัฐสมาชิกปฏิบัติตามพันธสัญญาในการคุ้มครองสิทธิของบุคคลที่มีความเสี่ยง

เราขอขอบคุณสำหรับความสนใจของท่านต่อประเด็นที่เร่งด่วนและสำคัญนี้ และหวังว่าจะได้รับการตอบกลับจากท่านเกี่ยวกับเรื่องนี้โดยเร็วที่สุด

ขอแสดงความนับถือ
1. Act for Peace
2. Altsean-Burma
3. ASEAN Parliamentarians for Human Rights (APHR)
4. Asia Human Rights and Labour Advocates (AHRLA)
5. Asia Pacific Network of Refugees (APNOR)
6. Asian Forum for Human Rights and Development (FORUM-ASIA)
7. Asylum Access Thailand (AAT)
8. Coalition for the Rights of Refugees and Stateless Persons (CRSP)
9. Cross Cultural Foundation (CrCF)
10. Equal Asia Foundation (EAF)
11. Fortify Rights
12. Friends Against Dictatorship (FAD)
13. HOST International Thailand
14. HOPE Worldwide-Pakistan
15. Human Rights and Development Foundation (HRDF)
16. INHURED International
17. International Detention Coalition (IDC)
18. Labor Network for People's Rights
19. Manushya Foundation
20. Migrant Working Group (MWG)
21. Milk Tea Alliance Thailand
22. Overseas Services to Survivors of Torture and Trauma
23. Peace Rights Foundation (PRF)
24. People's Empowerment Foundation (PEF)
25. People Serving People Foundation (PSP)
26. Prorights Foundation
27. Rangsit and Nearby Area Labor Union Group
28. Refugee Council of Australia (RCOA)
29. Rohingya Maìyafuìnor Collaborative Network (RMCN)
30. Rohingya Youth Initiative (RYI)
31. Settlement Services International Limited (SSI)
32. SUAKA
33. Thailand Migration Reform Consortium (TMR)
34. Thai Suzuki Labor Union
35. The Student and Worker Union of Salaya

เชิงอรรถ
(1) มาตรา 13 ของพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหายของประเทศไทย ซึ่งมีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2566 กำหนดหลักการไม่ส่งกลับ โดยห้ามเจ้าหน้าที่รัฐขับไล่ ส่งกลับ หรือส่งตัวบุคคลไปยังประเทศที่มีเหตุผลอันควรเชื่อได้ว่าพวกเขาจะมีความเสี่ยงต่อการทรมาน การปฏิบัติหรือการลงโทษที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรม หรือย่ำยีศักดิ์ศรี หรือการบังคับให้สูญหาย
(2) หลักการไม่ส่งกลับเป็นการห้ามโดยสมบูรณ์ ในกรณีที่มีความเสี่ยงจริงของการทรมาน การปฏิบัติที่ไม่ดี หรืออันตรายที่ไม่สามารถเยียวยาได้อื่น ๆ เมื่อกลับไป ซึ่งระบุไว้ในข้อ 3 ของอนุสัญญาว่าด้วยการต่อต้านการทรมานฯ นอกจากนี้ยังอ้างถึงในข้อ 7 ของกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง และข้อ 14 ของปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน
(3) https://www.nationthailand.com/blogs/news/general/40045283
(4) https://www.voanews.com/.../rubio-vows-to.../7942121.html
(5) https://www.ohchr.org/.../thailand-must-immediately-halt...
(6) https://www.hrw.org/.../17/thailand-dont-send-uyghurs-china
(7) https://www.youtube.com/watch?v=EeCW_wwGVhA ข้อมูลที่ทราบเพียงอย่างเดียวคือ มีผู้คนบางส่วนจาก 109 คน ปรากฏในภาพข่าวสื่อจีนว่าถูกกักขังในสถานที่แห่งหนึ่งในอุรุมชีหลังจากกลับไปแล้ว 16 วัน โดยประณามชาวอุยกูร์ที่ออกจากจีน ไม่มีข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับแหล่งที่อยู่ของกลุ่มดังกล่าว
(8) https://www.ohchr.org/.../ohchr-assessment-human-rights...
(9) https://apnews.com/.../uyghur-china-deportation-thailand...
(10) https://world.thaipbs.or.th/.../mp-refutes-claim.../56684
(11) https://www.nytimes.com/.../uyghurs-thailand-hunger...
(12) https://www.amarintv.com/news/politic/507683

