วันศุกร์, ตุลาคม 17, 2568

คุณหญิงสุดารัตน์ #ตั้งคำถาม การที่เราไม่สามารถปราบ แก๊งคอลเซ็นเตอร์เว็บพนันออนไลน์ เป็นเพราะผู้มีอำนาจในประเทศไทย รู้เห็นเป็นใจรับส่วยเงินสีเทา จากแก๊งค์มิจฉาชีพเหล่านี้ ใช่หรือไม่ ❓






https://x.com/sudaratofficial/status/1978700329022857427


คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ Sudarat Keyuraphan
13 hours ago
·
เปิดปมอาชญากรรมไซเบอร์ สหัฐเผยรายชื่อ ..ไทยมีเอี่ยว ??
สหรัฐได้ประกาศรายชื่อ ผู้ที่เกี่ยวพันกับการ #ค้ามนุษย์
#แสกมเมอร์ #คอลเซ็นเตอร์
ที่หลอกลวงประชาชนในหลายประเทศ รวมทั้งประเทศไทย ให้สูญเสีย ทรัพย์สินจำนวนมหาศาล
และยังเกี่ยวพันกับการหลอกลวงลักพาตัวของคนหลายชาติเข้าไปทำงานในศูนย์สแกมเมอร์
ซึ่งถือเป็น อาชญากรร้ายแรงระดับโลก
ได้ปรากฏชื่อ #ชาวต่างชาติ
ที่ #ใกล้ชิด กับ #นักการเมืองผู้ยิ่งใหญ่ของไทย และพำนักอยู่ในประเทศไทยอย่างเปิดเผย
โดยมี ทรัพย์สินมหาศาล ในประเทศไทย
ประเทศไทยและหลายประเทศทั่วโลก
กำลังเผชิญกับ ภัยอาชญากรรมรูปแบบใหม่ ที่รุนแรงและซับซ้อนมากขึ้น
โดยเฉพาะการ ลักพาตัว และการ หลอกลวงออนไลน์
ที่กำลังระบาดหนักในประเทศ #กัมพูชา
เหตุการณ์ล่าสุดที่ #ชาวเกาหลีใต้ ถูกลักพาตัวและทรมานจนเสียชีวิต
ซึ่งคนไทยเองก็ถูกหลอกลวงและลักพาตัว
ถูกทรมานและทำให้เสียชีวิตจำนวนมากต่อเนื่องมาเป็นระยะเวลาหลายปี
ปัญหานี้ได้ทวีความรุนแรงจนกลายเป็น #วิกฤติระดับโลก
#เกาหลีใต้ เค้าดำเนินการปกป้องประชาชนของเค้าอย่างเต็มที่
โดยประธานาธิบดีเกาหลีใต้ต้องสั่งระดมทุกหน่วยงานเพื่อช่วยเหลือพลเมืองโดยเร่งด่วน
และขู่ถึงขั้นจะนำกำลังเข้าโจมตีประเทศกัมพูชา
เปรียบเทียบการแอ็คชั่นในการแก้ไขปัญหาระหว่าง
#รัฐบาลไทย และ #รัฐบาลเกาหลีใต้
จะเห็นว่าแตกต่างกันมาก
ประกอบกับมีข่าวออกมาอย่างชัดเจนว่ามี #ผู้มีอำนาจระดับสูง
ทั้งฝ่ายประจำ และ ฝ่ายการเมือง
#รับส่วย เว็บพนันออนไลน์ แก๊งค์คอลเซ็นเตอร์
จึงขอ #ตั้งคำถาม ว่า
การที่เราไม่สามารถปราบ แก๊งคอลเซ็นเตอร์เว็บพนันออนไลน์
ที่สร้างความเสียหายหลอกลวงคนไทยเป็นจำนวนมหาศาล
รวมทั้งการหลอกลวงให้คนไทยให้ไปทำงานในกัมพูชา
ที่ถูกทรมานและถูกทำให้เสียชีวิต
โดยผู้มีอำนาจในประเทศไทย รู้เห็นเป็นใจรับส่วย
เงินสีเทา จากแก๊งค์มิจฉาชีพเหล่านี้ หรือไม่
ดิฉันและคนไทยอยากเห็นการปราบปรามกลุ่มเหล่านี้อย่างจริงจัง
โดย "การทำงานร่วมกัน" กับประเทศจีน ที่ผู้นำของประเทศจีนได้เอาจริงเอาจังเรื่องนี้
และได้แสดงฝีมือให้เห็นจากการ "ส่งรัฐมนตรี" เข้ามาจัดการกับแก๊งมิจฉาชีพเหล่านี้
และ #ประหารชีวิต คนเหล่านี้ไปเรียบร้อยแล้ว
และ "รัฐบาลไทยควรร่วมมือกับ #สหรัฐอเมริกา "
ที่ได้ออกกฏหมาย #คว่ำบาตร เพื่อสิทธิมนุษยชน
เพื่อที่จะ #กำจัด บรรดา #มิจฉาชีพ นักหลอกลวงต้มตุ๋นเหล่านี้
ซึ่งสหรัฐได้ประกาศรายชื่อออกมาแล้ว #ปรากฏชื่อชาวต่างชาติ
ที่ #ใกล้ชิดกับนักการเมืองไทย #ผู้ยิ่งใหญ่ของไทย
และพำนักอยู่ในประเทศไทยอย่างเปิดเผย
โดยมีทรัพย์สินมหาศาลในประเทศไทย
นายกฯ ควรสั่งการให้จัดการกับคนเหล่านี้อย่างเด็ดขาด
ทั้งการ ยึดทรัพย์ และการดำเนินคดีทางอาญา
และควรจะสืบสวนอย่าง โปร่งใส และ ตรงไปตรงมา
ว่าเงินสกปรก เหล่านี้เข้ามา #สัมพันธ์ กับนักการเมืองคนใด
ซึ่งถ้ารัฐบาลจะทำดิฉันเชื่อว่าทำได้ไม่ยาก
ถ้าตั้งใจจะกำจัดนักการเมืองที่หากินกับมิจฉาชีพเหล่านี้
รวมทั้ง การตั้งศูนย์ดูแลช่วยเหลือผู้ประสบภัย
ที่ถูกหลอกให้เสียทรัพย์ และหลอกไปทำงานผิดกฎหมายในประเทศเพื่อนบ้าน
#ไทยสร้างไทย #สร้างการเมืองสุจริต #นโยบายพรรคไทยสร้างไทย #สุดารัตน์เกยุราพันธุ์ #คุณหญิงสุดารัตน์
#อาชญากรรมข้ามชาติ #คอลเซ็นเตอร์ #สแกมเมอร์ #กัมพูชา
(ทีมงาน)



บีบีซีไทยพบว่า บุคคลชาวต่างชาติจำนวน 43 รายชื่อที่เกี่ยวข้องกับอาชญากรรมข้ามชาติและการหลอกลวงออนไลน์ในร่างกฎหมายตั้งหน่วยปราบปรามสแกมเมอร์สุดของสหรัฐฯ เป็นกลุ่มบุคคลและบริษัทที่มีความเกี่ยวข้องกับประเทศไทย ทั้งในแง่ความสัมพันธ์ส่วนตัวกับบุคคลทางการเมืองระดับสูงหรือทางธุรกิจ


ในเดือน ก.พ. 2568 ชาวต่างชาติหลายร้อยคนนั่งรวมกันเพื่อรอถูกส่งตัวกลับบ้าน หลังจากพบว่าพวกเขาถูกหลอกมาทำงานเป็นแก๊งคอลเซ็นเตอร์ในเมืองเคเคพาร์ค ติดชายแดนไทย-เมียนมา

43 บุคคล/องค์กร ที่ร่างกฎหมายสหรัฐฯ ชี้ว่าเกี่ยวข้องกับศูนย์สแกมเมอร์ในอาเซียน มีเครือข่ายไหนเอี่ยวไทยบ้าง

จิราภรณ์ ศรีแจ่ม
ผู้สื่อข่าวบีบีซีไทย
เมื่อ 8 ชั่วโมงที่แล้ว

กระทรวงการคลังของสหรัฐอเมริกา ระบุว่าชาวอเมริกันสูญเงินไปอย่างน้อย 10,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 320,000 ล้านบาท) จากการถูกหลอกลวงทางออนไลน์ ซึ่งมีศูนย์กลางความเคลื่อนไหวอยู่ในหลายประเทศของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

เมื่อวันที่ 18 ก.ย. ที่ผ่านมา นายชรีฟ เจฟเฟอร์สัน สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) จากพรรครีพับลิกันในรัฐอินเดียนา เสนอร่างกฎหมายต่อรัฐสภาของสหรัฐฯ เพื่อจัดตั้งหน่วยงานเฉพาะกิจร่วมระหว่างหน่วยงานเพื่อปราบปรามกลุ่มอาชญากรข้ามชาติที่ฉ้อโกงชาวอเมริกัน

ในร่างกฎหมายฉบับดังกล่าวระบุว่า ในช่วงการระบาดของโควิด-19 องค์กรอาชญากรรมจีนที่เคลื่อนไหวในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้หันมาใช้รูปแบบการหลอกลวงออนไลน์ผ่านกลโกงการลงทุนในสกุลเงินดิจิทัลที่ซับซ้อน โดยรูปแบบที่พบมากที่สุด คือ การหลอกลวงแบบเชือดหมู (pig butchering) ซึ่งหมายถึงการสร้างความสัมพันธ์กับผู้เสียหาย เพื่อชักจูงให้ลงทุนเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ในแพลตฟอร์มทางการเงินที่ปลอมขึ้นมา จากนั้นก็โกงเงินของเหยื่อไปจนหมด

พวกเขาพบว่าเหยื่อเหล่านี้มักถูกหลอกโดยกลุ่มคนที่มาจากการถูกบังคับใช้แรงงานหรือการค้ามนุษย์ ซึ่งถูกล่อลวงให้มาสมัครงานด้วยประกาศที่เป็นเท็จ จากนั้นถูกกลุ่มอาชญากรนำตัวไปกักขังไว้ในสถานที่ปิด และถูกบังคับให้ทำยอดการหลอกลวงตามเป้าที่วางไว้ มิเช่นนั้นจะถูกทรมานหรือลงโทษอย่างรุนแรง

ร่างกฎหมายฉบับนี้ระบุด้วยว่าศูนย์หลอกลวงเหล่านี้พบมากในประเทศเมียนมา ลาว และกัมพูชา "ซึ่งเป็นประเทศที่มีการคอร์รัปชันสูง ขาดความโปร่งใส ไม่มีหลักนิติธรรม ไม่มีระบบตรวจสอบถ่วงดุล โดยองค์กรอาชญากรรมชาวจีนมักดำเนินงานร่วมกันกับรัฐบาลเผด็จการของแต่ละประเทศ"

คำบรรยายในร่างกฎหมายฉบับนี้ ระบุข้อมูลด้วยว่า ปีที่แล้วมีชาวอเมริกันถูกหลอกลวงเพิ่มขึ้น 33% เมื่อเทียบกับปี 2023 ซึ่งทำให้เห็นว่ากลุ่มอาชญากรเริ่มมุ่งเป้ามายังพลเรือนสหรัฐฯ มากขึ้น ขณะที่ทั่วโลกมีผู้เสียหายจากกลุ่มอาชญากรรมเหล่านี้สูงกว่า 60,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี (ราว 1.92 ล้านล้านบาท) แต่คาดว่าความเสียหายที่แท้จริงสูงกว่านี้มาก เนื่องจากมีอีกหลายกรณีที่ไม่ได้รับการรายงาน

"มีความเชื่อมโยงที่น่ากังวลระหว่าง รัฐบาลจีน องค์กรอาชญากรรมจีน กับนักการเมืองท้องถิ่นที่คอร์รัปชัน ซึ่งช่วยให้กลุ่มเหล่านี้เติบโต" ร่างกฎหมายของ สส. รีพับลิกัน ระบุ

ในร่างกฎหมายฉบับนี้ยังมีการระบุถึงการให้อำนาจการใช้มาตรการคว่ำบาตรโดยประธานาธิบดี พร้อมกับระบุชื่อชาวต่างชาติและบริษัทที่ถูกพิจารณาว่าจะถูกใช้มาตรการคว่ำบาตร เนื่องจากมีความเกี่ยวข้องกับศูนย์หลอกลวงออนไลน์หรือการค้ามนุษย์

บีบีซีไทยพบว่าทั้งหมดบุคคลชาวต่างชาติจำนวน 43 รายชื่อ เป็นกลุ่มบุคคลและบริษัทที่เคยถูกรายงานในสื่อไทยก่อนหน้านี้ว่ามีความเกี่ยวข้องกับประเทศไทย ไม่ว่าจะเป็นในแง่ความสัมพันธ์ส่วนตัวกับบุคคลทางการเมืองระดับสูงหรือทางธุรกิจ

เฉิน จื้อ ชายชาวจีนผู้ถือยศเนี๊ยกออกญา ที่ปรึกษาผู้นำตระกูลฮุน

เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา หน่วยงานของสหรัฐฯ และสหราชอาณาจักรออกแถลงการณ์ร่วมกันว่าได้ดำเนินมาตรการจัดการกับนายเฉิน จื้อ (Chen Zhi) หรือที่รู้จักกันในอีกชื่อว่านายวินเซนต์

เขาเป็นชายเชื้อสายจีน วัย 37 ปี สัญชาติสหราชอาณาจักรและกัมพูชา รวมถึงเป็นประธานบริษัทปรินซ์ โฮลดิง กรุ๊ป หรือ ปรินซ์กรุ๊ป (Prince Group)

