วันพฤหัสบดี, สิงหาคม 21, 2568

เผยความมั่งคั่งของ ทักษิณ ชินวัตร และการทำธุรกิจใต้ดินบางอย่าง มูลค่าอยู่ที่ ๒.๕ พันล้านดอลลาร์ ถึง ๓.๕

ควรอ่าน บทความใหม่ที่เปิดเผยความมั่งคั่งของ ทักษิณ ชินวัตร และการทำธุรกิจใต้ดินบางอย่าง (ฟอกเงิน, คาสิโน et al.) เขียนโดย ทอม ไร้ท์ อดีตคอลัมนิสต์ในวอลสตรีท เจอร์นอล ซึ่งผันมาทำบล็อกเกอร์ ชื่อ ‘Whale Hunting’

ก่อนอื่น สำหรับผู้ที่ไม่คุ้น บทความนี้มีฉบับภาษาไทย แปลโดยเอไอ ซึ่งการใช้สำนวนอ่านขัดๆ บ้าง แต่ก็ได้เนื้อความครบ คุณ สฤณี อาชวานันทกุล ให้ลายแทงไปหาต้นฉบับภาษาอังกฤษไว้แล้ว แต่ต้องสมัครเป็นสมาชิกจึงอ่านได้

ทอมยกเอากรณีที่ทักษิณไปพบและเจรจาธุรกิจกับ เบ็น เมาเออร์เบอร์เกอร์ (Ben Mauerberger) ในร้านอาหารแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ เมื่อเดือนเมษายน ปีนี้ หลังจากเขากลับมาเมืองไทย ด้วย ดีล ที่กลายเป็นทุกขลาภอยู่ขณะนี้

ทอมบอกว่านายเบ็นคนนี้เป็นนายหน้าธุรกิจใต้ดิน ที่มีความสัมพันธ์ล้ำลึกกับ ฮุนเซนและเครือข่ายอิทธิพลของครอบครัวนี้ในกัมพูชา จึงเชื่อได้ว่าทักษิณก็ทำธุรกิจใต้ดินนานาชาติด้วยเหมือนกัน เขายกกรณีเครื่องบินเจ็ตส่วนตัวของทักษิณ

เครื่อง Bombardier Global G7500 นี้ก็ซื้อผ่านการฟอกเงินในกัมพูชา บริษัทเบรเซ็น ประเมินความมั่งคั่งของทักษิณใหม่ ไม่เป็นไปตามตัวเลขของฟอร์บส์ซึ่งระบุทรัพย์สินของทักษิณว่าอยู่ที่ ๒,๑๐๐ ล้านดอลลาร์ บอกด้วยว่าในไทยเขามีน้อยกว่าก็แต่กษัตริย์

เบรเซ็นไล่เรียงทรัพย์สินของทักษิณส่วนที่เปิดให้เห็นได้หลายแขนง คือ ๙๐๐ ล้านดอลลาร์ที่ศษลไทยคืนให้ เมื่อปี ค.ศ.๒๐๑๐ บวกกำไรที่ได้จากการขายทีมฟุตบอล แมนเชสเตอร์ซิตี้ ๓๐ ล้านดอลลาร์ อีก ๔๐๐ ล้านดอลลาร์ในตราสารทุนของครอบครัว

ที่เห็นๆ ตระกูลชินวัตรมีกิจการ เอสซีแอสเส็ท (ยิ่งลักษณ์ดูแล) และโรงพยาบาลพระรามเก้า นอกนั้นเป็นมูลค่าอสังหาริมทรัพย์และธุรกิจปลีกย่อยอีก ๑๐๐ ล้านดอลลาร์ ทรัพย์สินส่วนนี้รวมแล้วประมาณ ๑,๕๐๐ ล้านดอลลาร์

แต่ยังมีทรัพย์สินที่ไม่เปิดเผยสาธารณะอีก ๑ พัน ถึง ๑.๕ พันล้านดอลลาร์ เป็นมูลค่าซ่อนเร้น ซึ่งน่าจะมาจากกิจการเหมืองเพชร ทอง และแพลตตินัมในอาฟริกา กิจการผ่านนอมินีในกัมพูชา อสังหาริมทรัพย์ในลอนดอน ดูไบ และมอนเตเนโกร

เรือย้อร์ช บอมบาร์เดียร์ มูลค่าไม่ต่ำกว่า ๖๐ ล้านดอลลาร์ และก่อนหน้านี้ Gulfstream G650 แล้วยังมีเงินทุนนอกฝั่งที่ไม่เคยถูกแช่แข็ง จากการขายชินคอร์ปให้เทมาเส็ก กับทุนสำรองทองคำ และเงินสกุลดิจิทัล

รวมทรัพย์สินของเขาทั้งมืดและสว่าง อยู่ที่ ๒.๕ พันล้านดอลลาร์ ถึง ๓.๕

(https://whalehunting.projectbrazen.com/raaychuue-khnrwy-naayhnaaethuue-n-ekhruue-ngbineccht-aelathraphysinlueklabkh-ngthaksin) 

คลิปอังเคิลทำให้เกิดสงคราม แต่ไม่ใช่เพราะความอ่อนด้อยของแพทองธารเท่านั้น ที่สำคัญคือมันทำให้ทหารฮุบอำนาจตัดสินใจปัญหาชายแดน ด้วยท่าทีแข็งกร้าว โอกาสการรีแบรนด์สถาบันทหาร


Thasnai Sethaseree
August 16
·
แม่ทัพภาค 2 : ฝันกลวงของชนชั้นกลาง ฝันร้ายของสังคม
บนถนนสายการเมืองไทย กองทัพไม่เคยหายไปไหน เพียงแต่เปลี่ยนบทบาทจากผู้ถือปืนปราบปรามกลางกรุงเทพฯ มาสวมรอยเป็น “ผู้ปกป้องบ้านเมือง” ในสายตาของชนชั้นกลาง ภาพของแม่ทัพภาค 2 ที่ถูกสื่อและโลกออนไลน์ยกขึ้นเชิดชู ไม่ได้เป็นเพียงเรื่องตัวบุคคล แต่คือการรีแบรนด์ทั้งสถาบันทหารให้กลายเป็นสินค้าที่ขายได้ในตลาดแห่งความกลัวและความอยากได้เสถียรภาพ
ภาพของทหารจึงถูกแต่งแต้มใหม่ให้กลายเป็น “พ่อบ้านของชาติ”—ยิ้มง่าย ร้องเพลงได้ ลงพื้นที่โชว์ความใกล้ชิดกับชาวบ้าน—คือการลบเงาเลือดและเสียงปืนออกจากฉากหลัง เหลือเพียงละครอบอุ่นที่ชนชั้นกลางอยากดู เพราะมันทำให้พวกเขารู้สึกว่าทุกอย่างยังคงอยู่ภายใต้การควบคุม
แท้จริงแล้ว ชนชั้นกลางไทยไม่เคยเป็นพลังประชาธิปไตยอย่างที่ถูกเล่า พวกเขาอาจเคยออกมาเรียกร้องบ้างเมื่อสิทธิของตนถูกคุกคาม แต่ไม่เคยยืนหยัดเคียงข้างผู้ถูกกดขี่ที่เป็นเหยื่อแท้จริงของโครงสร้างอำนาจ สิ่งที่ชนชั้นกลางแสวงหาคือ “เสถียรภาพ” ไม่ใช่ประชาธิปไตย—และเสถียรภาพนั้นหมายถึงการรักษาอภิสิทธิ์ของตนไว้ไม่ให้ใครมาสั่นคลอน
ทหารนิยมจึงขายได้ เพราะมันสอดรับกับความกลัวลึกที่สุดของชนชั้นกลาง—กลัวเสียอภิสิทธิ์ที่สะสมมา กลัวว่าคนจนจะมีสิทธิ์มากเกินไป กลัวว่าความเป็นเจ้าของประเทศจะไม่เป็นของตนฝ่ายเดียว การหลับตาแล้วเลือกยกมือให้กองทัพเข้ามา “ดูแล” จึงเป็นการทำสัญญากับปีศาจที่พวกเขารู้ตัวดี แต่ยอมแลก เพื่อให้ทุกอย่างยังคงเหมือนเดิม
พวกเขาเลือกจะไม่เห็นว่ากองทัพคือสถาบันที่ร่ำรวยจากการฮุบงบประมาณมหาศาลที่ควรเป็นสวัสดิการของสังคม พวกเขาเลือกจะไม่เห็นว่ากองทัพคือมือที่เปื้อนเลือดจากการปราบปรามประชาชนบนถนนซ้ำแล้วซ้ำเล่า ความระยำเหล่านี้ถูกลบออกจากความทรงจำร่วม และแทนที่ด้วยบทละครน้ำเน่าแบบ “ทหารใจดี” ที่สื่อและการตลาดจัดฉากให้ชม
ในสังคมที่เปราะบางจากความเหลื่อมล้ำ “ทหารนิยม” ไม่ได้เติบโตขึ้นมาเองตามธรรมชาติ แต่มันถูกเพาะเลี้ยงด้วยความกลัวและความต้องการเสถียรภาพของชนชั้นกลาง กองทัพไม่ได้เพียงครอบครองอาวุธ หากยังครอบครองจินตนาการของคนจำนวนมาก ที่เชื่อว่าความมั่นคงทางการเมืองสามารถสร้างได้ด้วยระเบียบวินัยและเสียงคำสั่ง
และนั่นคือเหตุผลที่ “ฝันกลวงของชนชั้นกลาง”—ที่อยากมีพ่อบ้านในเครื่องแบบคอยกล่อมให้นอนหลับ—กลับกลายเป็น “ฝันร้ายของสังคม” ที่ต้องตื่นขึ้นมาเจอกับวงจรอำนาจนิยมที่ไม่รู้จบ
.....

Atukkit Sawangsuk
11 hours ago
·
คลิปอังเคิลทำให้เกิดสงคราม
แต่ไม่ใช่เพราะความอ่อนด้อยของแพทองธารเท่านั้น
ที่สำคัญคือมันทำให้ทหารฮุบอำนาจตัดสินใจปัญหาชายแดน ด้วยท่าทีแข็งกร้าว ระหว่างที่กลไกการเจรจาระหว่างรัฐบาลต่อรัฐบาลเป็นง่อย


คุณไม่มีสิทธิตราหน้าคนเห็นต่างจากคุณเรื่องไทย-กัมพูชา ว่าเป็นไส้ศึก เพราะเราต่างเป็นพลเมืองเสมอกัน


Pravit Rojanaphruk
7 hours ago
·
(English below)
คุณไม่มีสิทธิตราหน้าคนเห็นต่างจากคุณเรื่องไทย-กัมพูชา ว่าเป็นไส้ศึก เพราะเราต่างเป็นพลเมืองเสมอกัน >กรุณากลับไปทบทวนความคืดคุณด้วย ว่ามันช่างล้าหลังเ ขำขันย้อนยุค เหมือนหลุดมาจากยุค 6 ตุลา 2519 >โลกมันหมุนไปถึงไหนแล้ว ใน่ช่วงเกือบ 50 ปี แถมยังหลง สำคัญตนเองผิดอีก 555 #ป #ไทยกัมพูชา
​This politician has no right to brand those who disagree with you on the Thai-Cambodian issue, particularly on your call to build fences, as traitors. We are all equal citizens. Please go back and reconsider how backwards and self-absorbed your thinking is.

https://www.facebook.com/photo?fbid=4303141799913638&set=a.1560000437561135
.....



การถูกกลุ่มทุนพลังงานฟ้องจากการอภิปรายไม่ไว้วางใจ จะไม่ทำให้การทำงานของเราเพื่อค่าไฟที่เป็นธรรมลดลง คลิปณัฐพงษ์แถลงข่าว

https://www.facebook.com/watch/?v=1810647386532137
วรภพ วิริยะโรจน์ was live.
17 hours ago
·
แถลงข่าว เดินหน้าปกป้องประชาชนจากกลุ่มทุนผูกขาดพลังงาน
.....

