วันอาทิตย์, สิงหาคม 03, 2568

เขาจับได้ขนาดนี้ก็ยังด้านกันอยู่น่ะ พวก สว.ที่ฮั้วกันมาเป็นก้อนใหญ่ ดีเอสไอ ใช้ปัญญาประดิษฐ์ตรวจบัตรคะแนน พบ ‘ตัวตึง’ สี่คนมาอีหรอบเดียวกัน


เอ้า เขาจับได้ขนาดนี้ก็ยังด้านกันอยู่น่ะ พวก สว.ที่ฮั้วกันมาเป็นก้อนใหญ่เสียงเดียวร้อยกว่าคน ดีเอสไอใช้เอไอจับเท็จ เจอบัตรที่ใช้เลือกกันเองเป็นโพย โดยเฉพาะของพวกตัวตึงสามสี่คน คะแนนมาเป็นชุดแบบเดียวกันทั้งนั้น

กรมสอบสวนคดีพิเศษใช้ปัญญาประดิษฐ์ตรวจสอบบัตรลงคะแนนเลือก สว.ชุดปัจจุบันที่มีจำนวนเกือบ ๑๔๐ คนโดนคดี ฮั้วอยู่ขณะนี้ ไอลอว์ คัดมาให้ดู คะแนนของพวก ตัวเต็ง ที่ได้เข้าไปเป็น ตัวตึง แกนนำของกลุ่ม สว.สีน้ำเงิน

ทั้ง มงคล สุรัจสัจจะ อดีตผู้ว่าฯ บุรีรัมย์ บ้านครูใหญ่ภูมิใจไทย ที่ได้เป็นประธานวุฒิสภา กับ วุฒิชาติ กัลยาณมิตร อดีตผู้ว่าการรถไฟ เป็นเลขานุการวิปวุฒิสภา ไม่ว่าจะ เกศกมล เปลี่ยนสมัย หมอเสริมความงามที่อ้างเป็นโปรเฟสเซอร์ก็อีหรอบเดียวกัน

หรือว่า อลงกต วรกี อดีตรองผู้ว่าฯ อุทัยธานี ถิ่นของ ชาดา ไทยเศรษฐ์ ที่ทำพิรุธในวันเลือก เดินว่อนหอประชุม พอได้เป็น สว.ยิ่งซ่าใหญ่ เหล่านี้ได้คะแนนมาเป็นกลุ่มก้อนเหมือนกันเป๊ะ ทำให้เครือข่ายสีน้ำเงินเข้ารอบยกแผง ๒๐ กลุ่มอาชีพ

ส่งผลให้ผู้สมัครจากเครือข่ายการเมืองนี้ได้คะแนน ทิ้งโด่งและลอยลำเข้ารอบต่อไปอย่างน้อยกลุ่มละ ๒๐ คน” ยกตัวอย่าง มงคล หมายเลข ๘๔ ในรอบเลือกกันเองได้ ๓๔ คะแนน ที่มาจากเครือข่ายการเมืองเดียวกันถึง ๓๑ คะแนน

“จากข้อมูลบัตรลงคะแนนทั้งหมดที่ AI จับภาพได้ หมายเลข ๘๔ ของมงคลอยู่ใน Pattern ใหญ่ที่สุดของกลุ่ม ๑ ที่มีการลงคะแนนเหมือนกันเป๊ะทั้งชุด ๒๐ ใบ ซึ่งเป็นการลงคะแนนให้แก่หมายเลข ๑๔๘ ๑๓๗ ๑๒๖ ๑๑๑ ๑๐๗ ๙๕ ๘๔ ๔๙ ๑๔ ๗”

หรือกรณี เกศกมล หมายเลข ๓ ของเธอ “อยู่ใน Pattern ใหญ่ที่สุดของกลุ่ม ๑๙ ที่มีการลงคะแนนเหมือนกันเป๊ะทั้งชุด ๒๑ ใบ ซึ่งเป็นการลงคะแนนให้แก่หมายเลข ๑๕๒ ๑๒๓ ๑๒๒ ๑๐๘ ๔๙ ๒๒ ๑๐ ๕ ๓ ๒” เป็นต้น

ส่วนในรอบเลือกไขว้ ยกตัวอย่างกรณี อลงกต หมายเลข ๑๔๔ เอไอจับภาพบัตรประเภท A และ B “ได้ ๖๗ คะแนน สูงเป็นอันดับที่ห้าของประเทศ ซึ่งเป็นคะแนนจากบัตรที่ลงคะแนนเหมือนกันเป็นเซ็ตๆ อย่างน้อย ๕๘ ใบ” คนอื่นๆ ก็มาแบบเดียวกัน

มีเสียงมาจากเครือข่ายกัญชาไม่เสพติดว่าปฏิบัติการดีเอสไอนี้เป็นเรื่อง จองล้าง ของพรรคที่เป็นน้ำผึ้งขมกับอาณาจักรอีสานใต้ จะว่ายกเมฆก็คงพอๆ กับเรื่องที่ว่าบุรีรัมย์ใกล้กับพนมเปญ สมคบกันวางยาอุ๊งอิ๊งเสียจนยังมึนอยู่บัดนี้

(https://www.facebook.com/iLawClub/posts/YaJ5L5zXsR) 

การที่คุณไม่ได้จับอาวุธไปเข่นฆ่ามนุษย์ด้วยกัน ไม่ได้หมายความว่าคุณไม่มีความผิด ในทางตรงกันข้าม หากคุณยุยง ปลุกปลั่นความเกลียดชัง ส่งเสริมความรุนแรง ก็คงไม่ต่างอะไรจากการเป็นฆาตกรในทางอ้อมเช่นกัน

The Rwandan refugee camp in Benako, Tanzania, in 1994

Somrit Luechai
13 hours ago
·
ปี 1994 หรือพ.ศ.2537
เกิดเหตุฆ่าบ้างเผ่าพันธุ์ในรวันดา
เพียง 100 วัน
มีคนตายถึง 8 แสนกว่าคน
เหตุเกิดจากความเกลียดชังทางชาติพันธุ์
จนทำให้คนจากเผ่าฮูตู
ไล่ล่าสังหารคนจากเผ่าตุสซี
เผ่าฮูตูปลุกกระแสสร้างความเกลียดชัง
โดยเรียกคนเผ่าตุสซีว่า"แมลงสาบ"
การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ครั้งนี้เกิดทั่วแผ่นดิน
โดยอ้างว่าเพื่อกำจัดแมลงสาบ
เจอคนเผ่าตุสซีที่ไหนฆ่าที่นั่น
แม้แต่คนในครอบครัวเดียวกันก็ไม่เว้น
สามีสังหารภรรยาที่เป็นเผ่าตุสซี
การปลุกกระแสความเกลียดชังมนุษย์ด้วยกัน
ถ้าปลุกติดแล้ว
มันจึงอันตรายยิ่ง
พุทธศาสนาเป็นศาสนาแห่งความเมตตา
ผมในฐานะชาวพุทธจึงเรียกร้องสันติภาพ
และต่อต้านการปลุกกระแสเกลียดชังกัน
ถ้าจะเกลียดชังจริงๆ
เกลียดเป็นคนๆไปอย่าเหมารวม
อย่าเกลียดเพราะเขาต่างเชื้อชาติจากเรา
หรือต่างศาสนาจากเรา
ดีที่ความขัดแย้งไทย-กัมพูชาครั้งนี้
ไม่ลามไปถึงการไล่ล่าทำร้ายกันและกัน
ของคนทั้ง 2 เชื้อชาติ
แต่ที่น่าตกใจก็คือ
กระแสความเกลียดชังนี้ยังก้องกังวาน
ในสื่อออนไลน์
เป็นหน้าที่ของพวกเราทุกคน
ที่จะช่วยกันระงับยับยั้งกระแสนี้ให้ได้
เพื่อที่ลูกหลานเราในอนาคต
จะอยู่ร่วมโลกกับมิตรประเทศอย่างสันติสุข
ไม่ใช่อยู่อย่างหวาดระแวงกับศัตรู
ครับ


Monton Praphakonkiat
13 hours ago
·
เราต้องหวนทบทวนตัวเอง
.
สองสัปดาห์นี้ ต้องยอมรับว่าเหตุการณ์สงครามระหว่างไทย-กัมพูชา สั่นสะท้อนคนไทยทั้งประเทศจริงๆ โดยส่วนตัวแล้วติดตามข่าวอย่างเงียบๆ มาตลอด ผลที่ตามมาคือ ได้เห็นสิ่งที่ไม่เคยเห็นมาก่อน อะไรที่ไม่คาดคิด ก็ได้เห็น ทำเอาคิดถึงช่วงเหตุการณ์ตุลา เรียกได้ว่า “บ้านเมืองของเรากำลังลงแดง“ มันทำให้เราต้องกลับไปทบทวนอยู่หลายเรื่อง ในฐานะที่ทำวิชาชีพสื่อ แม้จะไม่อาจเรียกได้ว่าเป็นสื่อมวลชนเต็มตัว แต่ก็ใกล้เคียง อยากใช้พื้นที่นี้เขียนถึงสักหน่อย
.
ในด้านวิชาการประวัติศาสตร์-รัฐศาสตร์-มานุษยวิทยา และโครงการ อาเซียนศึกษา คงต้องทบทวนกันอย่างหนักแน่นว่า เราส่งต่อความรู้เรื่องความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ และประเทศเพื่อนบ้านกันดีแล้วหรือยัง เพราะภาพสะท้อนขององค์ความรู้เรื่องประเทศเพื่อนบ้านในสังคมตอนนี้ ผลคือล้มเหลวโดยสิ้นเชิงจริงๆ ซึ่งแน่นอนว่า หากจะขุดรากไปยิ่งกว่านั้น ต้องมุ่งเป้าไปที่ ”กระทรวงศึกษาธิการ“ ที่ผลิตซ้ำกระดาษแห่งความเกลียดชังมานานนับเกือบศตวรรษ
.
ในด้านสื่อมวลชน คือสิ่งหลักที่สะท้อนให้เห็นถึงภาพของเดือนตุลาฯ การปลุกปั่นความเกลียดชังโดยไม่คำนึงถึงวิชาชีพสื่อที่ควรนำเสนอ “ข้อเท็จจริง“ อย่างตรงไปตรงมา จรรยาบรรณาวิชาชีพในบางสื่อ ถูกกลบทับด้วยสิ่งที่เรียกว่า engagement เติมเต็มด้วยอารมณ์ความรู้สึกที่มากไปกว่าข้อมูล จนนำไปสู่ “ข้อเท็จ” ก่อให้เกิดการลงแดงอยู่ทุกวันนี้
.
ในด้านองค์กรรัฐ ยิ่งตอกย้ำการเป็น รัฐที่ล้มเหลวโดยสิ้นเชิง โดยเฉพาะด้านการต่างประเทศทั้งการเจรจาคู่ขนานระหว่างสงคราม จนไปสู่ในเวทีโลก ที่ล่าช้าและ “ตามไม่ทัน” กัมพูชาอยู่หลายช่วงตัว การบริหารจัดการที่กลายเป็นกองทัพนำรัฐ ยิ่งตอกย้ำความอ่อนในด้านการบริหารและเกมการเมืองของผู้นำประเทศยิ่งไปอีก และสุดท้าย ความล้มเหลวในการสื่อสารให้กับประชาชนด้านความเชื่อมั่นและข้อเท็จจริง
.
ในด้านการทหาร พวกเราต้องแยกให้ออกระหว่าง ”หน้าที่“​ ที่กองทัพกำลังปฏิบัติกับ “ความโปร่งใส” และปัญหาที่หมักหมมมานาน การปฏิบัติหน้าที่รักษาอธิปไตยของทหารเป็นสิ่งที่ควรกระทำอยู่แล้ว แต่สิ่งนี้ไม่ควรถูกกลบทับหรือเมินเฉยต่อการตรวจสอบความโปร่งใสในองค์กรใดๆ ทุกองค์กร
.
สุดท้าย ในฐานะมนุษย์ของพวกเรา ที่มีเลือดเนื้อเช่นเดียวกับ “คนในพื้นที่ชายแดน” ไม่ว่าจะฝั่งไหนก็ตาม การสูญเสียที่อยู่ ทรัพย์สิน ครอบครัว หรือแม้กระทั่งชีวิตของตนที่ไม่สามารลุกขึ้นมาเรียกร้องอะไรได้อีก ไม่ควรเกิดขึ้นกับประชาชนที่ไม่มีความผิด ไม่ว่าฝั่งใดก็ตาม การสนับสนุนให้เกิดสงครามที่ “เกินเลย” ไม่ต่างอะไรกับความพยายามเป็นฆาตกรเสียเอง พวกเราควรกลับมาทบทวนความเป็นคนด้วยกันทุกคน
.
การที่คุณไม่ได้จับอาวุธไปเข่นฆ่ามนุษย์ด้วยกัน ไม่ได้หมายความว่าคุณไม่มีความผิด ในทางตรงกันข้าม หากคุณยุยง ปลุกปลั่นความเกลียดชัง ส่งเสริมความรุนแรง ก็คงไม่ต่างอะไรจากการเป็นฆาตกรในทางอ้อมเช่นกัน สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่อาการโลกสวยใดๆ แต่ประวัติศาสตร์ในอดีตมีให้เรียนรู้แล้วกลับมามองปัจจุบัน ว่าหากเราลงแดงแล้วจะเป็นอย่างไร


ข้อเสนอ อ.ปวิน ถ้าหาทางออกไม่ได้ ต่อปัญหาเรื่องเขตแดนหรือพื้นที่ทับซ้อน ก็ทำเป็นดินแดนพัฒนาร่วมกัน


Pavin Chachavalpongpun
11 hours ago
·
เรื่องข้อพิพาททางพรมแดนและการแย่งชิงปราสาทระหว่างไทย-กัมพูชานั้น ดิชั้นขอเขียนทั้งจากมุมมองทางวิชาการและจากผู้ปฏิบัตินโยบายนะคะ การหาทางออกสำหรับเรื่องนี้ที่ยั่งยืนที่สุดคือการหลีกหนีจากกรอบการแบ่งแยกดินแดนแบบดั้งเดิม และหันมาสู่แนวทางการพัฒนาและแบ่งปันผลประโยชน์ร่วมกัน

1. ประการแรก ต้องยอมรับความจริงที่ว่าข้อพิพาทในพื้นที่เหล่านี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่เกี่ยวข้องกับโบราณสถานและประวัติศาสตร์ชาติ จะไม่สามารถแก้ไขได้อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาดด้วยการแบ่งเส้นเขตแดน (delimitation) เพียงอย่างเดียว ด้วยเหตุผลที่ว่าพื้นที่เหล่านี้มักมีคุณค่าทางประวัติศาสตร์และจิตวิญญาณที่ซับซ้อนเกินกว่าจะขีดเส้นแบ่ง การพยายามแบ่งแยกจึงมักนำไปสู่ความรู้สึกสูญเสียและไม่เป็นธรรมของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ซึ่งจะกลายเป็นเชื้อไฟของความขัดแย้งในอนาคต แม้แต่ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) ก็อาจไม่สามารถให้คำตัดสินที่สามารถยุติข้อพิพาทในระดับจิตวิทยาและวัฒนธรรมได้อย่างแท้จริง เพราะคำตัดสินทางกฎหมายอาจไม่สอดคล้องกับความรู้สึกของประชาชนทั้งสองฝ่าย ดูจากกรณีเขาพระวิหาร เป็นต้น

2. ประการที่สอง การยึดติดกับวาทกรรมเชิงประวัติศาสตร์เกี่ยวกับอาณานิคมและการปลดปล่อย (decolonisation) มักจะเป็นอุปสรรคสำคัญในการหาทางออกที่สร้างสรรค์ วาทกรรมเหล่านี้มีแนวโน้มที่จะปลุกเร้าอารมณ์ชาตินิยมและสร้างความชอบธรรมให้กับการใช้กำลังหรือการกระทำที่รุนแรง การพูดคุยที่วนเวียนอยู่กับว่าใครเป็นผู้ครอบครองพื้นที่ก่อน หรือใครเป็นผู้ที่เสียเปรียบจากยุคล่าอาณานิคม มีแต่จะทำให้ความขัดแย้งทวีความรุนแรงขึ้นและทำลายโอกาสในการสร้างความร่วมมือ การมองไปข้างหน้าจึงเป็นสิ่งสำคัญมากกว่าการมองย้อนกลับไปในอดีต

3. ดังนั้น ทางออกที่เหมาะสมที่สุดในทางปฏิบัติคือการใช้แนวคิดเรื่อง "การพัฒนาร่วมและการแบ่งปันผลประโยชน์" (Joint Development and Benefit Sharing) แนวทางนี้เสนอให้ทั้งสองฝ่ายยอมรับสถานะของพื้นที่พิพาทว่าเป็นพื้นที่ที่ยังไม่สามารถกำหนดเขตแดนได้อย่างชัดเจน และแทนที่จะแย่งชิงความเป็นเจ้าของ ก็หันมาบริหารจัดการพื้นที่ร่วมกันเพื่อประโยชน์สูงสุดของประชาชนทั้งสองประเทศ แนวทางนี้จะช่วยปกป้องวิถีชีวิตและความเป็นอยู่ของชุมชนตามแนวชายแดนไม่ให้ได้รับผลกระทบจากความขัดแย้งทางการเมือง นอกจากนี้ยังสามารถนำไปประยุกต์ใช้กับโบราณสถานได้ โดยการจัดตั้งคณะกรรมการร่วมเพื่อบริหารจัดการมรดกทางวัฒนธรรมร่วมกัน ส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ร่วมกัน ซึ่งจะช่วยสร้างรายได้และผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจให้กับประชาชนทั้งสองฝ่ายได้อย่างเท่าเทียมไม่มากก็น้อย และเปลี่ยนพื้นที่ที่เป็นชนวนของความขัดแย้งให้กลายเป็นพื้นที่แห่งความร่วมมือและสันติภาพอย่างแท้จริงในระยะยาว อ้อ การเจรจาเรื่องพรมแดนควรทำแบบสุขุม ไม่โฉ่งฉ่าง เพราะถ้าทำแบบที่ทำอยู่ คือ in the open ก็จะโดนไฟชาตินิยมเผาผลาญแบบที่เราเห็น จนไม่สามารถแก้ปัญหาได้สักทีค่ะ

