วันศุกร์, มกราคม 17, 2568

ไทยเป็นประเทศที่ยังขาดหลักการของกฎหมาย (Rule of Law) เพราะมีการคุมขัง ‘ผู้ต้องหา’ หรือ ‘จำเลย’ ที่ศาลยังไม่ได้ตัดสินว่าผิด

จะว่าไทยเป็นประเทศที่ยังขาดระเบียบแห่งกฎหมาย หรือไม่มีหลักการของกฎหมาย (Rule of Law) ก็คงใช่ เพราะมีการคุมขัง ผู้ต้องหา หรือ จำเลยที่ศาลยังไม่ได้ตัดสินว่าผิด แม้แต่ยังไม่ได้เริ่มการพิจารณาคดี ทั้งๆ ที่มีหลักการบัญญัติอยู่ในรัฐธรรมนูญ

มาตรา ๒๙ วรรคสอง ระบุว่า ในคดีอาญาให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าผู้ต้องหาหรือจำเลยไม่มีความผิด ซึ่งในหลักการสากลก็คือ “สันนิษฐานไว้ก่อนว่าบริสุทธิ์หรือ presumption of innocence” ดั่งว่ากฎหมายไทยก็มีอารยะกับเขาด้วยเหมือนกัน

จึงมีเขียนในรัฐธรรมนูญเช่นกันว่า “ก่อนมีคำพิพากษาอันถึงที่สุดแสดงว่าบุคคลใดกระทำความผิด จะปฏิบัติต่อบุคคลนั้นเสมือนเป็นผู้กระทำความผิดมิได้ แต่ในความจริงหาเป็นเช่นนั้นไม่ “ประเทศไทยของเราทำตรงกันข้าม” บทความวิชาการ TU Law ชี้

ผศ.ปริญญา เทวานฤมิตรกุล ผอ.ศูนย์นิติศาสตร์ มธ.ระบุว่า “เราใช้หลักสันนิษฐานไว้ก่อนว่าผิดหรือ presumption of guilt เพราะเราเอาผู้ต้องหาและจำเลยที่ศาลไม่ให้ประกันตัว หรือไม่มีเงินประกันตัว ไปขังรวมไว้กับนักโทษในเรือนจำ

และถูกปฏิบัติไม่แตกต่างจากนักโทษ ซึ่งเท่ากับเป็นการติดคุกก่อนศาลพิพากษา” ผู้ถูกคุมขังโดยยังไม่มีคำพิพากษาเหล่านี้ จำนวนไม่น้อยเลย “มากถึง ๒๐ - ๒๕ เปอร์เซ็นต์ของผู้ต้องขังทั้งหมด” โดยที่ในปี ๒๕๖๗ จำนวนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

“ตัวเลขล่าสุดเมื่อวันที่ ๑ มกราคม ๒๕๖๘ จำนวน ผู้ต้องขังระหว่างยังได้เพิ่มขึ้นไปอีกเป็น ๗๔,๑๔๓ คน คิดเป็น ๒๖.๓๑ เปอร์เซ็นต์ ซึ่งเกินหนึ่งในสี่ของผู้ต้องขังทั้งหมดไปแล้ว” ในกระบวนการของศาลและราชทัณฑ์ มีการเลี่ยงรัฐธรรมนูญ

แทนที่จะเรียกว่าผู้ต้องหาหรือจำเลย เมื่อเอาตัวเขาไปคุมขังก่อนการตัดสินคดี ก็ไพล่ไปเรียกเสียใหม่ว่า บุคคลซึ่งถูกขังไว้ตามหมายขังแทน เหมือนจงใจเลี่ยงบาลีไม่ทำตามแนวรัฐธรรมนูญ อจ.ปริญญาอธิบายว่าที่เป็นเช่นนี้เพราะ

“ปัญหาคือประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ที่ประกาศใช้ปี พ.ศ. ๒๔๗๘ นั้น ใช้หลัก สันนิษฐานไว้ก่อนว่าผิด...และถูกนำตัวไปขังในเรือนจำจนกว่าศาลจะพิพากษายกฟ้อง” ครั้นมีรัฐธรรมนูญฉบับ ๒๔๙๒ ซึ่งรับหลักปฏิญญาสากล ให้แก้ไข ป.วิ.อาญา

ก็เกิดการรัฐประหาร ๒๔๙๔ ยกเลิก รธน.๒๔๙๒ พอถึง รธน.๒๕๑๑ หลัก “สันนิษฐานไว้ก่อนว่าบริสุทธิ์” กลับมาอีกครั้ง เกิดรัฐประหาร ๒๕๑๔ ล้มเลิกไปอีก เช่นเดียวกับรัฐธรรมนูญ ๒๕๑๗ และหลักดังกล่าว ถูกล้มล้างโดยรัฐประหาร ๒๕๑๙

หลังจากนั้นมา “แม้จะมีการแก้ไขประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาหลายครั้งให้มีการปล่อยชั่วคราวได้ง่ายขึ้น แต่ประมวลกฎหมายอาญาก็ยังคงเป็นหลักสันนิษฐานไว้ก่อนว่าผิดมาจนทุกวันนี้ ผศ.ปริญญาเสนอ ๓ แนวทางแก้ไข

นอกจากร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ ที่ “อาจจะคาดหมายได้ยากว่าศาลฯ จะวินิจฉัยอย่างไร” แล้วให้แก้ไขเพิ่มเติม ป.วิ.อาญา ให้การ ปล่อยตัวชั่วคราว เป็นเรื่องปกติ แต่ ขังชั่วคราว ต้องมีเหตุจำเป็นขอต่อศาลเป็นกรณีพิเศษเท่านั้น

กับข้อ ๓ ต้องยกเลิกการเอาตัวผู้ต้องหาไปขังในเรือนจำ สร้างสถานที่คุมขังเฉพาะสำหรับผู้ต้องหาและจำเลยที่ไม่ได้ประกันตัว “ได้รับการปฏิบัติและมีสิทธิแบบคนปกติ” โดยใช้สีเครื่องนุ่งห่มต่างจากนักโทษ ไม่ต้องเปลี่ยนทรงผมเป็นตัดสั้น

(https://thammasatlawcenter.law.tu.ac.th/=94GPfmuI5GYQ) 

เรื่องไม่ควรพูดก็พูด เรื่องควรทำไม่ทำ


Kasian Tejapira
10 hours ago
·
ไม่ควรพูดก็เที่ยวพูดจนตูดไหม้
ที่ควรทำเรื่องใหญ่ไม่ขยับ
คิดย่างหมูก่อไฟไหม้บ้านยับ
ลูกไม้หล่นรอรับใต้ต้นแล้ว
(ภาพจากเดลินิวส์ 2019
https://www.youtube.com/watch?v=kBNdKxrBr64)

https://www.facebook.com/photo/?fbid=10235502869255267&set=a.2556231547988
.....

ข่าวสารบันเทิงจีน
16 hours ago
·
นายกรัฐมนตรีไทย แพทองธาร ชินวัตร ขึ้นฮ็อตเสิร์ชเว่ยป๋อ ในหัวข้อ " #泰国总理自曝差点成电诈受害者 - นายกฯไทย เปิดใจเกือบตกเป็นเหยื่อฉ้อโกงออนไลน์ "
สำนักข่าวใหญ่ในจีนทั้ง ซินหัว , CCTV , People's Daily ..ฯ ต่างพร้อมใจลงข่าวนี้ บอกว่านายกหญิงของไทยถูกแก๊งคอลเซนเตอร์ใช้ AI เลียนเสียงผู้นำประเทศหนึ่งหลอกโอนเงินบริจาค โชคดีที่นายกหญิงของไทยไหวตัวทันไม่หลงกล
ปฏิกิริยาชาวเน็ตจีนต่อข่าวนี้ยิ่งตอกย้ำกระแส " เมืองไทยไม่ปลอดภัย "ในลื่อออนไลน์ของจีน คอมเม้นต์ชาวเน็ตจีนรายหนึ่งบอกว่า
" ขนาดผู้นำประเทศพวกคุณยังปกป้องไม่ได้ นับประสาอะไรกับนักท่องเที่ยวจีน ที่เรียกร้องให้ไปเที่ยวประเทศคุณ..?"

https://www.facebook.com/CpopNews/posts/1163313725159772


กรณีการลักพาตัวนักแสดงจีน 🇨🇳 จากไทย 🇹🇭ไปเมียนมา 🇲🇲 เมื่อไม่นานมานี้เป็นสิ่งที่ผู้เชี่ยวชาญชี้ว่า ส่งสัญญาณให้เห็นถึงการยกระดับปฏิบัติการของเหล่าสแกมเมอร์ออนไลน์ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในการลักลอบค้ามนุษย์

ภาพที่กรมตำรวจเผยแพร่ออกมา แสดงให้เห็น หวัง ซิง นักแสดงจีนวัย 31 ปี ขณะกำลังพูดคุยกับจนท.ตำรวจ ที่อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก เมื่อ 7 ม.ค. 2568

เผยสแกมเมอร์ยกระดับ หลังเหตุลักพาตัวดาราจีนไปเมียนมา

มกราคม 16, 2025
VOA Thai

เหตุการณ์ลักพาตัวนักแสดงโทรทัศน์จีนไปยังเมียนมาเมื่อเร็ว ๆ นี้ ก่อนจะถูกปล่อยตัวออกมาเป็นการส่งสัญญาณของการขยายตัวและยกระดับความพยายามของขบวนการสแกมเมอร์ออนไลน์ที่ลักลอบค้ามนุษย์ในเมียนมาในการล่อลวงเหยื่อที่หมายตาไว้

ในกรณีล่าสุดนี้ หวัง ซิง หรือ ซิงซิง นักแสดงชาวจีน หายตัวไปเมื่อวันที่ 3 มกราคม จากอำเภอแม่สอด จังหวัดตาก และสมาชิกในครอบครัวของหวังแจ้งตำรวจใน 2 วันต่อมา โดยมีการโพสต์ข้อความเกี่ยวกับเรื่องนี้ทางสื่อสังคมออนไลน์มากมาย จนทำให้ทางการไทยและจีนต้องออกมาเร่งทำงาน และเปิดเผยการพบตัวนักแสดงรายนี้ในเมียนมา เมื่อวันอังคารที่ 8 มกราคม

เจ้าหน้าที่ไทยรายงานว่า หวังถูกกักขังในพื้นที่ KK Park ในเมืองเมียวดี ซึ่งขึ้นชื่อว่าเป็นพื้นที่ปฏิบัติการของแก๊งสแกมเมอร์ โดยเรื่องราวทั้งหมดเริ่มต้นจากการที่นักแสดงจีนรายนี้ถูกหลอกผ่านแพลตฟอร์ม WeChat ว่า ให้มาทดสอบหน้ากล้องที่ไทย ก่อนที่จะถูกพาตัวข้ามชายแดนไทย-เมียนมาไปโกนหัวและจับฝึกเป็นสแกมเมอร์ออนไลน์ร่วมกับเหยื่อชาวจีนราว 50 คน อ้างอิงรายงานของสื่อต่าง ๆ

ทั้งนี้ หลังจากทางการไทยช่วยเหลือกลับออกมาจากเมียนมาได้ หวังได้เดินทางกลับเซี่ยงไฮ้ไปเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา

สิ่งที่เกิดขึ้นทำให้หลายคนออกมาพูดถึงปัญหานี้ ขณะที่ สื่อรัฐบาลจีนรายงานว่า ครอบครัวของเหยื่อราว 174 คนร่วมกันออกจดหมายและส่งต่อผ่านสื่อสังคมออนไลน์ต่าง ๆ เพื่อร้องขอความช่วยเหลือจากทุกภาคส่วน โดยเนื้อความในจดหมายดังกล่าวนั้น เป็นคำร้องจากสมาชิกในครอบครัวของผู้ที่ถูกระบุว่า ถูกหลอกลวงไปคุมขังอยู่ทางเหนือและทางตะวันออกของเมียนมา

ผู้เชี่ยวชาญให้ความเห็นว่า กรณีเหตุการณ์ที่เกิดกับหวังเน้นย้ำถึงความซับซ้อนของปฏิบัติการสแกมเมอร์ในเมียนมาที่ยกระดับขึ้นอย่างมาก

เจสัน ทาวเวอร์ ผู้อำนวยการของสถาบัน United States Institute of Peace (USIP) ประจำเมียนมา บอกกับ วีโอเอ ว่า การลักพาตัวนักแสดงจีนวัย 31 ปีนี้ เป็นกระบวนการที่มีวางแผนรอบคอบโดยเจตนาเพื่อการจับเป็นตัวประกันซึ่งแก๊งอาชญากรสแกมเมอร์กำลังดำเนินการอยู่ในช่วงนี้ พร้อมระบุว่า “วิธีการลักลอบจับคนเข้าไปอยู่ในพื้นที่ของแก๊งเหล่านี้เปลี่ยนไปจากเมื่อก่อนอย่างมาก” ด้วย

ทาวเวอร์กล่าวเสริมว่า เหตุการณ์เหล่านี้แสดงให้เห็นว่า บรรดาอาชญากรมีการปรับตัวและพยายามอย่างถึงที่สุดในการหลอกล่อผู้คนที่มีความหลากหลายต่างกันไปมาคุมขังไว้ เพื่อรีดไถเงินตรง ๆ หรือบีบบังคับให้เข้าร่วมการก่ออาชญากรรม

ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา แก๊งอาชญากรในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้พุ่งเป้าจับตัวพลเมืองชาวจีนมากขึ้นจนกลายเป็นปัญหาใหญ่สำหรับทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง

เมื่อปี 2023 สำนักข่าว Radio Free Asia ซึ่งอยู่ภายใต้หน่วยงาน USAGM เช่นเดียวกับ วีโอเอ เคยสัมภาษณ์ชายชาวจีนคนหนึ่งที่ขอเปิดเผยเพียงนามสกุล “เชน” เพราะเหตุผลด้านความปลอดภัย ซึ่งระบุว่า ตนเป็นเหยื่อแก๊งลักลอบค้ามนุษย์ที่ถูกกลุ่มสแกมเมอร์จับไปขังไว้ในเมียนมา และกล่าวว่า มีชาวจีนอย่างน้อย 1,000 คนที่ถูกจับไป โดยหัวหน้าแก๊งนั้นเรียกร้องให้มีการจ่ายค่าไถ่คนละ 30,000 ดอลลาร์ (ราว 1 ล้านบาท) เพื่อแลกกับการปล่อยตัว

ผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่า ศูนย์สแกมเมอร์หลายแห่งในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีความเชื่อมโยงกับเครือข่ายอาชญากรรมในจีนที่ทำปฏิบัติการในภูมิภาคนี้ โดยเฉพาะในลาว กัมพูชาและเมียนมา

เจสัน ทาวเวอร์ ผู้อำนวยการของสถาบัน USIP กล่าวว่า สถานการณ์ในปัจจุบันชี้ให้เห็นถึงปัญหาที่ยกระดับขึ้นอย่างมาก และแก๊งอาชญากรรมจีนเหล่านี้ก็ฝังตัวลึกอยู่ในประเทศเพื่อนบ้านไทยทั้งหมด และมีการขยายปฏิบัติการเข้ามาในไทยด้วย

เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว นายนิกรเดช พลางกูร โฆษกกระทรวงการต่างประเทศ ระบุว่า การจัดการกับอาชญากรรมข้ามแดนนั้นเป็นประเด็นที่มีความสำคัญในระดับต้น ๆ ของประเทศ

แต่ ศ.ดร.ฐิตินันท์ พงษ์สุทธิรักษ์ แห่งคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ให้ความเห็นกับ วีโอเอ ว่า การต่อสู้แก๊งอาชญากรรมข้ามชาตินั้นต้องการการสนับสนุนมากกว่าที่มีอยู่ จากเจ้าหน้าที่และหน่วยงานรักษากฎหมายของไทย และว่า ประเทศไทยเป็นทั้งศูนย์กลางและจุดเชื่อมต่อของศูนย์สแกมเมอร์และอาชญากรรมข้ามชาติอื่น ๆ ในขณะที่ “มีปัญหาทุจริตคอร์รัปชั่นหยั่งรากลึกและการเสื่อมถอยของสถาบันต่าง ๆ โดยเฉพาะกองกำลังตำรวจ”

ในฝั่งของจีนนั้น ทางการกรุงปักกิ่งรับรู้และยอมรับว่า ประเด็นสแกมเมอร์และการหลอกลวงฉ้อโกงทางโทรศัพท์ คือปัญหาใหญ่ของประเทศตลอดช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา แม้จะมีการผ่านกฎหมายต่อต้านการหลอกลวงฉ้อโกงออนไลน์และทางโทรศัพท์ออกมาเมื่อเดือนธันวาคม ปี 2022 แล้วก็ตาม

เจสัน ทาวเวอร์ จากสถาบัน USIP ระบุว่า ทางการจีนพยายามออกแคมเปญเพิ่มให้ความรู้กับสาธารณชนและดำเนินมาตรการโน้มน้าวพลเมืองของตนไม่ให้มาเที่ยวเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ด้วย เช่น การเผยแพร่คำชี้ชวนว่า การเดินทางมาไทยนั้นอาจทำให้ตกเป็นเหยื่อกลุ่มค้ามนุษย์และจับตัวไปในเมียนมา รวมทั้งอาจถึงขั้นเสียไต ก่อนที่ต่อมา ตำรวจจีนจะไล่โทรศัพท์หาผู้ที่จองตั๋วเครื่องบินเพื่อสอบถามว่า จะไปทำอะไรในประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

นอกจากนั้น ยังมีภาพยนตร์จีนที่มีชื่อภาษาอังกฤษว่า “No More Bets” ออกฉายในเดือนสิงหาคม ปี 2023 โดยมีเนื้อหาเกี่ยวกับนักท่องเที่ยวจีนกลุ่มหนึ่งที่มาเที่ยวประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้แต่ไม่มีการระบุชัดว่าเป็นประเทศใด และตกเป็นเหยื่อแก๊งค้ามนุษย์ ถูกกลุ่มสแกมเมอร์จับไปคุมขังและบังคับใช้แรงงานด้วย