https://prachatai.com/journal/2025/03/112414


บทความชิ้นแรก จาก อ.ธงชัย ที่จะมาแบบ “ประจำการ” มากขึ้นในมติชนสุดสัปดาห์ จดหมายเปิดผนึก ถึงนายกรัฐมนตรี เรื่อง ขอให้ช่วยเหลือแก้ปัญหานักโทษการเมือง


Pipob Udomittipong
18 hours ago
·
“ถ้าคุกมีไว้เพื่อบําบัดให้คนทําผิดเป็นคนดี คุกไม่ใช่ที่สําหรับคนเหล่านี้เพราะพวกเขาไม่มีอะไรจะต้องบําบัด คุกไม่สามารถทําให้พวกเขาให้เป็นสุจริตชนที่กล้าหาญเพื่อประโยชน์สาธารณะได้มากไปกว่านี้ สังคมไทยไม่ควรเสียพลังของอนาคตเหล่านี้ไปแม้แต่คนเดียวหรือแม้แต่อีกวันเดียว” ธงชัย วินิจจะกูล
.....

คือนับจากนี้

“ธงชัย วินิจจะกูล” ซึ่งแวะเวียนมาพบผู้อ่าน ผ่านบทความบ้าง บทสัมภาษณ์บ้าง แบบ “เป็นครั้งคราว”

ตอนนี้จะมาแบบ “ประจำการ” มากขึ้น

อาจจะไม่ทุกฉบับ

แต่ก็จะมาอย่างสม่ำเสมอมากขึ้น

https://www.matichonweekly.com/column/article_833668


“ธงชัย วินิจจะกูล”

แจ้งผ่านอีเมล ว่า

“…ผมขอให้ (บทความ) ชิ้นนี้เป็นชิ้นแรก

เพราะเป็นปัญหาสำคัญกว่าเรื่องอื่น

ผมไม่หวังว่ารัฐบาลจะฟังผมหรอกครับ

แต่ผมอยากให้ผู้อ่านมีเรื่องนี้อยู่ในใจมากกว่านี้”

“ชิ้นแรก” ของบทความ ธงชัย วินิจจะกูล ที่ว่า

คือ “จดหมายเปิดผนึกถึงนายกรัฐมนตรี—ขอให้ช่วยเหลือแก้ปัญหานักโทษการเมือง”

โดยเขียนในจดหมายเปิดผนึกตอนหนึ่งว่า

“…ท่านนายกฯ

คนในคณะรัฐบาล

และผู้อ่านจดหมายเปิดผนึกฉบับนี้

คงหัวเราะเยาะว่าผมช่างไร้เดียงสา

เสนอสิ่งที่ใครๆ ก็รู้ว่ายากเสียจนแทบจะเป็นไปไม่ได้

ที่รัฐบาลจะหักกับพรรคร่วมรัฐบาล

คนอีกไม่น้อยคงเห็นว่ารัฐบาลและเพื่อไทยเองไม่เคยตั้งใจจะผลักดันการนิรโทษกรรม

หรือช่วยเหลือนักโทษการเมืองแต่อย่างใด

ท่าทียึกยักว่าอุปสรรคอยู่ที่พรรคร่วมฯ เป็นเพียงการโทษคนอื่นเพื่อไม่ให้ตนเสียหน้า

ผมไร้เดียงสาเพราะขอผิดคน

ไปบนบานสิ่งศักดิ์สิทธิ์ยังมีโอกาสเป็นไปได้มากกว่า…”

แต่กระนั้น “ธงชัย วินิจจะกูล” ก็ยังตัดสินใจ และมุ่งมั่นเขียนจดหมายเปิดผนึกถึงนายกรัฐมนตรี ให้ช่วยเหลือแก้ปัญหานักโทษการเมือง

ทำไม!?!