...ดิชั้นเขียนข้อเสนอนี้ตั้งแต่ทำหนังสือเล่มนี้กับ อจ Charnvit Kasetsiri และทูตกัมพูชา Pou Sothirak ให้เราจำไว้เลยค่ะ ไอ้วาทกรรม "ตารางนิ้วนึงก็เสียไม่ได้" ไม่สามารถเอามาใช้แก้ไขปัญหาข้อพิพาททางพรมแดนได้ - ever!
 
https://www.facebook.com/photo?fbid=9763086027126406&set=a.104469196321519

Somrit Luechai
11 hours ago
·
ข้อเสนอ อ.ปวิน
ถ้าหาทางออกไม่ได้
ต่อปัญหาเรื่องเขตแดนหรือพื้นที่ทับซ้อน
ก็ทำเป็นดินแดนพัฒนาร่วมกัน
ข้อเสนอ อ.สมฤทธิ์
ถ้าแก้ไขก็ไม่ได้
ทำเป็นพื้นที่พัฒนาร่วมกันก็ไม่ได้
ปล่อยมันเป็นปัญหาอย่างนั่นแหละ
ไม่ต้องไปแก้มัน
ให้ลูกหลานในอนาคตมาแก้
ดีกว่าที่จะต้องไปรบกันครับ


ไม่รู้ว่าเรารู้หรือไม่ เรากำลังทำสงครามบนแผนที่ที่เจ้าอาณานิคมเป็นคนขีดเส้นแบ่งพรมแดนไว้ เราต่างเป็นประเทศที่ถูกกดขี่จากเจ้าอาณานิคม แทนที่เราจะร่วมมือกันเพื่อ decolonize ตัวเอง เรากลับเอาเรื่องนี้มาเป็นประเด็นฟาดฟันกัน

ภาพจาก Lanner News

Pinkaew Laungaramsri
Yesterday
·
ข้อพิพาทพรมแดนไทย-กัมพูชา เป็นหนึ่งในกลุ่มพรมแดนที่มีข้อพิพาทยืดเยื้อยาวนานที่สุดในโลก ที่ดำเนินมาเป็นเวลากว่า 70+ ปี ในบรรดากลุ่มพรมแดนปัญหาที่ยังหาทางออกไม่ได้ หรือที่เราเรียกกันว่า impossible border นั้น ต่างมีคุณลักษณะร่วมกันคือ ล้วนแล้วแต่เป็นพรมแดนที่เป็นมรดกของรัฐอาณานิคมทั้งสิ้น ไม่ว่าดีกรีจะมากน้อย และไม่ว่าจะเป็นอาณานิคมภายนอก หรืออาณานิคมภายในก็ตาม ยกตัวอย่างเช่น พรมแดนแคชเมียร์ (อินเดีย-ปากีสถาน-จีน)— 78 ปี ซึ่งเป็นฝีมือของอังกฤษ พรมแดนอิสราเอล-ปาเลสไตน์ –77 ปี ก็เป็นฝีมือของอังกฤษ พรมแดนระหว่างเกาหลีเหนือและเกาหลีใต้—77 ปี—ญี่ปุ่น เป็นต้น ในกรณีไทย-กัมพูชา ย่อมทราบกันอยู่แล้วว่าเป็นมรดกที่ฝรั่งเศสทิ้งไว้ และสร้างปัญหามาจนปัจจุบัน
มรดกอาณานิคม ถือเป็นทั้งต้นเหตุของปัญหา และทั้งสร้างภาวะความกำกวมที่เป็นอุปสรรคขัดขวางการแสวงหาทางออกต่อปัญหาข้อพิพาทพรมแดน โดยเฉพาะ ปัญหาความชอบธรรม เพราะในขณะที่เขตแดนอาณานิคมทั้งหลายล้วนถูกขีดขึ้นตามอำเภอใจ และเป็นเส้นที่คำนึงถึงผลประโยชน์ของรัฐอาณานิคมเป็นสำคัญ โดยไม่สนใจ หรือยอมรับแนวคิดว่าด้วยดินแดนของท้องถิ่น ในยุคหลังอาณานิคม เส้นตามอำเภอใจดังกล่าว กลับกลายเป็นจุดอ้างอิงหลักที่ถูกนำมาใช้อ้างสิทธิเหนือดินแดนตามกฎหมาย สงครามแผนที่ จึงเกิดขึ้นในแทบทุกข้อพิพาทพรมแดน สิ่งที่น่าสังเกตคือ ประเด็นไม่ได้อยู่ที่ว่าแผนที่ของใครมีความ “ถูกต้อง”ในทางเทคนิคมากกว่ากัน แต่เป็นเรื่องที่ว่า แผนที่ของใครมี “ความชอบธรรม” มากกว่ากัน แผนที่ของอาณานิคมฝรั่งเศส ที่มีสเกล 1:200,000 แนบท้ายสนธิสัญญาปี 1907 ที่กัมพูชาใช้เป็นหลักอ้างอิง ซึ่งแน่นอนมีความละเอียดน้อยกว่าแผนที่สเกล 1:50,000 ที่ฝ่ายไทยลากขึ้นภายหลังอย่างเทียบไม่ได้ แต่กลับมีความชอบธรรมมากกว่า เพราะได้รับการรับรองเชิงสถาบันจากองค์กรตุลาหลักนานาชาติ เช่น ICJ ซึ่งทำหน้าที่สืบทอดมรดกอาณานิคมอย่างแข็งขัน ในขณะที่แผนที่ของไทยนั้นขีดขึ้นมาฝ่ายเดียว (unilaterally) โดยไม่มีใครสนับสนุน ต่อให้ถูกหลักทางภูมิศาสตร์ ก็ปราศจากความชอบธรรมทางกฎหมาย และยากที่จะถูกยอมรับนอกประเทศไทย
อย่างไรก็ตาม แผนที่สองฉบับนี้ ไม่ว่าจะต่างกัน เพราะฝ่ายหนึ่งเป็นมรดกของอาณานิคม ในขณะที่อีกฝ่ายเป็นมรดกของภูมิศาสตร์สมัยใหม่ แต่ก็มีคุณลักษณะที่เหมือนกันคือ ต่างก็วางอยู่บนฐานคิดเดียวกันของอธิปไตยเชิงเดี่ยว ที่มีรัฐ และชาติศูนย์กลางเป็นที่ตั้งเพียงอย่างเดียว โดยปราศจากการรับฟังหรือเข้าใจวัฒนธรรมท้องถิ่นของชุมชนชาติพันธุ์ในตลอดแนวชายแดน ที่ซึ่งแนวคิดท้องถิ่นว่าด้วยเขตแดน อาจไม่จำเป็นต้องมีลักษณะที่เบ็ดเสร็จเด็ดขาด เป็นเจ้าเข้าเจ้าของ และมุ่งเน้นแต่การขีดแบ่ง ดังเช่นที่กำหนดโดยรัฐศูนย์กลาง กลุ่มชนท้องถิ่นเหล่านี้ ไม่เคยถูกนับให้เป็น stake holders ของการแก้ปัญหาข้อพิพาทเรื่องเขตแดน ทั้งที่พวกเขาเป็นกลุ่มแรก และกลุ่มเดียว ที่ต้องหนีภัยจากปัญหาเขตแดนเป็นพิษ
ในวงการวิชาการ เราพูดกันเยอะเรื่องการถอดถอนมรดกของอาณานิคม (decolonization) จริงๆ สิ่งที่ควรถูกถอดถอนอันดับแรกเลย คือเขตแดนแบบอาณานิคมนี่แหละ รวมทั้งผลผลิตที่ตามมาของมัน ไม่ว่าชาตินิยมสุดโต่งของทั้งไทยและกัมพูชา ตลอดจนวิธีคิดที่มองวัฒนธรรมแบบเอกสิทธิ์ จนไม่เหลือที่ทางให้กับการเข้าใจและยอมรับสิ่งที่เรียกว่ามรดกทางวัฒนธรรมร่วม และความหมายของมรดกทางวัฒนธรรมร่วมที่มีต่อกลุ่มชนที่อาศัยอยู่ทั้งสองฝั่งของพรมแดน

Pipob Udomittipong
16 hours ago
·
สาเหตุที่คนต่างชาติมองว่าสงครามไทย-กัมพูชาครั้งนี้เรื่องงี่เง่า เพราะเราทำสงครามบนแผนที่ที่เจ้าอาณานิคมเป็นคนขีดเส้นแบ่งพรมแดนไว้ เราต่างเป็นประเทศที่ถูกกดขี่จากเจ้าอาณานิคม แทนที่เราจะร่วมมือกันเพื่อ decolonize ตัวเอง เรากลับเอาเรื่องนี้มาเป็นประเด็นฟาดฟันกัน


https://www.facebook.com/pipob.udomittipong/posts/10162887241251649


ความขัดแย้งเดียว สองเรื่องเล่า: มองรายงานข่าวในไทย-กัมพูชา เหตุใดจึงแตกต่างกันอย่างมาก



ความขัดแย้งเดียว สองเรื่องเล่า: มองรายงานข่าวในไทย-กัมพูชา เหตุใดจึงแตกต่างกันอย่างมาก

2 สิงหาคม 2025
บีบีซีไทย

นอกจากการสู้กันด้วยกำลังทางการทหารที่เริ่มมาตั้งแต่เช้าวันที่ 24 ก.ค. แล้ว อีกพื้นที่ที่ได้กลายเป็นอีกหนึ่งสมรภูมิในความขัดแย้งไทย-กัมพูชาครั้งนี้ คือการปะทะกันในโลกออนไลน์ระหว่างผู้ใช้อินเทอร์เน็ตของทั้งสองประเทศ โดยหนึ่งในนั้นคือการใช้แฮชแท็กตอบโต้กันบนแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียที่เป็นที่นิยม ทั้งบนติ๊กตอก, เอ็กซ์ (เดิมคือทวิตเตอร์) และเฟซบุ๊ก

ทางฝั่งกัมพูชา มีการใช้แฮชแท็กที่พยายามสร้างความชอบธรรมให้กับปฏิบัติการทางทหารของประเทศตัวเอง ยกตัวอย่างเช่น สำนักข่าวออนไลน์ธเมย์ ธเมย์ (Thmey Thmey) ของกัมพูชา ซึ่งมีผู้ติดตามทางเฟซบุ๊กมากกว่า 1.2 ล้านผู้ใช้ ได้ติดแฮชแท็ก #ThaiFightFirst (ไทยสู้ก่อน) #ThaiOpenedFire (ไทยเริ่มยิง) และ #ThailandOpenedFire (ประเทศไทยเริ่มยิง) ในเนื้อหาข่าว

นอกจากนี้ อินฟลูเอนเซอร์ชาวกัมพูชาที่มีผู้ติดตามจำนวนมาก เช่น อ๊ก สุคนธกันยา ที่มีผู้ติดตามกว่า 2.4 ล้านผู้ใช้ ก็ได้โพสต์คลิปวิดีโอบนติ๊กตอก พร้อมข้อความประกอบที่มีแฮชแท็กว่า #ThailandOpenFire (ประเทศไทยเริ่มยิง) และ #ThailandStartedTheWar (ประเทศไทยเป็นฝ่ายเริ่มสงคราม) เช่นกัน

ในขณะเดียวกัน เพจเฟซบุ๊กของกองทัพบกของไทยได้โพสต์ชักชวนให้ประชาชนชาวไทยร่วมติดแฮชแท็ก #CambodiaOpenedFire ร่วมกับ #กัมพูชายิงก่อน ต่อมาผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ตจากฝั่งไทยก็ได้ใช้แฮชแท็กดังกล่าวหรือแฮชแท็กซึ่งมีใจความคล้ายกันอย่างแพร่หลาย ทั้งนี้ เพจเฟซบุ๊กของสำนักข่าวบางแห่งก็ได้ร่วมใช้แฮชแท็กดังกล่าวด้วย เช่น ไทยรัฐทีวี, พีพีทีวี และ เดลินิวส์ออนไลน์

ข้อสรุปที่ขัดแย้งกันในประเด็นที่ว่า "ใครยิงก่อน" ไม่ได้จำกัดอยู่เพียงในหมู่ผู้ใช้งานโซเชียลมีเดียเท่านั้น บีบีซีไทยตรวจสอบรายงานข่าวจากสื่อของทั้งไทยและกัมพูชา และพบว่าสื่อในทั้งสองประเทศได้นำเสนอรายงานข่าวที่แตกต่างกันอย่างมาก

ความแตกต่างรายงานข่าวในไทยและกัมพูชา

เหตุปะทะที่ช่องบก วันที่ 28 พ.ค.

ย้อนกลับไปตั้งแต่เหตุปะทะที่ช่องบกในวันที่ 28 พ.ค. 68 ซึ่งเป็นเหตุให้ทหารกัมพูชาเสียชีวิตหนึ่งราย สำนักข่าวในไทยรายงานสถานการณ์ดังกล่าว โดยอ้างอิง "หน่วยงานความมั่นคงชายแดน" ที่ระบุว่ามีการปะทะกันขึ้นที่บริเวณช่องบก ยกตัวอย่างเช่น ไทยพีบีเอสและพีพีทีวีรายงานข่าวด้วยถ้อยคำตรงกันว่า "การปะทะเกิดขึ้นจากความคลาดเคลื่อนในการประเมินสถานการณ์ในระดับภาคสนาม และยุติลงในเวลาอันสั้น"

ต่อมาในวันเดียวกัน ทีมโฆษกกองทัพบกได้โพสต์รายละเอียดในเพจเฟซบุ๊ก ว่าหน่วยเฉพาะกิจที่ 1 กองกำลังสุรนารี ได้รับรายงานว่ามีทหารกัมพูชาเข้ามาวางกำลังในพื้นที่อ้างสิทธิ

"ฝ่ายไทยจึงจัดชุดประสานงานเพื่อเข้าพูดคุยเจรจาตามแนวทางการปฏิบัติที่เคยกระทำมา เมื่อถึงบริเวณดังกล่าว กำลังส่วนระวังเหตุของทหารกัมพูชา ได้เข้าใจผิด และเริ่มใช้อาวุธ ฝ่ายไทยจึงใช้อาวุธตอบโต้กลับไป โดยใช้เวลาประมาณ 10 นาที" ทีมโฆษกกองทัพบกบรรยาย

ด้านสื่อของกัมพูชา เช่น DAP News รายงานโดยอ้างอิงแถลงการณ์กระทรวงกลาโหมกัมพูชา ซึ่งระบุว่า "กองทัพไทยได้เปิดฉากยิงใส่แนวสนามเพลาะ ซึ่งเป็นฐานที่มั่นของกองทัพกัมพูชาที่ตั้งอยู่ในพื้นที่ดังกล่าวมาเป็นเวลานาน"


ภาพจากกองทัพบกไทยเผยร่องดินที่ทหารกัมพูชาขุดและกลบคืน หลังเจรจาทางทหารบริเวณชายแดนที่มีข้อพิพาทในช่องบก จ.อุบลราชธานี เมื่อ 8 มิ.ย. 2025

เหตุปะทะระลอกล่าสุด ตั้งแต่ 24 ก.ค.