เบเนดิกต์ ฮอฟแมนน์ รองผู้แทนสำนักงานว่าด้วยยาเสพติดและอาชญากรรมแห่งสหประชาชาติ (United Nations Office on Drugs and Crime :UNODC) ประจำเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ กล่าวว่า แม้จะมีคำเตือนออกมามากมาย ยังมีคนตกเป็นเหยื่อการล่อลวงอยู่เสมอ

และสถานการณ์ที่เกิดขึ้นนี้น่าจะกระทบตลาดท่องเที่ยวจีนในไทยไม่น้อย โดยความสำคัญของนักท่องเที่ยวกลุ่มนี้สามารถวัดได้จากสถิติการมาเยือนไทยในปี 2024 ที่สูงถึงกว่า 6 ล้านคนอันเป็นตัวเลขสูงที่สุดของจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติ

รายงานจากฮ่องกงเปิดเผยว่า นักท่องเที่ยวจำนวนมาจากจีนแผ่นดินใหญ่เริ่มยกเลิกแผนเดินทางมาไทยในช่วงวันหยุดเทศกาลตรุษจีนที่เริ่มต้นในวันที่ 27 มกราคมนี้แล้ว

ในเรื่องนี้ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยได้พยายามออกมาให้ความมั่นใจด้านความปลอดภัยกับนักท่องเที่ยวจีน และออกข่าวประชาสัมพันธ์เป็นภาษาจีนกลางเมื่อวันที่ 10 มกราคมที่มีเนื้อหาว่า ประเทศไทย “ให้ความสำคัญอย่างสูงต่อความปลอดภัยของนักท่องเที่ยว”

และเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ทางการไทยและจีนได้ร่วมการประชุมระดับสูงเพื่อหารือหนทางยกระดับความร่วมมือในการต่อสู้กับปัญหาการค้ามนุษย์และอาชญากรรมข้ามชาติกันด้วย

วีโอเอ ติดต่อไปยังสถานทูตจีนในกรุงเทพฯ เพื่อขอความเห็นเกี่ยวกับกรณีการลักพาตัว “ซิงซิง” และประเด็นความกังวลที่เพิ่มขึ้นเกี่ยวกับความปลอดภัยของชาวจีน แต่ไม่ได้รับการตอบกลับก่อนตีพิมพ์รายงานข่าวนี้

อย่างไรก็ดี วินเซนต์ วิจิตรวาทการ นักวิเคราะห์ด้านการท่องเที่ยว ไม่เชื่อว่า กรณีการลักพาตัวต่าง ๆ ที่เพิ่งเกิดขึ้นจะมีผลกระทบระยะยาวต่อไทยในฐานะจุดหมายปลายทางการท่องเที่ยว และแสดงความหวังกับ วีโอเอ ว่า ความสำเร็จใน “การไขคดีใหญ่ ๆ ในช่วงที่ผ่านมาจะทำให้ทั้งทางการไทยและจีนหาหนทางที่มีประสิทธิภาพมากขึ้นในการป้องกันไม่ให้กลุ่มอาชญากรทั้งหลายใช้พื้นที่ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการก่อเหตุต่าง ๆ ต่อไป”

ที่มา: วีโอเอ

https://www.voathai.com/a/chinese-actor-s-abduction-to-myanmar-sign-of-growing-diversity-of-scams-/7938234.html


ข่าวคลายเครียด ฉากใหญ่ริมน้ำเมย “ขโมยเรียกจับขโมย” - ตำรวจไทยเก่งจังเลย

Paskorn Jumlongrach
15 hours ago
·
“ไอ้โม่ง”
กับฉากใหญ่ริมน้ำเมย
----------
ร้อยทั้งร้อยปฎิกริยาแรกต่างรู้สึก “ขำ”ที่เห็นข่าว BGF ของ พ.อ.ชิตูเรียกประชุมผู้นำกองกำลังกะเหรี่ยงเทาพร้อมประกาศปราบขบวนการค้ามนุษย์และแก๊งคอลเซ็นเตอร์
เป็นไปได้อย่างไรที่ “ขโมยเรียกจับขโมย”หรือ “อาชญากรประกาศปราบแหล่งอาชญากรรม” ข่าวชิ้นนี้จึงดูเป็นข่าวคลายเครียดมากกว่า ทั้งๆโดยสาระของเรื่อง “จริงจัง”
ฉากหน้าที่เจ้าพ่อชเวโก๊กโก่ เจ้าพ่อเคเคปาร์ค เจ้าพ่อช่องแคบ เหล่านักธุรกิจจีนสีดำเทากว่า 60 คนมารวมตัวกัน จริงๆแล้วก็น่าสนใจไม่น้อยหากการ “จัดฉาก”นี้เป็นไปเพื่อแก้ปัญหาจริงจัง
แต่ที่น่าสนใจกว่านั้นคือ “ฉากหลัง”
ตลอดลำน้ำเมยตั้งแต่ชเวโก๊กโก่ไล่ลงไปจนถึงช่องแคบ ซึ่งมีพื้นที่แหล่งอาชญากรรมกว่า 30 แห่งภายใต้การดูแลของ พ.อ.ชิตู และกองกำลังพิทักษ์ชายแดนกะเหรี่ยง หรือ BGF (Karen Border Guard Force-) และกองกำลังกะเหรี่ยงพุทธเพื่อประชาธิปไตย หรือ DKBA (Democratic Karen Buddhist Army) ภายใต้การนำของ “โกไซ” พล.จ.ไซจ่อละ ผู้บัญชาการกองพลน้อยที่ 1 ผู้ยิ่งใหญ่แห่งช่องแคบ ยังมี “ไอ้โม่ง”ซึ่งเป็นพ่อทุกสถาบันอยู่ด้วย
แน่นอนว่า “ไอ้โม่ง”รายนี้ย่อมเป็นที่เกรงอกเกรงใจของ พ.อ.ชิตู และโกไซ และเหล่าผู้นำกองกำลังที่คุมพื้นที่แหล่งอาชญากรรมในแต่ละโซน
ในบริบทของพื้นที่แม่สอดและน้ำเมย ผู้นำกองกำลังกะเหรี่ยงกลุ่มต่างๆต้องพึ่งพาแผ่นดินไทยเป็นระเบียงช่วยเหลือในแทบทุกด้าน ทั้งในเรื่องบนดินและใต้ดิน การเคลื่อนไหวต่างๆย่อมอยู่ในสายตาไอ้โม่ง ซึ่งหากถูกตัดขาดหรือถูกห้ามข้ามมาแผ่นดินไทยแล้ว ผู้นำกองกำลังต่างๆจะ “อยู่ยาก”
ทั้งครอบครัว ทั้งบ้านช่อง ผู้นำกองกำลังติดอาวุธเหล่านี้ต่างก็อยู่บนแผ่นดินไทย รายได้จากธุรกิจสีดำเทาทำให้เขาร่ำรวย บางคนมีเงินนับพันล้าน สามารถพาครอบครัวบินไปช็อปปิ้งที่สิงคโปร์ได้ทุกสัปดาห์ แน่นอนว่าทุกอย่างต้องผ่านช่องทางไทย
ดังนั้นการอุดหนุนเกื้อกูลกันระหว่างผู้นำกองกำลังสีเทาเหล่านี้กับ “ไอ้โม่ง”ฝั่งไทยจึงเป็นเรื่องของความสัมพันธ์ในหลายมิติ
ภายหลังเหตุการณ์จับตัวและปล่อยตัว “ซิง ซิง”ดาราจีน ทำให้ประเทศไทยฉาวโฉ่จนยากจะปิดแผ่นฟ้าด้วยฝ่ามือได้อีกต่อไป ส่งผลกระทบอย่างลึกซึ้งถึงขนาดนักท่องเที่ยวจีนจำนวนไม่น้อยยกเลิกการเดินทางมาไทยเพราะความหวาดกลัว กลายเป็นประเด็นร้อนที่ทั้งกลุ่มกองกำลังกะเหรี่ยงเทาและ “ไอ้โม่ง”อยู่กันแบบเดิมๆต่อไปไม่ได้
เพียง 1 วันหลังการประชุมศูนย์สั่งการชายแดนไทยกับประเทศเพื่อนบ้านด้านเมียนมา จังหวัดตาก การประชุมผู้นำกลุ่มกองกำลังกะเหรี่ยงเทาและนักธุรกิจจีนเทาดำก็เกิดขึ้น
เป็นที่น่าสังเกตคือในส่วนของรัฐบาลไทยกลับระมัดระวังในการตอบคำถามและอธิบายต่อสังคมโลกกรณีซิงซิงและเหยื่อต่างชาติที่ถูกเหล่ามาเฟียจีนนำไปไว้ในแหล่งอาชญากรรมริมแม่น้ำเมยเป็นอย่างยิ่ง
ที่สำคัญคือไม่มีข้อสังการใดๆจากรัฐบางไทยที่จะยกเครื่องความช่วยเหลือและสกัดกั้นอาชญากรข้ามชาติที่ใช้แผ่นดินไทยเป็นระเบียงอาชญากรรมให้ชัดเจน ทั้งๆที่มีข้อมูลไหลทะลักออกมาว่ายังมีชาวต่างชาติอีกนับพันนับหมื่นที่กำลังถูกกักขังและทรมานเพื่อบีบบังคับให้ทำงานสแกมเมอร์และคอลเซ็นเตอร์อยู่ในแหล่งอาชญากรรมริมแม่น้ำเมย และขบวนการมาเฟียเหล่านี้ยังคงข้ามลำน้ำเมยได้ทุกค่ำคืน
หากรัฐบาลสั่งการเป็นนโยบายลงมาในพื้นที่แม่สอด ให้ช่วยเหลือชาวต่างชาติเหล่านี้ออกมา ย่อมไม่อยู่ในวิสัยที่เหลือบ่ากว่าแรงที่ไอ้โม่งจะทำได้
การจัดฉากให้เกิดการประชุมผู้นำกลุ่มกองกำลังกะเหรี่ยงเทาเพียงแค่ต้องการลดกระแส สร้างภาพให้ดูขึงขังว่าต้องการแก้ปัญหาขบวนการค้ามนุษย์และคอลเซ็นเตอร์ แต่กลับกลายเป็นเพียงเรื่อง “โจ๊ก”ที่สร้างความขำขัน
หม้อใบนี้เต็มไปด้วยข้าวร้อนๆที่แจกจ่ายได้ทั่วถึงจึงแสนหวงแหน ฉะนั้นใครจะมาทุบทิ้งจึงไม่ใช่เรื่องง่าย และเป็นเรื่องของคนที่ได้ประโยชน์ต้องร่วมกันปกป้องให้ถึงที่สุด

https://www.facebook.com/photo/?fbid=9194089973967539&set=a.139504616092832
.....

ง่ายดี จบนะ !

https://www.facebook.com/photo/?fbid=1091582659678107&set=a.646092957560415
Atukkit Sawangsuk
14 hours ago
·
อ่านเมนท์


‘กัณวีร์‘ ชงญัตติด่วนป้องกันค้ามนุษย์ เหตุไทยกำลังเผชิญกับธุรกิจสีดำ-มาเฟียระดับโลก มองฟรีวีซ่าเอื้อขบวนการนำพา แนะรัฐหามาตรการเชิงรุก ถกเวทีระดับประเทศ


The Reporters
13 hours ago
·
PARLIAMENT: ‘กัณวีร์‘ ชงญัตติด่วนป้องกันค้ามนุษย์ เหตุไทยกำลังเผชิญกับธุรกิจสีดำ-มาเฟียระดับโลก มองฟรีวีซ่าเอื้อขบวนการนำพา แนะรัฐหามาตรการเชิงรุก ถกเวทีระดับประเทศ
วันนี้ (16 ม.ค. 68) ที่รัฐสภา ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร นายกัณวีร์ สืบแสง สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเป็นธรรม ได้เสนอญัตติด่วนด้วยวาจา เรื่อง พิจารณาศึกษากลไกป้องกันปราบปรามแก้ไข และเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบของกระบวนการนำพา และการค้ามนุษย์
ขณะที่นายชุติพงศ์ พิภพภิญโญ สส.ระยอง พรรคก้าวไกล เสนอญัตติด่วนด้วยวาจา เรื่อง พิจารณาศึกษาแนวทางการแก้ไขกระบวนการค้ามนุษย์ แก๊งคอลเซ็นเตอร์ และบัญชีม้า เช่นเดียวกับนายทรงยศ รามสูต สส.น่าน พรรคเพื่อไทย เสนอญัตติด่วนด้วยวาจา เรื่องขอให้ศึกษาแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์หลอกลวงทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติที่เกี่ยวกับงาน รายได้ที่ไม่ตรงกับความเป็นจริง โดยมีวัตถุประสงค์ซ่อนเร้น และการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย
นายกัณวีร์ ในฐานะผู้เสนอญัตติด่วน เริ่มอภิปรายเป็นคนแรกว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญเกี่ยวกับผลประโยชน์ของประเทศชาติและความมั่นคงของประเทศชาติ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเศรษฐกิจ และความมั่นคงของมนุษย์ ครั้งนี้ไม่ใช่ครั้งแรกที่ตนเองหารือกับนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งนายวันมูหะมัดนอร์ มีดำริให้คณะกรรมาธิการความมั่นคงแห่งรัฐฯ และคณะกรรมาธิการการกฎหมายฯ พิจารณาศึกษาหาแนวทาง และกลไกในการแก้ปัญหาเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการค้ามนุษย์ทั้งระบบ
เรื่องนี้เป็นเรื่องจำเป็นที่เราต้องเข้าใจว่า ทั้งเรื่องคอลเซ็นเตอร์ กาสิโน และสแกมเมอร์มีผลกระทบต่อประเทศไทย ซึ่งเป็นธุรกิจสีดำที่อยู่รอบประเทศไทยทั้งเมียนมา กัมพูชา และลาว ผลกระทบตกมาที่ประเทศไทยเต็ม ไม่ เพราะเป็นทั้งประเทศต้นทางกลางทาง และปลายทางที่ได้รับผลกระทบต่อกระบวนการนำพาและค้ามนุษย์ เราต้องมองภาพใหญ่ เราไม่สามารถมองภาพเล็กได้ หากเรามองเป็นจิ๊กซอว์เล็ก ๆ เราจะไม่เข้าใจจริง ๆ เราจะวิ่งตามแต่ปัญหา แต่เราไม่สามารถวิ่งนำปัญหา และหาทางแก้ไขตั้งแต่ต้นได้
สิ่งต่าง ๆ ที่มีผลกระทบต่อประเทศไทยมาจากขบวนการนำพาและค้ามนุษย์ ปัจจุบันเรากำลังเผชิญหน้ากับขบวนการมาเฟียระดับโลก ไม่ใช่มาเฟียในระดับท้องถิ่น หรือระดับประเทศ ประเทศไทยอยู่ในจุดภูมิรัฐศาสตร์มีช่องว่างทางด้านกฎหมาย ขบวนการเหล่านี้ฉลาดเพียงพอที่จะนำหน้าประเทศไทยไปสามก้าว เพราะเขาทราบดีว่าประเทศไทยอยู่ตรงกลางเป็นไข่ดาว มีเพื่อนบ้านโดยรอบอยู่ 3 ประเทศ ที่มีเรื่องเกี่ยวกับกาสิโน และธุรกิจออนไลน์
นายกันวีร์ กล่าวต่อว่านายวันมูหะมัดนอร์ได้เจอกับเอกอัครราชทูตประจำประเทศไทย 2 ประเทศ ที่มาขอความช่วยเหลือให้คนสัญชาติพวกเขาออกมาจากขบวนการค้ามนุษย์ในประเทศเมียนมา เราช่วยมาได้ 2 คน ซึ่งเป็นชาวเคนย่าที่จ่ายเงินค่าไถ่ตัวเองออกมทตอนนี้มีคนมากกว่า 20 ประเทศที่เป็นเหยื่อของขบวนการนำพาและค้ามนุษย์ โดยขบวนการนำพาคือ กลุ่มคนมาเฟียที่ชอบหลอกลวง นำคนจากประเทศหนึ่งไปยังประเทศหนึ่ง ทั้งถูกต้องตามกฎหมายและผิดกฎหมาย เพื่อได้มาซึ่งบางอย่าง เจ้าตัวที่ถูกหลอกก็เต็มใจที่จะมากับขบวนการนี้ ไม่ว่าจะเป็นเหตุผลทางด้านการเมืองเศรษฐกิจและสังคม โดยขบวนการนำพาจะเริ่มจากการนำคนจากประเทศหนึ่งไปยังอีกประเทศหนึ่ง และจบด้วยการค้ามนุษย์ ถูกบังคับให้ทำงานไม่ตรงปกกับสิ่งที่ได้สัญญาไว้
นายกัณวีร์ เปิดคลิปการใช้รุนแรงของเหยื่อค้ามนุษย์ในประเทศเมียนมา ถูกช็อตไฟฟ้า ทารุณกรรมและทำร้ายร่างกาย และคลิปที่ตนเองได้พูดคุยกับญาติของเหยื่อค้ามนุษย์จากบังกลาเทศ ณ ปัจจุบัน ประเทศไทยเป็นประเทศทางผ่าน มีคนมากกว่า 25 สัญชาติผ่านเข้ามาในประเทศไทย ประกอบกับตอนนี้ไทยมีฟรีวีซ่าสามารถเข้ามาในประเทศไทยได้อย่างสะดวกสบายกว่า 90 ประเทศ นโยบายนี้ไม่ใช่นโยบายที่ไม่ดี ยอมรับว่าเป็นนโยบายที่ดีที่ได้กระตุ้นเศรษฐกิจการท่องเที่ยว แต่เราไม่มีมาตรการติดตามชาวต่างชาติที่เข้ามาในประเทศไทย ซึ่งอยู่ได้ 90 วัน เป็นช่องว่างของขบวนการนำพาและค้ามนุษย์ ใช้นำคนที่เข้ามายังประเทศไทยไปยังบริเวณชายแดน
ชายแดนไทยฝั่งเมียนมา 2,416 กิโลเมตร มีช่องทางตามธรรมชาติที่สามารถข้ามไปยังประเทศเมียนมาได้ โดยไม่ต้องผ่านสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง จุดข้ามแดนตามธรรมชาติ แม้จะมีหน่วยงานความมั่นคง แต่กำลังพลไม่เพียงพอ เราทราบว่าวัฒนธรรมของพี่น้องชายแดนสามารถข้ามแดนได้ไปมาโดยปกติ มาตรการของไทยเพียงพอหรือไม่ เป็นเรื่องที่ต้องศึกษา
”มีเพียงแม่น้ำเมยแคบ ๆ กั้นอยู่ระหว่างสองประเทศ เดินข้ามยังได้เวลาหน้าแล้ง ข้ามไปฝั่งเมียนมาก็ยังไม่ทราบว่าอยู่ประเทศไหน สุดท้ายจะรู้ก็ต่อเมื่อขบวนการนำพาใส่เขี้ยวเล็บแปลงเป็นขบวนการค้ามนุษย์ บังคับคนให้ทำตามโควตาที่ต้องการ แต่ละเดือนต้องทำงานหลอกคนให้ได้ 6 แสนกว่าบาท ถ้าไม่ได้ก็ถูกทำร้าย“ นายกัณวีร์ กล่าว
ตนเองมีข้อมูลทั้งรายชื่อคน รูปภาพ และพิกัดของขบวนการสีดำในฝั่งประเทศเพื่อนบ้าน แต่ยังไม่สามารถทำอะไรได้มาก เราจำเป็นจะต้องความร่วมมือจากหลายส่วน รัฐต่อรัฐ รัฐที่ไม่ใช่รัฐ เพราะเราทราบดีว่าบริเวณชายแดนไทย-เมียนมา ยังมีกองกำลังต่าง ๆ อยู่ด้วย พวกขบวนการค้ามนุษย์ ธุรกิจสีดำก็จะใช้ช่องว่างในการจ่ายเงิน เพื่อใช้พื้นที่ที่รัฐเข้าไม่ถึง การช่วยเหลือเหยื่อจึงเป็นสิ่งที่ยาก
ทั้งหมดยังไม่รวมกับบุคคลสัญชาติไทย ที่ตกไปอยู่ในขบวนการนำพาและค้ามนุษย์อีกหลายหมื่นคนที่ยังอยู่ในประเทศเพื่อนบ้าน ยังมีอีกกี่คนที่ต้องร้องไห้ ทุกข์ทรมาน พี่น้องที่รอญาติกลับมาสู่อ้อมกอดมีอีกกี่คน เราต้องทำงานในเวทีระดับประเทศ พหุภาคี ทวิภาคีและองค์การระหว่างประเทศ ป้องกันไม่ให้สถานการณ์ต่าง ๆ เข้ามายังประเทศไทย พร้อมกับติดตามคนที่เข้ามาอยู่ในประเทศไทยแบบฟรีวีซ่า หรือแม้แต่การจัดทำโซนนิ่งก่อนไปประเทศปลายน้ำ รวมถึงบูรณาการระหว่างหน่วยงาน ติดต่อกับประเทศปลายทางที่มีเหยื่อการค้ามนุษย์ โดยประเทศเมียนมาไม่สามารถติดต่อผ่านรัฐต่อรัฐได้อย่างเดียว จะต้องประสานงานผ่านกองกำลัง กลุ่มชาติพันธ์ุด้วย
เราต้องทำการศึกษาว่า พ.ร.บ.การป้องกันการค้ามนุษย์ที่มีอยู่เพียงพอหรือไม่ เราทำเป็นแต่ตั้งรับอย่างเดียว แต่เราไม่มีกฎหมายเชิงรุกในการป้องกันปราบปรามแก้ไขขบวนการนำพาและค้ามนุษย์ เรามีแต่เพียงการสกรีนว่าเขาเป็นเหยื่อและเยียวยาเท่านั้น
นายกัณวีร์ เข้าใจดีว่าเป็นการทำงานที่ยาก แต่เราจำเป็นต้องทำงานหลายกระทรวง หลายกรรมาธิการ จึงขอเสนอให้ส่งไปที่คณะกรรมาธิการความมั่นคงแห่งรัฐฯ ในการพิจารณาศึกษากลไก การดูแลแก้ไขปรับปรุง และพัฒนาการป้องกันขบวนการนำพาและการค้ามนุษย์
รายงาน: ณัฐพร สร้อยจำปา
ภาพ: ธนาภรณ์ วุฒิสนธิ์
#TheReporters #เดอะรีพอร์ตเตอร์ #กัณวีร์สืบแสง #พรรคเป็นธรรม #พรรคประชาชน #พรรคเพื่อไทย #ค้ามนุษย์

