วันอังคาร, ธันวาคม 24, 2567

ถอดนัยจากสมรภูมิ ‘เลือกตั้งนายกอบจ.ภาคอีสาน’ กับการวางเกมของ ‘ทักษิณ’ ผู้ใช้มนต์ขลังสร้างคะแนนนิยม นำไปสู่ชัยชนะจาก ‘อุดรฯ’ ไปจนถึง ‘อุบลฯ’



วิเคราะห์สมรภูมิพิชิตท้องถิ่น อ่านเกมบุกอีสานแบบ ‘ทักษิณ’

23 ธ.ค. 2567
Spacebar

  • ถอดนัยจากสมรภูมิ ‘เลือกตั้งนายกอบจ.ภาคอีสาน’ กับการวางเกมของ ‘ทักษิณ’ ผู้ใช้มนต์ขลังสร้างคะแนนนิยม นำไปสู่ชัยชนะจาก ‘อุดรฯ’ ไปจนถึง ‘อุบลฯ’

ต้องยอมรับว่า ผลการเลือกตั้งนายกอบจ. จาก ‘อุดรฯ’ ถึง ‘อุบลฯ’ ได้สร้างความมั่นใจให้กับ ‘พรรคเพื่อไทย’ มากขึ้น หลังสามารถกรำชัยได้ทั้งสองสนามสำคัญ จนหลายฝ่ายเชื่อว่ามีผลมาจากการลงพื้นที่ของ ‘ทักษิณ ชินวัตร’ ผู้นำทางจิตวิญญาณของ ‘คนเสื้อแดง’ ที่ยังอบอวลด้วยมนต์ขลังจนชนะใจพี่น้องชาวอีสานได้อยู่

แม้สนานท้องถิ่นจะถือเป็นการชิมลาง แต่ก็มีปัจจัยต่อเนื่องอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ กับการเลือกตั้งภาพใหญ่ระดับประเทศ และการประกาศเชิงยุทธศาสตร์ของ ‘ทักษิณ’ ในการกวาดเก้าอี้ สส. ให้ได้อย่างน้อย 200 ที่นั่งในปี 2570 ปรากฏการณ์ที่ราบสูงจึงไม่ต่างอะไรกับสมรภูมิขนาดใหญ่ ที่มีตัวแปรสำคัญเข้าคลุกวงในหลายพรรค จนเข้าข่ายศึกการเมืองที่แลกมาด้วย 'ศักดิ์ศรี' จึงขอเริ่มถอดความจาก 'สมรภูมิอุบลราชธานี' ที่เพิ่งเสร็จสิ้นไปหมาดๆ ก่อน

‘ผศ.ปฐวี โชติอนันต์’ ประธานกลุ่มท้องถิ่นศึกษา คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี อธิบายสภาพแวดล้อมทางการเมืองในจังหวัดอุบลราชธานี (ที่ผ่านมา) ไว้ว่า มันมีความพิเศษ คือเป็นพื้นที่ ‘มัลติคัลเลอร์’ โดยเฉพาะหากมีการพิจารณาการเมืองภาพใหญ่ จะเห็นว่า มีส่วนแบ่งจากหลายพรรค แต่หากมองภาพในของท้องถิ่น หากใครมีพื้นฐานความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นกับพื้นที่ย่อมได้เปรียบ เพราะเป็นการต่อสู้เพื่อ ‘ผลแพ้ชนะ’ ไม่ใช่ ‘การต่อรอง’ ดังนั้นต้องวิเคราะห์ตามข้อเท็จจริง 3 ประการ 
  •  บรรยากาศทางการเมือง ซึ่งแตกต่างกับปี 2563 ที่กระแสมาพร้อมกับ ‘ม็อบเยาวชน’ แตกต่างกับหลังเลือกตั้ง 2566 ที่กระแสการเมืองแบบ ‘หัวก้าวหน้า’ ลดระดับความเข้มข้นลง ขณะที่กระแสความนิยมบุคคล อย่างกรณี ‘ทักษิณเอฟเฟกต์’ กลับทวีมากขึ้นต่อเนื่อง ตั้งแต่สร้างชัยชนะในศึกนายกอบจ. อุดรธานี ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความนิยม ที่ทักษิณมีมากในภาคอีสาน

  • เมื่อพิจารณาจากตัวบุคคล จะพบว่า ‘พรรคเพื่อไทย’ เป็นต่อ เนื่องจาก ‘กัลป์ตินันท์’ เป็นบ้านใหญ่ในพื้นที่ ผนวกกับ ‘กานต์ กัลป์ตินันท์’ เคยบริหารท้องถิ่น - มีผลงานเดิมเป็นกำลังหลัก แตกต่างกับ ‘มาดามกบ - จิตรวรรณ หวังศุภกิจโกศล’ ที่ถึงแม้จะอาศัยบารมี ‘เครือข่ายแป้งมัน’ และสรรพกำลัง ‘พรรคไทรวมพลัง’ แต่ก็ไม่ใช่ ‘คนท้องถิ่น’ เดิม ขณะที่ ‘สิทธิพล เลาหะวนิช’ จากพรรคประชาชน ก็ถูกตั้งคำถามเรื่องอุดมการณ์ทางการเมือง จากที่เคยร่วมทำงานในฐานะรองนายกอบจ. ร่วมกับกานต์มาก่อน
  • กลไกทางการเมือง กลายเป็นปัจจัยสู่ชัยชนะ ดูได้จากขุมกำลังของ ‘กานต์’ ที่มีเครือข่าย สส.เพื่อไทย และภาคการเมืองท้องถิ่น (สจ.- อบจ.) ร่วมผนึกกำลังภายใต้ความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้น ทำให้ปัญหาท้องถิ่นถูกหยิบยกเข้าไปหารือในสภาได้รวดเร็ว แสดงภาพการทำงานระหว่างพันธมิตรท้องถิ่นและพรรคการเมืองขนาดใหญ่ ที่สอดคล้องกับนโยบายการแก้ไขปัญหาของรัฐบาล ได้อย่างไร้รอยต่อ
“ยิ่งคุณทักษิณลงพื้นที่เพื่อกระชับความเข้าใจ พร้อมทั้งอธิบายถึงอนาคตของภาคอีสานด้วย ก็เลยยิ่งทำให้คะแนนไห]มาที่คุณกานต์มากขึ้น ส่วนในการเมืองภาพใหญ่เพื่อไทยอาจมีแนวโน้มได้ สส.เพิ่มมากขึ้นด้วย เพราะคุณทักษิณกลับมาบัญชาการ - เดินสายเอง ควบคู่กับการบริหารงานของรัฐบาล ส่วนภูมิใจไทยเองก็คงสู้ไม่ถอย แต่คงเลือกพื้นที่เฉพาะกลุ่ม (ที่มั่นใจ) ก็ขึ้่นอยู่กับการบริหารของรัฐบาลแพทองธาร ซึ่งหากเศรษฐกิจ หรือปัญหาปากท้องได้รับการแก้ไข พรรคเพื่อไทยก็จะได้ภาษีนี้ในการเลือกตั้งครั้งหน้าแน่นอน”

ในมุมมองของ ปฐวีคิดว่า ‘ทักษิณ’ คือผู้เจนจัดในการวางยุทธศาสตร์การเมือง แม้หลายฝ่ายจะตั้งคำถามว่าเป็น ‘การทุ่มสุดตัว’ กับภาคอีสานมากกว่าที่อื่น แต่เอาเข้าจริง เป็นการเลือกเดินเกม **‘แบบหวังผล’ ** ดังนั้นจึงไม่อาจจำแนกว่า การทุ่มสุดตัวในภาคอีสาน คือปล่อยผ่านภาคเหนือ (หรือภาคอื่นๆ) แต่เป็นการวางการแสดงบทบาท ในพื้นที่ที่จำเป็นต้องได้รับชัยชนะ ซึ่งต่อคู่แข่งสำคัญอย่าง ‘พรรคภูมิใจไทย’

กระนั้น การเมืองท้องถิ่นก็ไม่อาจตีความถึงการเมืองระดับชาติได้ทุกประการ เพราะปัจจัยมีความต่างอยู่หลายเงื่อนไข อย่างกรณีของ ‘พรรคประชาชน’ ในศึกนายกอบจ.ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ก็ต้องเผชิญกับการเมืองแบบการเลือกตั้งจังหวัด จำเป็นต้องใช้ทรัพยากรเยอะ บทเรียนของ ‘พรรคส้ม’ ในพื้นที่อีสาน คือการโฟกัส ‘การเลือกตั้งระดับเทศบาล’ ซึ่งเป็นการปกครองส่วนท้องถิ่นในพื้นที่เมือง หากตีโจทย์แตกจนได้เข้าไปทำหน้าที่ ก็สามารถพิสูจน์ตัวเอง ผ่านการแสดงฝีมือในระดับท้องถิ่น เพิ่มกลไกในการปูพื้นฐานให้การเมืองระดับอีกทางหนึ่ง ในการเพิ่มแนวโน้มช่วงชิง สส.ในเขตเมืองมากขึ้น

“หากพรรคส้ม สามารถเข้าไปมีบทบาทในองค์การท้องถิ่น (ในเมืองใหญ่)ของภาคอีสานหลายจังหวัดได้ ก็เป็นการเพิ่มแนวโน้ม ว่าการเลือกตั้งปี 2570 อาจชิงพื้นที่เมืองของ เพื่อไทย - ภูมิใจไทยสำเร็จ โดยใช้โมเดลสร้างผลงานว่าสามารถทำได้จริง ซึ่งกลไกการพิสูจน์อุดมการณ์ผ่านผลงานน ยังมีโอกาสครับถ้าผู้บริหารส่วนกลางและท้องถิ่นของพรรค ให้ความสนใจกับการบริหารท้องถิ่นมากขึ้น โดยเฉพาะเขตที่เป็นเมืองและมหาวิทยาลัย มันจำเป็นต้องพิสูจน์ตัวเองเพื่อเป็นเงื่อนไขให้ประชาชนในพื้นที่นั้นๆ ตัดสินใจในการเมืองระดับชาติ”

ปฐวี กล่าวทิ้งท้าย

ขณะที่ ‘ผศ.ดร.วันวิชิต บุญโปร่ง’ อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต ได้ให้ความเห็นสอดคล้องกับนักรัฐศาสตร์ท้องถิ่น ถึงอิทธิพลทางความคิดที่ ‘ทักษิณ’ มีต่อคนอีสานสูง แต่บทพิสูจน์สำคัญที่จะชี้วัดความสำเร็จ คือ สมรภูมิการเลือกตั้งท้องถิ่น ในพื้นที่ ‘พรรคเพื่อไทย’ กับ ‘พรรคภูมิใจไทย’ ต่างเผชิญหน้ากันโดยตรง อาทิ การเลือกตั้งจังหวัดศรีสะเกษ ที่จะเกิดขึ้นเร็วๆ นี้ ซึ่งมีตัวแปรทั้งจำนวนสส.ที่ได้จากการเลือกตั้ง 2566 และตัวละครบุคคลระดับถิ่น ที่ทั้งสองพรรคสามารถใช้สรรพกำลังสู้กันได้อย่างสูสี

“ยุทธการตีหนูไล่งูเห่าก็เคยเริ่มที่ศรีสะเกษ ผมจึงคิดว่าถ้าจะวัดความเป็นใหญ่ในอีสานจริง ต้องการเลือกตั้งอบจ.ที่นั้น มันเป็นหมุดหมายสำคัญที่จะเรียกความมั่นใจให้กับคนที่ชนะ โดยเฉพาะหากพรรคเพื่อไทยได้รับการเลือกตั้ง ก็อาจหมายความว่าพรรคภูมิใจไทยยังไม่ใช่คู่แข่งในภาคอีสานที่แข็งแรงพอ”