·
[การถูกกลุ่มทุนพลังงานฟ้องจากการอภิปรายไม่ไว้วางใจ จะไม่ทำให้การทำงานของเราเพื่อค่าไฟที่เป็นธรรมลดลง]
.
ผมได้ร่วมแถลงข่าวกับหัวหน้าพรรคประชาชน สส. ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ และ สส.ศุภโชติ ไชยสัจ ที่ถูกกลุ่มทุนพลังงาน บริษัท กัลฟ์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) ฟ้องจากการที่พวกเราได้ แถลงข่าว และ อภิปรายไม่ไว้วางใจ นายกรัฐมนตรี ในประเด็นโครงการพลังงานหมุนเวียน ทั้งรอบ 5,200 MW และ 3,600 MW ที่ผมในฐานะผู้แทนราษฎร ได้อภิปรายคัดค้านที่รัฐบาลจะทำสัญญาซื้อไฟฟ้ากับเอกชนเพิ่มเติม เพราะจะทำให้ค่าไฟของเราแพงขึ้นกว่าที่ควรจะเป็น ตลอดอายุสัญญาซื้อไฟฟ้า 25 ปีต่อจากนี้
.
จึงอยากชวนพี่น้องประชาชน ย้อนฟังการอภิปรายไม่ไว้วางใจในเดือน มี.ค. 68 ที่ผ่านมา เพราะประเด็นนโยบายพลังงานของรัฐบาล จะกระทบกับค่าไฟที่พวกเราทุกคนจะต้องเป็นคนจ่ายทุกเดือน
.
และจากประสบการณ์ของผมที่ทำงานด้านตลาดทุนก่อนมาทำงานการเมือง เห็นนโยบายรัฐที่เอื้อประโยชน์ให้กับกลุ่มทุนขนาดใหญ่ในประเทศมากมาย เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ผมสนใจและมีความตั้งใจมาทำงานการเมือง เพื่อปกป้องประโยชน์ของสาธารณะ และก็ได้มีส่วนร่วมในการทำงานในนโยบาย ทลายทุนผูกขาด ตั้งแต่พรรคอนาคตใหม่ พรรคก้าวไกล จนมาถึง พรรคประชาชน
.
ดังนั้นผมก็ขอยืนยันว่า การทำงานของผมเรื่องการปกป้องผลประโยชน์ของประชาชนและเพื่อ #ค่าไฟ ที่เป็นธรรมจะไม่ลดลง และ ขอชวนติดตามการทำงานของผมและพรรคประชาชนกันต่อไปครับ
.
วรภพ วิริยะโรจน์
สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน



https://www.facebook.com/watch/?v=1810647386532137
https://www.facebook.com/photo/?fbid=1347569457375836&set=a.337967835002675
https://www.youtube.com/watch?v=mY0yPeDWt3E


"ทางการเค้าบอกว่าน้ำสารเคมีนะมีสารหนูนะ ชาวบ้านก็กลัวเนอะ" "ชาวบ้านนี่ไม่กล้าจับน้ำแม้แต่นิดเดียวเลย ผักที่เคยกิน ที่ปลูกไว้ เราไม่กล้ากินละ" เสียงสะท้อนคนริมกก ในวันที่มูลค่าความเสียหายอาจสูงถึง 1.3 พันล้าน


เสียงสะท้อนคนริมกก ในวันที่มูลค่าความเสียหายอาจสูงถึง 1.3 พันล้าน

LANNER News

Aug 16, 2025 

เมื่อวิกฤตมลพิษจากเหมืองแร่ปนเปื้อนแม่น้ำกก อาจสร้างความเสียหายสูงถึง 1.3 พันล้านบาท นี่จึงไม่ใช่แค่วิกฤตสิ่งแวดล้อม แต่คือวิกฤตเศรษฐกิจท้องถิ่นและความมั่นคงของชีวิตคนริมสายน้ำ Lanner ชวนฟังเสียงคนริมน้ำกกในวันที่ความเสียหายยังคงทวีคูณ ลุกลามไปถึงถึงแม่น้ำสาย แม่น้ำรวก และแม่น้ำโขง แต่การแก้ปัญหายังคงนิ่งเฉย

https://www.youtube.com/watch?v=Ys4DZsOPICI

Lanner
7 hours ago
·
"ทางการเค้าบอกว่าน้ำสารเคมีนะมีสารหนูนะ ชาวบ้านก็กลัวเนอะ"

"ชาวบ้านนี่ไม่กล้าจับน้ำแม้แต่นิดเดียวเลย ผักที่เคยกิน ที่ปลูกไว้ เราไม่กล้ากินละ"

"ชาวบ้านที่นี่เค้ารู้สึกเสียใจนะ จะเอาน้ำที่น้ำกกมาใช้แล้วมีสารเคมีเนี่ย"

- ประสิทธิ์ ดิตุ๊ เกษตรกร อ.แม่อาย จ.เชียงใหม่

จากการคำนวนของ Lanner พบว่ามูลค่าความเสียหายในภาคเกษตรอยู่ที่ 511,450,458 บาท/ปี

เสียงสะท้อนคนริมกก ในวันที่มูลค่าความเสียหายอาจสูงถึง 1.3 พันล้าน ดูคลิป https://www.facebook.com/share/v/16yS4xoXw5/



https://www.facebook.com/photo/?fbid=788318413952904&set=a.133395686111850


อย่าถามถึงอนาคตว่าจะเป็นเช่นไร แค่ปัจจุบันจะอยู่กันอย่างไร


Phu Kradat
18 hours ago
·
อย่าถามถึงอนาคตว่าจะเป็นเช่นไร
แค่ปัจจุบันจะอยู่กันอย่างไร อยู่กันได้อย่างไร ก็ไร้คำตอบแล้ว

ราวกับตอกย้ำเสมอว่าอย่าได้ใฝ่ฝันถึงอนาคตที่ดี ที่สวยงามเลย
จงหาอยู่หากินไปให้พ้นวันก็พอแล้ว
หรือก็แค่หากินไปอย่างรอวันตายเท่านั้น.

https://www.facebook.com/photo/?fbid=24561019556888548&set=a.486891531394687


"เมื่อศาสนาเข้าร่วมการทะเลาะเบาะแว้ง มันเติมพิษลงไปในส่วนผสม" ชวนอ่าน ‘อคติทางศาสนา’ เมื่อศาสนาเข้าร่วมในความขัดแย้ง มนุษย์จะไม่ปรานีและออมมือ



‘อคติทางศาสนา’ เมื่อศาสนาเข้าร่วมในความขัดแย้ง มนุษย์จะไม่ปรานีและออมมือ

2 กุมภาพันธ์ 2566
ประชาไท

กฤษฎา ศุภวรรธนะกุล : สัมภาษณ์/เรียบเรียง
กิตติยา อรอินทร์ : ภาพ

อคติทางศาสนากำลังเป็นชนวนความขัดแย้งที่สำคัญของโลก พุทธเถรวาทก็มิใช่ข้อยกเว้น ‘พุทธทำนาย’ ‘ศาสนาแห่งสันติ’ ต่างนำไปสู่ความขัดแย้ง การเพิกเฉยต่อข้อมูลเชิงประจักษ์ และปะทุเป็นลัทธิการคุ้มครองพุทธศาสนาเชิงปกป้อง ทุกศาสนาสามารถถูกใช้เป็นเครื่องมือได้ ทุกคนล้วนมีอคติ การสร้างพื้นที่พูดคุยอย่างสร้างสรรค์คือหนทางระงับมิให้อคตินำไปสู่ความรุนแรง
  • ศาสนากำลังเป็นบ่อเกิดความขัดแย้งหลักของโลกปัจจุบัน การทำความเข้าใจอคติทางศาสนาจึงสำคัญต่อการทำความเข้าใจความขัดแย้งในโลกปัจจุบัน
  • พุทธเถรวาทถูกผูกโยงกับชาตินิยมไทยและถูกใช้เป็นเครื่องมือในการสร้างชาติ รวมถึงขจัดความเป็นอื่น
  • พุทธทำนายเป็นจินตนาการที่ฝังแน่นและแพร่หลายในโลกพุทธเถรวาทเป็นรากฐานความคิดว่าต้องปกป้องพุทธศาสนาจากภัยคุกคามต่างศาสนา ก่อนจะแปรเป็นลัทธิการคุ้มครองพุทธศาสนาเชิงปกป้อง (Buddhist protectionism)
  • ผู้ที่เชื่อในลัทธิการคุ้มครองพุทธศาสนาเชิงปกป้องเห็นพ้องต้องกันว่าปัญหาสำคัญในปัจจุบันคือพุทธศาสนากำลังเสื่อมโทรมอันเนื่องมาจากศาสนาอื่น วิธีการจัดการปัญหาก็คือการจัดการกับศาสนาอื่น
  • ศาสนาพุทธเป็นศาสนาแห่งสันติเป็นความเชื่อที่ถูกสร้างในศตวรรษที่ 19 ซึ่งจำกัดกรอบและโดดเดี่ยวตัวตนความเป็นพุทธออกจากสิ่งที่เกิดขึ้นจริง
ริชาร์ด ฮัลโลเวย์ ผู้เขียน ‘A Little History of Religion’ หรือ ‘ศาสนา ประวัติศาสตร์ศรัทธาแห่งมวลมนุษย์’ เขียนในหนังสือของเขาว่า "เมื่อศาสนาเข้าร่วมการทะเลาะเบาะแว้ง มันเติมพิษลงไปในส่วนผสม ซึ่งพิษนี้มักไม่ปรากฏในข้อขัดแย้งอื่น เดิมทีมนุษย์นั้นชอบใช้ความรุนแรง แต่ถ้าพวกเขาปักใจว่าตนทำเพื่อสนองพระประสงค์ของพระเจ้า โอกาสที่พวกเขาจะปรานีและออมมือเมื่อมีข้อขัดแย้งย่อมมลายหายไป"

ศาสนามีแนวโน้มเป็นสาเหตุหลักของความรุนแรงในโลกมากขึ้นเรื่อยๆ ไม่ว่าคำสอนจะงดงามเพียงใด แต่มันก็มีการแบ่ง ‘เขา’ และแบ่ง ‘เรา’ เป็นรากฐาน สิ่งนี้ก่อร่างสร้างตัวเป็นอคติทางศาสนาที่อาจนำไปสู่ความรุนแรงได้ทุกเมื่อ ไม่เว้นแม้กระทั่งศาสนาพุทธที่ถูกสร้างความเชื่อว่าเป็นศาสนาแห่งสันติ

ประกีรติ สัตสุต คณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

ประกีรติ สัตสุต คณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศึกษาและตีแผ่อคติที่เกิดจากศาสนา โดยเฉพาะพุทธเถรวาทที่เป็นเชื้อไฟแห่งความรุนแรงได้ไม่ต่างจากศาสนาอื่นๆ

เหนืออื่นใด ทุกคนมีล้วนอคติ การลบล้างอคติไม่มีทางเป็นไปได้ แต่เราสามารถสร้างพื้นที่พูดคุยอย่างสร้างสรรค์เพื่อบรรเทาอคติ สร้างความเข้าอกเข้าใจ และไม่แปรเปลี่ยนมันไปสู่ความรุนแรงได้

เมื่อศาสนาเติมเชื้อไฟความรุนแรง

ประกีรติ เริ่มต้นพูดถึงสถานการณ์ความรุนแรงในช่วงทศวรรษผ่านมาที่ศาสนาได้กลายเป็นส่วนประกอบของภูมิทัศน์ความขัดแย้งและความรุนแรง เหตุการณ์ความรุนแรงทางศาสนาปรากฎขึ้นอย่างแพร่หลาย ไม่ว่าจะเป็นการเคลื่อนไหวของกลุ่มรุนแรงจากอุดมการณ์สุดโต่ง การไล่ทำร้ายและลงโทษชาวโรฮิงญาในพม่า หรือความขัดแย้งระหว่างภายในศาสนาระหว่างนิกายต่างๆ เช่น ระหว่างมุสลิมนิกายชีอะห์และซุนนีในตะวันออกกลาง และระหว่างคนต่างศาสนา เช่น คนพุทธและมุสลิมในเอเชีย หรือคนคริสต์และมุสลิมในทวีปแอฟริกา

พัฒนาการเหล่านี้ดูจะสอดคล้องกับข้อค้นพบจากฐานข้อมูล The Religion and Armed Conflicts (RELAC) Data, 1975-2015 ของทีมวิจัยมหาวิทยาลัย Uppsala University ประเทศสวีเดน ซึ่งเก็บรวบรวมข้อมูลความเกี่ยวพันกันระหว่างศาสนาและความขัดแย้งที่ขัดกันด้วยอาวุธในระหว่างปี ค.ศ.1975-2015 และมีข้อค้นพบว่า จำนวนความขัดแย้งในประเด็นทางศาสนาได้ขยายตัวและเพิ่มสัดส่วนอย่างมีนัยสำคัญตั้งแต่หลังยุคสงครามเย็นเป็นต้นมา

แนวโน้มความรุนแรงทางศาสนาดังกล่าวเป็นไปในทิศทางเดียวกับแหล่งข้อมูลอื่น โดยกลุ่มสิทธิของชนกลุ่มน้อยระหว่างประเทศ (Minority Rights Group International) ได้รายงานในปี ค.ศ.2021 ว่าคนกลุ่มน้อยทางศาสนาต้องเผชิญกับทัศนคติของสังคมที่เป็นปฏิปักษ์กับกลุ่มพวกตน และมีการเผชิญหน้าระหว่างศาสนาที่เกิดการนองเลือด รวมถึงรายงานในปี ค.ศ.2019 จากศูนย์วิจัยพิว (Pew Research Center) ก็ได้รายงานว่า แม้เหตุการณ์การก่อการร้ายจะลดลง แต่การแทรกแซงของรัฐต่อศาสนกิจรวมถึงการลิดรอนและคุกคามสวัสดิภาพและเสรีภาพทางศาสนาของคนกลุ่มน้อยกลับมีแนวโน้มเพิ่มสูงสุดตั้งแต่ได้เริ่มมีการสำรวจและเก็บข้อมูลมาในปี ค.ศ.2007 โดยปัจจัยผลักดันสำคัญประการหนึ่งคงจะไม่พ้นอคติทางศาสนาที่สามารถบ่อนทำลายขันติธรรมต่อความหลากหลายและสร้างความชอบธรรมให้กับการเลือกปฏิบัติ เป็นเหมือนเชื้อไฟที่คอยกระตุ้นกระแสความขัดแย้งและความรุนแรงทางศาสนา