https://www.facebook.com/TheReportersTH/posts/966493979005971


โรมสุดทน ขู่ ถ้านายกและ รมต. ยังหนีสภาอีก จะยื่น ปปช คนไทยเสียหายแล้วกว่าแสนล้านบาท แต่รัฐบาลยังไร้คำตอบ

https://www.facebook.com/100003241971693/videos/2225874501141403/
.....

https://www.facebook.com/watch/?v=979297694093696
Rangsiman Rome - รังสิมันต์ โรม
14 hours ago
·
[ คนไทยเสียหายแล้วกว่าแสนล้านบาท แต่รัฐบาลยังไร้คำตอบ ]
วันนี้ผมได้ยื่นกระทู้ถามสดต่อนายกรัฐมนตรี และมีความตั้งใจที่จะถามเรื่องที่มีความสำคัญในช่วงเวลาที่ผ่านมา นั่นก็คือเรื่องการค้ามนุษย์ แก๊งคอลเซ็นเตอร์ ซึ่งเป็นปัญหาใหญ่ที่กัดกินสังคมไทยและสังคมทั่วโลกมาเป็นเวลานาน
สำหรับสังคมไทยเอง ผมคิดว่าเราไม่ต้องติดตามการเมืองมากก็ได้ครับ เอาแค่ว่าเราติดตามข่าวสารบ้านเมืองทั่วๆไป เราก็จะเห็นคนฆ่าตัวตาย เราจะเห็นข่าวที่คนหมดเนื้อหมดตัว โดยข้อมูลที่มีการเก็บสถิติอย่างเป็นทางการ ความเสียหายน่าจะอยู่ที่ 7-8 หมื่นล้านบาท แต่ถ้าหากเรานับรวมคนที่ไม่กล้าพูด ไม่กล้าที่จะออกมาชี้แจง หรือออกมา ให้ข่าวต่อสังคม เอาเข้าจริงความเสืยหายอาจจะสูงถึง 1แสนล้านบาท และความเสียหายลักษณะแบบนี้ไม่ได้เกิดขึ้นแค่กับประชาชนทั่วไปเท่านั้น แต่เราพบว่าแม้กระทั่งคนที่มีความสำคัญในบ้านเมือง หรือในระดับการเมืองเอง หรือแม้กระทั่งตัวท่านนายกรัฐมนตรีเอง ที่ท่านเองก็เป็นคนพูดว่าเกือบจะเป็นเหยื่อของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ผมจึงคิดว่าเรื่องนี้มีความสำคัญอย่างแน่นอน เป็นเรื่องที่ประชาชนชาวไทยทุกคนควรจะได้รู้ว่าตกลงแล้วรัฐบาลจะแก้ปัญหาเรื่องนี้อย่างไร ซึ่งปัญหาเรื่องแก๊งคอลเซ็นเตอร์มันไม่ได้มีปัญหาแค่เรื่องของเงินในกระเป๋าของประชาชนที่ถูกดูดถูกดึงออกไป มันยังรวมไปถึงปัญหาการค้ามนุษย์ที่นับวันมันจะใหญ่โตขึ้นเรื่อยๆ และทำลายชื่อเสียงของประเทศไทยอย่างรุนแรง อย่างกรณีของซิงซิง ที่วันนี้ก็เริ่มมีข่าวออกมาเป็นระยะแล้วว่ามีการยกเลิกของบรรดาทัวร์ บรรดานักท่องเที่ยวที่จะมาเที่ยวประเทศไทย
ผมตั้งใจที่จะถามเรื่องนี้ต่อท่านนายกรัฐมนตรีเพราะผมมีความเห็นว่า เป็นเรื่องที่มีความเกี่ยวพันกันหลายกระทรวง ผมได้มีการประสานงานโดยวิปฝ่ายค้าน ได้ประสานล่วงหน้ากับทางวิปฝ่ายรัฐบาลเมื่อวันจันทร์ เวลาประมาณ 18.55 น. เราประสานตั้งแต่วันจันทร์ว่าเราจะมีการตั้งกระทู้ถามท่านนายกรัฐมนตรี และยังบอกไปถึงขนาดว่า ถ้าหากท่านนายกรัฐมนตรีไม่สามารถที่จะมาตอบกระทู้นี้ได้ เพราะที่ผ่านมาท่านก็ไม่เคยมาตอบ ท่านสามารถที่จะมอบรัฐมนตรีกระทรวงมหาดไทย ท่านจะมอบรองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง ท่านจะมอบรัฐมนตรีกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม หรือท่านจะมอบรัฐมนตรีกระทรวงต่างประเทศก็ได้ เพราะหน่วยงานเหล่านี้ กระทรวงเหล่านี้ก็ล้วนแล้วแต่เกี่ยวพันกับงานที่จะเข้าไปแก้ปัญหาเรื่องแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่ตั้งอยู่ตามแนวชายแดนประเทศไทย แต่ปรากฎว่าพอถึงวันนี้ กลับไม่มีรัฐมนตรีคนไหนมาตอบเลย และแน่นอนครับ รัฐบาลอาจจะบอกว่าเป็นการเลื่อนตามข้อบังคับข้อ 151 แต่เราต้องไม่ลืมว่าในข้อบังคับของเราในข้อ 160 มันกำหนดว่า กระทู้ถามสด ให้ถามได้เวลารวมกัน 90 นาที และผมเข้าใจว่า แต่ละครั้งที่มีการบรรจุของสภา เราก็จะบรรจุเต็มที่ 3 กระทู้ การเลื่อนครั้งนี้จึงมีนัยยะเท่ากับกระทู้ที่ผมตั้งไปมันตกหล่น นั่นหมายความว่าสิทธิ์ของสมาชิกที่จะถามกระทู้ซึ่งเป็นหน้าที่ของรัฐมนตรีจะต้องมาตอบตามรัฐธรรมนูญและตามข้อบังคับ สิทธิ์นี้ก็ไม่อาจใช้งานได้อีกต่อไป และเท่าที่ผมเก็บข้อมูลสถิติ ทราบว่า ฝ่ายค้านได้ถามกระทู้สด ยื่นไปแล้ว 20 กระทู้ แต่ปรากฎว่าตั้งแต่รัฐบาลของนายกรัฐมนตรีแพทองธารมีการมาตอบกระทู้เพียง 13 กระทู้ คิดเป็นแค่เพียง 65% เท่านั้น สะท้อนให้เห็นว่าเราอยู่ในยุคที่การตอบกระทู้ของสมาชิกถูกละเลยความสำคัญอย่างมาก
ครั้งนี้วิปฝ่ายค้านได้มีการบอกล่วงหน้าตั้งแต่วันจันทร์ โดยแจ้งว่าจะเอากระทรวงไหนมาตอบเรายินดี เราทำถึงขนาดนี้ และจากเดิมกระทู้สด รัฐบาลจะรู้ล่วงหน้าในเวลา 08.00 น. ของวันที่มีการตั้งกระทู้ถาม แต่นี่เราบอกล่วงหน้ากันขนาดนี้ กระทู้สดแทบจะไม่สดแล้ว ก็ไม่มีท่านใดมาตอบ ทั้งที่ ผมยื่นไปถึง 4-5 กระทรวงที่เกี่ยวข้องกัน ซึ่งนายกรัฐมนตรีไม่มาตอบไม่เป็นไร จะให้รัฐมนตรีมาตอบก็ได้ แต่สุดท้ายกลับไม่มีใครมาตอบเลย ทั้งที่เป็นเรื่องใหญ่ขนาดนี้ วาระสำคัญขนาดนี้ ทำลายชื่อเสียงประเทศขนาดนี้ ถึงขนาดที่ว่า ททท.ต้องออกมาวางแผนแก้เกมให้นักท่องเที่ยวกลับมาเที่ยวเหมือนเดิม ชัดเจนว่าเสียหายกันขนาดนี้แต่กลับไม่มีใครมาตอบ
สำหรับผมขอพูดด้วยความเหลืออดว่า ผมได้หารือกับประธานวิปฝ่ายค้านว่า ต่อแต่นี้ไปเราคงจะไม่บอกล่วงหน้ากันอีกแล้ว เพราะบอกล่วงหน้าไปสุดท้ายรัฐบาลก็ไม่ให้ความร่วมมืออยู่ดี และถ้าเป็นเช่นนี้ คงจะใช้วิธีการแบบสภาชุดที่แล้ว สภาชุดที่แล้วนั้นก็ไม่ได้มีการบอกล่วงหน้าว่าจะถามใคร แต่ยังได้รับความร่วมมือค่อนข้างจะมากกว่านี้ ดังนั้น อาจจะต้องกลับไปใช้วิธีการแบบเดิมที่ปรากฎอยู่ในข้อบังคับการประชุม เอาเป็นว่า 08.00 น.รู้กัน ส่วนจะมาตอบหรือไม่ตอบก็ให้สังคมได้รู้ว่ารัฐบาลให้ความสำคัญกับสภาแห่งนี้อย่างไร รัฐบาลให้ความสำคัญกับประเด็นปัญหาสังคมที่ประชาชนกำลังเดือดร้อนอย่างไร เราจะต้องใช้วิธีแบบนี้ครับ
และถัดไป ผมถือว่าการที่ไม่มีใครมาตอบ มันไม่ใช่เป็นการใช้สิทธิ์เลื่อนแบบทั่วๆไป เพราะมันเป็นหน้าที่ที่รัฐบาลจะต้องมาตอบ ถ้าหากมีภารกิจสำคัญจริงๆ นั้ย เราเคารพครับ แต่จากสถิติมันชี้ชัดว่า มันคือวิธีการที่ทำให้ฝ่ายค้านไม่ได้รับคำตอบและไม่ได้ใช้สิทธิ์ได้อย่างเต็มที่ และถือว่าสิ่งที่รัฐบาลกำลังทำเป็นเจตนาที่ไม่สุจริต ดังนั้น หลังจากวันนี้ ผมจะนำเรื่องนี้ยื่นสู่ ปปช. และทุกครั้งที่เรายื่นกระทู้ถามและไม่มาตอบ ก็จะมีการยื่นเข้าสู่ ปปช. ทุกครั้ง ถึงแม้ไม่ทราบว่าผลจาก ปปช. จะเป็นอย่างไร แต่ผมถือว่าท่านได้ละเมิดกฎหมายบ้านเมือง ละเมิดรัฐธรรมนูญ ละเมิดข้อบังคับการประชุม และไม่เคารพต่อสภา รวมถึงใช้วิธีการนี้ในการด้อยค่าฝ่ายค้าน เราต้องให้ความสำคัญและดำเนินการเรื่องนี้อย่างจริงจังครับ


นักวิเคราะห์ชี้กำจัดเมืองสแกมเมอร์รอบชายแดนไทย-เมียนมา เป็นไปได้ "แต่ไทยกล้าทำหรือเปล่า"



มีความเป็นไปได้แค่ไหน ในการกำจัดเมืองสแกมเมอร์รอบชายแดนไทย-เมียนมา

จิราภรณ์ ศรีแจ่ม
ผู้สื่อข่าวบีบีซีไทย
16 มกราคม 2025

การหลอกลวงนายหวัง ซิง นักแสดงชาวจีนไปทำงานหลอกลวงออนไลน์ในเมืองสแกมเมอร์ติดชายแดน จ.ตาก ของไทย จุดกระแสความไม่พอใจต่อมาตรการต่าง ๆ ของรัฐที่ทำให้ไทยเสียชื่อเสียงในฐานะจุดหมายปลายทางของนักท่องเที่ยวจีน ซึ่งเป็นลูกค้ากลุ่มใหญ่ของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวที่นำเงินเข้าประเทศมหาศาล

เรื่องราวของนายหวัง ซิง หรือ ซิง ซิง ไม่ใช่เรื่องใหม่ ทั้งลักษณะพฤติกรรม เส้นทางการนำพา รวมถึงการประสานขอความช่วยเหลือออกมาจากเมืองสแกมเมอร์ ทั้งหมดนี้อาจกลายเป็นเรื่องราวของใครก็ได้ เนื่องจากมันเกิดขึ้นซ้ำ ๆ เพียงแค่เปลี่ยนชื่อและสัญชาติของเหยื่อเท่านั้น

คำถามคือมีความเป็นไปได้แค่ไหนในการกำจัดเมืองสแกมเมอร์รอบชายแดนไทย-เมียนมา ซึ่งขยายอาณาจักรของพวกเขาอย่างรวดเร็ว จากปริมาณของเงินมหาศาลที่เกี่ยวพันกับการทุจริตในทุกระดับ

บีบีซีไทยพูดคุยกับผู้เชี่ยวชาญ 4 คนจากหลากหลายวงการ เพื่อสอบถามความเห็นพวกเขาว่ามีความเป็นไปได้หรือไม่ที่จะปิดเมืองที่เต็มไปด้วยอาชญากรรมฉ้อโกงหลอกลวงเหล่านี้

ลลิตา หาญวงษ์: เป็นไปได้ "แต่ไทยกล้าทำหรือเปล่า ?"

