35 องค์กรภาคประชาสังคม เรียกร้องตรวจสอบกรณีไทยส่งชาวอุยกูร์กลับจีน22 มีนาคม 2568
ประชาไท
35 องค์กรภาคประชาสังคมในภูมิภาคเอเซียแปซิฟิก เรียกร้องคณะกรรมาธิการระหว่างรัฐบาลอาเซียนว่าด้วยสิทธิมนุษยชน (AICHR) ให้ตรวจสอบการบังคับส่งตัวผู้ลี้ภัยชาวอุยกูร์ 40 รายกลับประเทศจีนโดยรัฐบาลไทย
เครือข่ายปฏิรูปการโยกย้ายถิ่นฐาน (TMR Thailand) แจ้งข่าวว่า เมื่อวันที่ 20 มี.ค. 2568 35 องค์กรภาคประชาสังคมในภูมิภาคเอเซียแปซิฟิก เรียกร้องคณะกรรมาธิการระหว่างรัฐบาลอาเซียนว่าด้วยสิทธิมนุษยชน (AICHR) ให้ตรวจสอบการบังคับส่งตัวผู้ลี้ภัยชาวอุยกูร์ 40 รายกลับประเทศจีนโดยรัฐบาลไทย โดยรายละเอียดของจดหมายเรียกร้องมีดังนี้
เรียน ประธานคณะกรรมาธิการระหว่างรัฐบาลอาเซียนว่าด้วยสิทธิมนุษยชน (AICHR)
สำเนาเรียน ผู้แทนประเทศไทยในคณะกรรมาธิการระหว่างรัฐบาลอาเซียนว่าด้วยสิทธิมนุษยชน (AICHR)
กรุงเทพมหานคร, 20 มีนาคม 2568
เรียน ฯพณฯ
เราหวังว่าท่านจะได้รับสารฉบับนี้ด้วยความเรียบร้อย เราขอแสดงความกังวลอย่างยิ่งเกี่ยวกับการส่งตัวชาวอุยกูร์จำนวน 40 รายกลับประเทศโดยรัฐบาลไทยไปยังสาธารณรัฐประชาชนจีน ซึ่งเป็นการกระทำที่ก่อให้เกิดภัยคุกคามร้ายแรงต่อชีวิตและความเป็นอยู่ของบุคคลเหล่านั้น และเป็นการบั่นทอนการคุ้มครองระหว่างประเทศและหลักนิติธรรม เราขอเรียกร้องให้ท่านใช้อำนาจทางการทูตของท่าน รวมทั้งริเริ่มและสนับสนุนการสอบสวนกรณีการส่งกลับที่น่าเป็นห่วงนี้
เราเข้าใจว่าบุคคลเหล่านี้ได้ยื่นขอความคุ้มครองระหว่างประเทศในฐานะผู้ลี้ภัยกับองค์การสหประชาชาติทั้งหมด และด้วยเหตุนี้ พวกเขาควรได้รับการคุ้มครองพิเศษในฐานะผู้ขอลี้ภัย น่าเสียดายที่การบังคับส่งกลับประเทศของพวกเขาเป็นที่ปรากฏว่าจะละเมิดกฎหมายของประเทศไทย(1) กฎหมายระหว่างประเทศ(2) และพันธกรณีของประเทศไทยภายใต้ปฏิญญาสิทธิมนุษยชนอาเซียน
ในแง่ของพัฒนาการเหล่านี้ และโดยอาศัยอำนาจของคณะกรรมาธิการระหว่างรัฐบาลอาเซียนว่าด้วยสิทธิมนุษยชน—ตามที่ระบุไว้ในย่อหน้า 4.10 ซึ่งกำหนดให้คณะกรรมการรับข้อมูลจากรัฐสมาชิกอาเซียนเกี่ยวกับการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชน—เราขอเรียกร้องให้ AICHR ดำเนินมาตรการที่เหมาะสมเพื่อทบทวนการกระทำของประเทศไทย แม้เราจะตระหนักว่าปฏิญญาสิทธิมนุษยชนอาเซียนไม่มีผลผูกพันทางกฎหมาย แต่เราเชื่อว่าการกระทำของประเทศไทยสมควรได้รับการทบทวนอย่างละเอียดถี่ถ้วน เพื่อให้แน่ใจว่าสอดคล้องกับพันธสัญญาร่วมกันของภูมิภาคในการคุ้มครองสิทธิมนุษยชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเราขอให้มีการตรวจสอบอย่างละเอียดในมาตราต่อไปนี้
ข้อบทที่ 11: บุคคลทุกคนมีสิทธิในชีวิตที่มีมาแต่กำเนิด อันเป็นสิทธิที่จะต้องได้รับการคุ้มครองโดย กฎหมาย บุคคลใดจะถูกพรากชีวิตมิได้ เว้นแต่เป็นไปตามกฎหมาย