สำนักอัยการสหรัฐฯ ประจำเขตนิวยอร์กตะวันออก และแผนกความมั่นคงแห่งชาติของกระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ ได้ยื่นคำร้องทางแพ่งไปเมื่อวันที่ 14 ต.ค. 2568 เพื่อริบทรัพย์สินเป็นบิตคอยน์มูลค่าประมาณ 15,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 4.88 ล้านล้านบาท) ซึ่งเชื่อว่าเป็นเงินที่ได้มาจากการฉ้อโกงและการฟอกเงินของนายเฉิน จื้อ ซึ่งเบื้องหน้าทำธุรกิจกลุ่มบริษัทข้ามชาติขนาดใหญ่ในกัมพูชา โดยระบุว่าเป็นบริษัทด้านการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ บริการทางการเงิน และบริการสำหรับผู้บริโภค แต่ "โดยลับ ๆ แล้ว จำเลย (หมายถึงนายเฉิน จื้อ) และผู้บริหารระดับสูงได้ทำให้กลุ่มปรินซ์กรุ๊ปเติบโต กลายเป็นหนึ่งในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติที่ใหญ่ที่สุดในเอเชีย"

คำร้องดังกล่าวถือว่าเป็นการดำเนินการริบทรัพย์ครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของกระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ

นายเฉิน จื้อ

ทางการสหรัฐฯ กล่าวว่ากลุ่มบริษัทปรินซ์กรุ๊ปดำเนินการศูนย์หลอกลวงโดยใช้บุคคลที่ถูกควบคุมตัวไว้ในศูนย์โดยไม่สมัครใจ และบังคับให้พวกเขาเหล่านี้ปฏิบัติการหาเหยื่อมาลงทุนในสกุลเงินดิจิทัลด้วยกลโกงแบบ "เชือดหมู" ซึ่งโกงเงินได้หลายพันล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยมีเหยื่อเป็นผู้คนที่อยู่ในสหรัฐฯ และทั่วโลก

ปัจจุบันนายเฉิน จื้อ อยู่ระหว่างการหลบหนี แต่ขณะเดียวกันทรัพย์สินของเขาที่อยู่ในสหราชอาณาจักรมูลค่ารวมกันกว่า 100 ล้านปอนด์ (ราว 4,300 ล้านบาท) ก็ถูกอายัดด้วยมาตรการคว่ำบาตรของสหราชอาณาจักรแล้วด้วยเช่นกัน

มาตรการคว่ำบาตรของสหราชอาณาจักรยังครอบคลุมถึงกลุ่มบริษัทอื่น ๆ ที่มีความเกี่ยวข้องกับปรินซ์กรุ๊ป เช่น เครือบริษัท จินเปย์ กรุ๊ป (Jinbei Group) ผู้ดำเนินธุรกิจศูนย์บันเทิงครบวงจร โรงแรม และกาสิโนในเมืองสีหนุวิลล์ ประเทศกัมพูชา รวมถึงศูนย์สแกมเมอร์ต่าง ๆ นอกจากนี้ยังมี บจก.โกลเดน ฟอร์จูน รีสอร์ต เวิลด์ (Golden Fortune Resorts World Ltd.) ซึ่งแสร้งว่าเป็น "อุทยานเทคโนโลยีขนาดใหญ่" ชื่อว่าโกลเดน ฟอร์จูน ไซเอนส์ แอนด์ เทคโนโลยี ปาร์ค ใจกลางกรุงพนมเปญ แต่ฉากหลังคือศูนย์สแกมเมอร์

นอกจากนี้ ไบเอ็กซ์ เอกซ์เชนจ์ (Byex Exchange) แพลตฟอร์มสกุลเงินคริปโตที่เชื่อมโยงกับจินเปย์กรุ๊ปและปรินซ์กรุ๊ป ก็ตกเป็นเป้าหมายของมาตรการคว่ำบาตรนี้ด้วย


แผนผังการดำเนินการองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติของปรินซ์กรุ๊ป ซึ่งจัดทำโดยหน่วยงานของสหรัฐฯ

ชายชาวจีนคนนี้มีประวัติที่ไม่ธรรมดา รายงานของโครงการริเริ่มระดับโลกเพื่อต่อต้านอาชญากรรมข้ามชาติ (Global Initiative against Transnational Organized Crime หรือ GI-TOC) ในปี 2022 ระบุว่าอาชญากรรมที่เกิดขึ้นในเมืองสีหนุวิลล์ของกัมพูชา ซึ่งขึ้นชื่อว่าเป็นศูนย์กลางอาชญากรรมออนไลน์ที่ดำเนินโดยกลุ่มอาชญากรรมข้ามชาติ กลุ่มที่มีบทบาทคือเหล่านักธุรกิจที่ดำรงยศ "ออกญา (oknha)" สถานะบรรดาศักดิ์ที่ภายหลังถูกมองว่าเป็นชั้นยศต่างตอบแทน เนื่องจากต้องบริจาคเงินหรือลงทุนในกัมพูชาจำนวนมาก ถึงจะได้สถานะดังกล่าว

รายงานดังกล่าวของ GI-TOC ระบุว่า เฉิน จื้อ ได้รับการแต่งตั้งเป็นออกญาด้วยเช่นกัน ขณะที่สำนักข่าวเรดิโอฟรีเอเชียบอกว่า เขามีตำแหน่งเป็น "เนี๊ยก ออกญา (Neak Oknha)" ซึ่งอยู่ในระดับสูงกว่า

ทั้งสองแหล่งรายงานตรงกันว่า ชายชาวจีนคนนี้มีความใกล้ชิดกับนักการเมืองระดับสูงของกัมพูชาหลายคน โดยดำรงตำแหน่งเป็นที่ปรึกษาส่วนตัวของนายเฮง สัมริน อดีตประธานรัฐสภา รวมถึงนายซอ เค็ง อดีตรัฐมนตรีมหาดไทยของกัมพูชา และมีความสนิทสนมกับนายซอ โสกา ผู้เป็นลูกชาย ซึ่งปัจจุบันดำรงตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีของกัมพูชา

สำนักข่าวเรดิโอฟรีเอเชียยังรายงานว่า ในปี 2020 นายเฉินได้รับการแต่งตั้งเป็นที่ปรึกษาส่วนตัวของสมเด็จฮุน เซน และเคยเดินทางไปทำภารกิจการทูตเคียงคู่กับผู้นำตระกูลฮุนที่คิวบา รวมถึงเป็นตัวแทนมอบความช่วยเหลือลาวในนามรัฐบาลกัมพูชาด้วย และเมื่อสมเด็จฮุน มาเนต ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี ชายชาวจีนรายนี้ก็อยู่ในรายชื่อ 1 ใน 104 ที่ปรึกษาของลูกชายคนโตของตระกูลฮุน ซึ่งตำแหน่งนี้มีระดับเทียบเท่ารัฐมนตรี

นอกจากนี้ ในร่างกฎหมายดังกล่าวยังมีชื่อชาวต่างชาติคนอื่น ๆ ซึ่งถูกระบุอยู่ในบัญชีองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ (Transnational Criminal Organizations - TCO) ที่จัดทำโดยสำนักงานควบคุมทรัพย์สินต่างประเทศของสหรัฐฯ (OFAC) ด้วย และทั้งหมดมีความเกี่ยวข้องกับปรินซ์กรุ๊ป ได้แก่ นายซอ โสกา, เฉิน ซิวหลิง (Chen Xuiling) ชาวสิงคโปร์, นายอิง ดารา ชาวกัมพูชา ซึ่งเป็นหุ้นส่วนในโครงการโกลเดน ฟอร์จูน ไซเอนส์ แอนด์ เทคโนโลยี ปาร์ค

"เขา (หมายถึงนายเฉิน) และอิง ดารา ยังคงถือครองผลประโยชน์ใน ศูนย์หลอกลวงโกลเดน ฟอร์จูนฯ ซึ่งคนในท้องถิ่นให้ข้อมูลกับนักข่าวว่า พวกเขาเคยเห็นแรงงานถูก 'ทุบตีจนแทบไม่รอดชีวิต' ก่อนจะถูกบังคับให้กลับเข้าไปหลังจากพยายามหลบหนี" OFAC ระบุ

ทางการสหรัฐฯ ยังระบุด้วยว่าปรินซ์กรุ๊ปและเครือข่ายยังนำรายได้ที่มาจากอาชญากรรมข้ามชาติไปลงทุนผ่านช่องทางอันซับซ้อนตามบริษัทบังหน้า (shell company) และนิติบุคคลต่าง ๆ ในหมู่เกาะบริติชเวอร์จิน หมู่เกาะเคย์แมน สิงคโปร์ ฮ่องกง ไต้หวัน และปาเลา ซึ่งในท้ายที่สุดแล้วเงินผิด


โครงการอสังหาริมทรัพย์ในไทยที่ทางเครือบริษัทปรินซ์กรุ๊ปอ้างว่าเข้าไปลงทุน

ล่าสุด สำนักข่าวไทยพีบีเอสยังรายงานด้วยว่าพวกเขาพบเว็บไซต์ที่มีโลโก้และชื่อเดียวกันกับปรินซ์กรุ๊ปของนายเฉินที่ระบุว่ากลุ่มบริษัทดังกล่าวเข้ามาลงทุนในอสังหาริมทรัพย์หลายแห่งในไทยด้วยเช่นกัน

เว็บไซต์ดังกล่าวเป็นของ บจก.ปรินซ์ อินเตอร์เนชันแนล คอมพานี (Prince International) ในกรุงลอนดอน และอ้างว่าตนเองมีความเชี่ยวชาญด้านการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์และการลงทุนระดับโลก แต่โปรไฟล์บริษัทที่ให้ไว้ในเว็บไซต์ค่อนข้างกระจัดกระจาย จากข้อมูลที่บีบีซีไทยได้เห็น

เว็บไซต์ดังกล่าวระบุว่ามีสำนักงานอยู่ในกรุงไทเปของไต้หวัน, กรุงเทพมหานคร, กรุงลอนดอน, รวมถึงกรุงพนมเปญของกัมพูชา โดยมีพอร์ตการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ในต่างประเทศพื้นที่มากกว่า 3.6 ล้าน ตร.ม. และมีพื้นที่พัฒนากว่า 5 ล้าน ตร.ม. ไม่ว่าจะเป็นคอนโดมิเนียม คลับ ศูนย์การค้า ไปจนถึงสำนักงาน โรงแรม วิลลา หรือเกาะต่าง ๆ

ทว่า ในเว็บไซต์กลับใช้ชื่อบริษัทว่าไต้หวัน ปรินซ์ เรียล เอทสเตท อินเวสเมนท์ (Taiwan Prince Real Estate Investment) ที่ระบุเบอร์โทรศัพท์ขึ้นต้นรหัสในไต้หวัน และอ้างว่าบริษัทลงทุนอสังหาริมทรัพย์ในบางโครงการของ บมจ.ริชี่เพลส 2002, บมจ.แสนสิริ และ บมจ.เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชัน


สถานที่ตั้งสำนักงานในกรุงเทพฯ ซึ่งระบุไว้ในหน้าเว็บเพจของ บจก.ปรินซ์ อินเตอร์เนชันแนล คอมพานี (Prince International) ซึ่งปัจจุบันลบหน้าเว็บเพจนี้ออกไปแล้ว

นอกจากนี้ในหน้าเว็บไซต์ดังกล่าวมีหน้าเพจที่ระบุไปยังที่ตั้งสำนักงานในกรุงเทพฯ แต่ปัจจุบันหน้าเพจดังกล่าวถูกลบออกไปแล้ว

จากการสืบค้นย้อนกลับด้วยเครื่องมือ way back machine พบว่าบริษัทดังกล่าวจดทะเบียนในไทยชื่อว่า บจก. ปริ้นซ์ อินเตอร์เนชั่นแนล และมีที่ตั้งสำนักงานอยู่ที่อาคารซิโน-ไทย ทาวเวอร์ ย่านอโศก

ทั้งนี้หลักฐานดังกล่าวถูกสืบค้นโดยทีมข่าวสืบสวนของไทยพีบีเอส และรายงานดังกล่าวออกอากาศในค่ำวันนี้ (16 ต.ค.)