แต่ในทางตรงกันข้าม หาก ‘วิชิต ไตรสรณกุล’ อดีตแชมป์เก่า (เคยสังกัดพรรคภูมิใจไทย) ที่แม้นปัจจุบันจะลงสมัครในนามอิสระ สามารถรักษาพื้นที่ศรีสะเกษได้ ก็อาจเป็นบทเรียนให้พรรคเพื่อไทยต้องปรับกลยุทธ์ต่อ สำหรับสนามอื่นๆ ที่ตนเองไม่ได้เป็นเจ้าของดั้งเดิม

ส่วนการที่พรรคเพื่อไทยพยายามชิงพื้นที่ภาคอีสาน ตั้งแต่การเลือกนายกอบจ. มากจากความจำเป็นต่อการลงทุนลงแรง เพื่อสร้างรากฐานของพื้นที่ ทั้งด้านความสัมพันธ์ส่วนท้องถิ่นและการผนวกรวมเครือข่าย ซึ่งเป็นแบบเดียวกับที่พรรคภูมิใจไทยใช้เป็นเครื่องมือ ในการจัดตั้งหัวคะแนนภาคอีสานมาโดยตลอด

แต่ในพื้นที่อื่นๆ ที่พรรคเพื่อไทยมีเครือข่ายอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็น คนของตนเอง หรือพันธมิตรการเมือง ก็ไม่จำเป็นต้องเคลื่อนไหวหนักมาก โดยเฉพาะภาคเหนือ ซึ่งมี ‘พรรคกล้าธรรม’ ที่วางโครงข่ายไว้อย่างเข้มแข็ง และแม้นจะไม่ใช่คนของพรรคเพื่อไทยโดยตรง แต่ก็พอจะมีอำนาจการต่อรองร่วมกันได้ในอนาคต จึงไม่จำเป็นต้องลงแรงให้เสียกำลัง

“ตรงไหนที่พรรคกล้าธรรมเข้มแข็ง (อย่างหลายพื้นที่ในภาคเหนือ) เพื่อไทยก็ไม่ซีเรียสว่านายกอบจ.จะต้องเป็นของใคร เพราะท้ายที่สุดก็ต้องร่วมหอลงโลงด้วยกันอยู่ดี กระสุนดินดำก็ไม่ต้องเสียเพิ่ม แต่ยังคงมีความเกรงอกเกรงใจซึ่งกันและกันอยู่”

ดังนั้น มุมมองของวันวิชิต จึงเห็นว่า ‘ภาคอีสาน’ กลายเป็นพื้นที่ฟาดฟันกันด้วยศักดิ์ศรีอย่างแท้จริง ระหว่าง ‘พรรคเพื่อไทย’ กับ ‘พรรคภูมิใจไทย’ ที่มีแนวคิดและการทำงานใกล้เคียงกันอย่างชัดเจนที่สุด

หมายความว่า สมรภูมิดินแดนที่ราบสูง ต่อจากนี้จะไม่มีความเกรงใจต่อกันระหว่างการทำศึก…

https://spacebar.th/politics/thaksin-regional-election-in-the-northeast


การไร้ความสามารถของลูก ทำให้ คำพูดของพ่อกลายเป็นเรื่องตลก


"อุ๊งอิ๊งค์" ดอนท์แคร์! เพื่อไทยเป็นรัฐบาล ค่าไฟค่าน้ำมันลดทันที จับตาค่าแรง 600 บาท

1 year ago

https://www.youtube.com/watch?v=rqdhUzT_Jns
.....

Thanapol Eawsakul
3 hours ago

·
การไร้ความสามารถ ของลูก -แพทองธาร. ชินวัตร- ทำให้พ่อ -ทักษิณ. ชินวัตร- กลายเป็นตัวตลก
.....
สิ่งที่ทักษิณ. ชินวัตรได้เปรียบ นักการเมืองคนอื่นๆในสภาตอนนี้ก็คือ
เคยบริหารประเทศมาแล้ว. และทำสำเร็จมาแล้วด้วย (แม้จะไม่ทุกเรื่อง)
ดังนั้น ทักษิณ. ชินวัตรจึง ดูถูกนักการเมืองรุ่นใหม่ โดยเฉพาะพรรคก้าวไกลพรรคประชาชน ที่ตัวเองพึ่งแพ้การเลือกตั้ง 2566 มา
ไล่ตั้งแต่
ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ
พิธา ลิ้มเจริญรัตน์
ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ
ว่าคนพวกนี้ดีแต่พูด ทำงานไม่เป็น
สิ่งเหล่านี้ อาจจะฟังได้
และทักษิณสามารถเอามาขิง ใส่นักการเมืองรุ่นหลังได้
เพราะคนอื่นๆยังไม่เคยบริหารประเทศจริงๆ
แต่สิ่งที่ทักษิณพลาดที่สุด
คือดันไปยกย่อง ลูกสาว ตัวเองคือแพทองธาร ชินวัตร
ว่ามีความสามารถมากที่สุด เหนือกว่านักการเมืองคนอื่นๆทั้งปวง
มากกว่าตัวเองที่มีอายุเท่ากันเสียอีก
ทั้งที่คนทั้งประเทศรวมทั้งบรรดานายแบกและนายแบกพรรคเพื่อไทยก็รู้อยู่เต็มหัวอกว่า
แพทองธารไม่มีอะไรเลยถ้าไม่มีพ่อที่ทักษิณ ชินวัตร
( ฉายาที่นักข่าวทำเนียบรัฐบาลตั้งให้สะท้อนความรู้สึกนี้ได้เป็นอย่างดี)
สิ่งเหล่านี้เลยทำให้คำพูดทั้งหมดของทักษิณ กลายเป็นเรื่องตลก

https://www.facebook.com/thanapol.eawsakul/posts/9191633510903406
.....



Voice TV
December 28, 2022
·
เพื่อไทยคิกออฟติดป้าย 8 นโยบาย รับประชาชนกลับบ้านปีใหม่ 2566 ‘ประเสริฐ’ มั่นใจ ปีหน้ารัฐบาลเพื่อไทยพร้อมพลิกคุณภาพชีวิตคนไทยทุกคน

วันที่ 29 ธ.ค. 2565 ประเสริฐ จันทรรวงทอง ส.ส.นครราชสีมา และเลขาธิการพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า หลังจากที่พรรคเพื่อไทยได้เปิดตัววิสัยทัศน์รัฐบาลพรรคเพื่อไทยในปี 2570 โดย แพทองธาร ชินวัตร ประธานคณะที่ปรึกษาด้านการมีส่วนร่วมและนวัตกรรม พรรคเพื่อไทย และหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย ภายใต้แนวคิด ‘คิดใหญ่ ทำเป็น เพื่อไทยทุกคน : Think Big, Act Smart, For All Thais’ เมื่อวันที่ 6 ธ.ค. 2565 ที่ผ่านมา

พบว่าได้รับการตอบรับจากพี่น้องประชาชนเป็นอย่างดี ประชาชนต้องการเห็นความเปลี่ยนแปลงในคุณภาพชีวิต อยากเห็นความเปลี่ยนแปลงของประเทศ ไปในทิศทางที่ดีกว่าวันนี้ เพราะมีความเชื่อมั่นในพรรคเพื่อไทย พรรคที่คิดได้และทำเป็น เป็นพรรคการเมืองที่พี่น้องประชาชนให้ความไว้วางใจว่าจะสามารถฝากชีวิต ฝากอนาคตของลูกหลานไว้ได้ จึงได้มอบหมายให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) และผู้ซึ่งประสงค์สมัครรับเลือกตั้ง ส.ส. ที่พรรคได้ประกาศรายชื่อทั้งหมด นำแผ่นป้ายนโยบายหลัก 8 ด้าน ดำเนินการติดตั้งให้แล้วเสร็จทั่วทุกภูมิภาคของประเทศไทยก่อนช่วงเทศกาลปีใหม่ ปี 2566 ที่กำลังจะมาถึงนี้ โดยแผ่นป้ายนโยบายทั้ง 8 ด้าน ได้แก่

1.ค่าแรงขั้นต่ำ 600บ./วัน ปริญญาตรี 25,000 บ./เดือน ภายในปี 2570

2.เพื่อไทยมายาเสพติดหมดไป คืนชีวิตปลอดภัยให้ประชาชน

3.ยกระดับ 30 บาท บัตรประชาชนใบเดียวรักษาทั่วไทย จองคิวได้เร็ว วัคซีนมะเร็งปากมดลูกฟรี ซึมเศร้าใกล้บ้านรักษาฟรี

4.เพื่อไทยเป็นรัฐบาล ค่าไฟ ค่าน้ำมัน ค่าแก๊ส ลดราคาทันที

5.ราคาพืชผลเกษตรขึ้นยกแผง เพื่อไทยเคยทำได้และจะทำอีก

6.อินเทอร์เน็ตความเร็วสูงทุกหมู่บ้าน สร้าง Blockchain สัญชาติไทย ค้าขายออนไลน์สร้างรายได้ใหม่ให้ครอบครัว

7.เร่งสร้างคนทำงานทักษะสูง สร้างงาน 20 ล้านตำแหน่ง รายได้ไม่ต่ำกว่า 200,000 บาท/ปี

8.นโยบายดีๆ ใครก็พูดได้ แต่พรรคที่ทำได้และทำเป็น คือ เพื่อไทย

ประเสริฐ กล่าวอีกว่า การเลือกช่วงเวลาติดแผ่นป้ายนโยบายในช่วงเทศกาลปีใหม่ เพื่อเป็นส่งมอบความสุขและความหวังในการเดินทางเข้าสู่ปี 2566 ปีแห่งการเริ่มต้นใหม่ เปลี่ยนไปสู่รัฐบาลใหม่ เปลี่ยนผู้นำประเทศคนใหม่ และจะดียิ่งไปกว่านั้นคือ พี่น้องประชาชนจะได้รัฐบาลพรรคเพื่อไทย เป็นรัฐบาลที่จะนำพาคุณภาพชีวิตที่ดีกว่าวันนี้

“พรรคเพื่อไทยเลือกเอาช่วงเวลาแห่งความสุขของพี่น้องประชาชนทุกคนในการติดตั้งแผ่นป้ายนโยบายของเราทั้ง 8 นโยบาย เพื่อให้ประชาชนที่เดินทางกลับภูมิลำเนาในช่วงเทศกาลปีใหม่นี้ได้เห็นนโยบายของเราได้อย่างทั่วถึง ส่วนพรรคใดติดแผ่นป้ายนโยบายก่อนหรือหลัง ติดเร็วหรือช้า ก็เป็นแนวทางของแต่ละพรรคที่จะทำได้ แต่เพื่อไทยเรายึดมั่นที่ตัวนโยบายที่สด ใหม่ และของเดิมที่เราเคยทำจะดียิ่งกว่าเดิม มั่นใจว่าทำได้จริงแล้วจึงประกาศไปสู่พี่น้องประชาชน” ประเสริฐกล่าว

อ่านที่ https://www.voicetv.co.th/read/3c8kCV00f



ท่ามกลางการเสียเปรียบของพลังประชาธิปไตย จากการบ่อนทำลายของผู้มีอำนาจ บทความใน New Mandala แนะทางออก


A MOVE FORWARD SUPPORTER AFTER THE PARTY'S DISSOLUTION ON 8 AUGUST 2024 (PHOTO: ก้าวไกลของประชาชน - Move Forward ON FACEBOOK)

Sirikan June Charoensiri
16 hours ago
·
“However much democratic forces are disadvantaged in such circumstances, they must focus on building strong organisational and mobilisational infrastructures. This approach will ensure that, in both the short and long term, they can stand independently and seize opportunities for genuine democratic transitions and consolidation when circumstances allow. Without prioritising the development of robust organisational and network infrastructures, movements and parties rarely achieve their shared objectives of democratisation and the advancement of rights amidst repression.”
By Kai Akanit
...

Thailand’s deinstitutionalised democracy movement

Throughout the decades of alternation between military rule and circumscribed democracy, one priority of Thailand’s establishment has always sought to undermine the organisational strength and coherence of reformist movements and parties. Weak party infrastructures, lack of access to state resources, and the distractions of bans and harassment haunt Pheu Thai and the People’s Party today even as public demand for democratic change mounts.