ไอหยา ! ธุรกิจอะไร กำไร 6,900%


สภาองค์กรของผู้บริโภค 
Yesterday
·
“สำลีก้อน โรงพยาบาลคิด
ก้อนละ 7.00 บาท / ต้นทุน 0.10 บาท
กำไร 6,900% เราต้องไม่ยอม ! ”
ภัทรกร ทีปบุญรัตน์
รองหัวหน้าฝ่ายคุ้มครองและพิทักษ์สิทธิผู้บริโภค
.
ชมคลิปเต็มได้ที่
https://www.facebook.com/share/v/1VMR6W3JRm/
.
เสียงของผู้บริโภคทุกคนมีความหมาย
มาร่วมกันส่งเสียงแสดงพลังของผู้บริโภค
ได้ที่ เฟซบุ๊กสภาองค์กรของผู้บริโภค
#สภาผู้บริโภค #เพื่อนผู้บริโภค
#copayment #ประกันร่วมจ่าย #ค่ารักษาแพง #โรงพยาบาลเอกชนค่ารักษาแพง #บัตรทอง

https://www.facebook.com/photo/?fbid=642732018358528&set=a.236384655659935


หนังสือเด็ก “The Lying King” (learn to detect faked and liars and learn the important of being honest)





https://x.com/mjfree/status/1903072488235356538
.....

https://www.facebook.com/watch/?v=774085946694176





📌จดหมายจาก VOA 📌 เรียนเพื่อน ๆ สื่อมวลชน และผู้ติดตามวีโอเอไทย


Pornwadee Latthanadee
19 hours ago
·
จดหมายจาก VOA
เรียนเพื่อน ๆ สื่อมวลชน และผู้ติดตามวีโอเอไทย
ทีมงานวีโอเอไทยเขียนจดหมายฉบับนี้เป็นการส่วนตัว ไม่ใช่ในฐานะทางการที่เป็นเจ้าหน้าที่ของหน่วยงาน
เป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์เต็มที่ทีมงานวีโอเอไทยไม่สามารถออกอากาศได้ หลังจากมีคำสั่งพักงานเจ้าหน้าที่เกือบทั้งหมดราว 1,300 คนภายในองค์กร
เราตกใจและเสียใจอย่างยิ่งกับสิ่งที่เกิดขึ้น
ภาคภาษาไทยเป็นหนึ่งในภาคภาษาแรก ๆ ของวีโอเอในช่วงเริ่มการก่อตั้งเมื่อ 83 ปีก่อน และมีประวัติการทำงานเคียงคู่กับความเป็นไปในสังคมไทยและเหตุการณ์ต่าง ๆ ของโลกมายาวนาน
จุดเริ่มต้นนั้น คือต้นทางแห่งบรรทัดฐานหน้าที่การเสนอข่าวสารตามข้อเท็จจริง ตลอดเวลาอันยาวนาน ทีมงานปัจจุบันรับไม้ต่อจากรุ่นก่อน ๆ ด้วยเจตจำนงเดียวกัน คือให้ข้อมูลข่าวสารที่เป็นประโยชน์ ตรงไปตรงมา ช่วยเป็นสะพานเชื่อมระหว่างคนไทยในสหรัฐฯ กับพี่น้องในประเทศไทย และไม่อยู่ภายใต้การแทรกแซงหรือปิดกั้น
เราทำงานตามหน้าที่แม้มีอุปสรรค โดยเฉพาะจากการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองไทยที่นำมาซึ่งการเซ็นเซอร์เนื้อหาที่อ่อนไหวแต่มีความสำคัญ เราพยายามทำให้เสียงของคนที่ถูกกดทับได้ดังก้องขึ้น เพื่อให้สังคมรับรู้และพยายามเข้าใจพวกเขามากขึ้น
ในประวัติศาตร์ของวีโอเอ เราเคยต้องทำงานในชั่วโมงที่ข่าวสารโดนปิดกั้นเกือบเบ็ดเสร็จในประเทศไทย แต่เรายังสามารถทำหน้าที่เป็นช่องเล็ก ๆ นำทางให้แสงลอดไปท้าทายความมืดมิด
จึงเป็นที่น่าเสียดายและเสียใจยิ่งที่เราไม่สามารถทำงานได้ ในเวลานี้ ที่ไทยเพิ่งถูกลดอันดับลงมาเป็น "ไม่เสรี" ในดัชนีเสรีภาพของ Freedom House เราเชื่อเสมอว่าสื่อเสรีเป็นองค์ประกอบหนึ่งที่ขาดไม่ได้ของประชาธิปไตย และการหายไปอย่างฉับพลันของข่าวสารข้อเท็จจริง เป็นเครื่องชี้ถึงความอ่อนแรงลงของชุมชนสื่อ และโลกเสรีโดยรวม
เราขอขอบพระคุณทุกกำลังใจ และความเชื่อมั่นในการทำหน้าที่ของพวกเรา #SaveVOA
ทีมงานวีโอเอไทย
* ขออนุญาตเพิ่มเติมที่มาข้อความ *
คุณรัตพล อ่อนสนิท
หัวหน้าภาคภาษาไทย VOA