เข้าใจอคติทางศาสนา เข้าใจความขัดแย้งในปัจจุบัน

“การทำความเข้าใจความขัดแย้งอคติทางศาสนาจึงสำคัญมากต่อการทำความเข้าใจความขัดแย้งในปัจจุบันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ หลายครั้งเราพบว่าอคติทางศาสนาถูกใช้เป็นกรอบในการสร้างเรื่องเล่าเพื่อสื่อสาร ระดมพล จัดตั้ง และเป็นแกนกลางของความขัดแย้งเหล่านี้”

แต่คนทั่วไปคงมีคำถามว่า ทำไมศาสนาถึงเกี่ยวโยงกับการขาดขันติธรรมและความรุนแรง เพราะคำสอนของศาสนาน่าจะมุ่งเน้นให้ผู้ศรัทธาเป็นคนดี นักสังคมศาสตร์เองก็ถกเถียงเรื่องนี้และยังหาข้อสรุปอย่างเด็ดขาดไม่ได้ บางคนอาจมองว่าความรุนแรงทางศาสนาไม่ใช่เรื่องศาสนาเลยด้วยซ้ำ หากเป็นเรื่องความขัดแย้งทางสังคมการเมืองที่ถูกทำให้ดูเป็นเรื่องศาสนา หรือบางคนเสนอว่าศาสนามีคุณลักษณะบางอย่างในตัวมันเองที่นำไปสู่ความรุนแรง

ทั้งนี้ จะมีการมองอีกแบบที่ให้ความสำคัญกับการตีความคัมภีร์และคำสอนทางศาสนา โดยมองว่าเป็นปฏิบัติการที่ไม่ได้แยกอยู่อย่างโดดเดี่ยว หากแต่สัมพันธ์กับบริบททางการเมืองสังคมและวัฒนธรรมอย่างลึกซึ้ง ซึ่งถ้าเงื่อนไขของบริบทแวดล้อมเหมาะสม การตีความก็สามารถถูกนำไปใช้เพื่อสนับสนุนความรุนแรงได้

แน่นอนว่าหนึ่งในเงื่อนไขสำคัญที่ทำให้เกิดความขัดแย้งคงหนีไม่พ้นการเปิดสวิตช์ให้อคติทางศาสนาทำงานด้วยการแยกเราแยกเขาออกจากกันและเปลี่ยนพวกเขาให้เป็นศัตรู เพราะศาสนาไม่เพียงกำหนดอัตลักษณ์ความเป็นเขาเป็นเราทั้งในระดับปัจเจกบุคคลไปจนถึงเอกลักษณ์ของชาติ แต่ยังสามารถถูกนำไปใช้อธิบายว่าอะไรเป็นภัยและควรต้องถูกกำจัดด้วย

ในปัจจุบันเราพบเห็นผู้คนที่นิยามตัวเองว่าไม่นับถือศาสนามากขึ้น ในทางกลับกันก็มีผู้คนที่ระบุความชัดเจนของอัตลักษณ์ตนเองว่าเป็นคนของศาสนาและมีการประพฤติตนอย่างเคร่งครัดตามแนวทางศาสนาที่ตนยึดถือ เมื่อความต่างขั้วต้องอยู่ร่วมกันในสังคมพื้นที่หนึ่งๆ ความขัดแย้งจึงเลี่ยงได้ยาก และบางครั้งก็ลุกลามเป็นการปะทะ ด้วยเหตุนี้ การศึกษาลักษณะบทบาทและพลวัตของอคติทางศาสนาจึงเป็นเรื่องสำคัญ โดยเฉพาะในบริบทสังคมสมัยใหม่ที่ต้องเผชิญความท้าทายจากการบริหารจัดการความแตกต่างทางสังคมวัฒนธรรมและศาสนาอยู่ตลอด

ชาตินิยมศาสนา พุทธเถรวาทนิยามความเป็นชาติ

โดยปกติแล้ว ชาตินิยมศาสนาเป็นแนวคิดที่ใช้อธิบายความสัมพันธ์ระหว่างศาสนาและลัทธิชาตินิยม โดยเฉพาะในบริบทที่ขบวนการเคลื่อนไหวทางสังคมอ้างชาติในการเคลื่อนไหวและนิยามความเป็นชาติด้วยคำอธิบายเชิงศาสนา สำหรับกรณีของโลกเถรวาท การหลอมรวมระหว่างอัตลักษณ์ศาสนาและชาติ ความขัดแย้งระหว่างกลุ่มชาวพุทธที่เป็นคนหมู่มากกับคนกลุ่มน้อยทางศาสนา ซึ่งมักเป็นคนกลุ่มน้อยทางชาติพันธุ์ด้วย รวมถึงการผลักดันกฎหมายให้คุณให้โทษบนพื้นฐานทางศาสนา ต่างเป็นลักษณะเด่นชัดของปรากฏการณ์พุทธชาตินิยมที่มีศรีลังกาและพม่าเป็นตัวอย่างหลัก และแน่นอนว่า แม้ไทยเองจะมีลักษณะร่วมหลายประการกับพม่าและศรีลังกา แต่ระดับความขัดแย้งและความรุนแรงยังห่างจากสองกรณีแรก

อย่างไรก็ดี จุดร่วมสำคัญประการหนึ่งของปรากฏการณ์ชาตินิยมศาสนา คือการใช้อคติทางชาติพันธุ์และศาสนาเป็นกลไกขับเคลื่อนปฏิบัติการทางสังคมการเมือง ในกรณีของศรีลังกา พม่า และไทย อัตลักษณ์ทางชาติพันธุ์ของคนหมู่มากและความเป็นพุทธเถรวาทถูกนำมาใช้นิยามความเป็นชาติ ซึ่งมีผลให้ความเป็นคนกลุ่มน้อยทางศาสนาและชาติพันธุ์กลายเป็นสิ่งแปลกปลอมที่ต้องถูกควบคุมและบางทีก็ต้องโดนกำจัด ถ้าความต่างดังกล่าวถูกนิยามว่าเป็นภัยของชาติ

เป็นที่น่าสนใจว่า โลกเถรวาทเป็นพื้นที่ซึ่งมีลักษณะทางวัฒนธรรมร่วมกันอยู่ และลักษณะทางวัฒนธรรมดังกล่าวเชื่อมโยงกันผ่านประวัติศาสตร์การแลกเปลี่ยนทางด้านภาษาและตัวบททางศาสนา เพราะคัมภีร์ที่ประกอบกันขึ้นเป็นพระไตรปิฎกหรืออรรถกถาของครูบาอาจารย์ในรุ่นหลังต่างใช้ภาษาบาลีเป็นภาษากลาง ทั้งยังกระจายเคลื่อนย้ายไปพื้นที่ต่างๆ ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ตั้งแต่ก่อนยุคสมัยใหม่ตอนต้น ตัวบททางศาสนาเหล่านี้ไม่เพียงถ่ายทอดเรื่องเล่าและคำสอนที่จดจำกันมา แต่มีการตีความคำสอนที่แฝงฝังอคติทางวัฒนธรรมและชาติพันธุ์ของผู้เขียนเข้าไปด้วย เช่น คัมภีร์มหาวงศ์ที่อ้างถึงเหตุการณ์ในยุคต้นลังกาทวีปจะมีเรื่องเล่าแสดงความยิ่งใหญ่ของอารยธรรมสิงหล รวมไปถึงคำอธิบายให้ความชอบธรรมต่อสงครามและการใช้ความรุนแรงปราบชาวพื้นเมืองเดิม เป็นต้น

เป็นที่เข้าใจกันดีว่าภาษามีอิทธิพลต่อโลกทัศน์และการรับรู้ว่าอะไรคือความจริง นักวิชาการหลายคนจึงตั้งข้อสังเกตว่า เรื่องเล่าและอุปลักษณ์ในข้อเขียนภาษาบาลีได้สร้างจินตนาการร่วมทางเถรวาท แต่ที่สำคัญจะเป็นเรื่องที่จินตนาการนี้พร้อมถูกนำไปตีความเพื่อสนับสนุนการใช้ความรุนแรงสำหรับขจัดภัยต่อศาสนาและชาติ ดังเช่นกรณีการอ้างถึงข้อความในมหาวงศ์เพื่อปราบปรามศัตรูทั้งในสงครามกลางเมืองของศรีลังการะหว่างกลุ่มพุทธสิงหลและกลุ่มพยัคฆ์ทมิฬ รวมถึงการปลุกระดมคนพุทธให้ต่อต้านโรฮิงญาในพม่า เป็นสำคัญ

จินตนาการ ‘พุทธทำนาย’ และบทบาทสงฆ์ที่ลดน้อยถอยลง

แต่จินตนาการที่สำคัญที่สุดอันหนึ่งคือเรื่องคำทำนายการสิ้นศาสนาภายในเวลา 5,000 ปี ซึ่งถูกฝังอยู่ในจิตสำนึกของชาวพุทธทั่วไปและเป็นเหตุผลกล่าวอ้างสำคัญสำหรับการปกป้องคุ้มครองศาสนา ถ้าเป็นในกรณีของไทยเอง แม้คณะสงฆ์จะถูกเข้าใจว่าเป็นสถาบันหลักที่คอยค้ำจุนศาสนา แต่ในบริบทที่คณะสงฆ์ได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของระบบราชการ ความสัมพันธ์ระหว่างคณะสงฆ์และรัฐได้กลายเป็นตัวชี้วัดความเข้มแข็งของศาสนา ไม่ว่าจะเป็นความสำคัญของคณะสงฆ์ต่อกิจการของรัฐหรือการอุปถัมภ์สนับสนุนที่รัฐมีให้ต่อคณะสงฆ์

“ในช่วงการรวมศูนย์ คณะสงฆ์มีบทบาทสำคัญมากในทางการเมือง การสร้างรัฐ สร้างชาติ การต่อสู้กับคอมมิวนิสต์ การดูแลจัดการการศึกษาและการพัฒนาชุมชนซึ่งเป็นกลไกสำคัญมากในการต่อสู้กับอำนาจอาณานิคมและคอมมิวนิสต์ เป็นตัวแทนของรัฐส่วนกลางในกรุงเทพ ลงไปช่วยจัดการปัญหาความยากจนในพื้นที่สีแดง”

แต่ในยุคหลังสงครามเย็น นโยบายความมั่นคงเปลี่ยน บทบาททางการเมืองของคณะสงฆ์ลดทอนหายไป แม้ยังเป็นสถาบันสำคัญในระดับหนึ่งแต่ไม่ได้รับมอบบทบาทหน้าที่เหมือนเดิม คณะสงฆ์ส่วนกลางกังวลใจมาก รู้สึกว่าคนไม่เข้าวัด พลวัตทางสังคมที่เกิดขึ้นมาพร้อมกับการพัฒนาเศรษฐกิจ เช่น การเกิดขึ้นของชนชั้นกลางใหม่ในช่วงเหตุการณ์เดือนตุลาคม การถือศาสนาที่เปลี่ยนไปจากแบบแผนเดิม คนแสวงหาคำอธิบายหรือแนวทางการปฏิบัติใหม่ที่สอดคล้องกับการเปลี่ยนผ่านของสังคมและเศรษฐกิจ และการขยายตัวของเมือง ความศรัทธาของคนจึงเริ่มกระจายตัวออกและเกิดสำนักปฏิบัติทางพุทธศาสนาอื่นๆ ขึ้น เช่น ธรรมกาย สันติอโศก พุทธทาส เป็นต้น

ผนวกกับบทบาทของคณะสงฆ์ที่ชาวพุทธมักเข้าใจว่าพระสงฆ์เป็นตัวแทนของศาสนา เป็นสถาบันหลักของศาสนา ดังนั้นย่อมเป็นผู้ดูแลปกป้องรักษาพระศาสนา เกิดการตีความว่าบทบาทของคณะสงฆ์ที่มีต่อรัฐเป็นตัวชี้วัดความเข้มแข็งของคณะสงฆ์และศาสนา ประกีรติอธิบายว่าการตีความนี้เกิดขึ้นเมื่อคณะสงฆ์ถูกทำให้กลายเป็นส่วนหนึ่งของระบบราชการ

แต่หลังสงครามเย็น นโยบายความมั่นคงเปลี่ยน บทบาททางการเมืองของคณะสงฆ์ลดทอนหายไป แม้ยังเป็นสถาบันสำคัญในระดับหนึ่งแต่ไม่ได้รับมอบบทบาทหน้าที่เหมือนเดิม คณะสงฆ์ส่วนกลางกังวลใจมาก รู้สึกว่าคนไม่เข้าวัด การเกิดขึ้นของชนชั้นกลางใหม่ในช่วงเหตุการณ์เดือนตุลาคม การถือศาสนาแบบเดิมเปลี่ยนไป คนแสวงหาคำอธิบายหรือแนวทางการปฏิบัติใหม่ๆ ที่สอดคล้องกับการเปลี่ยนผ่านของสังคม เศรษฐกิจ และการขยายตัวของเมือง ความศรัทธาของคนเริ่มกระจายตัวออกเกิดสำนักปฏิบัติทางพุทธศาสนาอื่นๆ ขึ้น เช่น ธรรมกาย สันติอโศก พุทธทาส เป็นต้น