Akanit Horatanakun - 23 Dec, 2024
New Mandala

In the aftermath of revolutionary youth-led protests in 2020–21, Thailand is now governed by an elected administration led by Paetongtarn Shinawatra‘s coalition government. This peculiar coalition includes royalist, military-linked, and clientelistic parties, all under the leadership of the Pheu Thai Party (PTP), a centrist and personalistic party with pro-reform democratic elements. Since the May 2023 general elections, youth-led street protests have vanished, and Thailand appears to have entered a period of hybrid regime after a decade of authoritarian rule.

Despite appearances of greater stability, Thailand’s social movement sector and party system remain under subtle yet intense repression by establishment forces. These forces perceive representative politics—whether expressed through street protests or within political institutions—as a systemic threat to their longevity and survival, and have manipulated representative systems in various ways. Pro-reform and democratic parties, including the incumbent Pheu Thai and particularly the anti-establishment People’s Party (PP)—the third incarnation of the Future Forward Party (FFP) and Move Forward Party (MFP) after they were banned—face threats of dissolution and selective politician bans by the Constitutional Court. Meanwhile, many youth movement leaders have been charged under draconian laws, particularly the lèse-majesté law, facing long-term imprisonment, forced to halt their activities, and many have gone into exile.

This article offers a fresh perspective on the challenges that Thailand faces in achieving a democratic breakthrough by foregrounding the role that state-led repression has played in limiting the organisational strength and social bases of democratic movements and parties. By properly apprehending this reality, I argue, we are better placed to understand what movements, parties, and their supporters—inside or outside Thailand—should prioritise amidst ongoing repression.

Strong spirit, weak body

Historically, Thailand has been locked in a continual struggle between reformist or revolutionary political parties and social movements on one side, and the hegemonic establishment—particularly the monarchy and the military—on the other. Since the 1932 revolution, royalist forces, skeptical of Siam’s readiness for representative democracy and perceiving threats to royal authority, have taken measures to suppress democratic associations. A 1933 royal decree dissolved both the People’s Party Association and the Nationalist Party Association, and amended laws to ban any social and political group deemed a threat to national security.

The action eradicated the nascent roots of democratic associational life in the aftermath of the 1932 revolution, instituting a no-party system that persisted until 1946. Acts of autocratic repression became routine, with establishment elites repeatedly stifling the development of movements and parties. Under Sarit Thanarat’s royalist regime (1958–1963), all civic space for representative organisations, including parties and movements, was eliminated. Sarit wielded Article 17 of the 1959 Interim Constitution, which granted the prime minister unchecked authority to “issue any order or perform any act whatsoever”.

State and royalist repression have for decades hence done much to shape the infrastructural development of movements and parties, resulting in weak social bases and organisational structures that persist until this day. While all parties were affected, pro-democracy parties were hit especially hard. Following the October 1976 massacre, when progressive movements were annihilated and left-wing parties dissolved, Thailand’s parties became largely clientelistic. They found little reason to invest in deep societal roots or partnerships with weakened social movements, which faced severe state repression and cooptation. Royalist regimes suppressed contentious social movements—especially labour, peasant, and student movements—while co-opting state-based civil society organisations (e.g., rural development, economic, social and cultural rights, and other grassroots organisations) into the state apparatus, maintaining vertical relationships rather than genuine autonomy.

Movement organisations focusing on democratisation or civil and political rights have rarely had access to state funding—which often imposes restrictions rather than providing support—and must rely on external funders and philanthropy, which typically prohibits partisan activities or building relationships with parties. This arrangement makes them accountable to funders rather than local constituents, further hindering their ability to build strong organisational bases.

The practice of banning counter-establishment parties outright has intensified since the coup of 2006, when establishment forces perceived significant threats from the success of Thaksin Shinawatra’s Thai Rak Thai (TRT)—the first Thai party to serve a full term without interruption and a popular majority government—to their status quo. They used “independent institutions” established under the 1997 Constitution, including the Constitutional Court and other monitoring bodies, to orchestrate the banning of popular parties and politicians. Since then, the party has been banned twice by the Constitutional Court (making Pheu Thai its third incarnation), and four of its prime ministers have been dismissed, including Prime Minister Paetongtarn’s predecessor Srettha Thavisin. Despite its post-2023 coalition with conservatives, the party still continues to face threats of dissolution from the Constitutional Court and pro-establishment mobilisation from former anti-Thaksin Yellow Shirt leaders.

State repression has significantly deinstitutionalised the Pheu Thai’s organisational and network structures since then. TRT profoundly changed Thailand’s economic and political landscape, lifting millions from absolute poverty and embedding a mass democratic political culture that fostered political rights consciousness, leading to the rise of the Red Shirt movement and its pro-democracy identity. However, the party leadership from the TRT era (2001–2006) were banned or forced to flee during a decade of junta rule, resulting in a heavily reduced party capacity—particularly in policy innovation.

A decade of authoritarian rule under the junta that seized power in 2014 weakened PTP voters’ partisanship (i.e. their enduring attachment to or identification with a political party), as shown in the 2023 elections, when the party lost its leading position for the first time. The party’s legacy of uplifting millions has faded over time. Its ideological and constituency bases—once embodied in the Red Shirt movement—also have diminished due to the absence of continual party organising on the ground during the junta period, leading to weakened social ties among grassroots networks. Importantly, its mid-level mobilisational infrastructure—a network of rural canvassers who connected party organisations with rural bases, communicated and interpreted programmatic positions at the village level, and organised local voters and their families—was largely repressed during the decade of junta rule. Pheu Thai’s rural infrastructure has not recovered, as the party has not prioritised rebuilding it.

Meanwhile, the People’s Party (PP), a successor of the banned Move Forward and Future Forward, faces similar but even more intense repression. Its former leader, Pita Limjaroenrat, has been banned from politics for 10 years, and the party risks losing more of its 44 leaders in ongoing Constitutional Court cases related to their campaign for the repeal of the lèse-majesté law. Party leadership has been in disarray and cannot cultivate new leaders quickly enough to replace those who were or will be banned.

Each party ban forces the organisation to spend lots of time managing administrative transitions to new entities, and party networks on the ground are required to halt operations or dissolve during these limbo periods. Its organisational and network structure has become more deinstitutionalised and reduced in size over time due to repression. As a result, PP has been less able to establish a mass-based party as it envisioned and tends to be trapped under the iron law of oligarchy: as my interviews with civil society figures and party workers have suggested, decision-making increasingly rests with party elites and political stars rather than its social movement bases and grassroots memberships.

Banning parties not only diminishes the long-term capacity of the Pheu Thai and People’s Party and limits their power bases—built on established relationships with constituents requiring sustained organizing efforts—but also destabilises the party system as a whole. When parties perceive that they could be banned or deinstitutionalised, they limit their grassroots expansion and invest less in building branches and organisational structures. Instead, politicians focus on loose network building—usually clientelistic—to remain agile and adaptable to external threats, enabling quick transitions to new entities when banned. This situation most clearly affects Pheu Thai, which initially emerged by forming a grand coalition of provincial dynastic families and their parties, incorporating over 100 MPs from these parties and inheriting their clientelistic networks.

It is also important to recognise the repressive, divide-and-rule context of the post-2023 elections. The Move Forward Party, which won the most seats, could not form a government pact with the runner-up, Pheu Thai, due to obstruction by the junta-appointed Senate, leading to political gridlock. This is a classic prisoner’s dilemma: both parties could not form a government pact, faced defection from their partner, and thus lost their chance to form a post-authoritarian transition government—the optimal outcome. Confronted with such a political crisis and establishment pressure —or arguably, a deal with the establishment—Pheu Thai pragmatically formed an unusual alliance with its historic junta rivals, sending strong signals to its partisan voters that its pro-reform, pro-democratic traditions were largely abandoned.

According to Noam Lupu’s theory of party breakdown—which in my opinion could well apply to Pheu Thai—the party faces a high chance of collapsing in future elections. First, the party’s brand as pro-poor, pro-democracy, and pro-reform has been diluted. When Pheu Thai, previously positioned as a pro-democracy force alongside Move Forward during the junta period, formed a government with royalist and junta parties after the May 2023 elections, large segments of pro-democracy and partisan voters detached from the party. They became less able to differentiate Pheu Thai from other clientelistic, royalist, and junta alliance parties, signaling that it had become more compromised or aligned with the establishment and opposed to deep economic and political reforms.

Second, as a coalition with weak capacity to control its partners and prevent fragmentation, the Pheu Thai-led government seems not only less able to deliver pro-democracy, anti-junta, and deeply reform policies as promised during its election campaigns but also appears to perform poorly economically amid global instability and Thailand’s chronic issues stemming from long-term political turmoil. Thus, Pheu Thai struggles to achieve consensus among voters on valence issues like economic prosperity or anti-corruption. Its longtime voters are uncertain about the party’s new positions and may shift their support to other parties in the next election. These conditions—where the Pheu Thai’s brand is diluted, long-term voter partisanship erodes, and the government performs poorly—set the stage for voters to defect en masse, potentially leading to party breakdown.


Sretta Thavisin, Thaksin Shinawatra and Paetongtarn Shinawatra pictured together on 13 December 2024 (Photo: Pheu Thai on Facebook)

Opportunities amid repression

Amidst ongoing repression, there is no shortcut to a solution. Movements and parties must prioritise building strong organisational and network infrastructures, cultivating quality leadership, and organising strong relationships with their constituencies.

For progressive, movement-based parties—particularly the People’s Party, which emerged from and recruited heavily within the social movement sector—it is crucial to focus on building a mobilisational infrastructure. This includes developing organisations, networks, and leadership to sustain the social movement sector and its overlapping party network, thereby maintaining or expanding their capacity and ensuring long-term survival. Scholars have warned that when parties recruit extensively from the movement sector without organising new leadership and contributing back to the movements, both entities risk becoming weak and facing deinstitutionalisation over time.

However, in the prolonged repressive environment, the focus on organisational and infrastructural building seems secondary to other immediate tasks. After the previous ban, Move Forward devoted its limited resources to parliamentary work rather than building grassroots networks, expanding constituencies, and cultivating young leadership—which were once a priority for Future Forward. Social movements also allocated their limited resources to urgent campaigns, such as releasing activists from prison, campaigning for amnesty laws, constitutional amendments, and other rights-based agendas.

Amid repression, funding scarcity, and the retreat of funders from Thailand and Southeast Asia to other regions or their home countries—as is expected under the second Trump administration in the US—movement organisations often prioritise frontline campaign work over long-term goals like leadership development or infrastructure building.Without access to state resources, it is difficult for social movements and the People’s Party to focus on building mobilisational infrastructures. Consequently, due to state repression, both People’s Party activists and social movement activists tend to develop tunnel vision, failing to recognise how their infrastructures are intertwined and mutually dependent. Instead, they operate as if in separate spheres, which undermines their goals of rights-based reforms, democratisation, and long-term survival.

Amid ongoing and worsening brand dilution, Pheu Thai requires a comprehensive reinvention to survive potential breakdown. The party may anticipate this; it has established a new task force of young professionals, the Pheu Thai Academy, to lead institutionalisation efforts, strengthen programmatic positions, build future leaders, enhance parliamentary work, and innovate new policies.

This is nonetheless a formidable task because Pheu Thai has long since become a personalistic and clientelistic party, making internal reform challenging in the short term. These young reformers often face resistance from older oligarchs and local bosses within the party. Moreover, Pheu Thai has long been a prime target of establishment efforts to undermine it. Its current minority position in parliament, including a weak coalition fraught with fragmentation and contestation from other junta and clientelistic parties, means that its pro-reform, pro-democratic policies—such as constitutional amendments—are hard to pass in both the lower house and the establishment-controlled upper chamber. Implementing reforms is also difficult due to weak party capacity. With a diluted brand, party leaders may struggle to recruit new, talented individuals. Leadership is mired in short-term, day-to-day survival rather than long-term organisational building. While Pheu Thai seems partially on the right track, its overwhelmed leadership may be unable to invest sufficiently in party organisation and networks. Party breakdown thus looms.