ความตึงเครียดของสถานการณ์ระลอกล่าสุดเริ่มขึ้นตั้งแต่วันที่ 23 ก.ค. เมื่อมีทหารไทยได้รับบาดเจ็บจากการเหยียบกับระเบิดระหว่างที่ลาดตระเวนบริเวณช่องอานม้า อ.น้ำยืน จ.อุบลราชธานี

ต่อมาในคืนวันเดียวกัน รัฐบาลไทยได้ประกาศลดระดับความสัมพันธ์ทางการทูตกับกัมพูชา โดยกระทรวงการต่างประเทศของไทยได้เรียกเอกอัครราชทูตไทยประจำกรุงพนมเปญกลับประเทศ ขณะเดียวกัน ไทยได้ขอให้เอกอัครราชทูตกัมพูชาประจำประเทศไทยเดินทางกลับประเทศเช่นกัน

ด้านกองทัพบกประกาศเตรียมพร้อมแผนเผชิญเหตุ "จักรพงษ์ภูวนารถ" เตรียมรับสถานการณ์ ต่อมา พล.ท.บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 ได้ลงนามในคำสั่งกองทัพภาคที่ 2 (เฉพาะ) ที่ 213/2568 เพื่อปิดจุดผ่านแดนตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา และการปิดสถานที่ท่องเที่ยวในพื้นที่รับผิดชอบของกองทัพ รวมถึงงดการเยี่ยมชมปราสาทตาเมือนและปราสาทตาควาย

ต่อมาเช้าวันที่ 24 ก.ค. ผู้สื่อข่าวในไทยได้รับข้อมูลเหตุการณ์การปะทะกันอย่างเป็นทางการระหว่างทหารไทยและกัมพูชาจาก พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม ในฐานะประธานศูนย์เฉพาะกิจบริหารสถานการณ์บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา (ศบ.ทก.) ซึ่งแถลงข่าว ณ ทำเนียบรัฐบาล โดยระบุว่า "เมื่อเช้านี้ฝ่ายไทยได้ไปวางลวดหนาม (รอบปราสาทตาเมือนธม) แล้วฝ่ายกัมพูชาก็ยิงกลับมา"

ในเวลาต่อมา มีการแจกจ่ายเอกสารข่าวจากกองทัพบก (ทบ.) ให้สื่อมวลชน และผ่านเพจเฟซบุ๊กอย่างเป็นทางการของกองทัพบก บรรยายจังหวะเสียงปืนนัดแรกว่า ฝ่ายกัมพูชาได้นำอาวุธเข้าสู่พื้นที่ด้านหน้าแนวลวดหนาม และพบกำลังพลกัมพูชาจำนวน 6 นาย พร้อมอาวุธครบมือ รวมทั้งเครื่องยิงลูกระเบิด RPG เดินเข้ามาใกล้แนวลวดหนามบริเวณด้านหน้าฐานปฏิบัติการของไทย

"ฝ่ายไทยได้ใช้การตะโกนเจรจาเพื่อหลีกเลี่ยงความขัดแย้งและยกระดับสถานการณ์ โดยฝ่ายไทยเฝ้าระวังตลอดแนวชายแดนเพื่อเตรียมรับสถานการณ์"

"อย่างไรก็ตาม เมื่อเวลาประมาณ 08.20 น. ของวันที่ 24 กรกฎาคม 2025 ฝ่ายกัมพูชาได้เปิดฉากยิงเข้ามายังบริเวณตรงข้ามฐานปฏิบัติการทางทิศตะวันออกของปราสาทตาเมือน ในระยะประมาณ 200 เมตร"

ทางด้านสื่อกัมพูชา รายงานเหตุการณ์ดังกล่าวต่างจากที่ปรากฏในสื่อไทย โดยอ้างว่าทหารไทยเป็นฝ่ายเริ่มโจมตีก่อน

หนึ่งในสำนักข่าวของกัมพูชาที่รายงานเหตุการณ์ดังกล่าวเป็นลำดับต้น ๆ ได้แก่ Fresh News ซึ่งมีผู้ติดตามทางเฟซบุ๊กกว่า 4.8 ล้านผู้ใช้ ได้เผยแพร่รายงานข่าวผ่านเว็บไซต์ โดยอ้างคำให้สัมภาษณ์ของเจ้าหน้าที่ทหารระดับสูงของกัมพูชา ซึ่งระบุว่า "กองทัพกัมพูชาเปิดฉากโต้กลับกองกำลังไทยที่เข้ามารุกราน หลังจากทหารไทยยิงใส่ทหารกัมพูชา และสั่งปิดปราสาทตาเมือนธมไม่ให้ประชาชนเข้าพื้นที่"
ต่อมาสำนักข่าว Khmer Times ของกัมพูชา ได้เผยแพร่รายงานข่าวในลักษณะเดียวกัน โดยระบุว่า "กองกำลังไทยเป็นฝ่ายเปิดฉากโจมตีก่อนด้วยอาวุธต่อกองกำลังกัมพูชา กองกำลังกัมพูชาจึงดำเนินการตอบโต้ภายใต้กรอบของการป้องกันตัวอย่างเคร่งครัด เพื่อรับมือกับการรุกรานที่ไม่มีการยั่วยุก่อนจากฝ่ายไทย ซึ่งถือเป็นการละเมิดบูรณภาพแห่งดินแดนของเรา"

พลเอกฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว ให้ข้อมูลไปในทิศทางเดียวกันกับที่สำนักข่าวในกัมพูชารายงาน โดยระบุว่า "กองทัพไทยได้เปิดฉากโจมตีใส่ที่มั่นของกองทัพกัมพูชา บริเวณปราสาทตาเมือนธมและปราสาทตากระบือ ในจังหวัดอุดรมีชัย พร้อมทั้งขยายแนวการโจมตีไปยังพื้นที่ช่องบก"

เขายังกล่าวเพิ่มเติมด้วยว่า "กัมพูชาไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากต้องตอบโต้ด้วยกำลังอาวุธ เพื่อต้านทานการรุกรานจากฝ่ายตรงข้าม"

หลังจากนั้น ฮุน มาเนต ได้โพสต์ข้อความบนเฟซบุ๊ก อ้างว่าไทยเป็นผู้รุกรานกัมพูชา เนื้อหาดังกล่าวถูกนำไปเผยแพร่ต่อโดยสื่อของกัมพูชา เช่น The Phnom Penh Post และ The Cambodia Daily

บีบีซีไทยยังพบด้วยว่า ข้อมูลที่ปรากฏในสื่อไทย เช่น รายงานที่ระบุว่าทหารไทยอ้างว่าฝั่งกัมพูชาเปิดฉากยิงก่อน ไม่ปรากฏในหน้าสื่อของกัมพูชาอย่างกว้างขวางมากนัก โดยหนึ่งในสื่อกัมพูชาที่เอ่ยถึงข้อมูลชุดเดียวกับที่ปรากฏในสื่อไทย เช่นการรายงานข่าวของ Cambojanews โดยรายงานข้อมูลจากฝั่งไทยเสริมไปกับข้อมูลจากกัมพูชา

มุมมองของผู้สื่อข่าวในกัมพูชา

บีบีซีไทยได้พูดคุยกับ ซก (นามสมมติ) ผู้สื่อข่าวออนไลน์ชาวกัมพูชารายหนึ่ง ซึ่งได้ให้มุมมองเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นในการปะทะกันเมื่อวันที่ 24 ก.ค. เขาแสดงทัศนะว่า "สื่อไทยอย่างข่าวสด The Nation และ Bangkok Post หรือสื่ออื่น นำเสนอวางกรอบว่ากัมพูชาเป็นรัฐแรกที่ยกระดับการใช้กำลังรุนแรง ด้วยการใช้ BM-21 หรือขีปนาวุธระยะไกลก่อน"

"ฝ่ายไทยต่างหากที่เริ่มใช้ปฏิบัติการโจมตีทางอากาศและโดรนทิ้งระเบิดก่อน" ผู้สื่อข่าวชาวกัมพูชารายนี้แย้ง พร้อมอธิบายต่อว่า "สื่อกัมพูชามองว่าไทยเป็นฝ่ายรุกราน และโจมตีพลเรือนของเรา"

ทัศนะดังกล่าว ตรงกับแถลงการณ์ของสมาคมผู้สื่อข่าวกัมพูชาที่เผยแพร่เมื่อวันที่ 31 ก.ค. ที่ระบุว่าสื่อไทยบางสำนัก "มีการเผยแพร่ข้อมูลเท็จอย่างต่อเนื่อง"

อย่างไรก็ตาม แถลงการณ์ดังกล่าวไม่ได้ระบุรายละเอียดว่าข่าวชิ้นใดจากสำนักข่าวในไทยที่ถือว่าเป็นการรายงานข่าวที่ไม่ถูกต้อง

นอกจากนี้ กองทัพบกของไทยยังได้แย้งข้อมูลฝ่ายกัมพูชา โดยพาคณะทูตนานาชาติและสื่อมวลชนลงพื้นที่ พร้อมชี้ว่ากัมพูชาใช้ปืนใหญ่และจรวด BM-21 โจมตีเป้าหมายพลเรือนในไทย


ทหารกัมพูชานายหนึ่งยืนอยู่บนเครื่องยิงจรวดหลายลำกล้องแบบ BM-21 Grad วันที่ 25 ก.ค. 68 ที่จังหวัดอุดรมีชัย

แม้สื่อหลายสำนักในประเทศกัมพูชาจะรายงานข่าวไปในทิศทางเดียวกัน แต่ สัมบัด (นามสมมติ) ผู้สื่อข่าวชาวกัมพูชาอีกคนที่บีบีซีไทยได้สนทนาด้วยก็ยืนยันว่า เขาไม่ได้ทำหน้าที่เป็นกระบอกเสียงของรัฐ

"เราจำเป็นต้องได้รับข้อมูลที่เชื่อถือได้ ไม่ใช่แค่จากรัฐบาล แต่จากแหล่งอื่นด้วย เราไม่ได้ทำหน้าที่เป็นเครื่องมือโฆษณาชวนเชื่อ" สัมบัด กล่าว

แต่ในขณะเดียวกัน ซก ก็ยอมรับว่า สื่อกัมพูชาต้องเผชิญกับข้อจำกัดในการรายงานข่าว โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่เกิดความขัดแย้ง

"ในสถานการณ์เช่นนี้ สื่อที่มีแนวทางสอดคล้องกับรัฐมักเป็นฝ่ายครอบงำการเล่าเรื่อง" เขากล่าว พร้อมเน้นย้ำว่า "การเข้าถึงข้อมูล หรือการตั้งคำถามเกี่ยวกับกิจการทางทหารเป็นเรื่องที่ยากมาก"

วันที่ 24 ก.ค. 68 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงข้อมูลข่าวสารของกัมพูชา เนต พิเอกตา ได้ออกมาเปิดเผยแหล่งข้อมูลทางการเกี่ยวกับสถานการณ์การสู้รบ พร้อมเรียกร้องให้สื่อมวลชนกัมพูชาและผู้ใช้งานโซเชียลมีเดียทุกประเภทหลีกเลี่ยงการเผยแพร่ข้อมูลที่อาจกระทบต่อความลับทางทหาร

"แหล่งข้อมูลทางการเกี่ยวกับการสู้รบมีอยู่ 4 แหล่งหลัก ได้แก่ ผู้นำระดับสูงของประเทศ กระทรวงกลาโหม กระทรวงการต่างประเทศและความร่วมมือระหว่างประเทศ และหน่วยโฆษกของรัฐบาลกัมพูชา" นายเนตกล่าวผ่านโซเชียลมีเดีย พร้อมเน้นย้ำว่า "ขอให้สื่อและผู้ใช้งานโซเชียลมีเดียอย่าเผยแพร่ข้อมูล ภาพ หรือวิดีโอที่ไม่มีแหล่งที่มาชัดเจน โดยเฉพาะภาพหรือข้อมูลที่แสดงให้เห็นถึงกิจกรรมทางทหาร แนวสนามเพลาะ หรือการเคลื่อนไหวของกำลังพลและอาวุธทุกประเภท ขอให้ความร่วมมืออย่างจริงจัง"

กระนั้น ก็ยังปรากฏความพยายามของผู้สื่อข่าวกัมพูชาในการเข้าสู่พื้นที่การสู้รบเพื่อไปรายงานข่าวด้วยตัวเอง โดยสมาคมพันธมิตรผู้สื่อข่าวกัมพูชา (Cambodian Journalists Alliance Association - CamboJA) รายงานว่า เมื่อวันที่ 25 ก.ค. เวลา 10.00 น. ผู้สื่อข่าว 9 คน รวมถึงชาวต่างชาติ 1 คน ได้เดินทางไปทำข่าวบริเวณชายแดนกัมพูชา-ไทย ก่อนถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจตระเวณชายแดนกัมพูชานำตัวไปยังสถานีตำรวจจังหวัดอุดรมีชัยของกัมพูชา ผู้สื่อข่าวชาวกัมพูชา 7 คนได้รับการปล่อยตัวภายใน 10 นาที ขณะที่ผู้สื่อข่าวฟรีแลนซ์ชาวต่างชาติและผู้ช่วยท้องถิ่นถูกควบคุมตัวต่อราว 2 ชั่วโมง

"เจ้าหน้าที่ได้ยึดกล้องและโทรศัพท์มือถือเพื่อตรวจสอบภาพถ่ายที่เกี่ยวข้องกับการเคลื่อนกำลังทหาร อาวุธ หรือทหาร" ผู้สื่อข่าวรายหนึ่งเปิดเผยกับ CamboJA


ศูนย์พักพิงผู้พลัดถิ่นใกล้ชายแดนกัมพูชา-ไทย ใน จ.อุดรมีชัย ทางตะวันตกเฉียงเหนือของกัมพูชา เมื่อวันที่ 28 ก.ค. 2568

ในวันเดียวกัน กองทัพบกของประเทศไทยได้ออกคำเตือนให้หลีกเลี่ยงการอ้างอิงหรือเผยแพร่ข้อมูลเกี่ยวกับปฏิบัติการทางทหารจากแหล่งที่ไม่ได้รับการตรวจสอบหรือรับรองอย่างเป็นทางการ โดยระบุว่าข้อมูลเหล่านี้อาจกระทบต่อความปลอดภัยของกำลังพล การวางแผนยุทธศาสตร์ และอาจถูกฝ่ายตรงข้ามนำไปใช้ประโยชน์ในการโต้กลับ

"ควรยึดข้อมูลจากหน่วยงานกองทัพเป็นแหล่งอ้างอิงหลัก และหยุดการเผยแพร่ข้อมูลจากแหล่งที่ไม่ผ่านการตรวจสอบ เพราะการเผยแพร่ข้อมูลเร็วเกินไป อาจทำให้ฝ่ายตรงข้ามเตรียมการตอบโต้ล่วงหน้าได้"

สื่อไทย-กัมพูชา สิ่งเหมือนในความต่าง


แม้รายงานข่าวในเหตุการณ์เดียวกันที่ปรากฏในสื่อไทยและกัมพูชาจะแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง แต่ อเล็กซานดรา โกลองบิเอร์ (Alexandra Colombier) นักวิจัยด้านสื่อและการสื่อสารประจำมหาวิทยาลัยเลออาฟวร์ ประเทศฝรั่งเศส ซึ่งศึกษาภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อย่างใกล้ชิด แสดงทัศนะกับบีบีซีไทยว่า สิ่งที่ปรากฏให้เห็นในหน้าสื่อของทั้งสองประเทศนั้นเป็นปฏิกิริยาลักษณะเดียวกันที่ถูกใช้ทั้งสองฝ่ายเพื่อสะท้อนความชอบธรรมของฝ่ายตนเอง

"ฉันคิดว่าวาทกรรมมันเหมือนกันเลย แต่แค่คนละฝั่ง... ฝั่งไทยก็จะพูดว่า 'กัมพูชาเริ่มก่อน' 'เราไม่รู้ว่ากัมพูชาต้องการอะไร' ขณะที่ฝั่งกัมพูชาก็มีวาทกรรมในลักษณะเดียวกัน บอกว่า 'ไทยเริ่มก่อน' 'ไม่ขึ้นศาลโลก' อะไรทำนองนี้ มันคือวาทกรรมเดียวกัน แต่คนละชาติ คนละอัตลักษณ์"

เธอระบุว่าปรากฏการณ์นี้ไม่ได้ถูกผลักดันจากกลไกรัฐเพียงอย่างเดียว ทว่าสื่อยังถูกคาดหวังจากคนในประเทศให้เป็นกระบอกเสียงให้รัฐของตนท่ามกลางภาวะที่ผู้คนในประเทศมีอารมณ์ร่วมในประเด็นดังกล่าวอย่างสูงด้วย

"กัมพูชาหรือไทยก็เหมือนกัน เราไม่สามารถตรวจสอบได้จริง ๆ อีกต่อไปว่าใครผิดใครถูก หรือบางกรณีมันก็เป็นแค่ความตึงเครียดที่เกิดขึ้น แต่เพราะอารมณ์ยังคงรุนแรง คุณพูดอะไรไม่ได้เพราะคุณจะถูกมองว่าเป็นคนขายชาติ" เธอกล่าวกับบีบีซีไทย

นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยเลออาฟวร์ ยังแสดงทัศนะกับบีบีซีไทยด้วยว่า อีกหนึ่งความเหมือนระหว่างสถานการณ์สื่อไทยและกัมพูชา คือปรากฎการณ์ที่สื่อในทั้งสองประเทศ พยายามเผยแพร่ข่าวไปยังผู้ชมต่างชาติ

"ตอนนี้สื่อไม่ว่าจะเป็นของกัมพูชาหรือไทย ดูเหมือนไม่ได้ต้องการพูดกับประชาชนของตัวเองเท่าไรนัก แต่ต้องการพูดกับประชาคมระหว่างประเทศมากกว่า เพื่อชนะใจความคิดเห็นสาธารณะ"

เธออธิบายด้วยว่า เมื่อเทียบกับสื่อไทยแล้ว สื่อกัมพูชามีความได้เปรียบในด้านภาษาอังกฤษ ซึ่งช่วยให้พวกเขาเข้าถึงผู้ชมต่างชาติได้ง่ายขึ้น

"ในกัมพูชามีสื่อภาษาอังกฤษจำนวนมาก ดังนั้นมันจึงง่ายกว่าสำหรับพวกเขาในการเข้าถึงประชาคมระหว่างประเทศ พวกเขาสามารถเข้าถึงประชาคมระหว่างประเทศได้อย่างรวดเร็ว ไม่ใช่เพื่อให้ฝ่ายนั้นอยู่ข้างเดียวกับพวกเขา แต่เพื่อให้เข้าใจจุดยืนของพวกเขา"

เมื่อเปรียบเทียบกับประเทศไทย โกลองบิเอร์กล่าวว่า สื่อไทยเริ่มต้นด้วยการรายงานข่าวเป็นภาษาไทยทั้งหมด ก่อนจะเริ่มผลิตเนื้อหาเป็นภาษาอังกฤษในภายหลัง

"ในช่วงแรก ไม่มีใครพูดภาษาอังกฤษเลย ทุกคนรายงานข่าวเป็นภาษาไทยทั้งหมด แล้วจู่ ๆ ฉันก็เห็นสำนักข่าว The Standard ทำข่าวเป็นภาษาอังกฤษ ซึ่งฉันก็แปลกใจและถามตัวเองว่า พวกเขากำลังพยายามสื่อสารกับใคร ?"