ผศ.ดร.ลลิตา หาญวงษ์ ผู้เชี่ยวชาญด้านเมียนมาจากคณะสังคมศาสตร์ ม.เกษตรศาสตร์ บอกว่าการกำจัดเมืองสแกมเมอร์รอบชายแดนไทย-เมียนมา มีความเป็นไปได้ แต่ก็เต็มไปด้วยความท้าทายหลายด้าน

โดยข้อเท็จจริงแล้วเมืองสแกมเมอร์ติดชายแดนไทย-เมียนมา ไม่ว่าจะเป็นเมืองชเวโก๊กโก่หรือเมืองใดก็ตาม ล้วนได้รับการสนับสนุนสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ จากฝั่งไทย เช่น วัสดุก่อสร้าง น้ำ ไฟฟ้า โทรคมนาคม ฯลฯ

"หากเราปิดแนวชายแดน ไม่ให้ส่งออกสิ่งของต่าง ๆ ออกไป เมืองสแกมเมอร์ก็จบนะ" เธอกล่าว "แต่ไทยกล้าทำแบบนั้นหรือเปล่า ?"

อาจารย์จาก ม.เกษตรศาสตร์ ยังชี้ให้เห็นว่าท่าข้ามชายแดนกว่า 50 แห่งใน จ.ตาก ซึ่งเปิดเพื่อวัตถุประสงค์การค้าข้ามแดนนั้นเป็นจำนวนที่เยอะมากเกินไป และเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้แนวชายแดนของไทยรั่วไหล รวมถึงเป็นประตูในการส่งสินค้าต่าง ๆ ออกไปยังเมืองสแกมเมอร์ซึ่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกันด้วย

"ท่าข้ามเหล่านี้ขออนุญาตเปิดถูกกฎหมาย และเปิดมากขึ้นเรื่อย ๆ" เธอกล่าว "ดังนั้นเราควรพิจารณาปิดท่าข้ามบางแห่งลงไปได้ไหม เพื่อให้การ sealed (ผนึก) ชายแดนทำได้ดีขึ้น"

ผู้เชี่ยวชาญรายนี้มองว่าไทยควรแก้กฎหมายที่เอื้อให้เกิดการทำงานร่วมกันระหว่างสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง ทหาร และตำรวจในพื้นที่ได้อย่างมีเอกภาพและสอดคล้องกัน โดยเฉพาะงานสกัดกั้นขบวนการนำพาลักลอบขนคนข้ามแดนซึ่งเคลื่อนไหวอยู่ในประเทศไทย และใช้ไทยเป็นฐานทำงาน

"เราต้องมีกลไกที่มากระตุ้นให้ด่านชายแดนทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไม่ว่าจะเป็นการแลกเปลี่ยนข่าวกรอง หรือไปจนถึงการการปราบปรามส่วย" เธอกล่าว

นอกเหนือจากนั้น อาจารย์จาก ม.เกษตรศาสตร์ ผู้นี้ยังชี้ให้เห็นว่าตราบใดก็ตามที่ยังมีสงครามกลางเมืองอยู่ในเมียนมา กองกำลังกลุ่มชาติพันธุ์ต่าง ๆ ย่อมต้องระดมอาวุธ เงิน และทรัพยากรเพื่อพร้อมรบเสมอ นั่นหมายความว่าพวกเขาต้องหารายได้ และรายได้ที่ดีที่สุดคือธุรกิจสีเทาหรือธุรกิจผิดกฎหมายซึ่งได้เงินเร็วกว่าสินค้าทั่วไปอื่น ๆ ซึ่งไม่ใช่เรื่องใหม่แต่อย่างใด

"เช่นในสมัยขุนส่าก็มีการขายเฮโรอีนเพราะมีสงคราม เขาต้องการปกปักรักษาพื้นที่ของตนเอง และมันต้องมีธุรกิจขึ้นมา" เธอยกตัวอย่าง


ชายแดนไทย-เมียนมา ฝั่งตะวันตกถูกคั่นกลางด้วยแม่น้ำเมยแคบ ๆ เท่านั้น

การเปลี่ยนแปลงนโยบายของกองทัพไทยก็เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้กองกำลังกลุ่มชาติพันธุ์ที่อยู่ติดกับชายแดนไทย-เมียนมาต้องพึ่งพาตัวเองมากขึ้น จากเดิมที่ไทยเคยส่งอาวุธต่าง ๆ ให้กับกลุ่มชาติพันธุ์กะเหรี่ยงเพื่อให้สู้รบกับกองทัพเมียนมาในฐานะรัฐกันชน แต่เมื่อไทยเข้าเป็นส่วนหนึ่งของอาเซียนก็ได้ยุตินโยบายดังกล่าวในเวลาต่อมา

"เรื่องนี้ก็เกิดขึ้นในยุคทักษิณ by the way 'เราเป็นส่วนหนึ่งของอาเซียนแล้ว เราจะไม่สนับสนุนให้เกิดความรุนแรงในประเทศเพื่อนบ้านของเรา' เขาเลยเลิกซื้ออาวุธให้[กลุ่มชาติพันธุ์กะเหรี่ยง] แต่กลุ่มกะเหรี่ยงก็ไปซื้ออาวุธจากว้า โกก้าง และจีน อยู่ดี" เธอกล่าว และบอกด้วยว่ากองกำลังพิทักษ์ชายแดนกะเหรี่ยงหรือกะเหรี่ยง BGF เดิม มีความภาคภูมิใจอย่างมากที่สามารถจัดสรรเงินเดือนให้กับกำลังพลได้ทุกคน อย่างน้อยคนละ 5,000/เดือน ต่างจากกองกำลังอื่น ๆ ในพื้นที่ ถึงแม้ที่มาของเงินเหล่านั้นจะมาจากธุรกิจผิดกฎหมายก็ตาม

เธอเสนอว่าประเทศไทยควรมีวิสัยทัศน์การทูตระหว่างประเทศที่กว้างขวางกว่าเดิม สิ่งสำคัญที่สุด คือ การสร้างความไว้วางใจระหว่างกองกำลังกลุ่มชาติพันธุ์กับสภาบริหารแห่งรัฐเมียนมา (SAC) ของรัฐบาลเผด็จการทหาร ซึ่งใช้ยุทธศาสตร์โจมตีทางอากาศเพื่อทำลายกลุ่มต่อต้านมาโดยตลอด เมื่อพบว่าตั๊ดม่ะด่อ (Tatmadaw) หรือกองทัพเมียนมาเสียเปรียบในการรบภาคพื้นดิน

"ไทยต้องเป็นตัวกลาง แม้เราไม่สามารถสร้างข้อตกลงหยุดยิงระดับชาติ (National Ceasefire Agreement - NCA) ได้ แต่ทำให้ air strike (การโจมตีทางอากาศ) ในหมู่บ้านต่าง ๆ หยุดลงได้ไหม ?"

เนื่องจากเธอมองว่าฝ่ายความมั่นคงของไทยมีศักยภาพเข้าถึงกลุ่มกะเหรี่ยงต่าง ๆ ที่อยู่ติดชายแดนไทยในขั้นที่ว่าได้รับความไว้วางใจจนสามารถโน้มน้าวใจผู้นำของแต่ละกลุ่มได้ ขณะเดียวกันไทยก็เข้าใจนิสัยใจคอของผู้นำกองทัพเมียนมาซึ่งเป็นความสัมพันธ์พิเศษที่ไม่มีในประเทศเพื่อนบ้านอื่น ๆ

ด้วยเหตุนี้ ไทยจึงเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดในการรับบทเป็นตัวกลางการเจรจาระหว่างสองฝ่าย เพื่อสร้างสันติภาพให้กับเมียนมา ซึ่งย่อมส่งผลให้ชายแดนไทยมีความมั่นคงปลอดภัยตามไปด้วย

"แต่คำถามคือจะบูรณาการศักยภาพเหล่านี้ให้เป็นรูปธรรมได้อย่างไร ?"

ชเวโก๊กโก่ ฐานสแกมเมอร์ในพื้นที่ควบคุมของกองทัพแห่งชาติกะเหรี่ยงหรือเคเอ็นเอ (Karen National Army-KNA) ซึ่งเดิมชื่อกองกำลังพิทักษ์ชายแดนกะเหรี่ยงหรือกะเหรี่ยง BGF (Karen Border Guard Force-Karen BGF) นำโดย พ.อ.ชิต ตุ

เมื่อบีบีซีไทยสอบถามว่าประเทศใดควรเป็นผู้นำในการปราบปรามเมืองสแกมเมอร์ต่าง ๆ เหล่านี้ ผู้เชี่ยวชาญรายนี้เสนอว่า "ประเทศจีน" เนื่องจากกลุ่มผิดกฎหมายต่าง ๆ ในประเทศเพื่อนบ้านส่วนใหญ่เป็นคนสัญชาติจีนซึ่งทางการจีนมีข้อมูลกลุ่มต่าง ๆ เหล่านี้เกือบทั้งหมด

"ทางการไทยต้องพูดคุยกับจีนอย่างเป็นรูปธรรมว่าจะเข้ามาช่วยแก้ไขปัญหานี้ได้อย่างไรบ้าง แต่ในขณะเดียวกัน สิ่งที่รัฐบาลไทยกังวลอย่างแน่นอนคือ หากไทยปล่อยให้เจ้าหน้าที่รัฐของจีนแก้ไขปัญหาเรื่องนี้อย่างจริงจัง สหรัฐอเมริกาอาจรู้สึกไม่พอใจ" ดังนั้น เธอเสนอว่าทางการไทยอาจต้องคุยกับสหรัฐฯ ด้วยในเรื่องนี้

"แต่ทั้งหมดนี้ไทยต้องระลึกอยู่เสมอว่าเราจะต้องไม่หงอ แม้สหรัฐฯ จะไม่โอเค หากเรายินยอมให้เจ้าหน้าที่ของจีนเข้ามาปฏิบัติการในประเทศ แต่จะเอายังไงในเมื่อเราต้องการแก้ไขปัญหาเรื่องนี้ใจจะขาดแล้ว ยังไงจีนก็ต้องเข้ามารับผิดชอบเรื่องนี้ เพราะในที่สุดเขาก็ควรเอาจีนเทากลับบ้านให้หมด" ผศ.ดร.ลลิตา กล่าว

ผศ.ดร.ลลิตา หาญวงษ์ ผู้เชี่ยวชาญด้านเมียนมาจาก ม.เกษตรศาสตร์ และ นายริชาร์ด ฮอร์ซีย์ จากองค์กรอินเตอร์เนชันแนลไครซิสกรุ๊ป

ริชาร์ด ฮอร์ซีย์: แม้ปราบปรามได้ แต่สแกมเมอร์พร้อมย้ายไปพื้นที่ใหม่เสมอ

นายริชาร์ด ฮอร์ซีย์ ผู้เชี่ยวชาญด้านเมียนมาจากจากองค์กรอินเตอร์เนชันแนลไครซิสกรุ๊ปหรือไอซีจี (International Crisis Group - ICG) เห็นว่าการกำจัดเมืองสแกมเมอร์รอบชายแดนไทย-เมียนมานั้นเป็นเรื่องยากมาก เนื่องจากการดำเนินการหลอกลวงเหล่านี้สร้างผลกำไรมหาศาลมูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์สหรัฐทุกปี

"นี่เป็นจำนวนเงินมหาศาล หมายความว่าการดำเนินการเหล่านี้มีความสามารถในการมีอิทธิพลต่อประเทศเพื่อนบ้านรวมถึงปัจเจกชนต่าง ๆ ผ่านการทุจริตหรืออิทธิพลในรูปแบบอื่น ๆ"

นอกจากนี้ เขายังเห็นว่าเมื่อเกิดการปราบปรามในพื้นที่หนึ่ง กลุ่มอาชญากรรมเหล่านี้ก็สามารถหาพื้นที่ใหม่และเริ่มต้นธุรกิจใหม่ได้อีกครั้งอยู่เสมอ

"แต่ผมก็คิดว่าสามารถทำอะไรได้มากกว่าที่กำลังทำอยู่ตอนนี้" นายริชาร์ด กล่าว และเสริมว่าการแก้ไขปัญหาเรื่องนี้เป็นความท้าทายต่อรัฐบาลไทยก็จริง ซึ่งอันที่จริงแล้วมันเป็นเรื่องที่ท้าทายอย่างมากไม่ว่ากับรัฐบาลไหนก็ตาม แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่ามีคำถามหนึ่งที่สร้างความกระอักกระอ่วนใจให้กับทางการไทยอยู่เสมอนั่นคือ "เหตุใดบริษัทมือถือรายใหญ่ของไทยถึงมีเสาสัญญาณ 5G ตั้งอยู่บริเวณชายแดนไทย-เมียนมา และส่งสัญญาณเข้าไปยังเมืองสแกมเมอร์ ?"

"พวกเขากำลังให้บริการลูกค้าเหล่านี้ ซึ่งผมมั่นใจว่าหากคุณขับรถไปตามแนวชายแดน จ.ตาก ซึ่งคุณรู้ว่าเป็นสภาพพื้นที่แบบไหน คุณมั่นใจได้เลยว่านี่ไม่ใช่สถานที่ที่คุณคาดหวังจะได้เห็นเสาส่งสัญญาณ 5G ขนาดใหญ่จำนวนมากตั้งอยู่บริเวณนี้ ขนาดพื้นที่ชนบทอื่น ๆ ของประเทศไทยยังไม่มีการเชื่อมต่อที่ดีขนาดนี้เลย แล้วทำไมจึงเกิดขึ้นที่นี่"


เสาส่งสัญญาณโทรคมนาคมของไทยที่อยู่ติดกับเมืองสแกมเมอร์ชื่อว่า เคเค พาร์ค (KK Park) ซึ่งตั้งอยู่ในชายแดนรัฐกะเหรี่ยง

ผู้เชี่ยวชาญด้านเมียนมารายนี้ยังตั้งคำถามด้วยว่า เหตุใดผู้คนจากทั่วโลกจึงข้ามแดนจากไทยไปยังเมืองสแกมเมอร์ได้อย่างง่ายดาย

"ในช่วงสถานการณ์โควิด-19 ประเทศไทยสามารถปิดผนึกพรมแดนได้และห้ามไม่ให้ใครข้ามแดนไปมาระหว่างสองประเทศ แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าถ้าคุณเป็นผู้นำพาอาชญากร คุณสามารถข้ามแดนได้อย่างง่ายดายมาก

ทำไมไทยไม่สามารถควบคุมชายแดนได้มากกว่านี้ ? ผมคิดว่านี่เป็นคำถามที่น่าอึดอัดใจสำหรับทางการไทย ซึ่งพวกเขาควรมีคำตอบ" นักวิเคราะห์จาก ICG กล่าว

นายริชาร์ดคิดว่าปัญหานี้ไม่ได้เป็นปัญหาของประเทศไทยเท่านั้น แต่ยังเป็นปัญหาของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ด้วย เพราะถึงแม้ว่าทางการจะสามารถปิดเมืองสแกมเมอร์บริเวณชายแดนรัฐกะเหรี่ยงของเมียนมาได้ แต่กลุ่มอาชญากรรมเหล่านี้ก็สามารถจะย้ายไปยังลาว กัมพูชา หรือพื้นที่อื่น ๆ ของไทยได้อยู่ดี

"เหยื่อของเมืองสแกมเมอร์มาจากประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก" เขาบอก "ดังนั้นนี่เป็นปัญหาการค้ามนุษย์ในระดับโลก ไม่ใช่ปัญหาของประเทศใดประเทศหนึ่ง"

แก๊งอาชญากรรมที่ดำเนินการในเมืองเหล่านี้มีความเชื่อมโยงกับจีนด้วย ถึงแม้ว่าไม่ใช่แก๊งอาชญากรรมจากประเทศจีนโดยตรง แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าผู้นำหลายคนมาจากกลุ่มมาเฟียชาวจีน บางคนเป็นชาวจีนโพ้นทะเล บางคนสละสัญชาติจีนและใช้สัญชาติกัมพูชาหรือชาติอื่น

"จริง ๆ แล้วคุณไม่สามารถสละสัญชาติจีนเช่นนั้นได้ ดังนั้นประเทศจีนจึงมีความรับผิดชอบในฐานะประเทศที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด และเป็นประเทศเพื่อนบ้านที่เต็มไปด้วยความสามารถ ทรัพยากร การบังคับใช้กฎหมาย ข่าวกรอง การทูต ด้วยสิ่งเหล่านี้จีนจึงมีบทบาทอย่างมาก และมีความกังวลอย่างมากเกี่ยวกับปัญหานี้ ผมมั่นใจว่าคุณรู้ว่ามีการทำงานร่วมกันระหว่างตำรวจของไทย จีน และเมียนมาเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่เห็นได้ชัดว่ามันยังไม่มากพอ"


ผู้เชี่ยวชาญเห็นตรงกันว่าภาคเอกชนในแม่สอดคือผู้ส่งออกวัสดุก่อสร้างหลัก ๆ ให้กับเมืองสแกมเมอร์รอบชายแดนไทย-เมียนมา

ริชาร์ดเห็นด้วยว่าจีนมีข้อมูลข่าวกรองเกี่ยวกับกลุ่มอาชญากรรมเหล่านี้ที่ดียิ่ง แต่ปัญหาคืองานสืบสวนทั้งหมด "ถูกปล่อยให้ตำรวจท้องถิ่นสืบสวนทีละคดีเป็นกรณี ๆ ไป โดยหวังว่าสิ่งนี้จะช่วยแก้ปัญหาภาพรวมทั้งหมด"

"ปัญหานี้ต้องการความร่วมมือทางการเมือง สิ่งนี้จำเป็นต้องเกิดการหารือร่วมกันในการประชุมสุดยอดผู้นำ มันต้องเป็นเรื่องที่ถูกจัดลำดับให้มีความสูงสุดในการประชุมอาเซียน การประชุมอนุภูมิภาคแม่โขง-ล้านช้าง รวมถึงการประชุมทวิภาคี ซึ่งมันยังเกิดขึ้นไม่มากพอ และท้ายที่สุดแล้วนี่คือปัญหาที่ซับซ้อนมาก ไม่สามารถปล่อยให้ตำรวจแก้ปัญหาเพียงลำพังได้"