Moreover, party elites of both Pheu Thai and the People’s Party—particularly older politicians nearing the end of their careers, those who will soon be banned, and political stars—tend to focus on short-term, electoral gains and appealing to median voters, rather than on long-term capacity building and constituency interests that link the party to its social base. In contrast, grassroots party activists and younger leaders, especially those accountable to specific constituencies like local movements or civic groups, tend to strategically focus on long-term visions such as party building and expanding the party’s base. These two groups can conflict over strategies, and party leaders often have veto power, naturally leaning toward immediate electoral gains over infrastructural investment.

While the People’s Party’s decision-making tends to increasingly emphasise short-term electoral gains, the rank and file—particularly activists connected to social movements, those involved in the Progressive Movement Foundation (the party’s social movement wing), or those in the party’s organising units like the Common School—focus on organising work that builds youth leadership and cultivates the necessary relationships for developing mobilisational infrastructure. However, these units are currently too small to significantly impact party and movement building and are not prioritised by the party.
Conclusion: preparing for change

In Southeast Asia, authoritarian forces often use a democratic façade to conceal their true nature. These hybrid regimes hold elections to present the appearance of democracy while continuing to operate autocratically. This strategy grants them legitimacy, and regional powers like the United States and China often remain silent, prioritising their political and economic interests to expand their spheres of influence. It is no surprise, therefore, that regimes like the establishment-controlled one in Thailand or the Tatmadaw in Myanmar aim to hold elections to disguise autocratic rule under a democratic veneer.

However much democratic forces are disadvantaged in such circumstances, they must focus on building strong organisational and mobilisational infrastructures. This approach will ensure that, in both the short and long term, they can stand independently and seize opportunities for genuine democratic transitions and consolidation when circumstances allow. Without prioritising the development of robust organisational and network infrastructures, movements and parties rarely achieve their shared objectives of democratisation and the advancement of rights amidst repression.

https://www.newmandala.org/thailands-deinstitutionalised-democracy-movement/


ใครคือตัวจริง... เรื่องนี้คุ้นๆนะ


TODAY
9 hours ago
·
'โดนัลด์ ทรัมป์' ยืนยันเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ ตัวจริง ไม่มีใครกุมบังเหียน หลังถูกวิจารณ์หนัก ‘อีลอน มัสก์’ เล่นใหญ่เกินบทบาท ครอบงำว่าที่รัฐบาลชุดใหม่ จนเกิดกระแสต่อต้านอิทธิพลมหาเศรษฐีที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง
.
อิทธิพลของ อีลอน มัสก์ ในรัฐบาล โดนัลด์ ทรัมป์ 2.0 ถูกตั้งคำถามมากขึ้นเรื่อยๆ ในช่วงเวลาอีกแค่ไม่ถึงเดือนที่ ว่าที่ประธานาธิบดีคนที่ 47 ของสหรัฐฯ จะสาบานตนรับตำแหน่งอย่างเป็นทางการ
.
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หลังจากที่มหาเศรษฐีชาวอเมริกันเจ้าของรถยนต์ไฟฟ้าเทสลา และบริษัทเทคโนโลยีอวกาศสเปซเอ็กซ์ คนนี้ เริ่มเข้ามามีบทบาทในเรื่องสำคัญๆ ที่เกี่ยวข้องกับการบริหารประเทศ
.
ยิ่งทำให้คำถามเกี่ยวกับอิทธิพลของตัวเขาต่อพรรครีพับลิกัน และว่าที่ประธานาธิบดีทรัมป์ ยิ่งถูกพูดถึงมากขึ้นไปอีก ถึงขั้นมีการเสียดสีว่า ใครคือประธานาธิบดีสหรัฐฯ ตัวจริงกันแน่ ระหว่าง อีลอน มัสก์ นักธุรกิจที่เป็นนายทุนใหญ่ของพรรครีพับลิกัน กับ โดนัลด์ ทรัมป์ ผู้ที่ชนะการเลือกตั้งมา
.
[ชาวอเมริกันกังวล มัสก์ครอบงำรัฐบาลทรัมป์]
.
กรณีล่าสุด ที่เพิ่งจะเกิดขึ้นเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว เป็นตัวอย่างชัดเจนที่แสดงให้เห็นถึงบทบาทที่ไม่ธรรมดาของมัสก์ ในพรรครีพับลิกัน หลังจากที่เขาออกตัวแรง กดดัน สส. รีพับลิกันในสภา ไม่ให้รับร่างกฎหมายงบประมาณรายจ่ายของรัฐบาลได้สำเร็จ จนเกือบทำให้ประเทศเข้าสู่ภาวะชัตดาวน์ทางการคลัง แม้ในที่สุดร่างกฎหมายดังกล่าวจะถูกหยิบมาเจรจาอีกรอบ และผ่านสภาได้ก่อนถึงกำหนดเส้นตายแค่ไม่กี่ชั่วโมง
.
โดยสิ่งที่มัสก์ทำก็คือ เขาใช้ X ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มโซเซียลมีเดียที่เขาซื้อมาเมื่อปี 2022 โพสต์รัวๆ ให้ข้อมูลต่างๆ นานา ปลุกกระแสต่อต้านร่างกฎหมายงบประมาณ แม้ว่าบางข้อมูลจะถูกตรวจสอบแล้วว่าไม่ใช่เรื่องจริง แต่เขาก็สามารถปลุกกระแสขึ้นมาได้ตามต้องการ
.
ซ้ำร้ายกว่านั้น มัสก์เป็นคนแรกที่ออกมาเคลื่อนไหวกดดัน สส.รีพับลิกัน เรื่องนี้ ก่อนที่ โดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งเป็นประธานาธิบดีตัวจริง จะออกมากดดันสมาชิกพรรคอีกทางหนึ่ง ด้วยการขู่ว่าถ้าทำตามแนวทางของเขาจะไม่ได้รับการสนับสนุนในการเลือกตั้งครั้งหน้าซะอีก
.
จนมีคำพูดเสียดสีมาจาก สส.เดโมแครต เรียกอีลอน มัสก์ ว่า ประธานาธิบดีมัสก์ แทน ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ลามไปจนมีข่าวลือตามมาว่า หรือทรัมป์อาจมีแผนจะยกตำแหน่งประธานาธิบดีให้กับมัสก์ ไม่ก็ยอมให้มัสก์มาเป็นคนกุมบังเหียนรัฐบาลของเขา
.
อย่างไรก็ตาม เรื่องที่อีลอน มัสก์ อาจมีอิทธิพลถึงขั้นครอบงำว่าที่ประธานาธิบดีทรัมป์ได้ ถ้าให้พูดกันจริงๆ ก็เป็นข้อกังขาที่ถูกพูดถึงมานานแล้ว เพราะที่ผ่านมา มีหลายเหตุการณ์ ที่แสดงให้เห็นว่า มัสก์ได้รับการยอมรับจากว่าที่ประธานาธิบดีทรัมป์ มากเป็นพิเศษ ถึงขั้นเคยได้ร่วมสายคุยโทรศัพท์กับผู้นำต่างชาติ อย่างเช่น ประธานาธิบดีโวโลดิมีร์​ เซเลนสกี ผู้นำยูเครน และยังได้รับการการแต่งตั้งให้มาคุมกระทรวงใหม่ ที่มีชื่อว่า กระทรวงประสิทธิภาพรัฐบาล เพื่อมารื้อระบบราชการโดยเฉพาะ
.
ความใกล้ชิดสนิทสนมระหว่างทั้งสองคน และบทบาทที่ดูเหมือนจะเพิ่มขึ้นตลอด ของมัสก์ ยิ่งนับวันยิ่งสร้างความไม่สบายให้กับชาวอเมริกันมากขึ้นเรื่อยๆ จนเกิดกระแสความไม่พอใจ และเริ่มมีเสียงต่อต้าน ไม่ต้องการให้มหาเศรษฐีที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้งคนนี้มีอิทธิพลครอบงำรัฐบาล
.
[ทรัมป์ ตอบชัด มัสก์ เป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ ไม่ได้]
.
แน่นอนว่า กระแสดังกล่าวร้อนไปถึง โดนัลด์ ทรัมป์ ผู้เป็นว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ตัวจริง จนถึงกับต้องออกมาแก้ตัว ปฏิเสธข้อกล่าวหาที่ว่า เขากำลังถูก อีลอน มัสก์ มหาเศรษฐีคนสนิท แย่งตำแหน่งผู้นำสหรัฐฯ
.
โดยทรัมป์ ออกมายืนยันว่า เรื่องที่คนพูดว่า เขาจะสละตำแหน่งประธานาธิบดีให้อีลอน มัสก์ เป็นเรื่องแต่งที่ไม่มีมูลเลยสักนิด และต่อให้มัสก์จะต้องการเป็นประธานาธิบดีจริงๆ เขาก็เป็นไม่ได้ เพราะในรัฐธรรมนูญสหรัฐฯ มีข้อกำหนดชัดเจนว่า ประธานาธิบดีจะต้องเป็นพลเมืองสหรัฐฯ โดยกำเนิด แต่มัสก์เกิดในแอฟริกาใต้
.
ทรัมป์พูดเรื่องนี้ ขณะที่เขาไปร่วมงาน AmericaFest ของ Turning Point USA ในเมืองฟีนิกซ์ รัฐแอริโซนา เมื่อวันอาทิตย์ (22 ธ.ค.) ซึ่งถือเป็นงานชุมนุมงานแรกหลังจากที่เขาชนะการเลือกตั้งเมื่อเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา
.
เขาประกาศกับผู้สนับสนุนหลายพันคนที่มาต้อนรับว่า “ผมบอกได้เลยว่าไม่ เขาจะไม่ขึ้นมาเป็นประธานาธิบดี และผมก็ยังปลอดภัยในตำแหน่งนี้อยู่ คุณรู้ไหมว่าทำไมเขาถึงเป็นไม่ได้ ก็เพราะเขาไม่ได้เกิดในประเทศนี้”
.
โดยอีลอน มัสก์ เกิดที่กรุงพริทอเรียของแอฟริกาใต้ ทำให้เขามีสัญชาติแอฟริกาใต้ตามบิดามาตั้งแต่กำเนิด และถือสัญชาติแคนาดาตามมารดาด้วย โดยมัสก์เพิ่งจะมาได้สัญชาติอเมริกันเมื่อปี 2002
.
แม้ โดนัลด์ ทรัมป์ จะยืนยันว่าเขาคือประธานาธิบดีตัวจริงของสหรัฐฯ แต่ อีลอน มัสก์ จะมีอิทธิพลต่อรัฐบาลชุดใหม่มากขนาดไหน เรื่องนี้คงต้องจับตากันต่อไปท่ามกลางข้อกังขามากมาย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อน หรือการเอื้อประโยชน์ใดๆ ระหว่างกัน
.
สำนักข่าว TODAY
สำนักข่าวออนไลน์ เปิดความรู้ ดูทูเดย์
.
#สำนักข่าวทูเดย์
#MakeTomorrowTODAY


https://www.facebook.com/TODAYth.FB/posts/991568949461720
.....



โปรดสังเกต Top 10 กรณีคอร์รัปชั่นดังแทบทั้งหมดในรายการ นี้ “ยังไม่มีใครถูกลงโทษ“ นี่แหละยุคแห่งการยึดรัฐ ฉ้อฉลเชิงอำนาจขั้นสุด นำไปสู่การลอยนวลพ้นผิดขั้นสุด


Sarinee Achavanuntakul - สฤณี อาชวานันทกุล
10 hours ago
·
สังเกตนะคะว่า กรณีคอร์รัปชั่นดังแทบทั้งหมดในรายการ Top 10 อันนี้ เป็นรายการที่ “ยังไม่มีใครถูกลงโทษ“ เลย บางกรณีอย่างเขากระโดงนี่คือ มีคำพิพากษาศาลฎีกา ศาลปกครองสูงสุดชัดเจนแล้ว คดีถึงที่สุดแล้ว แต่ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น บังคับตามคำตัดสินศาลไม่ได้
นี่แหละค่ะ ยุคแห่งการยึดรัฐ ฉ้อฉลเชิงอำนาจขั้นสุด นำไปสู่การลอยนวลพ้นผิดขั้นสุด
#ระบอบหน้าด้าน

https://www.facebook.com/SarineeA/posts/1158641778964841
.....

