วันจันทร์, พฤศจิกายน 10, 2568

จีนเอาจริง กระบวนการพิจารณาคดีหัวหน้าแก๊งสแกมเมอร์ในเมียนมา ถูกฉายผ่านสถานีโทรทัศน์แห่งชาติของจีน สื่อชิ้นนี้ต้องการส่งสัญญาณอะไรให้กับครอบครัวของเหยื่อ และอาชญากรชาวจีนในต่างประเทศที่หลอกลวงชาวจีนด้วยกันเอง


สื่อของรัฐจีนเผยภาพที่เห็นได้ยาก นั่นคือภาพการปราบปรามขบวนการสแกมเมอร์ซึ่งกักขังชาวจีนและคนสัญชาติอื่น ๆ

โกะ อีเว
บีบีซีนิวส์
9 พฤศจิกายน 2025

"ผมควรรู้สึกอะไรบ้างไหม ?" ชายตาปรือถาม ขณะนั่งอยู่ในห้องขังบุนวม และมือถูกใส่กุญแจมือ

เขากำลังถูกสอบสวนโดยเจ้าหน้าที่จีนเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่ถูกกล่าวหาว่าสั่งฆ่าคนแปลกหน้า เพื่อเป็นเครื่องสังเวยสำหรับการเฉลิมฉลองการเป็นพี่น้องร่วมสาบานกับหุ้นส่วนธุรกิจ

"เขาไม่ใช่คนที่มีชีวิต มีลมหายใจหรือ ?" เจ้าหน้าที่สอบสวนถาม

"ผมไม่รู้สึกอะไรมากนัก" ชายคนนั้นยืนยัน

ฉากนี้อาจฟังดูเหมือนหลุดออกมาจากละครอาชญากรรม แต่แท้จริงแล้วเป็นส่วนหนึ่งของสารคดีที่ผลิตโดยสื่อของรัฐจีน ซึ่งเปิดเผยเบื้องหลังการทำงานระบบยุติธรรม

สารคดีเช่นนี้แทบไม่เคยเกิดขึ้นในประเทศนี้ ซึ่งกระบวนการพิจารณาคดีมักถูกปิดกั้นจากสายตาของสาธารณะ

ชายที่ถูกใส่กุญแจมือและตอบคำถามคือ เฉิน ต้าเว่ย สมาชิกตระกูลเว่ยที่อื้อฉาว พวกเขาเป็นหนึ่งในหลายกลุ่มมาเฟียทรงอิทธิพลของเมืองเล้าก์ก่ายซึ่งเป็นเมืองชายแดนในเขตปกครองพิเศษโกก้าง รัฐฉาน ประเทศเมียนมา และดำเนินการผิดกฎหมายอย่างลอยนวลมานานหลายปี

คำรับสารภาพของเขาเป็นเพียงบางส่วนของโฆษณาชวนเชื่อที่เจ้าหน้าที่จีนดำเนินการมานานหลายเดือน เพื่อเป็นสื่อเตือนใจชาวจีนเกี่ยวกับศูนย์สแกมเมอร์มูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์สหรัฐ ที่อยู่ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมถึงเน้นให้เห็นการปราบปรามของรัฐบาลจีนที่กระทำต่อผู้ที่อยู่เบื้องหลังอุตสาหกรรมที่กักขังผู้คนหลายพันคน และขโมยเงินได้มหาศาล

ข้อความที่ทางจีนต้องการจะสื่อนั่นชัดเจนมาก จากสิ่งที่เจ้าหน้าที่สืบสวนคนหนึ่งกล่าวในสารคดี "เพื่อเตือนคนอื่น ๆ ไม่ว่าคุณจะเป็นใคร ไม่ว่าคุณจะอยู่ไหน ตราบใดที่คุณก่ออาชญากรรมอันโหดเหี้ยมต่อชาวจีน คุณจะต้องชดใช้"

หากเป็นสำนวนจีน อาจกล่าวได้ว่านี่คือ "การเชือดไก่ให้ลิงดู"

การชดใช้กับสิ่งที่ทำไป

มีเพียง "ไก่" ไม่กี่ตัวที่ใหญ่กว่าตระกูลเว่ย, ตระกูลหลิว, ตระกูลหมิง, และตระกูลไป๋ ซึ่งเป็นครอบครัวสไตล์เจ้าพ่อที่ก้าวขึ้นมามีอำนาจในเล้าก์ก่ายช่วงต้นทศวรรษที่ 2000