เครือข่าย ก๊ก อาน สว. "เจ้าพ่อปอยเปต" ผู้มีลูกถือสัญชาติไทย

ชาวต่างชาติที่ถูกระบุว่าต้องเผชิญกับมาตรการคว่ำบาตรภายใต้ร่างกฎหมาย ได้แก่ นายก๊ก อาน (Kok An) ชายเชื้อสายจีน สัญชาติกัมพูชา ปัจจุบันเป็นสมาชิกวุฒิสภา และนักธุรกิจผู้ก่อตั้งบริษัท แอนโค บราเธอร์ส (Anco Brothers) ซึ่งทำธุรกิจนำเข้าและขายสินค้า กาสิโน ธนาคาร อสังหาริมทรัพย์ อินเทอร์เน็ต จัดส่งน้ำ และไฟฟ้า ในกัมพูชา ซึ่งส่งผลให้เขาติดอันดับมหาเศรษฐีอันดับต้น ๆ ของประเทศ

นอกจากดำรงตำแหน่งทางการเมืองแล้ว เขายังเป็นหนึ่งในคณะกรรมการบริหารของสมาคมออกญากัมพูชา และมักบริจาคเงินจำนวนมากเพื่อองค์กรการกุศลต่าง ๆ ในประเทศอยู่เสมอ

บริษัทของเขายังเป็นผู้ถือใบอนุญาตประกอบกิจการกาสิโนชื่อว่า คราวน์ รีสอร์ต กาสิโน ในเมืองปอยเปต ติดชายแดน จ.สระแก้วของไทย และเป็นที่ทราบกันดีว่าชายคนนี้คือหนึ่งในคนสนิทของสมเด็จฮุน เซน

ข้อมูลจากไซเบอร์ สแกม มอนิเตอร์ (Cyber Scam Monitor) โครงการติดตามการหลอกลวงในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ระบุว่า นายก๊ก อาน ถูกกล่าวหาว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับศูนย์อาชญากรรมทางไซเบอร์กลุ่มทุนจีนเทาหลายแห่งในกัมพูชา ซึ่งพบว่ามีการบังคับใช้แรงงานและค้ามนุษย์เข้ามาเกี่ยวข้อง เช่น คราวน์ รีสอร์ต ปอยเปต ซึ่งรวมถึงตึก 18 ชั้น และตึก 25 ชั้น แหล่งเปิดบัญชีม้า พนันออนไลน์ และศูนย์สแกมเมอร์ ที่พบคนไทยตกลงมาเสียชีวิต รวมถึง คราวน์ กาสิโน ในเมืองบาเวต

เขายังถูกกล่าวหาว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับศูนย์สแกมเมอร์ในเมืองสีหนุวิลล์หลายแห่งด้วยกัน เช่น คราวน์ เทคโนโลยี, ไคโบ (Kaibo), จินสุ่ย (Jinsui), เคไนน์ไนน์ ไทรอัมพ์ ซิตี (K99 Triumph City), หนานไห่ (Nanhai)


คราวน์ กาสิโน ในเมืองปอยเปต

ในปี 2022 สำนักข่าววีโอดี (VOD) ของกัมพูชาซึ่งปัจจุบันถูกสั่งปิดโดยสมเด็จฮุน เซน ไปแล้วนั้น เคยรายงานข่าวการละเมิดสิทธิมนุษยชนที่เกิดขึ้นบริเวณศูนย์สแกมเมอร์ต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับนายก๊ก อาน และสมาชิกครอบครัวของเขา

ใจกลางการสืบสวนของรายงานชิ้นนี้ พยายามเจาะไปที่โรงแรมในศูนย์หลอกลวงไคโบ ซึ่งมีนายริธี ซัมนัง (Rithy Samnang) ลูกเขยนายก๊ก อาน ที่แต่งงานกับ น.ส.ภูเฌอหลิน คล่องกิจกล ผู้เป็นลูกสาว

ในร่างกฎหมายตั้งหน่วยปราบปรามสแกมเมอร์ของสหรัฐฯ ยังพบรายชื่อบริษัท เคไนน์ไนน์กรุ๊ป (K99 Group) รวมถึงชื่อของนายลอง ดีมัง (Long Dimanche) รองผู้ว่าราชการจังหวัดพระสีหนุ และนายกุช จัมเริญ (Kuoch Chamrouen) ผู้ว่าราชการจังหวัดพระสีหนุ ด้วย เนื่องจากถูกกล่าวหาว่ามีส่วนรู้เห็นในอาชญากรรมต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในเมืองสีหนุวิลล์


การแถลงข่าวปฏิบัติการโค่นขุมทรัพย์พันล้าน ก๊ก อาน ของตำรวจไซเบอร์ เมื่อวันที่ 10 ก.ค. 2568

ท่ามกลางวิกฤตปัญหาเขตแดนไทย-กัมพูชา และเกิดกรณีคลิปเสียงสนทนาระหว่างสมเด็จฮุน เซน กับอดีตนายกรัฐมนตรี น.ส.แพทองธาร ชินวัตร พบว่าวันที่ 8 ก.ค. 2568 ตำรวจไซเบอร์ของไทยเปิดปฏิบัติการ "Kok An Endgame" เข้าบุกค้นอสังหาริมทรัพย์ 20 แห่ง ในกรุงเทพฯ สมุทรปราการ และชลบุรี พร้อมกับอายัดทรัพย์สินมูลค่าหลายพันล้านบาท โดยกล่าวหาว่านายก๊ก อาน วัย 71 ปี มีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ เนื่องจากมีส่วนเกี่ยวข้องกับฐานสแกมเมอร์ออนไลน์ในฐานะ "เจ้าพ่อปอยเปต"

ทั้งนี้ นายก๊ก อาน ถูกออกหมายจับจากทางการไทยด้วย ตามมาด้วยหมายจับลูกของเขาอีก 3 คน ได้แก่ นางสาวจุรี คล่องกิจกล นายกิตติศักดิ์ คล่องกิจกล และ นางสาวภูเฌอหลิน คล่องกิจกล

รายงานของไทยพีบีเอส ระบุว่าทั้งสามคนมีใบแจ้งเกิดในไทย และมีบัตรประชาชนคนไทย โดยจากข้อมูลทะเบียนราษฎร์ใน อ.โพนทอง จ.ร้อยเอ็ด ระบุว่าพวกเขามีพ่อแม่เป็นคนไทยชื่อว่านายบุญเลี้ยงและนางอำไพ ทั้งคู่เสียชีวิตแล้วและอัฐิถูกเก็บไว้ที่วัดคลองเพ็ชร ต.วังกระแจะ อ.เมือง จ.ตราด ขณะที่นายทะเบียนที่รับแจ้งเกิดลูกนายก๊ก อาน ก็เสียชีวิตไปแล้วเช่นกัน

อย่างไรก็ตาม ข้อมูลจากทะเบียนราษฎร์ยังพบว่านายบุญเลี้ยงแจ้งเกิดลูกถึง 24 คน ด้วยกัน จากภรรยาจำนวน 6 คน ซึ่งในจำนวนดังกล่าวปรากฏชื่อของลูกนายก๊ก อาน

ในช่วงที่ตำรวจไซเบอร์เปิดปฏิบัติการยึดทรัพย์และกวาดล้างเครือข่ายนายก๊ก อาน ในไทย ทางนายรังสิมันต์ โรม สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน (ปชน.) ออกมาเรียกร้องให้ทางเจ้าหน้าที่ขยายผลไปยังคนไทย เพราะเชื่อว่านายก๊ก อาน ไม่สามารถดำเนินธุรกิจได้ตามลำพัง แต่มีเจ้าหน้าที่ไทยและนักการเมืองท้องถิ่นบางส่วนที่เกี่ยวข้องกับเครือข่ายดังกล่าว

ปรากฏชื่อ "เบน สมิธ-ยิม เลียก" อีกครั้ง

ชาวต่างชาติอีกรายที่อยู่ในบัญชีผู้จะถูกดำเนินการมาตรการคว่ำบาตรในร่างกฎหมายของสหรัฐฯ คือ นายเบนจามิน เมาเออร์เบอร์เกอร์ (Benjamin Mauerberger) หรือ เบน สมิธ ชายชาวแอฟริกาใต้ที่ถูกนายรังสิมันต์ โรม สส.จากพรรคประชาชน อภิปรายระหว่างการแถลงนโยบายของรัฐบาลนายอนุทิน ชาญวีรกูล เมื่อวันที่ 30 ก.ย. ที่ผ่านมา

ในการอภิปรายเพื่อชี้ให้รัฐบาลนายอนุทินดำเนินนโยบายปราบปรามแก๊งสแกมเมอร์ในกัมพูชาอย่างจริงจัง สส.รายนี้อ้างถึงรายงานของนายทอม ไรท์ นักข่าว อดีตนักข่าวสืบสวนจากวารสารวอลล์สตรีท ที่ระบุว่าเรือยอชต์หรูที่อดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตร ใช้โดยสารไปพบนายกรัฐมนตรีมาเลเซีย รวมถึงเครื่องบินเจ็ทส่วนตัวที่เขาโดยสารไปนครดูไบเมื่อไม่นานนี้ ล้วนมาจากการจัดหาโดยนายเบน สมิธ ซึ่งนายรังสิมันต์โรมหวังว่าข้อมูลนี้จะไม่ใช่ความจริง เพราะ "นั่นหมายความว่าเงินจากการค้ามนุษย์ เงินจากสแกมเมอร์ในกัมพูชา ได้แปรสภาพเป็นของขวัญสุดหรูเพื่อสร้างอิทธิพลของตัวเองในประเทศไทย"

นายรังสิมันต์บอกว่าชายชาวแอฟริกาใต้ผู้นี้ เคยมีประวัติทำธุรกิจสแกมเมอร์รุ่นดั้งเดิมมาก่อน ปัจจุบันมีสัญชาติกัมพูชาและเป็นที่ปรึกษาสมเด็จฮุน เซน ด้วย

นอกจากนี้ เขายังเปิดเผยว่านายเบน สมิธ เคยมีความพยายาม "ปักหลักที่ประเทศไทยอย่างถาวร" เพราะได้มีการสละสัญชาติกัมพูชา และขอสัญชาติไทย แต่ยังไม่ได้รับการอนุมัติจากนายอนุทิน สมัยนั่งเป็น รมว.มหาดไทย เนื่องจากเอกสารไม่ครบถ้วน


นายเบน สมิธ เป็นส่วนหนึ่งของเนื้อหาการอภิปรายในวันที่ 30 ก.ย. 2568 ที่นายรังสิมันต์ โรม สส. พรรคประชาชน (ปชน.) พยายามเชื่อมโยงให้เห็นว่านักธุรกิจรายนี้มีเครือข่ายทางธุรกิจที่แนบแน่นระหว่างนักการเมืองในไทยและกัมพูชาอย่างไร

ระหว่างการอภิปรายเขายังเสนอภาพถ่ายหลายชุดด้วยกัน เพื่อยืนยันว่านักธุรกิจชาวแอฟริกาใต้ผู้นี้มีความกว้างขวางเพียงใด

เช่นในเดือน มิ.ย. 2567 พบภาพของนักธุรกิจรายนี้ยืนพูดคุยกับ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า (ปัจจุบันเป็นรองนายกรัฐมนตรีและ รมว.กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และนางนฤมล ภิญโญสินวัฒน์ (ปัจจุบันเป็น รมว.กระทรวงศึกษาธิการ) ในงานบุญวัดดวงแข ในกรุงเทพมหานคร

ต่อมาในวันที่ 27 ต.ค. 2567 พบภาพนักธุรกิจรายดังกล่าวกับ ร.อ.ธรรมนัส ออกงานบุญใหญ่ ที่วัดดงช้างดี จ.อุตรดิตถ์ ซึ่งนักธุรกิจคนดังกล่าว และภรรยาของเขาเป็นเจ้าภาพงานบุญด้วย นอกจากนี้ยังมีการเสนอภาพที่พวกเขาพบปะกันอีกหลายครั้ง

นอกจากบุคคลในรัฐบาลอนุทินแล้ว รังสิมันต์ยังเปิดภาพที่แสดงให้เห็นว่า ที่ปรึกษาของสมเด็จฮุน เซน รายนี้ ได้พบกับผู้มีอิทธิพลทางการเมืองไทยอย่าง ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ที่เกาะหลีเป๊ะ ในระหว่างการพบกับนายกรัฐมนตรีของมาเลเซียด้วย ซึ่งในที่นั้นมีภาพ ร.อ.ธรรมนัส อยู่ในเหตุการณ์ด้วย

นายเบน สมิธ ยังอยู่ในการอภิปรายของนายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร ส.ส.บัญชีรายชื่อ และรองหัวหน้าพรรคประชาชน ซึ่งอภิปรายเรียกร้องให้นายอนุทินตรวจสอบการซื้อขายหุ้น บมจ.บางจาก คอร์ปอเรชัน ที่อาจเกี่ยวโยงกับขบวนการทุนเทาข้ามชาติ เนื่องจากกังวลว่าเงินสกปรกกำลังทะลักเข้ามาใช้ตลาดทุนไทยเป็นช่องทางฟอกเงิน โดยในการอภิปรายเดียวกันนี้ เขายังได้เอ่ยชื่อนายยิม เลียก ชายชาวกัมพูชา ประธานกรรมการบริษัทบีไอซีกรุ๊ป (BIC Group) กลุ่มทุนการเงินขนาดใหญ่ของกัมพูชาด้วย

ทั้งนี้ นายยิม เลียก (Yim Leak) ก็เป็นรายชื่อชาวต่างชาติที่อยู่ในร่างกฎหมายของสหรัฐฯ เช่นเดียวกัน และบริษัท BIC Group ของเขาก็มีสำนักงานอยู่ในกรุงเทพฯ ด้วย

จากข้อมูลการอภิปรายของนายรังสิมันต์ยังทำให้เห็นด้วยว่า BIC Group ของนายยิม เลียก ซึ่งถูกนายวิโรจน์อภิปรายตั้งคำถามว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับการนำเงินสีเทามาฟอกในตลาดทุนไทยหรือไม่นั้น จะไม่สามารถเติบโตได้เลยหากไม่มีนายเบน สมิธ

นายรังสิมันต์บอกว่าจากข้อมูลของนายทอม ไรท์ ระบุว่า นายเบนเป็นผู้แนะนำให้นายยิม เลียก ผู้มีสายสัมพันธ์ใกล้ชิดกับตระกูลฮุนของกัมพูชานั้น สร้างรายได้ผ่านการพัฒนาที่ดินเป็นกาสิโนเพื่อใช้ฟอกเงินให้กับพวกทุนจีน โดยหนึ่งในนั้นคือโครงการเมืองใหม่ดาราสาครที่ตั้งอยู่บนพื้นที่ชายฝั่งทะเลในจังหวัดเกาะกงของกัมพูชา ที่มีชายแดนติดกับจังหวัดตราดของไทย