https://www.facebook.com/photo/?fbid=10237295710271936&set=a.2026390739063


ต้องให้ความเป็นธรรมกับเค้าบ้าง ซินเจียงนี่มีพื้นตั้ง 1,664,897 ตร.กม. ไปไม่กี่วันจะให้ไปหาเจอเรื่องละเมิดสิทธิมนุษยชนได้ยังไง ขนาด พัทยาพื้นที่แค่ 53.4 ตร.กม ตำรวจไทยไปตรวจทีไร ยังไม่พบการขายบริการทางเพศเลยครับ


Te Neti
March 19
·
ผมว่าต้องให้ความเป็นธรรมกับ รองนายก ภูมิธรรม กับ ท่าน ทวี สอดส่อง นะครับ ซินเจียงนี่มีพื้นตั้ง 1,664,897 ตร.กม. ไปไม่กี่วันจะให้ไปหาเจอเรื่องละเมิดสิทธิมนุษยชนได้ยังไง
ขนาด พัทยาพื้นที่แค่ 53.4 ตร.กม ตำรวจไทยไปตรวจทีไร ยังไม่พบการขายบริการทางเพศเลยครับ
.....

เทวฤทธิ์ มณีฉาย - Bus Tewarit Maneechai
3 hours ago
·
[ แกะรอยภารกิจพิสูจน์ชีวิต ‘อุยกูร์’ ข้อมูลด้านเดียวกับข้อจำกัดการทำงานของสื่อ ]
.
รองนายกรัฐมนตรี ภูมิธรรม เวชชยชัย เพิ่งเสร็จภารกิจนำคณะพร้อมผู้สื่อข่าวเดินทางไปยังมณฑลซินเจียง เพื่อติดตามผลการส่งกลับชาวอุยกูร์ 40 คน ไปยังประเทศจีน
.
ทั้งนี้ก่อนการเดินทางมีข้อกังขาจากบรรดาสื่อมวลชนและสังคมว่า รัฐบาลใช้เกณฑ์ใดในการ “คัดเลือก” สื่อมวลชนเพื่อเดินทางไปกับคณะ โดยเฉพาะเมื่อไม่ปรากฏรายชื่อของสื่อมวลชนหลายรายที่ติดตามทำข่าวประเด็นชาวอุยกูร์มาตั้งแต่ต้น
.
ต่อประเด็นนี้ผมเคยให้ความเห็นไปในคราวอภิปรายญัตติเรื่องการส่งกลับชาวอุยกูร์ฯ เมื่อวันที่ 18 มีนาคมที่ผ่านมาว่ารัฐบาลควรให้สื่อที่ติดตามประเด็นนี้มาตั้งแต่ต้นได้ไปลงพื้นที่เพื่อความหลกหลายและความต่อเนื่องของประเด็น แทนที่จะให้โอกาสเพียงสื่อใหญ่ที่ไม่ได้เกาะติดเรื่องนี้ไปทำข่าวในระบบพูลเท่านั้น
.
แน่นอนว่าภาพที่ปรากฎต่อหน้าสื่อทุกสื่อเหมือน ๆ กันตลอด 3 วันที่คณะเดินทางเยือนซินเจียง คือภาพอันชื่นมื่นของคณะเดินทางที่พบปะกับชาวอุยกูร์ที่ถูกระบุว่าเป็นชาวอุยกูร์ซึ่งเคยถูกคุมตัวอยู่ในไทย และคำให้สัมภาษณ์จากรองนายกฯ ภูมิธรรมรวมถึง ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ที่ยืนยันว่าการเดินทางครั้งนี้ไม่มีจัดฉากใด ๆ ทั้งสิ้น พร้อมยืนยันว่าชาวอุยกูร์ที่ได้พบมีชีวิตที่ดีและรู้สึกขอบคุณไทยที่ส่งกลับบ้านเกิด
.
อย่างไรก็ตาม ยังมีข้อกังขาถึง “ข้อจำกัด” ในการทำข่าวของทีมข่าวที่ร่วมคณะครั้งนี้ เริ่มจากประณต วิเลปสุวรรณ ผอ. ข่าวจากไทยรัฐ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กระบุ “ทริปอุยกูร์นักข่าวไทยที่ไปโดนหน่วยความมั่นคงจีนประกบ แถมขอสแกนภาพที่จะส่งกลับไทยด้วย”
.