ข้อบทที่ 12: บุคคลทุกคนมีสิทธิในเสรีภาพและความปลอดภัยส่วนบุคคล บุคคลใดจะถูกจับกุม ค้น กักขัง ลักพาตัว หรือถูกพรากอิสรภาพในรูปแบบอื่นใดโดยอำเภอใจมิได้
ข้อบทที่ 14: บุคคลใดจะถูกกระทำทรมาน หรือถูกปฏิบัติหรือลงโทษที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรมหรือ ย่ำยีศักดิ์ศรีมิได้
ข้อบทที่ 16: บุคคลทุกคนมีสิทธิที่จะแสวงหาและได้รับที่ลี้ภัยในอีกรัฐหนึ่งตามกฎหมายของรัฐนั้น และข้อตกลงระหว่างประเทศที่ใช้อยู่
เราขอเรียกร้องอย่างยิ่งให้ AICHR มีส่วนร่วมกับรัฐบาลไทยในความพยายามร่วมกันเพื่อปกป้องสิทธิของบุคคลเหล่านี้และป้องกันความเสียหายเพิ่มเติม โดยเป็นสิ่งสำคัญที่จะต้องดำเนินการทันที เพื่อให้แน่ใจว่าพวกเขาได้รับการคุ้มครองตามมาตรฐานสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศและพันธกรณีของประเทศไทย ภายใต้กฎหมายภายในประเทศและกฎหมายระหว่างประเทศ
การส่งกลับประเทศซึ่งเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2568 ได้สร้างความตื่นตระหนกทั่วอาเซียน ภายใต้การปฏิบัติการอำพรางในยามวิกาล ชาวอุยกูร์ 40 คนถูกขนส่งโดยรถบรรทุกปิดทึบ หลังจากที่รัฐบาลไทยได้ปฏิเสธว่าพวกเขาจะถูกส่งกลับประเทศ(3) แม้จะมีความกังวลอย่างแพร่หลายก่อนหน้านี้ทั้งโดยรัฐบาลอื่น(4) ผู้เชี่ยวชาญสหประชาชาติ(5) และองค์กรสิทธิมนุษยชน(6) เกี่ยวกับความปลอดภัยของพวกเขาและความเสี่ยงที่พวกเขาเผชิญเมื่อกลับไปยังประเทศจีน การกระทำของประเทศไทยนั้นน่าเป็นห่วงเป็นพิเศษเนื่องจากเป็นกรณีที่สองแล้ว หลังจากการส่งชาวอุยกูร์ 109 คนกลับประเทศจีนในปี 2558 ซึ่งชะตากรรมของพวกเขายังไม่เป็นที่ทราบ(7) และยังได้ก่อให้เกิดเสียงคัดค้านจากนานาชาติ
นอกเหนือจากการประณามจากนานาชาติแล้ว สำนักงานข้าหลวงใหญ่เพื่อสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ (OHCHR) และองค์กรสิทธิมนุษยชนจำนวนมากได้แสดงความกังวอย่างต่อเนื่อง เกี่ยวกับการละเมิดอย่างเป็นระบบที่ชาวอุยกูร์เผชิญในประเทศจีน รวมถึงการกักขังหมู่ การบังคับใช้แรงงาน และการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ ในปี 2565(8) OHCHR สรุปว่าการกระทำของจีน "อาจถือเป็นอาชญากรรมต่อมนุษยชาติ" การกระทำของประเทศไทยในบริบทนี้ยิ่งเพิ่มความกังวลเรื่องการสมรู้ร่วมคิด
ความเร่งด่วนของสถานการณ์ได้รับการแสดงให้เห็นชัดเจนโดยจดหมายหลายฉบับ(9) จากกลุ่มชาวอุยกูร์(10) ที่ส่งในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา ซึ่งพวกเขาได้วิงวอนเป็นการส่วนตัวต่อนายกรัฐมนตรีไทย ขอร้องไม่ให้ส่งพวกเขาไปยังประเทศจีนเนื่องจากความเสี่ยงร้ายแรงที่พวกเขาเผชิญ ผู้ชายเหล่านี้ยังได้อดอาหารประท้วงเป็นเวลา 19 วันในเดือนมกราคม เพื่อขอไม่ให้ถูกส่งกลับประเทศและขอการเข้าถึง UNHCR(11)
คำถามสำคัญที่ควรสอบสวนประกอบด้วย:
1. การส่งชาวอุยกูร์กลับของประเทศไทยถือเป็นการละเมิดพันธกรณีที่ให้ไว้ในปฏิญญาสิทธิมนุษยชนอาเซียน ข้อบทที่ 11 12 14 และ 16 หรือไม่?