อเล็กซานดรา โกลองบิเอร์ (Alexandra Colombier) นักวิจัยด้านสื่อและการสื่อสารประจำมหาวิทยาลัยเลออาฟวร์ ประเทศฝรั่งเศส ผู้ศึกษาเรื่องเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อย่างใกล้ชิด

"คุณก็รู้ว่าพวกเขากำลังพยายามชนะใจความคิดเห็นสาธารณะเช่นกัน เพราะในช่วงสองวันที่ผ่านมา คุณจะเห็นว่าผู้คนเริ่มเอนเอียงไปทางฝั่งกัมพูชามากขึ้น ดังนั้นคนไทยก็ต้องตอบโต้ ต้องผลิตเนื้อหาเป็นภาษาอังกฤษมากขึ้น"

"มันทำให้เกิดคำถามเกี่ยวกับจริยธรรมของนักข่าว ว่าคุณกำลังสร้างข้อมูลเพื่อประชาชนของคุณเอง เพื่อพลเมืองทั่วไป หรือเพื่อชนะใจประชาคมระหว่างประเทศ" เธอตั้งคำถาม

"สำหรับฉัน [การนำเสนอข่าวเพื่อเอาชนะใจประชาคมระหว่างประเทศ]มันเป็นปัญหา เรากำลังอยู่ในรูปแบบการสื่อสารที่คล้ายกับโฆษณาชวนเชื่อ และไม่ใช่การพยายามถ่ายทอดสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างเป็นกลาง"

สถานการณ์เสรีภาพสื่อในกัมพูชา

อเล็กซานดรายังชี้ให้เห็นด้วยว่าสื่อมวลชนกัมพูชาเผชิญข้อจำกัดมากกว่าไทยในการนำเสนอความคิดที่แตกต่าง

"แน่นอนว่ากัมพูชามีโครงสร้างสื่อที่อ่อนแอกว่าในปัจจุบัน เพราะฮุนเซนอยู่ในอำนาจมาหลายสิบปี และเขาควบคุมสื่อมากขึ้นเรื่อย ๆ โดยเฉพาะหลังการเลือกตั้งครั้งล่าสุดที่เขาปิดสื่อบางแห่ง และควบคุมสื่อบางแห่ง"

องค์กรทะเบียนสื่อนานาชาติ (Global Media Registry) ซึ่งเป็นองค์กรไม่แสวงกำไรสัญชาติเยอรมนีเคยออกรายงานเฝ้าระวังความเป็นเจ้าของสื่อ (Media Ownership Monitor) ปี 2560 ชี้ว่าความเป็นเจ้าของสื่อในกัมพูชานั้นมีลักษณะกระจุกตัวสูง โดยบริษัทและบุคคลที่เป็นเจ้าของสื่อรายใหญ่ของประเทศ ได้แก่ รอยัลกรุ๊ป, ฮุน มานา, แฮง เมียส และ เซ็ง บุญเวง ทั้งหมดนี้รวมกันแล้วควบคุมสื่อที่มีผู้ชมมากถึงร้อยละ 83.4 ของผู้บริโภคสื่อทุกรูปแบบทั่วประเทศ

ขณะที่ ฮุน มานา เป็นธิดาคนโตของสมเด็จฮุน เซน ด้านรอยัลกรุ๊ปที่นำโดย คิธ เม็ง นักธุรกิจสื่อรายใหญ่ของประเทศก็แสดงออกถึงสายสัมพันธ์อันใกล้ชิดกับครอบครัวฮุนอย่างสม่ำเสมอ ภาพของเขาปรากฏเคียงคู่ ฮุน เซน ในวาระทางการและวาระครอบครัว และพบว่ามีการบริจาคเงินในหลายวาระเพื่อสนับสนุนกิจกรรมการกุศลของ ฮุน เซน

องค์กรผู้สื่อข่าวไร้พรมแดน (Reporters Without Borders-RSF) ได้จัดอันดับเสรีภาพสื่อกัมพูชาอยู่อันดับที่ 161 จากจำนวนสื่อใน 180 ประเทศทั่วโลก ขณะที่องค์กรภายในประเทศอย่าง ศูนย์กัมพูชาเพื่อสื่อมวลชนอิสระ (the Cambodian Center for Independent Media - CCIM) รายงานว่า เกือบครึ่งหนึ่งของผู้สื่อข่าวกัมพูชาที่ร่วมการสำรวจในปี 2567 ระบุว่าเสรีภาพของสื่อในประเทศยังคงอยู่ในภาวะชะงักงัน ขณะที่ราว 39% เชื่อว่าสถานการณ์ด้านเสรีภาพสื่อแย่ลงกว่าเดิม

ขณะเดียวกัน ซก ผู้สื่อข่าวออนไลน์ชาวกัมพูชาที่บีบีซีไทยได้สนทนาด้วยก็บอกว่า เขาเห็นตรงกับอเล็กซานดราว่าสถานการณ์สื่อในกัมพูชาตกอยู่ในสภาพยากลำบากมากขึ้นเรื่อย ๆ โดยชี้ให้เห็นจุดเปลี่ยนตั้งแต่ปี 2561 เป็นต้นมา

"หลังจากการปราบปรามสื่ออิสระตั้งแต่ปี 2561 เป็นต้นมา จำนวนของสื่ออิสระในประเทศลดลงอย่างมาก" เขาเล่าถึงช่วงเวลาซึ่งสำนักข่าว The Cambodia Daily ฉบับหนังสือพิมพ์ต้องปิดตัวลงหลังรัฐบาลกัมพูชาสั่งให้ชำระภาษีเป็นจำนวนเงิน 6.3 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 200 ล้านบาท)


อดีตที่ทำการของสำนักข่าว Voice of Democracy (VOD) ในกรุงพนมเปญ หลังถูกสั่งปิดเมื่อวันที่ 12 ก.พ. 66

ต่อมาในปี พ.ศ. 2566 Voice of Democracy หนึ่งในสื่ออิสระ "แห่งสุดท้าย" ของกัมพูชา ต้องปิดตัวลงหลังนายกรัฐมนตรี ฮุน มาเนต ลงนามในคำสั่งเพิกถอนใบอนุญาตประกอบกิจการสื่อ

ปัจจุบันสื่อทั้งสองกลับมาเผยแพร่ข่าวอีกครั้งแล้ว โดยเปลี่ยนเป็นการเผยแพร่ทางช่องทางออนไลน์ช่องทางเดียวจากสำนักงานใหญ่ที่ตั้งอยู่ในสหรัฐอเมริกา

คนกัมพูชาไม่ได้เชื่อรัฐบาลเสมอไป

นอกจากกฎหมายที่เข้มงวดซึ่งทางการกัมพูชาบังคับใช้กับสำนักข่าวอิสระแล้ว การแสดงความคิดเห็นของภาคประชาชนเพื่อจุดประเด็นขัดแย้งกับรัฐก็เป็นไปได้ยากเช่นกัน

อเล็กซานดรา โกลองบิเอร์ ยกตัวอย่างกรณีของกัมพูชาซึ่งรัฐบาลได้ประกาศใช้ระบบ "เกตเวย์อินเทอร์เน็ตแห่งชาติ (National Internet Gateway)" เพื่อควบคุมและตรวจสอบการใช้อินเทอร์เน็ตภายในประเทศ ปัจจุบันโครงการนี้ไม่มีการรายงานความคืบหน้า ทว่าได้มีการอนุมัติกรอบกฎหมายที่จำเป็นไปตั้งแต่ปี 2565

เธอชี้ให้เห็นว่า ความไม่แน่นอนและความกลัวต่อการถูกตรวจสอบหรือถูกลงโทษจากรัฐ ทำให้ผู้คนจำนวนมากเลือกที่จะเงียบเสียงของตนเองในพื้นที่สาธารณะออนไลน์และเปลี่ยนไปเปิดบทสนทนาในพื้นที่พูดคุยแบบปิดแทน

"ชาวกัมพูชาใช้แอปพลิเคชัน Telegram กันเยอะมาก และฉันมั่นใจว่าพวกเขากำลังพูดคุยเรื่องการเมืองกันในนั้น"

ท้ายที่สุด โกลองบิเอร์กล่าวถึงบทความของ เซา พานนาฮี บรรณาธิการบริหารสื่อที่ชื่อ Cambodianess ของกัมพูชา ที่เผยแพร่ก่อนสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชาจะทวีความรุนแรง

"เขาเขียนว่า รัฐบาลไทยและรัฐบาลกัมพูชาต่างก็มีส่วนในการโหมกระแสความตึงเครียด ฉันคิดว่านั่นเป็นเรื่องที่น่าสนใจ เพราะเขาไม่ได้กล่าวโทษแค่ฝ่ายไทย แต่พูดถึงทั้งสองฝ่าย และฉันคิดว่ามันกล้าหาญมากที่เขาพูดแบบนั้น เพราะเรารู้ว่าเสรีภาพในการแสดงออกในกัมพูชายังไม่เปิดกว้างนัก"

ตอนท้ายของบทความ นักข่าวคนดังกล่าวยังเขียนถึงความรักชาติของประชาชนกัมพูชา ซึ่งโกลองบิเอร์มองว่าเป็นการสะท้อนความจริงที่ว่า ชาวกัมพูชาไม่ได้จำเป็นต้องเห็นด้วยกับรัฐบาลเสมอไป แต่ยังคงรู้สึกผูกพันกับประเทศของตน

"คุณไม่จำเป็นต้องรักรัฐบาลของคุณ แต่คนส่วนใหญ่รักประเทศของตน และอยากปกป้องมัน สิ่งที่ดูเหมือนว่าชาวกัมพูชากำลังฟังรัฐบาล อาจเป็นเพราะพวกเขาพูดถึงรัฐบาลในแง่ลบได้แค่ในที่ส่วนตัว แต่ในที่สาธารณะ พวกเขาจะพูดว่า 'นี่คือประเทศของฉัน ฉันต้องการปกป้องมัน'"

"มันทำให้ฉันคิดว่า ภาพจำที่คนไทยจำนวนมากมีต่อชาวกัมพูชา อาจไม่ใช่ความจริงทั้งหมด"

https://www.bbc.com/thai/articles/ckgj9nj8q2yo


ด่าแรง สื่อไทยช่วยทำให้ความเกลียดชังต่อชาวเขมรเป็นเรื่อง “ปกติ”


Paul Adithep
11 hours ago
·
สื่อไทยช่วยทำให้ความเกลียดชังต่อชาวเขมรเป็นเรื่อง “ปกติ”

วันก่อนครับ เห็นองค์กรสื่อของไทยออกมาประณามสื่อเขมรว่าบิดเบือนข่าวสาร ทำหน้าที่เป็นกระบอกเสียงให้กับรัฐบาล พร้อมแก้ต่างข้อกล่าวหาที่ว่า สื่อไทย “ขาดจริยธรรมในการรายงานข่าวสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา” โดยทางองค์สื่อไทยชี้แจงว่า

“องค์กรวิชาชีพสื่อมวลชนไทยขอยืนยันว่า สื่อมวลชนไทยมีระบบการกำกับดูแลกันเองทางด้านจริยธรรมที่เข้มแข็ง ยึดมั่นและเคารพในสิทธิเสรีภาพของประชาชนและสื่อมวลชนอย่างเต็มที่ พร้อมยืนยันเจตนารมณ์ในการรายงานข่าวตามหลักจริยธรรม ความเป็นกลาง ความครบถ้วนรอบด้าน ไม่ยุยงให้เกิดความเกลียดชังระหว่างประชาชนทั้ง 2 ประเทศ และต้องการให้เกิดสันติภาพในพื้นที่ชายแดนอย่างแท้จริงและยั่งยืน”

ผมเชื่อนะครับว่ามีสื่อที่ทำหน้าที่ได้ดีอยู่มากมาย แต่ยังมีสื่อไทยอีกไม่น้อยเลยครับที่รายงานความขัดแย้งไทย-เขมรอย่างไม่เป็นกลาง ไม่ครบถ้วนรอบด้าน และมีส่วนขยายความเกลียดชังระหว่างทั้ง 2 ประเทศ

เหมือนอย่างวันก่อนที่มีนักวิชาการอ้างว่า ไทยไม่เคยให้สัตยาบันข้อตกลงวอชิงตัน ไทยจึงยังมีสิทธิเหนือพระตะบอง เสียมราฐ และศรีโสภณ ปรากฏว่า MGR Online (t.ly/WaR_Z) ก็เอาโพสต์ของนักวิชาการรายนี้ไปลงทั้งดุ้น เช่นเดียวกับ ไทยโพสต์ (t.ly/XvTcU) ที่อ้างชื่อนักวิชาการกลุ่มเดียวกัน และเนื้อหาทำนองเดียวกัน (ทวงคืนเกาะกง-พระตะบอง-เสียมราฐ)

ทั้งๆ ที่เรื่องนี้สามารถตรวจสอบข้อเท็จจริงได้ง่ายๆ จากเว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา หรือหานักประวัติศาสตร์สักคนมาช่วยตรวจสอบข้ออ้างดังกล่าว แต่สื่อทั้งสองเลือกที่จะไม่ทำ ไม่มีความพยายามที่จะถ่วงน้ำหนักข้อมูลใดๆ มันจึงขาดทั้งการทำหน้าที่เบื้องต้นในฐานะสื่อ ขาดความเป็นกลาง และความครบถ้วนรอบด้าน กลายเป็นการสร้างมายาคติปลอมๆ ว่าไทยยังมีอธิปไตยเหนือดินแดนบางส่วนในเขมรปัจจุบันยิ่งยุยงให้ผู้อ่าน “ฮึกเหิม” และอยากทวงสิทธิ (ที่ไม่มีอยู่จริง)

หรือเหตุการณ์ล่าสุดที่ชาวเน็ตไทยใช้เอไอทำภาพกล่าวหาว่าโฆษกกองทัพเขมรมีสัมพันธ์สวาทกับฮุนเซ็น สื่อไทยก็เอาไปเล่นต่ออย่างสนุกสนาน ทั้ง MGR Online (t.ly/mF0TH) เรื่องเล่าเช้านี้ (t.ly/O0tLE) CH7HD (t.ly/q56S1) คมชัดลึก (https://www.facebook.com/komchadluek/posts/1208688601298766) Nation TV (https://www.facebook.com/watch/?ref=saved&v=1920566502026114)

แม้ส่วนใหญ่จะยอมรับว่าเป็นภาพที่ทำขึ้นโดยเอไอ (ยกเว้น MGR ที่บอกว่า “ยังไม่ยืนยัน”) แต่ทุกรายก็ยังนำเสนอภาพโดยไม่มีการปิดบังใดๆ ทั้งๆ ที่สื่อสามารถรายงานข่าวดังกล่าวได้ โดยไม่จำเป็นต้องแพร่กระจายภาพที่รู้อยู่แล้วว่าเป็นความเท็จสู่สาธารณะเพิ่มเติม (เชื่อว่าถ้าเปลี่ยนจาก “มาลี” เป็นคนไทยสักคน สื่อไทยคงไม่ใช้มาตรฐานการปฏิบัติเดียวกัน)

นอกจากนี้ สื่อกระแสหลักบางรายยังให้พื้นที่ “ชาวบ้าน” ในการแสดงความเกลียดชังต่อชาวเขมรได้อย่างเต็มที่ เช่น ปล่อยให้ด่าชาวเขมรว่า “ไอ้พวกเขมรหัวค…” (สรยุทธ สุทัศนะจินดา กรรมกรข่าว https://www.facebook.com/watch/?v=1302002161282163)

การกระทำของสื่อข้างต้นไม่ต่างกับการช่วยรับรองพฤติกรรมที่แสดงถึงอคติและความเกลียดชังต่อชาวเขมรว่าเป็นเรื่องที่ทำได้ ไม่ต้องสนหลักมนุษยธรรม จริยธรรม หรือกฎหมายข้อใด ไม่ผิดไม่ติดคุก เผลอๆ ทำแล้วอาจดังได้ออกสื่ออีก

ตอนนี้เราจึงเห็นการทำภาพเอไอใส่ร้ายชาวเขมรอย่างแพร่หลาย โดยเป้าหมายไม่ได้จำกัดอยู่แต่บุคลากรในกองทัพเขมรเท่านั้น ประชาชนชาวเขมรทั่วไปที่แสดงความเห็นเข้าข้างประเทศตัวเอง (ซึ่งนักชาตินิยมไทยก็ควรจะเข้าใจได้ว่าเกิดจากอะไร) ก็โดนกันถ้วนหน้า

เรื่องเหล่านี้ คนไทยที่เชื่อในหลักมนุษยธรรมย่อมรู้อยู่แล้วว่าผิด แต่นักชาตินิยมล้นเกินที่เชื่อว่าตัวเองกำลังทำสิ่งที่ถูกต้องในนามของชาติอยู่ก็ต้องพึงสังวรณ์ไว้ว่า ในระดับนานาชาติ การเหยียดเชื้อชาติเป็นเรื่องที่ผิด การสร้างหลักฐานเท็จเพื่อใส่ความผู้อื่นไม่ใช่สิ่งที่ถูกต้อง

การส่งเสริมให้ใช้ขบวนรถทัวร์ชาวเน็ตไทยไปถล่มชาวเขมรโดยไม่ได้ถกเถียงกันด้วยเหตุผลไม่ได้ทำให้คุณมีความชอบธรรมเหนือกว่าอีกฝ่าย อย่างกรณีที่อินฟลูฯ ชาวเขมรออกมาเรียกร้องสันติภาพและการยุติสงครามด้วยวิธีทางการทูต แม้ว่าเค้าจะยืนยันว่าไทยยิงก่อน ถ้าคุณไม่เห็นด้วยก็ไม่มีสิทธิไปเหยียดเชื้อชาติของเค้า หรือไปทำภาพเอไอมาใส่ร้ายเค้า

หากมองอย่างเป็นกลาง คนทั่วไปย่อมเห็นว่าชาวเน็ตไทยคงไม่สามารถโต้แย้งข้ออ้างของอินฟลูฯ ชาวเขมรได้จึงใช้วิธีการเหยียดหยามและใส่ความแทน นำไปสู่การสรุปความแบบรวบรัดว่า ไทยเองนั่นแหละที่เป็นฝ่ายก้าวร้าว และยิ่งทำให้ข้ออ้างของอินฟลูฯ ชาวเขมรมีน้ำหนักมากขึ้นโดยที่เค้าไม่ต้องโต้แย้งอะไร

และเมื่อความเกลียดชังต่อชาวเขมรถูกทำให้เป็น “เรื่องปกติ” จึงไม่น่าแปลกใจเลยที่เห็นคนไทยจำนวนมากออกมาสนับสนุนการเลือกปฏิบัติต่อชาวเขมรในประเทศไทย การทำลายชื่อเสียงของคนเขมรที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการเริ่มต้นความขัดแย้งด้วยวิธีการสกปรก การเรียกร้องให้ถล่มปราสาทตาควายเพื่อขับไล่ทหารเขมร การบุกยึดพื้นที่ที่ไทยไม่มีสิทธิใดๆ ตามหลักกฎหมายระหว่างประเทศ เรื่อยไปจนถึงการยึดครองเขมรทั้งประเทศและขับไล่ชาวเขมรออกจากแผ่นดินเกิด (ethnic cleansing: https://www.facebook.com/slowerlife/posts/1313399140144531)

สุดท้ายครับ จากหลักฐานที่ปรากฏ สื่อไทยมีส่วนอย่างยิ่งในการปล่อยข้อมูลเท็จเกี่ยวกับความขัดแย้งระหว่างไทยกับเขมร และมีส่วนช่วยขยายบาดแผลความเกลียดชังระหว่างสองชาติ องค์กรสื่อไทยจึงน่าจะลองหันกลับมาสำรวจตัวเองอีกสักรอบครับ เผื่อว่าตอนที่ร่างแถลงการณ์วันก่อนอาจจะมองตกมองหล่นไปบ้าง และหวังว่าประโยคที่ว่า “สื่อมวลชนไทยมีระบบการกำกับดูแลกันเองทางด้านจริยธรรมที่เข้มแข็ง” จะเป็นความจริงครับ
https://www.facebook.com/photo/?fbid=31260416863542084&set=a.106211759389335
.....