สำหรับ 10 กรณีทุจริตคอร์รัปชันแห่งปี 2567 ประกอบด้วย

1. กรณีลดโทษ พักโทษ มอบอภิสิทธิ์ให้นักโทษคดีโกงชาติ

นักโทษชั้น 14 ที่ไม่เคยนอนเรือนจำ และนักโทษคดีจำนำข้าว เช่น นายบุญทรง เสี่ยเปี๋ยง ได้เป็นอิสระเร็วเกินคาด ขณะที่อดีตข้าราชการในคดีเดียวกันยังติดคุกอยู่ แม้ไม่เชื่อมโยงกับการทุจริตที่เป็นตัวเงิน แต่การลดโทษ พักโทษ มอบอภิสิทธิ์ให้นักโทษคดีโกงชาติ คือ “โกงซ้อนโกง” ถึงวันนี้นักการเมืองและข้าราชการบางคนยังจับมือกันปกปิดความจริง ปฏิเสธกระบวนการตรวจสอบ โดยไม่สนใจว่าจะค้านสายตาประชาชนและสังคมโลก

2. กรณีไฟไหม้รถนำเที่ยวเด็กนักเรียน สูญเสีย 22 ชีวิต

โศกนาฏกรรมนี้ผ่านไปเพียงไม่กี่เดือนเรื่องก็เงียบ ไม่มีเจ้าหน้าที่กรมการขนส่งทางบกคนใดต้องรับผิดชอบเลย! ไม่มีท่าทีของรัฐมนตรี และรัฐบาลที่จะหยุด “ส่วย-สินบน” ในหน่วยงานรัฐเพื่อแก้ปัญหาระยะยาว ทั้งที่เราต่างรู้แก่ใจว่าทุกวันนี้มีรถเถื่อน รถผิดกฎหมายวิ่งอยู่เต็มท้องถนน พร้อมจะนำความตายมาสู่ใครอีกก็ได้

3. คดีนายอิทธิพล คุณปลื้ม

ศาลคอร์รัปชันชี้ว่า “ผิดจริง” แต่ยกฟ้องเพราะคดีขาดอายุความ แถมตำหนิ “ป.ป.ช.” ว่า ไม่ใส่ใจทำคดี คำพิพากษานี้ยังทำให้เกิดประเด็นต้องติดตามอีกว่า เป็นการเปลี่ยนหลักกฎหมายเดิมที่กำหนดให้การหนีคดีของจำเลยทำให้อายุความสะดุดหยุดลง ใช่หรือไม่?

4. กรณีฮุบที่รถไฟ เขากระโดง

หลักนิติธรรมของประเทศถูกทำลาย เมื่ออิทธิพลนักการเมืองใหญ่เหนือคำพิพากษาศาลฎีกา และศาลปกครองสูงสุด กรมที่ดินและการรถไฟฯ โยนเรื่องกันไปมา เลือกหยิบยกข้อกฎหมายไปตีความจนบิดเบี้ยว มาดูกันว่า สุดท้ายแล้วสมบัติของชาติจะได้รับการปกป้องหรือรัฐต้องจ่ายค่าโง่อะไร ก่อนที่ ผู้มีอิทธิพลทางการเมืองเหล่านั้นจะได้สิทธิ์เช่าระยะยาวบนที่ดินหลวงในราคาแสนถูก

5. กรณีสัมปทานรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน

โครงการมูลค่ากว่า 2 แสนล้านบาทนี้ พ่วงด้วยสิทธิ์บริหารรถไฟฟ้าแอร์พอร์ต เรลลิ้งค์ และที่ดินย่านมักกะสัน แม้การประมูลจบไปแล้ว 5 ปี แต่รัฐยังเปิดให้เอกชนเจรจาแก้สัญญาไม่รู้จบ เฉือนประโยชน์รัฐเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ขัดต่อหลักพื้นฐานการประมูลงานภาครัฐอย่างเป็นธรรม ถ่วงการพัฒนาโครงการ อีอีซี จนนักลงทุนต่างชาติเยาะหยันว่ามาทำธุรกิจเมืองไทย หากไม่มีพวกพ้องก็อยู่ไม่ได้ ความโปร่งใสเป็นแค่เรื่องเพ้อฝัน

6. กรณีฮุบป่า รุกที่ ส.ป.ก. หลายแสนไร่ทั่วประเทศ

เป็นดั่งยุคทองของพวกทำลายป่า เมื่อรัฐบาลมีนโยบาย ส.ป.ก. ทองคำ แก้กฎหมายให้ ส.ป.ก. เป็นโฉนดใช้ทำมาหากินได้แทบทุกอย่าง ซื้อขายสิทธิ์ง่าย จำนองธนาคารได้ วันนี้ ส.ป.ก. กว่าร้อยละ 30 อยู่ในมือนายทุน และยังคงถูกบุกรุกเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ความสูญเสียเช่นนี้จะไม่เกิดขึ้น หากข้าราชการและนักการเมืองไม่มีเอี่ยว ความหวังยังพอมีเมื่อ ผอ.ชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร และข้าราชการจำนวนหนึ่งกล้าปะทะกับอดีต รมว. เกษตรฯ เพื่อให้พวกท่านเหล่านั้นมีพลังปกป้องผืนป่ามากขึ้น จำเป็นอย่างยิ่งที่ประชาชนต้องแรงสนับสนุนอย่างต่อเนื่อง

7. กรณีขุด/ขนย้ายกากแร่แคดเมียม

สังคมตื่นตระหนกเพราะกากแร่อันตรายที่เคยถูกกลบฝังกลับขุดมาขายได้ ขนย้ายผ่านไปหลายจังหวัด โดยประชาชนไม่รู้อะไรเลยเพราะทุกอย่างถูกปิดบัง กฎหมายและนโยบายของรัฐเพื่อปกป้องสิ่งแวดล้อมแอบถูกแก้ไขและบิดเบือน ถึงวันนี้ทุกอย่างเงียบหาย ไม่ปรากฏข่าวว่าเจ้าหน้าที่รัฐหน่วยงานใดถูกลงโทษจริงจัง

8. กรณีหมูแช่แข็งเถื่อน

มีผู้สมรู้ร่วมคิด 3 ฝ่าย หนึ่ง-เจ้าหน้าที่รัฐบางคนในกรมศุลกากร กรมปศุสัตว์ กรมประมง อาหารและยา สอง-กลุ่มนักการเมืองใหญ่ สาม-กลุ่มนายทุนนำเข้า บริษัทชิปปิ้ง ทั้งนายทุนรับซื้อสินค้าไปจำหน่ายหรือนำไปแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์อาหาร เนื้อหมูแช่แข็งเถื่อนทำลายความมั่นคงทางอาหารของชาติ ผู้เลี้ยงหมูเดือดร้อนทั่วประเทศ ขณะที่คนไทยต้องเสี่ยงภัยกับเนื้อหมูที่มีสารเร่งเนื้อแดง และเชื้อโรคที่อาจปนเปื้อนมา

9. กรณีปลาหมอคางดำ

วิกฤตสัตว์น้ำขั้นรุนแรงกินวงกว้าง เกิดจากเอกชนรายใหญ่เห็นแก่ได้ ไร้ความรับผิดชอบ เจ้าหน้าที่รัฐปล่อยปละมองข้ามความปลอดภัยของสังคม เกรงใจพ่อค้า โกงความคาดหวังของประชาชน

10. กรณีดิ ไอคอน

คดีดังที่แฉให้เห็นพฤติกรรมรุมกันเรียกรับสินบนของคนจากหลายหน่วยงานรัฐ นักการเมือง และบุคคลที่สังคมเคยไว้วางใจ คดีนี้ฉุดกระชากเหล่าซาตานในคราบเทวดาให้ตกสวรรค์ เผยให้สังคมเห็นคอร์รัปชันที่ทำให้ประชาชนผู้ตกเป็นเหยื่อถูกรัฐทอดทิ้งยามเดือดร้อน

ประธานองค์กรต่อต้านคอร์รัปชันฯยังกล่าวอีกว่า นอกจาก 10 กรณี/คดี ดังกล่าวมาแล้ว ภาพรวมของการทุจริตคอร์รัปชันในปี 2567 เกิดกรณีและคดีโกงแบบซึ่งๆ หน้ามากมายทั้งในภาครัฐ และภาคเอกชน เช่น ข่าวสองนายพลตำรวจเอกต่างสาวไส้พฤติกรรมหากินกับบ่อนพนันออนไลน์ นายพลตำรวจดังแฉว่าตนรู้เห็นพฤติกรรมกรรมการ ป.ป.ช.คนหนึ่งวิ่งเต้นบิ๊กทหารเพื่อให้ได้ตำแหน่ง ฯลฯ ไปจนถึงสินบนข้ามชาติ และคนไทยต้องช็อกกับข่าวการโกงของคนดังที่สังคมไว้วางใจ เช่น หมอ ดาราดัง ทนายความ นักร้องเรียน ฯลฯ

แม้จะมีปรากฎการณ์ที่ช่วยพยุงจริยธรรมสังคมไทยให้เห็นอยู่บ้าง จากกรณีการถอดถอนนายเศรษฐา ทวีสิน อดีตนายกรัฐมนตรีจากการลงนามแต่งตั้งผู้ที่เคยมีคดีทุจริตเป็นรัฐมนตรี ขัดเจตนารมณ์รัฐธรรมนูญชัดแจ้ง และข่าวรัฐบาลฟินแลนด์ร้องเรียน 2 อดีตรัฐมนตรีแรงงานไทยเอี่ยวคดีค้ามนุษย์ รีดค่านายหน้าคนแรงไทยกันเอง แต่นับเป็นอีกปีที่เห็นได้ชัดว่า “รัฐบาลไม่ใส่ใจการต่อต้านคอร์รัปชัน” คอยแต่แก้ปัญหาเฉพาะหน้า แนวทางเช่นนี้จะทำให้สถานการณ์คอร์รัปชันเลวร้ายลง จนส่งผลเสียในการขับเคลื่อนนโยบายและการลงทุนโครงการของรัฐบาล เพราะจะทำอะไรสังคมก็ระแวง คัดค้าน ขาดความเชื่อมั่น


“เราจะเอาชนะคอร์รัปชันได้ก็ต่อเมื่อประชาชนและสื่อมวลชนเข้มแข็ง ติดตามและต่อต้านไม่ยอมให้ใครคดโกงบ้านเมืองแล้วเงียบหายไปเฉยๆ เช่นทุกวันนี้” ประธานองค์กรต่อต้านคอร์รัปชันฯกล่าว

ที่มา https://www.isranews.org/article/isranews/134426-openact.html


พรุ่งนี้ (24 ธ.ค. 2567) เวลา 09.00 น. ศาลอาญา นัด 45 นักกิจกรรม WeVo ฟังคำพิพากษาคดี ‘อั้งยี่-ซ่องโจร’ เจ้าหน้าที่เข้าจับกุมกลุ่ม WeVo และประชาชน โดยไม่แสดงหมายจับหรือข้อหาที่เป็นเหตุให้ถูกจับ มีรายงานการทำร้ายร่างกายและใช้อาวุธข่มขู่ผู้ถูกจับ #ม็อบ6มีนา64


ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน
10 hours ago
·
พรุ่งนี้! ศาลอาญา นัด 45 นักกิจกรรม WeVo ฟังคำพิพากษาคดี ‘อั้งยี่-ซ่องโจร’ เหตุถูกจับกุมก่อน #ม็อบ6มีนา64
.
วันพรุ่งนี้ (24 ธ.ค. 2567) เวลา 09.00 น. ศาลอาญา นัดฟังคำพิพากษาในคดีของประชาชนและนักกิจกรรมกลุ่ม We Volunteer (#WeVo) รวมทั้งสิ้น 45 คน ในข้อหาร่วมกันเป็นอั้งยี่-ซ่องโจร, ฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ, พ.ร.บ.โรคติดต่อฯ, มียุทธภัณฑ์และเครื่องวิทยุคมนาคมไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต จากเหตุถูกจับกุมที่บริเวณห้างเมเจอร์รัชโยธิน เมื่อวันที่ 6 มี.ค. 2564 ก่อนที่กลุ่มผู้ชุมนุม REDEM จะเดินขบวนจากห้าแยกลาดพร้าวไปหน้าศาลอาญา
.
.
6 มี.ค. 64 – เจ้าหน้าที่เข้าจับกุมกลุ่ม WeVo และประชาชน โดยไม่แสดงหมายจับหรือข้อหาที่เป็นเหตุให้ถูกจับ มีรายงานการทำร้ายร่างกายและใช้อาวุธข่มขู่ผู้ถูกจับ
.
ที่มาที่ไปของคดีนี้ เมื่อวันที่ 6 มี.ค. 2564 กลุ่ม “รีเด็ม” (REDEM) นัดหมายชุมนุม #ม็อบ6มีนา เดินขบวนจากห้าแยกลาดพร้าว ไปหน้าศาลอาญา เพื่อทำกิจกรรมเผาขยะหน้าศาล ทว่าก่อนเริ่มการชุมนุมกลับมีเจ้าหน้าที่พร้อมอาวุธเข้าจับกุมทีมการ์ดวีโว่ และประชาชน ที่บริเวณลานจอดรถห้างสรรพสินค้าเมเจอร์รัชโยธิน โดยไม่ได้แสดงหมายจับ และไม่ได้มีการแจ้งข้อหาที่เป็นเหตุให้ถูกจับกุม รวมทั้งไม่แจ้งสถานที่ที่จะควบคุมตัวไป โดยทั้งหมดยังไม่ได้เข้าร่วมการชุมนุม #ม็อบ6มีนา แต่อย่างใด ทั้งนี้มีรายงานการทำร้ายร่างกายและใช้อาวุธข่มขู่ผู้ถูกจับกุมบางคน ทั้งยังมีการยึดสิ่งของทั้งหมดที่พกติดตัว เช่น โทรศัพท์ กระเป๋า เงินสด
.
หลังการจับกุม “โตโต้” ปิยรัฐ จงเทพ และผู้ถูกจับกุมรวมทั้งหมด 18 ราย ซึ่งเป็นเยาวชนอายุ 17 ปี 2 ราย ถูกควบคุมไปแจ้งข้อกล่าวหาที่กองบังคับการตำรวจตระเวนชายแดน ภาค 1 จังหวัดปทุมธานี (บก.ตชด. ภาค 1) ในข้อหา เป็นอั้งยี่, เป็นซ่องโจร, ฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ และ พ.ร.บ.โรคติดต่อฯ
.
ต่อมา เกิดเหตุการณ์ที่รถควบคุมผู้ต้องขังอีก 2 คัน ถูกเข้าสกัด จนรถทั้งสองคันไม่สามารถวิ่งไปต่อได้ ผู้ถูกควบคุมตัวจึงร่วมกันเดินเท้าไปลงบันทึกประจำวันที่ สน.พหลโยธิน ในคืนนั้น เพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจว่าไม่ได้หลบหนี ทั้งสอบถามเหตุผลการจับกุม และอำนาจที่เจ้าหน้าที่ใช้จับกุม รวมทั้งขอให้ติดตามทรัพย์สินส่วนตัวที่ถูกยึดไป ก่อนที่ทั้งหมดจะได้รับหมายเรียกจาก สน.พหลโยธิน ให้ไปรับทราบข้อกล่าวหาใน 4 ข้อหาเช่นเดียวกัน เมื่อวันที่ 18 มี.ค. 2564
.
ต่อมา พนักงานสอบสวนออกหมายเรียกให้ผู้ต้องหาทั้งหมด รวมทั้งเยาวชน เข้ารับทราบข้อกล่าวหาเพิ่มเติมเมื่อวันที่ 31 มี.ค. 2564 โดยมี 8 คน ถูกแจ้งข้อหามียุทธภัณฑ์ไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต และ 10 ราย ถูกแจ้งข้อหามีเครื่องวิทยุคมนาคมโดยไม่ได้รับอนุญาต
.
ส่วนกลุ่มที่เดินเข้าไปพบพนักงานสอบสวน สน.พหลโยธิน ในคืนวันเกิดเหตุ ถูกแจ้งข้อหาเพิ่มเติมว่า หลบหนีไประหว่างที่ถูกคุมขัง รวมทั้งมีการเข้าไปแจ้งข้อหาเพิ่มเติมกับปิยรัฐในเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ในข้อหามียุทธภัณฑ์ไว้ในครอบครอง ทั้งหมดให้การปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา ก่อนอัยการมีคำสั่งฟ้องคดีทั้ง 45 คนเมื่อวันที่ 22 เม.ย. 2564
.
.
สืบพยานยาว 31 นัด ฝ่ายโจทก์-จำเลยนำพยานเข้าสืบทั้งสิ้น 54 ปาก
.
ในคดีนี้จำเลยให้การปฏิเสธข้อกล่าวหา ก่อนที่ศาลนัดสืบพยานทั้งสิ้น 31 นัด ตั้งแต่ช่วงเดือน เม.ย. - ต.ค. 2567 ทั้งนี้ ระหว่างการพิจารณา มีจำเลย 1 รายเสียชีวิตไปอีกด้วย ทำให้ศาลสั่งจำหน่ายคดีออกไป
,การสืบพยานโจทก์ทั้งหมด 27 นัด (ระหว่างวันที่ 23-26, 30 เม.ย., 1,3,7-9, 14-17, 21, 23-24, 28-31 พ.ค., 4-7 มิ.ย., และ 6, 27 ส.ค. 2567) ซึ่งอัยการโจทก์นำพยานเข้าเบิกความทั้งสิ้น 48 ปาก ได้แก่ ผู้กล่าวหา, ตำรวจผู้จับกุม, ตำรวจผู้ถ่ายภาพขณะจับกุม, ตำรวจผู้ขับรถควบคุมผู้ต้องหา, หัวหน้าฝ่ายสิ่งแวดล้อมและสุขาภิบาล เขตจตุจักร, พนักงานห้างสรรพสินค้าเมเจอร์รัชโยธิน, พนักงาน Blu-O สาขาเมเจอร์รัชโยธิน, ตำรวจผู้ตรวจค้นของกลางในที่เกิดเหตุ, เจ้าหน้าที่ตรวจพิสูจน์หลักฐาน, สันติบาลผู้ทำรายงานสืบสวนกลุ่ม WeVo, พนักงานสืบสวน และพนักงานสอบสวน ซึ่งตามคำฟ้องและการนับสืบอัยการโจทก์ มีประเด็นโดยสรุปดังนี้
.
ข้อหาร่วมกันเป็นอั้งยี่ - ซ่องโจร ตาม ป.อาญา มาตรา 209 - 210 อ้างว่าจำเลย 45 คน ร่วมกันมั่วสุมสมคบกันเป็นอั้งยี่ โดยจําเลยกับพวกอีกกว่า 600 คน ได้ร่วมกันเข้าเป็นสมาชิกของคณะบุคคลโดยใช้ชื่อว่า We Volunteer ซึ่งปกปิดวิธีดําเนินการสามารถรับรู้กันได้เฉพาะในระหว่างสมาชิก โดยมี ปิยรัฐ ทงเทพ (จําเลยที่ 1) เป็นหัวหน้ากลุ่ม ทําหน้าที่ชักชวนประชาชนทั่วไปเข้าเป็นสมาชิก เป็นผู้วางแผนสั่งการ และมีอํานาจตัดสินใจในการดําเนินการ โดยสมาชิกกลุ่มจะมีการแสดงสัญลักษณ์ในรูปแบบเครื่องแต่งกาย และอุปกรณ์ต่าง ๆ ปรากฏสัญลักษณ์คําว่า We Volunteer โดยมีวัตถุประสงค์มิชอบด้วยกฎหมาย มีพฤติกรรมร่วมกันชุมนุมมั่วสุม สมคบกันวางแผนเป็นยุทธวิธีขั้นตอน ซ่องสุมกําลัง ฝึกกําลังพลเพื่อแบ่งหน้าที่กันตามระบบสายบังคับบัญชา มีการตระเตรียมซุกซ่อนอาวุธที่ใช้ในการกระทําความผิดได้ มีวิธีการติดต่อสื่อสารระหว่างสมาชิกโดยใช้แอปพลิเคชั่นออนไลน์ต่าง ๆ แจ้งนัดหมายการชุมนุม โดยประสงค์ให้รู้กันเฉพาะสมาชิก จากนั้นจะแฝงตัวออกมาในกลุ่มผู้ชุมนุมในบทบาทของการ์ดอาสาสมัครดูแลความปลอดภัยในการชุมนุมทางการเมือง แต่ความจริงมีวัตถุประสงค์อันมิชอบด้วยกฎหมาย
.
อีกทั้งจำเลย 45 คนสมคบกันเป็นซ่องโจร โดยจับกลุ่ม นัดหมายประชุมกัน ปรึกษาหารือ ตลอดจนมีการสื่อสารระหว่างกันโดยใช้แอพพลิเคชั่นออนไลน์ต่างๆ วางแผนยุทธวิธีขั้นตอน เตรียมกำลังคนโดยแบ่งหน้าที่ระหว่างกัน และตกลงกันเพื่อจะไปกระทำความผิดในการชุมนุมทางการเมืองที่บริเวณหน้าศาลอาญา โดยได้ร่วมกันเตรียมอาวุธ หนังสติ๊ก ลูกแก้ว ลูกเหล็ก ระเบิดควัน และวัตถุอื่นจํานวนหลายชนิดและหลายรายการ
.
ข้อหาฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ และ พ.ร.บ.โรคติดต่อฯ อ้างว่าจำเลยทั้ง 45 คน ชุมนุมทํากิจกรรม และมั่วสุมกันภายในห้องคาราโอเกะ ห้างสรรพสินค้าเมเจอร์รัชโยธิน ซึ่งเป็นสถานที่คับแคบ แออัด และบริเวณลานจอดรถของห้าง เพื่อทําการประชุมมั่วสุม และรวมพลกันเพื่อจะเคลื่อนตัวไปกระทําการอันมิชอบด้วยกฎหมายในบริเวณที่มีการชุมนุม โดยไม่มีการควบคุมให้มีการสวมหน้ากากอนามัย ไม่จัดให้มีการเว้นระยะห่างระหว่างบุคคลอย่างน้อย 1 เมตร และไม่มีการป้องกันตามมาตรการที่กำหนด
.
ข้อหาตาม พ.ร.บ.ควบคุมยุทธภัณฑ์ฯ และ พ.ร.บ.วิทยุคมนาคมฯ อ้างว่าจำเลย 8 คน ครอบครองเสื้อเกราะป้องกันกระสุน อันเป็นยุทธภัณฑ์ตามกฎหมายและประกาศกระทรวงกลาโหมไว้ในครอบครองไม่ได้รับใบอนุญาต อีกทั้งจำเลย 7 คน ครอบครองวิทยุคมนาคมชนิดมือถือไว้ในความครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต
.
ข้อหาหลบหนีไประหว่างที่ถูกคุมขังตามอำนาจของเจ้าพนักงานสอบสวน ตาม ป.อาญา มาตรา 190 (เฉพาะจําเลยที่ 17-45) อ้างว่า ขณะมีการควบคุมตัวจำเลยไปส่งให้พนักงานสอบสวนที่กองบังคับการตํารวจตระเวนชายแดนภาค 1 จําเลยได้หลบหนีไประหว่างที่ถูกคุมตัวตามอํานาจของเจ้าพนักงานดังกล่าว
.
.
และมีการสืบพยานจำเลย 4 นัด (ระหว่างวันที่ 17, 24 ก.ย.​ และ 8, 15 ต.ค. 2567) ซึ่งทนายจำเลยนำพยานเข้าเบิกความทั้งสิ้น 6 ปาก ได้แก่ ทนายความในชั้นจับกุม, พยานความเห็น และจำเลยในที่เกิดเหตุ 4 คน โดยฝ่ายจำเลยมีข้อต่อสู้ในคดีดังนี้
.
ข้อหาร่วมกันเป็นอั้งยี่ - ซ่องโจร ตาม ป.อาญา มาตรา 209 - 210 มีข้อต่อสู้ว่า กลุ่ม WeVo ไม่ได้ก่อตั้งขึ้นมาเพื่อมีวัตถุประสงค์ในการกระทำผิดกฎหมาย แต่กลุ่มดังกล่าวเป็นกลุ่มที่ประชาชนที่รวมตัวกันขึ้นเพื่อช่วยอำนวยความสะดวกในการชุมนุมของประชาชน
.
ข้อหาฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ และ พ.ร.บ.โรคติดต่อฯ มีข้อต่อสู้ว่า การรวมตัวในที่เกิดเหตุ ไม่ได้รวมตัวที่เป็นการมั่วสุม และสถานที่เกิดเหตุ (ลานจอดรถห้างสรรพสินค้าเมเจอร์รัชโยธิน) เป็นสถานที่โล่งกว้าง ไม่แออัด และไม่เสี่ยงต่อการแพร่โรค
.
ข้อหาตาม พ.ร.บ.ควบคุมยุทธภัณฑ์ฯ และ พ.ร.บ.วิทยุคมนาคมฯ มีข้อต่อสู้ในประเด็นเกี่ยวกับวิธีการตรวจยึดและจัดเก็บพยานหลักฐานในที่เกิดเหตุของเจ้าหน้าที่ตำรวจ
.
ข้อหาหลบหนีไประหว่างที่ถูกคุมขังตามอำนาจของเจ้าพนักงานสอบสวน ตาม ป.อาญา มาตรา 190 (เฉพาะจําเลยที่ 17-45) มีข้อต่อสู้ว่าจำเลยไม่ได้หลบหนีขณะถูกคุมขัง และหลังจากเหตุชุลมุน จำเลยได้เดินทางไปมอบตัวที่ สน.พหลโยธิน ทันที
.
.
ผู้ถูกจับกุมยืนยัน โดน ตร.ข่มขู่-ทำร้ายหลายรูปแบบ แต่ในระหว่างการสืบพยาน โจทก์เบิกความว่าไม่ได้ใช้ความรุนแรง ยืนยันจับกุมถูกตามยุทธวิธี
.
ตลอดการสืบพยานฝ่ายโจทก์ พยานโจทก์ที่เป็นตำรวจผู้มีส่วนร่วมในการจับกุม แทบจะทุกคนล้วนเบิกความในทำนองว่า ผู้ถูกจับกุมมีการชุมนุมมั่วสุมกัน และวางแผนเตรียมอาวุธเพื่อก่อเหตุวุ่นวายและทำร้ายเจ้าหน้าที่ตำรวจ ทั้งยังมีการบุกล้อมรถควบคุมผู้ต้องขังและรุมทำร้ายร่างกายเจ้าหน้าที่ตำรวจด้วย แต่ไม่มีพยานโจทก์ปากใดเลยที่เบิกความถึงกรณีการใช้กำลังบังคับ ข่มขู่ ทำร้ายร่างกาย รวมไปถึงล่วงละเมิดกับผู้ถูกจับกุม ทั้งยังมีการยึดทรัพย์สินของผู้ถูกจับกุมบางรายไปด้วย
แม้ทนายจำเลยจะพยายามถามถึงข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการที่ผู้ถูกจับกุมตัวถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจใช้กำลังทำร้ายร่างกายจนได้รับบาดเจ็บ แต่ก็ได้รับคำตอบกลับเพียงว่า ‘เจ้าหน้าที่ไม่ได้ใช้ความรุนแรงกับกลุ่มผู้ต้องหา และการที่เจ้าพนักงานตำรวจเข้าควบคุมตัวโดยสั่งให้ผู้ถูกจับกุมนอนคว่ำลงกับพื้นนั้น เป็นไปอย่างถูกต้องตามยุทธวิธีแล้ว เพื่อความปลอดภัยและป้องกันการหลบหนี เนื่องจากเป็นการควบคุมคนจำนวนมาก’
.
คำให้การของเจ้าหน้าที่ตำรวจผู้มีส่วนร่วมในการจับกุมยังคงมีความขัดแย้ง และไม่ตรงกับคำให้การของผู้ถูกจับกุมในหลายเรื่อง โดยเฉพาะข้อเท็จจริงเรื่องความรุนแรงและการทำร้ายร่างกายที่เกิดขึ้นขณะจับกุม
.
ผู้ถูกจับกุมหลายคนในคดีนี้ ยืนยันว่าโดนตำรวจข่มขู่และทำร้ายร่างกายหลายรูปแบบ ทั้งรุมกระทืบ บังคับให้คลาน โดนหมวกกันน็อคฟาด โดนทรมานจนหายใจไม่ออก และโดนเอาพลุควันยัดปาก โดนตบหน้า เตะ และเหยียบส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย ไม่ว่าจะเป็น เท้า ขา หลัง มือ ไปจนถึงบริเวณศีรษะ โดยมีบางคนถูกนำปืนจี้หัวและบังคับให้คลานอีกด้วย
.
.
อ่านข่าวบนเว็บไซต์: https://tlhr2014.com/archives/71927


