วันพฤหัสบดี, เมษายน 03, 2568

คุมคำ-คุมความหมาย-คุมความคิด-คุมคน


Kasian Tejapira
15 hours ago
·
คุมคำ-คุมความหมาย-คุมความคิด-คุมคน
%%%%%
โฆษกคสช.เคยบอกนักข่าวว่า Don't call it a coup ฉันใด
นายกฯอุ๊งอิ๊งค์ก็บอกว่าอย่าเรียกกาสิโน ให้เรียก entertainment complex ฉันนั้น
.....

.....
วรภพ วิริยะโรจน์
14 hours ago
·
[ ข่าว ”มติ ครม. จะลดค่าไฟลงเหลือ 3.99 บาท/หน่วย โดยไม่ใช้งบประมาณแผ่นดิน” เป็นเพียงรับทราบค่าไฟเป้าหมาย แต่ค่าไฟของจริงยังเท่าเดิมที่ 4.15 บาท/หน่วย แถมรัฐบาลกำลังจะลงนามสัญญาซื้อไฟเพิ่มอีกแล้ว ]
.
ในฐานะที่ติดตามและเสนอแนวทางในการลดค่าไฟ ไปหลายครั้ง แต่ก็ไม่มีการตอบรับใดๆ พอได้เห็นข่าว มติ ครม. ว่าจะลดค่าไฟให้เหลือ 3.99 บาท/หน่วย ก็รู้สึกดีใจ แต่เมื่อไปดูในมติ ครม. ของจริง ก็ต้องผิดหวังที่ เป็นเพียง มติ ครม. ที่รับทราบค่าไฟเป้าหมาย! และ ให้กระทรวงพลังงานและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ไปหาแนวทางเพื่อให้ลดค่าไฟได้ คือ ครม. ยังไม่มีข้อสรุปในการลดค่าไฟ
.
และ กกพ. ก็พึ่งประกาศสัปดาห์ก่อนหน้าว่า ค่าไฟงวด พ.ค. - ส.ค. 68 จะคงค่าไฟที่ 4.15 บาท/หน่วย เพราะ ยังไม่มีข้อสรุปชัดเจนในแนวทางการลดค่าไฟ จาก คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ที่นายกรัฐมนตรี เป็น ประธาน
.
แต่แนวทางลดค่าไฟ นั้น มีข้อเสนอมาหลายครั้ง สภาอุตฯ ก็เสนอมาหลายรอบ ก็คือ รัฐบาลต้องริเริ่มเจรจาแก้ไขสัญญาโรงไฟฟ้าเอกชนที่ไม่เป็นธรรม ทั้ง โรงไฟฟ้าที่ไม่ได้เดินเครื่อง (ค่าความพร้อมจ่าย) หรือ โรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน (ค่า adder) เพียงแต่ต้องใช้เจตจำนงทางการเมืองในการเจรจากับกลุ่มทุนพลังงาน ที่ล้วนสนิทสนมกับ นายกรัฐมนตรี และ พ่อนายกฯ อยู่แล้วด้วย แต่รัฐบาลกลับยังไม่เริ่มเลยด้วยซ้ำ
.
และที่สำคัญ ค่าไฟเดิมยังลดไม่ได้ แต่รู้ไหมว่า รัฐบาล กำลังจะ ลงนามในสัญญาซื้อขายไฟฟ้าเพิ่มเติมอีกประมาณ 1,500 MW ที่จะทำให้ค่าไฟแพงขึ้น ตลอดอายุสัญญา 25 ปี ข้างหน้า
.
เพราะโครงการรับซื้อไฟฟ้าหมุนเวียน เฟสแรก รอบ 5,200 MW กำลังจะถึงกำหนดให้รัฐบาล ลงนามสัญญาซื้อขายไฟฟ้ากับเอกชนที่ได้รับคัดเลือก (โดยไม่เปิดประมูล) หลังสงกรานต์ 19 เม.ย. นี้ ทั้งๆที่ รัฐบาลก็ทราบดีอยู่แล้วว่า ค่าไฟที่ รัฐบาลกำลังจะไปซื้อจากเอกชน โดยที่ไม่เปิดประมูล Solar 2.2 บาท/หน่วย นั้น แพงเกินไป และจะทำให้ค่าไฟประชาชนแพงขึ้น
.
โครงการรับซื้อไฟฟ้าหมุนเวียน เฟสแรก นี้ เคยมีคำสั่งทุเลาจากศาลปกครองมาแล้วด้วย ว่า “กระบวนการคัดเลือก ไม่โปร่งใส ไม่ยุติธรรม และจะเป็นเหตุให้ประเทศชาติเสียประโยชน์ได้” จากการที่เป็นโครงการรับซื้อที่ไม่เปิดประมูล และ ไม่มีประกาศหลักเกณฑ์ในการคำนวนคะแนนเทคนิคล่วงหน้า ที่กลายเป็นการให้ใช้ดุลพินิจในการจิ้มเลือกเอกชนได้
.
และ มติ กพช. (นายกฯ เป็น ประธาน) มีอำนาจเต็มในการยกเลิกโครงการนี้ได้ แต่ต้องมีมติ ยกเลิก/ชลอ ก่อนลงนามในสัญญาซื้อขายไฟฟ้าเท่านั้น ถึงจะยกเลิกได้
.
ดังนั้น จึงหมายความว่า ถ้าเลยวันที่ 19 เม.ย. นี้ รัฐบาล นายกรัฐมนตรี ในฐานะ ประธาน กพช. ยังไม่มีมติ ชลอ หรือ ยกเลิก โครงการการรับซื้อไฟฟ้าหมุนเวียน เฟสแรก ที่เหลือยังไม่ลงนามในสัญญาซื้อขายไฟฟ้า อีก 1,500 MW นี้ ก็จะทำให้ค่าไฟฟ้าประชาชนในอนาคตต้องแพงขึ้นไปอีก 25 ปี จากสัญญาซื้อขายไฟฟ้านี้
.
#ค่าไฟ #ค่าไฟฟ้า #สสเติ้ล #สสวรภพ #พรรคประชาชน

https://www.facebook.com/photo/?fbid=1218658846933565&set=a.337967835002675

.....




"ต้องรอให้รัฐพร้อมก่อนใช่ไหม ประชาชนถึงจะปลอดภัย?" แผ่นดินไหวเมียนมาสะท้อนปัญหาในระบบราชการไทยอย่างไร และ ความน่าเชื่อถือของรัฐราชการไทย รวมทั้งประสิทธิภาพของรัฐบาล ประเมินจากสิ่งใด ?


หญิงรายหนึ่งซึ่งกำลังรอฟังข่าวของสมาชิกในครอบครัวที่หายตัวไป จากเหตุอาคารที่กำลังก่อสร้างของสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ถล่มในกรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 28 มี.ค. ที่ผ่านมาจากแรงสั่นสะเทือนจากแผ่นดินไหวรุนแรงในเมียนมา

"ต้องรอให้รัฐพร้อมก่อนใช่ไหม ประชาชนถึงจะปลอดภัย?" แผ่นดินไหวเมียนมาสะท้อนปัญหาในระบบราชการไทยอย่างไร

ปณิศา เอมโอชา
ผู้สื่อข่าวบีบีซีไทย
เมื่อ 9 ชั่วโมงที่แล้ว

เหตุแผ่นดินไหวขนาด 8.2 (ตามการประเมินของของกรมอุตุนิยมวิทยา) ที่มีศูนย์กลางทางตอนกลางของประเทศเมียนมา เมื่อเวลาประมาณ 13.20 น. ของวันศุกร์ที่ 28 มี.ค. ที่ผ่านมา สามารถรับรู้ได้ในหลายพื้นที่ในประเทศไทย โดยเฉพาะในเขตกรุงเทพมหานคร ซึ่งอยู่ห่างจากจุดศูนย์กลางมากกว่า 1,000 กิโลเมตร

ประเด็นสำคัญที่กลายเป็นจุดสนใจหลักของสังคม คือ การตั้งคำถามต่อหน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้องกับระบบเตือนสาธารณะ แม้ว่าการเกิดแผ่นดินไหวจะไม่สามารถคาดการณ์ล่วงหน้าได้ แต่หากมีระบบเตือนภัยที่มีประสิทธิภาพจะทำให้สามารถแจ้งให้ประชาชนทราบถึงวิธีการเตรียมตัวและรับมือต่อสิ่งที่จะเกิดขี้นได้ทันท่วงที

"ข้อความสั้นแจ้งเตือน" หรือ "เอสเอ็มเอส" คือ ประเด็นคำถามที่คนไทยทั้งประเทศสะท้อนกลับไปยังภาครัฐคือเหตุใดจึงไม่มีการแจ้งเตือนภัย และกว่าหน่วยงานรัฐจะตกลงกันได้แล้วส่งเอสเอ็มเอสแจ้งเตือนประชาชนนั้นล่าช้าไปแล้วหรือไม่

คำถามเหล่านี้เป็นสิ่งที่นายกรัฐมนตรีแพทองธาร ชินวัตร ซึ่งนั่งเป็นประธานในการประชุมเร่งด่วนกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งหมดจี้ถามผู้มีส่วนรับผิดชอบเช่นกัน เมื่อวันที่ 29 มี.ค. ที่ผ่านมา

"ท่านต้องตอบคำถามตรงนี้ เพราะดิฉันต้องตอบคำถามประชาชน เพราะดิฉันสั่งไปตั้งแต่ก่อนบ่ายสองว่าให้เอสเอ็มเอสเตือนให้หมด ทุกอย่าง แต่ระบบไม่ออก" นายกฯ กล่าวในที่ประชุม


นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เดินทางลงพื้นที่อาคารสำนักงานใหม่ของ สตง. ที่กำลังก่อนสร้าง แต่พังถล่มลงมาเพราะแรงสั่นสะเทือนจากแผ่นดินไหวรุนแรงเมื่อวันศุกร์ที่ 28 มี.ค. ที่ผ่านมา

คำอธิบายของ ปภ.-กสทช. ที่ไม่สามารถส่ง SMS เตือนได้ทันเวลา

ย้อนกลับไปในการประชุมครั้งนั้น นายภาสกร บุญญลักษม์ อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) เริ่มตอบคำถามแรกว่า แผ่นดินไหวนับเป็นเหตุการณ์เดียวที่ไม่สามารถแจ้งเตือนล่วงหน้าได้ ก่อนจะอธิบายขั้นตอนการทำงานว่าเป็นไปดังต่อไปนี้

สำหรับกรณีของเหตุแผ่นดินไหว เริ่มแรก ปภ. จะได้รับการแจ้งเตือนจากกองเฝ้าระวังแผ่นดินไหว กรมอุตุนิยมวิทยา จากนั้นจึงจะส่งคำแจ้งเตือนที่จะให้กับประชาชนต่อไปที่ คณะกรรมการกิจการกระจายเสียงกิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ​ หรือ กสทช. เพื่อให้แจ้งเตือนประชาชน

จากนั้น นายไตรลักษณ์​ วิริยะศิริกุล รักษาการเลขาธิการ กสทช. อธิบายต่อว่าเนื่องจากปัจจุบันไทยยังไม่มีระบบการส่งเซลล์บรอดแคส จนต้องส่งเนื้อหาข้อความที่ผ่าน ปภ. แล้วไปยังผู้ให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์เป็นผู้ดำเนินการต่อไป

หากย้อนกลับมาดูตามไทม์ไลน์จะพบว่า เหตุแผ่นดินไหวเกิดขึ้นราว 13.20 น. นายกฯ ระบุว่า ได้เร่งสั่งการให้ต้องส่งเอสเอ็มเอสถึงประชาชนก่อนเวลา 14.00 น. หลังจากนั้น อธิบดี ปภ. ระบุว่าเริ่มส่งข้อความให้ กสทช. ครั้งแรกตอน 14.42 น. เพื่อให้แจ้งว่าประชาชนสามารถกลับเข้าไปในอาคารในกรณีที่มีความจำเป็นได้ และที่ไม่ได้ส่งข้อความเตือนเรื่องเหตุแผ่นดินไหวเนื่องจากเหตุการณ์เกิดขึ้นไปแล้ว

ในขั้นตอนนี้ กสทช. ชี้แจงว่าเมื่อได้ข้อความจาก ปภ. ก็ส่งต่อไปให้ผู้ให้บริการเครือข่าย ในเวลา 14.44 น. ซึ่ง ติดข้อจำกัดว่าส่งข้อความได้ทีละหนึ่งแสนถึงสองแสนเลขหมายเท่านั้น

ภาพฝูงชนอพยพลงมาจากตึกสูงเพื่อมายืนรออยู่ข้างถนนหลังรับรู้แรงสั่นสะเทือนจากเหตุแผ่นดินไหวในเมียนมาเมื่อ 28 มี.ค.