ประชาไท คุยกับ ‘สุภลักษณ์ กาญจนขุนดี’ ว่าด้วยการยึดครองพื้นที่พิพาท 11 จุดของกองทัพไทย แม้ว่าสร้างความได้เปรียบทางการทหาร แต่สำหรับการเจรจาทางการเมืองที่จะหาทางออกอย่างสันติ ดูเหมือนจะยิ่งทำให้คุยกันยากขึ้นไปอีกเพราะอะไร


ประชาไท Prachatai.com
18 hours ago
·
ตั้งต้นจากคำถามที่ไม่ค่อยมีใครถาม กับอดีตนักข่าวที่ติดตามประเด็นชายแดนมายาวนาน ‘สุภลักษณ์ กาญจนขุนดี’ ว่าด้วยการยึดครองพื้นที่พิพาท 11 จุดของกองทัพไทย สร้างความได้เปรียบทางการทหาร แต่สำหรับการเจรจาทางการเมืองที่จะหาทางออกอย่างสันติ ดูเหมือนจะยิ่งทำให้คุยกันยากขึ้นไปอีกเพราะอะไร

‘ยึดก่อนค่อยคุย’ เป็นไปได้เพียงใด แผนที่ 1: 50,000 หรือ 1:200,000 ต่างกันอย่างไร มีนัยสำคัญเพียงไหนในการปักปันเขตแดน กระบวนการที่จะร่วมกันปักปันเขตแดนระหว่างสองประเทศเหลือหวังริบหรี่แค่ไหน

ข้อตกลงหยุดยิงเปราะบางขนาดไหน การให้ ‘คนกลาง’ มาสังเกตการณ์อย่างที่เป็นอยู่ เป็นการช่วงชิงทางการทูต แต่ยังไม่ใช่ ‘กระบวนการอย่างเป็นทางการ’ เพราะเหตุใด

‘ใครยิงก่อน’ ที่ทุกภาคส่วนในสังคมไทยให้ความสำคัญทำไมจึงไม่สำคัญในสายตานานาชาติ และอะไรที่เป็นเรื่องสำคัญ ยุทธศาสตร์ใหญ่ในเวทีโลกของกัมพูชาชัด แต่ของไทยไม่ชัดและทำไมดูขัดกันเอง รัฐบาลพลเรือนไร้ประสิทธิภาพหรือถูกทำให้ดูไร้ประสิทธิภาพ กระแส ‘รักชาติ’ ทำไมกลายเป็นดาบสองคมต่อการแก้ปัญหาอย่างสันติ ฯลฯ

ในสถานการณ์เผชิญหน้า แม้คำถามและมุมมองที่แตกต่างอาจดูน่าขัดใจ แต่หากต้องการแสวงหาทางออกจากจุดเปราะบางที่ติดขัดคับข้องไปทุกด้าน หลีกเลี่ยงการสูญเสียชีวิตของประชาชนและทหารชั้นผู้น้อยจากปัญหาการลากเส้นเขตแดน ก็นับว่าน่าพิจารณาถกเถียง
https://www.facebook.com/photo/?fbid=1184957380345234&set=a.643704854470492

อ่านสัมภาษณ์ทั้งหมดที่ลิงก์
https://prachatai.com/journal/2025/08/113980


ประธานาธิบดี #อินโดนีเซีย มีคำสั่งนิรโทษกรรมนักการเมืองคู่แข่ง และนักโทษการเมืองรวมกันกว่า 1,000 คน ก่อนวันชาติอินโดนีเซีย นักโทษเหล่านี้ ถูกศาลจำคุกข้อหาดูหมิ่นประธานาธิบดีหรือดูหมิ่นศาสนา (blasphemy) และคดีการเมืองที่ไม่ใช้ความรุนแรง - ใครรั้งท้าย คิดสิคิด !


Pipob Udomittipong
14 hours ago
·
ประธานาธิบดี #อินโดนีเซีย มีคำสั่งนิรโทษกรรมนักการเมืองคู่แข่ง และนักโทษการเมืองรวมกันกว่า 1,000 คน ก่อนวันชาติอินโดนีเซีย นักโทษเหล่านี้ ยกเว้นนักการมือง ถูกศาลจำคุกข้อหาดูหมิ่นประธานาธิบดีหรือดูหมิ่นศาสนา (blasphemy) และคดีการเมืองที่ไม่ใช้ความรุนแรง
ตามรัฐธรรมนูญอินโดนีเซีย ประธานาธิบดีมีอำนาจการนิรโทษกรรมและการลดโทษ โดยต้องได้รับความเห็นชอบจากรัฐสภา ซึ่งรัฐสภาให้ความเห็นชอบคำสั่งนี้เรียบร้อยแล้ว
นักการเมืองที่เป็นคู่แข่งกับประธานาธิบดี 2 คนที่ได้รับการนิรโทษกรรมคือ โทมัส เลมบง อดีตรัฐมนตรีการค้า และฮัสโต คริสตียันโต เลขาธิการพรรคประชาธิปไตยอินโดนีเซีย (PDI-P)
เลมบง เป็นคนที่มักวิพากษ์วิจารณ์นายปราโบโวอย่างมาก โดยเฉพาะในช่วงการหาเสียงเลือกตั้งปี 2567 เขาเคยเป็นที่ปรึกษาคนสำคัญของอานีส บาสเวดัน ผู้สมัครคู่แข่งของปราโบโว ส่วนฮัสโต ดำรงตำแหน่งเลขาธิการพรรค PDI-P พรรคการเมืองที่มีเสียงมากสุดในสภาและเป็นพรรคฝ่ายค้าน
เพียงไม่ถึงสองเดือนหลังรับตำแหน่งเดือนต.ค.ที่แล้ว ซูเบียนโต อดีตลูกเขยของซูฮาร์โต ผู้นำเผด็จการอินโดนีเซีย สร้างความประหลาดใจให้กับคนทั้งประเทศด้วยการประกาศว่า เขามีแผนที่จะให้การอภัยโทษแก่ผู้ต้องขังทั่วประเทศราว 44,000 คน ซึ่งส่วนใหญ่ถูกคุมขังด้วยเหตุผลทางการเมือง เพื่อเป็นช่องทางในการสร้างความสามัคคีในประเทศ
รมต.กระทรวงกฎหมาย กล่าวว่า นักโทษการเมืองและผู้ต้องขังที่มีอาการป่วยทางจิตหรือโรคเรื้อรัง ผู้สูงวัย เยาวชน และผู้ที่ถูกตัดสินว่ามีความผิดฐานหมิ่นประมาทศาสนา หรือดูหมิ่นผู้นำประเทศ จะได้รับการอภัยโทษเป็นลำดับแรก #นิรโทษกรรมประชาชน
https://www.aljazeera.com/.../indonesian-president-frees...

https://www.facebook.com/photo/?fbid=10162887570051649&set=a.10150096728651649






จำคุก-ยกฟ้อง-ตาย ปลายทางคดี 112 ของผู้ป่วยทางจิต



จำคุก-ยกฟ้อง-ตาย ปลายทางคดี 112 ของผู้ป่วยทางจิต

2/08/2025
iLaw

ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนจัดทำสถิติผู้ถูกดำเนินคดีในข้อหาหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 พบว่า มีประชาชนถูกดำเนินคดีในยุคคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) อย่างน้อย 169 คน และในช่วง 2563-2568 อย่างน้อย 281 คน โดยส่วนใหญ่มีต้นเหตุจากการแสดงออกทางการเมืองหรือเข้าร่วมการชุมนุม ในจำนวนนี้มีผู้ต้องหาที่เป็นผู้ป่วยจิตเวชอย่างน้อย 14 ราย สะท้อนให้เห็นว่ากฎหมายอาญามาตรา 112 สามารถถูกนำมาใช้ดำเนินคดีกับผู้ที่มีภาวะป่วยทางจิตได้ แม้บางรายจะมีประวัติการรักษาอย่างต่อเนื่อง หรือมีใบรับรองจากแพทย์ว่าอยู่ในภาวะหลงผิด เข้าใจข้อเท็จจริงผิดเพี้ยนไปจากความจริง ไม่สามารถควบคุมตนเองขณะเกิดเหตุ แต่ก็ยังถูกนำตัวเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม ถูกควบคุมตัวระหว่างสอบสวน และต้องต่อสู้คดีเช่นเดียวกับผู้ต้องหาทั่วไป

อาการจิตเภท

โรคจิตเภท (Schizophrenia) คือโรคที่มีความผิดปกติทางจิตที่รุนแรงและเรื้อรัง ส่งผลต่อการพูด การคิด การรับรู้ ความรู้สึก และการแสดงออกของผู้ป่วย ทำให้ผู้ป่วยมีอาการต่างๆ อย่างเช่น ประสาทหลอน หลงผิด ปลีกตัวจากสังคม หรือไม่สามารถใช้ชีวิตในสังคมได้ตามปกติ

คนส่วนใหญ่มักเข้าใจผิดว่าผู้ป่วยจิตเภทหากกระทำผิดจะได้รับข้อยกเว้นในการไม่ต้องรับโทษทางกฎหมาย แต่ในความเป็นจริงแล้ว ผู้ป่วยจิตเภทหากกระทำผิดก็ยังคงต้องได้รับโทษตามทางกฎหมาย โดยจะถูกส่งฟ้องหรือไม่ส่งฟ้องนั้น ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของผู้รับเรื่องหรือศาล หากส่งฟ้องผู้ป่วยจะถูกส่งตัวไปรักษาอาการให้หายก่อน จึงกลับมารับโทษตามปกติ โดยโทษนั้นจะเบาลงหรือเท่าเดิมขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของศาล

จากการสำรวจคดีของผู้ป่วยจิตเวชที่ถูกดำเนินคดีในข้อหามาตรา 112 อย่างน้อย 14 ราย พบผลการดำเนินคดี 5 รูปแบบ ดังนี้

1.ลงโทษโดยไม่คำนึงอาการป่วย

สมัคร ชาวนาในจังหวัดเชียงราย มีประวัติรักษาอาการจิตเภท ถูกดำเนินคดีมาตรา 112 จากเหตุทำลายพระบรมฉายาลักษณ์ขณะมึนเมาเมื่อวันที่ 8 กรกฎาคม 2557 โดยกระบวนการทั้งหมดเกิดขึ้นในศาลทหาร แม้จะมีประวัติการรักษาและพยานยืนยันอาการจิตเภท ที่แสดงให้เห็นว่าสมัครอาจไม่มีเจตนาดูหมิ่นพระมหากษัตริย์ แต่กระบวนการต่อสู้คดีที่ล่าช้าในศาลทหาร สืบพยานได้เพียง 3 ปาก ใน 8 เดือน ทั้งยังเลื่อนนัดบ่อยครั้ง ทำให้สมัครซึ่งถูกคุมขังมาเกือบหนึ่งปี เกิดความเครียดอย่างหนัก จึงตัดสินใจรับสารภาพในที่สุด ศาลทหารพิพากษา เมื่อวันที่ 6 สิงหาคม 2558 จำคุก 5 ปี และปรับ 50 บาท โดยไม่พิจารณาถึงอาการป่วยของจำเลย

ฤาชา อดีตทหารยศจ่าสิบเอกและผู้ป่วยโรคจิตเภท ถูกจับกุมโดยเจ้าหน้าที่กว่า 20 นายที่บ้านในระยองเมื่อวันที่ 29 มีนาคม 2559 ฐานโพสต์ข้อความหมิ่นพระราชินีและองค์รัชทายาทบนเฟซบุ๊ก 3 ข้อความ เข้าข่ายผิดมาตรา 112 และพ.ร.บ.คอมฯ โดยไม่มีหมายจับหรือหมายค้น เขาถูกควบคุมตัวที่ มทบ.11 ก่อนฝากขังในเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ แพทย์วินิจฉัยว่าเขาไม่สามารถต่อสู้คดีได้ ทำให้ต้องถูกจำคุกนาน 234 วัน ระหว่างรักษาอาการทางจิตจนกว่าแพทย์จะประเมินว่าสามารถต่อสู้คดีได้ ก่อนศาลทหารสั่งจำหน่ายคดีเพื่อให้ไปรักษาตัว แต่กระบวนการในศาลทหารไม่คืบหน้า กระทั่งคดีถูกโอนเข้าสู่ศาลยุติธรรมตามคำสั่งหัวหน้า คสช. ที่ 9/2562 และแม้แพทย์จะยืนยันว่าฤาชาไม่สามารถต่อสู้คดีได้ ศาลอาญากลับให้เริ่มสืบพยานลับ ศาลเชื่อว่าจำเลยป่วยจริง แต่ยังสามารถบังคับตัวเองได้ พิพากษาจำคุก 5 กรรม รวม 5 เดือน 50 วัน แต่เนื่องจากเขาถูกคุมขังมาแล้ว 234 วัน จึงไม่ต้องรับโทษเพิ่มเติม

“ปุญญพัฒน์” (นามสมมติ) อายุ 28 ปี ผู้มีภาวะพัฒนาการช้าและสมาธิสั้น ถูกดำเนินคดีมาตรา 112และ พ.ร.บ.คอมฯ จากการโพสต์ข้อความในกลุ่มเฟซบุ๊ก “รอยัลลิสต์มาร์เกตเพลส” เมื่อวันที่ 9–10 พฤษภาคม 2563 รวม 4 ข้อความ ที่ตั้งคำถามเกี่ยวกับรัชกาลที่ 10 โดยมีประชาชนในสมุทรปราการเป็นผู้แจ้งความ ทำให้เขาต้องเดินทางจากกำแพงเพชรเพื่อรับทราบข้อกล่าวหา ศาลชั้นต้นพิพากษาจำคุกกรรมละ 3 ปี ลดโทษกึ่งหนึ่งเนื่องจากรับสารภาพ เหลือโทษจำคุกรวม 4 ปี 24เดือน แม้แม่จำเลยให้การว่าเขามีพัฒนาการช้าและสมาธิสั้นตั้งแต่เด็ก จนอายุ 29 ปีแล้วยังไม่สามารถออกจากบ้านตามลำพังได้ แต่ศาลเห็นว่าไม่มีเหตุให้บรรเทาโทษ หลังทราบคำพิพากษา ทนายความยื่นขอประกันตัวเพื่อสู้คดีในชั้นอุทธรณ์ โดยใช้หลักทรัพย์จากกองทุนราษฎรประสงค์รวม 225,000 บาท ต่อมาศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษายืนเมื่อวันที่ 30 มกราคม 2567 โดยเห็นว่าไม่มีเหตุให้บรรเทาโทษเพิ่มเติม

ธเนศ ชาวเพชรบูรณ์ ผู้ประกอบธุรกิจขายสินค้าเกษตรออนไลน์ ถูกดำเนินคดีมาตรา 112 และ พ.ร.บ.คอมฯ จากกรณีส่งอีเมลแนบลิงก์ที่มีเนื้อหาเข้าข่ายหมิ่นสถาบันกษัตริย์ไปยังชาวอังกฤษในปี2553 โดยเจ้าหน้าที่จับกุมเขาที่บ้านพี่สาวในปี 2557 พร้อมยึดอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ หลังการจับกุม ธเนศถูกควบคุมตัว 7 วันในค่ายทหาร ก่อนถูกส่งตัวให้ตำรวจสอบสวนและแจ้งข้อหา เขารับสารภาพในชั้นสอบสวน แม้แพทย์จะวินิจฉัยว่าเขาเป็นโรคจิตเภทชนิดหวาดระแวง ซึ่งเป็นอาการทางจิตที่มีผลต่อพฤติกรรมในคดีนี้ แต่ศาลชั้นต้นพิพากษาจำคุก 5 ปี ลดเหลือ 3 ปี 4 เดือน เนื่องจากให้การเป็นประโยชน์ โดยไม่พิจารณาถึงอาการป่วยของจำเลย

2.พิพากษาว่าผิด แต่ลดโทษเพราะอาการป่วย

รัชพิญ จ. ถูกดำเนินคดีตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 จากเหตุการณ์เมื่อวันที่ 15 มิถุนายน 2551 ขณะอยู่ในโรงภาพยนตร์เมเจอร์ซีนีเพล็กซ์ รัชโยธิน โดยระหว่างที่มีการเปิดเพลงสรรเสริญพระบารมีก่อนฉายภาพยนตร์ เขาไม่ลุกขึ้นยืนเพื่อถวายความเคารพ ยกเท้าทั้งสองข้างพาดไปทางจอภาพยนตร์ และตะโกนคำหยาบหลังเพลงจบ ภายหลังศาลพิพากษาจำคุก 3 ปี ฐานหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ แต่เนื่องจากจำเลยรับสารภาพ จึงลดโทษกึ่งหนึ่ง และพิจารณาว่าจำเลยมีอาการบกพร่องทางจิต จึงมีคำสั่งให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 2 ปี