เมื่อพูดถึงว่าจีนต้องพยายามทำอะไรมากกว่านี้เพื่อจัดการกับอาชญากรที่เป็นพลเมืองของตน ผู้เชี่ยวชาญรายนี้บอกว่า "นี่ไม่ใช่การให้ไทยไปพูดกับจีนว่าให้เขามาในประเทศไทย แล้วแก้ไขปัญหาด้วยตัวคุณเอง นี่ไม่ใช่การบอกให้ไทยสละอำนาจทางอธิปไตย เพราะไทยเองก็มีอำนาจอธิปไตยเป็นของตัวเอง แต่ประเทศจีนต้องได้อำนาจในการปฏิบัติการโดยได้รับอนุญาตจากทางการไทย"

"ความเป็นผู้นำเชิงกลยุทธ์อาจริเริ่มจากจีน เพราะเขามีทรัพยากร แต่ไม่ใช่มอบปัญหาทั้งหมดให้กับจีน จากนั้นปล่อยให้จีนทำทุกอย่างเพื่อแก้ปัญหาดังกล่าว มันเกี่ยวกับความร่วมมือทางการทูต ความร่วมมือทางการเมือง ความร่วมมือในการบังคับใช้กฎหมาย ผมจึงคิดว่ามันไม่น่าเป็นปัญหาอะไร"


มันเป็นเรื่องปกติที่จะพบท่าข้ามเอกชนของผู้ประกอบการไทย ตั้งอยู่ตรงข้ามกับเมืองสแกมเมอร์ของประเทศเพื่อนบ้านอยู่เสมอ

เขายังชี้ให้เห็นว่าวิกฤตทางการเมืองในเมียนมามีผลสัมพันธ์อย่างลึกซึ้งกับความมั่นคงชายแดนของไทย เนื่องจากเห็นได้ว่ากลุ่มอาชญากรรมมักเสาะหาพื้นที่ที่ไม่มีหลักนิติธรรม ซึ่งผู้มีอำนาจในรัฐบาลกลางไม่สามารถทำอะไรได้ เนื่องจากเป็นพื้นที่ของกองกำลังกลุ่มชาติพันธุ์

"แต่ประเทศไทยมีความร่วมมือที่ดี มีความสัมพันธ์ที่ดีกับกลุ่มกองกำลังตามแนวชายแดนไทย-เมียนมา ผมจึงคิดว่าประเทศไทยมีความสามารถที่จะสร้างอิทธิพลกับกลุ่มเหล่านี้ได้" และหากไทยตัดการส่งสินค้า บริการ สิ่งอำนวยความสะดวก ไฟฟ้า และอินเทอร์เน็ต รวมถึงผนึกชายแดนได้ นั่นหมายความว่าเมืองสแกมเมอร์เหล่านั้นไม่สามารถอยู่รอดได้อีกต่อไป

"แต่นั่นแหละ มันก็กลับมาจุดเดิมที่เราพูดคุยกันในตอนต้น ธุรกิจผิดกฎหมายเหล่านี้เกี่ยวข้องกับการทุจริตมากมาย มันจึงเป็นความท้าทายอย่างมาก และเราคงไม่สามารถวิพากษ์วิจารณ์ไทยโดยเฉพาะเพียงอย่างเดียว เพราะมันเป็นความท้าทายสำหรับทุกประเทศที่ต้องรับมือกับปัญหานี้ เพราะเรากำลังพูดถึงเงินของอุตสาหกรรมที่มีมูลค่าเทียบเท่าจีดีพีของเมียนมา จีดีพีของลาว หรือแม้กระทั่งจีดีพีของกัมพูชา นั่นทำให้เมืองสแกมเมอร์ที่มีขนาดเศรษฐกิจเท่ากับประเทศเล็ก ๆ เช่นนี้ มีความสามารถมหาศาลในการติดสินบน ดังนั้นมันจึงไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะจัดการกับปัญหาเหล่านี้ แต่แน่นอนว่าประเทศไทยควรทำมากกว่านี้" นายริชาร์ด กล่าว

เจสัน ทาวเวอร์: การกำจัดเป็นไปได้ แต่ไม่ควรให้จีนเป็นผู้นำ

นายเจสัน ทาวเวอร์ ผู้อำนวยการฝ่ายเมียนมาจากสถาบันสันติภาพแห่งสหรัฐอเมริกา หรือ ยูเอสไอพี (United States Institute of Peace - USIP) ซึ่งเป็นหน่วยงานวิชาการอิสระที่ก่อตั้งโดยรัฐสภาของสหรัฐฯ บอกว่า การกำจัดเมืองสแกมเมอร์บริเวณชายแดนไทย-เมียนมา มีความเป็นไปได้ แต่ก็เต็มไปด้วยความท้าทายอย่างมาก เนื่องจากในตอนนี้ยังไม่มีรัฐบาลที่ชอบด้วยกฎหมายในเมียนมา "และรัฐบาลทหารก็ยังก่ออาชญากรรมหมู่ต่อประชาชนชาวเมียนมาอย่างต่อเนื่อง"

"กองทัพเมียนมากำลังพ่ายแพ่อย่างรวดเร็วในสนามรบ จึงไม่เหลือความสามารถพอหรือสนใจแก้ไขปัญหานี้"

เขาย้อนกลับไปปฐมบทของเมืองสแกมเมอร์บริเวณชายแดนไทยซึ่งเกิดขึ้นในพื้นที่ภายใต้การคุมของกองกำลังพิทักษ์ชายแดนกะเหรี่ยงหรือกะเหรี่ยงบีจีเอฟ (Karen Border Guard Force – Karen BGF) ซึ่งต่อมาประกาศตัดขาดกับกองทัพเมียนมาและเปลี่ยนชื่อเป็นกองทัพแห่งชาติกะเหรี่ยงหรือเคเอ็นเอ (Karen National Army - KNA) แต่ยังคงให้การคุ้มกันพื้นที่เศรษฐกิจของกลุ่มอาชญากรเหล่านี้โดยมีผลประโยชน์มหาศาลเข้ามาเกี่ยวข้อง

เมื่อเกิดสงครามกลางเมียวดีเมื่อเดือน พ.ค. ปีที่แล้ว เกิดการหลั่งไหลของกลุ่มอาชญากรรมจากพื้นที่ของ KNA ไปตั้งเมืองใหม่ในพื้นที่ควบคุมของกองทัพกะเหรี่ยงพุทธประชาธิปไตยหรือดีเคบีเอ (Democratic Karen Buddhist Army-DKBA) ซึ่งเล็งเห็นผลประโยชน์จากกลุ่มมาเฟียชาวจีนเหล่านี้เช่นกัน

"ผมคิดว่าสิ่งที่น่าสนใจคือ DKBA ไม่ได้สู้รบกับกองทัพเมียนมา พวกเขาวางตัวเป็นกลาง แต่ก็นำทหารรับจ้างจำนวนมากเข้ามาด้วย ทำให้เมืองสแกมเมอร์ในพื้นที่ของพวกเขาขยายตัวอย่างรวดเร็ว"


ผู้นำกองกำลัง KNA และ DKBA รวมถึงผู้ประกอบการชาวจีน ประชุมพร้อมหน้ากันเมื่อวันที่ 15 ม.ค. 2025 เพื่อกำชับให้กลุ่มผู้ประกอบธุรกิจในเมืองที่มีกิจกรรมสแกมเมอร์รอบชายแดนไทย-เมียนมา ร่วมมือกันไม่ทำร้ายเหยื่อ ไม่บังคับขู่เข็ญ และไม่ใช้แรงงานเด็กอายุต่ำกว่า 18 ปี

ส่วนกลุ่มกะเหรี่ยงที่เป็นผู้นำการต่อต้านรัฐบาลทหารเมียนมา เช่น สหภาพแห่งชาติกะเหรี่ยงหรือเคเอ็นยู (Karen National Union - KNU) ก็ตระหนักถึงปัญหานี้ "แต่กลัวที่จัดการกับปัญหานี้ เพราะรู้ว่ากองกำลัง KNA และ DKBA รวมถึงกลุ่มมาเฟียจีนมีอำนาจเพียงใด" นายเจสันสะท้อนให้เห็นภาพรวมของกลุ่มต่าง ๆ ภายในรัฐกะเหรี่ยงซึ่งมีส่วนเกี่ยวข้องกับเมืองสแกมเมอร์

ผู้เชี่ยวชาญจาก USIP จึงเห็นว่าสุดท้ายแล้วปัญหานี้ก็หนีไม่พ้นเป็นภาระของไทย และไทยเองก็มีศักยภาพตัดตอนความสามารถของเมืองเหล่านี้ได้ เพียงแค่ผนึกชายแดนด้วยกองกำลังที่มีความเข้มแข็งกว่าเดิม ระงับการส่งสิ่งอำนวยความสะดวกไปยังเมืองสแกมเมอร์ เช่น ไฟฟ้า สัญญาณอินเทอร์เน็ต วัสดุก่อสร้าง ฯลฯ ซึ่งเกี่ยวข้องกับบริษัทจดทะเบียนในไทยและใช้ไทยเป็นส่วนหนึ่งในการฟอกเงินผิดกฎหมาย

"คุณรู้หรือไม่ว่าไทยกำลังถูกใช้ประโยชน์โดยอาชญากรเหล่านี้ ?" เจสัน กล่าว

"กลุ่มมาเฟียเหล่านี้ฝังตัวอย่างลึกซึ้งภายในรัฐกะเหรี่ยง และมีเมืองสแกมเมอร์เพิ่มขึ้นตามแนวชายแดนไทย-เมียนมาอย่างต่อเนื่อง พวกเขามีอำนาจมากขึ้นเรื่อย ๆ จำนวนกลุ่มผู้ติดอาวุธก็มีจำนวนเพิ่มขึ้นตามไปด้วย เพื่อปกป้องฐานสแกมเมอร์ของพวกเขา ดังนั้น ไทยต้องลงทุนครั้งใหญ่เพื่อปรับปรุงความมั่นคงแนวชายแดนในแง่การจัดการภัยคุกคามความมั่นคงที่ไม่ได้มีลักษณะดั้งเดิมอีกต่อไป และภัยคุกคามนี้ก็ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อไทยเท่านั้น แต่มันเป็นภัยคุกคามระดับโลก ดังนั้นประเทศต่าง ๆ ต้องให้ความร่วมมือกับประเทศไทยในการเข้ามาแก้ไขปัญหานี้ร่วมกัน"


ผู้อำนวยการฝ่ายเมียนมาจาก USIP บอกว่าปัญหาเมืองสแกมเมอร์ระดับโลกเป็นความท้าทายที่ไทยต้องทำงานร่วมกับประเทศอื่น ๆ

ผู้อำนวยการฝ่ายเมียนมาจากสถาบันสันติภาพแห่งสหรัฐอเมริกาเสนอว่า ไทยควรรับบทบาทนำในการแก้ไขปัญหานี้ เนื่องจากกรณีล่าสุดที่เกิดขึ้นกับนักแสดงชาวจีนส่งผลอย่างมากต่อการท่องเที่ยวของไทย เพราะทำให้ชาวจีนขาดความเชื่อมั่นและยกเลิกเที่ยวบิน รวมถึงการจัดแสดงของศิลปินในไทย ด้วยข้อกังวลเรื่องความปลอดภัย

ในขณะเดียวกัน ชาวอเมริกันก็ตกเป็นเหยื่อการหลอกลวงจากเมืองสแกมเมอร์เหล่านี้และสูญเสียเงินจำนวนหลายพันล้านดอลลาร์สหรัฐ เขาจึงเห็นว่าไทยกับสหรัฐฯ ควรทำงานร่วมกันเพื่อปิดเมืองสแกมเมอร์เหล่านี้ และนำตัวอาชญากรมารับผิดชอบในอาชญากรรมที่เกิดขึ้น

"กลุ่มอาชญากรชาวจีนยังหลอกลวงคนประเทศอื่น ๆ ในยุโรป ออสเตรเลีย และญี่ปุ่นด้วย ดังนั้นมันเป็นปัญหาระดับโลก ซึ่งต้องการทรัพยากรต่าง ๆ จากทุกประเทศที่ได้รับผลกระทบเพื่อจัดการกับกลุ่มอาชญากรรมเหล่านี้"

"พวกเขาระบุเหยื่อผ่านแพลตฟอร์มสื่อสังคมออนไลน์ เช่น แอปพลิเคชันหาคู่ ซึ่งเป็นของบริษัทข้ามชาติ ดังนั้นเพื่อให้การจัดการปัญหาค้ามนุษย์มีประสิทธิภาพมากขึ้น มันจึงต้องอาศัยความร่วมมือระหว่างประเทศ"

เขาเห็นด้วยว่าจีนมีส่วนต้องรับผิดชอบต่ออาชญากรรมที่เกิดขึ้นมากมายบริเวณชายแดนไทย-เมียนมาแห่งนี้ เพราะกลุ่มอาชญากรเหล่านี้ล้วนเป็นคนจีน ซึ่งพบว่าหลอกลวงชาวจีนด้วยกันจนทำให้เหยื่อสูญเสียเงินไปเป็นจำนวนมากด้วย แต่ไม่ใช่ความคิดที่ดีนักหากให้จีนเป็นผู้นำในการแก้ไขปัญหานี้ โดยมีตัวอย่างที่เกิดขึ้นในทางรัฐฉานตอนเหนือซึ่งมีชายแดนติดกับจีน และจีนได้เปิดปฏิบัติการทลายเมืองสแกมเมอร์บริเวณชายแดน ส่งผลให้ผู้คนมากกว่า 10,000 คน พากันหลบหนีออกจากเมืองดังกล่าว และจำนวนหนึ่งมาตั้งต้นธุรกิจผิดกฎหมายแห่งใหม่ที่ชายแดนไทย-เมียนมา โดยระบุเป้าหมายเป็นเหยื่อในประเทศอื่น ๆ ไม่ใช่เฉพาะชาวจีนในแผ่นดินใหญ่อีกต่อไป

"พวกเขาหลอกลวงผู้คนจากทั่วทุกมุมโลกให้เดินทางมาทำงานในเมืองสแกมเมอร์ เพราะพวกเขาไม่ได้มีเป้าหมายเป็นเหยื่อชาวจีนอีกต่อไปเหมือนเมื่อก่อนแล้ว พวกเขากำลังพุ่งเป้าไปที่ผู้คนที่ใช้ภาษาอังกฤษ"


แม้ไทยมีกองกำลังป้องกันชายแดน แต่ยังพบการเล็ดรอดของกลุ่มอาชญากรจากไทยไปยังเมืองสแกมเมอร์รัฐกะเหรี่ยงอยู่เสมอ

"การสนับสนุนผลประโยชน์ของทางการจีนเพียงอย่างเดียว ประเทศต่าง ๆ ควรนึกถึงเหตุการณ์คล้าย ๆ กันที่เราเรียกว่าวิกฤตเฟนทานิล (ยาเสพติดชนิดหนึ่ง) ซึ่งการปราบปรามยาเสพติดและสารตั้งต้นครั้งใหญ่ในจีน ทำให้ยาชนิดทะลักเข้าไปยังตลาดในประเทศอื่น ๆ ทั่วโลก และทำให้เกิดความท้าทายด้านความมั่นคงของสหรัฐฯ ด้วย"

เขายังบอกด้วยว่าเหล่าอาชญากรล้วนปรับตัวได้อย่างรวดเร็ว เมื่อถูกบีบให้ออกจากพื้นที่หนึ่ง ก็มักไปเปิดธุรกิจใหม่ในประเทศอื่น ๆ เช่น ลาว กัมพูชา และฟิลิปปินส์ เป็นต้น ดังนั้นกลุ่มประเทศอาเซียนต้องยกระดับเรื่องนี้ให้เป็นวาระสำคัญในความร่วมมือระหว่างประเทศ เพราะมันกลายเป็นปัญหาระดับภูมิภาคไปแล้ว

"ผมจึงเห็นว่าการปราบปรามเมืองสแกมเมอร์ต้องเป็นความร่วมมือของหลายประเทศ ซึ่งตั้งอยู่บนเป้าหมายของประเทศไทยเป็นหลัก และอย่าลืมว่าไทยกับจีนมีรูปแบบสังคมที่แตกต่างกันมาก ดังนั้น โมเดลของจีนย่อมใช้ไม่ได้ผลในไทย เพราะนี่คือปัญหาระดับโลกที่ต้องการวิธีแก้ไขปัญหาในระดับโลก"


นายเจสัน ทาวเวอร์ จาก USIP และ ศ.ดร.ปิ่นแก้ว เหลืองอร่ามศรี จาก ม.เชียงใหม่

ปิ่นแก้ว เหลืองอร่ามศรี: แม้จะกำจัดได้หรือไม่ได้ "ก็ต้องทำ"

ศ.ดร.ปิ่นแก้ว เหลืองอร่ามศรี อาจารย์คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ผู้ทำวิจัยเกี่ยวกับทุนนิยมกาสิโนและเมืองสแกมเมอร์ตามแนวชายแดนไทย-เมียนมา บอกว่า การกำจัดเมืองสแกมเมอร์รอบชายแดนไทยนั้น "ถึงแม้จะทำได้หรือไม่ได้ ก็ต้องทำ" เพราะไทยได้รับผลกระทบอย่างมากในเรื่องความเชื่อมั่นด้านความปลอดภัย จากกรณีล่าสุดที่นายหวัง ซิง นักแสดงชาวจีนถูกหลอกไปทำงานแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่รัฐกะเหรี่ยงของเมียนมา

เธออธิบายว่าธุรกิจเครือข่ายหลอกลวงเช่นนี้มีลักษณะเป็นทุนนิยมนักล่า (predatory capitalism) หรือบ้างก็เรียกว่า compound capitalism ซึ่งหมายถึงการขังคนไว้ข้างในเพื่อเป็นแรงงานทาส โดยทุนนิยมลักษณะดังกล่าวเคยเกิดขึ้นมาแล้วในสมัยยุคอาณานิคม