สำหรับโครงการเมืองใหม่ดาราสาครนั้น บีบีซีไทยพบว่าผู้ลงทุนหลัก คือ บริษัท ยูเนียนเดเวลล็อปเม้นท์ กรุ๊ป หรือ ยูดีจี (Union Development Group-UDG) บริษัทสัญชาติจีน ซึ่งถูกกระทรวงการคลังของสหรัฐฯ คว่ำบาตรเมื่อปี 2020 รวมถึงนายเฉอ จื้อเจียง นักธุรกิจเชื้อสายจีน สัญชาติกัมพูชา ซึ่งต่อมาเป็นผู้ก่อตั้งอาณาจักรเมืองชเวโก๊กโก่ จ.เมียวดี รัฐกะเหรี่ยง ประเทศเมียนมา ศูนย์กลางสแกมเมอร์จีนเทาที่เพิ่งถูกทางการไทยดำเนินการตัดน้ำ ไฟ และน้ำมัน เมื่อช่วงต้นปีที่ผ่านมา


การอภิปรายของนายรังสิมันต์ โรม เมื่อวันที่ 30 ก.ย. 2568

หลังลงทุนในเมืองใหม่ดาราสาคร นายเฉอ ก่อตั้งบริษัทยาไท่ อินเตอร์เนชันแนล โฮลดิ้ง กรุ๊ป หรือ YATAI IHG โดยมีผู้ถือหุ้นอย่างนายหม่า ตงลี (Ma Dongli) และนายซ่ง เป่าเจีย (Zhong Baojia) รวมถึง พ.อ.ชิต ตุ ผู้นำกองกำลังพิทักษ์ชายแดนกะเหรี่ยง หรือ กะเหรี่ยงบีจีเอฟ

ในปี 2022 กลุ่มทุนยาไท่ นำโดย นายหม่า ตงลี และ นายซ่ง เป่าเจีย ยังเข้าให้ข้อมูลกับคณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญพิจารณาศึกษาการเปิดสถานบันเทิงแบบครบวงจร และกาสิโนถูกกฎหมายฯ สภาผู้แทนราษฎร เมื่อวันที่ 28 เม.ย. ผ่านการประชุมออนไลน์ และบอกว่ามีความต้องการสร้างเมืองฝาแฝดในฝั่ง อ.แม่สอด จ.ตาก รวมถึงกำลังบริษัทได้เข้าครอบครอง หรือ take over โครงการ Bangkok Smile Square ตึก 32 ชั้น ในย่านใจกลางกรุงเทพ บนถนนเพชรบุรีตัดใหม่ซึ่งมีแผนทำเป็นสถานบันเทิงครบวงจร จากรายงานของไทยพีบีเอส

ปัจจุบัน นายเฉอ จื้อเจียง ถูกควบคุมตัวอยู่ในเรือนจำพิเศษกรุงเทพ ฐานฉ้อโกงและหลอกลวงออนไลน์ชาวจีนมูลค่าหลายพันล้านบาท ตามหมายจับของตำรวจสากล โดยทางการจีนพยายามอย่างหนักเพื่อให้ไทยส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดน แต่ขณะนี้คดีของเขาอยู่ระหว่างศาลอุทธรณ์ส่งคำโต้แย้งของนายเฉอ เพื่อขอให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความว่าคำสั่งส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดนขัดต่อรัฐธรรมนูญหรือไม่ และศาลรัฐธรรมนูญจะชี้ขาดคดีวันที่ 22 ต.ค. นี้

บีบีซีไทยพบว่า ในร่างกฎหมายของสหรัฐฯ ว่าด้วยการแต่งตั้งหน่วยงานเฉพาะกิจเพื่อปราบปรามอาชญากรรมหลอกลวงข้ามชาตินั้น มีรายชื่อของบริษัท ยูเนียนเดเวลล็อปเม้นท์ กรุ๊ป รวมถึง นายหม่า ตงลี และ ซ่ง เป่าเจีย ด้วย

หลังการอภิปรายดังกล่าว ร.อ.ธรรมนัส เผยว่าจะดำเนินคดีกับนายรังสิมันต์ที่พาดพิงว่าเขามีความเกี่ยวข้องกับนายเบน รวมถึงกล่าวหาว่าอาจมีส่วนรู้เห็นในธุรกิจสีเทาและธุรกิจสแกมเมอร์

ด้านนายเบน สมิธ มอบอำนาจให้นายธนดล สุวัณณะฤทธิ์ ที่ปรึกษา รมว.เกษตรฯ ยื่นฟ้องนายรังสิมันต์ในข้อหาหมิ่นประมาท พร้อมกับเรียกค่าเสียหาย 100 ล้านบาท เนื่องจากถูกพาดพิงว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับขบวนการสแกมเมอร์และเครือข่ายฟอกเงินข้ามชาติ

ร่างกฎหมายสหรัฐฯ จ่อคว่ำบาตรผู้เกี่ยวข้องกับเมืองสแกมเมอร์ติดชายแดนไทย-เมียนมาด้วย

รายชื่อชาวต่างชาติที่อยู่ในบัญชีถูกคว่ำบาตรยังปรากฏชื่อของพลจัตวา ซาย จอ หล่า (Sai Kyaw Hla) ผู้นำอันดับ 3 ของกองทัพกะเหรี่ยงพุทธประชาธิปไตยหรือดีเคบีเอ (Democratic Karen Buddhist Army – DKBA) ผู้มีประวัติพัวพันกับการค้ายาเสพติดและของเถื่อนข้ามแดนมาอย่างยาวนาน

นายทหารผู้นี้ให้ทุนจีนที่ย้ายฐานสแกมเมอร์จากเมืองสีหนุวิลล์มาตั้งศูนย์หลอกลวงในดินแดนที่อยู่ภายใต้การดูแลของเขา ซึ่งอยู่ตรงข้ามกับ ต.ช่องแคบ อ.พบพระ จ.ตาก ที่ผู้คนเรียกกันในหลากหลายชื่อ ไม่ว่าจะเป็น "ช่องแคบ" อันมาจากลักษณะภูมิประเทศของแม่น้ำเมยที่แคบมากจนเดินข้ามถึงกันได้ หรือ "ไท่ฉาง (Taizhang)" ในภาษาจีน อันมาจากชื่อบริษัทสแกมเมอร์ออนไลน์ชื่อดังในเมืองดังกล่าว

ช่องแคบเป็นหนึ่งในพื้นที่เป้าหมายที่ไทยดำเนินการ "3 ตัด" เช่นเดียวกันกับเมืองชเวโก๊กโก่ และเมืองเคเคพาร์ค (KK Park) ซึ่งอยู่ภายใต้การดูแลของกองกำลังกะเหรี่ยงบีจีเอฟ


เคเคพาร์ค ศูนย์สแกมเมอร์ติดชายแดนไทย-เมียนมา ที่ยังคงเติบโตต่อเนื่อง

อีกรายชื่อหนึ่งในร่างกฎหมายของสหรัฐฯ คือ บริษัทตงเหมย กรุ๊ป (Dongmei Group) และสมาคมประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมหงเหมินโลก (Hongmen World Cultural and Historical Association) ทั้งสององค์กรเป็นของนายหวัน ค็อกคอย ฉายาไอ้ฟันหลอ อดีตหัวหน้ากลุ่ม 14K จากมาเก๊า ซึ่งตอนนี้เคลื่อนไหวอยู่ในกัมพูชา และเดินทางไป ๆ มา ๆ ระหว่างไทยและมาเลเซีย

ทั้งนี้ บริษัทตงเหมยกรุ๊ป เป็นผู้ลงทุนหลักของเมืองเคเคพาร์คในช่วงเริ่มต้นโครงการ

ในปี 2018 นายหวัน เคยจัดพิธีเปิดสำนักงานใหญ่ของสมาคมประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมหงเหมินโลกในไทย โดยเชิญ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ อดีตนายกรัฐมนตรี มาร่วมงานด้วย

จากนั้นในปี 2020 กระทรวงการคลังของสหรัฐฯ จึงประกาศมาตรการลงโทษคว่ำบาตรทางการเงินบริษัทที่เกี่ยวข้องกับนายหวันทั้งหมด หนึ่งในนั้นคือสมาคมประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมหงเหมินโลกที่ก่อตั้งขึ้นในประเทศกัมพูชา

สำหรับเมืองเคเคพาร์ค ถือเป็นอีกหนึ่งศูนย์หลอกลวงทางไซเบอร์แห่งหนึ่งของโลก ปัจจุบันอยู่ในพื้นที่ควบคุมของกองกำลังกะเหรี่ยงบีจีเอฟภายใต้การนำของ พ.อ.เต่ง วิน

หากร่างกฎหมายฉบับนี้มีผลบังคับใช้ จะส่งผลอย่างไร ?

ร่างกฎหมาย H.R.5490 ของสหรัฐฯ เสนอให้จัดตั้งคณะทำงานระหว่างหน่วยงานเพื่อรื้อถอนศูนย์หลอกลวงออนไลน์ข้ามชาติ โดยกำหนดยุทธศาสตร์ที่ครอบคลุมหลายด้าน เช่น การกดดันรัฐบาลต่างประเทศที่ให้ที่พักพิงแก่ศูนย์หลอกลวง การสืบสวนบทบาทของจีนและกองทัพเมียนมา รวมถึงการใช้มาตรการคว่ำบาตรต่อผู้เกี่ยวข้อง

นอกจากนี้ยังมียุทธศาสตร์เน้นการเสริมศักยภาพหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายต่างประเทศ การคุ้มครองเหยื่อการค้ามนุษย์ และการใช้เทคโนโลยีไซเบอร์เชิงรุกเพื่อทำลายเครือข่ายหลอกลวง พร้อมผลักดันให้ประเทศที่เกี่ยวข้องถูกจัดอยู่ในบัญชีสีเทาหรือดำของคณะทำงานเฉพาะกิจเพื่อดำเนินมาตรการทางการเงินเกี่ยวกับการฟอกเงิน (FATF)

เป้าหมายสุดท้าย คือ การติดตามและคืนทรัพย์สินให้แก่ผู้เสียหายชาวอเมริกัน และป้องกันไม่ให้เงินจากอาชญากรรมข้ามชาติแทรกซึมเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจโลก

รายชื่อบริษัทและชาวต่างชาติทั้ง 43 รายการมีดังนี้

Aik Paung
Benjamin Mauerberger (เบนจามิน เมาเออร์เบอร์เกอร์)
Chen Xiuling (เฉิน ซิวหลิง)
D. Chen Zhi (ดี. เฉิน จื้อ)
Chou Bun Eng
Dy Vichea
Edward Lee
Gabriel Tan
Honn Sorachna
Hun To (ฮุน โต)
Ing Dara (อิง ดารา)
Kok An (ก๊ก อาน)
Kuoch Chamrouen (กุช จัมเริญ)
Li Xiong
Long Dimanche (ลอง ดีมัง)
Ma Dongli (หม่า ตงลี)
Michael Chiam
Mote Thun
Neth Savoeun
Rithy Raksmei
Sai Aung Lin
Sai Kyaw Hla (ซาย จอ หล่า)
Sar Sokha (ซอ โสกรา)
Saw Min Min Oo
Su Zhongkian
Yan Borith
Yan Narong
Yan Sathya
Yim Leak (ยิม เลียก)
Yu Jianjun
Yu Lingxiong
Zhong Baojia (ซ่ง เป่าเจีย)
9 Dynasty
Dongmei Group (ตงเหมยกรุ๊ป)
Fully Light Group of Companies, LTD
Hongmen World Cultural and Historical Association (สมาคมประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมหงเหมินโลก)
Huione Group (ฮุยวันกรุ๊ป)
K99 Group (เคไนน์ไนน์กรุ๊ป)
Prince Group Holding Company (ปรินซ์ กรุ๊ป โฮลดิ้ง คอมพานี)
Trans-Asia International Holding Group
Union Development Group (ยูเนียน เดเวลลอปเมนท์ กรุ๊ป)
White Sands Palace Casino
Xinwang International

https://www.bbc.com/thai/articles/cx2d77gpq7ko


กลวิธี #คอลเซนเตอร์ ใช้ "คนไทย" ทำงาน เคยล้างสมอง มาถึงยุคปรับวิธีใหม่ แบ่งแยกความสามารถ คัดเกรด ขายต่อให้ตึกคอลเซนเตอร์ต่าง ๆ ใน #ปอยเปต งานที่คนไทยทำ แบ่งลักษณะงานได้เป็น 4 กลุ่ม







https://x.com/ThaiPBSNews/status/1978834668322783649


 

"ทางกองทุนหทัยทิพย์ จะสนับสนุนเรื่องเงิน ณ ส่วนนี้ จริงๆ จะสนับสนุนหลายอย่าง ต้องค่อยๆ ทำไป ..ขอให้ช่วยดูว่าเราจะสร้างกำแพง ที่กั้นระหว่างเขมรกับไทย จะเป็นที่กั้นไม่เดี๋ยวด๋าว เป็นของที่ทำแล้วคงถาวร" พระดำรัส เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี - ทพจร





https://x.com/GDwsH9XQkmtXOYJ/status/1978143738590294039


 