บัณฑิต นักเขียนและนักแปลที่มีประวัติรักษาอาการทางจิต ถูกดำเนินคดีตามมาตรา 112 แล้วอย่างน้อยสี่ครั้ง แต่มีสองครั้งที่บัณฑิตได้รับการปล่อยตัวและลดโทษเนื่องด้วยอาการทางจิตเภทคือ ครั้งแรกในปี 2518 เขาเล่าว่าถูกเจ้าหน้าที่ สน.ชนะสงคราม ดำเนินคดีหมิ่นเบื้องสูง แต่ได้รับการปล่อยตัว ครั้งที่สองในปี 2547 เขาถูกฟ้องหลังแสดงความคิดเห็นและขายเอกสารในเวทีสัมมนาทางวิชาการ โดยศาลชั้นต้นพิพากษาจำคุก 4 ปี แต่ให้รอลงอาญา 3 ปีเนื่องจากอาการป่วยจิตเภท ศาลอุทธรณ์กลับคำพิพากษาให้จำคุก 2 ปี 8 เดือนไม่รอลงอาญา แต่บัณฑิตได้รับการประกันตัวให้มาสู้คดีในชั้นฎีกา ท้ายที่สุดศาลฎีกากลับไปพิพากษาตามศาลชั้นต้น จำคุก 4 ปี รอลงอาญา 3 ปี และรายงานตัวต่อพนักงานคุมประพฤติเป็นเวลา 2 ปี

บุปผา ผู้ป่วยจิตเวช ถูกดำเนินคดีมาตรา 112 และ พ.ร.บ.คอมฯ จากการโพสต์เฟซบุ๊ก 13 ข้อความ โดยบางข้อความกล่าวถึงพระบรมวงศานุวงศ์ที่ไม่เข้าข่ายมาตรา 112 หลังถูกจับกุมในเดือนพฤษภาคม 2559 เธอถูกฝากขังโดยไม่มีการพิจารณาคดีราว 2 ปีจึงได้รับการประกันตัว เนื่องจากกระบวนการตรวจวินิจฉัยอาการทางจิตและประเมินความสามารถในการต่อสู้คดีของศาลทหารล่าช้า คดีเริ่มพิจารณาเป็นการลับที่ศาลทหาร จ.ชลบุรี ก่อนถูกโอนมากลับศาลพลเรือนซึ่งพิจารณาลับเช่นกัน ต่อมาวันที่ 18 สิงหาคม 2563 ซึ่งเป็นช่วงหลัง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีขณะนั้น ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนว่า รัชกาลที่ 10 ทรงมีพระเมตตารับสั่งไม่ให้ใช้ มาตรา 112 กับประชาชน

ศาลจังหวัดพัทยาพิพากษายกฟ้องข้อหามาตรา 112 โดยเห็นว่าเธอไม่มีเจตนาและขณะกระทำป่วยทางจิตจริง แต่ยังบังคับตนเองได้บางส่วนในการกดโพสต์ ลงโทษตาม พ.ร.บ.คอมฯ กรรมละ 6 เดือน รวม 78 เดือน ให้รอลงอาญาและคุมประพฤติ คดีนี้ต่อสู้จนถึงศาลฎีกา โดยศาลฎีกาพิพากษาลงโทษเฉพาะ 4 ข้อความที่เกี่ยวกับพระมหากษัตริย์และองค์รัชทายาท จำคุก 24 เดือน รอลงอาญา 3 ปี ให้จําเลยรายงานตัวต่อพนักงานคุมประพฤติ 6 ครั้ง ภายในระยะเวลา 2 ปี และให้รักษาอาการทางจิตเวชต่อ

สุภิสรา (สงวนนามสกุล) หญิงวัย 28 ปี ผู้ป่วยจิตเวช ถูกจับกุมตามหมายจับในข้อหามาตรา 112 และ พ.ร.บ.คอมฯ จากการโพสต์ภาพและข้อความเกี่ยวกับรัชกาลที่ 10 บนเฟซบุ๊ก 4 ครั้ง เมื่อวันที่ 6–7 มกราคม 2564 โดยแอดมินเพจเชียร์ลุง เป็นผู้แจ้งความ เธอรับสารภาพตลอดข้อกล่าวหาโดยไม่มีทนาย ขณะที่ครอบครัวยื่นเอกสารยืนยันประวัติรักษาจิตเวชถึง 3 ครั้ง อย่างไรก็ตาม พนักงานสอบสวนและอัยการยังมีคำสั่งฟ้องต่อศาลอาญา โดยชี้ว่าเนื้อหาหมิ่นพระเกียรติและส่งผลกระทบต่อความมั่นคง ทั้งนี้ อัยการคัดค้านประกันตัว แต่ศาลอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวด้วยหลักทรัพย์ 90,000บาทจากกองทุนราษฎรประสงค์ ต่อมา ศาลชั้นต้นพิพากษาจำคุกกรรมละ 3 ปี รับสารภาพลดเหลือกรรมละ 1 ปี 6 เดือน รวม 4 ปี 24 เดือน แต่จากรายงานแพทย์ระบุว่าจำเลยมีอาการป่วยจิตขั้นรุนแรง ควบคุมตนเองไม่ได้ ศาลจึงให้รอการลงโทษ 2 ปี และคุมประพฤติ 1 ปี

3.กลับคำพิพากษาจากเห็นว่าป่วยเป็นลงโทษโดยไม่สนอาการป่วย

ฐิตินันท์ มีประวัติรักษาอาการป่วยทางจิต ถูกดำเนินคดีมาตรา 112 จากเหตุใช้เท้าเตะพระบรมฉายาลักษณ์ในระหว่างการชุมนุมให้กำลังใจตุลาการศาลรัฐธรรมนูญเมื่อปี 2555 แม้ในชั้นศาลชั้นต้น ฐิตินันท์รับสารภาพและศาลเห็นว่ามีปัญหาทางจิต จึงพิพากษาจำคุก 2 ปี ลดเหลือ 1 ปีและให้รอลงอาญา แต่ศาลอุทธรณ์กลับคำพิพากษา ไม่ให้รอลงอาญา โดยเห็นว่าแม้จะป่วยเป็นโรคทางจิตเวช แต่ขณะกระทำผิดก็ยังพอมีสติรับรู้ คดีถึงที่สุดในปี 2559 เมื่อศาลฎีกาพิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์ ให้จำคุก 1 ปีโดยไม่รอลงอาญา เพราะเห็นว่า แม้จำเลยจะป่วยด้วยโรคอารมณ์สองขั้ว แต่ขณะกระทำความผิดก็พอจะรู้ตัวอยู่บ้าง ฐิตินันท์จึงถูกคุมขังที่ทัณฑสถานหญิงกลางเป็นเวลา 221 วัน ก่อนจะได้รับอภัยโทษและถูกปล่อยตัวในเดือนสิงหาคมปีเดียวกัน

4.พิพากษายกฟ้อง


เสาร์ ชายชาติพันธุ์ไทลื้อวัย 51 ปี ผู้ป่วยจิตเภท ถูกดำเนินคดีมาตรา 112 จากกรณียื่นคำร้องต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองเมื่อวันที่ 13 มีนาคม 2558 เพื่อขอเป็นคู่ความกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ในคดียึดทรัพย์ โดยอ้างว่าได้รับมอบหมายจากรัชกาลที่ 9 ผ่านการสื่อสารทางโทรทัศน์ ศาลฎีกาไม่รับคำร้องและแจ้งความดำเนินคดี ทำให้เขาถูกแจ้งข้อหาในเดือนพฤษภาคม 2558 และคุมขังอยู่ราว 3 เดือนแม้แพทย์วินิจฉัยว่าเขาเป็นโรคจิตเภทและมีอาการหลงผิด แต่เห็นว่าเขาสามารถต่อสู้คดีได้ ทำให้อัยการศาลทหารมีความเห็นสั่งฟ้องในเดือนเมษายน 2559 กระบวนการสืบพยานในศาลทหารยืดเยื้อนานหลายปี ก่อนจะมีคำสั่งหัวหน้า คสช. ที่ 9/2562 ให้โอนคดีกลับสู่ศาลพลเรือน ศาลชั้นต้นเชื่อว่าเสาร์ยังพอบังคับตัวเองได้บ้าง จึงพิพากษาว่าเสาร์มีความผิดตามมาตรา 112 แต่ลดโทษเพราะอาการป่วยทางจิต ให้จำคุก 2 เดือน 20 วัน แต่เสาร์ถูกขังมานานเกินกว่าที่ศาลพิพากษาจึงไม่ต้องกลับเข้าเรือนจำอีก ต่อมาศาลอุทธรณ์พิพากษาว่าแม้เสาร์จะกระทำผิดจริง แต่เนื่องจากขณะกระทำอยู่ในภาวะจิตเวช ไม่สามารถรู้ผิดชอบหรือบังคับตนเองได้ มีเหตุให้ยกเว้นโทษใช้เวลากว่า 7 ปีคดีจึงสิ้นสุด

“ชัยชนะ” (นามสมมติ) ชายวัย 33 ปีจาก จ.ลำพูน ผู้ป่วยจิตเภทและมีบัตรผู้พิการทางจิตเวช ถูกดำเนินคดีตามมาตรา 112และ พ.ร.บ.คอมฯ จากการโพสต์เฟซบุ๊ก 4 ข้อความ ต้องเดินทางไกลกว่า 1,800 กิโลเมตร มาสู้คดีที่ จ.นราธิวาส ซึ่งมีผู้กล่าวหาอยู่ในพื้นที่ แม้โจทก์อ้างว่าโพสต์หมิ่นกษัตริย์ฯ แต่หลักฐานเป็นเพียงภาพแคปหน้าจอที่ขาดความน่าเชื่อถือ และไม่มีข้อมูลระบุตัวผู้โพสต์ เช่น URL และ IP Address ขณะเดียวกัน แพทย์จาก 3 โรงพยาบาลยืนยันว่าเขาป่วยจิตเภท มีอาการหวาดระแวง พูดคุยกับสิ่งที่ไม่มีอยู่จริง และเชื่อว่าตนสื่อสารกับมนุษย์ต่างดาวได้ ศาลจังหวัดนราธิวาสจึงพิพากษายกฟ้องทุกกรรม เพราะไม่อาจชี้ชัดว่าเขาเป็นผู้โพสต์ และให้ประโยชน์แห่งความสงสัยจากประวัติการป่วย

“แต้ม” (นามสมมติ) ผู้ป่วยจิตเวชวัย 34 ปี ถูกดำเนินคดีมาตรา 112 และข้อหาทำให้เสียทรัพย์ จากกรณีทุบทำลายพระบรมฉายาลักษณ์ รัชกาลที่ 10 จำนวน 3 จุดใน อ.ตระการพืชผล จ.อุบลราชธานี เมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายน 2564 ขณะมีอาการจิตเภทและขาดการรักษา ศาลชั้นต้นพิจารณาว่าแม้แต้มป่วยจิตเภทเรื้อรังกว่า 10 ปี แต่ยังรู้ผิดชอบได้บ้าง จึงยกฟ้องข้อหา หมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ และลงโทษสถานเบาในข้อหาทำให้เสียทรัพย์ จำคุก 3 เดือน ปรับ 6,000 บาท รอลงอาญา 5 ปี พร้อมเงื่อนไขให้เข้ารับการรักษาและชดใช้ค่าเสียหายกว่า 20,000 บาท ต่อมาอัยการยื่นอุทธรณ์ ขอให้ลงโทษในข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพด้วย แต่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นเมื่อวันที่ 4 กันยายน 2567 โดยเห็นว่าแต้มอยู่ในภาวะจิตบกพร่อง ไม่สามารถประเมินเจตนาอาฆาตได้แน่ชัด จึงยกฟ้องมาตรา 112 และคงโทษสถานเบาในข้อหาทำให้เสียทรัพย์

5.เสียชีวิตก่อนคดีถึงที่สุด

ประจักษ์ชัย ช่างขัดอลูมิเนียมวัย 41 ปี ผู้ป่วยจิตเภทและมีสติปัญญาต่ำกว่าปกติ เชื่อว่าตนเองเป็นพระเจ้าอยู่หัว ถูกดำเนินคดีมาตรา 112 จากการยื่นหนังสือร้องเรียนที่ทำเนียบรัฐบาลเมื่อปี 2558 ซึ่งเนื้อหาถูกตีความว่าเข้าข่ายหมิ่นประมาทกษัตริย์ เขาถูกคุมขังนาน 8 เดือน ทั้งที่มีอาการป่วยทางจิตเวชและโรคตับ แพทย์ยืนยันว่าเขาหลงผิดรุนแรงและควรได้รับการดูแลนอกเรือนจำ แม้ได้รับการประกันตัว แต่กระบวนการพิจารณาคดีในศาลทหารล่าช้า ใช้เวลากว่า 4 ปี ในการสืบพยาน โดยนัดพิจารณาไม่ต่อเนื่อง มีการเลื่อนนัดซ้ำซาก ประจักษ์ชัยต้องเดินทางจากศรีสะเกษมาฟังการพิจารณาคดีที่กรุงเทพถึง 15 ครั้งโดยไม่เคยได้ให้การใดๆ ด้วยตนเองเลย ระหว่างดำเนินคดีเขามีอาการพูดจาวกวน เงียบ ไม่ตอบสนอง ก่อนคดีจะถูกโอนมาศาลอาญาตามคำสั่งหัวหน้า คสช. ที่ 9/2562 เขาเสียชีวิต เนื่องจากเลือดออกในกระเพาะอาหารเมื่อ 12 กรกฎาคม 2562 หลังผ่านไปมากกว่า 4 ปี คดียังสืบพยานไม่เสร็จ ทำให้คดีถูกจำหน่ายออกโดยไม่มีคำพิพากษา

สิชล (นามสมมติ) ผู้ป่วยจิตเภทวัย 29 ปี ถูกดำเนินคดีจากการโพสต์วิจารณ์กษัตริย์ในปี 2559 เดิมถูกตั้งข้อหาตามมาตรา 112 จากศาลทหาร แต่ต่อมาอัยการศาลทหารสั่งไม่ฟ้องและเปลี่ยนข้อหาเป็นยุยงปลุกปั่นตาม มาตรา 116 และ พ.ร.บ.คอมฯ มาตรา 14 (3) และ (5) คดีถูกโอนสู่ศาลพลเรือน เขาถูกขังในเรือนจำ 48 วัน ระหว่างนั้นมีอาการหวาดกลัว ควบคุมตนเองไม่ได้ ต้องเข้ารับการรักษาในหลายโรงพยาบาล ระหว่างสืบพยาน พนักงานสอบสวนยอมรับว่าไม่มีหลักฐานว่าการโพสต์ก่อความไม่สงบ ขณะที่แพทย์ยืนยันว่าเขาเป็นโรคจิตเภท 12 ธันวาคม 2562 ศาลอาญาพิพากษายกฟ้องข้อหา มาตรา 116 แต่ลงโทษตาม พ.ร.บ.คอมฯ จำคุก 3 ปี ลดเหลือ 2 ปี เหตุป่วยทางจิตแต่ยังรับรู้ผิดชอบบางส่วน ก่อนให้ประกันตัวระหว่างอุทธรณ์ ต่อมาทนายและสิชลยื่นอุทธรณ์เมื่อ 7 เมษายน 2563 แต่หลังจากนั้นไม่นานสิชลหายตัวไป ก่อนถูกพบเสียชีวิตจากการกระโดดน้ำฆ่าตัวตายในวันที่ 12 เมษายน 2563 หลังจากพยายามมาก่อนหน้านี้แล้วสองครั้งแต่ไม่สำเร็จ

https://www.ilaw.or.th/articles/53781


โจทย์ภาษีทรัมป์ Thai PBS ชวน BIOTHAI คุย


คุณเล่า เราขยาย: Talk : โจทย์ภาษีทรัมป์ ข่าว 4

CitizenThaiPBS


Aug 1, 2025 

#คุณเล่าเราขยาย “ภาษี” ที่ไม่ได้มีแค่มิติเศรษฐกิจ แต่มีชีวิตของเกษตรกรและผู้ค้ารายย่อย "สัญญาณภาษีทรัมป์" อาจเป็นปัจจัยเร่งสำคัญให้ไทยต้องทบทวนยุทธศาสตร์การเกษตรครั้งใหญ่หรือไม่ คุยเรื่องนี้และขยายภาพ “โจทย์เศรษฐกิจไทย คำถาม ทางออก และการรับมือ" กับคุณวิฑูรย์ เลี่ยนจำรูญ ผู้อำนวยการมูลนิธิชีววิถี หรือ ไบโอไทย

https://www.youtube.com/watch?v=bBcePjA_uxU



รัฐบาลไทยแพ้สงครามข้อมูลข่าวสารกัมพูชาแล้วหรือไม่ และต้องแก้เกมอย่างไร


ห้างสรรพสินค้าในกรุงเทพมหานครแสดงป้ายไฟ LED เพื่อแสดงจุดยืนสนับสนุนฝ่ายไทยในเหตุความขัดแย้งกับกัมพูชาล่าสุด

รัฐบาลไทยแพ้สงครามข้อมูลข่าวสารกัมพูชาแล้วหรือไม่ และต้องแก้เกมอย่างไร

จิราภรณ์ ศรีแจ่ม
ผู้สื่อข่าวบีบีซีไทย
2 สิงหาคม 2025

เมื่อเกิดการปะทะกันระหว่างกองทัพของไทยและกัมพูชาเมื่อเร็ว ๆ นี้ ไม่มีใครสงสัยเลยว่าฝ่ายไทยได้เปรียบทางการทหารมากกว่า หากดูจากทรัพยากรและงบประมาณทางทหาร

แต่เมื่อดูบทบาทการอธิบายความขัดแย้งที่เกิดขึ้นต่อนานาชาติ รัฐบาลไทยกลับถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวางว่าตามหลังอีกฝ่ายอยู่เสมอ

บีบีซีไทยพูดคุยกับผู้เชี่ยวชาญ เพื่อช่วยกันวิเคราะห์ว่าฝ่ายใดได้เปรียบกว่าในสมรภูมิข้อมูลข่าวสารครั้งนี้ และความเพลี่ยงพล้ำที่เกิดขึ้นในแนวรบด้านนี้ ส่งผลกระทบอย่างไรต่อการต่อสู้ของแต่ละฝ่ายบนเวทีโลก

ฝ่ายใดปักธงเรื่องเล่า (narrative) ในพื้นที่นานาชาติได้ก่อน ?