ภายใต้การปกครองของพวกเขา เมืองชายแดนที่ยากจนและทุรกันดาร ถูกแปลงโฉมให้กลายเป็นศูนย์กลางกาสิโนและย่านโคมแดงอันหรูหรา

ทว่า ส่วนใหญ่แล้วสถานที่แห่งนี้ไม่ต่างจาก "ฟาร์มสแกม" สถานที่ที่กักขังผู้คนโดยไม่สมัครใจ และบังคับให้พวกเขาหลอกลวงคนแปลกหน้า ไม่เช่นนั้นจะโดนลงโทษอย่างโหดร้ายหรือแม้กระทั่งถูกฆ่า โดยหลายคนที่ติดอยู่ในนั้นเป็นชาวจีน และมุ่งเป้าหลอกหลวงเหยื่อในประเทศจีน

ท้ายที่สุด จักรวรรดิของตระกูลเหล่านี้พังทลายลงในปี 2023 เมื่อทางการเมียนมาจับกุมพวกเขาและส่งตัวให้จีน นับตั้งแต่นั้น ศาลจีนก็ดำเนินคดีพวกเขาในหลายข้อหา ไม่ว่าจะเป็นฉ้อโกง ค้ามนุษย์ ไปจนถึงฆาตกรรม


สถานีโทรทัศน์แห่งชาติของจีนฉายภาพตอน เฉิน ต้าเว่ย สมาชิกแก๊งมาเฟียตระกูลเว่ย รับสารภาพความผิดของเขา

ตอนนี้ครอบครัวเหล่านี้ถูกทำให้เป็นเยี่ยงอย่าง โดยสมาชิกตระกูลหมิง 11 คน และตระกูลไป๋อีก 5 คน ถูกตัดสินประหารชีวิต ขณะที่อีกหลายสิบคนถูกลงโทษจำคุกเป็นเวลายาวนาน ส่วนการดำเนินคดีกับตระกูลหลิวและเว่ยยังคงดำเนินต่อไป

ความตกต่ำอย่างน่าอับอายของพวกเขาปรากฏชัดในสารคดีที่พวกเขามีส่วนร่วม ตั้งแต่ประกายแสงบนกุญแจมือ ไปจนถึงสีของชุดนักโทษ

สิ่งเหล่านี้ แตกต่างจากชีวิตที่พวกเขาเคยใช้เมื่อสองปีก่อนอย่างสิ้นเชิง

การผงาดขึ้นของตระกูลเจ้าพ่อสแกมเมอร์ในเล้าก์ก่าย

เจ้าพ่อแห่งเล้าก์ก่ายกลายเป็นกลุ่มที่ทรงอิทธิพลและทรงอำนาจหลังจากพลเอกอาวุโสมิน อ่อง หล่าย ซึ่งปัจจุบันเป็นผู้นำรัฐบาลทหารเมียนมา นำปฏิบัติการโค่นล้มขุนศึกผู้ปกครองเมืองอยู่ในขณะนั้น

ผู้นำทหารเมียนมาต้องการพันธมิตรในเวลานั้น และไป๋ ซัวเฉิง ซึ่งตอนนั้นมีตำแหน่งรองลงมาจากขุนศึกคนดังกล่าว ก็เข้ากับเงื่อนนั้นไขพอดี

ไป๋ได้รับการแต่งตั้งเป็นประธานเขตเล้าก์ก่าย โดยครอบครัวของเขามีอำนาจควบคุมกองกำลังติดอาวุธมากกว่า 2,000 นาย จากรายงานของสื่อจีน

จากนั้นครอบครัวเพียงไม่กี่ตระกูลก็เข้ามากอบโกยอำนาจทางทหารและการเมือง ในช่วงที่เกิดช่องว่างทางอำนาจในช่วงการเปลี่ยนแปลงนี้

ตามข้อมูลจากเจ้าหน้าที่สอบสวนจีน ตระกูลเว่ยมีสมาชิกหนึ่งคนเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) และอีกคนเป็นผู้บัญชาการค่ายทหาร

ขณะที่ตระกูลหลิวควบคุมโครงสร้างพื้นฐานสำคัญ เช่น น้ำและไฟฟ้า และมีอิทธิพลอย่างมากต่อกองกำลังรักษาความปลอดภัยท้องถิ่น


ไป๋ ซัวเฉิง กลายเป็นประธานเมืองเล้าก์ก่าย เมืองหลักของเขตปกครองพิเศษโกก้าง ในปี 2010