หลักห้ามพิพากษาเกินคำขอ (non ultra petita) เป็นหลักการพื้นฐานของนิติศาสตร์และนิติรัฐ เป็นหลักการสากลที่ใช้กันทั่วไปทั้งในระบบกฎหมายซีวิลลอว์และระบบกฎหมายคอมมอนลอว์ และใช้กันในทุกสาขากฎหมาย


iLaw
6 hours ago
·
เวลาเปลี่ยนคนก็เปลี่ยน บวรศักดิ์เคยพูด ห้ามศาลพิพากษาเกินคำขอ เป็นหลักสากลของศาลทุกชนิด
.
16 กันยายน 2568 ศาสตราจารย์บวรศักดิ์ อุวรรณโณ รองนายกรัฐมนตรี ด้านกฎหมาย ชี้แจงต่อสื่อในกรณีคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่ 18/2568 ที่รัฐสภาส่งเรื่องไปให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยอำนาจริเริ่มจัดทำรัฐธรรมนูญใหม่ แต่ศาลรัฐธรรมนูญแอบแถมมาว่า “แต่รัฐสภาไม่อาจให้ประชาชนเลือกผู้ร่างรัฐธรรมนูญได้โดยตรง” ซึ่งคำวินิจฉัยดังกล่าว “เกินคำขอ” ผู้ร้องไม่ได้ถาม อย่างไรก็ตาม บวรศักดิ์ระบุว่า หลักห้ามตัดสินเกินคำขอ ใช้ในกฎหมายแพ่ง กฎหมายอาญา ซึ่งเป็นเรื่องบุคคล แต่จะไปใช้ในกฎหมายมหาชนไม่ได้ และศาลปกครองสูงสุดก็เป็นอย่างนี้ โดยถือเป็นหลักของกฎหมายมหาชน ที่เป็นกฎหมายที่คุ้มครองประโยชน์สาธารณะ ไม่ใช่คุ้มครองสิทธิของบุคคลเพียงบุคคลเดียว เป็นเรื่องสาธารณะ จึงเป็นเรื่องปกติ ไม่ใช่เรื่องผิดปกติ
.
ทั้งนี้ เมื่อดูกรณีของศาลปกครอง พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542 ไม่ได้มีบทบัญญัติที่เขียนห้ามไม่ให้ศาลพิพากษาเกินคำขอโดยตรง เหมือนกับคดีแพ่งและคดีอาญา อย่างไรก็ดี ก็ไม่มีกฎหมายที่ให้อำนาจศาลพิพากษาเกินคำร้องขอได้เช่นกัน เมื่อดูการใช้อำนาจของศาลปกครองผ่านคำพิพากษาหลายคดี พบว่าศาลปกครองวางแนวทางไม่พิพากษาเกินคำขอ สำหรับศาลรัฐธรรมนูญ พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2561 ไม่ได้ห้ามศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยเกินคำขอของผู้ร้องไว้โดยตรง แต่ก็ "ไม่มี" บทบัญญัติที่ให้อำนาจศาลใช้ดุลยพินิจวินิจฉัยเกินคำร้องขอได้หากมีเหตุจำเป็น
.
เมื่อย้อนไปดูคำอธิบายหลักการดังกล่าวในช่วงที่ศาลรัฐธรรมนูญไทยเพิ่งก่อตั้งใหม่ๆ เมื่อ 18 กันยายน 2541 บวรศักดิ์ เคยกล่าวในปาฐกถานำสัมมนาวิชาการเรื่อง “เขตอำนาจศาลรัฐธรรมนูญตามบทบัญญัติรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540” ความตอนหนึ่งว่า “ประการที่ 3 ครับ เมื่อเป็นศาลแล้วคำพิพากษาจะพิพากษาเกินคำขอไม่ได้ หลักเรื่องการพิพากษาเกินคำขอไม่ได้ ที่เรียกว่า หลัก Ultra Petita นั้น เป็นหลักสากลของศาลทุกชนิด ซึ่งต่างจากหลักของคณะกรรมการ คณะกรรมการนั้นเขามีอำนาจเต็ม อยากตัดสินอะไรตามตัดสินตามกฎหมายก็ว่ากันไป แต่ศาลถ้าคู่ความไม่ได้ตั้งประเด็นอันเป็นคำขอในคดีจะไปพิพากษาเกินขอไม่ได้ เพราะจะขัดหลัก Ultra Petita คือไปพิพากษาเกินคำขอของคู่กรณีทันที”
.
โดยศาลรัฐธรรมนูญไทย ก่อตั้งขึ้นเป็นครั้งแรกตามรัฐธรรมนูญ 2540 ในอดีตไทยไม่ได้มีศาลรัฐธรรมนูญที่เป็นองค์กรตุลาการ แต่อยู่ในรูปแบบ “คณะตุลาการรัฐธรรมนูญ” ซึ่งรัฐธรรมนูญบางฉบับกำหนดไว้ให้ทำหน้าที่หลักคือวินิจฉัยว่า บทบัญญัติกฎหมายใดขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญหรือไม่ ได้แก่ รัฐธรรมนูญ 2489 รัฐธรรมนูญ 2492 รัฐธรรมนูญ 2475 แก้ไขเพิ่มเติม 2495 รัฐธรรมนูญ 2511 รัฐธรรมนูญ 2517 รัฐธรรมนูญ 2521 รัฐธรรมนูญ 2534 และรัฐธรรมนูญ (ชั่วคราว) 2459
.
ปาฐกถาดังกล่าวถูกถอดเป็นบทความในชื่อ “เขตอำนาจศาลรัฐธรรมนูญ” ซึ่งอยู่ในหนังสือ “รวมบทความทางวิชาการของศาลรัฐธรรมนูญ ชุดที่ 1 : ศาลรัฐธรรมนูญไทย” ตีพิมพ์เมื่อเดือนตุลาคม 2544 สามารถเข้าถึงได้ทางเว็บไซต์ของศาลรัฐธรรมนูญที่ https://www.constitutionalcourt.or.th/.../article...
.
ต่อประเด็นหลักห้ามพิพากษาเกินคำขอ รศ.มุนินทร์ พงศาปาน อดีตคณบดีคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โพสต์ข้อความอธิบายหลักดังกล่าวผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว ว่า “หลักห้ามพิพากษาเกินคำขอ (non ultra petita) เป็นหลักการพื้นฐานของนิติศาสตร์และนิติรัฐ เป็นหลักการสากลที่ใช้กันทั่วไปทั้งในระบบกฎหมายซีวิลลอว์และระบบกฎหมายคอมมอนลอว์ และใช้กันในทุกสาขากฎหมายไม่ว่าจะเป็นกฎหมายเอกชน กฎหมายมหาชน กฎหมายอาญา และกฎหมายระหว่างประเทศ หลักการนี้มีเจตนารมณ์เพื่อป้องกันการใช้อำนาจตามอำเภอใจซึ่งเป็นอันตรายต่อสิทธิเสรีภาพของประชาชน ในทำนองเดียวกับหลักการพื้นฐานของกฎหมายมหาชนที่ว่าฝ่ายบริหารจะมีอำนาจ ก็ต่อเมื่อมีกฎหมายให้อำนาจไว้อย่างชัดแจ้ง และหลักการพื้นฐานของกฎหมายอาญาที่ว่าบุคคลจะไม่รับโทษทางอาญา ถ้าไม่มีกฎหมายบัญญัติเป็นความผิดและกำหนดโทษไว้อย่างชัดแจ้ง
.
ในประเทศที่มีศาลรัฐธรรมนูญบางประเทศ อาจมีบางครั้งที่ศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยเกินคำขอโดยไม่มีกฎหมายอนุญาตให้ทำได้ จนก่อให้เกิดข้อถกเถียงในหมู่นักกฎหมายของประเทศนั้นๆ แม้ว่าจะมีนักกฎหมายจะเห็นว่าศาลรัฐธรรมนูญอาจจะวินิจฉัยเกินคำขอในบางกรณีซึ่งเป็นข้อยกเว้น แต่ก็ต้องเป็นกรณีที่มีความจำเป็นอย่างยิ่งยวดเพื่อคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของประชาชนเท่านั้น ไม่ใช่เพื่อจำกัดสิทธิของประชาชนในการมีส่วนร่วมในกระบวนการแก้รัฐธรรมนูญอย่างที่เขียนไว้ในคำวินิจฉัยส่วนตนของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญไทยแน่ๆ”
.
โพสต์ต้นทาง https://www.facebook.com/share/p/17QXAwkzg1/
.
อ่านเพิ่มเติมเรื่องหลักห้ามพิพากษาเกินคำขอ ได้ที่

https://www.facebook.com/photo/?fbid=1229292885910995&set=a.625664036273886
.....

ปฐมพงศ์ แสนสุข
ไม่ต่างอะไรก็เหมือนวิษณุนั่นแหละเนติบริกร
...

Munin Pongsapan
10 hours ago
·
หลักห้ามพิพากษาเกินคำขอ (non ultra petita) เป็นหลักการพื้นฐานของนิติศาสตร์และนิติรัฐ เป็นหลักการสากลที่ใช้กันทั่วไปทั้งในระบบกฎหมายซีวิลลอว์และระบบกฎหมายคอมมอนลอว์ และใช้กันในทุกสาขากฎหมายไม่ว่าจะเป็นกฎหมายเอกชน กฎหมายมหาชน กฎหมายอาญา และกฎหมายระหว่างประเทศ หลักการนี้มีเจตนารมณ์เพื่อป้องกันการใช้อำนาจตามอำเภอใจซึ่งเป็นอันตรายต่อสิทธิเสรีภาพของประชาชน ในทำนองเดียวกับหลักการพื้นฐานของกฎหมายมหาชนที่ว่าฝ่ายบริหารจะมีอำนาจ ก็ต่อเมื่อมีกฎหมายให้อำนาจไว้อย่างชัดแจ้ง และหลักการพื้นฐานของกฎหมายอาญาที่ว่าบุคคลจะไม่รับโทษทางอาญา ถ้าไม่มีกฎหมายบัญญัติเป็นความผิดและกำหนดโทษไว้อย่างชัดแจ้ง
ในประเทศที่มีศาลรัฐธรรมนูญบางประเทศ อาจมีบางครั้งที่ศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยเกินคำขอโดยไม่มีกฎหมายอนุญาตให้ทำได้ จนก่อให้เกิดข้อถกเถียงในหมู่นักกฎหมายของประเทศนั้นๆ แม้ว่าจะมีนักกฎหมายจะเห็นว่าศาลรัฐธรรมนูญอาจจะวินิจฉัยเกินคำขอในบางกรณีซึ่งเป็นข้อยกเว้น แต่ก็ต้องเป็นกรณีที่มีความจำเป็นอย่างยิ่งยวดเพื่อคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของประชาชนเท่านั้น ไม่ใช่เพื่อจำกัดสิทธิของประชาชนในการมีส่วนร่วมในกระบวนการแก้รัฐธรรมนูญอย่างที่เขียนไว้ในคำวินิจฉัยส่วนตนของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญไทยแน่ๆ



⭕บันทึกเยี่ยม ‘ปณิธาน’ ผู้ต้องขัง ม.112: “พ่อไปเรียนตัดผม” ความเข้าใจของลูกสาวที่รอวันพ่อกลับบ้าน


ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน
7 hours ago
·
บันทึกเยี่ยม ‘ปณิธาน’ ผู้ต้องขัง ม.112: “พ่อไปเรียนตัดผม” ความเข้าใจของลูกสาวที่รอวันพ่อกลับบ้าน
.
.
เมื่อวันที่ 24 ก.ย. 2568 และ 8 ต.ค. 2568 ทนายความเข้าเยี่ยม “ปณิธาน” (นามสมมติ) ชายหนุ่มวัย 28 ปี จากจังหวัดสระแก้ว พ่อลูกอ่อนที่ต้องพลัดพรากจากครอบครัวมาตั้งแต่วันที่ 13 พ.ค. 2568 หลังถูกศาลฎีกาพิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์ ลงโทษจำคุก 1 ปี 6 เดือน โดยไม่รอลงอาญา ในคดีตามมาตรา 112 จากการคอมเมนต์ใต้โพสต์เฟซบุ๊กในกลุ่ม “รอยัลลิสต์มาร์เก็ตเพลส-ตลาดหลวง” เมื่อปี 2564
.
หลังจากผ่านไปกว่า 5 เดือน ชีวิตข้างในเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ของปณิธานยังคงปรับตัวได้ ที่แดน 8 เขาใช้เวลาอย่างมีคุณค่าด้วยการเป็นผู้ช่วยในกองงานกลาง ฝึกฝีมือตัดผมให้กับผู้ต้องขังหลายสิบคน จนได้รับความไว้วางใจและคำชื่นชมจากหลายคน ขณะที่บทสนทนายังวนเวียนว่าด้วยชีวิตประจำวันและความหวังที่จะได้กลับไปหาครอบครัว
.
ก่อนจากกัน ชายหนุ่มยังเล่าถึงเรื่องอภัยโทษที่ตั้งความหวังไว้ การติดต่อสื่อสารกับภรรยาผ่านจดหมายที่ต้องใช้เวลารอคอยนานกว่าจะถึงมือกัน สำคัญที่สุดคือช่วงเวลาอันมีค่าที่ได้พบลูกสาววัยย่าง 3 ขวบ ผ่านการพบชั่วครั้งชั่วคราว โดยลูกน้อยยังคิดว่าการจากกันครั้งนี้เป็นเพราะผู้เป็นพ่อไปเรียนตัดผม

.