“สิ่งต่างๆ เหล่านี้ทำให้คณะสงฆ์กังวลใจ สอดคล้องกับความคิดที่ว่าศาสนาเสื่อมลง ไม่รวมถึงข่าวอื้อฉาวต่างๆ ความกังวลใจก็มีพลวัต มันเปลี่ยน ช่วงหลังๆ เชื่อว่าศาสนาอ่อนแอ ข่าวอื้อฉาว คนไม่ค่อยเข้าวัด คนบวชน้อยลง คนวิจารณ์พระเยอะ สิ่งต่างๆ เหล่านี้เป็นตัวชี้วัดว่าศาสนาเสื่อมลงในสายตาคณะสงฆ์ เพราะคณะสงฆ์เป็นตัวแทนศาสนา ควรเป็นสถาบันศักดิ์สิทธิ์ แต่คนวิพากษ์วิจารณ์เยอะแสดงว่าความศักดิ์สิทธิ์น้อยลง พอข่าวคราวอื้อฉาวออกมาเยอะ พระรู้สึกตนเองตกเป็นเหยื่อ โดนโจมตี ก็กระทบความรู้สึกของคณะสงฆ์และชาวพุทธว่าศาสนาเสื่อม ไม่ได้รับความเคารพเหมือนเดิม และทางรัฐไม่ได้ใส่ใจดูแล เชิดชู ยกย่องเหมือนกับที่เคยมีมาในอดีต”

ศัตรูที่เปลี่ยนไป จากเกลียดกลัวคริสต์ถึงเกลียดกลัวอิสลาม

ขณะเดียวกันความขัดแย้งกับคนต่างศาสนาก็เป็นสิ่งที่เกิดควบคู่กันมาโดยต่อเนื่อง ในกรณีประวัติศาสตร์รัฐชาติสมัยใหม่ของไทย ความต่างทางศาสนาเป็นประเด็นสำคัญเพราะเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการสร้างตัวตนของชาติไทย ถ้ามองไปในยุคอาณานิคม กรณีพิพาธอินโดจีนระหว่างสยามและฝรั่งเศส และวิกฤติการณ์ ร.ศ.112 ได้สร้างบาดแผลให้กับชนชั้นนำของสยาม และมีผลให้ฝ่ายสยามตั้งข้อรังเกียจและเบียดเบียนคริสตจักรโรมันคาทอลิกในประเทศไทยที่บาทหลวงฝรั่งเศสคณะมิสซังต่างประเทศแห่งกรุงปารีสเป็นผู้ดูแลอยู่ เพราะมองว่าพวกคริสต์เป็นไส้ศึก โดยมีกรณีการคุกคามชาวคริสต์หลายแห่ง

แต่ที่รุนแรงที่สุดคือกรณีมรณสักขีแห่งสองคอนที่คริสตจักรที่บ้านสองคอน จังหวัดนครพนม ถูกคุกคามและชาวบ้านคาธอลิกจำนวนเจ็ดคนถูกฆาตกรรมด้วยตำรวจ โบสถ์โดนเผา โดยไม่สามารถนำผู้กระทำผิดมารับผิดได้ และแม้หลังปี 2475 ท่าทีไม่ไว้วางใจและความคิดที่ว่าศาสนาคริสต์เป็นตัวแทนของจักรวรรดินิยมยังคงมีอยู่ ประกีรติเล่าว่า

“เมื่อครั้งที่พระสันตะปาปายอห์น ปอลที่ 2 ขึ้นดำรงตำแหน่ง ทางคริสตจักรโรมันคาธอลิกมีความพยายามที่จะปรับศาสนจักรให้เข้ากับยุคสมัย โดยหลังการประชุมสภาสังคายนาวาติกันครั้งที่สอง ได้มีการลงมติว่า การเผยแพร่ศาสนาควรให้ความสำคัญกับการปรับพิธีสักการะบูชาให้เข้ากับวัฒนธรรมท้องถิ่น ซึ่งมีผลให้บาทหลวงเริ่มหันหน้าทำความเข้าใจวัฒนธรรมท้องถิ่น และในงานด้านเผยแพร่ได้ปรากฏว่ามีการปรับเปลี่ยนในโบสถ์คริสต์ให้มีการจัดโต๊ะหมู่บูชาเหมือนพุทธแต่มีรูปพระเยซู มีการตั้งชื่อโบสถ์เป็นวัด จึงถูกมองจากชาวพุทธว่าเป็นการคุกคาม กลุ่มปัญญาชนชาวพุทธ เช่น จำนงค์ ทองประเสริฐ ป.อ.ปยุตโต เจ้าคุณระแบบ ได้รวมตัวกันผลักดันการจัดงานสัปดาห์ส่งเสริมพระพุทธศาสนา มีวันวิสาขบูชาเป็นแกนหลัก ซึ่งได้วางแผนให้เป็นช่วงที่พระสันตะปาปา ยอห์น ปอลที่ 2 มาเยือนไทยพอดี งานนี้จึงเป็นการประท้วงศาสนาคริสต์เชิงสัญลักษณ์ พร้อมการตีพิมพ์หนังสือที่ชื่อว่า พระพุทธศาสนาศาสนาประจำชาติไทย และเจ้าคุณระแบบยังได้เขียนหนังสือ แผนทำลายพระพุทธศาสนา เพื่อเปิดโปงว่าคริสต์มีแผนทำลายพุทธอย่างไรบ้าง”

ประกีรติกล่าวว่าการส่งเสียงต่อต้านดังกล่าวมีฐานอคติที่เป็นมรดกมาจากยุคอาณานิคมซึ่งมองคริสต์เป็นภัย และคำอธิบายของคนต่างศาสนาในฐานะผู้ไม่หวังดีต่อศาสนาและชาติเป็นแบบแผนสำคัญของกระแสการต่อต้านอิสลามในภายหลัง

เขาอธิบายต่อว่าพุทธศาสนาที่ถูกสร้างเป็นศาสนาของรัฐ คู่ตรงข้ามจะเป็นสิ่งที่ไม่ใช่พุทธ ไม่ว่าจะเป็นคริสต์ อิสลาม หรือศาสนาอื่นๆ หรือแม้แต่พุทธที่ไม่เป็นไปตามแบบแผนของรัฐ เหล่านี้ถูกมองว่าเป็นความเป็นอื่น เกิดความเป็นปฏิปักษ์ทั้งต่อต่างศาสนาและภายในศาสนากันเอง ซึ่งเป็นรูปแบบจำเพาะมากที่เกิดจากการที่ศาสนากลายเป็นองคาพยพของรัฐ

การเกลียดกลัวอิสลามส่วนหนึ่งจึงไม่ใช่สิ่งที่เพิ่งเกิด แต่เป็นความต่อเนื่องที่ดำรงอยู่มาโดยตลอด เพียงแค่เปลี่ยนตัวละคร อย่างไรก็ตาม ต้องยอมรับส่วนหนึ่งเป็นบริบทของกระแสจากภายนอก เช่น การก่อการร้ายโลก เหตุการณ์ 9/11 การระเบิดพระพุทธรูปหินในแอฟกานิสถาน แต่ประเด็นเหล่านี้จะจุดไม่ติดถ้าไม่เกิดเหตุการณ์ในสามจังหวัดชายแดนใต้

“เหตุการณ์เหล่านี้ทำให้คนมองว่าสิ่งนี้เป็นข้อมูลเชิงประจักษ์ว่าเกิดขึ้นจริงในเมืองไทย มันเชื่อมโยงได้ มันมีอยู่จริง และใน 18 ปีที่ผ่านมาก็มีบางช่วงที่คนพุทธกับพระตกเป็นเป้าของการโจมตีจริงเพราะถูกมองว่าเป็นตัวแทนอำนาจรัฐไทย ก็ยิ่งทำให้เชื่อ”

ประกอบกับภาพของคนมุสลิมที่ดูจะปรากฏเด่นชัดขึ้นในสังคม ไม่ว่าจะเพราะผู้นับถือศาสนาอิสลามมีจำนวนมากอันดับ 2 ในประเทศ ทั้งมีบทบาทในแวดวงข้าราชการ การเมือง ธุรกิจมากขึ้น มีการแสดงตัวตนว่าเป็นชาวมุสลิม มีการขยายตัวของโรงเรียนศาสนาเอกชนเพื่อรองรับประชากรมุสลิมที่เพิ่มมากขึ้น สิ่งเหล่านี้ทำให้คนพุทธรู้สึกถึงการขยายตัวทางกายภาพของชาวมุสลิม และตีความว่าเป็นการคุกคามแบบหนึ่งเพราะเป็นสิ่งแปลกใหม่และไม่คุ้นเคย ความเปลี่ยนแปลงดังกล่าวทำให้เกิดความรู้สึกว่าภูมิทัศน์ทางสังคมวัฒนธรรมกำลังเปลี่ยนแปลงไปอย่างไม่สามารถควบคุมได้

เหมารวม-อคติ-เลือกปฏิบัติ

กระบวนการสร้างตัวตนคือการสร้างความเป็นอื่นตลอดเวลา เนื่องจากการระบุว่าเราเป็นใครบางครั้งไม่ได้เริ่มต้นจากตัวเรา แต่มาจากการบอกว่าเราไม่ใช่อะไร และสิ่งที่เราไม่ใช่มักเป็นสิ่งที่มีลักษณะชัดเจน โดดเด่นในตัวเองมากพอที่จะชี้ว่าเราไม่ใช่สิ่งนั้น

ประเด็นอยู่ที่ว่าเราจะปฏิสัมพันธ์กับ ‘คนอื่น’ อย่างไร ซึ่งการพิจารณาอคติมักจะมีแนวคิดหลักๆ คือ การเหมารวม (stereotype) อคติ (prejudice) และการเลือกปฏิบัติ (discrimination) ประกีรติกล่าวว่ามันเป็นกลไกธรรมดาที่ทุกสังคมและทุกคนมี เกิดขึ้นตลอดเวลา แต่จะมีพลวัตแตกต่างกันไปตามแต่ละพื้นที่และช่วงเวลา

“การสร้างตัวตนมักมาพร้อมกับการบอกว่าเราเป็นใคร เป็นแบบไหน มีระบบคุณค่าอย่างไร แล้วคนที่ไม่ใช่เรามีลักษณะแบบไหน แตกต่างจากเราอย่างไร ซึ่งภาพโดยรวมว่าคนกลุ่มไหนมีลักษณะอย่างไร จะเรียกว่าการเหมารวม (stereotype) เช่น ถ้าเราบอกว่าเราเป็นคนไทย จิตใจดี รักสงบ เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ อันนี้เป็นการเหมารวม แต่การเหมารวมก็สะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อและข้อสมมติฐานที่เรามีต่อคนกลุ่มนั้น ถ้าถามคนไทยว่าคนอินเดียเป็นยังไง คนทั่วไปมักจะบอกว่าเป็นแขก และถ้าเห็นแขกกับเห็นงูให้ตีแขกก่อน อันนี้เป็นการเหมารวมเชิงลบที่พัฒนาไปเป็นอคติ เพราะมีการกำหนดลักษณะพื้นฐานของคนแต่ละพวกว่าเป็นยังไง พร้อมการตัดสินแล้วว่าเราดีกว่าเขายังไง หรือบางกลุ่มอาจจะเหนือกว่าเราก็ได้ เขาเหนือกว่าเราในด้านไหนบ้าง และเราต้องรับมือกับเค้าอย่างไร”

สิ่งที่ตามมาจากการเหมารวมคืออคติซึ่งเป็นการตัดสินผู้อื่นในเชิงลบ เพียงเพราะเค้าเป็นสมาชิกของกลุ่มทางสังคมกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง โดยอคติมีอยู่ 3 ระดับ ได้แก่ ระดับความคิด ระดับความรู้สึก และระดับปฏิบัติ กล่าวในทางกลับกันก็คือการเลือกปฏิบัติเกิดจากการมีอคติเป็นพื้นฐาน

“อคติมักมีพื้นฐานจากการเหมารวม วัฒนธรรมต่างๆ สร้างการเหมารวมขึ้นมาอยู่ตลอด แต่การเหมารวมจะพัฒนาไปสู่อคติต้องมีมิติอื่นด้วย เช่น ต้องมีเงื่อนไขทางสังคม ประวัติศาสตร์เข้ามาเกี่ยวข้องด้วย กรณีไทยก็มีเรื่องการสร้างตัวตน การสร้างชาติเข้ามาส่วนหนึ่ง อีกส่วนอาจเป็นเรื่องจากประสบการณ์ร่วมที่มีลักษณะเฉพาะกลุ่ม เช่น ลูกจีนสมัยก่อนในไทยถูกเรียกเป็นเจ๊ก เป็นพวกกุลี ชอบกินปลาตะเพียนก้างเยอะเพราะไม่มีเงินซื้อปลาดีๆ มากิน แต่อคติอย่างเดียวจะยังไม่นำไปสู่การเลือกปฏิบัติ การแปลงอคติไปสู่การกระทำจำเป็นต้องมีเงื่อนไขผลักดันที่เหมาะสม เพราะแม้คนธรรมดาทั่วไปจะมีอคติ แต่เขาไม่จำเป็นต้องใช้ความรุนแรงต่อกลุ่มคนที่เป็นเป้าอคติของเขา