ประชาชนไทยต่างไม่ได้รับเอสเอ็สเอสแจ้งเตือนการเกิดเหตุแผ่นดินไหว ซึ่งในเวลาต่อมา ปภ. อธิบายว่า แผ่นดินไหวเป็นภัยพิบัติเดียวที่ไม่สามารถแจ้งเตือนได้

ในการแถลงครั้งนี้ ปภ. ชี้แจงว่า มีการส่งข้อความไปให้ กสทช. ทั้งหมด 4 ครั้ง สำหรับครั้งที่ 2-3 เป็นช่วงเวลา 16.07 น. และ 16.09 น. เพื่อแจ้งเรื่องข้อปฏิบัติตนในกรณีแผ่นดินไหว และครั้งสุดท้ายเวลา 16.44 น. เพื่อแจ้งให้ประชาชนสามารถกลับเข้าอาคารได้

เมื่อกลับมาที่ฝั่งของผู้ที่ต้องได้รับข้อความ ผู้สื่อข่าวบีบีซี เช็คข้อความแจ้งเตือนในโทรศัพท์มือถือของตนเอง ซึ่งลงทะเบียนอยู่ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร และพบว่ามีข้อความแจ้งเตือนข้อความเดียวที่ส่งมาถึง เวลา 19.24 น. ของวันที่ 28 มี.ค. ระบุถึง วิธีปฏิบัติตัวหากเกิดอาฟเตอร์ช็อค

ภาพบันทึกหน้าจอข้อความที่ผู้เขียนได้รับ

หลังหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องแถลงเสร็จ นายกฯ เองก็ตั้งข้อสังเกตว่า ทุกอย่างช้าเกินไป แล้วข้อมูลที่ถูกส่งออกไปนั้นสุดท้ายอาจไม่ได้มีประโยชน์มากเพียงพอ

นายกฯ ยังตั้งคำถามกับทุกฝ่ายว่าจะทำอย่างไรให้การประสานงานของทุกหน่วยงานมีประสิทธิภาพได้มากกว่านี้ …

แผ่นดินไหวในเมียนมา กะเทาะภาพ "กรมาธิปไตย" ในไทยอย่างไร


ภาพถนนในเมียนมาหลังเหตุแผ่นดินไหว

เพียงไม่กี่สัปดาห์ก่อนหน้าเหตุแผ่นดินไหวครั้งนี้ บีบีซีไทยเพิ่งมีโอกาสได้พูดคุยกับ ดร. บุญวรา สุมะโน นักวิชาการอาวุโส สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) เพื่อวิเคราะห์ถึงระบบการทำงานของรัฐราชการไทย ซึ่งในที่นี้ไม่ได้หมายความถึงแต่บุคคลากรภาครัฐที่อยู่ภายใต้สถานะ "ข้าราชการ" แต่ยังรวมถึงกำลังพลภาครัฐอื่น ๆ ด้วย

"มีคนเคยพูดว่าประเทศไทยเป็น 'กรมาธิปไตย' คือไม่ได้แยกกันแค่การทำงานในระดับกระทรวงนะ มันลงไปถึงระดับกรมเลย" เธออธิบาย

ดร.บุญวรา ยังเสริมว่า รัฐราชการไทยยังชอบที่จะใช้คำว่า "บูรณาการ" แต่ไม่มีผลลัพธ์ออกมาจริง ๆ กล่าวคือ เป้าหมายของการบูรณาการคือเพื่อให้มีการทำงานร่วมกัน แต่เมื่อถึงเวลาจริงกลับ "มีน้อยมากที่ทำงานร่วมกันได้"

ผศ.ดร. ฉัตรทิพย์ ชัยฉกรรจ์ คณะรัฐศาสตร์และรัฐประศาสนาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ กล่าวเสริมว่า การทำงานของรัฐราชการไทยว่าเป็นแบบ "แนวดิ่ง" คือเน้นทำแต่ภารกิจของตัวเองและไม่ได้มีการบูรณาการอยู่จริง ซึ่งสอดคล้องกับความเห็นของ ดร.บุญวรา

นอกจากนี้ ผศ.ดร. ฉัตรทิพย์ ยังกล่าวเพิ่มว่า "อีกสิ่งที่สำคัญของระบบราชการคือการกลัวความผิดบางอย่าง"

หากเราหยิบยกกรณีเหตุแผ่นดินไหวครั้งนี้ขึ้นมา ความผิดที่ว่านี้อาจเป็น 'ข้อความผิด' "มันจึงต้องผ่านการกรองหลายชั้นเพื่อความมั่นใจ"

วิเคราะห์ขั้นตอน-การสื่อสารในภาวะวิกฤตของราชการไทย

ต่อคำถามที่ว่า โดยปกติแล้วหน่วยงานรัฐแต่ละแห่งสื่อสารกันอย่างไร และเป็นไปได้หรือไม่ที่จะมีการข้ามขั้นตอนต่าง ๆ เพื่อสื่อสารในยามวิกฤต

ผศ.ดร.ฉัตรทิพย์ ตอบว่า ในภาวะปกติ "เราน่าจะเห็นภาพกันอยู่แล้ว" พร้อมอธิบายต่อว่า ความร่วมมือของหน่วยงานรัฐแต่ละแห่งก็จะมาในหลายรูปแบบ เช่น การตั้งคณะกรรมการชุดต่าง ๆ มาทำงานร่วมกัน และนัดประชุมกันทุกสามเดือน หกเดือน หรือทุกหนึ่งปี หรือจะมีการดำเนินโครงการร่วมกัน ซึ่งสังเกตได้จาก "เวลาเราเห็นป้ายโปสเตอร์แล้วมีโลโก้รัฐเยอะ ๆ ก็เป็นความพยายามในการสื่อสารว่า 'เฮ้ย... เรามีการประสานงานกันนะ'"

สำหรับโครงการประเภทที่สองนี้ การติดต่อสื่อสารก็ดูจะอยู่ที่หัวหน้าของแต่ละหน่วยงานว่าสามารถ "ยกหูหากันได้ไหม"

เมื่อก้าวมาสู่ภาวะวิกฤตที่เกิดภัยพิบัติขึ้น ผศ.ดร.ฉัตรทิพย์ ตอบว่า ประเด็นอาจไม่ได้อยู่ที่หน่วยงานรัฐแต่ละหน่วยงานสามารถยกหูโทรหากันได้หรือไม่ตามที่บีบีซีไทยถาม แต่ "คำถามคือที่ผ่านมามีการสร้างระบบและกลไกในการประสานความร่วมมือไว้ก่อนหรือไม่"

เธอตั้งข้อสังเกตว่า ในที่ประชุมที่มีนายกฯ นั่งเป็นประธานเมื่อวันที่ 29 มี.ค. นั้น มีการไล่จี้ว่าหน่วยงานไหนทำอะไร ส่งข้อความกันเวลาเท่าไหร่ แต่ "ภัยพิบัติมันคือเสี้ยววินาที มันมานั่งร่างข้อความไม่ทัน มันต้องเตรียมพร้อมเอาไว้ ต้องมีการฝึกซ้อม"

"สิ่งเหล่านี้เรายังไม่เห็นจากส่วนระบบของราชการ"

"ยกประโยชน์ให้จำเลย" จากความไม่รู้ได้หรือไม่ ?

ณ วันที่ 2 เม.ย. มีรายงานว่า มีผู้ประสบภัยแค่จากเหตุอาคารถล่มจากแรงสั่นสะเทือนแผ่นดินไหว มีผู้สูญหาย 72 ราย บาดเจ็บ/รอดชีวิต 9 ราย และ เสียชีวิตอีก 15 ราย

ประชาชนที่ไม่ได้รับเอสเอ็มเอส หรือได้หลังเวลาผ่านไปแล้วหลายชั่วโมง เป็นสิ่งที่สะท้อนให้เห็นปัญหาในระบบราชการไทย ตามทัศนะของ ผศ.ดร. ฉัตรทิพย์ โดยเธอบอกว่า รัฐราชการไทยไม่มีความพร้อมรับมือมากเพียงพอ

เมื่อถามว่า ฝ่ายรัฐบาลรวมถึงตัวนายกฯ เองก็เพิ่งมีประสบการณ์พร้อม ๆ กับคนไทย เรื่องการรับมือกับเหตุแผ่นดินไหว เช่นนั้น เราสามารถ 'ยกประโยชน์ให้กับจำเลย' ได้หรือไม่

นักวิชาการรายนี้ ตอบว่า "ถ้าตอบแบบคนใจดีก็จะบอกว่า 'ยกประโยชน์ให้จำเลย' ก็ได้

แต่เธอตั้งข้อสังเกตพร้อมตั้งคำถามว่า กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยดำเนินมาเนิ่นนานแล้วกว่า 22 ปี เช่นนั้น "ทำไมปรากฏว่าเราต้องรอให้เกิดเรื่อง ถึงมาเรียนรู้ว่าระบบมีช่องว่างเหรอคะ"

เธอถามต่อว่า ที่ผ่านมาหน่วยงานภาครัฐมีการเตรียมความพร้อมไว้มากน้อยแค่ไหน มีการติดตามและประเมินแผนที่วางไว้หรือไม่ เพราะกระบวนการที่ดูเหมือนจะใช้เวลานานกว่าจะสื่อสารออกมาได้นั้น สะท้อนว่าระบบยังมีข้อจำกัดอยู่มาก และเป็นสิ่งที่ควรได้รับการทบทวนอย่างจริงจัง

"จริง ๆ ไม่ว่าเราจะเป็นประชาชน นักวิชาการ หรือใครก็แล้วแต่ หรือท่านนายกฯ เอง ก็พยายามจะหาคำตอบกับเรื่องนี้ด้วยนะคะว่า ทำไมล่ะ แล้วเราในฐานะคนไทยจะต้องรอให้หน่วยงานภาครัฐมีความพร้อมแค่นั้นเหรอ เราถึงจะรู้สึกมั่นคง หรือรู้สึกปลอดภัยได้"

"เวลาเราพูดถึงสาธารณภัย มันมีต้นทุนของความเสียหายอยู่เยอะ เพราะฉะนั้นมันต้องถามกลับไปยังรัฐ"

ความเสียหายจากเหตุแผ่นดินไหวในเมียนมาที่ส่งผลกระทบมายังประเทศไทย อาจจะยังไม่ถูกประเมินออกมาเป็นตัวเลขอย่างชัดเจน หรืออาจไม่สามารถคำนวณให้ออกมาสะท้อนทุกความสูญเสียได้จริง ๆ


"เวลาเราพูดถึงสาธารณภัย มันมีต้นทุนของความเสียหายอยู่เยอะ เพราะฉะนั้นมันต้องถามกลับไปยังรัฐ" ผศ.ดร.ฉัตรทิพย์ ระบุ

แต่หากนับจนถึงวันที่ 2 เม.ย. นี้ เรากำลังพูดถึงตึกอาคารสำนักงานของรัฐจากเงินภาษาประชาชนที่มีงบประมาณกว่าสองพันล้านบาท และเรากำลังพูดถึงผู้ประสบภัยแค่จากเหตุการณ์อาคารถล่มครั้งนี้ จนมีผู้สูญหาย 72 ราย บาดเจ็บ/รอดชีวิต 9 ราย และ เสียชีวิตอีก 15 ราย