วันที่ 24 ก.ย. 2568

เมื่อทักทายเรื่องความเป็นอยู่ ปณิธานเล่าว่าข้างในเรือนจำมีการเปลี่ยนหัวหน้าฝ่ายใหม่ ทำให้บรรยากาศภายในเป็นไปในทางที่ดีขึ้น สิ่งที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างชัดเจนคือเรื่องห้องสมุด เขาเล่าว่าตอนนี้ทุกคนสามารถเข้าใช้ห้องสมุดได้อย่างเท่าเทียมกัน ไม่มี ‘บ้าน’ ไหนวางอำนาจห้ามคนอื่นเข้าห้องสมุดส่วนกลางอีก เขารู้สึกว่าทุกอย่างดีขึ้นนับตั้งแต่หัวหน้าหรือผู้อำนวยการฝ่ายคนใหม่เข้ามา
.
สำหรับเรื่องอาหารการกิน ปณิธานบอกว่ายังคงเหมือนเดิม รสชาติจืด ๆ แต่ก็อยู่ได้ พยายามกินให้พอดี ถ้าไม่พอก็สามารถซื้อหรือสั่งของเพิ่มเติมได้
.
ส่วนกิจวัตรประจำวัน ปณิธานเล่าว่า ตอนนี้เขาได้เข้าไปช่วยกองงานกลาง มีหน้าที่ตัดผมให้กับผู้ต้องขังหลายสิบคน ทำให้ได้ฝึกฝีมือและอัปเกรดความสามารถของตัวเอง หลายคนถูกใจฝีมือเขาจนกลับมาให้ตัดผมซ้ำ ๆ บางคนยังนำน้ำ นม ขนม มาให้อีกด้วย แต่เขาไม่อยากรับเพราะตั้งใจตัดให้จริง ๆ ไม่ได้หวังสิ่งตอบแทน การได้เป็นผู้ช่วยทำให้รู้สึกได้ฝึกฝีมือมากขึ้น มีประโยชน์กับตัวเองและคนอื่น ๆ
.
ปณิธานอัปเดตเพิ่มเติมว่าสถานการณ์เรือนจำ ในแดน 8 ที่เขาอยู่ ตอนนี้มีคนเข้ามาเพิ่มขึ้นอีก ขณะเดียวกันก็มีการย้ายผู้ต้องขังไปเรือนจำคลองกลางเปรมหลายคนเพื่อระบายจำนวนนักโทษ และยังมีการย้ายไปเรือนจำวัยหนุ่มที่พระนครศรีอยุธยาด้วย
.
ปณิธานยังเล่าถึงการรับข่าวสารข้างใน ว่าสามารถเปิดทีวีดูมวย ดูรายการวาไรตี้ได้ และยังมีกิจกรรม เช่น การแข่งเตะตะกร้อ 100 ปี โดยเป็นการรวมทีมผู่ต้องขังที่มีอายุรวมกันให้ครบ 100 ปี หรือมีแข่งแต่งเพลง นั่งสมาธิ สอนภาษา กิจกรรมเหล่านี้ก็ค่อนข้างช่วยลดความเครียดของผู้ต้องขังได้
.
ทนายความส่งต่อข้อความจากภรรยา ฝากบอกว่ากระดาษจดหมายที่เขียนสื่อสารระหว่างเธอกับปณิธานหมดพอดี เพิ่งซื้อไป แต่ต้องรอเรือนจำอนุมัติประมาณ 3-5 วัน ช่วงนี้คงมาเยี่ยมไม่ได้ น่าจะมาได้อีกทีในเดือนหน้า
.
ภรรยายังฝากแจ้งว่า ลูกสาวสบายดี ไปโรงเรียนทุกวัน ถ้ามีอะไรให้เขียนจดหมายมาได้ ปณิธานรับทราบและบอกว่าเพิ่งเขียนจดหมายออกไปหาก่อนทนายมาเยี่ยมพอดี เขาฝากบอกว่าถ้าภรรยาได้รับจดหมายแล้วให้รีบตอบกลับทันทีเท่าที่จะทำได้

ปณิธานยังบอกอีกว่าหนังสือที่ทนายความฝากให้ตั้งแต่ต้นเดือนยังไม่ได้รับเลย ไม่รู้ว่าฝากต้นเดือนแล้วอาจจะได้รับสิ้นเดือนเลย เขาค่อนข้างขำขื่น ๆ ที่มันใช้เวลานานมาก ทนายจึงตอบว่าเดือนหน้าจะลองฝากเล่มใหม่เข้าไป

.

วันที่ 8 ต.ค. 2568

วันนี้พิเศษกว่าทุกครั้ง เพราะภรรยาพาลูกสาวตัวน้อยมาเยี่ยมเขาด้วย ทนายได้ยินเสียงเด็กร้องเรียก เธอบอกว่าอยากเจอพ่อมาก และถ้าได้เจอพ่อจะบอกว่ารักพ่อนะ ลูกสาวดีใจมากที่จะได้พบพ่อ เพราะเข้าใจว่าพ่อมาเรียนตัดผม
.
ระหว่างรอเข้าเยี่ยม ภรรยาเล่าให้ฟังว่าคนรอบข้างหรือคนแถวบ้านชอบถามเด็กตรง ๆ ว่าพ่อติดคุกหรือ ติดเรื่องอะไร ซึ่งน้องตอบว่าพ่อไปเรียนตัดผม ภรรยากังวลว่าหากน้องจำคนที่ถามได้ อาจจะรู้สึกไม่ดีเมื่อโตขึ้น ยังดีที่ตอนนี้น้องเข้าใจว่าพ่อไปเรียนตัดผม ภรรยาบอกว่าวันนี้มาเยี่ยมเพราะเดือนหน้าอาจจะมาไม่สะดวก หรืออาจจะมาได้น้อยครั้ง หรือต้องขอเยี่ยมทางไลน์แทน เพราะก่อนหน้านี้ ยังเป็นห่วงที่ปณิธานไม่ตอบจดหมาย และจดหมายส่งไปก็ถึงช้ามาก
.
เมื่อได้เข้าเยี่ยม วันนี้ ทนายความแจ้งข่าวเรื่องการติดตามเรื่องใบคดีเด็ดขาดของปณิธานนั้น โดยเจ้าหน้าที่ศาลระบุว่า จะเป็นผู้ส่งข้อมูลผู้ต้องขังมาให้ทางเรือนจำเอง ตอนนี้ทางศาลยังไม่ได้ส่งมา ทำให้ยังต้องรอส่งเอกสารมา เพราะเป็นเรื่องระหว่างศาลและเรือนจำเอง โดยทางเรือนจำจะนับโทษให้ตั้งแต่วันที่เข้ามา หากได้รับเอกสารก็จะนับย้อนให้เพื่อเป็นประโยชน์แก่ผู้ต้องขังเอง ดังนั้นไม่ต้องกังวลเรื่องการนับโทษ โดยปณิธานคาดหวังว่าอาจจะลองทำเรื่องขอพักโทษดู หากเข้าเกณฑ์แล้ว
.
ปณิธานเล่าให้ฟังว่าตอนนี้ “ครูใหญ่ อรรถพล” กับ “ไผ่ จตุภัทร์” ถูกย้ายมาอยู่ที่แดน 8 เช่นกัน รวมทั้งมี “วชิระ” ผู้ต้องขังในคดีเกี่ยวกับเว็บไซต์ศาลรัฐธรรมนูญก็ถูกย้ายมาด้วย โดยทราบว่าเขามีอาการซึมเศร้า ผู้ต้องขังในแดนหลายคนก็พยายามไปชวนพูดคุยด้วย
.
ปณิธานอธิบายเรื่องจดหมายที่เขาเขียนออกไปและภรรยาส่งเข้ามา เข้าใจว่ามีการตรวจสอบและใช้ระยะเวลานานมาก ไม่เหมือนช่วงก่อนที่ราว 1-2 วันก็ส่งได้แล้ว แต่ช่วงหลัง ๆ จะใช้เวลาประมาณ 5-7 วัน จึงจะส่งได้ ไม่ทราบว่าเหตุจากอะไร
.
ระหว่างนั้นลูกสาวอยากคุยกับพ่อมาก จึงให้เวลาพ่อลูกได้คุยกัน เด็กน้อยบอกว่าคิดถึงพ่อ รักพ่อมากเลย สัมผัสได้ว่าลูกสาวดีใจมากที่ได้คุยกับพ่อ พ่อก็ดีใจมากที่ได้คุยกับลูกสาว ต่างคนต่างดีใจมาก
.
ก่อนจบการเยี่ยม แจ้งว่าได้ฝากหนังสือเล่มหนาอีกหนึ่งเล่มเข้าไปให้แล้ว และครั้งหน้าจะฝากเล่มหนา ๆ ให้เลยเพราะเล่มที่ฝากให้ล่าสุดเพิ่งได้รับและอ่านใกล้จบแล้ว ปณิธานหัวเราะและดีใจ บอกว่า “จะได้ไม่เบื่อมากครับ”
.
ภาพการเยี่ยมครั้งนี้จบลงด้วยรอยยิ้มของหนูน้อยที่โบกมือลาพ่อ
.
.
อ่านเนื้อหาบนเว็บไซต์
https://tlhr2014.com/archives/79262

https://www.facebook.com/photo/?fbid=1220518156585319&set=a.656922399611567



พรรคพวก 'กัน' #นี่แหละประเทศไทย

https://www.facebook.com/watch/?v=831030129582300



...เก่งกว่าทหาร ...บารมีเยอะกว่านักการเมือง ...เงินเยอะกว่า FC ...ทำความดีต้องมีกล้อง ...แผ่นดินนี้ไม่มีใครเก่ง ไม่มีใครรักชาติเท่าคุณแล้ว


Suwagee Klampaiboon
9 hours ago
·
...เก่งกว่าทหาร
...บารมีเยอะกว่านักการเมือง
...เงินเยอะกว่า FC
...FC เยอะกว่าทำอะไรไม่ผิด
...connection แป้งจอมพลัง
...ทำความดีต้องมีกล้อง มีสื่อ มีแสง มีโหนกระสวย
...แผ่นดินนี้ไม่มีใครเก่ง ไม่มีใครรักชาติเท่าคุณแล้วค่ะ
ผูกขาดความรักชาติไว้คนเดียวไม่เผื่อแผ่ใครเลยนะพ่อนะ


**บทความนี้วิเคราะห์ไว้ดีมาก เพิ่มเติมความรู้ ความเข้าใจ และรับรู้มุมมองใหม่ๆ ลองอ่านโพสต์นี้กันดูค่ะ** https://www.facebook.com/share/p/19TGZhkcMj/

https://www.facebook.com/photo/?fbid=10161138997471841&set=a.10152051646016841
.....


Suwagee Klampaiboon
Yesterday
·
...ลัทธิชาตินิยมมองเห็นเพียงเขตแดน แผ่นดิน สีผิว เชื้อชาติสัญชาติ ศาสนา เป็นสำคัญ นั่นคือที่มาของสงครามเพื่อแบ่งแยก
...นักสิทธิมนุษยชนไม่มองเขตแดน ไม่แบ่งประเทศ ไม่เลือกเชื้อชาติสัญชาติ ศาสนา สีผิว ทุกคนบนโลกคือมนุษย์ นั่นคือที่มาของสันติ
การต่อต้านนักสิทธิมนุษยชนของสื่อมวลชนโหนห้อยและเหล่าผู้นำลัทธิคลั่งรัก ชาตินิยม จึงเป็นความคับแคบทางความคิด


กลุ่มสื่อจีน ในไต้หวัน ฮ่องกง มาเลเซีย รายงานตรงกันว่า นิคมหลอกลวงในกัมพูชา “ไชน่าทาวน์ สีหนุวิลล์” ป่วนหลายบริษัทประกาศยุบปิดตัวกลางดึกขนคนออก

https://www.facebook.com/WorldForumTh/posts/pfbid037GDztgX2Up7SgiFskv7tchgJcQp2kFozTgffqP9dWEuVTRDZiHZYc77oqfJN2Rp8l


World Forum ข่าวสารต่างประเทศ 
10 hours ago
·
กัมพูชา | ศูนย์สแกมเมอร์ สีหนุวิลล์ ปิดตัวลงกลางดึก
กลุ่มสื่อจีน ในไต้หวัน ฮ่องกง มาเลเซีย รายงานตรงกันว่า
นิคมหลอกลวงในกัมพูชา “ไชน่าทาวน์ สีหนุวิลล์” ป่วนหลายบริษัทประกาศยุบปิดตัวกลางดึกขนคนออก
เมื่อคืนที่ผ่านมา 15 ตุลาคม 2025 ภายใน เขตพิเศษเมืองสีหนุวิลล์ หรือที่รู้จักกันในชื่อ “นิคมไชน่าทาวน์ (China Town Zone)” ซึ่งเป็นฐานปฏิบัติการของกลุ่มอาชญากรรมข้ามชาติชาวจีน ได้เกิดเหตุไม่คาดคิดขึ้น หลายบริษัทประกาศ “ยุบปิดกิจการกะทันหัน” ในช่วงกลางดึก มีชาวจีนและชาวต่างชาติจำนวนมากมารวมตัวกันด้านล่างอาคาร สถานการณ์เต็มไปด้วยความโกลาหล
ตามรายงานของ สื่อ (Cambodia-China Times) ระบุว่า เวลาประมาณ 23.00 น. ของวันพุธ (15 ตุลาคม) บริษัทหลายแห่งในนิคมจีนไชน่าทาวน์ได้ประกาศยุบปิดตัวเองอย่างกะทันหัน พนักงานต่างชาติจำนวนมากรีบขนของและออกจากพื้นที่ โดยมีรถหลายคันมารับพวกเขาออกไป ทำให้เกิดความวุ่นวายเกิดขึ้น
นิคม “China Town” ในจังหวัดสีหนุวิลล์ ถือเป็นฐานหลักของกลุ่มอาชญากรรมข้ามชาติชาวจีน โดยสื่อสหรัฐฯ Bloomberg เคยรายงานว่า พื้นที่นี้อาจมีผู้ถูกกักขัxมากถึง 6,000 คน ซึ่งทำงานในเครือข่ายหลอกลวงออนไลน์ทั่วโลก และเป็นหนึ่งใน “พื้นที่มืดที่สุดของโลก”
ก่อนหน้านี้ ระหว่างคืนวันที่ 4 ถึงเช้ามืดวันที่ 5 ตุลาคม เคยเกิดเหตุ จลาจลของแรงงานต่างชาติ ภายในนิคมเดียวกัน โดยแรงงานมากกว่า 100 คนจาก ปากีสถานและบังกลาเทศ ได้บุกเข้าไปในสำนักงานและหอพัก เนื่องจากความขัดแย้งด้านแรงงานและศาสนา ตำรวจกัมพูชาต้องระดมกำลังเข้าควบคุมสถานการณ์และจับกุมผู้เกี่ยวข้องทั้งหมดไปสอบสวน
แรงงานเหล่านี้ทำงานให้กับบริษัทจีนที่ประกอบธุรกิจ พนัnออนไลน์และหลอกลวงทางโทรศัพท์ (scam & online gambling) ภายในนิคมดังกล่าว หลังเหตุจลาจล เจ้าหน้าที่บังคับใช้กฎหมายของกัมพูชาได้เข้าตรวจค้นและ “ปฏิบัติการพิเศษ” ภายในพื้นที่เพิ่มเติม