“กรณีของไทย ความเป็นอื่นผูกติดกับการสร้างตัวตนผ่านรัฐชาติ วิธีการอธิบายคนต่างเชื้อชาติต่างศาสนามักถูกอธิบายผ่านประวัติศาสตร์รัฐชาติ อคติในเรื่องนี้จึงฝังอยู่ในจิตสำนึกของหลายคน อคติอย่างเช่นพวกเขมรเชื่อใจไม่ได้เพราะชอบหักหลังสยามเวลามีสงคราม การเรียนรู้ตัวตนจากประวัติศาสตร์รูปแบบดังกล่าวจึงเป็นการสร้างความเป็นอื่นที่สำคัญมาก แต่อคติเองก็มีพลวัตเปลี่ยนแปลงได้ เช่นจากการเกลียดกลัวศาสนาคริสต์ได้กลายเป็นอิสลามในปัจจุบัน ซึ่งพลวัตดังกล่าวก็ขึ้นกับตัวแปรที่หลากหลาย เช่น เงื่อนไขทางเวลา ปัจจัยภายนอกและภายในประเทศที่เข้ามาเกี่ยวข้อง เป็นต้น”

ลัทธิการคุ้มครองพุทธศาสนาเชิงปกป้อง Buddhist protectionism

พุทธศาสนาเป็นส่วนสำคัญของอุดมการณ์ชาตินิยมของไทยไม่เพียงแค่ในเชิงความคิด เพราะในเชิงสถาบัน คณะสงฆ์เป็นองคาพยพหนึ่งของรัฐ และในเชิงปฏิบัติการ คณะสงฆ์มีบทบาททำงานให้รัฐด้วย แม้ว่าจะไม่เข้มข้นเท่าในอดีต แต่ก็ยังมีบทบาทอยู่ เช่น การจัดการโครงการครูสอนศีลธรรมสำหรับการศึกษาขั้นพื้นฐาน การสวดมนต์ให้พรผู้นำเพื่อสร้างความชอบธรรมทางการเมือง รวมถึงการกำราบพระที่ออกนอกแถว โดยเฉพาะพระที่ออกมาร่วมชุมนุมเรียกร้องประชาธิปไตย

“บางคนใช้คำว่ากลุ่มพุทธชาตินิยม แต่สำหรับข้อถกเถียงทางวิชาการในปัจจุบัน หลายคนรู้สึกว่าสถานการณ์มันเปลี่ยนไปแล้ว เพราะกรอบชาตินิยมที่ผ่านมามองศาสนาเป็นเครื่องมือของรัฐเป็นหลัก แต่ตอนนี้เราเริ่มเห็นเจตน์จำนงทางการเมืองของคณะสงฆ์และนักกิจกรรมฝ่ายฆราวาสเด่นชัดขึ้น เพราะแม้พวกเค้าจะอ้างชาติในการเคลื่อนไหว แต่เป้าหมายพวกเค้ากลับเป็นการผลักดันวาระทางการเมืองของคณะสงฆ์และกลุ่มตนเอง โดยนิยามผลประโยชน์ของกลุ่มตนในมิติของการอยู่รอดของศาสนาและการปกป้องพุทธศาสนาเป็นสำคัญ พร้อมมีข้อสมมติฐานที่ว่าพุทธศาสนาเป็นศูนย์รวมวัฒนธรรมไทยและมีสถานะที่ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าสถาบันชาติและกษัตริย์ กลุ่มนักวิชาการจึงเรียกปรากฏการณ์ที่ยังมีลักษณะของชาตินิยมผสมอยู่ แต่ไม่สามารถใช้กรอบชาตินิยมแบบเดิมมาทำความเข้าใจว่า Buddhist protectionism หรือการคุ้มครองพุทธศาสนาเชิงปกป้อง”

การเคลื่อนไหวที่ผ่านมาคือการชูวาระการปกป้องพุทธศาสนาให้เป็นวาระสำคัญในการเคลื่อนไหวโดยใช้แนวคิดชาตินิยมเป็นเครื่องมือสนับสนุน เป็นกรอบในการให้เหตุผล และสร้างความชอบธรรมให้การเคลื่อนไหว สิ่งนี้ไม่ใช่การเคลื่อนไหวเพื่อประโยชน์ของรัฐเช่นในอดีต แต่เป็นการเคลื่อนไหวเพื่อผลประโยชน์ของคณะสงฆ์

ประกีรติอธิบายต่อว่าแนวคิด Buddhist protectionism ถูกนำมาใช้ศึกษาปรากฏการณ์ความสัมพันธ์ระหว่างพุทธกับการเมือง ความรุนแรง และอคติต่อคนต่างศาสนาทั้งในศรีลังกา พม่า และไทย โดยตัวละครที่ต่างออกไปมีข้อเรียกร้องที่ต่างออกไป แต่พวกเขาเหล่านี้เห็นพ้องต้องกันว่าปัญหาสำคัญในปัจจุบันคือพุทธศาสนากำลังเสื่อมโทรมอันเนื่องมาจากศาสนาอื่น ดังนั้น วิธีการจัดการปัญหาก็คือการจัดการกับศาสนาอื่น

พุทธ ศาสนาแห่งสันติ ความเชื่อที่เพิ่งสร้าง

มาถึงตรงนี้คงเห็นแล้วว่าไม่ว่าจะเป็นผู้นับถือศาสนาใดก็สามารถใช้ความรุนแรงกับคนต่างศาสนาได้เหมือนๆ กันไม่เว้นกระทั่งพุทธศาสนา ข้อเสนอดังกล่าวมีหลักฐานเชิงประจักษ์ทั้งในศรีลังกา พม่า และไทย อย่างไรก็ตาม ความเป็น ‘ศาสนาแห่งสันติ’ ของพุทธได้สร้างภาพจำและความเชื่อว่าพุทธศาสนาไม่รุนแรง

ประกีรติกล่าวว่า ภาพของศาสนาแห่งสันติและศาสนาที่เป็นวิทยาศาสตร์ปรากฏขึ้นจากกระบวนการทางประวัติศาสตร์ที่พุทธเถรวาทเข้าไปมีส่วนสัมพันธ์กับลัทธิอาณานิคม ตั้งแต่ในศตวรรษที่ 19 เป็นต้นมา โลกเถรวาทต้องเผชิญความท้าทายจากการเผยแพร่ศาสนาและแรงกดดันจากเจ้าอาณานิคมที่ส่งผลให้ชาวพุทธต้องปรับตัวและตอบโต้ โดยเฉพาะชนชั้นนำที่มีการศึกษาในภาคเมือง ทางหนึ่งก็เพื่อต่อต้านข้อกล่าวหาว่าพุทธเป็นศาสนาแห่งความงมงาย เพราะให้ความสำคัญกับพิธีกรรมและการบูชารูปเสมือน แต่อีกทางก็คือการดัดแปลงนำเอาวิธีการ ภาษา และแนวคิดตะวันตกมาใช้ในการปรับสร้างตัวตนใหม่ของพุทธเถรวาท เช่น มีการปรับคำสอนให้เน้นที่ตัวบททางศาสนา ความเป็นเหตุเป็นผล การเพิ่มบทบาทของฆราวาส และการปฎิบัติสมาธิ รวมไปถึงการตั้งองค์กรพุทธฝ่ายฆราวาสและจัดซื้อแท่นพิมพ์เพื่อผลิตสื่อโจมตีคริสต์ว่างมงายเช่นกัน เพราะไหว้พระธาตุนักบุญและมีพิธีมิสซาที่ขนมปังและไวน์เป็นเหมือนดั่งกายและเลือดของพระเยซู

“นักวิชาการเรียกว่าปรากฏการณ์ดังกล่าวว่าพุทธโปรเตสแตนท์ ซึ่งเป็นการเข้าสู่สมัยใหม่ของพุทธเถรวาทที่ไม่ได้จำกัดตัวเองแค่การสู้กับคริสต์ แต่ยังขยายตัวไปถึงความพยายามที่จะนิยามพุทธว่าเป็นศาสนาที่สอดคล้องและเหมาะสมกับยุคสมัยใหม่ เป็นศาสนาแห่งสันติเพราะไม่สอนให้คนฆ่ากันเหมือนคริสต์หรืออิสลามที่ต่อสู้กันในสงครามครูเสด และคริสต์ก็เป็นศาสนาของเจ้าอาณานิคม อิสลามก็รุนแรง มันคือการบอกว่าเราแตกต่างเพราะว่าเราไม่ไปรุกรานใคร

“ในด้านหนึ่ง พุทธเถรวาทถูกมองว่าเป็นศาสนาที่ปฏิเสธโลก เราหันสู่ทางหลุดพ้นจากตัวตนและไม่ได้มีสงครามกับใคร แต่ถ้าพุทธเถรวาทเองก็ต้องดำรงอยู่กับความเป็นสมัยใหม่ได้ด้วยเช่นกัน คำอธิบายอีกประการที่ถูกพัฒนาขึ้นมาคือพุทธเป็นศาสนาที่สอดคล้องกับวิทยาศาสตร์ โดยในช่วงหลังจะขยายไปถึงการเปรียบเทียบพุทธกับควอนตัมฟิสิกส์ การยกเอาวิปัสสนาเป็นเครื่องมือวิทยาศาสตร์ด้านจิตใจ ซึ่งเป็นการเอาจุดร่วมต่างๆ ในคำสอนไปพยายามบอกว่ามันเชื่อมโยงสอดคล้องกันกับองค์ความรู้ทางวิทยาศาสตร์”

วิธีการปรับตัวเองและนำเสนอว่าพุทธเป็นศาสนาสมัยใหม่เช่นไม่ได้จำกัดตัวอยู่แค่โลกตะวันออก แต่นักวิชาการและคนบางกลุ่มในยุโรปยังมีบทบาทในการตีความเสนอภาพให้พุทธเป็นศาสนาที่สอดคล้องเข้ากับทั้งวิทยาศาสตร์และแตกต่างไปจากลัทธิเหตุผลนิยมที่ปฏิเสธความรู้จากประสบการณ์ ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะคนเหล่านี้มีบาดแผลจากการกดทับทางศีลธรรมของวัฒนธรรมคริสต์ยุควิคตอเรียน ฉะนั้นจึงมองว่าพุทธเป็นสิ่งที่ไม่ใช่คริสต์ ให้การเชิดชู และพยายามเอามาใช้ กระบวนการดังกล่าวจึงเกี่ยวข้องกับภูมิปัญญาทางซีกโลกตะวันตกด้วยที่ทำให้ข้ออ้างว่าพุทธเป็นศาสนาสันติ สงบ เป็นวิทยาศาสตร์เกิดขึ้น และเป็นความรู้ที่กระจายตัวมาอยู่ในโลกตะวันออก

“ความพยายามสร้างภาพว่าพุทธเป็นศาสนาแห่งสันติจำกัดกรอบและโดดเดี่ยวตัวตนความเป็นพุทธออกจากสิ่งที่เกิดขึ้นจริง ชาวพุทธไม่ได้เพียงแค่อ่านพระไตรปิฎกหรือนั่งสมาธิ แต่พิธีกรรมและปฏิบัติการทางวัฒนธรรมที่หลากหลายยังเป็นส่วนสำคัญของประสบการณ์ความเป็นคนพุทธ และแน่นอนว่าเหตุการณ์เช่นการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ที่เกิดขึ้นในศรีลังกาและพม่า การใช้ความรุนแรงในนามของพุทธในหลายพื้นที่ของโลกเถรวาทในหลายช่วงเวลาที่ต่างมา ต่างเป็นตัวอย่างเชิงประจักษ์ที่ทำให้เราเห็นว่าคำกล่าวอ้างนั้นไม่เป็นจริงตามคำอ้าง หลายคนจึงมองภาพดังกล่าวเป็นการกลับกลอก มันเป็นมายาคติ