วันที่ 24 ก.ค. เป็นวันแรกที่เกิดการปะทะบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชาตั้งแต่ช่วงเช้า ทั้งไทยและกัมพูชา ต่างฝ่ายต่างอ้างว่าอีกฝ่ายเปิดฉากยิงก่อน

บีบีซีไทยพบว่าในเวลาประมาณ 09.00 น. พล.ท.มาลี โสเจียตา โฆษกกระทรวงกลาโหมของกัมพูชาแถลงการณ์ผ่านสื่อของสำนักโฆษกของสำนักรัฐมนตรีกัมพูชาโดยทันทีว่า "ไทยเปิดฉากยิงก่อน" ทำให้ประเทศกัมพูชาต้องปกป้องเขตอำนาจอธิปไตยโดยทันที พร้อมกับชี้ว่า "ไทยคือผู้รุกราน" และทยอยออกแถลงการณ์สองภาษาตามมาทันที

ข้อความดังกล่าวถูกรายงานในสื่อภาษาเขมรและภาษาอังกฤษภายในประเทศกัมพูชา รวมไปถึงโดยสื่อต่างประเทศ

การเผยแพร่ข้อมูลทางการของกัมพูชาที่สื่อนานาชาติสามารถติดตามได้นั้นเป็นที่ทราบกันดีว่าหลัก ๆ คือ เพจเฟซบุ๊กของสมเด็จฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรี, สมเด็จฮุน เซน ประธานวุฒิสภา, และสำนักโฆษกคณะรัฐมนตรีของกัมพูชา ซึ่งเพจหลังสุดยังทำช่องทางสื่อสารผ่าน messenger channel ของเฟซบุ๊ก ยิงเนื้อหาตรงไปยังผู้ติดตามได้ทันที

ตั้งแต่เกิดเหตุปะทะบริเวณชายแดนเหนือพื้นที่พิพาทหลายจุด ผู้ส่งสารหลักของฝ่ายกัมพูชาอยู่ที่เพจเฟซบุ๊กของสำนักโฆษกคณะรัฐมนตรี ขณะที่ของไทยนั้นตรงกันข้าม เพราะท่อของข้อมูลข่าวสารกระจัดกระจายอยู่ในหลายหน่วยงาน

ย้อนกลับไปช่วงกลางเดือน มิ.ย. นายกรัฐมนตรีแพทองธาร ชินวัตร มีคำสั่งแต่งตั้งศูนย์เฉพาะกิจบริหารสถานการณ์บริเวณชายแดนไทย - กัมพูชา (ศบ.ทก.) เพื่อเป็นศูนย์กลางในการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารที่ถูกต้องเป็นภาษาไทยและอังกฤษ โดยศูนย์ดังกล่าวประกอบไปด้วยกระทรวงกลาโหม, ผู้นำ 4 เหล่าทัพ, กระทรวงมหาดไทย, สภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.), กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.), กระทรวงการต่างประเทศ, กระทรวงพาณิชย์, กระทรวงแรงงาน, และอธิบดีกรมประชาสัมพันธ์

ทว่า เมื่อเกิดการปะทะขึ้นในวันที่ 24 ก.ค. ทาง ศบ.ทก. ยังคงเริ่มถ่ายทอดสดรายงานสถานการณ์ประจำวันในช่วงเที่ยงวัน เริ่มจากการให้รายละเอียดเหตุการณ์ว่ากัมพูชาเป็นผู้เริ่มเปิดฉากยิงก่อนในบริเวณจุดใด และส่งผลให้เป้าพลเรือนของไทยได้รับผลกระทบบ้าง เพื่อเน้นย้ำว่าเหตุใดไทยจึง "จำเป็นต้องตอบโต้"


ร้านสะดวกซื้อของปั๊มน้ำมัน ปตท. ใน อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ ได้รับความเสียหายจากจรวด BM-21 ของกัมพูชา ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต 8 คน รวมถึงเด็ก

ในเวลาเดียวกัน ฝ่ายกัมพูชาเคลื่อนไหวไปยังสหประชาชาติแล้ว โดยสมเด็จฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรี ส่งจดหมายถึงนายอาซิม อิฟติคาร์ อาหมัด ประธานคณะมนตรีความมั่นคงสหประชาชาติ (UNSC) เพื่อขอให้เปิดประชุมอย่างเร่งด่วน

รายงานช่วงเที่ยงวันของ ศบ.ทก. ยังซ้ำซ้อนกับข้อมูลที่กองทัพบกและกองทัพภาคที่ 2 รายงานผ่านเพจเฟซบุ๊กของตัวเองตั้งแต่ช่วงเวลาประมาณ 09.00 น. และทั้งสองหน่วยงานก็ทยอยอัพเดทสถานการณ์แทบจะรายชั่วโมง ทำให้สื่อในประเทศไทยส่วนใหญ่ติดตามการรายงานของกองทัพมากกว่า ศบ.ทก. ของรัฐบาล

ก่อนหน้านี้ นายศิโรตม์ คล้ามไพบูลย์ นักวิเคราะห์การเมืองได้ให้ความเห็นในรายการพักการเมืองของจอมขวัญ หลาวเพ็ชร์ ว่า สาเหตุที่ทำให้รัฐบาลแถลงช้า "ส่วนหนึ่งก็มาจากการที่กองทัพกับรัฐบาล feed ข้อมูลกันไม่ได้" แม้รัฐบาลพยายามยืนยันว่ามีความเป็นเอกภาพกับกองทัพก็ตาม

ทั้งนี้ ยังไม่นับรวมความสับสนของข้อมูลตัวเลขผู้อพยพ ผู้บาดเจ็บ และผู้เสียชีวิต ที่ตัวแทนรัฐบาล, กระทรวงสาธารณสุข, และกระทรวงมหาดไทยแถลงไม่ตรงกัน ซึ่งสะท้อนถึงท่อของข้อมูลที่ยังไม่สอดคล้องกัน แม้กำลังเกิดสถานการณ์ฉุกเฉินในประเทศ


การรวมตัวกันของชาวกัมพูชานับร้อยคน หน้าอาคารรัฐสภาในนครเมลเบิร์น ประเทศออสเตรเลีย เมื่อวันที่ 27 ก.ค.

พร้อมกันนี้ ชุมชนชาวกัมพูชาทั้งในและต่างประเทศก็ช่วยกันเคลื่อนไหวในสื่อสังคมออนไลน์ "ประณามการรุกรานของไทย" ซึ่งเป็นข้อความเดียวกันกับที่รัฐบาลของกัมพูชาพยายามสื่อสาร

การรวมตัวกันของชาวกัมพูชา หน้าอาคารรัฐสภาในนครเมลเบิร์น ประเทศออสเตรเลีย ถือเป็นชุมชนชาวกัมพูชานอกประเทศกลุ่มแรก ๆ ที่ช่วยกันส่งเสียงประณามประเทศไทยและระบุว่า "กัมพูชาต้องการสันติ แต่ประเทศไทยต้องการสงคราม" และภาพดังกล่าวถูกนำเสนอในสื่อต่างชาติหลายสำนักด้วย เช่น AFP และ MSN

ขณะนั้นทางรัฐบาลไทยได้เริ่มขยับ "ประณามว่ากัมพูชาเปิดฉากยิงก่อน" เพื่อบอกว่ากัมพูชาต่างหากที่เป็นผู้เริ่มความขัดแย้ง รวมถึง "ประณามการโจมตีเป้าพลเรือนในไทยโดยฝ่ายกัมพูชา" ซึ่งส่งผลกระทบต่อโรงพยาบาลและย่านที่อยู่อาศัยของประชาชน

เมื่อข้อความดังกล่าวไม่สามารถช่วงชิงความได้เปรียบในพื้นที่นานาชาติได้ทัน เรื่องเล่าหลักในสื่อต่างประเทศในเวลาต่อมาจึงเป็นการรายงานว่า "ต่างฝ่ายต่างอ้างว่าอีกฝ่ายเป็นผู้เปิดฉากยิงก่อน"

ศ.ดร.ปวิน ชัชวาลพงศ์พันธ์ อดีตข้าราชการกระทรวงการต่างประเทศ ปัจจุบันเป็นนักวิชาการด้านรัฐศาสตร์และความสัมพันธ์ระหว่างประเทศประจำศูนย์เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษา มหาวิทยาลัยเกียวโต บอกกับบีบีซีไทยว่า สิ่งที่รัฐบาลไทยถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าตามเกมสงครามข้อมูลข่าวสารไม่ทันนั้นมีส่วนจริงอยู่ไม่น้อย และในขณะเดียวกันบทบาทเชิงรุก (proactive) ของทางกัมพูชาเองก็มีความสามารถทำให้ไทย "รู้สึกว่าตามไม่ทัน" และต้องรับบทเป็นฝ่ายแก้ข่าวอยู่ตลอดเวลา

นักวิชาการจาก ม.เกียวโต มองว่ากัมพูชาชิงนำเสนอและสร้างเรื่องเล่า (narrative) ของตนเองอย่างรวดเร็วและต่อเนื่อง โดยมักเน้นสร้างความเห็นอกเห็นใจและสอดรับกับหลักการสากล เช่น หลักสิทธิมนุษยชน หรือกฎหมายระหว่างประเทศ โดยเน้นย้ำว่าประเทศของตนนั้นเป็น "เหยื่อ" และเป็น "ฝ่ายถูกกระทำ" ซึ่งสื่อให้เห็นว่าบทบาทการทูตสาธารณะของกัมพูชาทำงานได้อย่างคล่องตัวมาก

"การสื่อสารที่รวดเร็วนี้ทำให้กัมพูชาสามารถกำหนดวาระการพูดคุยและสร้างความประทับใจแรกให้กับนานาชาติได้ก่อน เมื่อเรื่องเล่าของกัมพูชาได้รับการเผยแพร่และยอมรับในวงกว้างแล้ว การสื่อสารจากฝ่ายไทยที่ออกมาภายหลังมักจะกลายเป็น 'เชิงรับ (reactive)' โดยอัตโนมัติ"

นอกจากนี้ มันยังมีอิทธิพลต่อการรายงานของสื่อต่างชาติ ซึ่งมักอ้างอิงและขยายความจากเรื่องเล่าแรก ๆ ที่ได้รับรู้ และยิ่งทำให้เรื่องเล่าดังกล่าวแพร่หลายเข้าไปอยู่ในความเข้าใจของสาธารณชน รวมถึงผู้กำหนดนโยบายทั่วโลกได้ด้วย

สิ่งนี้เรียกว่า "การกำหนดกรอบการรับรู้เริ่มต้น (initial perception)" ทำให้การตีความสถานการณ์เบื้องต้นมักจะอิงอยู่กับเรื่องเล่าของฝ่ายนั้น ๆ ไม่ว่าข้อเท็จจริงทั้งหมดจะซับซ้อนกว่านั้นเพียงใดก็ตาม และนั่นคือ "ความได้เปรียบอย่างมหาศาล" ในทัศนะของ ศ.ดร.ปวิน

ในอีกทางหนึ่ง ผู้เชี่ยวชาญด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศผู้นี้ยังมองว่าเรื่องเล่าที่ถูกปักลงบนพื้นที่นานาชาติได้ก่อน ยังถูกใช้เป็นเครื่องมือบั่นทอนความน่าเชื่อถือของอีกฝ่ายได้ด้วย เนื่องจากไม่ว่าฝ่ายตรงข้ามจะชี้แจงอย่างไร ก็มักเกิดจะถูกพิจารณาด้วยความกังขาว่ากำลัง "แก้ตัว" หรือไม่

"การมี narrative ที่แข็งแกร่งและได้รับการยอมรับจากนานาชาติ จะเป็นเครื่องมือสำคัญในการสร้างแรงกดดันต่ออีกฝ่ายในเวทีการทูต ไม่ว่าจะเป็นในสหประชาชาติ การประชุมระดับภูมิภาค หรือการเจรจาทวิภาคี ทำให้ประเทศคู่ขัดแย้งต้องตกอยู่ในฐานะที่ต้องรับผิดชอบหรืออธิบายการกระทำของตน" ศ.ดร.ปวิน กล่าว


ผศ.ดร.สุรัชนี ศรีใย เห็นว่ากัมพูชาชนะสมรภูมิสงครามข้อมูลข่าวสารไปแล้ว จากบทบาทเชิงรุกในการสื่อสารต่อนานาชาติ เช่น การช่วงชิงนำคณะผู้ช่วยทูตทหารลงพื้นที่ชายแดนของตนเองได้ก่อน

ด้าน ผศ.ดร.สุรัชนี ศรีใย นักวิจัยอาคันตุกะ สถาบันเอเชียอาคเนย์ศึกษา ยูซุฟ อิสฮัค ของสิงคโปร์ ให้สัมภาษณ์กับบีบีซีไทยว่า รัฐบาลไทย "สอบตก" ทั้งทางด้านการทำสงครามข้อมูลข่าวสารและการสื่อสารสาธารณะ พร้อมกับเห็นว่ากัมพูชาชนะไปแล้วในสมรภูมินี้

เธอตั้งข้อสังเกตว่าการสื่อสารของกัมพูชาผ่านกระบวนการคิดมาอย่างดี มีการวางกลยุทธ์ด้านการสื่อสารทางการเมืองมาตั้งแต่แรกว่าต้องการมุ่งเป้าไปที่การสื่อสารกับชุมชนนานาชาติอย่างต่อเนื่อง เพื่อกำหนดกรอบเรื่องเล่าบนเวทีโลกให้เป็นไปตามเรื่องเล่าของทางฝั่งกัมพูชาอย่างแข็งแรง

"อย่างเช่นเรื่องใครเป็นคนยิงก่อน จริง ๆ แล้วในกรณีนี้มันเป็นเรื่องพิสูจน์ได้ยาก เพราะหลักฐานอาจไม่ได้ชัดเจนขนาดนั้น แต่เขาก็มองเห็นช่องในความ blurry (ความพร่ามัว) ของข้อมูลเพื่อบอกว่า 'ฝ่ายไทยเป็นผู้เปิดฉากยิงก่อน' และทำให้เกิดปฏิบัติการข้อมูลข่าวสารกันระหว่างฝ่ายกัมพูชากับชาวเน็ตของไทยที่ทนไม่ได้ในเวลาต่อมา เพราะรอให้รัฐบาลทำงานไม่ไหวแล้ว"

เธอยังเห็นว่าฝ่ายกัมพูชาเองไม่ได้สนใจเลยว่าข้อมูลที่นำมาสื่อสารนั้นเป็นข้อมูลที่ผิดหรือบิดเบือนหรือไม่ แต่ต้องการแค่ผลลัพธ์ให้การสื่อสารว่า "ไทยคือผู้รุกราน" สำเร็จตามเป้าหมายก็เพียงพอ

ยกตัวอย่างเช่น การรายงานข่าวว่ากัมพูชายิง F-16 ของไทยตก เพื่อเน้นย้ำภาพตอบโต้ผู้รุกรานทางอากาศ และการเผยแพร่ข่าวปลอมที่ระบุว่าไทยใช้สารเคมีในการสู้รบ ซึ่งต่อมาพิสูจน์ทราบว่าเป็นภาพข่าวการพ่นสารเคมีดับไฟป่าในต่างประเทศ เป็นต้น

"ผิดถูกไม่รู้ เดี๋ยวค่อยว่ากันอีกทีหนึ่ง แต่มันทำให้เห็นว่าเขามีสายบัญชาการด้านข่าวสารที่ชัดเจนและแข็งแรง" เธอกล่าว และเสริมว่าปัจจุบันกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศยังไม่มีข้อครอบคลุมถึงบริบทการใช้ปฏิบัติการข้อมูลข่าวสาร (information operation) ในความขัดแย้งทางอาวุธ (arm conflict) ทำให้การกำกับดูแลประเด็นนี้ยังเป็นปัญหา

ปัญหาการช่วงชิงเรื่องเล่าของไทยบนเวทีโลกอยู่ตรงไหน ?


ไทยและกัมพูชาบรรลุข้อตกลงหยุดยิงเมื่อวันที่ 28 ก.ค. โดยมีนายอันวาร์ อิบราฮิม ประธานอาเซียนเป็นตัวกลาง

การที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ หยิบยกมาตรการภาษีมาขู่ ส่งผลให้ไทยและกัมพูชาเข้าสู่โต๊ะเจรจาที่มีมาเลเซียในฐานะประธานอาเซียนเป็นผู้อำนวยความสะดวกในการเจรจา โดยมีตัวแทนของมหาอำนาจจากจีนและสหรัฐอเมริกา เข้าร่วมในฐานะผู้สังเกตการณ์ด้วย

ท้ายที่สุด ทั้งสองฝ่ายได้ข้อตกลง 3 ประการ และหนึ่งในนั้นคือการหยุดยิงทันทีอย่างไม่มีเงื่อนไขในช่วงเที่ยงคืนของวันที่ 28 ก.ค.