เมื่อลองสรุปจากคำตอบของ ผศ.ดร.ฉัตรทิพย์ อาจกล่าวได้ว่า สำหรับคำถามว่าเราจะ "ยกประโยชน์ให้จำเลย" จากความไม่รู้ได้หรือไม่ รัฐราชการไทยอาจต้องลองกลับไปตอบเองดู

หลังเรียกประชุมนัดแรกอย่างเร่งด่วน นายกฯ แพทองธารกลับมาติดตามผลอีกครั้งในวันที่ 31 มี.ค. เพื่อเร่งให้กระบวนการตอบรับกับภัยพิบัติในอนาคตเป็นไปอย่างรวดเร็วกว่าเดิมจนกว่าไทยจะมีระบบ cell broadcast ในอีกราว 3 เดือนต่อจากนี้

ผลสรุปจากการประชุมครั้งนี้ เป็นไปว่า ต่อไป ปภ. ไม่ต้องมานั่งวิเคราะห์เรื่องข้อความเหมือนที่ผ่านมาซึ่งทำให้เสียเวลา แต่ให้มีชุดข้อความไว้อยู่แล้วพร้อมใช้งานทันที ระบบแจ้งเตือนภัยจะใช้ Virtual Cell Broadcast สำหรับผู้ใช้แอนดรอยด์ทั้งหมดประมาณ 70 ล้านหมายเลข โดยส่งข้อมูลตรงจาก ปภ. ไปยังผู้ให้บริการเครือข่ายมือถือส่วนผู้ใช้ iOS อีกประมาณ 50 ล้านหมายเลข จะได้รับการแจ้งเตือนผ่านเอสเอ็มเอสไปก่อน

ความรับผิด-ไม่รับแต่ชอบอยู่ที่ไหน ใครจัดการได้ ?



ย้อนกลับไปช่วงกลางเดือน มี.ค. ก่อนเกิดเหตุแผ่นดินไหว ดร.บุญวรา เคยให้สัมภาษณ์กับบีบีซีไทยว่า "ราชการเช้าชามเย็นชามอย่างนี้ได้ เพราะมันไม่มีการตรวจสอบความรับผิดชอบกับประชาชน ถึงประชาชนมองว่าเขาทำงานได้ไม่ดี แก้ปัญหาไม่ได้ ก็เอาเขาออกไม่ได้"

"คนเดียวที่เอาเขาออกได้คือใครอ่ะ หรือเราต้องมีอีลอน มักส์ ประเทศไทยไหม" เธอ ตั้งคำถาม

เธอบอกอีกว่า มีหลายปัจจัยที่ทำให้ภาครัฐทำงานโดยมีประสิทธิภาพต่ำนอกเหนือจากการ "ไม่ถูกตรวจสอบและเอาผิด" ภาครัฐยังมีปัญหาเรื่องระบบโครงสร้างการทำงานที่ทั้งซ้ำซ้อน หรือทำในสิ่งที่ตัวเองไม่เก่งและไม่เชี่ยวชาญ ซึ่งเธอเคยเสนอว่าบริการเหล่านี้อาจโอนให้เอกชนเป็นผู้จัดการแทนได้

อย่างไรก็ดี ในบริการที่ต้องเชื่อมโยงกับประชาชนโดยตรงเช่น สาธารณสุข การศึกษา หรือแม้แต่อาชีพอย่างนักสังคมสงเคราะห์ซึ่งมีอย่างไม่เพียงพอนั้น รัฐราชการไทยควรหันไปใส่ใจ ทุ่มเงิน ทุ่มทรัพยากรลงไปมากกว่า

"ถ้าคุณไม่แก้วัฒนธรรมของระบบราชการ เขาก็ทำงานแบบเดิมแหละ"


นายกฯ นั่งหัวโต๊ะติดตามปัญหา เอสเอ็มเอสแจ้งเตือนภัย สั่งเร่งพัฒนาระบบ Cell Broadcast ให้ใช้งานได้โดยเร็ว เมื่อวันที่ 31 มี.ค.

คำถามต่อไปคือใครมีอำนาจแก้ไขวัฒนธรรมของราชการเช่นนี้ เนื่องจากที่ผ่านมาประเทศไทยไม่ได้มีวัฒนธรรมการลาออกเพื่อรับความผิดเฉกเช่นในต่างประเทศ

ผศ.ดร.ฉัตรทิพย์ ตอบกลับบีบีซีไทยว่า หนึ่งในบุคคลที่มีอำนาจจัดการปัญหาตรงนี้ได้คือนายกรัฐมนตรี จริงอยู่ว่าหลายครั้งเรากำลังพูดถึงหน่วยงานอิสระซึ่งนายกฯ อาจไม่มีอำนาจเข้าไปสั่งการโดยตรง แต่ไม่ใช่ทำอะไรไม่ได้เลย

ถ้าในเชิงโครงสร้าง ยึดโยงอยู่กับการบริหารงานตามขอบเขตกฎหมายเราสามารถเข้าใจได้เรื่องนายกฯ เข้าไปก้าวก่ายบางองค์กรไม่ได้เธอเริ่มอธิบาย อย่างไรก็ดี ภายใต้ขอบเขตความเป็นนักการเมือง นายกฯ อาจใช้กลยุทธ์ในการดำเนินการบางอย่างได้

"นี่คือพาร์ท[ส่วน]ที่เราอยากรู้ว่านักการเมือง จะทำอะไรให้กับเราในฐานะประชาชนได้บ้าง"

กลยุทธ์ที่ว่านี้คือการต่อรองอย่างแน่นอน ซึ่งเป็นวิธีการที่ผู้นำทั่วโลกต่างก็เอามาปรับใช้ อย่างไรก็ดี ต้องเป็นการดีล[ตกลง]ที่มีความรับผิดชอบและโปร่งใสต่อสังคมเช่นเดียวกัน เช่นเดียวกับที่ต้องเป็นไปเพื่อประโยชน์ของสาธารณะ จากนั้นนายกฯ หรือนักการเมืองเองก็ต้องมีหน้าที่ในการสื่อสารกับประชาชนอย่างโปร่งใสเช่นเดียวกัน

"เราคงไม่ได้คาดหวังว่าให้นักการเมืองไปดีล[ตกลงกัน]ข้างหลัง แล้วสุดท้ายไม่มีความโปร่งใสอะไรกับประชาชน"


(แฟ้มภาพ)

แม้จะตอบคำถามได้แล้วว่า ใครจะมีอำนาจเข้ามาแก้ปัญหาข้าราชการได้บ้าง แต่ก็ยังไม่สามารถตอบได้ครบถ้วนอยู่ดีว่าจะต้องทำอย่างไรให้รัฐราชการเข้าใจว่า พวกเขาไม่สามารถทำงานแบบเช้าชามเย็นชามได้

ผศ.ดร. ฉัตรทิพย์ เห็นด้วยกับมิตินี้ และมองว่า "เราอยู่ในประเทศที่อาจจะมีคำถามเรื่องพวกนี้เยอะ" แต่ก็ยังไม่มีคำตอบตายตัว ไม่มีหลักเกณฑ์ชัดเจน เธอจึงแนะนำว่าสิ่งที่ภาคประชาชนพอจะทำได้คือการใช้ความรู้และความง่ายขึ้นในการเข้าถึงเครื่องมือทางเทคโนโลยีมาถึงความโปร่งใสและต้องถูกตรวจสอบขององค์กรรัฐแต่ละแห่งออกมา

"สำหรับบ้านเรา ยังไม่ต้องไปถึงกดดันให้ลาออก เอาในลักษณะที่เปิดข้อมูลทุกอย่างออกมามากที่สุดเท่าที่จะทำได้ให้เห็นความโปร่งใสให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ก่อน"

ผศ.ดร. ฉัตรทิพย์ เสริมว่า เมื่อไหร่ก็ตามที่พลเมืองสามารถมีแนวคิดในการเอาเทคโนโลยีไปประยุกต์ใช้ เพื่อดึงความรับผิดชอบของรัฐออกมาได้ อันนี้จะมีความน่าสนใจและเป็นความหวังที่มันเพิ่มมากขึ้นจากในอดีตที่ สุดท้ายรัฐก็ไม่ทำอะไร ปล่อยไว้สามเดือนก็เงียบ

เธออธิบายต่ออีกว่าเมื่อเทคโนโลยีเข้ามามีบทบาท "เสริมแรง" ให้กับเสียงจากกลุ่มต่างๆ ให้มีพลังมากขึ้นในการกดดันรัฐบาล เพราะเมื่อข้อมูลต่างๆ ถูกแปลงเป็นดิจิทัล จะเกิดร่องรอยทางข้อมูลดิจิทัล (digital footprint) ที่สามารถนำกลับมาใช้ซ้ำในการขับเคลื่อนประเด็นนั้น ๆ

ท้ายสุด เธอสรุปว่าในเชิงการเมือง สิ่งเหล่านี้สามารถกลายเป็น "วาทกรรม" ที่มีพลังในการกดดันรัฐบาล ซึ่งนำไปสู่การสร้างความรับผิดชอบ (accountability) จากฝ่ายรัฐ แต่ทั้งหมดนี้ไม่ได้ขึ้นอยู่แค่เทคโนโลยีหรือการมีองค์กรเท่านั้น ยังต้องอาศัยกลไกทางการเมือง เช่น บทบาทของฝ่ายค้าน หรือภาคการเมืองอื่น ๆ ที่จะร่วมกันผลักดันในทิศทางเดียวกันด้วย

ความน่าเชื่อถือของภาครัฐประเมินจากสิ่งใด ?


(แฟ้มภาพ) พิธีเปิดอาคารที่ทำการสำนักตรวจเงินแผ่นดินจังหวัดสุรินทร์ มีข้อความที่ติดไว้บนผนังภายในตึกระบุว่า "เงินของแผ่นดินนั้นคือเงินของประชาชนทั้งชาติ"

ปัญหาของรัฐราชการไทยไม่ได้มีแค่คนนอกที่รับรู้ แม้แต่ "รัฐราชการ" เองก็ตระหนักรู้เช่นเดียวกัน หน่วยงาน อาทิ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (ก.พ.ร.) ซึ่งตั้งขึ้นมาเพื่อหน้าที่ปฏิรูปราชการโดยเฉพาะ

ในเอกสาร "การพัฒนาระบบราชการและการบริการภาครัฐ" โดย ก.พ.ร. ที่เผยแพร่เมื่อเดือน เม.ย. 2560 สะท้อนชัดว่า "การเมือง-ระบบราชการ" บริหารงานแบบแนวดิ่งโดยมีส่วนกลางอยู่ยอดสุด ก่อนจะไล่ลงมาเป็นส่วนภูมิภาคและส่วนท้องถิ่น ซึ่งระบบนี้ต้องมีการปฏิรูปให้เป็นเป็นแนบราบมากขึ้น

สำหรับการปรับตัวนั้น ก.พ.ร. แนะนำไว้ว่า หัวใจสำคัญคือ "ภาครัฐต้องเป็นที่พึ่งของประชาชนและ

เชื่อถือไวว้างใจได้" โดยมีองค์ประกอบสามข้อคือ ภาครัฐต้องเปิดกว้างและเชื่อมโยงกัน ภาครัฐต้องมีความอัจฉริยะในการบริหารจัดการ และภาครัฐต้องยึดประชาชนเป็นศูนย์กลางการบริการและเข้าถึงความต้องการในระดับปัจเจก