“แต่ที่สำคัญมากกว่านั้นคือมายาคตินี้กลับถูกใช้สร้างความชอบธรรมให้กับความคิดที่ว่าพุทธศาสนาเป็นศาสนาที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ซึ่งเป็นพื้นฐานข้อเรียกร้องทางการเมืองของคณะสงฆ์และกลุ่มคนพุทธ แต่ไม่ได้มองว่าการเรียกร้องดังกล่าวจะมีผลต่อการอยู่ร่วมกันหรือลดทอนสถานะความศรัทธาของคนทั่วไปต่อพุทธศาสนามากน้อยเพียงใด ข้อสังเกตที่สำคัญจะได้แก่ประเด็นที่ว่า การเรียกร้องสถานะพิเศษทางกฎหมายให้กับพุทธศาสนาหรือการอุปถัมภ์ของรัฐไม่เพียงนำไปสู่ความขัดแย้งในสังคมระหว่างคนที่เชื่อและไม่เชื่อ แต่แท้ที่จริงแล้วยังมีผลระยะยาวที่บั่นทอนศาสนาด้วย เพราะเมื่อศาสนาถูกแช่แข็งตายตัวว่าต้องเป็นอย่างนี้ แต่ความเป็นจริงชีวิตของผู้คนที่อยู่ในศาสนากลับไม่ได้เป็นเช่นที่กล่าวอ้าง ทั้งยังมีการพยายามแอบอ้างศาสนา แอบอ้างมายาคติ เพื่อแสวงประโยชน์ของตนหรือเพื่อให้เหตุผลต่อการใช้ความรุนแรงต่อคนอื่น ความขัดแย้งที่ดูหลอกหลวงจะยิ่งทำให้คนหมดศรัทธา

“ถ้ามีใครมาบอกว่าศาสนากำหนดการกระทำของคน เราคงต้องบอกว่าคนต่างหากที่เป็นผู้ตีความตัวบทและเรื่องเล่า ไม่ว่าจะเพื่อสร้างความหมายให้กับเป้าหมายพฤติกรรมและชีวิตตน หรือเพื่อสนับสนุนเหตุผลของการกระทำที่กำลังจะเกิดขึ้น ศาสนาจึงยึดเกี่ยวอยู่กับการตีความของคน แล้วคนก็พยายามบอกว่าการตีความนี้เป็นสารัตถะอันแท้จริงของศาสนา ถ้าเราไม่ทำความเข้าใจต่อสิ่งที่เรายึดถือเป็นสรณะโดยไม่มีการไตร่ตรองหรือตั้งคำถาม เราคงไม่ต้องไปฟังหรือจินตนาการว่าศาสนาจะเสื่อมในอีก 5,000 ปี ศาสนาเสื่อมต่อหน้าต่อตาเราแน่นอน เพราะถ้าเรามองไม่เห็นช่องว่างระหว่างความเชื่อและคำกล่าวอ้าง เราก็ไม่สามารถทำอะไรกับมันได้”

ลบอคติไม่ได้ แต่สร้างพื้นที่พูดคุยได้

ทว่า ในโลกความเป็นจริงแล้ว อคติทางศาสนาเกิดขึ้นตลอดเวลาและไม่มีวันหายไป การทำความเข้าใจอคติไม่ใช่เพื่อปฏิเสธมันหรือเพื่อบอกว่าไม่มี แต่เพื่อให้เกิดการยอมรับ เพื่อให้สามารถพูดคุยกัน ทำความเข้าใจ และหาทางออก

“เราต้องมีพื้นที่สำหรับพูดคุยถกเถียงความคิดเห็นที่แตกต่าง โดยเฉพาะความคิดที่ผลักดันด้วยอคติ เช่น ความคิดเห็นที่เป็นปฏิปักษ์ต่อพี่น้องต่างศาสนา เพราะถ้าเราคิดคนเดียว ทำคนเดียว เราจะรู้ได้ยังไงว่าสิ่งที่เราคิดและทำเป็นสิ่งที่ถูกต้อง มันต้องมีกระบวนการปรึกษาหารือ อันนี้สำคัญ เราต้องพูดคุยเรื่องนี้ให้กว้างขวาง ต้องสร้างโอกาสให้มีพื้นที่ในการพูดโดยไม่มีบทลงโทษและไม่มีความหวาดกลัวที่จะพูด”

ประกีรติกล่าวว่าสังคมที่ปิดกั้นการแสดงออก เชื่อบางอย่างโดยไม่มีการตั้งคำถาม ไม่เปิดพื้นที่ให้เสียงที่แตกต่างได้พูดมักเป็นสังคมอำนาจนิยมที่ใช้อำนาจแบบผิดประเภท พร่ำเพรื่อ และมีการกดขี่สูง เขาเสนอว่าเพื่อไม่ให้อคติทางศาสนาแปรเปลี่ยนเป็นความรุนแรง สังคมต้องเปิดพื้นที่ให้พูด ต้องมีหลายกระบวนการเข้ามาทำงานร่วมกัน มีการตรวจสอบข้อเท็จจริง ทำข้อถกเถียง ข้อเสนอ สร้างการพูดคุย ถกเถียง ต้องมีคนอธิบายให้เห็นการทำงานของสิ่งเหล่านี้อย่างเป็นระบบ มีการสื่อสาร ถึงจะเป็นสังคมที่ผู้คนอดทนอยู่ร่วมกันได้

“เราต้องพัฒนากลไกลในสังคมที่ทำให้เราไม่ต้องเห็นด้วย คนละขั้วเลย แต่ต้องคุยกันได้โดยไม่ตีกัน ให้สู้กันได้ในระบบ”

https://prachatai.com/journal/2023/02/102578


แผนที่ยูเครนใน Oval Offices สะท้อนถึงมุมมองที่แตกต่างกันระหว่างโดนัลด์ ทรัมป์และโวโลดีมีร์ เซเลนสกี ต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ณ แนวรบยาว 1,200 กิโลเมตรในยูเครนอย่างไร

แผนที่ในห้องทำงานรูปไข่ (Oval Office) ของผู้นำสหรัฐฯ แสดงพื้นที่ของยูเครนที่อยู่ภายใต้การยึดครองของรัสเซีย

เหตุใดแผนที่ในห้องทำงานรูปไข่จึงมีบทบาทสำคัญต่อมุมมองของทรัมป์ต่อสงครามยูเครน

พอล เคอร์บี
บรรณาธิการข่าวดิจิทัลประจำภูมิภาคยุโรป
ทีมข่าว Visual Journalism บีบีซี

20 สิงหาคม 2025

รัสเซียยึดครองพื้นที่หนึ่งในห้าของดินแดนยูเครน และแผนที่ขนาดใหญ่ที่แสดงพื้นที่ดังกล่าวด้วยไฮไลท์สีแดงถูกนำมาติดไว้ในห้องทำงานรูปไข่ (Oval Office) ราวกับเป็นการเน้นย้ำประเด็นในการเจรจาระหว่างประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ กับโวโลดีมีร์ เซเลนสกี ผู้นำยูเครน เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา (18 ส.ค.)

"ผมคิดว่าทุกคนคงได้เห็นแผนที่แล้ว" ทรัมป์กล่าวกับฟ็อกซ์นิวส์ เมื่อวันอังคาร (19 ส.ค.) "พื้นที่ขนาดใหญ่ถูกยึดไปแล้ว และพื้นที่นั้นก็ถูกยึดไปแล้วจริง ๆ"

ชัดเจนว่าทำเนียบขาวส่งสารถึงยูเครนว่าดินแดนนั้นได้สูญเสียไปแล้ว และถึงเวลาที่ต้องพิจารณาการประนีประนอมด้านดินแดนกับวลาดิเมียร์ ปูติน หรือในบางกรณีถูกเรียกว่า "การแลกเปลี่ยนดินแดน"

ทีมของเซเลนสกีได้นำแผนที่ของตนเองมาที่การประชุม ผู้นำยูเครนกล่าวในภายหลังว่าเขาได้ "ต่อสู้กับสิ่งที่อยู่บนแผนที่นั้น" ระหว่างการสนทนากับทรัมป์ โดยพยายามอธิบายว่า "ในความเป็นจริงแล้วใครควบคุมอะไรในข้อเท็จจริง ไม่เหมือนกับข้อมูลที่ทราบจากคำบอกเล่า"

แม้เซเลนสกีจะรู้สึกว่าสามารถแก้ไขความเข้าใจผิดบางประการได้บ้าง แต่เมื่อถึงวันอังคารมุมมองของทรัมป์ก็ยังคงเดิม เขากล่าวอย่างชัดเจนว่ากองกำลังของรัสเซีย "มีอำนาจเหนือกว่าอย่างเห็นได้ชัดและคุณก็รู้ว่าพวกเขายังไม่ได้หยุดด้วยซ้ำ"

เมื่อถูกถามถึงบรรยากาศในห้องประชุมร่วมกับผู้นำยุโรปเกี่ยวกับการแลกเปลี่ยนดินแดน เขาตอบว่า "ตอนนี้พวกเขากำลังพูดถึงดอนบาส แต่ดอนบาสในตอนนี้... 79% ถูกครอบครองและควบคุมโดยรัสเซีย"

ก่อนที่สงครามจะเริ่มต้นขึ้นทางตะวันออกในปี 2014 ภูมิภาคดอนบาสซึ่งเป็นแหล่งเหมืองแร่ที่มั่งคั่งของยูเครน มีสัดส่วนราว 16% ของตัวเลขเศรษฐกิจของประเทศ

มีรายงานว่าปูตินบอกกับทรัมป์ว่า หากต้องการข้อตกลงสันติภาพ ข้อเสนอโดยรวมต้องรวมถึงการยอมให้เขาครอบครองภูมิภาคดอนบาสทั้งหมด ซึ่งจะช่วยให้ผู้นำรัสเซียรักษาทั้งเลือดเนื้อและทรัพยากรอย่างมหาศาล


ภาพขยายแผนที่แสดงสัดส่วนพื้นที่ที่รัสเซียควบคุมดินแดนในยูเครนตามข้อมูลของสหรัฐฯ

เซเลนสกีระบุว่า เขาได้โต้แย้งเกี่ยวกับตัวเลขสัดส่วนพื้นที่ที่รัสเซียครอบครองยูเครนที่ปรากฏบนแผนที่ของทำเนียบขาว ซึ่งแสดงการควบคุมของรัสเซียในหลายภูมิภาคของยูเครน ตั้งแต่ในลูฮันสก์ 99%, ในโดเนตสก์ซึ่งอยู่ในภูมิภาคดอนบาส 76%, ซาโปริซเซียและเคอร์ซอนทางตะวันออกเฉียงใต้ 73%, คาร์คิฟทางตะวันออกเฉียงเหนือ 4% และในซูมีและมิโคไลฟ 1%

การวิเคราะห์ข้อมูลล่าสุดจากสถาบันศึกษาสงคราม (Institute for the Study of War) ซึ่งตั้งอยู่ในสหรัฐฯ ให้ตัวเลขที่ใกล้เคียงกับข้อมูลของทำเนียบขาว นักวิเคราะห์ระบุว่า ความแตกต่างของตัวเลขอาจเกิดจากวิธีการประเมินที่แต่ละฝ่ายใช้ โดยเฉพาะในเรื่องขอบเขตการควบคุมของรัสเซีย ซึ่งบางพื้นที่อาจอยู่ภายใต้การควบคุมอย่างจำกัด หรือเป็นพื้นที่ที่มอสโกอ้างสิทธิ

ในบางกรณี ทำเนียบขาวระบุว่ารัสเซียควบคุมพื้นที่เพียง 1% แท้จริงแล้วอาจหมายถึงการที่รัสเซียเข้ามาได้ในระดับจำกัด เช่นในเมืองมิโคไลฟทางตอนใต้ หรือพื้นที่ที่รัสเซียถูกผลักดันออกไปแล้ว เช่น ในเมืองซูมีทางตอนเหนือ

แม้ตัวเลขการควบคุมของรัสเซียในภูมิภาคโดเนตสก์จะยังไม่แน่ชัด แต่เมืองสำคัญอย่างครามาทอร์สก์และเมืองใกล้เคียงอย่างสโลเวียนสก์ในภูมิภาคโดเนตสก์ ยังคงมีประชากรอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก

เจ้าหน้าที่ท้องถิ่นระบุว่า มีประชาชนประมาณ 242,000 คน อาศัยอยู่ในพื้นที่ที่ยูเครนยังคงควบคุมได้ในภูมิภาคโดเนตสก์ และไม่มีผู้นำยูเครนคนใดแสดงท่าทีว่าจะยอมยกดินแดนของตนให้กับรัสเซีย



แม้ว่ากองกำลังรัสเซียจะมีความคืบหน้าในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา แต่สถาบันศึกษาสงครามประเมินว่า รัสเซีย "อาจต้องใช้เวลาหลายปีในการยึดครองพื้นที่ที่เหลือทั้งหมดในภูมิภาคโดเนตสก์ ซึ่งการเดินหน้าดังกล่าวจะต้องผ่านกระบวนการที่ยากลำบากหลายอย่าง"

ด้านเซเลนสกีระบุว่า แผนที่ของยูเครนที่เขานำเสนอให้ทรัมป์ดู แสดงให้เห็นว่าในช่วง 1,000 วันที่ผ่านมา รัสเซียสามารถยึดครองดินแดนยูเครนได้ไม่ถึง 1% เท่านั้น

นักวิเคราะห์จากกลุ่มแผนที่ ดีพสเตทยูเอ (DeepStateUA) ของยูเครนระบุว่า ตัวเลขดังกล่าวเทียบเท่ากับพื้นที่ 5,842 ตารางกิโลเมตร นับตั้งแต่เดือน พ.ย. 2022