ตลอดหลายปีที่ผ่านมา พวกเขาหาเงินจากการพนัน และการค้าประเวณี

ทว่าเมื่อไม่นานมานี้ พวกเขาขยายไปสู่อุตสาหกรรมหลอกลวงทางไซเบอร์ โดยแต่ละครอบครัวควบคุมศูนย์สแกมเมอร์และกาสิโนหลายสิบแห่งที่กอบโกยเงินได้มหาศาล

ทางการจีนบอกว่า เบื้องหลังการใช้ชีวิตอย่างหรูหราของตระกูลเหล่านี้ ที่มีงานเลี้ยงใหญ่โตและรถยนต์สุดหรู กลับเต็มไปด้วยวัฒนธรรมอันน่าสยดสยองหลังกำแพงศูนย์สแกมเมอร์ที่กำลังเฟื่องฟู

คำให้การจากแรงงานที่ได้รับการปล่อยตัวชี้ให้เห็นรูปแบบการทารุณกรรม ตั้งแต่การถูกตัดนิ้วมือด้วยมีด ถูกช็อตด้วยกระบองไฟฟ้า และถูกทำร้ายร่างกายเป็นประจำ ขณะที่ผู้ที่ไม่ให้ความร่วมมือถูกขังในห้องมืดแคบ ๆ และถูกปล่อยให้อดอาหาร หรือถูกซ้อมจนกว่าจะยอมจำนน

จีนในสงคราม "โรคระบาดแห่งการหลอกลวง"

แรงงานจีนจำนวนมากถูกล่อลวงไปที่นั่นด้วยข้อเสนองานที่รายได้งาม ซึ่งแน่นอนว่าน่าดึงดูดท่ามกลางเศรษฐกิจจีนที่ชะลอตัว และอัตราว่างงานในกลุ่มเยาวชนที่เพิ่มสูงขึ้น

เรื่องราวสยองจากศูนย์หลอกลวงเหล่านี้ได้แทรกซึมเข้าสู่บทสนทนาประจำวันในจีน ตั้งแต่การนั่งรถแท็กซี่ไปจนถึงสื่อสังคมออนไลน์ และวัฒนธรรมป็อปในสื่อกระแสหลัก

ภาพยนตร์เรื่อง โน มอร์ เบ็ทส์ (No More Bets) ที่ออกฉายในปี 2023 เล่าเรื่องเกี่ยวกับชาวจีนที่ถูกค้ามนุษย์ และถูกส่งไปยัง "ฟาร์มสแกม" ในต่างประเทศ ทำให้ชาวจีนหลายล้านคนหลีกเลี่ยงการเดินทางไปเที่ยวไทย เนื่องจากมองถูกมองว่าเป็นทางผ่านไปศูนย์หลอกลวงในเมียนมาและกัมพูชา


ภาพยนตร์เรื่อง No More Bets ซึ่งเล่าเรื่องชาวจีนถูกล่อลวงไปยังศูนย์หลอกลวงในต่างประเทศ กวาดรายได้มหาศาลในบ็อกซ์ออฟฟิศปี 2023

ในเดือน ม.ค. ปีนี้ ความสนใจของทั้งประเทศมุ่งไปที่ หวัง ซิง นักแสดงจีนที่บินไปไทยเพื่อรับงานแสดง แต่กลับถูกพาตัวไปยังศูนย์หลอกลวงข้ามพรมแดนในเมียนมา

การตามหาตัวเขาของครอบครัวกลายเป็นกระแสไวรัล และในที่สุดเขาก็ได้รับการช่วยเหลือ

แต่หวังถือว่าเป็นคนส่วนน้อยที่โชคดี เพราะชาวจีนอีกมากยังคงตามหาคนรักที่สูญหายไปในศูนย์หลอกลวงทั่วเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

"ลูกพี่ลูกน้องของฉันถูกล่อลวงไปที่นั่นเมื่อสี่หรือห้าปีก่อน เราไม่ได้รับข่าวจากเขาเลย ป้าของฉันร้องไห้ทุกวัน สภาพของเธอตอนนี้ยากจะบรรยาย" ผู้ใช้แพลตฟอร์มเว่ยป๋อ (Weibo) รายหนึ่งโพสต์เมื่อเดือนที่แล้ว

เซลินา โฮ รองศาสตราจารย์ผู้เชี่ยวชาญด้านการเมืองจีนแห่งมหาวิทยาลัยแห่งชาติสิงคโปร์ บอกกับบีบีซีว่า "ด้วยการเผยแพร่การปราบปรามครั้งล่าสุด ทางการจีนต้องการสงบความรู้สึกผู้คนในประเทศ รวมถึงสร้างความมั่นใจให้กับครอบครัวของเหยื่อ"