เมื่อกลับมากดูในส่วนของการประเมินผลพบว่า ในรายงานการจัดอันดับความสามารถในการแข่งขันทั่วโลกประจำปี 2567 ของ International Institute for Management Development (IMD) พบว่า แม้ประเทศจะมีสถิติดีขึ้นถึง 5 อันดับ แต่เมื่อลงไปดูในฝั่งประสิทธิภาพของภาครัฐกลับพบว่าปัจจัยบางส่วนคงที่หรือลดลง และมีเพียงหัวข้อเดียวอย่างการคลังภาครัฐ ที่ปรับตัวดีขึ้นเมื่อเทียบกับการประเมินในปี 2566 ขณะที่กรอบบริหารภาครัฐมีอันดับแย่ลงถึง 5 อันดับ ขณะที่กฎหมายด้านธุรกิจแย่ลงถึง 8 อันดับ

นอกจากนี้ หากไปดูการจัดอันดับ หรือ ตัวชี้วัดธรรมาภิบาลทั่วโลก Worldwide Governance Indicators (WGI) ของธนาคารโลก ซึ่งจะไปวัดจากปัจจัย 6 ข้อคือ
  • Voice and Accountability (เสียงของประชาชนและความรับผิดชอบ) การมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชน เสรีภาพในการแสดงออก เสรีภาพสื่อ และความสามารถของประชาชนในการเลือกผู้นำ
  • Political Stability and Absence of Violence/Terrorism (เสถียรภาพทางการเมืองและการขาดความรุนแรง/การก่อการร้าย) การประเมินความเสี่ยงจากความไม่มั่นคงทางการเมือง การรัฐประหาร หรือความรุนแรง
  • Government Effectiveness (ประสิทธิภาพของรัฐบาล)ความสามารถของรัฐในการกำหนดและดำเนินนโยบายสาธารณะ การให้บริการของรัฐ และคุณภาพของข้าราชการ
  • Regulatory Quality (คุณภาพของกฎระเบียบ) ความสามารถของรัฐบาลในการกำหนดกฎระเบียบที่ส่งเสริมการพัฒนาภาคธุรกิจ และไม่สร้างภาระโดยไม่จำเป็น
  • Rule of Law (หลักนิติธรรม) การบังคับใช้กฎหมายอย่างเท่าเทียม ความเชื่อมั่นในระบบตุลาการ การปกป้องสิทธิในทรัพย์สิน
  • Control of Corruption (การควบคุมคอร์รัปชัน) การประเมินว่าการใช้อำนาจรัฐเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัวถูกควบคุมมากน้อยเพียงใด รวมถึงการคอร์รัปชันในภาครัฐและภาคเอกช
พบว่า คะแนนด้านประสิทธิภาพของรัฐบาลลดลง มาอยู่ที่ 0.17 ในปี 2023 เมื่อเทียบกับคะแนน 0.25 ในปี 2018 โดยเป็นการให้คะแนนในกรอบตั้งแต่ -2.5 ไปถึง +2.5 โดยยิ่งคะแนนสูงแปลว่ายิ่งดี ขณะที่คะแนนการควบคุมการคอร์รัปชันก็ปรับลดลงเช่นเดียวกัน จาก -0.46 ในปี 2018 เป็น -0.49 ในปี 2023

https://www.bbc.com/thai/articles/cze1ge7xjyko


เราเห็นอะไรเมื่อวัฒนธรรมตรวจสอบของไทยถล่ม ?


Jon Sangkhamanee
17 hours ago
·
เราเห็นอะไรเมื่อวัฒนธรรมตรวจสอบของไทยถล่ม?
----
เหตุการณ์ตึก สตง. ถล่ม และกระแสวิพากษ์วิจารณ์การทำงานของ สตง. ในแง่ของการตรวจสอบที่ผ่านมาซึ่งมีปัญหามากมายนั้น ทำให้นึกถึงหนังสือ Audit Cultures: Anthropological Studies in Accountability, Ethics and the Academy (2000) ที่บรรณาธิการโดยนักมานุษยวิทยา Marilyn Strathern โดยเฉพาะในบทนำที่ Strathern เองเป็นคนเขียน

หนังสือ Audit Cultures เสนอว่าการตรวจสอบ (audit) และความรับผิดชอบตรวจสอบได้ (accountability) ไม่ได้เป็นเพียงกระบวนการด้านการเงินหรือการบริหารจัดการทั่วไป แต่มันกลายเป็น “วัฒนธรรม” ที่มีบทบาทสำคัญในการหล่อหลอมวิธีคิด วิธีการทำงาน และปฏิสัมพันธ์ในองค์กรต่างๆ ตั้งแต่ภาครัฐ มหาวิทยาลัย ไปจนถึงหน่วยงานระหว่างประเทศ การตรวจสอบในโลกยุคใหม่มีลักษณะเฉพาะคือทำงานผ่านการสร้าง “ตัวเลข” และ “มาตรฐาน” ที่ดูเหมือนมีความเป็นกลางและเป็นสากล แต่ในความจริงกลับเต็มไปด้วยข้อจำกัดทางการเมืองและอำนาจที่ซ่อนอยู่ภายใน ถ้าดูให้ดีๆ แล้วจะพบว่า audit ไม่ได้มีความเป็นกลางทางศีลธรรมเสมอไป — มันทำให้สิ่งที่เป็นนามธรรมและตีความได้ กลายเป็นสิ่งที่แน่นิ่งแข็งทื่อ รวมทั้งยังแฝงไว้ซึ่งอำนาจลำดับชั้น วาทกรรม และการนิยามสิ่งที่ “นับได้” เท่านั้น (only certain operations count)

ประเด็นที่ Strathern ชี้ให้เห็นก็คือ ความพยายามที่จะสร้าง "audit" ในฐานะวัฒนธรรมใหม่นั้น มันได้รวมเอา “คุณธรรม” บางอย่างเข้ามาด้วย เช่น ความโปร่งใส ความรับผิดชอบ และการบริหารจัดการที่ดี (good governance) แต่ขณะเดียวกัน มันก็กลับทำให้คุณค่าเหล่านี้กลายเป็น “พิธีกรรม” เอาตัวรอด (rituals of verification) หรือสิ่งที่องค์กรต้องแสดงให้เห็น มากกว่าเข้าใจและปฏิบัติอย่างจริงใจ

จุดที่น่าสนใจคือ Strathern เสนอว่า audit กลายเป็นสิ่งที่แทบจะไม่สามารถถูกวิพากษ์วิจารณ์ได้ในตัวมันเอง เพราะสิ่งที่มันอ้างถึง เช่น ความโปร่งใส และความรับผิดชอบนั้น ดูจะเป็นคุณธรรมที่ทุกคนยอมรับว่าเป็นสิ่งที่ดีอยู่แล้ว ดังนั้น audit จึงถูกทำให้เป็นธรรมชาติ (naturalized) และกลายเป็นเครื่องมือศักดิ์สิทธิ์ (แท้กระทั่งอภิสิทธิ์) ในการใช้อำนาจหรือกดดันองค์กรต่างๆ โดยที่องค์กรเองก็ไม่อาจต้านทานหรือวิพากษ์กลับได้ง่ายๆ

ในอีกแง่หนึ่ง หนังสือยังชี้ให้เห็นถึงผลพวงที่เกิดจากวัฒนธรรม audit ที่ไม่ค่อยถูกพูดถึงนัก เช่น การลดทอนความเป็นมนุษย์ (dehumanization) ของผู้ถูกตรวจสอบ โดยให้ความสำคัญกับตัวเลขหรือผลการวัดผลมากกว่าคุณค่าเชิงสังคมหรือบริบทที่ซับซ้อน ในบางครั้ง รูปแบบการ audit อาจขัดกับคุณค่าของวิชาชีพเอง เช่น นักวิจัยหรือคนทำงานอาจต้องเปลี่ยนวิธีทำงานเพื่อให้ “audit ได้” มากกว่าจะทำในสิ่งที่ดีจริง ผลก็คือ ผู้ปฏิบัติงานต่างๆ มักหันมาทำงานเพื่อให้ “ตรวจสอบได้” มากกว่าจะทำงานในรูปแบบที่ส่งเสริมคุณค่าเชิงสังคม หรือบริบทเชิงวัฒนธรรมเฉพาะที่

เหตุการณ์ตึก สตง. ที่ถล่มลงมาไม่เพียงแต่สร้างความเสียหายต่อชีวิตผู้คนที่ไม่อาจเรียกคืนกลับมาได้ และต่อโครงสร้างเชิงกายภาพเท่านั้น แต่มันได้กลายเป็นสัญลักษณ์ที่สะท้อนกลับไปยังสิ่งที่ Strathern เสนอ ในแง่ที่ว่า เหตุการณ์นี้ได้ทำให้ผู้คนกลับมาตั้งคำถามอีกครั้งถึงบทบาทของ “ผู้ตรวจสอบ” (auditors) ที่มีหน้าที่ตรวจสอบการใช้งบประมาณ ความโปร่งใส และความรับผิดชอบของหน่วยงานอื่นๆ ว่าแท้จริงแล้ว ผู้ตรวจสอบเองได้รับการตรวจสอบอย่างไร และมีความชอบธรรมในการใช้อำนาจนี้เพียงใด

นอกจากนี้การวิพากษ์วิจารณ์ยังขยายไปถึงว่า วัฒนธรรมการตรวจสอบในแบบราชการไทย นั้นแท้จริงแล้วเป็นอย่างไร มีบริบททางการเมืองและอำนาจแบบไหนที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังระบบ audit ที่ดูเหมือนเป็นกลาง

ปรากฏการณ์ตึกถล่มจึงนำมาสู่ข้อสงสัยว่า audit culture แบบราชการไทยนั้นอาจเป็นการ perform หรือ “แสดง” ให้เห็นถึงความโปร่งใส มากกว่าการสร้างความรับผิดชอบจริงๆ เพราะหากวัฒนธรรม audit ไทยสนใจแต่การสร้างตัวเลขหรือรายงานผลตรวจสอบที่ดูดี "บนกระดาษ" แต่ไม่ได้ให้ความสำคัญกับบริบทหรือความซับซ้อนของหน่วยงานต่างๆ ระบบตรวจสอบที่ดูเข้มแข็งจึงอาจมีจุดอ่อนที่ใหญ่โตอยู่ภายใน — เหมือนตึกที่ดูแข็งแรงแต่กลับพังทลายลงอย่างง่ายดายเมื่อเกิดแรงสั่นสะเทือนจากภายนอก

อีกประเด็นที่ควรอภิปรายให้มากคือ ความสัมพันธ์ระหว่างผู้ตรวจสอบกับหน่วยงานที่ถูกตรวจสอบ Cris Shore และ Susan Wright (บทที่ 2 ของหนังสือ) เสนอคำว่า “coercive accountability” ซึ่ง audit กลายเป็นเครื่องมือบังคับ มากกว่าเป็นกระบวนการเสริมสร้างความรับผิดชอบ ระบบแบบนี้แหละจะสร้างบรรยากาศของความไม่ไว้ใจ การเก็บซ่อนข้อมูล หรือการต่อต้านเงียบๆ มากกว่าจะเกิดการร่วมมือหรือสร้างสรรค์คุณค่าทางสังคมที่แท้จริง

สิ่งที่เราควรตั้งคำถามต่อไปคือ แล้วใครจะ audit หรือใครจะตรวจสอบวัฒนธรรมการตรวจสอบเอง? — ซึ่งนี่คือโจทย์สำคัญที่เหตุการณ์นี้ได้ทิ้งไว้ให้สังคมไทยในวันนี้

https://www.facebook.com/photo/?fbid=10163058466531802&set=a.10151844965541802



สตง. ถล่ม ดีเอสไอรับเป็นคดีพิเศษแล้ว


‘นอมินี-ฮั้วประมูล-วัสดุไม่มาตรฐาน’ สรุป 3 ปมตรวจสอบตึก สตง. ถล่ม ดีเอสไอรับเป็นคดีพิเศษแล้ว

2 เมษายน 2568
ประชาไท

การพังถล่มลงมาของอาคารสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) แห่งใหม่ ที่อยู่ระหว่างการก่อสร้าง จากเหตุการณ์แผ่นดินไหวที่มีจุดศูนย์กลางในประเทศพม่า เมื่อบ่ายวันที่ 28 มี.ค. ที่ผ่านมา นำมาซึ่งคำถามที่ว่า การก่อสร้างตึกแห่งนี้มีความโปร่งใสหรือไม่ ทำไมโครงการของรัฐที่ใช้งบประมาณหลักพันล้านบาทจึงกลายเป็นอาคารแห่งเดียวในประเทศไทยที่ถล่มลงมา

ประเด็นความโปร่งใสของการก่อสร้างที่กำลังถูกตรวจสอบ แบ่งออกเป็น 3 เรื่องหลัก ได้แก่
  • ทำไม บริษัท ไชน่า เรลเวย์ นัมเบอร์ 10 (ประเทศไทย) ที่อยู่เบื้องหลังการก่อสร้างตึกแห่งนี้ จึงคว้างานก่อสร้างภาครัฐไปได้เพียบ
  • บริษัทดังกล่าว อาจมีการใช้คนไทย 3 คนเป็นนอมินีถือหุ้นแทนหรือไม่
  • ในการก่อสร้าง พบว่ามีการใช้ชิ้นส่วนเหล็กจากจีนที่ไม่ได้มาตรฐานจาก บริษัท ซิน เคอ หยวน สตีล จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทที่ถูกกรมโรงงานอุตสาหกรรมสั่งปิดชั่วคราวไปแล้วตั้งแต่เมื่อเดือนธันวาคมปี 2567
ประชาไทรวบรวมการตรวจสอบในแต่ละประเด็น โดยรวบรวมข้อมูลจากที่ปรากฏในสื่อมวลชน

ดีเอสไอรับเป็นคดีพิเศษ ปม ‘นอมินี-ฮั้วประมูล-มอก.’