แม้ว่ารัสเซียจะประสบความสำเร็จในเชิงยุทธการในช่วงแรกของการรุกรานเต็มรูปแบบ แต่กลุ่มที่เรียกตัวเองว่า ดีพสเตท (DeepState) ชี้ให้เห็นว่า พื้นที่จำนวนมากที่รัสเซียยึดครองในช่วงต้นของสงคราม ได้ถูกปลดปล่อยกลับคืนมาในภายหลัง

อย่างไรก็ตาม ปฏิเสธไม่ได้ว่ารัสเซียก็มีความคืบหน้าในช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมา แม้ว่าหากมองในภาพรวม แนวรบจะเปลี่ยนแปลงเพียงเล็กน้อยนับตั้งแต่ช่วงแรกของสงคราม


ภาพขาวดำแสดงให้เห็นเซเลนสกีและทรัมป์กำลังหารือเกี่ยวกับแผนที่ในห้องทำงานรูปไข่

คอนราด มูซิกา นักวิเคราะห์ด้านกลาโหมและหัวหน้าบริษัทที่ปรึกษาโรแชน คอนซัลติ้ง (Rochan Consulting) ระบุว่า กองกำลังรัสเซียมีความคืบหน้าอย่างชัดเจนในบางพื้นที่ทางตะวันออกของยูเครน โดยพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดคือบริเวณคูเปียนสก์ในภูมิภาคคาร์คิฟ และเครเมนนาในภูมิภาคลูฮันสก์

มูซิกากล่าวกับบีบีซีว่า "เรากำลังเห็นการยิงโจมตีเพิ่มขึ้นอย่างมาก และยูเครนไม่สามารถส่งเจ้าหน้าที่ออกไปดับไฟได้เพียงพอเพื่อควบคุมสถานการณ์"

เขาอธิบายว่า หนึ่งในสาเหตุหลักคือยูเครนขาดกำลังพลในการป้องกันแนวรบที่ทอดตัวยาวนอกจากนี้ รัสเซียยังเพิ่มการใช้โดรนในการโจมตีเป้าหมายทางทหารของยูเครน รวมไปถึงอุปกรณ์ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งปืนใหญ่

มูซิกาเสริมว่า รัสเซียสามารถรับสมัครทหารใหม่ได้เดือนละ 30,000–35,000 คน ซึ่งทำให้แม้ว่าจะสูญเสียกำลังพลจำนวนมากในสนามรบ แต่ก็ยังสามารถสร้างกองกำลังสำรองในระดับปฏิบัติการและในทางยุทธศาสตร์ได้อย่างมีนัยสำคัญ



แม้ว่ารัสเซียจะมีความคืบหน้าอย่างรวดเร็วในบางพื้นที่ทางตะวันออก แต่ความเคลื่อนไหวดังกล่าวยังไม่ปรากฏในภูมิภาคอื่นของยูเครน

ตามรายงานของผู้นำกองทัพยูเครน กองกำลังรัสเซียพยายามรุกล้ำเข้าไปในพื้นที่ใกล้เมืองโดโบรปีลยาในภูมิภาคโดเนตสก์ ซึ่งยูเครนสามารถผลักดันการรุกคืบของรัสเซียกลับไปได้ในระยะทางประมาณ 10–15 กิโลเมตรเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา

และแม้ว่ารัสเซียจะยังคงครอบครองพื้นที่บางส่วนในภูมิภาคซูมีและคาร์คิฟ แต่ยูเครนยังคงควบคุมพื้นที่ประมาณ 6,600 ตารางกิโลเมตรในภูมิภาคดอนบาส

ประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูตินของรัสเซียไม่ได้เพียงแค่อ้างสิทธิ์เหนือพื้นที่กว้างใหญ่ของยูเครน แต่เขายังได้ประกาศผนวกภูมิภาคทั้งสี่ รวมถึงไครเมีย แม้ว่าหลายพื้นที่จะยังอยู่นอกเหนือการควบคุมของรัสเซีย

ข้อมูลใหม่จากข่าวกรองด้านกลาโหมของสหราชอาณาจักรเมื่อไม่นานมานี้ประเมินว่า หากอิงจาก "ความคืบหน้าในสนามรบแบบค่อยเป็นค่อยไปของรัสเซียในปี 2025" รัสเซียอาจต้องใช้เวลาอีก 4.4 ปีในการยึดครองภูมิภาคลูฮันสก์ โดเนตสก์ ซาโปริซเซีย และเคอร์ซอนให้ได้ทั้งหมด

ข้อมูลดังกล่าวสะท้อนถึงมุมมองที่แตกต่างกันระหว่างโดนัลด์ ทรัมป์และโวโลดีมีร์ เซเลนสกี เมื่อทั้งสองหารือเกี่ยวกับแผนที่ที่แสดงแนวรบยาว 1,200 กิโลเมตรในยูเครน

เซเลนสกีกล่าวกับทรัมป์ว่า "ขอบคุณสำหรับแผนที่นะครับ มันยอดเยี่ยมมาก" แม้จะมีความเห็นต่างกัน เขาย้ำว่า "ผมกำลังคิดว่าจะเอามันกลับคืนมาอย่างไร"

https://www.bbc.com/thai/articles/c93dw29239yo


ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่ประกาศ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ ให้ “สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภาฯ” ทรงดำรงตำแหน่ง รองผู้บัญชาการหน่วยบัญชาการถวายความปลอดภัยรักษาพระองค์ อัตรา พลเอกพิเศษ มีนัยยะอะไร อ.สมศักดิ์ อ.ปวิน เสนอความเห็น


.....
Pavin Chachavalpongpun
6 hours ago
·
นี่คือการโปรโมทสุดท้ายเพื่อให้ตำแหน่งติดตัวไปสำหรับการจารึกทางประวัติศาสตร์

Somsak Jeamteerasakul
6 hours ago
·
วชิราลงกรณ์แต่งตั้งให้พระองค์ภาเป็นรองผู้บัญชาการหน่วยถวายความปลอดภัยรักษาพระองค์
คนดูก็สงสัยว่าจะแต่งตั้งทำไม(จะ)ตายอยู่แล้ว? คิดว่าไม่ใช่เป็นการพิสูจน์ว่าอาจจะฟื้น แต่เป็นการยืนยันว่า(จะ)ตายแน่แล้ว เพียงแต่แต่งตั้งให้มีตำแหน่งสูงสุดเท่ากับราชินีนุ้ยก่อน"ตาย"เท่านั้น (วชิราลงกรณ์เป็นผู้บัญชาการ)
นึกๆดูก็นับว่าประหลาดดี
https://www.matichon.co.th/royal/news_5332207





พระบรมราชโองการฉบับนี้ถูกประกาศในราชกิจจานุเบกษา เพียงหนึ่งวันหลังจากสำนักพระราชวัง ออกแถลงการณ์เกี่ยวกับอาการพระประชวรของเจ้าฟ้าพัชรกิติยาภาฯ ฉบับที่ 5


ย้อนอ่าน คำสั่งเสีย ร. 6 ในการจัดงานศพตัวเอง ๑๗ ข้อ!


Thanapol Eawsakul
1 hour ago
·
ย้อนอ่าน คำสั่งเสีย ร. 6 ในการจัดงานศพตัวเอง
.......

ข้อเขียนนี้ลงวันที่ 30 พฤษภาคม 2463 ก่อนสวรรคตถึง 5 ปีเศษ
ดังมีข้อความว่า

“เวลานี้ข้าพเจ้ากำลังมีสติสัมปชัญญะบริบูรณ์ จึงขอสั่งข้อความไว้ดังต่อไปนี้

๑.ถ้าข้าพเจ้าสวรรคตลง ณ แห่งหนึ่งแห่งใด นอกจากในพระบรมมหาราชวัง ให้เชิญพระบรมศพโดยเงียบๆ เข้าไปยังพระที่นั่งจักรพรรดิพิมาน ให้จัดการสรงน้ำพระบรมศพในพระที่นั่งจักรพรรดิพิมาน แล้วจึงให้เชิญไปประดิษฐาน ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท

๒.ในเวลาที่ตั้งพระบรมศพที่พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท และในเวลาอื่นๆต่อนี้ไปตลอด ห้ามมิให้มีนางร้องไห้ ถ้าผู้ใดรักข้าพเจ้าจริง ปรารถนาจะร้องไห้ก็ให้ร้องจริงๆเถิด อย่าร้องเล่นละครเลย

๓.ในงานทำบุญ ๗ วันทุกๆ ๗ วัน ไปจนถึงงานพระเมรุ ขอให้นิมนต์พระซึ่งข้าพเจ้าเคยชอบพอมาเทศน์ อย่าให้นิมนต์ตามยศ และนอกนั้นก็ให้นิมนต์พระเปรียญที่มีท่าทางจะเป็นประโยชน์แก่พระพุทธศาสนาสืบไป

๔.งานพระเมรุ ขอให้กำหนดภายหลังวันสวรรคตเร็ววันที่สุดที่จะทำได้ ถ้าจะทำได้ภายในฤดูแล้งแห่งปีสวรรคตแล้วก็ยิ่งดี เพราะการไว้พระบรมศพนานๆ เป็นการเปลืองเปล่าๆ

๕.ในการทำบุญ ๗ วัน เมื่อไว้พระศพก็ดี และในงานพระเมรุก็ดี ขอให้จัดทำพิธีกงเต๊ก ถ้าไม่มีใครศรัทธาทำให้ข้าพเจ้า ขอให้ทายาทของข้าพเจ้าหาพรตอานัมนิกาย จีนนิกาย มาทำให้ข้าพเจ้า

๖.ส่วนงานพระเมรุขอให้รวบรัดตัดกำหนดการลงให้น้อย คือ ตัวพระเมรุให้ปลูกตรงถาวรวัตถุ ใช้ถาวรวัตถุนั้นเองเป็นพลับพลาทรงธรรม

๗.ก่อนที่จะยกพระศพไปสู่พระเมรุ ให้มีงานศราทพรตที่พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาทวันเดียว

๘.ญาติวงศ์ของข้าพเจ้า และข้าราชการกระทรวงต่างๆ ถ้ามีความปรารถนาจะทำบุญให้ข้าพเจ้า ก็ให้ทำเสียให้เสร็จในขณะที่ตั้งพระบรมศพอยู่ก่อนงานพระเมรุ ส่วนงานพระเมรุขอให้เป็นงานหลวงอย่างเดียว

๙.สังเคดขอให้จัดของที่เป็นประโยชน์สำหรับพระสงฆ์ที่จะได้รับไป และให้เลือกพระสงฆ์ที่จะได้สังเคดนั้น ให้เลือกพระสงฆที่จะใช้สังเคดจริง จะไม่เอาไปขาย

๑๐.ส่วนของแจก ขอให้เลือกเป็นหนังสือ ๒ อย่าง อย่างหนึ่งด้วยกิจการที่ข้าพเจ้าได้ทำเป็นประโยชน์มาแล้วแก่แผ่นดิน อีกอย่างหนึ่งขอให้เป็นหนังสือที่จะเป็นประโยชน์แก่พระศาสนา

๑๑.ในการแห่พระบรมศพ ตั้งแต่พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาทไปถึงวัดพระเชตุพน ให้ใช้พระยานมาศตามประเพณี จากวัดพระเชตุพนไปพระเมรุ ขอให้จัดแต่งรถปืนใหญ่เป็นรถพระบรมศพ เพราะข้าพเจ้า เป็นทหาร อยากจะใคร่เดินทางระยะสุดท้ายนี้อย่างทหาร

๑๒.ในกระบวนแห่นี้ นอกจากทหาร ขอให้จัดมีเสือป่าและลูกเสือเข้าสมทบร่วมกระบวนด้วย และ ขอให้นักเรียนโรงเรียนในพระบรมราชูปถัมภ์ได้เข้ากระบวนด้วย

๑๓.การโยงโปรย ขอให้งด ไม่ต้องมีทุกระยะ และประคองพระโกศ ขอให้ใช้เจ้าหน้าที่กรมภูษามาลา

๑๔.การอ่านพระอภิธรรมนำพระบรมศพ ถ้าสิ้นสมเด็จพระมหาสมณ กรมยาวชิรญาณวโรรส และพระวรวงศ์เธอกรมหมื่นชินวรสิริวิวัฒน์ไปแล้ว ขอให้นิมนต์พระญาณวราภรณ์ (ม.ร.ว.พระชื่น) วัดบวรนิเวศ หรือพระราชสุธี (อุปโม) วัดราชาธิวาส แต่ถ้าแม้ท่านทั้ง ๒ นี้จะนำไม่ได้ด้วยเหตุใดเหตุหนึ่งแล้ว จึงให้นิมนต์พระราชาคณะผู้ทรงสมณศักดิ์สูงกว่ารูปใดๆในคณะธรรมยุติกนิกาย

๑๕.ในการถวายพระเพลิง เมื่อแตรทหารบรรเลงเพลงสรรเสริญพระบารมีจบแล้ว ขอให้รวมแตรสั้นเป่า เพลงสัญญาณนอน

๑๖.ส่วนงานพระบรมอัฐิ ขอให้ทำตามระเบียบที่เคยทำมาแล้วเมื่อครั้งพระบาทสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวง

๑๗.พระอังคาร ขอให้บรรจุใต้ฐานพระพุทธชินสีห์ในวัดบวรนิเวศวิหารส่วน ๑ อีกส่วน ๑ ขอให้กันเอาไว้ไปบรรจุใต้ฐานพระร่วงโรจนฤทธิ์ ที่พระปฐมเจดีย์ ในโอกาสอันเหมาะ ซึ่งไม่ติดต่อกับงานพระเมรุ

พระบรมราชโองการนี้ ได้กระทำไว้เป็น ๓ ฉบับความต้องกัน พระราชทานให้เสนาบดีกระทรวงวังไปรักษาไว้ฉบับ ๑ ผู้สำเร็จราชการมหาดเล็กรักษาไว้ฉบับ ๑ ราชเลขาธิการรักษาไว้ฉบับ ๑ และทรงกำชับเจ้าหน้าที่ทั้ง ๓ นี้ ให้นำความกราบบังคมทูลสมเด็จพระเจ้าแผ่นดินที่จะได้เสด็จขึ้นเสวยราชย์สืบสันตติวงศ์ เพื่อให้ทรงทราบพระราชประสงค์นี้โดยตลอดถ้วนถี่

(พระบรมนามาภิไธย) ราม.วชิราวุธ ป.ร.