เดือน ม.ค. ที่ผ่านมา หวัง ซิง นักแสดงจีนบินไปไทยเพื่อรับงานแสดงตามที่คิดไว้ แต่กลับถูกพาตัวไปยังศูนย์หลอกลวงในเมียนมา

สหประชาชาติประเมินว่ามีผู้คนหลายแสนคนยังคงติดอยู่ในศูนย์หลอกลวงทั่วโลก

สิ่งที่สร้างความขุ่นเคืองให้รัฐบาลจีน คือ ผู้ที่ดำเนินการศูนย์เหล่านี้จำนวนมากกลับเป็นชาวจีนเอง

นี่เป็นเรื่องที่คนจีนรู้กันดี "เมื่อคุณอยู่ต่างประเทศ คนที่คุณควรไว้ใจน้อยที่สุดคือคนชาติเดียวกัน" ความเห็นหนึ่งบนเว่ยป๋อ ระบุ

อีวาน ฟรานเชสชินี ผู้เขียนร่วมหนังสือ Scam: Inside Southeast Asia's Cybercrime Compounds (หลอกลวง: ภายในแหล่งอาชญากรรมทางไซเบอร์ของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้) บอกกับบีบีซีว่า "ความจริงที่ว่าชาวจีนจำนวนมากเป็นผู้อยู่เบื้องหลังปฏิบัติการเหล่านี้ได้สร้างความเสียหายอย่างหนักต่อภาพลักษณ์ของจีนบนเวทีโลก"

เมื่อความวิตกกังวลเพิ่มขึ้นในประเทศ ทางการจีนจึงเร่งแสดงความมุ่งมั่นในการกวาดล้างเครือข่ายหลอกลวงขนาดใหญ่เหล่านี้

ตั้งแต่ปี 2023 เป็นต้นมา ทางการจีนและเมียนมาจับกุมชาวจีนมากกว่า 57,000 คน ในข้อหามีส่วนเกี่ยวข้องกับการหลอกลวงออนไลน์ ตามรายงานของสื่อรัฐ


ภาพบรรยากาศภายในศูนย์หลอกลวงของตระกูลไป๋ ซึ่งเหมือนกับศูนย์หลอกลวงหลายแห่งในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่พบว่ามีแรงงานถูกกักขังและบังคับให้หลอกลวงเหยื่อทางออนไลน์

นอกจากนี้ จีนแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าเป้าหมายไม่ได้มีแค่บรรดาเจ้าพ่อเท่านั้น

เดือน ต.ค. ที่ผ่านมา จีนประกาศการดำเนินคดีกับเครือข่ายอีกกลุ่มหนึ่ง ซึ่งถูกอธิบายว่าเป็น "กลุ่มอำนาจเจเนอเรชันใหม่" ในเล้าก์ก่ายที่มีความ "โหดร้ายไม่น้อยไปกว่า" ตระกูลที่อื้อฉาวต่าง ๆ ที่เคยมีอิทธิพลในเล้าก์ก่ายก่อนหน้านี้

ในสารคดีอีกเรื่องหนึ่งของสื่อจีน เจ้าหน้าที่จีนที่สอบสวนเครือข่ายนี้เล่าว่าหัวหน้าทีมเคยบอกเขาว่า "ถ้าคดีนี้แก้ไม่ได้ มันจะเป็นตราบาปติดตัวคุณไปตลอดอาชีพการทำงาน"

สำหรับทุกความทุ่มเทของจีนในการปราบปรามและเผยแพร่ข่าว แต่ตัวเลขก็ให้ความหวังอยู่บ้าง หากดูจำนวนคดีหลอกลวงออนไลน์ที่ลดลงต่อเนื่องตลอดปีที่ผ่านมา โดยทางการระบุว่าอาชญากรรมเหล่านี้ถูก "ควบคุมได้อย่างมีประสิทธิภาพ"

เจ้าหน้าที่คนหนึ่งในสารคดีกล่าวกับผู้ชมว่า การสืบสวนแก๊งหลอกลวงในเมียนมา ทำให้เขาตระหนักว่า "เรามีความสุขแค่ไหนในจีน และความรู้สึกปลอดภัยนั้นสำคัญต่อชาวจีนเพียงใด"

รายงานเพิ่มเติมโดย เคลลี อึง

https://www.bbc.com/thai/articles/c4gpdgjjn8lo