หนุ่มเกาหลีแฉประสบการณ์ 61 วัน นรกในเขมร จากนักท่องเที่ยว สู่เหยื่อค้ามนุษย์


Khaosod - ข่าวสด
9 hours ago
·
หนุ่มเกาหลีแฉประสบการณ์ 61 วัน นรกในเขมร จากนักท่องเที่ยว สู่เหยื่อค้ามนุษย์
.
วันที่ 16 ต.ค. เว็บไซต์ Korea JoongAng Daily เผยเรื่องราว ชายชาวเกาหลีวัย 40 ปีที่ใช้ชื่อสมมติว่า “ฮอ มินจอง” เปิดเผยประสบการณ์ “61 วันในนรก” หลังถูกหลอกไปกัมพูชาและตกเป็นเหยื่อของขบวนการค้ามนุษย์ เขาเล่าว่าถูกทำร้าย ขายต่อ และถูกตำรวจจับขัง ทั้งที่เป็นเหยื่อ สะท้อนถึงความเลวร้ายของอาชญากรรมข้ามชาติและข้อจำกัดของการคุ้มครองจากทางการเกาหลีใต้

ฮอเดินทางไปยังเมืองสีหนุวิลล์เมื่อวันที่ 2 ก.ค. เพื่อท่องเที่ยวและพักผ่อน แต่หลังจากดื่มกับกลุ่มชายชาวจีนที่คนรู้จักแนะนำ เขากลับถูกล้อมและเรียกค่าไถ่ 5,000-10,000 ดอลลาร์ คนร้ายยึดทรัพย์สินทั้งหมด เหลือเพียงโทรศัพท์ที่เขาใช้ติดต่อสถานทูตเกาหลีผ่าน Telegram แต่การช่วยเหลือกลับล่าช้าเกินไป ขณะเดียวกัน เขาเล่าว่าอาคารที่ถูกขังมีตั้งแต่ชั้น 5 ถึง 20 เต็มไปด้วยสำนักงานหลอกลวงทางโทรศัพท์

ตลอดสามวันแรก ฮอถูกทำร้ายร่างกายอย่างต่อเนื่อง ถูกตีด้วยขวดและที่เขี่ยบุหรี่ ก่อนถูกขายต่อให้กับนายหน้าชาวเกาหลีเชื้อสายจีนที่ชื่อใน Telegram ว่า “Hedgehog” ซึ่งเกี่ยวข้องกับขบวนการค้ามนุษย์และบัญชีหลอกลวงทางการเงิน ต่อมาในวันที่ 8 กรกฎาคม ตำรวจกัมพูชาบุกตรวจค้นอาคาร แต่กลับจับเขาไปพร้อมกับคนร้าย ทำให้เขาต้องแสร้งเงียบเพื่อไม่ให้ถูกเปิดเผยว่าเป็นผู้แจ้งเบาะแส

เขาถูกขังในห้องเล็ก ๆ ที่สกปรกและเต็มไปด้วยแมลงสาบ พยายามหลบหนีแต่ถูกจับได้ จากนั้นถูกย้ายไปคุมขังในห้องแออัดขนาด 4x5 เมตร ที่มีผู้ต้องขังมากกว่า 30 คนอยู่รวมกันในสภาพไร้สุขอนามัย ได้เพียงข้าวและไข่ครึ่งฟองต่อวัน เขาเล่าว่าผู้ต้องขังบางคนติดสินบนตำรวจถึง 100,000 ดอลลาร์เพื่ออยู่ห้องแอร์และได้รับการปล่อยตัว ขณะที่เหยื่ออย่างเขายังถูกทิ้งไว้โดยไม่ได้รับการช่วยเหลือ

ในที่สุด วันที่ 11 ส.ค. ฮอถูกย้ายไปศูนย์ตรวจคนเข้าเมืองซึ่งเขาอธิบายว่า เหมือนคุกที่ใหญ่กว่า โดยเจ้าหน้าที่เรียกเก็บเงิน 1 ล้านวอน เพื่อให้ใช้โทรศัพท์ เขายังไม่ได้พบเจ้าหน้าที่จากสถานทูตเกาหลี จนกระทั่งได้รับการช่วยเหลือจากทีมของ ส.ส.ของเกาหลีใต้ ในวันที่ 31 ส.ค. และได้กลับประเทศในที่สุด.. เขาทิ้งท้ายว่า “แม้เราจะเป็นเหยื่อ แต่กลับถูกขังรวมกับอาชญากร และถูกทอดทิ้งไว้ในสถานที่ที่ไม่มีใครควรถูกขังอยู่เลย มันคือ 61 วันที่เหมือนตกนรกจริง ๆ”
https://www.facebook.com/photo/?fbid=1312068570949888&set=a.648490497307702
อ่านบทความจากสื่อเกาหลี

ขนาด อเมริกา อังกฤษ เกาหลีใต้ คนเขาถูกหลอกมาเป็นนสแกมเมอร์ในเขมรน้อยกว่าเรามาก และอยู่กันคนละซีกโลก ยังร้อนรนเร่งแก้ปัญหา ส่งหน่วยปฎิบัติการพิเศษเข้าไปในเขมร แล้ว ”นายกหนู“ ของไทยขุดรูอยู่ตรงไหน ครับ

https://www.facebook.com/watch/?v=1511881023578663
https://www.facebook.com/reel/1511881023578663

Jom Petchpradab 
19 hours ago
·
ขนาด อเมริกา อังกฤษ เกาหลีใต้ คนเขาถูกหลอกมาเป็นนสแกมเมอร์ในเขมรน้อยกว่าเรามาก และอยู่กันคนละซีกโลก ยังร้อนรนเร่งแก้ปัญหา ส่งหน่วยปฎิบัติการพิเศษเข้าไปในเขมร แล้ว ”นายกหนู“ ของไทยขุดรูอยู่ตรงไหน ครับ


สแกมเมอร์เขมร ของแสลง รัฐบาลสีน้ำเงิน ?


ป๋าต๋อย
Yesterday
·
สแกมเมอร์เขมร ของสแลง รัฐบาลสีน้ำเงิน ?
-รัฐบาลอนุทิน มีอำนาจเต็มบริหารประเทศมาได้ 15 วัน หลังแถลงนโยบายต่อรัฐสภา
-แรกๆอะไรก็ไปได้สวย ได้เรื่อง ภาพลักษณ์ รัฐมนตรีคนนอก กับ นโยบาย คนละครึ่งพลัส มาช่วย boost กระแสความนิยม
-หลายคนบอกเลือกตั้ง 69 รัฐบาลภูมิใจไทย นอนมาแน่ กระแสความนิยมพุ่งในทุกผลโพล นักเลือกตั้งจากพรรคต่างๆแห่มาขอซบพรรคสีน้ำเงินหัวกะไดไม่แห้ง
-เวลา 4 เดือนไม่น่ามีอะไรเพลี้ยงพล้ำให้พลาดท่าเสียคะแนนนิยมที่พรรคส้มอุตส่าห์ อุ้มให้เป็นนายกฯ
-ที่ไหนได้ นายกหนู จากที่เคยตอบทุกคำถาม ตอนนี้เจอเรื่อง เขมร เข้าไปกลายเป็น”เตมีย์ใบ้”ไปซะฉิบ จากเดิมนักข่าวถามอะไรตอบหมด ตอบได้ทุกเรื่อง
-เวลา 4 เดือนรัฐบาลจะเป๋เอาทำเป็นเล่น จากเรื่อง”จักรวาลสแกมเมอร์เขมร”นี่แหล่ะ ไล่เรียงได้ ดังนี้
1.ในการแถลงนโยบายที่โรม ถามเรื่อง กระบวนการฟอกเงิน ผ่านตลาดหุ้นไทย คริปโต และการลงทุนของกลุ่มสแกมเมอร์ ซึ่งนายกไม่ตอบ มีแต่คุณธรรมนัสที่ถูกพาดพิงได้ชี้แจงผ่านสำนักข่าว อิศรา ที่ไปนั่งกินข้าวและทำบุญกับทอม สมิธ และมีภาพถ่ายร่วมกัน
2.นโยบายของรัฐบาลต่อสถานการ์ณชายแดน เป็นนโยบายชาตินิยมสุดโต่ง รัฐบาลไม่พูดอะไรเลยนอกจากบอกว่า แล้วแต่กองทัพ อ้อ แล้วก็เอ่ยปากชม กัน จอมพลัง !
3.สหรัฐ-เกาหลีใต้ กำลังรุกคืบปฏิบัติการหลายอย่างที่เป็นรูปธรรมต่อประชากรของเขาและต่อความเสียหายจากสแกมเมอร์กัมพูชาที่ร่วมกับจีนเทาบ่อนทำลายเศรษฐกิจของสหรัฐและเกาหลีใต้
-ขณะที่ไทย นายกหนู”เงียบ”ไม่ตอบ และรวมทั้งรัฐบาลไม่มีท่าทีแข็งกร้าวผ่านนโยบายอะไรใหม่ๆ เดี่ยวกับการปราบปราม แก๊งค์สแกมเมอร์และช่วยคนไทยที่ถูกหลอกไปกลับบ้าน
4.เกาหลีใต้พูดจริงทำจริง พูดวันนี้ทำวันนี้ ไม่ใช่พูดวันนี้เสร็จตั้งแต่เมื่อวาน ส่ง task force ไปเขมร เพื่อเร่งรัดสอบสวนคดีอาชญากรรมที่คนเกาหลีตายหรือหายไป รวมถึงคดีนักศึกษาเกาหลีที่ถูกทรมานจนเสียชีวิตเมื่อเดือนสิงหาคม
5.เมื่อวาน อังกฤษ กับ สหรัฐ ร่วมกันยึดบิทคอย์น มูลค่า 15,000 ล้านยูเอส ที่มีหลักฐานเชื่อมโยงกับแก๊งค์คอลเซนเตอร์ในเขมร ซึ่งมีหัวหน้าเป็นคนจีนที่ได้สัญชาติเขมรเป็นจอมบงการ
6.สำนักประธานาธิบดีเกาหลีใต้ เรียกร้องให้เร่งอพยพพลเมืองเกาหลีใต้ที่อยู่ในเขมรกลับประเทศโดยเร็วที่สุด
-ทรัมป์ จะบินมาร่วมประชุมสุดยอดอาเซียน และมีแนวโน้มสูงที่จะกดดันให้ไทยกับเขมร ลงนามสนธิสัญญาสันติภาพ ซึ่งคนไทยควรจะรับรู้รายละเอียดและสาระสำคัญ ซึ่งรัฐบาลยังเงียบไม่ชี้แจงประชาชน อนุทินได้แต่ตอบสื่อว่า เป็นเรื่องความมั่นคง
- นายกไม่ตอบเรื่อง การจัดการแก๊งค์สแกมเมอร์
-นายกไม่ตอบเรื่องเกาหลีใต้เคลื่อนไหวปราบแก๊งค์คอลเซนเตอร์
-นายกไม่ตอบเรื่อง ฮุนเซน กดดันไทยต้องเปิดด่านขีดเส้นตาย 20 ตค.
-แต่นายกตอบปมเสียงซาวด์ผีที่ไทยเปิดใส่ฝั่งเขมร
-และให้กำลังใจกัน จอมพลัง
จบข่าว
เครดิตภาพ : ไทยรัฐ ออนไลน์