สอดคล้องกับอัจฉรา โพธิ์ศรี ผู้สื่อข่าว Thai PBS หนึ่งในคณะเดินทางในครั้งนี้เปิดเผยผ่านรายการทาง Thai PBS ว่า ทีมข่าวถูกกำชับให้มีการเบลอหน้าเจ้าหน้าที่จีนและชาวอุยกูร์ รวมทั้งมีการมอนิเตอร์ภาพข่าวหลังการออกอากาศและสั่งให้ทีมข่าวแก้ไขภาพ นอกจากนี้ยังมีการ “ตรวจบทข่าว” ของผู้สื่อข่าวก่อนที่จะเผยแพร่ด้วย ขณะที่ฝ่ายจีนก็มีส่วนคัดกรองผู้สื่อข่าวในขั้นตอนการทำวีซ่า
.
นอกจากนี้เมื่อวันที่ 20 มีนาคม องค์กร Justice For All ยังออกแถลงการณ์ประณามรัฐบาลไทยจากการมีส่วนร่วมในการโฆษณาชวนเชื่อ เพื่อฟอกขาวความเป็นจริงที่ชาวอุยกูร์ผู้ไทยส่งตัวกลับประเทศจีนต้องเผชิญ และความพยายามดังกล่าวซึ่งอยู่ภายใต้การดูแลของพรรคคอมมิวนิสต์จีนมีจุดประสงค์เพื่อปิดบังข้อกังวลด้านสิทธิมนุษยชน โดยใช้การเล่าเรื่องตามสคริปต์และข้อมูลที่ถูกบิดเบือน
.
พร้อมชี้ว่ารัฐบาลไทยเลือกที่จะแพร่ขยายโฆษณาชวนเชื่อของพรรคคอมมิวนิสต์จีน แทนที่จะยืนอยู่ในฝั่งเดียวกับความจริงและสิทธิมนุษยชน การเยือนของคณะผู้แทนของรัฐบาลไทยมีการให้สัมภาษณ์ที่ถูกจัดฉากขึ้นมาและคำให้การที่มีสคริปต์มาให้แล้ว และการให้ความมั่นใจที่ไม่เป็นจริงว่าชาวอุยกูร์เหล่านั้นจะไม่ได้รับอันตรายหลังถูกส่งตัวกลับไปจีน การสนทนาที่ถูกจัดฉากขึ้นในการเยือนครั้งนี้ ไม่สามารถเป็นหลักประกันที่น่าเชื่อถือว่าชาวอุยกูร์ที่ถูกส่งตัวกลับจะได้รับความปลอดภัยและเสรีภาพ คำให้การที่อยู่ภายใต้การควบคุมของทางการจีนซึ่งถูกเผยแพร่โดยสื่อที่รัฐบาลอนุมัติแล้วไม่สามารถเชื่อถือได้ และเป็นส่วนหนึ่งของการบิดเบือนเรื่องราวในวงกว้าง และตอนนี้รัฐบาลไทยกำลังมีส่วนร่วมในการปกปิดการกลั่นแกล้งชาวอุยกูร์อย่างเป็นระบบ
.
กรณีที่เกิดขึ้นนี้ยิ่งทำให้ข้อกังขาถึงการที่จีนเผยแพร่ภาพในเชิงบวกเพียงด้านเดียวยังคงดังก้องอยู่ในสังคมเนื่องจากภาพและข้อมูลที่ปรากฏออกมาเป็นเพียงข้อมูลด้านเดียวภายใต้ข้อจำกัดในการทำงานของสื่อ และดูเหมือนว่าการเยือนซินเจียงในครั้งนี้ของคณะรัฐบาลไทยจะยังไม่สามารถลบข้อครหาเรื่องการส่งผู้ลี้ภัยกลับไปเผชิญอันตรายได้ รวมถึงไทยยังได้รับข้อครหาเพิ่มเติมคือการมีส่วนร่วม “ปกปิด” อาชญากรรมต่อชาวอุยกูร์ปผ่านการเดินทางเยี่ยมเยือนชาวอุยกูร์ที่ถูกกำกับโดยรัฐบาลจีน
.
ผมเรียกร้องให้อย่างน้อยที่สุด รัฐบาลไทยต้องพิสูจน์ว่าชาวอุยกูร์ทั้ง 40 รายที่ส่งกลับไปนั้น “สมัครใจ” กลับไปจริง เพราะการที่รัฐบาลไทยแอบส่งพวกเขากลับไปกลางดึกในรถตู้ปิดทึบ ไร้พยานรู้เห็น และปิดกั้นสื่อมวลชนและนักสิทธิมนุษยชนถูกไม่ให้รับทราบความจริงนั้น ทำให้ยากจะเชื่อคำกล่าวข้างต้น