"หมายความว่าธุรกิจดังกล่าวต้องอาศัย 4 วงจร หนึ่ง คือการจัดหาแรงงานผ่านเครือข่ายค้ามนุษย์ซึ่งถูกคุ้มครองโดยระบบส่วยและสินบนในระดับชาติและระดับพื้นที่ สอง การซื้อขายข้อมูลผ่านตลาดมืด สาม การใช้ข้อมูลเหล่านั้นผ่านเทคโนโลยีโทรคมนาคมและธุรกรรมการเงินออนไลน์มาหลอกลวงเหยื่อ และสี่ การฟอกเงินหรือแปรสภาพเงินเหล่านั้นให้เป็นสินทรัพย์แบบอื่น"


เมืองสแกมเมอร์ในพื้นที่ควบคุมของ KNA ถูกระงับการส่งไฟจาก กฟภ. ของไทยตั้งแต่ปี 2566 แต่พวกเขายังดำเนินกิจกรรมต่าง ๆ ได้ปกติมาจนถึงตอนนี้

เมื่อพิจารณาจากพื้นที่ตั้งของเมืองสแกมเมอร์ก็พบว่าอยู่ในดินแดนที่อำนาจส่วนกลางของรัฐเมียนมาเอื้อมเข้ามาไม่ถึง เนื่องจากเป็นพื้นที่ที่ถูกแบ่งสรรปันส่วนให้ชนกลุ่มน้อยดูแลไปแล้ว ทว่า เมืองเหล่านี้จะคงอยู่ไม่ได้เลย หากภาคเอกชนและภาคธุรกิจในแม่สอดไม่จัดส่งสิ่งอำนวยความสะดวก รวมถึงอาหาร และบริการต่าง ๆ เข้าไปให้

"ท่าข้ามต่าง ๆ ทราบดีว่าสินค้าต่าง ๆ ส่งไปเมืองสแกมเมอร์ที่ไหนบ้าง ผู้ใหญ่บ้านตามหมู่บ้านชายแดนรู้ดีว่าบ้านไหนลักลอบวางสายเคเบิลส่งไฟฟ้าและสัญญาณอินเทอร์เน็ตข้ามแดนไปให้เมืองสแกมเมอร์ แต่ปล่อยเกียร์ว่างมาโดยตลอด"

"สิ่งสำคัญที่สุดคือความอ่อนแอ-หย่อนยานของหน่วยงานภาครัฐทั้งในเรื่องกฎหมาย นโยบาย และมาตรการ ขาดองค์กรหลักที่ทำงานปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์โดยมีแผนมุ่งเป้าอย่างชัดเจน" เธอกล่าว

"มาตรการที่ผ่านมาได้แต่ผลักภาระให้ประชาชนต้องระวังตัวเอง แต่ไม่มีตรงไหนเลยที่บอกว่าธนาคารและบริษัทโทรคมนาคมต้องรับผิดชอบอะไรบ้าง ซึ่งมักไม่ถูกต้อง เพราะรูรั่วทั้งหลายมาจากภาคเอกชน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องข้อมูลส่วนบุคคลหลุดรั่วไหลจากหน่วยงานภาครัฐ ธนาคาร หรือจากบริษัทประกัน ปล่อยให้มีการเปิดบัญชีม้าได้อย่างไร ปล่อยให้เกิดการโอนเงินจำนวนมากอย่างง่ายดายได้อย่างไร"



ผู้เชี่ยวชาญรายนี้ยกตัวอย่างเรื่องราวของลูกศิษย์ชาวจีนคนหนึ่งซึ่งเป็นคนจากนครเฉิงตู ไม่สามารถขอเปิดบัญชีธนาคารในประเทศจีนได้ เนื่องจากมีที่อยู่เป็น จ.เชียงใหม่ของไทย เพราะทางธนาคารเห็นว่าข้อมูลส่วนตัวดังกล่าวเข้าข่ายน่าสงสัยและไม่น่าไว้วางใจ

แม้กระทั่งนักศึกษาจีนรายนี้วิดีโอคอลพูดคุยกับเพื่อนชาวไทย ขณะพำนักอยู่ในประเทศจีน ก็พบว่ามีข้อความแจ้งเตือนเข้ามาในเครื่องว่ามีกิจกรรมน่าสงสัยเกิดขึ้น และตามมาด้วยสายจากเจ้าหน้าที่เพื่อสอบถามว่าเหตุใดจึงเกิดการสื่อสารกับปลายทางที่อยู่ในประเทศไทยขึ้น และพูดคุยเรื่องอะไรกัน

"กรณีนี้อาจถกเถียงได้ว่าเป็นการละเมิด privacy (ความเป็นส่วนตัว) แต่มันก็ทำให้เห็นว่าหากกฎหมายบังคับให้เอกชนมีส่วนในการรับผิดชอบ ภาคธุรกิจก็จะปรับตัวและทำให้ธุรกรรม รวมถึงกิจกรรมต่าง ๆ ทำได้ยากลำบากมากขึ้น ซึ่งส่งผลให้อาชญากรรมแก๊งคอลเซ็นเตอร์ทำงานได้ยากลำบากมากขึ้น"

ด้วยเหตุนี้ เธอจึงเสนอว่าทางการไทยควรตั้งองค์กรเฉพาะขึ้นมาเพื่อจัดการกับ 4 วงจรข้างต้น เพื่อตัดตอนธุรกิจเมืองสแกมเมอร์ในชายแดนประเทศเพื่อนบ้าน โดยทั้งหมดต้องอาศัยการปฏิรูปกฎหมายให้ทันสมัยและเท่าทันกับอาชญากรรมที่เกิดขึ้น ซึ่งจะเอื้อให้การตรวจสอบต่าง ๆ เป็นไปได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ รวมถึงสามารถเอาผิดกับผู้ที่เกี่ยวข้องกับอาชญากรรมได้

เธอยังบอกด้วยว่าขณะลงพื้นที่เก็บข้อมูลวิจัยในแม่สอด ได้ทราบข้อมูลว่าทางการจีนส่งตำรวจเข้ามาทำงานในพื้นที่ด้วย

"เขา[ตำรวจจีน]มีข้อมูลแก๊งคอลเซ็นเตอร์ในระดับรายบุคคล และเคยให้ข้อมูลนี้กับตำรวจไทยไว้" ศ.ดร.ปิ่นแก้ว กล่าว "อยากทราบว่า ตม. เคยใช้ข้อมูลนี้เพื่อคัดกรองคนเข้าออกประเทศหรือไม่ และหากคุณต้องการตัดตอนวงจรค้ามนุษย์ คุณก็ต้องทำให้ด่านเข้าแม่สอดทั้ง 3 จุดนั้นทำงานได้อย่างเต็มที่และมีประสิทธิภาพ"

ศ.ดร.ปิ่นแก้ว เสนอว่าไทยควรขึ้นมาเป็นผู้นำแก้ไขปัญหาเมืองสแกมเมอร์รอบชายแดน นอกจากตั้งหน่วยงานหรือองค์กรเฉพาะขึ้นตามข้อเสนอแรก ทางการไทยต้องเจรจากับกองกำลังชนกลุ่มน้อย และโน้มน้าวให้พวกเขาเห็นภาพตรงกันว่าการเกิดขึ้นของเมืองสแกมเมอร์นั้นเป็นการพัฒนาที่นำไปสู่ทางตัน

"ต้องทำให้เห็นว่าหากไทยเข้มงวดกับชายแดน เมืองสแกมเมอร์เหล่านี้ย่อมอยู่ไม่ได้ ซึ่งหมายถึงกองกำลังชนกลุ่มน้อยก็อยู่ไม่ได้" เธอกล่าว "ดังนั้น ไทยต้องยื่นไม้ตายว่ามันต้องเกิดการเปลี่ยนแปลง"



อาจารย์จาก ม.เชียงใหม่ บอกด้วยว่า หากไทยมีแผนการปราบปรามที่เป็นรูปธรรมว่าจะตัด 4 วงจรอย่างเป็นระบบอย่างไร มีคณะทำงานที่ชัดเจน และมีแผนมุ่งเป้าที่จับต้องได้ ย่อมเอื้อให้การประสานงานขอความร่วมมือกับประเทศอื่น ๆ ทำได้ง่ายมากขึ้น แต่ปัญหาที่ผ่านมาคือไทยไม่เคยมีแผนจัดการดังกล่าว ประเทศอื่น ๆ จึงไม่ทราบว่าจะเข้ามาทำงานร่วมกันกับทางการไทยได้อย่างไร

"จีนมีข้อมูลเกี่ยวกับแก๊งเหล่านี้ละเอียดมาก แต่เนื่องจากเราไม่มีแผนจะทำอะไร ข้อมูลที่มีก็เหมือนเป็นเศษกระดาษ เพราะไม่รู้ว่าจะเอาไปใช้ทำอะไร ขณะเดียวกัน สหรัฐฯ ก็มีข้อมูลเส้นทางการเงินของกลุ่มคนเหล่านี้ที่ละเอียดมาก เราจะทำอะไรกับข้อมูลเหล่านี้ได้บ้าง รัฐบาลไทยเคยทำอะไรกับสิ่งเหล่านี้บ้าง" ศ.ดร.ปิ่นแก้ว ระบุ

https://www.bbc.com/thai/articles/c5yedxew1g2o


ทำไมสถานที่ประสูติของพระพุทธเจ้าอาจถูกเพิ่มเป็นแหล่งมรดกโลกที่ตกอยู่ในภาวะอันตราย เกิดอะไรขึ้นกับที่นี่

บีบีซีไทย - BBC Thai
8 hours ago
·
ยูเนสโกบอกว่าการเสื่อมสภาพของพื้นที่ส่วนหลัก ๆ ของสวนลุมพินีและวิหารมายาเทวีเป็น "สัญญาณเตือนว่าต้องมีการอนุรักษ์" เกิดอะไรขึ้นกับที่นี่ 
อ่านต่อได้ที่ https://bbc.in/3WkPIh5
.....

ทำไมสถานที่ประสูติของพระพุทธเจ้าอาจถูกเพิ่มเป็นแหล่งมรดกโลกที่ตกอยู่ในภาวะอันตราย

สันจายา ดาคาล
บีบีซี แผนกภาษาเนปาล
รายงานจากลุมพินี ประเทศเนปาล
เมื่อ 9 ชั่วโมงที่แล้ว

สถานที่ประสูติของพระพุทธเจ้าในเมืองลุมพินี ซึ่งตั้งอยู่บริเวณที่ราบเทไรของเนปาล ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นพื้นที่มรดกโลกมาตั้งแต่ปี 1997 แต่อีกไม่นานสถานที่แห่งนี้อาจถูกเพิ่มเป็นแหล่งมรดกโลกที่กำลังตกอยู่ในภาวะอันตราย (World Heritage in Danger)

วัดมายาเทวีเป็นศูนย์กลางของสถานที่แสวงบุญ ในวัดแห่งนี้มีศิลาจารึกภายในซึ่งระบุว่าเป็นสถานที่ที่ชาวพุทธเชื่อว่าเป็นสถานที่ประสูติของพระพุทธเจ้าเมื่อราว 2,600 ปีก่อน วัดแห่งนี้รายล้อมไปด้วยวิหารอีก 14 แห่ง ซึ่งสร้างโดยชาวพุทธจากหลายประเทศ รวมทั้งเกาหลีใต้และฝรั่งเศส อันแสดงให้เห็นว่าอิทธิพลของพุทธศาสนาได้แผ่ไปไกลเพียงใด

"ผู้คนทั่วโลกมาที่นี่เพื่อแสวงหาความสุขอันเงียบสงบชั่วขณะ" เคนโป เพอร์ปา เชอร์ปา พระสงฆ์จากสิงคโปร์สนทนากับบีบีซี แผนกภาษาเนปาล และบอกด้วยว่า การมาเยือนวัดแถบนี้ในช่วงฤดูร้อนอาจเป็นเรื่องท้าทาย

"ใครเข้าไปในวัดอาจจะอยู่ได้ไม่กี่นาที เพราะด้านในอากาศร้อนมาก อับชื้น และหายใจไม่ออก"

สภาพที่เกิดขึ้นภายในวัดมายาเทวีเป็นหนึ่งในสาเหตุที่องค์การยูเนสโกเสนอให้เพิ่มลุมพินีเป็นแหล่งมรดกโลกที่ตกอยู่ในสภาวะอันตราย โดยยูเนสโกบอกว่าการเสื่อมสภาพของพื้นที่ส่วนหลัก ๆ ในสถานที่แห่งนี้เป็น "สัญญาณเตือนว่าต้องมีการอนุรักษ์"

ภายในวิหารวัดมายาเทวีได้รับความเสียหายอย่างมากจากน้ำ

ตามเหตุผลขององค์การยูเนสโก ภัยคุกคามที่เกิดกับพื้นที่ของวิหารมายาเทวี คือ มลพิษทางอากาศ การพัฒนาเชิงพาณิชย์ ความเปลี่ยนแปลงสู่การเป็นเขตอุตสาหกรรม และการบริหารจัดการพื้นที่ที่ไม่เหมาะสม

อย่างไรก็ตาม หน่วยงานที่กำกับดูแลมรดกทางวัฒนธรรมของโลกแห่งสหประชาชาติตัดสินใจว่าจะให้เวลาแก่ทางการเนปาลอีกระยะเพื่อฟื้นฟูสถานที่แห่งนี้ โดยกำหนดไว้จนถึงวันที่ 1 ก.พ. ที่จะถึงนี้

หลังคารั่ว, มลพิษ และต้นกล้าที่เหี่ยวแห้ง

ในแต่ละปี สถานที่ศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้มีผู้มาเยือนราว 1 ล้านคน แต่หลายคนบอกว่า พวกเขาผิดหวังจากการที่ต้องมาผจญกับมลพิษจากโรงงานอุตสาหกรรมโดยรอบ กลิ่นเหม็นจากขยะที่กองทับถม และพุ่มไม้ที่รกรุงรังในสวนที่มีน้ำขัง

"ทางการควรจัดให้มีแผนที่และข้อมูลสำหรับนักท่องเที่ยว ตอนนี้เราแค่วิ่งจากที่หนึ่งไปอีกที่หนึ่งโดยไม่มีข้อมูลอะไรเลย" ประภาการ์ เรา นักท่องเที่ยวจากอินเดีย กล่าวกับบีบีซี

ไม่ได้มีแต่เพียงนักท่องเที่ยวเท่านั้นที่บอกว่าสิ่งต่าง ๆ สามารถปรับปรุงให้ดีขึ้นได้ มาโนช ชวธารี คนขับแท็กซี่ในย่านนั้นยังแสดงความกังวล

"ผมรู้สึกโกรธกับการจัดการที่ไม่เหมาะสมที่นี่ ลองดูพวกขยะที่กลาดเกลื่อนไม่มีคนเก็บแถวนี้ดูสิ" เขากล่าวกับบีบีซี

สภาพของวัดมายาเทวีเสื่อมโทรมจากหลังคาที่รั่วซึมโดยน้ำได้รั่วไหลลงสู่พื้น ดังนั้น อิฐโบราณจึงเต็มไปด้วยเชื้อรา แม้กระทั่งต้นกล้าไม้ที่นายอันโตนิโอ กูเตร์เรส เลขาธิการสหประชาชาติ ปลูกไว้ระหว่างการเยือนเมื่อปีที่แล้วยังอยู่ในสภาพเหี่ยวเฉา


บริเวณด้านนอกวิหารมายาเทวีมีน้ำท่วมขังอยู่ในระดับสูง

ความเสียหายที่เกิดขึ้นกับโบราณสถานทางศาสนาแห่งนี้เกิดจากสภาพแวดล้อมที่เปียกชื้นจากการซึมเข้าไปของน้ำทั้งภายในและภายนอกของตัววิหารมายาเทวี ความเสียหายนี้เป็นหนึ่งในเหตุผลที่องค์การยูเนสโกเสนอให้ขึ้นทะเบียนวัดมายาเทวีเป็นแหล่งมรดกโลกที่กำลังตกอยู่ในภาวะอันตราย

ยูเนสโกยังกังวลเกี่ยวกับโครงการด้านการท่องเที่ยวขนาดใหญ่ที่สร้างเสร็จแล้ว รวมถึงโครงสร้างพื้นฐานต่าง ๆ เกี่ยวกับการท่องเที่ยวเชิงศาสนา และผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นกับสถานที่นี้

ในปี 2022 อาคารหอสมาธิและอนุสรณ์สถานที่สามารถรองรับผู้คนได้ 5,000 คน ได้เปิดตัวห่างจากวิหารมายาเทวีไปประมาณ 2 กิโลเมตร ยูเนสโกประเมินว่าโครงการดังกล่าวจะสร้างผลกระทบเชิงลบต่อคุณค่าโดดเด่นอันเป็นสากล (Outstanding Universal Value: OUV) ของวัดมายาเทวี ซึ่งเป็นเหตุผลที่ทำให้สถานที่แห่งนี้ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นแหล่งมรดกโลก

และในปี 2014 รัฐบาลเนปาลได้ประกาศแผนโครงการอันทะเยอทะยานอีกโครงการหนึ่ง คือการพัฒนาเมืองลุมพินีให้เป็น "เมืองแห่งสันติภาพของโลก" (World Peace City) โดยมีการลงทุนจากต่างชาติเข้ามาสนับสนุนมากกว่า 760 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 26,296 ล้านบาท) แต่โครงการนี้ก็ยุติลงอย่างเงียบ ๆ หลังจากถูกคัดค้านอย่างกว้างขวางจากหลายฝ่าย รวมถึงองค์การยูเนสโก

"มีข้อกังวลว่าโครงการเมืองสันติภาพของโลกของเมืองลุมพินีจะส่งผลกระทบที่เลวร้ายกับคุณค่าโดดเด่นอันเป็นสากล" รายงานของยูเนสโกเมื่อปี 2022 ระบุ

บัญชีแหล่งมรดกโลกคืออะไร ?