“ภูมิใจ ขวาง” “อนุทิน“ หน.พรรคภูมิใจไทย ได้ฉายา “ภูมิใจ ขวาง” เพราะขวาง ”เพื่อไทย“ ในหลายเรื่อง นอกจาก มี70 เสียง ยีงมี สว.สายสีน้ำเงิน อีก พร้อมขวาง ทุกเรื่ิอง ที่จะกระทบ สายอนุรักษ์นิยม และกองทัพ


Wassana Nanuam
18 hours ago
·
“ภูมิใจ ขวาง”
“อนุทิน“ หน.พรรคภูมิใจไทย
ได้ฉายา “ภูมิใจ ขวาง”
เพราะขวาง ”เพื่อไทย“ ในหลายเรื่อง
.
นอกจาก มี70 เสียง
ยีงมี สว.สายสีน้ำเงิน อีก
พร้อมขวาง ทุกเรื่ิอง ที่จะกระทบ สายอนุรักษ์นิยม และกองทัพ
นักข่าวทำเนียบรัฐบาล ระบุว่า
เพราะ นอกจากตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี คนที่ 3 แล้ว นาย อนุทิน ยังสวมหมวกหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ทำงาน 3 เดือนใน “รัฐบาลแพทองธาร” สร้างสีสัน จากบุคลิกและสไตล์การพูดหยิกแกมหยอก
พร้อมสโลแกน ขอทำงานไม่ขัดแย้งใคร แต่นับจากลงเรือร่วมรัฐบาล มียกมือค้านทั้งร่างกฎหมายสกัดรัฐประหาร ของสส.พรรคแกนนำ
ล่าสุด โหวตสวนร่างพ.ร.บ.ประชามติ เห็นต่างจากพรรครัฐบาล ต้องจับตาบทบาท จากนี้“รมต.หนู“จะปล่อยของ โชว์ลีลา สร้างผลงาน ให้ประทับใจอย่างไร


นับวันสีน้ำเงินยิ่งแสดงอิทธิพลชัดเจนในวุฒิสภา จัดฉากบล็อกโหวต เพื่อกีดกันไม่ให้นันทนา ได้เข้ากมธ.พัฒนาการเมือง





 https://x.com/Dr_Nantana/status/1871204209724694634


Dr.Nantana @Dr_Nantana

นับวันสีน้ำเงินยิ่งแสดงอิทธิพลชัดเจนในวุฒิสภา จัดฉากบล็อกโหวต เพื่อกีดกันไม่ให้นันทนา ได้เข้ากมธ.พัฒนาการเมือง

23ธค.ดีเดย์ที่ประธานกรรมาธิการ ต้องเสนอชื่อ บรรจุสว.เข้ากมธ.ให้ครบ 18 คน

เพื่อไม่ให้นันทนา เข้ากมธ.พัฒนาการเมือง จึงต้องมีการจัดฉาก ให้มีผู้ที่ประสงค์จะเข้ากมธ. มากกว่าจำนวนที่รับได้ ในกมธ.อื่นๆ เพื่อให้มีการโหวตโดยสว.

กมธ.พัฒนาการเมือง ซึ่งขาดอยู่ 3 คน นันทนาเสนอตัวมาตั้งแต่ต้น จู่ๆก็มีสีน้ำเงินเสนอตัวมาเข้า กมธ.นี้อีก 3 คน รวมเป็น 4 คน จึงต้องให้สภาโหวต !!!

ทั้งที่ผ่านมา เมื่อประธานกมธ.เสนอชื่อใคร ก็ถือเป็นที่สุด สภาก็รับทราบไปตามนั้น

เมื่อเปิดให้มีการโหวต กำแพงสีน้ำเงิน ก็แสดงอิทธิฤทธิ์ บล็อกโหวต ไม่ให้นันทนา ได้เข้าไปในกมธ.พัฒนาการเมือง

ผลการโหวจึงเป็นไปตามคาด สีน้ำเงินทั้งสามคน ได้เข้าไปเป็นกรรมาธิการ ส่วนนันทนา ได้เพียง 22 คะแนน !!

ฟ้องประชาชน ให้ช่วยกันจับตา การทำลายกลไกของสภา ด้วยการใช้เสียงข้างมาก เพื่อประโยชน์แห่งกลุ่มของตน
หาใช่เพื่อประชาชน แต่อย่างใด

#สวนันทนา #สวสีน้ำเงิน #บล็อกโหวต


ค่าไฟจะแพงขึ้น ถ้านายกฯไม่ระงับภายใน 7 วัน - กัปตันคนเนิร์ด จี้รัฐบาลแพทองธาร ยกเลิกรับซื้อไฟฟ้า 3.6 พันเมกะวัตต์





 https://x.com/captainnerd23/status/1871185321310011528



กัปตันคนเนิร์ด @captainnerd23
ผมขอยืนยันอีกคน ว่านายกฯ มีอำนาจหยุดการซื้อไฟที่แพงเกินจริงครั้งนี้ โดยขออธิบายยาวหน่อยนะครับ

1. พวกเราในฐานะเอกชนคนทั่วไป เราจะทำอะไรก็ได้ เท่าที่ไม่ขัดกับกฎหมาย
2. แต่หน่วยงานรัฐจะตรงข้ามกับพวกเรา คือจะทำได้เฉพาะเท่าที่กฎหมายให้อำนาจไว้เท่านั้น ถ้ากฎหมายไม่ได้ให้อำนาจก็จะทำไม่ได้
3. กกพ. ก็เป็นหน่วยงานรัฐ จึงทำได้เท่าที่กฎหมายให้อำนาจเช่นกัน ซึ่งกฎหมายให้อำนาจว่า "กำกับดูแลการประกอบกิจการพลังงานเพื่อให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของพระราชบัญญัตินี้ภายใต้กรอบนโยบายของรัฐ"
4. ดังนั้น กกพ. จะทำอะไรที่ขัดกับนโยบายของรัฐไม่ได้ เพราะจะเป็นการกระทำนอกเหนืออำนาจตามกฎหมาย
5. ผู้ที่กำหนดนโยบายให้ กกพ. ทำตาม ก็คือ กพช. ที่มีนายกฯเป็นประธาน และมีรัฐมนตรีจากกระทรวงต่างๆเป็นกรรมการส่วนใหญ่นั่นเอง
6. กกพ. อยู่ๆจะไปซื้อไฟฟ้าเองไม่ได้ ต้องมีนโยบายจาก กพช. มาก่อน แล้ว กกพ. ถึงจะไปดำเนินการตามที่ กพช. กำหนดได้ แสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ของ กพช. และ กกพ. เป็นอย่างดี คือ กพช.เป็นกองไฟ และ กกพ.เป็นควัน ควันจะไม่เกิดขึ้นเองถ้าไม่มีกองไฟ
7. ดังนั้นในทางกลับกัน ถ้า กพช. เปลี่ยนหรือถอนนโยบายที่เคยกำหนดให้ กกพ. ไปซื้อไฟฟ้า กกพ. ก็จะไม่สามารถซื้อไฟฟ้าได้แล้ว เพราะฐานแห่งอำนาจที่เคยใช้ในการซื้อไฟฟ้าหายไปแล้ว เปรียบเสมือนพอกองไฟดับควันก็จะหายไปด้วย
8. นายกฯในฐานะประธาน กพช. และหัวหน้าของรัฐมนตรีทั้งหลาย จึงเป็นคนเดียวในตอนนี้ที่หยุด กกพ. ได้
9. เพราะ กกพ. ก็ไม่กล้าหยุดตัวเอง เพราะไม่งั้นจะขัดกับนโยบายที่ กพช. เคยกำหนดไว้ให้ซื้อไฟก่อนหน้านี้
เหลือเวลาอีก 7 วัน มาช่วยกันส่งเสียงให้นายกหยุดเรื่องนี้กันครับ

ปล. โพสต์นี้เป็นเฉพาะประเด็น "นายกฯมีอำนาจหยุดซื้อไฟหรือไม่" ส่วนประเด็นอื่นๆจะเป็นคลิปสั้นโพสต์ตอน 2 ทุ่มครับ


คนรุ่นใหม่ พูดเก่ง แต่ทำไม่ได้... นี่ไง A case in point !


