คำคม “สถานการณ์สร้างวีรบุรุษ” ของหลี่ไคหยวน นั้นได้รับการอธิบายว่าเกี่ยวกับสถานะสงคราม อันจะทำให้ภาวะผู้นำโดดเด่น ใครที่เป็นผู้นำชั่วคราวสามารถยืดเวลาไปเป็นผู้นำระยะยาวได้ แบบว่า “สี่เดือนบวกสี่ปี” ดีไม่ดีเพิ่มเป็นสองสมัย
สถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชายืดเยื้อมาพักใหญ่ “เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย” เนื่องเพราะ “ขิงก็ราข่าก็แรง” ฝ่ายหนึ่งยั่วยุ อยากไปศาลโลก อีกฝ่ายฮึ่มๆ “เตรียมรบพร้อมสรรพ” นัยว่าสั่งสมอาวุธเอาไว้มากมาย ต้องใช้งานเสียบ้าง จะได้ซื้อใหม่
พอดีมีปัจจัยทางภูมิรัฐศาสตร์ ที่ทั้งไทยและกัมพูชาอยู่ในหว่างกลางของผลประโยชน์ขัดแย้งสองมหาอำนาจตะวันออก-ตะวันตก มันจึงมีทั้งมาเลเซีย ในฐานะประธานอาเซียน จีน และสหรัฐ เข้ามาพัวพันอีรุงตุงนัง
จีนย่อมต้องการรักษาผลประโยชน์ทั้งการค้า และขยายขอบข่ายอิทธิพลในภูมิภาค สหรัฐนั้นการเมืองภายในที่ผู้นำกำลังตกต่ำเนื่องจากภาพลักษณ์แห่งบุคคลิกภาพ และพฤติกรรมฉ้อฉล/ฉุยแฉกมาแต่เบื้องหลัง จึงหาทางสร้างปมเขื่องจากนอกประเทศมาทดแทน
ดอแนลด์ ทรั้มพ์ กับ อัลวาร์ อิบราฮิม พยายามทำตัวเป็น ‘ผู้แก้ปัญหา’ ลดภาวะสงคราม นำสันติภาพกลับคืนมา คนหนึ่งบอก ‘ข่า’ ให้กลับไปสู่ข้อตกลงทวิภาคี หลังจากมีทหารบาดเจ็บสูญเสียอวัยวะ ผู้นำข่าประกาศว่า “สันติภาพสิ้นสุดแล้ว”
อีกคนไปชม ‘ขิง’ ว่ามีวุฒิภาวะ มั่นคงในเส้นทางสันติ ผู้นำฝ่ายข่าจึงบอกกับมหาอำนาจตะวันตกว่า ยูลดภาษีให้ไอสิ เราจะได้เดินไปบนเส้นทางสันติภาพอย่างชื่นมื่นด้วยกัน แม้แรกเลยจะแค่นหัวเราะตอบจะว่า ๑๙% ก็ต่ำแล้วนา สุดท้ายก็เออๆ ไอจะดูให้
แล้วจู่ๆ ผู้นำฝ่ายข่าก็ออกแถลงการณ์ ๑๑ ข้อ “ปกป้องศักดิ์ศรีชาติ-ยันไทยไม่ใช่ฝ่ายละเมิด พร้อมส่งสัญญาณชัดสหรัฐต้องวางตัวเป็นกลาง” อันนี้นักวิชาการสายเหยี่ยว ของ ม.รังสิต ออกโรงชม อนุทิน ชาญวีรกูล เสียหยดย้อย
ผศ.ดร.วันวิชิต บุญโปร่ง นักรัฐศาสตร์ว่า “เรามีหลักฐานชัดเจนว่ากัมพูชาละเมิด (ปฏิญญา) ก่อน” ท่าทีขึงขังระงับข้อตกลงกับกัมพูชาของไทยเป็นการ “ยืนหยัดเพื่อศักดิ์ศรี” และ “ยืนยันในเกียรติของชาติ” คือ “ความชัดเจนในจุดยืน...สิ่งที่ผู้นำพึงกระทำ”
แต่ถ้าฟังนักวิชาการในสายงานด้านความมั่นคงอย่าง ‘เสธ.โหน่ง’ อดีตรองเลขาธิการสภาความมั่นคงฯ พูดถึงค่าใช้จ่ายจากการรบไทย-เขมรที่ผ่านมา “มีการเบิกทดแทนเฉลี่ยวันละ ๑,๐๐๐ ล้านบาท” ซึ่งยังจัดว่าขนาดเล็ก ถ้าขนาดใหญ่ต้อง ๓ พันล้านขึ้นไป
“การรบกันอีกรอบปกติไม่ควรเกินสิบวัน แต่ถ้าจะเอาตามกองเชียร์ยึดเข้าไปถึงเขตภายใน (พนมเปญ) คงจะใช้เวลาไม่ต่ำกว่า ๑๐๐ วัน” นี่ถ้าเป็นการรบกันเอง ไม่ใช่ ‘สงครามตัวแทน’ มีมหาอำนาจปั่นก้นของแต่ละฝ่าย ส่วนตัวเขาให้ ๓๐๐ วัน
“แต่เพื่อให้คิดง่าย ๆ ให้ ๑๐๐ วันแล้วกระสุนหมดต้องเลิกรบต้องใช้เงินราว ๓๐๐,๐๐๐ ล้านบาท เพื่อทำกิจกรรมสนองความต้องการของคนคลั่งชาติ” พล.ท.พงศกร รอดชมพู เอาคำพูดทหารผ่านศึกชาวอังกฤษจาก WWI มาเคาะกะโหลกให้ฟังว่า
“แทนที่จะสูญเสียชีวิตคนหนุ่มสาวจำนวนมากให้คนแก่ ๆ บ้าอำนาจไม่กี่คนเอาปืนไปคนละกระบอกแล้วดวลกันเองจะดีกว่า...ส่วนเราเอง เอาเงินที่จะไปผลาญกันนี้มาพัฒนาคุณภาพทรัพยากรมนุษย์จะดีกว่าไหม” มีคนไปเม้นต์ต่อยอดด้วยว่า
อังกฤษบุกฟอล์คแลนด์ เอาชนะอาร์เจนติน่าง่ายดาย มากาเร็ต แธทเชอร์ นายกฯ สมัยนั้นได้ฉายา ‘นางสิงห์’ ไปเลยละ “หลังสงครามสงบ ‘จืดีพี’ ของอังกฤษตกต่ำนานเกือบสิบปี เพราะในทางบัญชีต้องบันทึกค่าใช้จ่ายในการทำสงครามเข้าไปในงบประมาณประจำปี”
Wichai Cherdshewasart เหน็บ “หลังจากนั้น อังกฤษไม่ซ่าทำสงครามกับใครแบบตัวต่อตัวอีก” เลย
(https://www.facebook.com/share/p/1GqVGEZXsz/?mibextid=wwXIfr, https://www.amarintv.com/news/social/530346 และ https://www.matichon.co.th/politics/news_5459080)