ในวันนี้ (2 เม.ย.) หลายสำนักข่าว ได้แก่ ไทยรัฐ, ไทยโพสต์ และผู้จัดการออนไลน์ รายงานตรงกันว่า พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ยืนยันว่ากรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) รับคดีตึก สตง.ถล่มเป็นคดีพิเศษเป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยใช้อำนาจของอธิบดี เป็นความผิดท้ายพระราชบัญญัติการสอบสวนคดีพิเศษในการพิจารณา และจากการรวบรวมพยานหลักฐานพบว่า บริษัทดังกล่าวมีพฤติกรรมการเป็นนอมินี ซึ่งปกติบริษัทต่างชาติที่เข้ามาลงทุนในประเทศไทยจะต้องมีการแบ่งสัดส่วนผลประโยชน์ให้คนไทย 51% และเป็นต่างชาติ 49%

ทางกรมสอบสวนคดีพิเศษมีหลักฐานมากพอที่จะสามารถเชื่อได้ว่า บริษัทแห่งนี้เข้าข่ายการเป็นนอมินี ประกอบกับมีความเสียหายมูลค่ามากกว่า 100 ล้านบาท ถือได้ว่าเข้าข่ายการเป็นคดีพิเศษ นอกจากความผิดที่มีการรับเป็นนอมินีแล้ว จะมีการขยายผลในคดีเรื่องสินค้าที่ไม่ได้คุณภาพของ มอก. การฮั้วประมูล และดูคุณภาพเนื้องาน ซึ่งถือเป็นปัจจัยสำคัญในการที่ทำให้ตึกถล่มลงมา

พ.ต.อ.ทวี กล่าวว่า ไม่ได้รู้สึกถึงความกังวล ในการสอบสวนคดีนี้ถึงแม้ว่า บริษัทดังกล่าวจะเป็นบริษัทลูกของหนึ่งในรัฐวิสาหกิจจีน ตนเองยืนยันว่าจะดำเนินการให้โปร่งใสมากที่สุดถึงแม้ว่าจะเป็นใครก็ตาม และจะมีการตรวจสอบย้อนหลังไปถึง โครงการอีก 10 โครงการ ที่ได้รับการประมูลไปจากทางภาครัฐ รวมไปถึงรายละเอียดเรื่องวิศวกรที่เป็นชาวต่างชาติ ที่ใช้วีซ่านักศึกษาเข้ามาทำงานด้วย นอกจากบริษัทนี้กรมสอบสวนคดีพิเศษจะทำการตรวจสอบบริษัทอื่นๆ ที่มีลักษณะการร่วมทุนของชาวต่างชาติ ทั่วประเทศ ว่ามีบริษัทใดบ้างที่มีพฤติกรรมการรับเป็นนอมินี เพื่อที่จะขยายผลและดำเนินคดีต่อไป

คว้างานก่อสร้างหน่วยงานรัฐเพียบ

สำนักข่าวกรุงเทพธุรกิจรายงานว่า โครงการนี้มีการชงของบประมาณเพื่อขอก่อสร้างมาตั้งแต่ปีงบประมาณ 2550 หรือราว 18 ปีก่อน ต่อมามีการขอปรับเปลี่ยนงบประมาณในปี 2563 ออกเป็น 2 แบ่งเป็นงานก่อสร้างอาคารดังกล่าว วงเงิน 2.1 พันล้านบาทเศษ ดำเนินการโดย กิจการร่วมค้า ไอทีดี-ซีอาร์อีซี (บริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ จํากัด (มหาชน) และบริษัท ไชน่า เรลเวย์ นัมเบอร์ 10 (ประเทศไทย) จํากัด

ตามรายงานของไทยพีบีเอส บริษัท ไชน่า เรลเวย์ นัมเบอร์ 10 (ประเทศไทย) จํากัด เป็นบริษัทลูกของ China Railway No.10 Engineering Group หนึ่งในรัฐวิสาหกิจจีนในเครือ China Railway Group Limited (CREC) ที่เข้ามาดำเนินธุรกิจในไทยตั้งแต่ปี 2561 ใช้โมเดลทางธุรกิจแบบ "กิจการร่วมค้า" กับบริษัทเอกชนไทย เพื่อเข้าร่วมประมูลงานก่อสร้างภาครัฐขนาดใหญ่หลายโครงการ ทำให้เกิดคำถามถึงวิธีการเข้าประมูลงานของบริษัท ซึ่งมักเข้าไปซื้อซองเอกสารแต่ไม่ยื่นเสนอราคาเอง และไปจับมือกับเอกชนไทยรายใหญ่เพื่อยื่นซองแทนในนาม "กิจการร่วมค้า"

จากคลิปข่าวของเนชั่น ทีวี ระบุว่า บริษัท ไชน่า เรลเวย์ นัมเบอร์ 10 (ประเทศไทย) จํากัด ซึ่งดูแลโครงการในประเทศไทยนั้น เข้าเป็นกิจการร่วมค้า และได้คว้างานประมูลภาครัฐไปแล้วอย่างน้อย 14 แห่ง รวมมูลค่า 7.2 พันล้านบาท

ตัวอย่างเช่น
  • โครงการก่อสร้างสนามบินนราธิวาส วงเงินกว่า 639 ล้านบาท
สำหรับโครงการนี้ เว็บไซต์ข่าวหุ้น รายงานว่า มีผู้รับจ้าง คือ “กิจการร่วมค้าซีไอเอส” ซึ่งประกอบด้วย บริษัท ไอเอสโอ เอนจิเนียริ่ง จำกัด และ บริษัท ไชน่า เรลเวย์ นัมเบอร์ 10 (ประเทศไทย) จำกัด ที่กำลังเป็นประเด็นอยู่ในตอนนี้

วันนี้ (2 เม.ย.) มนพร เจริญศรี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า เนื่องจากงานคืบหน้าน้อยมากและไม่เป็นไปตามกำหนด จึงเตรียมจะยกเลิกสัญญากับทาง “กิจการร่วมค้าซีไอเอส””และขึ้นแบล็กลิสต์
  • สถาบันการแพทย์จักรีนฤบดินทร์ วงเงินกว่า 146 ล้านบาท
  • อาคารชุดพักอาศัยข้าราชการตุลาการ ศาลอุทธรณ์ภาค 9 วงเงิน 386 ล้านบาท
  • โครงการก่อสร้างอาคารที่ทำการ สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) จ.นนทบุรี วงเงินกว่า 716 ล้านบาท
อาจใช้คนไทยเป็นนอมินีถือหุ้นแทน

  • จากรายงานของกรุงเทพธุรกิจระบุว่า บริษัท ไชน่า เรลเวย์ นัมเบอร์ 10 (ประเทศไทย) จํากัด มี ไชน่า เรลเวย์ นัมเบอร์ 10 เอ็นจิเนียริ่ง กรุ๊ป คัมปะนี (สัญชาติจีน) ถือหุ้นใหญ่สุด 49% และมี “คนไทย” ร่วมถือหุ้น 3 คน คือ โสภณ มีชัย, มานัส ศรีอนันท์ และประจวบ ศิริเขตร“โสภณ-มานัส” ได้ร่วมถือหุ้น “บริษัทในเครือทุนจีน” อีกหลายสิบแห่ง ขณะเดียวกันที่ตั้งของ บริษัท ไชน่า เรลเวย์ นัมเบอร์ 10 (ประเทศไทย) จํากัด ใช้ที่อยู่เดียวกันกับบริษัทที่ “โสภณ-มานัส” ร่วมถือหุ้นหรือเป็นกรรมการอีก 9 แห่ง
  • ส่วนในกรณีของ “ประจวบ” พบว่าเขาเป็นกรรมการบริษัทอย่างน้อย 4 แห่ง (เท่าที่ตรวจสอบพบ) และถือหุ้นอย่างน้อย 8 แห่ง
  • จากข้อมูลข้างต้น จะพบว่าทั้ง โสภณ, มานัส และประจวบ ต่างเป็นกรรมการ หรือผู้ถือหุ้น ในบริษัทเครือข่าย “ทุนจีน” ที่เป็นผู้ถือหุ้นร่วมกัน หรือที่ตั้งบริษัทเดียวกันกับ บริษัท ไชน่า เรลเวย์ นัมเบอร์ 10 (ประเทศไทย) จำกัด
คลิปข่าวไทยรัฐทีวีรายงานเกี่ยวกับคนไทยทั้ง 3 คนไว้ว่า ถ้าดูจากอาชีพการงานและพื้นเพของแต่ละคน คงไม่น่าที่จะไปถือหุ้นใหญ่ได้ขนาดนี้

เพจเฟซบุ๊กดัง CSI LA โพสต์ตั้งข้อสังเกตว่า คนไทย 3 รายดังกล่าว อาจเข้าไปถือหุ้นแทน (เป็นนอมินี) ให้กับบริษัทจีน ทั้งนี้ ยังไม่มีการตรวจสอบว่าข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร

ซิน เคอ หยวน : เครนถล่ม โรงงานไฟไหม้ เหล็กไม่ได้คุณภาพ

แม้ว่าการถล่มของตึกจะเกิดได้จากหลายปัจจัย แต่ปัจจัยที่ถูกจับตาอย่างมากในตอนนี้คือคุณภาพของเหล็กข้ออ้อย 2 ขนาดที่สอบตกมาตรฐานที่ภายหลังมีรายงานว่าเป็นเหล็กยี่ห้อ “SKY” ตัวย่อของบริษัท ซิน เคอ หยวน สตีล จำกัด

เรื่องการตรวจสอบเหล็กเส้นที่ใช้ก่อสร้าง เอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม มาติดตามตรวจสอบถึงที่เกิดเหตุเองและมาชี้แจงเป็นระยะตั้งแต่หลังเกิดเหตุเพียง 1 วัน และตอนนี้ก็อยู่ในการติดตามของ “ทีมสุดซอย” หรือคณะกรรมการตรวจสอบการประกอบการอุตสาหกรรมอย่างเข้มข้น ที่เอกนัฏตั้งขึ้นมาติดตามตรวจสอบโรงงานอุตสาหกรรม

ตามที่มีรายงานข่าว มีเหล็กเส้นจำนวน 28 เส้นจาก 3 บริษัทได้แก่ SKY (บริษัทซินเคอหยวน ซึ่งเป็นผู้ผลิตจากจีน) TATA (บริษัท ทาทา สตีล ผู้ผลิตจากอินเดีย) และ TYS ( เครือบริษัทไทยคูณ ผู้ผลิตจากจีนร่วมทุนกับไทย) ถูกเก็บจากพื้นที่เกิดเหตุแล้วส่งไปตรวจสอบที่สถาบันเหล็กและเหล็กกล้าแห่งประเทศไทย (ITSI) เมื่อวันที่ 30 มี.ค.ที่ผ่านมา ก่อนจะมีการแถลงในช่วงค่ำวันถัดมา

แต่จากการแถลงข่าวของทีมตรวจสอบก็ทำให้ได้รู้ว่านอกจากข้อกังวลในการเข้าพื้นที่เก็บหลักฐานจะซ้อนกับงานช่วยเหลือผู้บาดเจ็บ ยังเจอปัญหาจากเจ้าของพื้นที่อย่าง สตง.ด้วยและความกังวลของผู้แถลงอย่างนนทิชัย ลิขิตาภรณ์ ผู้อำนวยการกองตรวจการมาตรฐาน 1 ที่กล่าวว่าหากบอกขนาดเหล็กที่เป็นปัญหาแล้ว “ส่งผลให้ที่หน้างานเปลี่ยนแปลงสภาพในบางเรื่อง” และอยากให้การทำงานง่ายกว่าเมื่อวันที่ 30 มี.ค.