https://www.facebook.com/photo/?fbid=122144133896437811&set=a.122097007064437811


ช่อง อ.ปวิน ซีรีย์นักการเมืองรุ่นใหม่(ต่อ) คุยกับคุณแม็กกี้ ศุทธสิทธิ์ พจน์ฐศักดิ์ Macky Suttasitt Pottasak ผู้แทนราษฎรจากพรรคประชาชน ชมคลิปนี้ แล้วเราจะรู้ถึงนักการเมืองที่มาจากคนรุ่นใหม่ มีความหมายมากแค่ไหนต่อการเมืองไทย


คลิปเต็ม https://youtu.be/Mu3uosj2Ka4

https://www.facebook.com/watch/?v=939774761454962


The creation of Adam เป็น 1 ในภาพที่ถูกนำไปล้อเลียน ทำซ้ำ สร้างสรรค์ มากที่สุด มีคนอธิบายความหมายน่าสนใจ ( ไม่ใช่ภาพบนนะครับ)


Soonthon Prueksapipat
@thomasFATCAT

วันนี้ขอพูดถึง 1 ในภาพวาดที่ชอบมากที่สุด ไม่ใช่ภาพบนนะครับ แม้นว่าภาพนี้มีรายละเอียดที่ยอดเยี่ยมไม่ว่า #มือใต้ผ้าสีแดง , ดอกทิวลิปทอง, ตาชั่งเอียง, หุ่นชักใย ฯลฯ แต่จะขอพูดถึงภาพ The Creation of Adam ซึ่งเป็น 1 ในภาพวาดที่ถูกวาดล้อเลียนมากที่สุด (1)

อ่านต่อที่
https://x.com/thomasFATCAT/status/1903422831830196427/






 

วันเสาร์, มีนาคม 22, 2568

หลักฐานมันฟ้อง โพยฮั้ว ‘สว.สีน้ำเงิน’ รายชื่อตรงกัน “น่าเชื่อว่าเป็นการทุจริตในการเลือกตั้ง” แต่ กกต.ก็ยังตีตกคำร้อง แสวง บุญมี ละเลยหน้าที่

หลักฐานมันฟ้องอยู่ชัดๆ แล้ว สว.สีน้ำเงิน ตีโพยตีพายอ้างศักดิ์ศรีการเป็น สว. ประกาศจะฟ้อง ม.๑๕๗ ดีเอสไอบ้าง รมว.ยุติธรรมบ้าง ทั้งๆ ที่ศักดิ์ศรีทีอ้างมันไม่ได้มีติดตัวมาแต่ต้นแล้วนะ