ร.๖ สั่งงานพระบรมศพก่อนสวรรคต ๑๗ ข้อ! ห้ามมีนางร้องไห้ ถ้ารักจริงก็ร้องเถิด
https://mgronline.com/onlinesection/detail/9590000125844

https://www.facebook.com/photo?fbid=24597669399873234&set=a.188049254595255



บริษัทพลังงานใหญ่ ที่ฟ้อง 3 สส. พรรคประชาชนคือ บริษัท กัลฟ์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) เหตุแถลงทวงค่าไฟที่เป็นธรรม ยืนยันทำหน้าที่โดยสุจริต อันมาจากการอภิปรายไม่ไว้วางใจเมื่อเดือนมีนาคม 2568


Thanapol Eawsakul
15 hours ago
·
บริษัทพลังงานใหญ่ ที่ฟ้อง 3 สส. พรรคประชาชนคือ
บริษัท กัลฟ์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน)
.....
เห็นรายงานข่าวจากสื่อต่าง ๆ เรื่อง บ..พลังงานใหญ่ฟ้อง 3 สส.พรรคประชาชน ประกอบด้วย
ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ สส.บัญชีรายชื่อ หัวหน้าพรรคประชาชน
วรภพ วิริยะโรจน์ สส. แบบบัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน
ศุภโชติ ไชยสัจ สส. แบบบัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน
คนละ 100 ล้านบาท
ณัฐพงษ์และ 2 สส. ประชาชน ถูกบริษัทไฟฟ้าใหญ่ฟ้องหมิ่นคนละ 100 ล้าน เหตุแถลงทวงค่าไฟที่เป็นธรรม ยืนยันทำหน้าที่โดยสุจริต
https://www.facebook.com/photo/?fbid=1115329980726344&set=a.586524703606877
อันมาจากการอภิปรายไม่ไว้วางใจเมื่อเดือนมีนาคม 2568
วรภพ-ศุภโชติ: นายทุนโรงไฟฟ้ามีกินมีใช้ ในรัฐบาลแพทองธาร
https://www.youtube.com/watch?v=g8sINCsiVj0...
แต่ไม่มีสื่อไหนรายงานชื่อที่ฟ้องแต่อย่างใด
ในเพจทางการของ สส.ทั้ง 2 คน
วรภพ วิริยะโรจน์
[การถูกกลุ่มทุนพลังงานฟ้องจากการอภิปรายไม่ไว้วางใจ จะไม่ทำให้การทำงานของเราเพื่อค่าไฟที่เป็นธรรมลดลง]
https://www.facebook.com/TleWoraphop/posts/1347569844042464
Supachot Chaiyasat - ศุภโชติ ไชยสัจ
ผมได้รับหมายฟ้องจากบริษัท กัลฟ์ ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) จากกรณีการอภิปรายไม่ไว้วางใจที่ผ่านมา
https://www.facebook.com/permalink.php?story_fbid=713427995060370&id=100091795283677
ก็บอกอยู่โต้ง ๆ ว่า บริษัท กัลฟ์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) เป็นโจทก์

https://www.facebook.com/thanapol.eawsakul/posts/pfbid03oghNPeatfQxBPug3X2L4kX3byeKoaaY89gVLLhNSoUsBiVVbyH97T3NfhpoFmaTl


เมื่อมีคนทนไม่ไหวเรื่องค่าไฟแพง พรรคประชาชนทำหน้าที่ในฐานะผู้แทน ทวงคืนค่าไฟฟ้าที่เป็นธรรมให้กับประชาชน แฉทุจริตรับซื้อไฟฟ้า แต่โดน GULF ฟ้องศาล เรียก 300 ล้านบาท ชี้หมิ่นประมาท


The Momentum
14 hours ago
·
GULF ฟ้องศาล เรียก 300 ล้านบาท
เท้ง-2 สส.พรรคประชาชน
ชี้หมิ่นประมาท กรณีแฉทุจริตรับซื้อไฟฟ้า
.
วันนี้ (20 สิงหาคม 2568) ที่อาคารรัฐสภา ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ สส.แบบบัญชีรายชื่อและหัวหน้าพรรคประชาชน พร้อมด้วย วรภพ วิริยะโรจน์ และศุภโชติ ไชยสัจ สส.แบบบัญชีรายชื่อพรรคประชาชน แถลงต่อสื่อมวลชนกรณีกลุ่มทุนพลังงานยักษ์ใหญ่ของประเทศอย่าง กัลฟ์ (GULF) ฟ้องร้องดำเนินคดีอาญาในข้อหาหมิ่นประมาทและเรียกร้องค่าเสียหายทางแพ่งรวม 300 ล้านบาท จากกรณีการทำหน้าที่ สส.ในการตั้งข้อสังเกตถึงความไม่เป็นธรรมในการซื้อพลังงานไฟฟ้าของรัฐบาล
.
ณัฐพงษ์กล่าวว่า ที่ผ่านมาพรรคประชาชนยืนหยัดต่อสู้เพื่อผลักดันให้ประเทศไทย มีโครงสร้างพลังงานไฟฟ้าที่เป็นธรรมและโปร่งใส แต่ที่ผ่านมาปัญหาของค่าไฟฟ้ามาจากต้นทุนแฝง ที่เกิดขึ้นจากการมีโรงงานไฟฟ้าสำรองล้นเกินความจำเป็น อีกทั้งในแผนพลังงานชาติ (National Energy Plan: NEP) ฉบับใหม่ยังไม่มีแนวทางการแก้ไขปัญหานี้อย่างจริงจัง อีกทั้งยังเปิดช่องให้รัฐบาลสามารถรับซื้อพลังงานไฟฟ้าสำรองเพิ่มเติมได้อีก
.
ดังนั้นเพื่อไม่ให้เกิดความเสียหาย ณัฐพงษ์ระบุว่า พรรคประชาชนจึงได้ใช้ทุกช่องทาง ไม่ว่าจะเป็นการแถลงข่าว การตั้งกระทู้ถาม ตลอดจนการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลในสภาผู้แทนราษฎร เพื่อผลักดันให้มีการแก้ไขปัญหา เช่น ในช่วงปลายปี 2567 พรรคประชาชนผลักดันให้รัฐบาลยกเลิกโครงการการรับซื้อพลังงานหมุนเวียนล็อต 2 ล็อต ได้แก่ 5,200 เมกะวัตต์และ 3,600 เมกะวัตต์
.
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าในช่วงแรกการผลักดันดังกล่าวดูจะเป็นไปได้ดี โดยคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) มีมติชะลอการรับซื้อพลังงานไฟฟ้าหมุนเวียนล็อต 3,600 เมกะวัตต์ แต่รัฐบาลกลับอาศัยจังหวะกระแสข่าวซาลง เดินหน้ารับซื้อในส่วนนี้ต่อโดยใช้วิธีการเจรจาลดราคารับซื้อจากเอกชน
.
หัวหน้าพรรคประชาชนกล่าวต่อว่า สิ่งที่เกิดขึ้นได้สะท้อนปัญหาการรับซื้อพลังงาน 4 ประการ ดังนี้
.
1. เป็นกระบวนการที่ไม่ใช่การประมูลรับซื้อ แต่ใช้ราคารับซื้อเดิม ทั้งๆ ที่ราคาพลังงานไฟฟ้าหมุนเวียนมีแนวโน้มลดลงทุกปี จึงส่อให้เห็นว่า รัฐบาลกำลังซื้อไฟฟ้าหมุนเวียนที่แพงเกินจริงหรือไม่
.
2. ไม่มีการเปิดเผยเกณฑ์การให้คะแนนก่อนการคัดเลือก ซึ่งที่ผ่านมาศาลเคยมีแนวคำวินิจฉัยออกมาแล้วว่า กระบวนการลักษณะดังกล่าวไม่ถูกต้องและไม่โปร่งใส
.
3. ไม่มีเหตุผลรับรองว่า เหตุใดประเทศไทยจะต้องสำรองไฟฟ้าเพิ่มเติม ทั้งๆ ที่ทุกวันนี้ประเทศไทยมีกำลังไฟฟ้าสำรองล้นเกินอยู่แล้ว
.
4. กระบวนการนี้เป็นกระบวนการที่กีดกันการแข่งขัน เนื่องจากล็อกสิทธิ์ให้กับกลุ่มทุนเดิมที่เคยเข้าร่วมกระบวนการรับซื้อเมื่อปี 2565 จึงทำให้พรรคประชาชนได้ยื่นเรื่องต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เพื่อตรวจสอบกระบวนการรับซื้อพลังงานไฟฟ้ามาตั้งแต่รัฐบาล พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา จนถึงรัฐบาลปัจจุบัน
.
ทำให้ในเวลาต่อมา บริษัท กัลฟ์ เจพี เอ็นเอส จำกัด (GULF JP NS) บริษัทผู้ผลิตและการส่งไฟฟ้าของ GULF ได้ยื่นฟ้องร้องดำเนินคดีกับณัฐพงษ์ ในข้อหาหมิ่นประมาท พร้อมเรียกค่าเสียหายทางแพ่ง 100 ล้านบาท จากกรณีการแถลงข่าวครั้งก่อนหน้า ส่วนวรภพและศุภโชติถูก บริษัท กัลฟ์ ดีเวลลอปเมนท์ จํากัด (มหาชน) (Gulf) ฟ้องร้องดำเนินคดีอาญาในลักษณะเดียวกัน พร้อมกับเรียกค่าเสียหายทางแพ่งอีกคนละ 100 ล้านบาท จากกรณีการอภิปรายในสภาผู้แทนราษฎร รวมทั้ง 3 คน รวมมูลค่าทางแพ่ง 300 ล้านบาท
.
“ผมอยากยืนยันว่า การแถลงข่าวและการอภิปรายของพวกเราที่ผ่านมาในการเรียกร้อง เพื่อทวงคืนค่าไฟฟ้าที่เป็นธรรมให้กับประชาชน เป็นการทำหน้าที่โดยสุจริตในฐานะผู้แทนราษฎร เพื่อปกป้องประโยชน์ของประชาชน
.
“การฟ้องร้องดำเนินคดีไม่ว่าจะมาจากกลุ่มทุนไหน กลุ่มทุนพลังงานหรือกลุ่มทุนใดๆ จะไม่ทำให้พวกเราหวั่นไหวหรือหยุดทำหน้าที่ในฐานะผู้แทนราษฎรต่อไป” ณัฐพงษ์กล่าว
.
ทั้งนี้ในคดีของณัฐพงษ์ ศาลจะนัดไต่สวนมูลฟ้องในวันที่ 25 สิงหาคม 2568 ที่ศาลอาญารัชดา ซึ่งณัฐพงษ์เปิดเผยว่า จะเดินทางเข้าสู่กระบวนการด้วยตนเอง

https://www.facebook.com/photo?fbid=1206074404899941&set=a.654659416708112


กลุ่มที่น่าเป็นห่วงที่สุดในสังคมไทย คือคนที่รักชาติแบบสุดโต่ง เสพสื่อ-อินฟลูที่ขยันปั่น จนขาด "สติ" ?


https://www.instagram.com/reel/DNikI5BhgGv/

Atukkit Sawangsuk
9 hours ago
·
จริงๆ ตอนนี้ พวกรักชาติจนเสียสตินี่แม่-ก็ปั่นกันไปสุดโต่งจนไปมีทางลง ฟาดงวงฟาดหางเปะปะ
.....

คลิปอังเคิลทำให้เกิดสงคราม
แต่ไม่ใช่เพราะความอ่อนด้อยของแพทองธารเท่านั้น
ที่สำคัญคือมันทำให้ทหารฮุบอำนาจตัดสินใจปัญหาชายแดน ด้วยท่าทีแข็งกร้าว ระหว่างที่กลไกการเจรจาระหว่างรัฐบาลต่อรัฐบาลเป็นง่อย