@NickyIndy_94
·3h
อ๋อ แบบนี้นี่เอง
.....






 

'ทักษิณ' ซัด ปชน. 'ขี้โม้เก่งแต่พูด'! ทำไมถึงเหยียบคู่แข่งอย่างนี้?


'ทักษิณ' ซัด ปชน. 'ขี้โม้เก่งแต่พูด'! Suthichai live 23-12-2567

Streamed live 6 hours ago 
ในประเทศ
 
https://www.youtube.com/watch?v=Iyc6-QkJdsw

@suthichai
·6h

ใครขี้โม้? ‘ทักษิณ‘ กลัวนักการเมืองรุ่นใหม่ขนาดนี้เลยหรือ? 
หรือยังวิเคราะห์ไม่ออกว่า “เพื่อไทย” แพ้ “ก้าวไกล” ในการเลือกตั้งทั่วไปคราวที่แล้วเพราะอะไร? 
วันนี้จึงต้องหาเสียงแบบ “ข้ากลับมาแล้ว” 
และเหยียบคู่แข่งอย่างนี้? 
Suthichai Live 20.30 น.


สื่อทำเนียบฯ ยกให้ “สามีเป็นคนใต้” เป็นวาทะแห่งปี 2567

.....

https://www.facebook.com/BBCnewsThai/posts/pfbid0UHidsFEFuY5erCEYnWsojEjmgomeNrVHD5nNShr4ZTNYZYnnbznMssR5XZZRGUuMl
บีบีซีไทย - BBC Thai
17 hours ago
·
สื่อทำเนียบฯ ยกให้ “สามีเป็นคนใต้” เป็นวาทะแห่งปี 2567
.
ด้วยความเป็น “พ่อ” ของหัวหน้ารัฐบาล ยี่ห้อ "ทักษิณ ชินวัตร" ขึ้นชื่อดีกรีความรักลูกไม่น้อยหน้าใคร ทั้งปกป้อง เลี้ยงดู อุ้มชู ปูทาง จนได้ก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งผู้นำประเทศ เป็นลูกไม้หล่นใต้ต้น ที่มี DNA เดียวกันเป๊ะ จนไม่พ้นเสียงครหา รัฐบาลนี้ "พ่อคิด ลูกทำ" และไม่ใช่แค่การเลี้ยงดูลูกในสนามการเมืองเท่านั้น ยังลามไปถึงวาทะเลี้ยง "มาม่า" พรรคร่วมรัฐบาล ที่บ้านจันทร์ส่องหล้า จนสะเทือนเลื่อนลั่น สะท้อนบทแบ็กอัพที่ไม่ใช่เลี้ยงลูกตัวเองเท่านั้น แต่เลี้ยงรัฐบาลให้เดินอยู่ในรอยด้วย
.
คือคำอธิบายที่สื่อมวลชนประจำทำเนียบรัฐบาล ตั้งฉายารัฐบาลประจำปี 2567 ว่า “รัฐบาล ‘พ่อ’ เลี้ยง”
.
ส่วนฉายานายกรัฐมนตรีคือ “แพทองโพย” โดยล้อมาจากชื่อของนายกฯ กับประเด็นดรามา "ไอแพด" คู่ใจ โพยยุคไอที ถือติดมือได้ทุกที่ เป็นเอกลักษณ์ประจำตัว พกโพยเครื่องเดียวอ่าน จด โหลดข้อมูลเสร็จสรรพ จนเกิดเสียงวิจารณ์ถึงความเหมาะสมเมื่อยกขึ้นอ่าน ระหว่างพบผู้นำ แขกต่างชาติ กลายเป็นประเด็นตอบโต้เผ็ดร้อนกับชาวเน็ต
.
แม้ปี 2567 ประเทศไทยมีนายกฯ 2 คน แต่สื่อสายทำเนียบฯ เลือกมอบฉายาให้แก่นายกฯ คนที่ 31 แพทองธาร ชินวัตร
.
ส่วนวาทะแห่งปี เป็นวรรคทองจากปากคำของนายกฯ ที่ว่า “สามีเป็นคนใต้”
.
ผู้สื่อข่าวทำเนียบรัฐบาลเผยฉายารัฐบาลและรัฐมนตรีประจำปี 2567 วันนี้ (23 ธ.ค.) พร้อมระบุว่า การตั้งฉายารัฐบาลและรัฐมนตรีประจำปีของผู้สื่อข่าวประจำทำเนียบรัฐบาล ที่ยึดถือเป็นธรรมเนียมปฏิบัติสืบต่อกันมาอย่างยาวนาน เป็นการสะท้อนความคิดเห็นของสื่อมวลชนต่อการทำงานของรัฐบาลโดยปราศจากอคติ
.
ในปีนี้มีรัฐมนตรีถูกตั้งฉายาทั้งหมด 8 คน และมีอยู่ 3 คนถูกจัดให้อยู่ในกลุ่ม “รัฐมนตรีโลกลืม”



วันจันทร์, ธันวาคม 23, 2567

ฉายาเหมาะเหม็ง สำหรับปี ๖๗ ที่กำลังจะผ่านไป “รัฐบาล ‘พ่อ’ เลี้ยง” ของ ทักษิณ และแพทองธาร ชินวัตร

ฉายาเหมาะเหม็ง “รัฐบาล พ่อ เลี้ยง” ของ ทักษิณ และแพทองธาร ชินวัตร สำหรับปี ๖๗ ที่กำลังจะผ่านไป ผู้สื่อข่าวสายทำเนียบพร้อมใจกันตั้งให้ ตามธรรมเนียมส่งท้ายปีเก่า สำหรับตัวนายกฯ อุ๊งอิ๊ง ก็ไม่เบา เขาตั้งชื่อให้ใหม่ว่า “แพทองโพย”

The Reporters มีคำอธิบายทำไมจึงต้องให้พ่อเลี้ยง ไม่เพียงผู้พ่ออ้างเอง นายกฯ หญิงคนนี้มี ดีเอ็นเอ แท้ๆ ของเขา ดังนั้นจึงไปถึงการบริหารงานรัฐบาลที่ “พ่อคิด ลูกทำ” ตามฟอร์ม “เลี้ยงรัฐบาลให้เดินอยู่ในรอยด้วย”

เรื่องโพยที่ได้ขึ้นชื่อ เนื่องจะเพราะเธอใช้โพยไม่เหมือนใคร นอกจากจะไฮเท็คโดยไอแพดแล้ว แทนที่จะก้มๆ เงยๆ เหมือนอดีตผู้นำที่เคยมีมา เธอยังตั้งหน้าตั้งตาก้มอ่านไม่ยักเขินแขกบ้านแขกเมือง ส่วนวาทะแห่งปี “สามีคนใต้” ก็เนอะ จะอวดทั้งทีผิดผีผิดไข้

คนอื่นๆ ในรัฐบาล ไม่ว่า ภูมิธรรม เวชยชัย เป็น “สหายใหญ่ใส่บู๊ต” น่าจะสื่อความถึงการเป็นจั่วหัวกลาโหม “คอยระวังหลังให้กับนายกฯ อิ๊ง” นั่นละ ด้าน อนุทิน ชาญวีรกูล ได้ฉายา “ภูมิใจขวาง” เข้าใจได้ จากการที่แสดงบทเกิน พรรคน้องในรัฐบาล

หัวหน้าภูมิใจไทยออกตัวค้านนโยบายเพื่อไทยพรรคพี่สองครั้งสองครา “ค้านทั้งร่างกฎหมายสกัดรัฐประหาร ของ สส.พรรคแกนนำ ล่าสุดโหวตสวนร่าง พ.ร.บ.ประชามติ เห็นต่างจากพรรครัฐบาล

ทางด้าน รมว.กระทรวงยุติธรรมซึ่งได้ฉายา ทวีไอพี นั้น เขาเน้นความยุติธรรมสำหรับ วีไอพี เป็นพิเศษ เอาทักษิณกลับบ้านด้วยการส่งไปนอนเตียงนอนฟูกบนชั้น ๑๔ โรงพยาบาลตำรวจ ครบ ๑๘๐ วันได้พักโทษทันที ยังจะมี ยิ่งลักษณ์ น้องสาวตามมาอีกคน

อีกคนต้องเอ่ยถึง เอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รมว.อุตสาหกรรมจากพรรครวมไทยสร้างชาติ ได้ฉายาลงตัวเลยหละ “รวม (เพื่อ) ไทย อ้างชาติ” ยินดีข้ามขั้วมารวมพันธุ์กับเพื่อไทย อ้างได้ว่าละทิ้งอดีต เพื่อชาติเช่นกันกับ พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค

รายนั้นได้ฉายา “พีระพัง” เพราะได้คุมกระทรวงพลังงานแล้วผิดความคาดหวังของชาวบ้านทุกอย่าง ทั้งที่เป็นที่มุ่งมาดให้แก้ปัญหาใหญ่ น้ำมันแพง จนป่านนี้คว้าได้แต่น้ำเหลว ไม่ต่างจาก เฉลิมชัย ศรีอ่อน นำพวก ปชป.นอกคอกมาซบทักษิณกลายเป็น “ประชาธิเป๋”

สำหรับ จิราพอ (ล)  สินธุไพร เคยเป็นดาวเด่นของคนรุ่นใหม่ในสภา พอได้ขึ้นมาเป็นรัฐมนตรีกลับ จ๋อย หงอยลงไปถนัดตา ทั้งที่คุมทั้งสื่อรัฐ และ สนง.คุ้มครองผู้บริโภค “แต่งานกลับเดินไปเนิบๆ” ซ้ำมีคดีใหญ่ให้จัดการ ดิไอคอนกรุ๊ปรมต. น้ำ ก็ยังสโลว์ไล้ฟ์

อีกสามคนถูกจัดเป็น “รัฐมนตรีที่โลกลืม” คงไม่ต้องมีคำอธิบายสำหรับไม้ประดับข้างทางอย่าง เพิ่มพูน ชิดชอบ ว่าการศึกษาฯ สุชาติ ชมกลิ่น และ นภินทร ศรีสรรพางค์ ช่วยงานพาณิชย์ ถูก รมว.พิชัย นริพทะพันธุ์ ที่กลิ้งเก่งกว่ากลบมิด

(https://www.facebook.com/TheReportersTH/posts/2d4XXT1zyu และภาพจาก มติชนออนไลน์)