บ่ายวานนี้ที่สำนักงาน กกต.มีการเปิดเผยว่าเหตุที่คณะกรรมการเลือกตั้ง มีมติให้จัดตั้งคณะกรรมการขึ้นมาทำการสืบสวนและไต่สวน คดีฮั้วเลือก สว.ระดับประเทศ เมื่อ ๒๖ มิถุนา ปี ๖๗ นั้นเพราะเอกสารหลักฐานที่ดีเอสไอส่งไปให้ กกต.ดำเนินการ

เป็น “เอกสารโพยฮั้วให้เลือกหมายเลขระดับประเทศชุด A และชุด B รวม ๑๔๐ คน ที่มีรายชื่อตั้งแต่กลุ่ม ๑ ถึงกลุ่ม ๒๐ โดยมีเบอร์ให้เลือก” และ “พนักงานสอบสวนคดีพิเศษ ได้ตรวจสอบรายชื่อหมายเลขในโพย” นั้นแล้ว

“พบว่าเป็นรายชื่อตามประกาศผู้อำนวยการเลือกตั้งระดับประเทศ ตรงกับผู้ดำรงตำแหน่ง สว.จำนวน ๑๓๘ คน และสำรอง ๒ คน นอกจากความผิดฐานอั้งยี่และความผิดอาญาอื่นแล้ว (ฟอกเงิน) ยังมีมูลน่าเชื่อว่าเป็นการทุจริตในการเลือกตั้ง” ด้วย

หมายความว่าเป็นการ “ทำให้การเลือกตั้งมิได้เป็นไปโดยสุจริตเที่ยงธรรม และเป็นอำนาจหน้าที่ของ กกต.ดำเนินการสืบสวนหรือไต่สวน เพื่อดำเนินคดีอาญา” การนี้มีเหตุพัวพัน แสวง บุญมี เลขาธิการ กกต.ถูกร้องไม่ปฏิบัติหน้าที่ตาม ม.๓๒

วันที่ ๒๑ มีนาเดียวกันนี้เอง มีมติ กกต.ออกมา ยกคำร้องเรื่องเลขาฯ ทุจริตต่อหน้าที่ ปล่อยปละละเลยให้มีการลงคะแนนเป็นกลุ่มเกิดขึ้น แม้มีการสวมเสื้อเหลืองเหมือนกันพร้อมเพรียง แถลงของ อิทธิพร บุญประคอง ก็ยังว่า “ไม่ปรากฏหลักฐานชี้ชัด

ว่า...มีการลงคะแนนให้แก่ผู้สมัครเป็นกลุ่ม ซึ่งเป็นเรื่องผิดปกติ โดยได้นำข้อมูลการลงคะแนนที่ได้บันทึกไว้มาจัดเรียงด้วยระบบคอมพิวเตอร์ และใช้หลักจิตวิทยาในการวิเคราะห์” นอกจากนั้นทั่นประธานฯ อ้างการทำงานของ กกต.สมบูรณ์แบบแล้ว

แต่ “ข้อมูลที่ผู้ร้องอ้างอิงนั้นเป็นเพียงข้อสันนิษฐานของผู้ร้อง และการตรวจสอบสถานภาพสมาชิกพรรคการเมืองของผู้มีสิทธิเลือกระดับประเทศในกลุ่ม ๑๓ จำนวน ๑๔๗ คน ไม่พบว่าผู้มีสิทธิเลือกนั้นเป็นสมาชิกพรรคการเมือง” แต่อย่างใด

อ้อ แล้วการที่ผู้เลือกกลุ่มดังกล่าวสวมเสื้อเหลืองเหมือนกัน “ไม่ใช่เรื่องผิด” เพราะช่วงนั้นมีการเตรียมงานเฉลิมพระชนมพรรษา ๖ รอบ “รัฐบาลได้รณรงค์เชิญชวนให้ประชาชนแต่งกายด้วยสีเหลือง” เอวัง

(https://www.prachachat.net/politics/news-1777799 และ https://www.khaosod.co.th/breaking-news/news_9684034)