อย่างไรก็ตาม ข้อมูลจากการแถลงทำให้ทราบว่าเหล็กที่มีปัญหามีผลตรวจสอบไม่เป็นไปตามมาตราฐานทั้ง 2 ขนาดคือ ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 20 มม.มวลต่อเมตรไม่ได้ตามมาตรฐานซึ่งจะทำให้รับ และ 32 มม.มีจุดครากก่อนที่เหล็กจะเกิดการเสียรูปถาวรไม่ได้ตามมาตรฐาน และเอกนัฏได้ระบุว่าเป็นเหล็กจากบริษัท ซิน เคอ หยวน

แต่ผู้ตรวจสอบก็ยังต้องการตัวอย่างเหล็กจากที่เกิดเหตุเพิ่มเติมแต่ยังไม่สามารถเข้าไปเก็บเพิ่มเติมได้

ข้อมูลที่ปรากฏจากการให้สัมภาษณ์ของเอกนัฏ ปรากฏว่าบริษัทเจ้าของเหล็กดังกล่าวทางกระทรวงอุตสาหกรรมเพิ่งถูกสั่งปิดชั่วคราวและยึดเหล็กข้ออ้อยของกลางขนาด 16, 25 และ 32 มม.ที่ผลิตเมื่อช่วงเดือน ต.ค.-ธ.ค. 2567 ไปจำนวน 2,441 ตัน มูลค่าราว 49.2 ล้านบาท ไปรอบหนึ่งแล้วตั้งแต่มกราคม 2568 เนื่องจากทีมสุดซอยของกระทรวงพบว่าเหล็กที่บริษัทผลิต “ตกเกณฑ์ที่สำคัญที่ส่งผลโดยตรงกับความแข็งแรงของเหล็ก”

ผลตรวจสอบเหล็กของบริษัทจากสถาบันเหล็กและเหล็กกล้าแห่งประเทศไทยในตอนนั้นที่พบปัญหาคือเหล็กข้ออ้อย ไม่ผ่านเกณฑ์มาตรฐาน 2 รายการ คือ ในรายการส่วนสูงของบั้งที่มีผลทำให้ความสามารถในการยึดเกาะระหว่างเนื้อเหล็กและเนื้อคอนกรีตลดลง เมื่อนำไปใช้งาน และรายการธาตุโบรอน มีผลทำให้เนื้อเหล็กเปราะ ความเหนียวของเนื้อเหล็กลดลง ซึ่งอาจทำให้ไม่สามารถรับแรงดึงได้ตามที่มาตรฐานกำหนด

นอกจากนั้นทางกระทรวงยังดำเนินคดีกับผู้ประกอบการอย่าง เจี้ยนฉี เฉิน, สู้ หลงเฉิน และสมพัน ปันแก้ว เป็นกรรมการด้วยในฐานความผิดผลิตภัณฑ์ไม่ได้มาตรฐาน

อย่างไรก็ตาม หลังจากสื่อนำเสนอว่าเหล็กจากบริษัทซิน เคอ หยวนคุณภาพไม่ได้ตามมาตรฐาน วันนี้ทางบริษัทก็ออกมาโต้แย้งระหว่างทีมสุดซอยไปตรวจสอบที่โรงงานว่ายังดำเนินการผลิตอยู่หรือไม่ เมื่อทีมตรวจสอบจะเก็บเหล็กตัวอย่างขนาด 32 มม.ไปตรวจสอบก็เกิดการโต้เถียงกันกับตัวแทนของบริษัท

ทางตัวแทนของบริษัทโต้แย้งว่าค่ามาตรฐานของสถาบันเหล็กและเหล็กกล้าฯ สูงเกินไป จึงจะขอให้นำไปตรวจสอบที่สถาบันยานยนต์อีกแห่งด้วยเนื่องจากมาตรฐานค่าโบรอนของสองสถาบันนี้ต่างกัน แต่ถ้าหากค่าโบรอนในเหล็กของบริษัทตกมาตรฐานทั้งสองสถาบันก็จะยอมรับ และผู้ช่วยผู้บริหารของโรงงานยังบอกกับสื่อด้วยว่าการอายัดเหล็กของของกระทรวงอุตสาหกรรมก่อนหน้านี้ก็ไม่เป็นธรรมกับบริษัทด้วยเพราะนำตัวอย่างไปตรวจแค่ 5 เส้นเท่านั้น

แต่ไม่ใช่แค่สินค้าที่ผลิตจะไม่ได้คุณภาพ การดำเนินกิจการของบริษัทก็ดูน่าสงสัยถึงมาตรฐานการดำเนินงาน เพราะเหตุที่ทำให้บริษัทถูกกระทรวงเข้าตรวจสอบก็เพราะเหตุไฟไหม้ของโรงงานที่ ต.หนองละลอก อ.บ้านค่าย จ.ระยอง เมื่อเดือนธันวาคม 2567 จนพบว่าบริษัทมีข้อบกพร่องทั้งด้านความปลอดภัย ด้านสิ่งแวดล้อมด้วย

แต่ถ้าย้อนไปอีกเมื่อ 1 ปีที่แล้ว 29 มี.ค.2567 โรงงานของบริษัทซิน เคอ หยวนในต.ตาสิทธิ์ อ.ปลวกแดง จ.ระยองที่กำลังก่อสร้าง เกิดเหตุเครนก่อสร้างของโรงงานพังล้มทับคนงานของบริษัทเสียชีวิตไป 7 คน เป็นชาวพม่า 6 คนและคนจีน 1 คน จนคนงานรวมตัวประท้วงเพื่อเรียกร้องให้นายจ้างจ่ายค่าชดเชยคนละ 5,000,000 บาท แต่นายจ้างต่อรองจะจ่ายแค่ 500,000 บาท

https://prachatai.com/journal/2025/04/112525



คนงาน #ยานภัณฑ์ ถูกกระทรวงแรงงานปิดรั้วใส่อีกแล้ว แม้จะมีการนัดหมายกับทางเลขา รมว. ไว้แล้วก็ตาม ทางคนงานที่ถูกเลิกจ้างเริ่มบ่นตัดพ้อ ทีไปกระทรวงอื่นต้อนรับกันหมดแต่ทำไมกระทรวงแรงงานถึงไม่ต้อนรับแรงงาน?







https://www.facebook.com/watch/?v=565133859975666
https://x.com/SiaJampathong/status/1907327493918646696



ผ่านไปอีกปี วันนี้ เป็นวันที่ 2 ของการเกณฑ์ทหาร วงรอบปี 2568 และเป็นปีที่ 2 ของการเกณฑ์ทหารในรัฐบาลเพื่อไทย


วิวาทะ V2
8 hours ago
·
"ผ่านไปอีกปีกับเทศกาลแรงงานฟรีจากภาษีประชาชน"

- มิตรฯ

https://www.facebook.com/photo/?fbid=1087432313412530&set=a.465768305578937

.....


TANADEJ PENGSUK
@TanadejP
·15h

จนกว่าจะยกเลิกเกณฑ์ทหาร 

วันนี้ เป็นวันที่ 2 ของการเกณฑ์ทหาร วงรอบปี 2568 และเป็นปีที่ 2 ของการเกณฑ์ทหารในรัฐบาลเพื่อไทย 

หากย้อนกลับไปในห้วงเวลาหาเสียงเลือกตั้ง ครั้งที่ผ่านมาหากยังจำกันได้หลายพรรคการ เมือง พูดถึง และนำเสนอนโยบายนี้ กันอย่างเป็นวงกว้าง 

และวันนี้ก็ยังเป็นคำถามที่ไม่มีคำตอบว่าสรุปแล้วรัฐบาลจะตัดสินใจและเดินหน้าในทิศทางไหน แต่พวกเรา พรรคประชาชน ยังขอยืนยันในเจตจำนง และยึดถือในคำมั่น ว่าพวกเราจะหน้าในประเด็นนี้ 
“จนกว่าวันที่ประเทศไทยจะยกเลิกเกณฑ์ทหาร” 

ภูมิขอเชิญชวนเพื่อน สส ทุกพรรคการเมือง พี่น้องประชาชนทุกคน ติดตามและขอชวนอ่าน ร่าง พรบ.รับราชการทหาร ที่นำเสนอโดย@paritw92 

ร่าง พรบ.ฉบับนี้ จะเป็นประตูอีกบานที่พาประเทศไทยเดินทางไปถึงวันที่เราจะยกเลิกเกณฑ์ทหารจริงๆ เสียที  

อ่านร่าง พรบ. 


https://x.com/TanadejP/status/1907280381000454566/
https://www.facebook.com/photo/?fbid=1087432313412530&set=a.465768305578937


หายใจลึกๆก่อนอ่าน สถิติที่ไม่ค่อยน่าภูมิใจ


NationTV
10 hours ago
·
เมื่อวันที่ 2 เม.ย. 68 สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย จัดกิจกรรมราชดำเนินเสวนา หัวข้อ “สังคายนาระบบเตือนภัย” เพื่อสร้างความรู้ ความเข้าใจ เกี่ยวกับระบบเตือนภัยแผ่นดินไหว โดยผ่านระบบ On Line ถ่ายทอดสด เพจสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย
ศ.ดร.เป็นหนึ่ง วานิชชัย ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยแผ่นดินไหว สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ กล่าวตอนหนึ่งไว้อย่างน่าสนใจว่า การสำรวจรอยเลื่อนของประเทศไทยควรทำอย่างต่อเนื่อง เพราะข้อมูลเรายังมีน้อยมาก และที่ผ่านมางบสำรวจรอยเลื่อนก็มีน้อยมาก หน่วยงานที่เกี่ยวข้องก็ควรให้ความสำคัญกับเรื่องพวกนี้
.
อย่างปัญหาของกรุงเทพฯ ก็ต้องไปเน้นการสำรวจลอยเลื่อนที่กาญจนบุรีเป็นพิเศษ แม้จะมีสำรวจอยู่บ้างแต่น้อยเกินไป ทำให้มีข้อมูลใช้ประโยชน์ได้น้อย ส่วนภาคเหนือมีหลายรอยเลื่อนกว่าสิบแห่งที่กระจายอยู่ บางที่ก็เห็นชัดบนผิวดิน
.
แต่ที่ซ่อนอยู่ในชั้นดินก็ต้องใช้เทคนิคทางด้านธรณีมาสำรวจ ตอนนี้ยังไม่มีการดำเนินการที่เป็นเรื่องเป็นราว คิดว่าหน่วยงานเกี่ยวข้องควรสำรวจอย่างสม่ำเสมอ มีงบสนับสนุนอย่างสม่ำเสมอ จะได้มีความรู้เพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆ และจะได้บริหารจัดการปัญหานี้ได้
"มีผู้เชี่ยวชาญจากต่างประเทศให้ข้อมูลที่น่าสนใจกับผมว่า อาคาร สตง.ที่ถล่ม จัดเป็นอาคารสูงที่อยู่ระยะไกลที่สุดที่มันพังจากแผ่นดินไหว เมื่อเทียบกับสถิติทั่วโลก และยังเป็นอาคารที่สูงที่สุดที่ถล่มจากแผ่นดินไหวด้วย คือทั้งสูงที่สุดและอยู่ไกลจากแผ่นดินไหวมากที่สุด เพราะฉะนั้นเรามีสถิติโลกสถิติใหม่ในครั้งนี้ อาจจะไม่ใช่เรื่องที่ภูมิใจนัก แต่มันชี้ให้เห็นว่าปัญหาแผ่นดินไหวของไทยอยู่ในระดับที่ต้องใส่ใจพอสมควร"

https://www.facebook.com/NationTV/posts/1110369164469109





 