2. มีขั้นตอนใดบ้างที่ได้ดำเนินการเพื่อให้แน่ใจว่ามีการเคารพพันธกรณีของการไม่ส่งกลับ ซึ่งผูกพันประเทศไทยในฐานะภาคีของ ICCPR CAT และในฐานะกฎหมายจารีตประเพณีระหว่างประเทศ—ซึ่งห้ามรัฐส่งผู้คนกลับไปยังประเทศที่ชีวิตของพวกเขาตกอยู่ในความเสี่ยง และที่ซึ่งพวกเขาเผชิญกับ การทรมานและการปฏิบัติหรือการลงโทษที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรม และย่ำยีศักดิ์ศรี?
3. การกักขังเป็นเวลานานของชาวอุยกูร์ 40 คนนี้ถือเป็นการกระทำโดยพลการซึ่งละเมิดปฏิญญาสิทธิมนุษยชนอาเซียนภายใต้ข้อบทที่ 12 และภายใต้กฎหมายสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ และจารีตประเพณีระหว่างประเทศหรือไม่?
4. ประเทศไทยอนุญาตให้ UNHCR ซึ่งมีอำนาจหน้าที่ในการให้ความคุ้มครองแก่ผู้ลี้ภัย ไม่ว่าจะอยู่ที่ใดและไม่ว่าจะเป็นภาคีของอนุสัญญาผู้ลี้ภัยหรือไม่ก็ตาม ได้เข้าถึงหรือไม่?
5. การประเมินความเป็นอยู่ในปัจจุบันของชาวอุยกูร์ที่ถูกส่งกลับไปแล้ว และการประเมินและบันทึกการละเมิดที่เกิดขึ้น รวมถึงการพิจารณาว่าประเทศไทยจะดำเนินการติดตามและคุ้มครองความปลอดภัยของบุคคลทั้ง 40 คนที่ถูกบังคับส่งกลับต่อไปอย่างไร
6. ออกแนวปฏิบัติที่สอดคล้องกับ ADHR เพื่อแจ้งแนวปฏิบัติและการคุ้มครองผู้ลี้ภัยชาวอุยกูร์ที่ทราบว่ายังคงถูกควบคุมตัวอยู่ในประเทศไทยจำนวน 5 คน นี่เป็นเรื่องที่น่ากังวล โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อกระทรวงยุติธรรมได้ระบุว่าพวกเขามีความตั้งใจที่จะส่งพวกเขากลับ เมื่อพวกเขาได้พ้นโทษสำหรับความผิดที่เกี่ยวข้องกับการพยายามหลบหนี(12)
เราขอเรียกร้องอย่างเคารพให้ AICHR เข้าแทรกแซงโดยการริเริ่มการสอบสวนที่นำโดย AICHR ประเทศไทย เพื่อป้องกันการส่งกลับเพิ่มเติม และเพื่อให้แน่ใจว่าประเทศไทยปฏิบัติตามพันธกรณีด้านสิทธิมนุษยชน รวมถึงหลักการไม่ส่งกลับ ตามที่กำหนดไว้ในกฎหมายระหว่างประเทศ
หากท่านต้องการข้อมูลเพิ่มเติมหรือคำชี้แจงเกี่ยวกับเรื่องนี้ โปรดอย่าลังเลที่จะติดต่อเราโดยตรง เราขอเรียกร้องอย่างยิ่งให้อาเซียนดำเนินการทันที เพื่อป้องกันการส่งกลับในอนาคตและเพื่อสนับสนุนให้รัฐสมาชิกปฏิบัติตามพันธสัญญาในการคุ้มครองสิทธิของบุคคลที่มีความเสี่ยง
เราขอขอบคุณสำหรับความสนใจของท่านต่อประเด็นที่เร่งด่วนและสำคัญนี้ และหวังว่าจะได้รับการตอบกลับจากท่านเกี่ยวกับเรื่องนี้โดยเร็วที่สุด
ขอแสดงความนับถือ
1. Act for Peace
2. Altsean-Burma
3. ASEAN Parliamentarians for Human Rights (APHR)
4. Asia Human Rights and Labour Advocates (AHRLA)
5. Asia Pacific Network of Refugees (APNOR)
6. Asian Forum for Human Rights and Development (FORUM-ASIA)
7. Asylum Access Thailand (AAT)
8. Coalition for the Rights of Refugees and Stateless Persons (CRSP)
9. Cross Cultural Foundation (CrCF)
10. Equal Asia Foundation (EAF)
11. Fortify Rights
12. Friends Against Dictatorship (FAD)
13. HOST International Thailand