ลุมพินีเป็นหนึ่งในบัญชีแหล่งมรดกโลกของยูเนสโกที่มีอยู่กว่า 1,000 แห่ง โดยอยู่ในสถานะเดียวกับอุทยานแห่งชาติเซเรนเกตีของแอฟริกาตะวันออก, พีระมิดของอียิปต์, แนวปะการังเกรตแบร์ริเออร์รีฟของออสเตรเลีย และโบสถ์ยุคบาโรกในแถบละตินอเมริกา มรดกโลกเหล่านี้เป็นมรดกโลกที่ถูกขึ้นทะเบียนในบัญชีด้านต่าง ๆ ทั้งความหลากหลายทางธรรมชาติที่โดดเด่นและมรดกโลกทางวัฒนธรรม

องค์การยูเนสโกให้นิยามของมรดกโลกว่า เป็นสถานที่ที่อยู่บนโลกซึ่งมีคุณค่าโดดเด่นอันเป็นสากลต่อมนุษยชาติ และด้วยเหตุนี้จึงได้รับการขึ้นทะเบียนในบัญชีมรดกโลกเพื่อให้ได้รับการคุ้มครองให้คนรุ่นหลังได้ชื่นชม

ส่วนรายชื่อมรดกโลกที่อยู่ในภาวะอันตรายมีวัตถุประสงค์เพื่อแจ้งให้ชุมชนระหว่างประเทศทราบถึง สภาพที่ความโดดเด่นของมรดกโลกแห่งนั้นกำลังถูกคุกคาม เพื่อเป็นการกระตุ้นให้มีการแก้ไข โดยจนถึงปี 2024 มีมรดกโลกกว่า 50 แห่งที่อยู่ในบัญชีมรดกโลกที่กำลังตกอยู่ในสภาวะอันตราย

ในแถลงการณ์ที่ยูเนสโกส่งให้กับบีบีซีมีใจความว่า การได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกที่อยู่ในภาวะเสี่ยงภัย เป็นการกระตุ้นให้มีการดำเนินการอนุรักษ์ในระดับนานาชาติ

"มันกระตุ้นให้มีการพัฒนาแผนปฏิบัติการเฉพาะที่เปิดประตูให้ได้รับความช่วยเหลือทางการเงินจากยูเนสโกและพันธมิตร แต่เมื่อภัยคุกคามได้รับการแก้ไขแล้ว สถานที่นั้นสามารถถูกนำออกจากรายชื่อมรดกโลกที่อยู่ในสถานะอันตรายได้" ยูเนสโก ระบุในแถลงการณ์


ขยะที่เกลื่อนกลาดอยู่ที่บริเวณประตูทางเข้าด้านหน้าลุมพินี

แต่สำหรับพระซาการ์ ธรรมะ เจ้าอาวาสวัดราชกียาพุทธะในเขตลุมพินี มองว่าการนำลุมพินีเข้าสู่รายชื่อมรดกโลกที่อยู่ในภาวะอันตรายจะเป็น "ฉากทัศน์ที่เลวร้ายที่สุด"

"มันจะเป็นเรื่องที่น่าอับอายของชาวพุทธกว่า 500 ล้านคนทั่วโลก ที่สถานที่ประสูติขององค์พระศาสดาพวกเขาเสี่ยงจะถูกขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกที่ตกอยู่ในสภาวะอันตราย" พระธรรมะกล่าวกับบีบีซี

อย่างไรก็ตาม การขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกที่ตกอยู่ในสภาวะอันตรายไม่ได้หมายความว่า ลุมพินีจะถูกถอดออกจากการเป็นมรดกโลก

"สถานที่ที่จะถูกนำออกจากรายชื่อมรดกโลกก็ต่อเมื่อมันสูญเสียคุณค่าโดดเด่นอันเป็นสากลอย่างเด็ดขาดเท่านั้น แต่สถานการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นได้ยากมาก ตั้งแต่ปี 1972 เป็นต้นมา เกิดขึ้นกับมรดกโลกเพียง 3 แห่งเท่านั้น" ยูเนสโก กล่าวกับบีบีซี

เกิดอะไรขึ้นที่ลุมพินี ?

เมื่อปี 1978 องค์การสหประชาชาติและรัฐบาลเนปาลได้อนุมัติแผนพัฒนาพื้นที่ลุมพินี ซึ่งประกอบด้วยการบูรณะวัดมายาเทวี การก่อสร้างเขตพื้นที่สงฆ์ และจัดตั้งหมู่บ้านใหม่โดยมีจุดประสงค์เพื่อสร้าง "บรรยากาศทางจิตวิญญาณ ความสงบสันติสุข ภราดรภาพ และปราศจากความรุนแรงใด ๆ "

แต่หลังจากพยายามเสนอชื่อลุมพินีเป็นมรดกโลกไม่สำเร็จสองครั้ง ในที่สุด ลุมพินีก็ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกในปี 1997

"พวกเราร่วมมืออย่างใกล้ชิดกับยูเนสโกตอนที่ร่วมกันบูรณะวัดมายาเทวีขึ้นมาใหม่" บาซันต์ บิดารี อดีตหัวหน้านักโบราณคดีของลุมพินี กล่าว

กอช ปราสาด อาชารยา อดีตหัวหน้ากรมโบราณคดีของรัฐบาลเนปาล ก็มีส่วนร่วมในความพยายามที่จะทำให้ลุมพินีได้รับสถานะเป็นมรดกโลกเช่นกัน

"แต่อีกหลายปีต่อมา ผมรู้สึกว่า เราไม่ให้ความสำคัญและจริงจังมากพอต่อการบำรุงรักษาและดูแลมัน" เขากล่าวกับบีบีซี

ทางการได้ดำเนินการทางการทูตเพื่อป้องกันไม่ให้ยูเนสโกเพิ่มลุมพินีเป็นมรดกโลกที่กำลังอยู่ในสภาวะเสี่ยงภัย แต่ อาชารยากล่าวว่า เขายังไม่เห็น "ความจริงจังที่จำเป็นในการตอบสนองต่อความกังวลของยูเนสโก" ก่อนกำหนดเส้นตายในเดือน ก.พ.

ทว่าปัญหาพื้นฐานก็เป็นเรื่องเกี่ยวกับการเมืองเช่นกัน

"แทนที่จะเลือกผู้เชี่ยวชาญหรือคนที่มีความสามารถเหมาะสมมาเป็นผู้นำโครงการลุมพินี ดีเวลลอปเมนต์ ทรัสต์ (LDT) เพื่อบริหารจัดการพื้นที่ลุมพินี รัฐบาลดูเหมือนจะตั้งใจเลือกผู้ได้รับการแต่งตั้งที่อาจไม่มีความสามารถเพียงพอในการอนุรักษ์มรดกโลกเข้ามาดูแล" ดีพ กุมาร์ อุปธยา สมาชิกสภาและอดีตรัฐมนตรีวัฒนธรรมเนปาล บอกกับบีบีซี

"มันเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ เราจำเป็นต้องแน่ใจว่า ความศักดิ์สิทธิ์จะถูกรักษาไว้อย่างครบถ้วนทุกประการ ผู้เกี่ยวข้องต้องระวังเป็นพิเศษไม่ให้มีเรื่องการทุจริตในสถานที่แห่งความศรัทธาทุกแห่ง"

"เรามุ่งมั่นที่จะแก้ไขสิ่งที่เป็นข้อกังวล เพราะมันเกี่ยวข้องกับชื่อเสียงของชาติ" เขากล่าว

หน่วยงานบริหารพื้นที่ลุมพินีที่ชื่อว่า ลุมพินี ดีเวลลอปเมนต์ ทรัสต์ (LDT) ได้ทำงานร่วมกับยูเนสโกเพื่อแก้ไขปัญหาแล้วบางส่วน

ลาร์คิล ลามะ ประธานฝ่ายบริหาร LDT ระบุว่า พวกเขาได้เชิญผู้เชี่ยวชาญของยูเนสโกมาร่วมบูรณะและทำนุบำรุงพื้นที่ด้วยการใช้วัสดุทางเคมีมาใช้ปกป้องอิฐโบราณจากเชื้อรา

"เราดำเนินการแก้ไขในระยะแรกเพื่ออุดรอยรั่วซึมในส่วนของตัววัด" เขากล่าวกับบีบีซี

ลุมพินีต้องได้รับการ "ปกป้องในทุกวิถีทาง" มิดารี อดีตหัวหน้านักโบราณคดีของลุมพินี ซึ่งใช้เวลากว่า 40 ปีในการพยายามอนุรักษ์สถานที่นี้ กล่าวกับบีบีซีโดยมีน้ำตาคลอในดวงตาของเขา

"มิฉะนั้น มันจะคงอยู่ไม่ได้"

https://www.bbc.com/thai/articles/ckg090ngkdeo


ขอมอบชิ้นนี้แด่ 😂 ไอ้พวกคิดถึงลุง - ทศวรรษที่ตกหล่นหายไป? 11 ปีผ่านไป ไทยได้อะไรมา - สรุป ได้ระบบเดิมคืนมา ผิดแค่ว่าลูกกำนันสุเทพได้เป็นรัฐมนตรี


Banyong Pongpanich
15 hours ago
·
ทศวรรษที่ตกหล่นหายไป?….
-14 มค. 2557 กำนัน นำกปปส.ลุกฮือทั้งแผ่นดิน เป่านกหวีดไล่ระบอบทักษิณ
- สามเดือนถัดมา ตู่กุมทหารรัฐประหาร สัญญาว่าอีกไม่นาน แต่กลับยื้อเกือบเก้าปี
- 2566 ตู่ขอยื้อต่อ แต่ประชาชนบอกไม่ไหวแล้ว พรรคตู่ได้อันดับ5 ต้องต่อท้ายขบวนขอแบ่ง
- ประชาชนอยากได้คนรุ่นใหม่ แต่สว.กับศาลบอกไม่เอา กูยุบมึง
- 14 มค. 2568 11 ปีผ่าน ไทยได้อะไร
-GDP per capitaจาก6,000ไป 6,800 เฉลี่ยปีละ1% ต่ำที่สุดในโลกสำหรับปท.กำลังพัฒนา
-Democracy Index(IDEA)จาก อันดับ80 ไป130
-corruptionCPIจาก38เหลือ35 อันดับ80 ไป108
-Rule of Law index(WJP) จากอันดับ60ไป82
สรุป: สูญไปหนึ่งทศวรรษ แล้วก็ได้ระบบเดิมคืนมา ผิดแค่ว่าลูกกำนันสุเทพได้เป็นรัฐมนตรี
ไม่เป็นไรครับ…ท่านผู้เฒ่าเล่าเรื่องกับแก้วสรร ชามสรร เริ่มเรียกชาวนกหวีดให้ล้างนกหวีดลงถนนกันอีกครั้ง
เหมือนเล่นชิงช้าสวรรค์ วนไปวนมา สิบปีอยู่ที่เดิม แต่คนรุ่นใหม่น่าจะคิดว่าเป็นชิงช้านรกสำหรับพวกเขา
…นี่เป็นคำนำการบรรยายเรื่องประชาธิปไตยไทยของผม ที่วปอ.เมื่อสองวันก่อนครับ เขาคงเลิกเชิญ
หมายเหตุ : ทั้งหมดนี่ CHAT GPT บอกผมนะครับ ถ้าไม่ชอบ โปรดไปตื้บ CHAT GPT

https://www.facebook.com/banyong.pongpanich/posts/2671185233084759
...

แด่ไอ้พวกคิดถึงลุง ทั้งลุงกำนันและลุงตู่
ใบตองแห้ง


สแกมเมอร์นั้นเป็นเครือข่ายธุรกิจ หรือเศรษฐกิจประเภทหนึ่ง ที่ดำเนินกิจการผ่านองค์ประกอบสำคัญสี่ประเภทคือ 1. การดึงคนเข้ามาทำงาน ซึ่งส่วนใหญ่ทำผ่านเครือข่ายค้ามนุษย์ 2. ซื้อขายข้อมูลผิดกฎหมายผ่านตลาดมืด 3. ใช้ข้อมูล และธุรกรรมการเงินออนไลน์ในการหลอกลวง และ 4. การฟอกเงิน