เสียงจาก “สถาพร” ผู้ต้องขัง LGBTQ+ ถูกคุกคามทางเพศ หลังถูกย้ายมาเรือนจำบางขวาง


2/04/2568
ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน

2 เม.ย. 2568 ทนายความได้เดินทางไปที่เรือนจำบางขวางเพื่อเยี่ยม “จอย สถาพร” (สงวนนามสกุล) ชาวจังหวัดอุดรธานีวัย 33 ปี ผู้ต้องขังคดีตามมาตรา 112 จากการแสดงออกระหว่างขบวนเสด็จผ่านบริเวณอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย เมื่อวันที่ 2 พ.ค. 2565 ผู้ถูกคุมขังหลังศาลชั้นต้นพิพากษาจำคุก 1 ปี 6 เดือน และไม่ได้รับการประกันตัวระหว่างอุทธรณ์

ก่อนหน้านี้ สถาพรถูกจำคุกอยู่ที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพ ก่อนเมื่อวันที่ 19 มี.ค. 2568 จะถูกบังคับย้ายเรือนจำตามนโยบายของกรมราชทัณฑ์ ไปพร้อมกับ ก้อง อุกฤษฏ์ และ บุ๊ค ธนายุทธ มายังเรือนจำกลางบางขวาง โดยทั้งสามคนถูกแยกกันไปอยู่คนละแดน
.

เหตุการณ์หลังถูกบังคับย้ายเรือนจำ: ญาติยังเยี่ยมไม่ได้-ติดต่อสื่อสารลำบาก

สถาพรเล่าถึงเหตุการณ์ย้ายเรือนจำว่า ในช่วงเช้าวันนั้น ทราบชื่อผู้ต้องขังที่มีคำสั่งย้าย และพบว่าตนเอง รวมถึงบุ๊คและก้องอยู่ในรายชื่อจะถูกย้ายด้วย ตัวเขาไม่ต้องการย้ายเรือนจำ เนื่องจากเพื่อนและผู้ต้องขังที่เริ่มคุ้นเคยส่วนใหญ่อยู่ที่นั่น อีกทั้งสถานที่ใหม่ก็อยู่ไกล ทำให้คาดว่าจะติดต่อสื่อสารกับญาติได้ยาก

จอยยังเล่าว่า การบังคับย้ายเรือนจำดังกล่าวเกิดขึ้นอย่างกะทันหัน ไม่ได้มีโอกาสเตรียมตัวหรือนำข้าวของเครื่องใช้ที่จำเป็นติดตัวมาด้วย ทำให้ต้องมาหาซื้อใหม่ที่เรือนจำใหม่

รวมทั้งเขาต้องเผชิญกับความโดดเดี่ยวเนื่องจากยังไม่มีเพื่อน และยังต้องปรับตัวกับสภาพใหม่ทั้งหมด การติดต่อกับบุคคลภายนอกก็ยากขึ้น เนื่องจากไม่มีระบบ “โดมิเมล” ที่ช่วยให้ส่งจดหมายได้รวดเร็วขึ้นเหมือนในเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ หากต้องการติดต่อ ต้องใช้วิธีเขียนจดหมายส่งตามไปรษณีย์เท่านั้น

สถาพรยังกังวลเกี่ยวกับการเยี่ยมของญาติ เนื่องจากเรือนจำบางขวางกำหนดเงื่อนไขเข้มงวดมากกว่าเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ แม้เขาจะเพิ่มชื่อคุณยาย น้า ลุงและเพื่อนไว้ในรายชื่อผู้มีสิทธิเยี่ยมแล้ว แต่กลับยังไม่สามารถเข้าเยี่ยมได้ เนื่องจากต้องมีเอกสารรับรองความเป็นญาติอีก แต่เรือนจำบางขวางก็มีความแออัดน้อยกว่าที่เรือนจำเดิม และอาหารค่อนข้างดีกว่า
.

ถูกคุกคามทางเพศภายในเรือนจำ

นอกจากความโดดเดี่ยวจากการถูกแยกจากเพื่อนและห่างไกลจากญาติ สถาพรยังเป็นผู้ต้องขังที่อยู่ในกลุ่มประชากรเปราะบางทางเพศ เขาเป็นบุคคลที่อยู่ในกลุ่ม LGBTQ+ แต่กลับกลายเป็นเป้าให้กับการละเมิดภายในเรือนจำ

ในห้องเยี่ยม สถาพรได้พูดด้วยน้ำเสียงที่ค่อย ๆ เปิดเผยสถานการณ์อันเจ็บปวด โดยเล่าว่าตั้งแต่ถูกย้ายมาที่เรือนจำบางขวาง เขาถูกคุกคามทางเพศโดยผู้ต้องขังคนอื่น ๆ ทั้งการล้อเลียนทางวาจา การเหยียดหยามฐานะความหลากหลายทางเพศ ไปจนถึงการถูกจับเนื้อต้องตัว บางทีกระทั่งถูกจับอวัยวะเพศ ซึ่งเขาบอกว่าเกิดขึ้นแทบจะทุกวัน

จอยระบุว่า คนในห้องก็ไม่มีใครสนใจเรื่องนี้ อาจจะคิดว่าเป็นเรื่องปกติในพื้นที่นี้ และไม่รู้ว่าเรือนจำแห่งนี้มีห้องเฉพาะสำหรับผู้ต้องขังที่เป็น LGBTQ+ เหมือนที่เรือนจำคลองเปรมหรือไม่ ถ้าเป็นไปได้ตอนนี้เขาก็อยากย้ายแดน ทำให้ยังต้องติดตามเรื่องนี้ต่อไป
.

ทั้งนี้ทางศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนเตรียมยื่นหนังสือร้องเรียนในเรื่องการคุกคามทางเพศดังกล่าว ก่อนหน้านี้เมื่อเดือนมกราคม 2568 มีกรณีของ “แอมป์ ณวรรษ” ที่ร้องเรียนการถูกคุกคามทางเพศในเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ มาก่อนแล้ว โดยหลังมีการร้องเรียนเรื่องดังกล่าวจากทางเรือนจำ ทางเจ้าหน้าที่จึงได้มีการโยกย้ายแดนของผู้ต้องขัง
.

ย้อนอ่านเรื่องราวของสถาพร ขอความยุติธรรมจงสถิต “สถาพร” : การต่อสู้บนพื้นที่ชุมนุมของสื่อพลเมืองชาวอุดรฯ ก่อนตกเป็นจำเลยคดี 112


https://tlhr2014.com/archives/74524


สนามเลือกตั้งผู้พิพากษาระดับรัฐ กลายเป็นการทดสอบคะแนนเสียงของทรัมป์และอีลอน มัสก์ เมื่อวานผู้พิพากษา Susan Crawford 60 ปีจากฝั่งเดโมแครต ชนะเลือกตั้งได้เป็นผู้พิพากษาศาลฎีกาในรัฐ #วิสคอนซิน


Schumer Celebrates Liberal Judge Susan Crawford Beating Musk-Backed Candidate In Wisconsin Election

Forbes Breaking News

Apr 2, 2025

During remarks on the Senate floor Wednesday, Senate Minority Leader Chuck Schumer (D-NY) spoke about liberal judge Susan Crawford winning a seat on Wisconsin's Supreme Court despite Elon Musk pouring $25 million to promote conservative candidate, Brad Schimel.

https://www.youtube.com/watch?v=6FIikhKKb0U
.....



Pipob Udomittipong
9 hours ago
·
สนามเลือกตั้งผู้พิพากษาระดับรัฐ กลายเป็นการทดสอบคะแนนเสียงของทรัมป์และอีลอน มัสก์ เมื่อวานผู้พิพากษา Susan Crawford 60 ปีจากฝั่งเดโมแครต ชนะเลือกตั้งได้เป็นผู้พิพากษาศาลฎีกาในรัฐ #วิสคอนซิน วาระ 10ปี ในการการแข่งขันที่มีค่าใช้จ่ายสูงสุดเป็นประวัติศาสตร์ มีเงินบริจาคสำหรับการรณรงค์หาเสียงเกือบ 100 ล้านเหรียญ โดยเฉพาะ 25 ล้านเหรียญของมัสก์

เมื่อวันอาทิตย์ อีลอน มัสก์มอบเช็คเงินรางวัล 1 ล้านเหรียญ 2 ใบให้กับคนที่จะเป็นเป็น “แกนนำ” หาผู้มาลงชื่อสนับสนุนแถลงการณ์ของเขาที่ระบุว่าจะไม่เลือก “ผู้พิพากษาที่เป็นนักกิจกรรม” ซึ่งชัดเจนว่าหมายถึงผพษ.ซูซาน ครอว์ฟอร์ดที่เป็นฝ่ายเสรีนิยม และจะให้คนที่ลงชื่อเพิ่มเติมอีกคนละ 20 เหรียญ

เรียกว่าเป็นการ “ซื้อเสียง” อย่างโจ่งแจ้ง แต่กม.เอาผิดไม่ได้

พูดกันแฟร์ ๆ ผพษ.ฝั่งเดโมแครตก็ได้รับทุนสนับสนุนจากมหาเศรษฐี รวมทั้งจอร์จ โซรอสด้วย แต่ระดับของเงินทุนต่างกันมาก ครอว์ฟอร์ดชนะด้วยคะแนนเสียง 55% ส่วนคู่แข่งที่เป็นผพษ.ฝ่ายอนุรักษ์นิยมได้ 45% ในการเลือกตั้งซึ่งมีผู้มาใช้สิทธิมากเป็นประวัติการณ์ในรัฐที่ทรัมป์ชนะ 2/3 ครั้งที่ผ่านมา

ถือว่าการเลือกตั้งศาลฎีกาของวิสคอนซิน เป็นการแข่งขันหาตัวผู้พิพากษาศาลที่มีค่าใช้จ่ายสูงสุดในประวัติศาสตร์ของสหรัฐฯ และเงินบริจาคมาจากมหาเศรษฐีจากนอกรัฐเป็นส่วนใหญ่

ในอีกสนามเลือกตั้งหนึ่งที่ #ฟลอริดา เป็นการเลือกตั้งซ่อม สส. 2 คน ที่เข้ามารับตำแหน่งในครม.ทรัมป์ พรรครีพับลิกันเอาชนะคู่แข่งจากพรรคเดโมแครตได้ตามความคาดหมาย ทำให้เสียงข้างมากของพรรครีพับลิกันในสภาผู้แทนราษฎรเพิ่มขึ้นเป็น 220 เสียง เทียบกับ 213 เสียงของพรรคเดโมแครต