14. HOPE Worldwide-Pakistan
15. Human Rights and Development Foundation (HRDF)
16. INHURED International
17. International Detention Coalition (IDC)
18. Labor Network for People's Rights
19. Manushya Foundation
20. Migrant Working Group (MWG)
21. Milk Tea Alliance Thailand
22. Overseas Services to Survivors of Torture and Trauma
23. Peace Rights Foundation (PRF)
24. People's Empowerment Foundation (PEF)
25. People Serving People Foundation (PSP)
26. Prorights Foundation
27. Rangsit and Nearby Area Labor Union Group
28. Refugee Council of Australia (RCOA)
29. Rohingya Maìyafuìnor Collaborative Network (RMCN)
30. Rohingya Youth Initiative (RYI)
31. Settlement Services International Limited (SSI)
32. SUAKA
33. Thailand Migration Reform Consortium (TMR)
34. Thai Suzuki Labor Union
35. The Student and Worker Union of Salaya
เชิงอรรถ
(1) มาตรา 13 ของพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหายของประเทศไทย ซึ่งมีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2566 กำหนดหลักการไม่ส่งกลับ โดยห้ามเจ้าหน้าที่รัฐขับไล่ ส่งกลับ หรือส่งตัวบุคคลไปยังประเทศที่มีเหตุผลอันควรเชื่อได้ว่าพวกเขาจะมีความเสี่ยงต่อการทรมาน การปฏิบัติหรือการลงโทษที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรม หรือย่ำยีศักดิ์ศรี หรือการบังคับให้สูญหาย
(2) หลักการไม่ส่งกลับเป็นการห้ามโดยสมบูรณ์ ในกรณีที่มีความเสี่ยงจริงของการทรมาน การปฏิบัติที่ไม่ดี หรืออันตรายที่ไม่สามารถเยียวยาได้อื่น ๆ เมื่อกลับไป ซึ่งระบุไว้ในข้อ 3 ของอนุสัญญาว่าด้วยการต่อต้านการทรมานฯ นอกจากนี้ยังอ้างถึงในข้อ 7 ของกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง และข้อ 14 ของปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน
(3) https://www.nationthailand.com/blogs/news/general/40045283
(4) https://www.voanews.com/.../rubio-vows-to.../7942121.html
(5) https://www.ohchr.org/.../thailand-must-immediately-halt...
(6) https://www.hrw.org/.../17/thailand-dont-send-uyghurs-china
(7) https://www.youtube.com/watch?v=EeCW_wwGVhA ข้อมูลที่ทราบเพียงอย่างเดียวคือ มีผู้คนบางส่วนจาก 109 คน ปรากฏในภาพข่าวสื่อจีนว่าถูกกักขังในสถานที่แห่งหนึ่งในอุรุมชีหลังจากกลับไปแล้ว 16 วัน โดยประณามชาวอุยกูร์ที่ออกจากจีน ไม่มีข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับแหล่งที่อยู่ของกลุ่มดังกล่าว
(8) https://www.ohchr.org/.../ohchr-assessment-human-rights...
(9) https://apnews.com/.../uyghur-china-deportation-thailand...
(10) https://world.thaipbs.or.th/.../mp-refutes-claim.../56684
(11) https://www.nytimes.com/.../uyghurs-thailand-hunger...
(12) https://www.amarintv.com/news/politic/507683
https://prachatai.com/journal/2025/03/112414