Pinkaew Laungaramsri
12 hours ago
·
สแกมเมอร์นั้นเป็นเครือข่ายธุรกิจ หรือเศรษฐกิจประเภทหนึ่ง ที่เราเรียกกันว่าทุนนิยมนักล่า/ทุนนิยมหลอกลวง ( predatory capitalism) นักสังคมศาสตร์บางคน เรียกมันว่า compound capitalism (โปรดดูงานเขียนที่น่าสนใจมากของ Ivan Franceschini, Ling Li & Mark Bo 2023) หรือทุนนิยมที่ดำเนินงานโดยการคุมขังแรงงานไว้ภายใน ทุนนิยมสแกมเมอร์ ดำเนินกิจการผ่านองค์ประกอบสำคัญสี่ประเภทคือ 1. labor recruitment -การดึงคนเข้ามาทำงาน ซึ่งส่วนใหญ่ทำผ่านเครือข่ายค้ามนุษย์, 2. การซื้อขายข้อมูลผิดกฎหมายผ่านตลาดมืด (illegal data market) 3.การใช้ข้อมูลนั้น (เบอร์โทร และข้อมูลส่วนตัวของเหยื่อ) ผ่านเทคโนโลยีการสื่อสาร และธุรกรรมการเงินออนไลน์ในการหลอกลวงเหยื่อ และ 4. การฟอกเงิน/แปรสภาพเงินที่ได้จากการหลอกลวงให้เป็นสินทรัพย์ชนิดอื่น ไม่ว่าจะในรูปของดิจิทัล หรืออสังหาริมทรัพย์ก็ตาม (money laundering)
ทั้งสี่องค์ประกอบนี้ สร้างวงจรที่เชื่อมต่อกัน แต่ไม่จำเป็นต้องเป็นวงจรเดียวกัน ของอาชญากรรมสี่ลักษณะ ได้แก่ วงจรของการค้ามนุษย์ วงจรของการซื้อขายข้อมูลส่วนบุคคล วงจรของการล่อลวงธุรกรรมออนไลน์ และวงจรการฟอกเงิน วงจรเหล่านี้ดำเนินการผ่านเครือข่ายหลายชนิด ที่มีทั้งไทย และเมืองชายแดนไทย-เมียนมาร์ เป็นฐานปฏิบัติการสำคัญ การจะทลายอาชญากรรมข้ามชาติสแกมเมอร์หรือแก๊งค์คอลเซนเตอร์ได้ รัฐไทยต้องตัดวงจรทั้งสี่นี้ ไม่ให้สามารถปฏิบัติการได้ ไม่ให้สามารถเชื่อมต่อกันได้
ที่ผ่านมา วงจรอาชญากรรมเหล่านี้ ดำเนินไปได้ด้วยปัจจัยเกื้อหนุนอย่างน้อย 4 ประการ ได้แก่ 1) อำนาจและอิทธิพลของนักการเมืองและข้าราชการไทย ทั้งในท้องถิ่นและระดับชาติ ที่ให้การคุ้มครอง ผ่านระบบส่วยและสินบน 2) ระบอบ disaggregated sovereignty หรืออธิปไตยแยกส่วน ที่รัฐพม่าส่วนกลาง แบ่ง/ถ่ายอำนาจอธิปไตยให้กลุ่มกองกำลังชนกลุ่มน้อยในการดูแลชายแดน เพื่อแลกเปลี่ยนกับผลประโยชน์หลายประเภท พื้นที่ชายแดน ที่เป็นที่ตั้งของเมืองสแกมเมอร์ จึงไม่ได้อยู่ภายใต้อำนาจรัฐ หรือกฎหมายของรัฐส่วนกลาง แต่อยู่ภายใต้อำนาจของกองกำลังกะเหรี่ยงชายแดน 3) การสนับสนุนการเติบโตของเมืองสแกมเมอร์ในชายแดน โดยภาคธุรกิจ และรัฐท้องถิ่นในเมืองแม่สอด และ 4) การทำงานของรัฐไทยที่หย่อนยาน อ่อนแอ ทั้งด้านกฎหมาย นโยบาย และมาตรการ ขาดแผนมุ่งเป้าที่ชัดเจน ครอบคลุม และเป็นระบบ ขาดองค์กรที่เป็นเจ้าภาพหลักในการบูรณาการงานปราบปรามแก๊งค์คอลเซนเตอร์ ขาดมาตรการที่บังคับให้ธุรกิจเอกชน โดยเฉพาะธนาคาร และโทรคมนาคม ร่วมรับผิดชอบในการปราบปรามแก๊งค์คอลเซนเตอร์
ถ้ารัฐไทยมีความจริงจังในการปราบปรามอุตสาหกรรมสแกมเมอร์จริง ไม่ใช่เพียงต้องการกู้ภาพลักษณ์ชั่วครั้งชั่วคราวเมื่อมีข่าวขึ้นมา มีความจำเป็นต้องมีการวางยุทธศาสตร์อย่างเป็นระบบเพื่อถอนรากถอนโคนเครือข่ายอุตสาหกรรมนี้ เพื่อไม่ให้สามารถใช้ไทย และชายแดนไทย-เมียนมาร์เป็นฐานปฏิบัติการได้อีกต่อไป โดยทลายวงจรอาชญากรรมสี่ประเภทลงให้ได้ ดิฉันมีข้อเสนอ ดังนี้ คือ
1.ในแง่องค์กร มีความจำเป็นต้องมีคณะกรรมการเฉพาะที่มี mission ในการปราบปรามแก๊งค์คอลเซนเตอร์โดยเฉพาะ ที่ชัดเจนและเป็นระบบ ต้องบูรณาการทุกหน่วยงานที่ทำงานด้านนี้เข้าด้วยทั้งรัฐและเอกชน ไม่ใช่เพียงฝากความหวังไว้ที่ตำรวจไซเบอร์ ที่สำคัญคือ กองทัพ ควรมีบทบาทในเรื่องนี้ได้แล้ว เพราะเป็นเรื่องเกี่ยวกับความมั่นคงชายแดน ที่ผ่านมายังไม่เห็นว่ากองทัพไทย มียุทธศาสตร์อะไรที่เป็นระบบ ในการจัดการกับปัญหาแก๊งค์คอลเซนเตอร์ ที่ฉวยใช้ประโยชน์จากพรมแดนไทยแต่อย่างใด
2. ปฏิรูปกฎหมาย และมาตรการควบคุมที่ทำให้การลงโทษ และความรับผิดชอบ มีอัตราที่สูงกว่าแรงจูงใจด้านการเงิน และทำให้ภาคเอกชนต้องร่วมรับผิดชอบต่อความเสียหายที่เกิดขึ้น ไม่ใช่ผลักภาระการป้องกันตนเองไปให้ประชาชนเพียงถ่ายเดียว ควรนำมาตรการที่มีประสิทธิภาพจากประเทศอื่นมาประยุกต์ใช้ เพื่อขยายระบบคุ้มกันประชาชนจากภัยคอลเซนเตอร์ ยกตัวอย่างเช่น ในบางประเทศ เช่น จีน มีมาตรการเชิงรุก ที่ธนาคารต้องร่วมผิดชอบกรณีสูญเงินให้แก๊งค์คอลเซนเตอร์ ทำให้ธนาคารจำเป็นต้องออกมาตรการในการกลั่นกรองการเปิดบัญชีที่เข้มงวด มีการติดตามบัญชีที่น่าสงสัย กำหนดเงื่อนไขห้ามทำธุรกรรมในช่วงที่ถูกตรวจสอบ ฯลฯ หรือบริษัทโทรคมนาคม ถูกกำหนดให้ต้องสกรีนหมายเลข หรือการสื่อสารที่น่าสงสัย และแจ้งเตือนผู้ใช้บริการโดยทันที ไม่ใช่ให้ผู้บริการ ต้องคอยโทรเช็คเบอร์ที่น่าสงสัยเอง
3. การตัดวงจรอาชญากรรมทั้งสี่ประเภท ได้แก่ labor recruitment, illegal data market, scamming, และ money laundering, ในการตัดวงจร labor recruitment นั้น รัฐต้องแสดงให้ประชาชนเห็นว่ามีความจริงจังในการทำลายวงจรการค้ามนุษย์อย่างแท้จริง กล้าที่กวาดล้าง และทำลายกลุ่มผลประโยชน์ ที่อยู่ในรัฐและหน่วยงานรัฐเอง การตัดตอนกระบวนการนำพาแรงงานสแกมเมอร์ข้ามแดน จึงต้องเริ่มจาก
1) ปราบปรามอิทธิพลส่วยค้ามนุษย์ในไทย 2) สร้างความมั่นคงชายแดน ด้วยการควบคุมกำกับพรมแดนให้มีประสิทธิภาพอย่างแท้จริงตั้งแต่ต้นทาง ถึงปลายทางแม่สอด เพื่อตัดตอนการเติบโตของเมืองสแกมเมอร์ ตำรวจจีนมีข้อมูลอาชญากรแก๊งคอลเซนเตอร์รายบุคคลเยอะมาก เป็นพันๆรายชื่อ เคยให้กับตำรวจไทยไว้ ไม่ทราบว่าทีผ่านมา ตม.ได้เคยใช้ข้อมูลนี้ในการสกรีนคนเข้าออกประเทศหรือไม่ เส้นทางเข้าแม่สอด มีด่าน check points ไม่ต่ำกว่า 3 แห่ง ด่านเหล่านี้ เคยทำหน้าที่ในการสกรีนคนเข้ามายังพื้นที่ชายแดนหรือไม่ เช่นเดียวกับ ท่าข้ามของเอกชน ตลอดริมน้ำเมยเฉพาะในแม่สอด 20 กว่าท่า ที่ส่งทั้งคนและสินค้าอุปโภค บริโภคเข้าไปยังเมืองสแกมเมอร์ เคยถูกควบคุมกำกับหรือไม่
เรามีความจำเป็นต้องควบคุมพรมแดนให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น เพื่อตัดตอนการเติบโตของเมืองสแกเมอร์ และสร้างแรงกดดันให้เมืองอาชญากรรมเหล่านี้ ไม่สามารถดำเนินต่อไปได้ ต้องเข้าใจก่อนว่า เมืองสแกมเมอร์เหล่านี้ ไม่ว่าจะเป็นชเวโก๊กโกะ KKPark ไม่สามารถอยู่ได้ด้วยตัวเอง แต่พึ่งพาทรัพยากรจากไทยเป็นหลัก เจ้าของธุรกิจต่างๆในแม่สอดทราบดี ว่าผู้ที่สั่งสินค้าจากเมืองสแกมเมอร์ เป็นใครบ้าง วัสดุก่อสร้างจากร้านใหญ่ในแม่สอดส่งไปเมืองสแกมเมอร์ใดบ้าง เจ้าของท่าข้ามต่างๆ ทราบดี ว่าน้ำดื่ม อาหาร คน ข้ามไป/ส่งไปที่ไหน หมู่บ้านตลอดแนวชายแดน ผู้ใหญ่บ้านทราบดี ว่าบ้านไหน ที่ส่งสายเคเบิล ส่งสัญญาณอินเตอรเน็ต ไปฝั่งเมืองสแกมเมอร์ แต่เราเกียร์ว่างมาตลอด กระทรวงมหาดไทย ไม่เคยมีนโยบายหรือมาตรการใดๆในการควบคุมท่าข้าม และหมู่บ้านตลอดแนวชายแดนเหล่านี้ ร้านอาหารแห่งหนึ่ง ที่ดิฉันเคยสัมภาษณ์ บอกชัดว่า พวกคนจีนในชเวโก๊กโกะ ไลน์มาสั่งอาหารที่ร้านเขาประจำ ถ้าสั่งเยอะ เขาก็จะไปส่งถึงที่ ข้ามที่ท่าประจำ เข้าไปส่งถึงภายใน เขามีไลน์ มี contact ใน wechat กัน ขนาดนั้น
การประกาศให้แม่สอดเป็นเมืองสีแดง เป็นเขตพิเศษในการปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติ ประกาศเฉยๆนั้น ไม่มีผล เพราะไม่มีมาตรการหรือแผนมุ่งเป้าในการสร้างแรงกดดัน ให้เมืองสแกมเมอร์เหล่านี้ เปลี่ยนแนวทางจากการทำธุรกิจอาชญกรรมไปยังทำอย่างอื่น รัฐไทย ไม่เคยมีมาตรการเชิงรุก หรือยื่นข้อเสนอให้กองกำลังกะเหรี่ยงต่างๆที่ควบคุมชายแดน ยุติกิจกรรมอาชญากรรมที่ทำอยู่ กองทัพ ซึ่งรู้จักกองกำลังเหล่านี้ดีกว่าใครทั้งหมด ที่ผ่านมา ทำงานเพียงแค่ “ประสาน” แต่ไม่เคยสร้างแรงกดดันใดๆ เพื่อให้พรมแดนของเราปลอดภัย นายทหารท่านหนึ่ง พูดให้สัมภาษณ์ในกรณีของดาราจีนที่ถูกจับตัวไปว่า
“เราประสานเขาไปว่า หากคุณยังทำอย่างนี้อยู่ มันจะอยู่ไม่ได้เพราะคุณจะถูกสังคมโลกประณามและโจมตี ซึ่งหลายส่วนก็เข้าใจและพยายามปรับทิศทางกันอยู่” (โปรดดูสำนักข่าวชายขอบ) น่าแปลกใจว่า กองทัพไทยทำได้แค่นี้ ทั้งที่พรมแดนเป็นของฝั่งไทยด้วยเช่นกัน และการที่พรมแดนไทยกลายเป็นพรมแดนสีเทา กระทบกับอธิปไตยและความมั่นคงของชาติโดยตรง
ในการตัดวงจรตลาดมืดค้าข้อมูล ที่ผ่านมา ยังไม่เห็นหน่วยการรัฐมีแผนอย่างจริงจังในการทลายตลาดซื้อขายข้อมูลเหล่านี้อย่างเด็ดขาด ไม่ใช่เพียงเอาผิดผู้ขาย แต่ต้องจัดการกับผู้ซื้อ กับแหล่งซื้อขายด้วย และช่องโหว่สำคัญคือ แหล่งที่ทำให้ข้อมูลรั่วไหล ไม่ว่าจะเป็นบริษัทประกัน ธนาคาร บริษัทโทรคมนาคม หน่วยงานรัฐ กลับไม่เคยต้องรับผิดชอบ กับการปล่อยให้ข้อมูลรั่วไหลแต่อย่างใด ทั้งที่ผิดเต็มๆเพราะล้มเหลวในเรื่องการรักษาความปลอดภัยของข้อมูลอย่างมีประสิทธิภาพ
เช่นเดียวกับการตัดตอนการฟอกเงิน ที่ซึ่งฐานใหญ่อยู่ในไทย หรือพูดให้เฉพาะเจาะจงคือกรุงเทพฯเรานี่เอง ข้อมูลจำนวนไม่น้อย ที่ตำรวจไซเบอร์เองก็ทราบดี ระบุชัดว่า เส้นทางของเงินจากการเรียกค่าไถ่ และการหลอกลวงเหยื่อใน KK Park ถูกแปลงให้เป็นสกุลเงินดิจิทัลจำนวนมหาศาล เดินทางเข้าสู่บัญชีวอลเล็ทของนักธุรกิจจีนบางคน ที่ทำมาหากินอยู่ในกรุงเทพฯ บางรายมีสายสัมพันธ์ที่ดีกับสมาคมไทย-จีน บางแห่ง เช่าตึก ซื้อตึกอยู่ในเมืองหลวงของเรานี่เอง คำถามสำคัญคือ รัฐไทยมีแผนเชิงรุกในการจัดการกับการฟอกเงิน ตลอดจนสายสัมพันธ์ระหว่างแหล่งอาชญากรรมชายแดน กับขบวนการจีนเทาที่ปักหลักอยู่ในเมืองหลวงของประเทศอย่างไร?
คำถามและข้อเสนอเหล่านี้ เป็นมาตรการเชิงโครงสร้าง ที่ทำไม่ได้เพียงแค่คิดง่ายๆสั้นๆ เรื่องการแก้ภาพลักษณ์ แต่เรียกร้องความกล้าหาญและจริงจังในการแก้ปัญหาจากรัฐบาลพรรคเพื่อไทย ในขณะที่รัฐและคนของรัฐ ต่างพากันกำลังตื่นเต้น ฝันหวานที่จะได้เงินเป็นพันล้าน จากเอ็นเทอร์เทนเม้นท์คอมเพล็กซ์ที่เพิ่งผลักดันกันออกมาสดๆร้อนๆ แต่อาชญากรรมที่พล่าผลาญเงินมหาศาลของประชาชน ในแต่ละปี ที่มีจำนวนสูงแทบจะเท่ากับจีดีพีของประเทศเล็กๆประเทศหนึ่ง และทำลายเศรษฐกิจของชาติอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน รัฐกลับไม่มีแผนในการแก้ปัญหาที่ชัดเจนแต่อย่างใด ฝันหวานเรื่องเอ็นเทอร์เทนเม้นท์คอมเพล็กซ์นั้น ทำให้คนของรัฐตาพร่ามัว จนคงจะลืมไปว่า ในสมัยที่กลุ่มทุนจีนเทา เสนอที่จะสร้างเมืองชเวโก๊กโกะขึ้นที่ชายแดนเมียวดีนั้น ไอเดียอันตื่นตาตื่นใจของเมืองดังกล่าว ก็คือการสร้างเมืองให้เป็น เมืองแห่งเอ็นเทอร์เทนเม้นท์คอมเพล็กซ์นั่นเอง และเผื่อไม่ทราบกัน กลุ่มทุนเดียวกันนี้ ก็เคยแสดงความจำนงในการร่วมลงทุนในเอ็นเทอร์เทนเมนท์คอมเพล็กซ์ของไทย ด้วยเช่นกัน

https://www.facebook.com/arunothai.ruangrong/posts/9102558359791144


อาวุธลับ ... ทลายทุนผูกขาด


 


 


คลิปเต็ม
https://www.youtube.com/watch?v=kZED80-bAFc
.
https://x.com/captainnerd23/status/1879876019785720288



เบื้องหลังของ Entertainment Complex จากรายงานของ UNODC (สำนักงานยาเสพติดและอาชญากรรม องค์การสหประชาชาติ) เรื่อง “บ่อน การฟอกเงิน ธนาคารใต้ดิน และขบวนการอาชญากรรมข้ามชาติ ในภูมิภาคตะวันออกและตะวันออกเฉียงใต้: ภัยคุกคามที่ซุกซ่อนและขยายตัว”



Kamol Kamoltrakul
16 hours ago
·
เบื้องหลังของ Entertainment Complex
จากรายงานของ UNODC (สำนักงานยาเสพติดและอาชญากรรม องค์การสหประชาชาติ) เรื่อง
“บ่อน การฟอกเงิน ธนาคารใต้ดิน และขบวนการอาชญากรรมข้ามชาติ
ในภูมิภาคตะวันออกและตะวันออกเฉียงใต้:
ภัยคุกคามที่ซุกซ่อนและขยายตัว”
มกราคม 2024
จัดพิมพ์โดย ศูนย์ศึกษาปัญหาการพนัน
จุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย
กมล กมลตระกูล แปล
คำนำ
ขบวนการอาชญากรรมข้ามชาติในเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ได้เติบโตและพัฒนาซับซ้อนขึ้นอย่างรวดเร็วในไม่กี่ปีมานี้ การเปลี่ยนแปลงนี้เห็นได้ชัดเจนจากการเพิ่มขึ้นของการค้าของเถื่อนและขนยาเสพติดข้ามชาติ ที่ภูมิภาพเปลี่ยนไป
องค์กรอาชญากรรมข้ามชาติใหญ่ๆได้นำเทคโนโลยี่ใหม่ๆมาใช้ ซึ่งเป็นการปฏิวัติพฤติกรรมในภาพรวมหรือพฤติภาวะของอาชญากรรมในภูมิภาคนี้
การเปลี่ยนรูปเป็นผลจากการติดตามจับกุมและการบังคับใช้กฎหมายที่ก้าวหน้าขึ้น โดยมุ่งติดตามไปที่ด้านการโยกย้ายเงินข้ามพรมแดน อุตสาหกรรมบ่อน (Entertainment Complex)ที่สัมพันธ์กับการฟอกเงินของบ่อนหรือบริษัททัวร์การพนัน(Junket operators)เป็นผู้ชักนำในการดำเนินการ โดยทำหน้าที่หรือมีบทบาทเสมือนนายธนาคารของขบวนการอาชญากรรมข้ามชาติ
ในขณะเดียวกัน บ่อนและธุรกิจที่เกี่ยวข้อง เช่น บริษัททัวร์การพนันเหล่านี้ได้ย้ายไปตั้งสำนักงานหรือจดทะเบียนในเขตปกครองอิสระและเขตเศรษฐกิจพิเศษ( Special Economic Zones or SEZs)ทั่วทั้งภูมิภาค ในบางกรณี สถานที่เหล่านี้ได้กลายเป็นแหล่งหลบซ่อนเงินเพื่อเลี่ยงภาษี และนำทุนนี้ไปขยายงานผิดกฎหมายของเครือข่ายขบวนการอาชญากรรมเหล่านี้
การขยายตัวของเครือข่ายขบวนการอาชญกรรมข้ามชาติที่มีศูนย์กลางในกลุ่มประเทศลุ่มแม่น้ำโขงโดยการใช้เทคโนโลยี่มาช่วย ทำให้กระแสเงินผิดกฎหมายของพวกเขาเพิ่มขึ้นอย่างมาก
โดยพื้นฐานการขยายตัวของเศรษฐกิจผิดกฎหมายมีความจำเป็นต้องมีการปฏิวัติระบบการทำธุรกรรมการเงินใต้ดินหรือระบบธนาคารใต้ดินของภูมิภาคมารองรับ
การขยายตัวอย่างรวดเร็วของอุตสาหกรรมบ่อนการพนันตามมาด้วยการเชื่อมกับบรรดาบริษัททัวร์การพนัน การพนันออนไลน์ เชื่อมกับการให้บริการการเงินของบริษัททัวร์ การขยายตัวของตลาดแลกเปลี่ยนเงินคริปโตที่ผิดกฎหมาย และไม่ถูกควบคุม ซึ่งกลายเป็นฐานของการออกแบบสร้างระบบการเงินใต้ดินใหม่ของขบวนการอาชญากรรมข้ามชาติ
บ่อนการพนันและธุรกิจผิดกฎหมายอื่นๆที่เกี่ยวข้องกันได้พิสูจน์ว่ามีความสามารถและศักยภาพในการโยกย้ายเงิน และฟอกเงินทั้งที่เป็นเงินตราที่ถูกกฎหมายและเงินคริปโตจำนวนมากๆเข้าสู่ระบการเงินปกติ
ในขณะเดียวกัน การพัฒนาการด้านการปรับขนาดและการเปลี่ยนมาใช้ระบบดิจิทัลได้เติมเต็มสภาพแวดล้อมของธุรกิจผิดกฎหมายทั่วทั้งเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ โดยเฉพาะในกลุ่มประเทศในลุ่มแม่น้ำโขง ได้สร้างโอกาสให้กับผู้ที่ต้องการใช้ภูมิภาคนี้เป็นฐานปฏิบัติการ
ในทางกลับกัน ก็เป็นการดึงดูดเครือข่ายอาชญากรรม นักนวัตรกรรม ผู้ให้บริการประเภทต่างๆวนเวียนเข้ามาสนับสนุน และหาผลประโยชน์จากตลาดที่ผิดกฎหมายในภูมิภาคนี้ ทั้งหมดนี้เป็นแรงผลักดันให้จำเป็นต้องมีการสร้างเครือข่ายธนาคารใต้ดินสำหรับเงินคริปโตให้เกิดขึ้น

(รายงานฉบับเต็ม https://www.unodc.org/roseap/uploads/documents/Publications/2024/Casino_Underground_Banking_Report_2024.pdf)

https://www.facebook.com/ken.mona.1/posts/9334018946641396