ป๋าต๋อย
9 hours ago
·
หวังรัฐบาลอนุทินปราบสแกมเมอร์ได้แค่ไหน ?
-เรายังไม่เห็นความกระตือรือร้นและความเอาจริงเอาจังที่พอจะทำให้คนไทยเชื่อว่า รัฐบาลของคุณอนุทิน จะ”กล้า”ปราบปรามสแกมเมอร์ ได้สำเร็จแบบถอนรากถอนโคน !
-หันกลับมาที่ประเทศไทย ช่วงฮันนีมูน พีเรียด ของรัฐบาลอนุทินสั้นเสียเหลือเกิน ทันทีที่เกาหลีใต้ สหรัฐ และอังกฤษ ประกาศ”สงคราม”กับ แก๊งค์สแกมเมอร์กัมพูชา (รายได้จากสแกมเมอร์ คิดเป็น 60% ของ GDP ประเทศนี้)
-คนไทยอดเปรียบเทียบไม่ได้ถึงความจริงจัง (รวดเร็ว ชนิดที่พูดเมื่อวาน วันนี้รมต.เกาหลีบินไปเจอฮุนมาเน็ตแล้ว) ไม่เลือกหน้าอินทร์หน้าพรหม ของ ประเทศดังกล่าว ที่แสดงออกให้คนของประเทศเขาอุ่นใจและพึ่งพาได้ว่า จะจัดการสแกมเมอร์ในกัมพูชาอย่างเด็ดขาด
-ในส่วนการบริหารงานความมั่นคง งานการทหาร การเปิดปิดด่าน นายกฯอนุทินพูดชัดว่า ไฟเขียวให้ทหารตัดสินใจ รัฐบาลสนับสนุนเต็มที่
-แต่การประกาศสงครามกับ”แก๊งค์สแกมเมอร์ กัมพูชา” ต้องเป็นหน้าที่ของรัฐบาลถือธงนำ หน่วยงานอื่นแค่รับคำสั่ง
-เมื่อวาน 15 ตค. นายกฯลงนามตั้ง “บอร์ดปราบสแกมเมอร์” มีตัวเองนั่งเป็นประธาน รวมกรรมการจากฝั่งราชการ ตำรวจ (ไม่มีทหาร) และคนนอก อีก 22 คน
-ไม่อยาก”ติเรือทั้งโกลน”เพราะบอร์ดสแกมเมอร์ยังไม่ได้เริ่มทำงาน แต่ดูจากรายชื่อแล้ว บอกเลยว่า เหมือนการตั้งกรรมการที่เอาหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมานั่งประชุมกันให้ครบๆ แค่นั้น
-เอาแค่เวลา 4 เดือน จะประชุมกันได้กี่ครั้ง ต่อให้ได้ประชุมจริงๆเดือนละครั้ง ก็น่าจะไม่เกิน 4 ครั้ง แล้วจะไปแก้ปัญหาใหญ่ขนาดนี้ได้อย่างไร ราวกับการตั้งบอร์ดสแกมเมอร์เพียงเพื่อลดกระแสและตอบสังคมไทยว่า เราเอาจริงแล้วนะ !
-เมื่อถอดบทเรียนสมัยนายกแพทองธารจัดการสแกมเมอร์ หลายเรื่องได้ทำให้คนเห็น เช่น ตัดไฟ ฝั่งเมียนมา ฝั่งกัมพูชา ไล่จับ”ก๊ก อาน”คนสนิท ฮุนเซน เปิดศูนย์ AOC 1441 แต่คนส่วนใหญ่มองไม่เห็นเพราะดันเกิดเรื่องคลิปเสียงหลุด ส่วนหนึ่งเกิดจากความเกี่ยวดองระหว่างสองตระกูล ฮุน-ชินวัตร ที่มิอาจปฏิเสธได้
-เมื่อถอดบทเรียนจากรัฐบาลก่อน คุณอนุทินไม่มีผลประโยชน์ทับซ้อนใดๆเลยกับตระกูลฮุน ซ้ำคุณอนุทินยังกล้าปฏิเสธคุณทักษิณที่ขอแกมบังคับให้ กระทรวงมหาดไทยในสมัยคุณอนุทินเป็น มท.1 ให้สัญชาติไทยแก่ เบน สมิธ (เป็นหนึ่งในหลายๆเหตุผลที่คุณอนุทินรู้ดีว่า ตัวเองโดนยึดเก้าอี้มหาดไทยคืนเพราะเรื่องนี้)
-แต่ถ้ามองให้เป็นโอกาสทองฝังเพชร ที่คุณอนุทินต้องทำให้สำเร็จ หรือไม่ถึงกับสำเร็จแต่ทำให้คนไทยเห็นผลงานจริงๆ เลือกตั้งเที่ยวหน้า เผลอๆ ภูมิใจไทย จะมาที่ 1 เอา ... จงทำสิ่งเหล่านี้ คือ
-สถาปนาประเทศไทยเป็นศูนย์กลางของประชาคมโลกในการปราบปรามสแกมเมอร์ในกัมพูชา
-ประกาศให้ไทยเป็น ศูนย์อำนวยความสะดวกช่วยเหลือเหยื่อทั่วโลกออกจากขบวนการสแกมเมอร์ในกัมพูชา
-ตั้งศูนย์เฉพาะกิจ War Room “เอาคนไทยกลับแผ่นดิน” ที่ทำเรื่องเดียว ช่วยเหยื่อที่ถูกหลอกไปเป็นแก๊งค์คอลเซนเตอร์
-อย่าปฏิเสธว่า เราไม่มีนักการเมือง ข้าราชการ คนมีสี ที่เข้าไปเกี่ยวข้องกับแก๊งค์สแกมเมอร์ ในกัมพูชา และเมียนมา ถ้าคุณอนุทินไม่ทำ คนจะตั้งข้อสงสัย
-ตัดกลับมาที่เช้าวันนี้ ก่อนคุณอนุทินบินไปสปป.ลาว ให้สัมภาษณ์สื่อ ดังนี้
-นักข่าวถามเรื่องการปราบสแกมเมอร์ นายกตอบว่า “เป็นไปด้วยดี มีความคืบหน้าไปในทางที่ดี”
-นักข่าวถามต่ออีกว่า “มีเสียงวิจาร์ณว่ามีนักการเมืองไทยเข้าไปเกี่ยวพันกับแก๊งค์สแกมเมอร์ มันเลยทำให้การปราบปรามดูติดขัดไปหมด” นายกตอบว่า ไม่เคยมีติดขัดนะ เรามีการปราบปรามสแกมเมอร์อยู่แล้ว ตำรวจ ดีอี ก็ทำเป็นประจำอยู่แล้ว ไม่ได้ทำตามกระแส”
-นักข่าวถามจี้ต่อ จะกวาดล้างได้หมดมั๊ย นายกออกอาการขมวดคิ้วเล็กน้อยแล้วตอบว่า “เอาอีกแล้วถามลงรายละเอียดอีกแล้ว ใจเย็นๆใจเย็นๆ ” !!
-ผมคิดว่าชั่วโมงนี้คนไทย”ไม่มีใครใจเย็น”กับเรื่องสแกมเมอร์ คอลเซนเตอร์ กันแล้ว คนไทยอยากเห็นเรื่องนี้จบลงเสียทีครับ อยากเห็นรัฐบาลกระชากหน้ากาดคนไทยที่เอี่ยวแก๊งค์คอลเซนเตอร์ (กลับกลายเป็น ฮุนเซน ที่บอกว่า ตัวเองมีรายชื่อคนไทยที่ทำบ่อน คอลเซนเตอร์ และพร้อมจะแฉ ) !
จบข่าว.
เครดิตภาพ ไทยรัฐ : อนุทิน สมัยเป็นมท.1 ยุคแพทองธารเป็นนายก กดปุ่มตัดไฟที่จ่ายจากไทยไปฝั่งเมียนมา
.....


ป๋าต๋อย
7 hours ago
·
ทันทีที่นายกหนู ลดการ์ดต่ำ จะด้วยย่ามใจหรือไม่ระวัง ก็โดนหมัดตรงสวนจากพรรคเพื่อไทย "สอน"เรื่องแก้ปัญหา สแกมเมอร์

-พรรคเพื่อไทย ออกแถลงการ์ณเรื่อง ข้อเสนอมาตราการเชิงรุกปราบ สแกมเมอร์ ขบวนการฟอกเงิน อาชญากรรมข้ามชาติ

-ในแถลงการ์ณ มีการ"เคลม"ชื่อนายกแพทองธาร 2 รอบ บอกว่า ชั้นทำสำเร็จมาแล้วนะ เรื่องตัดไฟ ตัดเน็ต ตัดน้ำมัน กดดันกัมพูชา

-บอกให้รัฐบาลนี้ follow สิ่งที่รัฐบาลเพื่อไทยทำไว้ บลาๆๆๆ

-ชี้ทางสว่างให้รัฐบาลไปกดดันให้กัมพูชาร่วมมือปราบสแกมเมอร์ เพราะวันที่ 26 จะลงนามใน สัญญาสันติภาพ ไหนๆทรัมป์ จะบินมาแล้ว

-ในแถลงการ์ณ มีการเคลม เครดิต นายกอิ๊งค์ 2 รอบ เคลมความสำเร็จรัฐบาลเพื่อไทย 3 รอบ !!

-นายกแพทองธาร เคยเล่าให้ฟังว่า โดนแก๊งค์คอลเซนเตอร์ ปลอมเสียงเป็น ทรัมป์ โทรผ่านแอพ signal หลอกให้โอนตังค์ ดีที่ไหวตัวทัน (แต่ตอนโดน อังเคิลหลออัดเสียง ตอนนั้นรู้เท่าไม่ถึงการ์ณ)

-สงสัยนายกหนู ต้องลองให้คอลเซนเตอร์ โทรมาหลอกโอนตังค์สักรอบ บางทีอาจได้ประสบการ์ณ"ตรง"เผื่อจะจัดการแก๊งค์สแกมเมอร์ได้ฉับไวกว่านี่

https://www.facebook.com/profile.php?id=61578612737633



วันพฤหัสบดี, ตุลาคม 16, 2568

หลังจาก สส.พรรคประชาชนอภิปรายจี้ก้นมาแล้วพักใหญ่ ‘อนุทิน’ เพิ่งขยับตั้งกรรมการขึ้นมาดำเนินงานแก้ปัญหาคอลเซ็นเตอร์ และสแกมเมอร์

จับตาจังหวะก้าวต่อไปนี้ของ อนุทิน ชาญวีรกูล ที่จะจัดการกับวิกฤตการเมืองระหว่างประเทศ ไทย-กัมพูชาได้อย่างไร เมื่อมีปัจจัยมหาอำนาจอย่าง สหรัฐ อังกฤษ รวมไปถึงอิทธิพลของเกาหลีใต้เข้ามาพัวพัน

Thanapol Eawsakul ชวนให้ไปอ่านข้อเขียนของ ป๋าต๋อย ไทยรัฐที่ว่า “สแกมเมอร์เขมร ของสแลง รัฐบาลสีน้ำเงิน” ทำให้รัฐบาลที่ว่าไปได้สวย ซึ่งบางคนเคยว่าจะเป็น ๔ (เดือน) + ๔ (ปี) เดี๋ยวนี้ไม่ใช่เสียแล้ว ได้ ๔+๒ (เดือน) จะไหวหรือเปล่า

คำของ ป๋าต๋อย ว่าภายใน ๔ เดือน “รัฐบาลจะเป๋เอาทำเป็นเล่น” เนื่องเพราะทั้งอังกฤษ สหรัฐ และเกาหลีใต้กำลังรุกคืบต่อปัญหาคอลเซ็นเตอร์ สแกมเมอร์ และอาชญากรรมในกัมพูชา โดยเฉพาะเกาหลีใต้ทำแล้ว “ส่ง task force ไปเขมร

เพื่อเร่งรัดสอบสวนคดีอาชญากรรมที่คนเกาหลีตายหรือหายไป รวมถึงคดีนักศึกษาเกาหลีที่ถูกทรมานจนเสียชีวิตเมื่อเดือนสิงหาคม” ซ้ำ ในการประชุมที่มาเลเซีย ๒๖ ตุลา ข่าวว่าทรั้มพ์จะมาเอง เป็นประธานการประชุม แถมตั้งข้อแม้ “ห้ามเชิญจีน”

แต่ท่าทีของเสี่ยหนูเฉยชากับการปราบสแกมเมอร์ในกัมพูชามาตลอด ทั้งที่ถูกกระทุ้งในการอภิปรายของ สส.พรรคประชาชนสองคน รังสิมันต์ โรม กับวิโรจน์ ลักขณาอดิสร เพิ่งจะขยับตั้งกรรมการขึ้นมาดำเนินงานเมื่อบ่ายวานนี้เอง

หลายเสียงวิจารณ์จี้ประเด็นที่ อนุทินมีพ่อค้าแป้งเป็น ‘Sidekick’ แบบเดียวกับที่ Batman มี Robin ที่ถูกพาดพิงว่าโยงใยในธุรกิจสแกมเมอร์ ใกล้ชิดสนิทสนมกับ เบ็น สมิธ และวิเซนต์ เฉิน ซึ่งถูกชี้ว่าเป็นส่วนหนึ่งของ จีนเทา

เส้นทางการเมืองพุ่งโด่งเหมือนตะไลของอนุทิน จะถึงจุดผลอยหล่นลงเมื่อใด มีสัญญานเล็กน้อยชี้เมื่อวานนี้ (๑๕ ตุลา) เมื่อ “รัฐสภาโหวตให้ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญของพรรคประชาชน และพรรครัฐบาลที่นำโดยพรรคภูมิใจไทย ผ่านวาระ ๑”

โดยไม่เพียง ใช้ร่างของพรรคประชาชนเป็นหลักในการพิจารณาเท่านั้น แต่ (แม้นว่าด้วยน้ำมือของ สว.สีน้ำเงิน) โหวตให้ร่างฯ ของพรรคเพื่อไทยตกไปด้วย การพิจารณาร่างฯ ทั้งสองในชั้นกรรมาธิการ วาระที่สอง จะเป็นการพิสูจน์อีกขั้น

ว่าภูมิใจไทย และอนุทิน อยู่ในเส้นทางพุ่งขึ้นหรือลงกันแน่

(https://www.facebook.com/thanapol.eawsakul/posts/E1R68dEoV และ https://www.facebook.com/permalink.php?story=61578612737633)