แต่ก็ถือว่า ผู้สมัครทั้งสองคนจากพรรคเดโมแครตทำผลงานได้ดีกว่าที่คาดไว้มาก เพราะได้คะแนนเสียงราว 42% ลดความแตกต่างด้านคะแนนเสียงลงไปเกือบครึ่งหนึ่ง เมื่อเทียบกับผลการเลือกตั้งเมื่อเดือนพ.ย.ที่แล้ว ทรัมป์ชนะที่ฟลอริดาด้วยคะแนน 56% แสดงว่าแม้แต่ในเขตเลือกตั้งที่ชัวร์ คนเริ่มแสดงความไม่พอใจต่อทรัมป์แอนด์โค
https://www.ft.com/.../2c3fda08-90eb-4aa0-bd81-a5cdda2046e5

https://www.facebook.com/photo/?fbid=10162335626226649&set=a.10150096728651649


ความเลวของพวกใช้ AI สร้างวิดีโอปลอม เพื่ออวดอ้างเกินจริง ความเสียหายที่เกิดจากแผ่นดินไหวในเมียนมา บีบีซีเวอริฟายพิสูจน์ให้เห็นว่ามันถูกปลอมแปลงได้อย่างไร คนพวกนี้ควรถูกประณาม



บีบีซีไทย - BBC Thai
7 hours ago
·
วิดีโอที่อ้างว่าแสดงขนาดของความหายนะที่เกิดจากแผ่นดินไหวในเมียนมา แต่แท้จริงแล้วถูกสร้างขึ้นโดยเอไอ (AI) มีผู้เข้าชมมากกว่า 14 ล้านคน บีบีซีเวอริฟายพิสูจน์ให้เห็นว่ามันถูกปลอมแปลงได้อย่างไร
.....


https://www.facebook.com/BBCnewsThai/posts/1155192596640903
https://www.tiktok.com/@bbcnewsthai/video/7488650884839263496



ประชาสัมพันธ์ #15ปีเมษาพฤษภา53 งานรำลึกและสดุดีวีรชน #เมษาพฤษภา53 นิรโทษกรรมให้คนเป็น ทวงความยุติธรรมให้คนตาย

@immvvry
·1h

ประชาสัมพันธ์ #15ปีเมษาพฤษภา53 
งานรำลึกและสดุดีวีรชน คนเสื้อแดง 
วันที่ 10 เมษายน 2568 
ณ บริเวณด้านหน้าอนุสรณ์สถาน 14 ตุลา
(แยกคอกวัว) เริ่มตั้งแต่ 12:00 น. - 18:00 น.

กำหนดการค่ะ ฝากช่วยกันกระจายข่าวหน่อยนะคะ  🙏🏻


https://x.com/immvvry/status/1907464966007103936



วันพุธ, เมษายน 02, 2568

มีคนถาม “พระเจ้าของนาย ‘นอเดียว’ นี่หน้าเหลี่ยมป่ะครับ” ก็เรื่องบรรจุร่าง กม.คาสิโนเข้าสภาฯ “ด่วนจี๋” นั่นละ

มีคนถาม “พระเจ้าของนาย นอเดียว นี่หน้าเหลี่ยมป่ะครับ” ก็เรื่องบรรจุร่าง กม.คาสิโนเข้าสภาฯ “ด่วนจี๋” เป็นวาระพิเศษ ๓ เมษานี้น่ะละ นายคนนี้บอก “ที่ผมสงสัยคือ ตอนเรื่อง สมรสเท่าเทียม ดัดจริตจะเคร่งเป็นมุสลิมขึ้นมา ร่วมโหวตไม่ได้

แต่พอเรื่องคาสิโน การพนัน ที่อิสลามห้ามเด็ดขาด ไม่ยักเคอะเขินเลยแฮะ” ทำไงได้ ประธานวิปรัฐบาลทั่นบอก “ทำให้มันทัน อะไรไม่ทันต้องทัน” วิสุทธิ์ ไชยณรุณ ไม่ได้สั่ง วัน มูฮัมหมัด นอร์มะทา นะ เขาแค่ตอบผู้สื่อข่าว ที่ว่าจะพิจารณา กม.คาสิโนทันไหม

มันหมิ่นเหม่มากอยู่ อย่างที่ พริษฐ์ วัชรสินธุ ชี้ว่าสภาเหลือวันประชุมอีกแค่สี่ครั้ง คือ ๒ เมษา ๓ เมษา ๙ เมษา และ ๑๐ เมษา แล้วยังมีร่างกฎหมาย ด่วนรอพิจารณาสมัยประชุมนี้อีก ๑๑ ฉบับ ซึ่ง ๘ ฉบับ ครม.เสนอเข้ามาเอง

กับอีก ๓ ฉบับ “ที่ กมธ.พิจารณาเสร็จแล้วเพื่อกลับมานำเสนอในวาระสอง เช่น กฎหมายคุ้มครองแรงงานที่รวมถึงการเพิ่มสิทธิลาคลอด” ฉะนั้นการ “ทำให้มันทัน” ย่อมหมายถึงดันให้ร่างฯ ๑๑ ฉบับ ผ่านอย่าง Super fast ซึ่งคือ บีบเวลาของ กม.อื่น

ไอติมบอกว่าเมื่อเช้าวันศุกร์ (๒๘ มีนา) รมต.จุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ ให้สัมภาษณ์ยอมรับว่ารัฐบาลยังไม่ได้มีการทำ Feasibility study หรือ รายงานการศึกษาความเป็นไปได้ โดยตั้งใจจะทำหลังจากนโยบายคาสิโนนี้ผ่านสภาออกมาก่อน

ฝ่ายค้านเลยข้องใจทำไมต้องร้อนรนเหลือเกินกับการดันโครงการ Entertainment Complex นี้ “หากกฎหมายผ่านแล้วทำผลการศึกษาความเป็นไปได้แล้วพบว่าไม่ควรทำ แล้วจะว่าอย่างไร จะรับผิดชอบอย่างไร” ปกรณ์วุฒิ อุดมพิพัฒน์สกุล ส.ส.ปชน. ถาม

เขาประกาศแจ้งไปยังประธานฯ วันนอร์ ว่า “ฝ่ายค้านมีมติไม่เห็นด้วยที่จะนัดประชุมเพิ่ม เนื่องจากเรายังไม่มีรายละเอียดของร่างกฎหมายฉบับนี้ รัฐบาลถือว่ามีเสียงข้างมาก จะดึงดันให้ได้ ก็ต้องตั้งคำถามกันดังๆ ให้สังคมได้รับรู้

“เรื่องนี้ต้องมีรายละเอียด” ปกรณ์วุฒิ แถม “ในรายละเอียดต้องมีเนื้อหาว่าป้องกันการทุจริตด้วยหรือไม่ ป้องกันความเสียหายได้ดีพอหรือยัง จุดประสงค์หลักจริงๆ เป็นไปเพื่ออะไร ดังนั้น จำเป็นที่เราจะต้องเห็นร่างทั้งหมดก่อน”

ดังนั้นที่มี ‘I-bag’ นายหนึ่งออกมาแถแทนรัฐบาลว่า feasibility นั้นทำหมดแล้ว “กล่าวคือเราได้ศึกษาแล้วว่า ดีหรือไม่ ควรจะทำอย่างไร แต่แค่ยังไม่ได้ศึกษาว่า ควรจะเป็นที่ไหนแน่ หรือ ควรจะลงทุนเท่าไหร่แน่ คงแค่ตอแหล หรือมุสาตามถนัดเท่านั้น

(https://www.matichonweekly.com/hot-news/article_835903, https://x.com/paritw92/status/1906580904488951949 และ https://www.facebook.com/suraphotthaweesak/posts/MprchJ29nzssi)

ไชน่า เรลเวย์ No.10” กวาดงานรัฐอื้อ จีนทุนหนา ใช้โมเดล ”ซื้อซอง“ แต่ไม่ ”ยื่นซอง“ เอง ดีลธุรกิจไทยแบบ ”กิจการร่วมค้า“ ต้องบอกว่า ”ยิ่งขุดยิ่งเจอ“ บริษัทจีน สร้างตึกทนแผ่นดินไหวไม่ได้ จนถล่ม ปรากฎเป็นคู่สัญญาราชการไทยหลายโครงการ


NationTV
10 hours ag0
·
ไชน่า เรลเวย์ No.10” กวาดงานรัฐอื้อ จีนทุนหนา ใช้โมเดล ”ซื้อซอง“ แต่ไม่ ”ยื่นซอง“ เอง ดีลธุรกิจไทยแบบ ”กิจการร่วมค้า“
.
ต้องบอกว่า ”ยิ่งขุดยิ่งเจอ“ บริษัทจีน สร้างตึกทนแผ่นดินไหวไม่ได้ จนถล่ม ปรากฎเป็นคู่สัญญาราชการไทยหลายโครงการ
.
นับตั้งแต่ปี 2561 ตั้งแต่ก่อตั้งบริษัทเป็นต้นมา พบว่า “กิจการร่วมค้า” ที่มี “ไชน่า เรลเวย์ นัมเบอร์ 10” เริ่มจากประมูลงานรัฐขนาดกลาง วงเงินราว 100 ล้านบาทขึ้นไป จนถึงงานขนาดใหญ่หลัก 300-500 ล้านบาท จนมาถึงงานระดับสัมปทานรัฐหลัก 1 พันล้านบาท รวมมูลค่าเกิน 7,000 ล้านบาท
.
”เนชั่นทีวี“ รวบรวมโครงการที่ถูกพูดถึง ว่าเป็นของหน่วยงานใด ก่อสร้างมานานแค่ไหนแล้ว 7 โครงการ
.
1. ตึกสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน
งบประมาณ 2,136 ล้านบาท
สถานะ : ตึกถล่ม

2. ตึกสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ
งบประมาณ 716 ล้านบาท เริ่มต้นสัญญา ส.ค. 2562
สถานะ : อยู่ระหว่างก่อสร้าง

3. ศูนย์ฝึกกีฬามวยสากล ของการกีฬาแห่งประเทศไทย
งบประมาณ 608 ล้านบาท เริ่มต้นสัญญา ก.ย. 2564
สถานะ : อยู่ระหว่างก่อสร้าง

4. อาคารผู้ป่วยนอก โรงพยาบาลสงขลา กระทรวงสาธารณสุข
งบประมาณ 426.9 ล้านบาท เริ่มต้นสัญญา ส.ค. 2565
สถานะ : อยู่ระหว่างก่อสร้าง

5. อาคารที่ทำการศาลแพ่งและศาลอาญามีนบุรี สำนักงานศาลยุติธรรม
งบประมาณ 782 ล้านบาท เริ่มต้นสัญญา เม.ย. 2565
สถานะ : อยู่ระหว่างก่อสร้าง

6. การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค จ.ภูเก็ต
งบประมาณ 210 ล้านบาท เริ่มต้นสัญญา ก.พ. 2564
สถานะ : อยู่ระหว่างการก่อสร้าง

7. อาคารชุดพักอาศัยข้าราชการ ศาลอุทธรณ์ภาค 9
งบประมาณ 386 ล้านบาท ประกาศผู้ชนะประมูล 22 ก.ค. 2564
สถานะ : อยู่ระหว่างการก่อสร้าง
.
ทั้งนี้ เป็นการก่อสร้างโดย “กิจการร่วมค้า“ และตึกข้างต้นยังไม่มีการร้องเรียนเรื่องปัญหาใดๆ
.
นอกจากนั้น ข้อมูลจากกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า บริษัทไชน่า เรลเวย์ No.10 เป็นคู่สัญญากับภาครัฐถึง 11 งาน มีโครงการที่ก่อสร้างแล้วเสร็จเพียง 1 งาน คือ รร.แห่งหนึ่งใน กทม.
.
#ไชน่าเรลเวย์นัมเบอร์10 #โครงการรัฐ #ตึกราชการ #รับเหมาสร้างตึก #เนชั่นทีวี #ช่อง22 #NationTV

https://www.facebook.com/photo/?fbid=1109572497882109&set=a.617861467053217