จากนั้น กองทัพบกของไทยรายงานว่ากัมพูชาละเมิดข้อตกลงหยุดยิงและเปิดแนวปะทะทั่วทิวเขาพนมดงรักหลายจุดด้วยกัน ซึ่งกัมพูชาปฏิเสธข้อกล่าวหานี้

บีบีซีไทยพบว่าหากพิจารณาการสื่อสารของฝ่ายไทยและฝ่ายกัมพูชาในวันที่ 29 ก.ค. นั้น แตกต่างกันอย่างโดยสิ้นเชิง

ฝ่ายกัมพูชาออกแถลงการณ์เพียงแค่ 2 ครั้งในช่วงก่อนเที่ยง ครั้งแรกในช่วงเวลาประมาณ 07.00 น. เพื่อบอกว่าในคืนที่ผ่านมาไม่มีเสียงปืนดังขึ้นเลย และในเวลาประมาณ 11.00 น. เพื่อรายงานความคืบหน้าการตกลงกันระหว่างแม่ทัพภาคของทั้งสองฝ่าย ซึ่งเป็นไปตามข้อตกลงประการที่สองที่เกิดขึ้นในมาเลเซีย

พร้อมกันนี้ รัฐบาลกัมพูชายังเผยแพร่ปฏิกิริยาผู้นำต่างประเทศที่ชื่นชมการตกลงหยุดยิงของทั้งสองฝ่าย ในทำนองว่านานาชาติและประเทศมหาอำนาจอื่น ๆ กำลังสนับสนุนกัมพูชาซึ่งยืนยันว่า "ปฏิบัติตามข้อตกลงหยุดยิง"

ตัดภาพกลับมาที่ไทย การแถลงข่าวนั้นกระจัดกระจายตลอดทั้งวัน เริ่มต้นจากการให้ข่าวโดยกองทัพบก ตามมาด้วยคำสัมภาษณ์ของรักษาการนายกรัฐมนตรี ภูมิธรรม เวชยชัย รวมถึงนายกรัฐมนตรีแพทองธาร ก่อนเข้าประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ต่อด้วยการให้ข่าวโดยคณะโฆษกของรัฐบาล ตามมาด้วยการแถลงข่าวโดยตัวแทนคณะรัฐมนตรี จากนั้นก็มีการแถลงโดย ศบ.ทก. ในช่วงเที่ยง และตามมาด้วยการแถลงโดยกระทรวงการต่างประเทศ ซึ่งหากมองภาพรวมสิ่งที่แต่ละฝ่ายออกมาแถลง ก็พบว่าเป็นข้อมูลชุดเดียวกัน แตกต่างกันเพียงแค่รายละเอียดที่แต่ละฝ่ายจะดำเนินการเพื่อตอบโต้กัมพูชาอย่างไร

ในห้วงเวลานั้น มีความพยายามจากหลายฝ่ายแนะนำว่ารัฐบาลไทยควรเชิญทูต ผู้ช่วยทูตทหารและสื่อจากประเทศต่าง ๆ มาดูสถานการณ์บริเวณชายแดน เพื่อพิสูจน์ว่าอีกฝ่ายละเมิดข้อตกลงอย่างไรบ้าง แต่สุดท้ายแล้วกัมพูชากลับช่วงชิงจังหวะนี้ได้ก่อน และเป็นอีกครั้งหนึ่งที่ไทยถูกมองว่าเดินตามหลังกัมพูชาหนึ่งก้าวเสมอ


ฝ่ายไทยเชิญทูต ผู้ช่วยทูตทหาร และสื่อต่างชาติมาฟังและดูข้อเท็จจริงจากฝั่งไทยเมื่อวันที่ 1 ส.ค.

ผู้ใช้สื่อสังคมออนไลน์รายหนึ่งถึงกับทำภาพติดแฮชแท็กว่า #TruthFromThailand ซึ่งมีข้อความระบุว่า "รัฐบาลไทยช้าขนาดนี้ คุณคิดเหรอว่าเราเป็นฝ่ายเริ่มสงครามนี้ก่อน ?" โดยภาพนี้ถูกแชร์ต่อออกไปมากกว่า 1,300 ครั้ง

ด้าน นายปองกูล สืบซึ้ง หรือนักร้องที่คนไทยรู้จักกันในชื่อว่า ป๊อบ ปองกูล ก็ออกมาโพสต์ตั้งคำถามกับการตอบโต้ข่าวสารของรัฐบาลว่าเหตุใดกลับ "เย็นชืด" และ "นิ่งเงียบ" ซึ่งโพสต์ดังกล่าวได้รับการแชร์ต่อมากกว่า 8,700 ครั้ง

"ในขณะที่ทหารหลายนายเข้าเสี่ยงชีวิต ทางรัฐบาลปล่อยให้มีช่องว่างในการสื่อสาร ปล่อยให้ข่าวสารและเหตุการณ์ต่าง ๆ ไหลผ่านไปโดยไม่มีคำอธิบายทั้งต่อในประเทศและต่างประเทศ"

พร้อมกันนี้ นักร้องคนดังกล่าวยังโพสต์ข้อความเป็นภาษาไทยและอังกฤษที่ถูกแปลด้วยแชทจีพีที (ChatGPT) เพื่อช่วยอธิบายว่า "กัมพูชาต่างหากที่เป็นผู้ละเมิดข้อตกลงหยุดยิง" โดยเขาบอกว่า "ไม่ต้องมีแล้วรัฐบาล ให้เพื่อนรัก ChatGPT ทำงานเดือนละ 600 บาท" ก็พอ

ในวันที่ 31 ก.ค. รักษาการนายกรัฐมนตรี ภูมิธรรม เวชยชัย ออกมาชี้แจงกับสื่อมวลชนเมื่อวันที่ 31 ก.ค. ว่า รัฐบาลไม่ได้สื่อสารถึงนานาชาติล่าช้า และที่ผ่านมาทางกระทรวงการต่างประเทศก็ยื่นหนังสือแจงหรือประท้วงต่อนานาชาติมาโดยตลอด เมื่อไทยเห็นว่ากัมพูชากระทำการละเมิดเรื่องใดบ้าง

ศ.ดร.ปวิน เห็นว่าการสื่อสารของทีมไทยมีปัญหาจริง ๆ ไม่ว่าจะเป็นความไม่เป็นเอกภาพและความสอดคล้องกันของสาร ความล่าช้าในการตอบสนองและแก้ไขข้อมูล หรือการสื่อสารที่ไม่สอดคล้องกับความคาดหวังของนานาชาติ ซึ่งทำให้เห็นว่าไทยยังขาดการทูตสาธารณะเชิงรุก (proactive public diplomacy)

"ไทยมักจะเน้นการสื่อสารแบบดั้งเดิมหรือการตอบโต้เป็นหลัก มากกว่าการสร้างความสัมพันธ์เชิงรุกกับสื่อต่างชาติ think tanks องค์กรระหว่างประเทศ และภาคประชาสังคมในต่างประเทศ เพื่อสร้างความเข้าใจพื้นฐานและความน่าเชื่อถือไว้ล่วงหน้าก่อนที่จะเกิดวิกฤต การสร้างเครือข่ายและความสัมพันธ์ที่ดีไว้ก่อนจะช่วยให้เมื่อเกิดเหตุการณ์ขึ้น ฝ่ายไทยจะมีช่องทางและผู้ที่พร้อมรับฟังสารจากเรามากขึ้น"


กรณีคลิปเสียงระหว่างนายกรัฐมนตรีแพทองธาร ชินวัตร และ สมเด็จฮุน เซน นำไปสู่การนัดชุมนุมโดยกลุ่มที่เรียกตัวเองว่า "รวมพลังแผ่นดิน" เมื่อวันที่ 28 มิ.ย. ที่ผ่านมา

นักวิชาการจาก ม.เกียวโต ยังตั้งข้อสังเกตด้วยว่ากรณีคลิปเสียงหลุดระหว่างนายกรัฐมนตรีแพทองธาร และสมเด็จฮุน เซน ยังเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ส่ง "ผลกระทบอย่างมหาศาลต่อความชอบธรรมและความน่าเชื่อถือของรัฐบาลไทยในสายตาประชาชนอย่างไม่ต้องสงสัย"

ศ.ดร.ปวิน มองว่ากรณีฉาวดังกล่าวทำให้รัฐบาลอยู่ในสถานะ "ทำอะไรก็ไม่ดีพอ" ส่งผลกระทบต่อพลังการสื่อสารและการแสดงออกจุดยืนบนเวทีโลก เนื่องจากรากฐานสำคัญในการดำเนินนโยบายทั้งภายในและภายนอกประเทศซึ่งต้องได้ความชอบธรรมและความเชื่อมั่นจากประชาชนนั้นได้ "สั่นคลอน" ไปแล้ว

"เมื่อประชาชนไม่เชื่อมั่นในแหล่งที่มาของข้อมูลหรือในความจริงใจของรัฐบาล การสื่อสารใด ๆ ที่ออกมา ไม่ว่าจะเป็นการชี้แจงข้อเท็จจริง การสร้างความเข้าใจ หรือการแสดงท่าที ก็มักจะถูกตั้งคำถาม ถูกมองด้วยความกังขา หรือถูกมองในแง่ลบได้ง่าย นี่เป็นอุปสรรคใหญ่หลวงต่อการบริหารจัดการวิกฤต ไม่เพียงแต่ในมิติภายในประเทศเท่านั้น แต่ยังส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ภายนอกด้วย เพราะความแตกแยกหรือการขาดความเชื่อมั่นภายในประเทศอาจถูกฉายให้เห็นในเวทีระหว่างประเทศ ทำให้เสียงของประเทศไทยดูอ่อนแอลง และเป็นช่องว่างที่ฝ่ายตรงข้ามสามารถนำไปใช้โจมตีหรือบิดเบือนได้ง่ายขึ้น" ศ.ดร.ปวิน ระบุ


รักษาการนายกรัฐมนตรี ภูมิธรรม เวชยชัย ยืนยันอยู่เสมอว่ารัฐบาลกับกองทัพทำงานอย่างเป็นเอกภาพ

ถึงแม้สารและแฮชแท็กของกองทัพจะถูกปรับเปลี่ยนไปตามสถานการณ์ แต่อีกข้อสังเกตหนึ่งที่ ผศ.ดร.สุรัชนี เห็นคือ ปฏิบัติการข่าวสารของกองทัพของไทยนั้นยังมีลักษณะพยายามระดมการสนับสนุนจากสาธารณะด้วย เพื่อทำให้เห็นว่าปฏิบัติการทางทหารนั้นเกิดขึ้นอย่างชอบธรรมและได้รับการสนับสนุนจากประชาชน

"เราต้องพูดกันตามตรงว่าในบริบทการเมืองไทยที่ผ่านมา กองทัพไม่ได้มีภาพลักษณ์ที่ดีขนาดนั้นในสายตาประชาชน เพราะเรามีรัฐประหารหลายรอบ ทำให้ประชาชนส่วนใหญ่ไม่ได้มีแนวคิดสนับสนุนทหารเท่าไรนัก ขนาดมีประเด็นไทย-กัมพูชาขึ้นมาในตอนแรก กระแสสนับสนุนทหารก็ยังไม่ค่อยมาเลย แต่พอมีกรณีคลิปเสียงหลุดระหว่างฮุน เซน กับนายกฯ ของเรา ประชาชนก็เริ่มเห็นแล้วว่ารัฐบาลไม่น่ามีประสิทธิภาพ และบทบาทของทหารก็เริ่มโดดเด่นมากขึ้นหลังจากนั้น ในฐานะผู้ปกป้องพิทักษ์อธิปไตย" ผศ.ดร.สุรัชนี กล่าว

นักวิชาการจากสถาบันของสิงคโปร์ฉายภาพสมรภูมิข่าวสารตั้งแต่วันที่ 24 ก.ค. อีกครั้งเพื่ออธิบายว่าบทบาทการสื่อสารที่นำโดยรัฐบาลหายไปจากสมรภูมินี้อย่างไร

จากการเก็บข้อมูลในสื่อสังคมออนไลน์ เธอพบว่าในช่วงแรกที่เกิดการปะทะ กองทัพภาคที่ 2 คือองค์กรหลักที่เริ่มใช้ปฏิบัติการข้อมูลข่าวสาร (information operation) ในลักษณะการระดมข้อมูล (information mobilization) ด้วยการเชิญชวนให้ประชาชนช่วยกันโพสต์ข้อความที่ติดแฮชแท็กว่า #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด, #กัมพูชายิงก่อน, และ #CambodiaOpenedfire เพื่อใช้ประโยชน์จากวาทกรรมเหล่านี้ในแพลตฟอร์มดิจิทัล เพื่อขับเคลื่อนเป้าหมายของรัฐ

เธอยังเห็นว่าทางกองทัพยังร่วมมือกับเหล่าอินฟลูเอ็นเซอร์ (influencer) ต่าง ๆ ในไทย เพื่อช่วยกันส่งต่อข้อมูลจากกองทัพและช่วยแปลข้อมูลดังกล่าวออกเป็นหลายภาษาเพื่อสื่อสารกับนานาชาติด้วย จึงกลายเป็นว่าผู้ที่ทำหน้าที่ในปฏิบัติการข้อมูลข่าวสารจึงนำโดยกองทัพและชาวเน็ตไทยไปโดยปริยาย

นักวิชาการผู้นี้ตั้งข้อสังเกตว่าเหตุใดบทบาทของรัฐบาลถึงดูเหมือนว่า "ถูก pull back (ดึงออกไปอยู่ด้านหลัง)" เมื่อเกิดความขัดแย้งขึ้นระหว่างไทย-กัมพูชา

กระทั่งในวันที่ฝ่ายไทยเชิญทูต ผู้ช่วยทูตทหาร และสื่อต่างชาติมาฟังและเห็นข้อเท็จจริงจากฝั่งไทยเมื่อวานนี้ (1 ส.ค.) เธอก็เห็นว่ากองทัพยังคงรับบทบาทนำในการให้ข้อมูลและอธิบายกับนานาชาติ แม้จะเห็นการปรากฏตัวของนายรัศม์ ชาลีจันทร์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงการต่างประเทศ ด้วยก็ตาม

"เราประหลาดใจมากเลยว่าหลังการหยุดยิงเกิดขึ้นแล้ว เหตุใดเมื่อเชิญทูตมาแล้ว รัฐบาลและกระทรวงการต่างประเทศไม่ step up (ก้าวขึ้นมา) เพื่อรับไม้ต่อจากทหาร เพราะจริง ๆ แล้วหน้าที่ตรงนี้ไม่ใช่ของทหาร และจากมุมมองของชุมชนนานาชาติ เขาก็ไม่ได้ value (ให้น้ำหนัก) กับสิ่งที่ military section (ฝ่ายกองทัพ) พูด" ผศ.ดร.สุรัชนี กล่าว

สายเกินไปหรือไม่ที่รัฐบาลไทยจะแก้เกมในสงครามข้อมูลข่าวสาร ?

ผศ.ดร.สุรัชนี บอกกับบีบีซีไทยว่า ยังไม่สายเกินไปที่รัฐบาลจะแก้มือในสมรภูมินี้ โดยแนะนำว่าไทยอาจต้องจัดลำดับความสำคัญก่อนว่าจะพยายามตอบโต้ข้อมูล (counter information) ในโลกสื่อสังคมออนไลน์ หรือจะมุ่งเน้นการตอบโต้บนเวทีนานาชาติอย่างสหประชาชาติ

"เหตุผลคือรัฐบาลไทยไม่สามารถดำเนินการทั้งสองอย่างไปพร้อมกันได้ในตอนนี้ เนื่องจากขาดศักยภาพ" เธอกล่าว และเสริมว่าหากกำหนดทิศทางได้แล้ว คำถามต่อมาคือเรื่องเล่าหรือวาทกรรมที่ประเทศต้องการจะสื่อคืออะไร และจุดยืนของไทยอยู่ตรงไหนในความขัดแย้งนี้

ด้าน ศ.ดร.ปวิน บอกกับบีบีซีไทยว่า การแก้เกมสงครามข้อมูลข่าวสารในครั้งนี้ต้องดำเนินการอย่างเร่งด่วนและจริงจัง มีกลยุทธ์ที่ชัดเจนและต่อเนื่อง เนื่องจากมันเป็นกระบวนการที่ต้องใช้ความพยายามในระยะยาว ไม่ใช่อาศัยแค่การตอบโต้เป็นครั้งคราวเท่านั้น


ความขัดแย้งล่าสุดทำให้ประชาชนนับแสนตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ต้องอพยพออกจากชุมชนของตัวเอง

นักวิชาการจาก ม.เกียวโต แนะนำว่ารัฐบาลควรจัดตั้งคณะทำงานเฉพาะกิจที่ประกอบด้วยผู้เชี่ยวชาญด้านการทูต การสื่อสาร และกฎหมาย โดยมีอำนาจในการตัดสินใจและประสานงานได้อย่างรวดเร็ว เพื่อตอบโต้ข้อมูลเท็จและเผยแพร่ข้อเท็จจริงในทันทีที่เกิดเหตุการณ์สำคัญ และต้องมั่นใจว่าสารที่ออกไปมีความสอดคล้องกันเป็น "เสียงเดียว" ของประเทศ

"ทุกการสื่อสารต้องอยู่บนพื้นฐานของข้อเท็จจริงที่ชัดเจน มีหลักฐานสนับสนุน และอ้างอิงถึงกฎหมายระหว่างประเทศ หลักมนุษยธรรม เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือให้กับ narrative ของไทย การแสดงความจริงใจและความโปร่งใสจะเป็นเกราะป้องกันที่ดีที่สุด" ศ.ดร.ปวิน กล่าว

อีกสิ่งหนึ่งที่ผู้เชี่ยวชาญรายนี้แนะนำเพิ่มเติมคือ รัฐบาลจำเป็นต้องแก้ไขปัญหาที่บั่นทอนความเชื่อมั่นของประชาชนภายในประเทศด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งกรณีคลิปเสียงหลุดที่เกิดขึ้น เพราะสุดท้ายแล้วการสนับสนุนจากประชาชนยังคงเป็นสิ่งจำเป็นในการสร้างความชอบธรรมและการสร้างพลังเสียงบนเวทีโลก

"หากไทยสามารถแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการแก้ไขปัญหาอย่างสันติ และการดำเนินการที่โปร่งใสและรวดเร็วได้อย่างสม่ำเสมอ ก็ยังมีโอกาสที่จะสร้างความเข้าใจและปรับสมดุลของ narrative ในเวทีโลกได้ และสร้างภาพลักษณ์ที่แข็งแกร่งและน่าเชื่อถือในระยะยาว" นักวิชาการจาก ม.เกียวโต กล่าวกับบีบีซีไทย

https://www.bbc.com/thai/articles/cvgn9vln435o